วันเวลาปัจจุบัน 22 มิ.ย. 2025, 13:42  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


Facebook ลานธรรมจักร - http://www.facebook.com/larndhammajak
ห้องแชดสนทนาธรรม - http://www.dhammajak.net/chat/



กลับไปยังกระทู้  [ 122 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8, 9  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.พ. 2010, 20:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 พ.ย. 2008, 17:20
โพสต์: 1051

งานอดิเรก: อ่านหนังสือธรรมะ
อายุ: 0
ที่อยู่: Bangkok

 ข้อมูลส่วนตัว


cool นู๋ไบกอน บทความนี้ย้ายไปหัวข้อ บทความธรรมะ ซิคะ จะได้มีคนได้อ่านแยะ....ๆ ๆ
อยู่ในบ้านนี้ คนอาจแวะมาเยี่ยมน้อยน่ะค่ะ ให้ข้อคิดมากๆเลยนะ....น้.....า :b17: :b17:

.....................................................
    มีสิ่งใด น่าโกรธ อย่าโทษเขา.... ต้องโทษเรา ที่ใจ ไม่เข้มแข็ง
    เรื่องน่าโกรธ แม้ว่า จะมาแรง ....ถ้าใจแข็ง เหนือกว่า ชนะมัน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.พ. 2010, 23:15 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ของฝากเล็ก ๆ น้อย ๆ มาเยี่ยมเจ้าของบ้าน..และทุก ๆ คน..ครับ

พอดีออกไปเที่ยวเล่นนอกบ้าน..พบของดี..ก็เลยคิดถึง..กัลยาณมิตร..ทุกท่าน..นะครับ

:b12: :b12:

แค่เล็ก ๆ น้อย ๆ ไปก่อนนะ :b17: :b17:
......................................
วิธีตั้งจิตให้สงบเป็นสมาธิ
โดย หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน


เทศน์อบรมพระ ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๖ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๔๔

.................
การปฏิบัติภาวนา เคยสอนหมู่เพื่อน ให้มีความแม่นยำต่องานการของตน
วิธีการตั้งรากฐานจิตใจให้มีความสงบไม่ได้ เนื่องจากเราจับจด
ไม่จริงไม่จังกับงานของตัวเองที่ทำ ถ้าจริงจังแล้วต้องได้ ไม่สงสัย
เช่นอย่างให้ฝึกหัดภาวนา คำบริกรรมเป็นเครื่องกำกับจิต
เพื่อจะตั้งรากฐานของจิต ให้มีความสงบขึ้นไปโดยลำดับๆ นี้ จะตั้งได้ด้วย
คำบริกรรมภาวนา ถ้าปล่อยให้จิตกำหนดรู้เฉยๆ นี้ไม่ได้เรื่องนะ
รู้มันก็รู้ในเวลาตั้งใจ พอเผลอแพล็บเดียว ออกรู้สิ่งต่างๆ
ซึ่งเป็นเรื่องของกิเลสไปแล้ว มันก็กลายเป็นกิเลสไปหมดล่ะซี

......................................................


แก้ไขล่าสุดโดย กบนอกกะลา เมื่อ 25 ก.พ. 2010, 23:18, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.พ. 2010, 23:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ก.ค. 2006, 20:52
โพสต์: 1210

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


tongue

หวัดดีค่ะ คุณเอรากอน

เพิ่งมีโอกาสแวะมา ว่าจะอ่านตั้งแต่ต้น .. ม่าย ไหว ตายังลายจาก กท. ในลานสน

เฮ้อ....ไว้มาอ่านตามละกัน อย่าว่ากันนา...

อ้อ ลืมธรรมเนียม

ยินดีต้อนรับสู่ลานธรรมจักร ณ แห่งนี้ มีธรรมะ และกัลยาณมิตร

:b9: :b9: :b9:

.....................................................
สัพเพ สังขารา อนิจจา
สัพเพ ธรรมา อนัตตา...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.พ. 2010, 04:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.ย. 2007, 23:29
โพสต์: 1065


 ข้อมูลส่วนตัว


คุณ O.wan เขียน:
นู๋ไบกอน บทความนี้ย้ายไปหัวข้อ บทความธรรมะ ซิคะ จะได้มีคนได้อ่านแยะ....ๆ ๆ
อยู่ในบ้านนี้ คนอาจแวะมาเยี่ยมน้อยน่ะค่ะ ให้ข้อคิดมากๆเลยนะ....น้.....า :b17: :b17:


ท่านกบฯ เขียน:
ของฝากเล็ก ๆ น้อย ๆ มาเยี่ยมเจ้าของบ้าน..และทุก ๆ คน..ครับ

พอดีออกไปเที่ยวเล่นนอกบ้าน..พบของดี..ก็เลยคิดถึง..กัลยาณมิตร..ทุกท่าน..นะครับ

:b12: :b12:

แค่เล็ก ๆ น้อย ๆ ไปก่อนนะ :b17: :b17:


:b43: :b43: :b43:

ยายมัทเห็นด้วยอย่างสิ้นเชิง
กับความเห็นของ คุณ O.wan นะจ๊ะ นู๋ไบกอน ....
ย้ายก็ดี...ของท่านกบฯด้วย :b4: :b17:

หรือจะโพสต์ที่เลย
ก็จะเยี่ยมยอดมากๆ เลย...สาธุด้วยค่า
:b8: :b17:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.พ. 2010, 08:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 พ.ค. 2009, 09:34
โพสต์: 1478

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณ O.wan เขียน:
นู๋ไบกอน บทความนี้ย้ายไปหัวข้อ บทความธรรมะ ซิคะ จะได้มีคนได้อ่านแยะ....ๆ ๆ
อยู่ในบ้านนี้ คนอาจแวะมาเยี่ยมน้อยน่ะค่ะ ให้ข้อคิดมากๆเลยนะ....น้.....า :b17: :b17:


ท่านกบฯ เขียน:
ของฝากเล็ก ๆ น้อย ๆ มาเยี่ยมเจ้าของบ้าน..และทุก ๆ คน..ครับ

พอดีออกไปเที่ยวเล่นนอกบ้าน..พบของดี..ก็เลยคิดถึง..กัลยาณมิตร..ทุกท่าน..นะครับ

:b12: :b12:

แค่เล็ก ๆ น้อย ๆ ไปก่อนนะ :b17: :b17:


:b43: :b43: :b43:

มัทนา ณ หิมะวัน เขียน:
ยายมัทเห็นด้วยอย่างสิ้นเชิง
กับความเห็นของ คุณ O.wan นะจ๊ะ นู๋ไบกอน ....
ย้ายก็ดี...ของท่านกบฯด้วย :b4: :b17:

หรือจะโพสต์ที่เลย
ก็จะเยี่ยมยอดมากๆ เลย...สาธุด้วยค่า
:b8: :b17:


ก็ว่าจะไปโพส ไว้ที่ กระทู้ ท่าน ไชย ณ พล ของคุณ kororado ด้วยค่ะ... :b16:
แต่ยังไม่ได้เอาไป... :b16: :b16:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.พ. 2010, 23:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 พ.ค. 2009, 09:34
โพสต์: 1478

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


มัทนา ณ หิมะวัน เขียน:
:b43: :b43: :b43:

ยายมัทเห็นด้วยอย่างสิ้นเชิง
กับความเห็นของ คุณ O.wan นะจ๊ะ นู๋ไบกอน ....
ย้ายก็ดี...ของท่านกบฯด้วย :b4: :b17:

หรือจะโพสต์ที่เลย
ก็จะเยี่ยมยอดมากๆ เลย...สาธุด้วยค่า
:b8: :b17:


จริง ๆ ที่ค่อย ๆ ย้าย ค่อย ๆ ปลีกตัวมาอยู่นี่
เพราะกำลังเตรียม...... :b1: :b1:

ความแน่นอน...คือสิ่งที่ไม่แน่นอน...

วาสนา...หมาน้อย...
เมื่อ...บัณฑิต... แวะมาเชิญถึงที่...
หากเอกอนเห็นแก่สำราญ...เพิกเฉย...มิตรไมตรี...
เห็นทีว่า...เป็นคนที่เกิดมาเสียชาติเกิด...จริง ๆ ...

:b8: :b8: :b8: :b8:


แก้ไขล่าสุดโดย เอรากอน เมื่อ 28 ก.พ. 2010, 09:45, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.พ. 2010, 09:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 พ.ค. 2009, 09:34
โพสต์: 1478

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


" " พูดว่า: ผู้มีสติ...(หลวงพ่อชา สุภัทโท)

ผู้ใดมีสติอยู่ทุกเวลา
ผู้นั้นก็จะได้ฟังธรรมะของพระพุทธเจ้าอยู่ตลอดเวลา
เพราะว่าเมื่อตามองเห็นรูปก็เป็นธรรมะ
หูได้ยินเสียงก็เป็นธรรมะ จมูกได้กลิ่นก็เป็นธรรมะ
ลิ้นได้รสก็เป็นธรรมะ
ธรรมารมณ์ที่เกิดขึ้นกับใจ นึกขึ้นได้เมื่อใดเป็นธรรมะเมื่อนั้น

ฉะนั้น ผู้มีสติจึงได้ฟังธรรมะของพระพุทธเจ้าอยู่ตลอดเวลา
ไม่ว่าจะยืน เดิน นั่ง นอน
มันมีอยู่ทุกเวลาเพราะอะไร ? เพราะเรามีความรู้อยู่


ในเวลานี้ เราจึงเรียนอยู่กลางธรรมะ
จะเดินไปข้างหน้าก็ถูกธรรมะ จะถอยไปข้างหลังก็ถูกธรรมะ
ท่านจึงให้มีสติถ้ามีสติแล้ว มันจะเห็นกำลังใจของตน
เห็นจิตของตน ความรู้สึกนึกคิดของตัวเองเป็นอย่างไรก็ต้องรู้
รู้ถึงที่แล้ว ก็รู้แจ้งแทงตลอดเมื่อมันรอบรู้อยู่เช่นนี้
การประพฤติปฏิบัติมันก็ถูกต้องดีงามเท่านั้นแหละ


ขออนุโมทนา บุญ สาธุ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 มี.ค. 2010, 13:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ม.ค. 2007, 11:39
โพสต์: 85

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เอรากอน เขียน:
" " พูดว่า: ผู้มีสติ...(หลวงพ่อชา สุภัทโท)

ผู้ใดมีสติอยู่ทุกเวลา
ผู้นั้นก็จะได้ฟังธรรมะของพระพุทธเจ้าอยู่ตลอดเวลา
เพราะว่าเมื่อตามองเห็นรูปก็เป็นธรรมะ
หูได้ยินเสียงก็เป็นธรรมะ จมูกได้กลิ่นก็เป็นธรรมะ
ลิ้นได้รสก็เป็นธรรมะ
ธรรมารมณ์ที่เกิดขึ้นกับใจ นึกขึ้นได้เมื่อใดเป็นธรรมะเมื่อนั้น

ฉะนั้น ผู้มีสติจึงได้ฟังธรรมะของพระพุทธเจ้าอยู่ตลอดเวลา
ไม่ว่าจะยืน เดิน นั่ง นอน
มันมีอยู่ทุกเวลาเพราะอะไร ? เพราะเรามีความรู้อยู่


ในเวลานี้ เราจึงเรียนอยู่กลางธรรมะ
จะเดินไปข้างหน้าก็ถูกธรรมะ จะถอยไปข้างหลังก็ถูกธรรมะ
ท่านจึงให้มีสติถ้ามีสติแล้ว มันจะเห็นกำลังใจของตน
เห็นจิตของตน ความรู้สึกนึกคิดของตัวเองเป็นอย่างไรก็ต้องรู้
รู้ถึงที่แล้ว ก็รู้แจ้งแทงตลอดเมื่อมันรอบรู้อยู่เช่นนี้
การประพฤติปฏิบัติมันก็ถูกต้องดีงามเท่านั้นแหละ


ขออนุโมทนา บุญ สาธุ


:b8: :b8: :b8:

"สติมโต สทา ภัททัง ผู้มีสติเจริญทุกเมื่อ"

พุทธพจน์


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 มี.ค. 2010, 18:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 พ.ค. 2009, 09:34
โพสต์: 1478

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หัวข้อ: เห็นนอก...ระงับใน...ใจสงบ

:b48: :b48: :b48: :b48:

อย่ายุ่งกับเรื่องของคนอื่น!! หลวงปูชา

อย่ายุ่งกับเรื่องของคนอื่น ภาวนามากๆ ดูตัวเองมากๆ ธรรมดาเราดูแต่คนอื่น 90% ดูตัวเองแค่ 10 % คือคอยดู แต่ความผิดของคนอื่น เพ่งโทษคนอื่น คิดแต่จะแก้ไขคนอื่น.......


พระอาจารย์ มิตซูโอะ คเวสโก วัดสุนันทาราม อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรีศิษย์หลวงปูชาฯกล่าวต่อไปว่า.....กลับเสียใหม่นะ.....ดูคนอื่นเหลือไว้ 10 % ดูเพื่อศึกษาว่า เมื่อเขาทำอย่างนั้น คนอื่นจะรู้สึกอย่างไร เพื่อเอามาสอนตัวเองนั่นแหละ......


ดูตัวเอง พิจารณาตัวเอง 90% จึงเรียกว่าปฏิบัติธรรมอยู่......ธรรมชาติของจิตใจมันเข้าข้างตัวเอง โบราณพูดว่า เรามักจะเห็นความผิดของคนอื่นเท่าภูเขา ความผิดของตนเองเท่ารูเข็ม มันเป็นความจริงอย่างนั้นด้วย เราจึงต้องระวังความรู้สึกนึกคิดของตัวเองให้มากๆ

พระอาจารย์มิตซูโอะ.....

กล่าวต่อว่า.....เห็นความผิดของคนอื่น ให้หารด้วย 10 เห็นความผิดของตัวเอง ให้คูณด้วย 10 จึงจะใกล้เคียงกับความจริงและยุติธรรม


เพราะเหตุนี้ เราจะต้องพยายามมองแง่ดีของคนอื่นมากๆและตำหนิติเตียนตัวเองมากๆ แต่ถึงอย่างไรๆ เราก็ยังเข้าข้างตัวเองนั่นแหละ.......

พยายามอย่าสนใจการกระทำ การปฏิบัติของคนอื่น ดูตัวเอง สนใจแก้ไขตัวเองนั่นแหละมากๆ เช่น เข้าครัวเห็นเด็กทำอะไรไม่ถูกใจ แล้วก็เกิดอารมณ์ร้อนใจ.....ยังไม่ต้องบอกให้เขาแก้ไขอะไรหรอก รีบแก้ไข ระงับอารมณ์ร้อนใจของตัวเองเสียก่อน เห็นอะไร คิดอะไร รู้สึกอย่างไร ก็สักแต่ว่า.....

ใจเย็นๆไว้ก่อน......ความเห็น ความคิด ความรู้สึกก็ไม่แน่.......ไม่แน่ อาจจะถูกก็ได้ อาจจะผิดก็ได้ เราอาจเปลี่ยนความเห็นก็ได้ สักแต่ว่า......สักแต่ว่า.......ใจเย็นๆไว้ก่อน ยังไม่ต้องพูด.......

ดูใจเราก่อน สอนใจเราก่อน หัดปล่อยวางก่อน
เมื่อจิตสงบแล้ว เมื่อจิตปกติแล้ว จึงค่อยพูด จึงค่อยออกความเห็น พูดด้วยเหตุ ด้วยผล ประกอบด้วยจิตเมตตากรุณา.......ขณะมีอารมณ์อย่าเพิ่งพูด ทำให้เสียความรู้สึกของผู้อื่น ทำให้เสียความรู้สึกของตัวเอง ไม่เกิดประโยชน์เท่าที่ควร มักจะเสียประโยชน์ซ้ำไป........



:b45: :b45: :b45: :b45: :b45:


แก้ไขล่าสุดโดย เอรากอน เมื่อ 03 มี.ค. 2010, 18:47, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 มี.ค. 2010, 19:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 พ.ค. 2009, 09:34
โพสต์: 1478

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


aswakos เขียน:
เอรากอน เขียน:
Supareak Mulpong เขียน:
ท่าน aswakos ยกมาทั้งกระบิ .. เรื่องจิตก่อนตายนี่อย่าไปหวังนะครับ ต้องเป็นเรื่องประทับใจจริงๆ จิตจึงจะกระโดดไปคิดก่อนตายได้ เพราะคนเราสั่งตัวเองไม่ได้ สํญญา สังสาร (กองอวิชชา) มันสั่งเราอยู่ ถ้าเราสั่งตัวเองได้ เราก็เปลี่ยนบุคคลิคภาพของเราได้รายวัน


เอาละสิ่... ซวยล่ะสิ่... :b14: :b14:

ท่าน sup มาตอกย้ำความเป็นไปได้ให้กับความเพี้ยนของเอกอน...

ท่าน as เราต้องสนทนากันด่วนเลย...

เอกอนจำได้...



นี้ คืออุปมาของจิต ผู้ที่เป็นกามาวจร ที่กุศล และ อกุศล ก่อให้เปลี่ยนภพ
ทำดีมาก หรือทำชั่วมาก แนวโน้วจิตจะใหลเทไปทางไหนมากกว่า ยึดอารมณ์ไหนมากกว่า
ไม่อธิบายนะครับ


ส่วนอุปมาต่อไปนี้

4. ผู้ที่ว่ายน้ำจนชำนาญ เมื่อจับโยนลงน้ำ โอกาสจะจมน้ำตาย กับ ว่ายน้ำรอด สิ่งไหนมากกว่ากัน

5. ผู้ที่ดีดพิณจนชำนาญ สามารถเล่นได้ทันที เกือบทุกครั้งที่โอกาสพร้อม

6. ผู้ที่พิมพ์ดีดจนชำนาญ แม้ไม่มองแป้นพิมพ์ก็ พิมพ์ได้


[color=#BF0080]เป็นอุปมาของผู้ที่ได้ฌานแต่ไม่บรรลุเป็นพระอริยเจ้า

จิต ปกติมักถูกครอบงำด้วยอุปกิเลศ แต่จิตสามารถฝึกฝนได้

สามารถควบคุมได้ ในผู้ที่ชำนาญ

:b8: :b16: :b1: :b12:


เอกอน...รู้สึกคุ้นเคยกับเรื่องนี้มาก...
...
อยากรู้...รายละเอียดดดดดดดดดดดดดดด
...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 มี.ค. 2010, 00:48 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


:b14: :b14: :b14:
:b20: :b20: :b20:
:b37: :b38:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 มี.ค. 2010, 19:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 พ.ค. 2009, 09:34
โพสต์: 1478

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ตั้งแต่เมื่อวาน...นึกถึงเรื่องนี้...

วันนี้...บังเอิญเปิดมาเจอ...บทความที่ถ่ายทอดสิ่งที่ใกล้เคียงกับสิ่งที่เราคิด...

"ผู้ปฏิบัติที่แท้จริงนั้น ไม่จำเป็นต้องคำนึงถึงชาติหน้า ชาติหลัง
หรือนรกสวรรค์อะไรก็ได้
ขอให้ตั้งใจปฏิบัติให้ตรง ศีล สมาธิ ปัญญา อย่างแน่วแน่ก็พอ
ถ้าสวรรค์มีจริงถึง 6 ชั้น ตามตำรา
ผู้ปฏิบัติดีแล้ว ย่อมได้เลื่อนฐานะของตนเองตามลำดับ
หรือถ้าสวรรค์นิพพานไม่มีเลย
ผู้ปฏิบัติดีในขณะนี้ย่อมไม่ไร้ประโยชน์ ย่อมอยู่เป็นสุข เป็นมนุษย์ชั้นเลิศ"

จริง ๆ เราตั้งคำถามที่...หนักกว่านั้น...คือ...
และเราก็เคยตั้งคำถามที่...เชื่อว่าน้อยนัก...ที่จะมีคนคิดเช่นนั้น...

ถ้าไม่มีอะไรเลย คือ...ไม่มีนรก ไม่มีสวรรค์ ไม่มีนิพพาน
เราจะ...ยังไง... :b1: :b1:
คือเราจะยังคงอบรมตนอยู่ในวิถีเช่นนี้อยู่ต่อไปหรือไม่... :b1:


:b48: :b48: :b48:

หือ...???

:b53: :b53: :b53:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 มี.ค. 2010, 21:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พวกเรามองผลข้างปลาย ไม่มองที่เหตุ คือ ดูว่าตายแล้วจะไปเกิดเป็นอะไร ไม่มองปัจจุบัน ณ เดี๋ยวนี้ ขณะ

ชีวิตนี้ เลยจึงอยู่กับความหวัง โดยไม่สร้างเหตุในปัจจุบัน เอาพุทธพจน์มาให้ดูกัน อาจมองเห็นเรื่องดังกล่าว

บ้าง




การดับทุกข์ และอยู่อย่างไม่มีทุกข์ของพระอรหันต์ เป็นเรื่องที่เป็นไปอยู่ตั้งแต่ชีวิตปัจจุบันนี้แล้ว ไม่ต้องรอ

ให้สิ้นชีวิตเสียก่อน จึงจะไม่มีชาติใหม่ ไม่มีชรามรณะ แล้วจึงไม่มีโสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส

อุปายาส ในอนาคตชาติ (ในชาติหน้า)

โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส ไม่มีตั้งแต่ชาติปัจจุบันนี้แล้ว

(วัฏฏะ) วงจรของปฏิจจสมุปบาทในการเกิดทุกข์ หรือ ดับทุกข์ก็ดี

จึงเป็นเรื่องของชีวิตที่เป็นไปอยู่ในปัจจุบันนี้เอง ครบถ้วนบริบูรณ์ ไม่ต้องไปค้นหาในชาติก่อน หรือ รอไปดู

ชาติหน้า

นอกจากนั้น เมื่อเข้าใจวงจรที่เป็นไปในชีวิตปัจจุบันดีแล้ว ก็ย่อมเข้าใจวงจรในอดีต และวงจรในอนาคต

ไปด้วย เพราะเป็นเรื่องอย่างเดียวกันนั่นเอง


อ้างพุทธพจน์นี้เป็นตัวอย่าง


“ดูกรอุทายี ผู้ใดระลึกขันธ์ที่เคยอยู่มาก่อนได้ต่างๆ มากมาย ...ผู้นั้น จึงควรถามปัญหากะเราในเรื่องชาติ

ก่อน (หนก่อน) หรือ เราจึงควรถามปัญหาในเรื่องชาติก่อนกะผู้นั้น

ผู้นั้น จึงจะทำให้เราถูกใจได้ด้วยการแก้ปัญหาในเรื่องชาติก่อน หรือ เราจึงจะทำให้ผู้นั้นถูกใจได้ด้วยการ

แก้ปัญหาในเรื่องชาติก่อน

ผู้ใด เห็นสัตว์ทั้งหลายทั้งที่จุติอยู่ ทั้งที่อุบัติอยู่ ด้วยทิพยจักษุ...ผู้นั้น จึงควรถามปัญหากะเราในเรื่อง

ชาติหน้า (หนหน้า) หรือว่า เราจึงควรถามปัญหาในเรื่องชาติหน้ากะผู้นั้น

ผู้นั้น จึงจะทำให้เราถูกใจได้ด้วยการแก้ปัญหาในเรื่องชาติหน้า

หรือ เราจึงจะทำให้ผู้นั้นถูกใจได้ด้วยการแก้ปัญหาในเรื่องชาติหน้า”


“ก็แล อุทายี เรื่องชาติก่อน ก็งดไว้เถิด เรื่องชาติหน้า ก็งดไว้เถิด เราจักแสดงตัวธรรมแก่ท่าน

เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี เพราะสิ่งนี้เกิดขึ้น สิ่งนี้จึงเกิด

เมื่อสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้จึงไม่มี เพราะสิ่งนี้ดับ สิ่งนี้จึงดับ”

(ม.ม.13/371/355)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 05 มี.ค. 2010, 22:06, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 มี.ค. 2010, 21:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


“นายบ้าน ชื่อคันธภัก นั่งลง ณ ที่สมควรแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า

“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคเจ้า ได้โปรดแสดงความอุทัยและความอัสดงแห่งทุกข์

แก่ข้าพระองค์ด้วยเถิด”


“พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า แนะท่านนายบ้าน ถ้าเราแสดงความเกิดขึ้น และ ความอัสดงแห่งทุกข์

แก่ท่าน โดยอ้างกาลส่วนอดีตว่า “ในอดีตกาล ได้มีแล้วอย่างนี้” ความสงสัยเคลือบแคลงในข้อนั้น

ก็จะมีแก่ท่านได้

ถ้าเราแสดงความเกิดขึ้น และ ความอัสดงแห่งทุกข์แก่ท่าน โดยอ้างกาลส่วนอนาคตว่า ‘ ในอนาคตกาล

จักเป็นอย่างนี้’ ความสงสัย ความเคลือบแคลง ก็จะมีแก่ท่านแม้ในข้อนั้นได้อีก

ก็แล ท่านนายบ้าน เรานั่งอยู่ที่นี่แหละ จักแสดงความเกิดขึ้น และ ความอัสดงแห่งทุกข์แก่ท่าน

ผู้นั่งอยู่ ณ ที่นี้เหมือนกัน”


(สํ.สฬ.18/627/403)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 มี.ค. 2010, 10:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ม.ค. 2007, 11:39
โพสต์: 85

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เอรากอน เขียน:
aswakos เขียน:
เอรากอน เขียน:
Supareak Mulpong เขียน:
ท่าน aswakos ยกมาทั้งกระบิ .. เรื่องจิตก่อนตายนี่อย่าไปหวังนะครับ ต้องเป็นเรื่องประทับใจจริงๆ จิตจึงจะกระโดดไปคิดก่อนตายได้ เพราะคนเราสั่งตัวเองไม่ได้ สํญญา สังสาร (กองอวิชชา) มันสั่งเราอยู่ ถ้าเราสั่งตัวเองได้ เราก็เปลี่ยนบุคคลิคภาพของเราได้รายวัน


เอาละสิ่... ซวยล่ะสิ่... :b14: :b14:

ท่าน sup มาตอกย้ำความเป็นไปได้ให้กับความเพี้ยนของเอกอน...

ท่าน as เราต้องสนทนากันด่วนเลย...

เอกอนจำได้...



นี้ คืออุปมาของจิต ผู้ที่เป็นกามาวจร ที่กุศล และ อกุศล ก่อให้เปลี่ยนภพ
ทำดีมาก หรือทำชั่วมาก แนวโน้วจิตจะใหลเทไปทางไหนมากกว่า ยึดอารมณ์ไหนมากกว่า
ไม่อธิบายนะครับ


ส่วนอุปมาต่อไปนี้

4. ผู้ที่ว่ายน้ำจนชำนาญ เมื่อจับโยนลงน้ำ โอกาสจะจมน้ำตาย กับ ว่ายน้ำรอด สิ่งไหนมากกว่ากัน

5. ผู้ที่ดีดพิณจนชำนาญ สามารถเล่นได้ทันที เกือบทุกครั้งที่โอกาสพร้อม

6. ผู้ที่พิมพ์ดีดจนชำนาญ แม้ไม่มองแป้นพิมพ์ก็ พิมพ์ได้


เป็นอุปมาของผู้ที่ได้ฌานแต่ไม่บรรลุเป็นพระอริยเจ้า

จิต ปกติมักถูกครอบงำด้วยอุปกิเลศ แต่จิตสามารถฝึกฝนได้

สามารถควบคุมได้ ในผู้ที่ชำนาญ

:b8: :b16: :b1: :b12:


เอกอน...รู้สึกคุ้นเคยกับเรื่องนี้มาก...
...
อยากรู้...รายละเอียดดดดดดดดดดดดดดด
...




:b5: :b5: :b12: :b8:


[color=#0000BF]อยากทราบละเอียด จะให้เอาขนาดไหน อย่า งง นะ

จะพยายามใช้ภาษาให้เข้าใจง่าย ว่าตามแนวนักอภิธรรมแบบเถรวาทนะครับ


เวลาจะเปลี่ยนภพ เขามีศัพท์เรียกว่า มรณาสันนกาล

ทำความเข้าใจก่อน

จิตคนจะเกิดดับติดต่อกันไป ไวมาก ๆ
ไวขนาดนั้น แต่ละขณะที่เกิดดับ ก็จะมีอุปปาทะขณะ (ขณะเกิด)
ฐีติขณะ (ขณะตั้งอยู่) ภังคขณะ (ขณะดับไป)


แยกให้ละเอียดไปอีก อุปปาทะขณะ ก็จะแยกได้ ฐีติขณะ ภังคขณะ ก็มีเหมือนกัน
เขาเรียกวิถีจิต จิตก็คือวิถีจิต จะเกิดดับตลอดต่อเนื่องกันไป ไม่มีหยุด


ใน ๑ วิถีมีมากมายขณะ แต่สูงสุดประมาณ ๑๗ ขณะ เช่น วิถีจิตทั่วไป (ไม่ขออธิบายนะ )
ตี น ท ป วิ สํ สัน วุ ช ช ช ช ช ช ช ช ต ต


สำคัญ ตรง ช คือ ชวนะขณะ การเสวย เสพ อารมณ์ เกิดดับไวมาก จนเห็นเป็นอารมณ์เดียว
(เหมือนหน้าจอคอม อัตราRefresh rate แค่ ๖๐ – ๗๐ ครั้ง ต่อ วินาที
ก็มองเห็นเหมือน เป็นภาพนิ่ง ที่จริง เกิดดับตลอดเวลา ไวมาก)


ทีนี้ วิถีจิตสุดท้ายที่สัตว์จะถึงแก่มรณะนั้น เรียกว่า มรณาสันนวิถี

เมื่อสุดมรณาสันนวิถี จุติขณะ(ตาย) ก็เกิดขึ้น ปฏิสนธิจิตก็เกิดขึ้นต่อกันไป ในวิถีเดียวกันนั่นเอง

ชวนะขณะ ในมรณาสันนวิถี มีสิ่งใดเป็นอารมณ์
จิตที่เป็นจุติขณะ และปฏิสนธิขณะ และภวังคขณะถัดมา
ก็ถือเอาสิ่งนั้นเป็นอารมณ์


จุติขณะ ปฏิสนธิขณะ ภวังคขณะ ในภพ เดียวกัน ในชาติเดียวกันในบุคคลเดียวกัน
เป็นจิตดวงเดียวกันและมีอารมณ์ อย่างเดียวกันด้วย


ต่อจากจุติจิต คือเมื่อจุติขณะดับลงไปแล้ว ปฏิสนธิขณะก็เกิดติดต่อกันในทันที ทันใด
โดยไม่มีจิตอื่นใดมาเกิดคั่นในระหว่างนั้นเลย ปฏิสนธิขณะ เป็นจิตดวงแรกที่นับว่า
เกิดสืบต่อก่อภพใหม่ ชาติใหม่ต่อไปอีก (เว้นจุติขณะของพระอรหันต์ จึงไม่มีปฏิสนธิขณะ
มาสืบต่อ เพราะพระอรหันต์ไม่ต้องเกิดต่อไปอีกแล้ว)


มรณาสันนวิถี มีได้ทั้งทางปัญจทวารและมโนทวาร มี ๘ ประเภท
ดูตัวอย่าง วิถีเดียวพอ เกิดทางมโนทวาร

น ท มโน ช ช ช ช ช จุติ ปฏิ ภ

ช คือ ชวนะ

จุติ คือ เคลื่อน ย้าย ตาย

ปฎิสนธิ คือ ต่อ เนื่อง เกิดใหม่


......................

ต่อบอร์ดต่อไป


แก้ไขล่าสุดโดย aswakos เมื่อ 06 มี.ค. 2010, 10:34, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 122 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8, 9  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร