วันเวลาปัจจุบัน 23 มิ.ย. 2025, 02:01  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 108 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 4, 5, 6, 7, 8  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.พ. 2010, 09:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 ม.ค. 2010, 12:54
โพสต์: 96

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b16:

ขนนก



ทารกคนหนึ่งวิ่งถลาเข้ามาข้างใน แล้วตะโกนเสียงใส

“ดูสิ แม่จ๋า ว่าหนูพบอะไร”

ดวงตาของแกสุกสกาวด้วยรอยแย้มยิ้มสดใส กำไลแก้วสีแดงเล็ก ๆ
สั่นกระทบกันดังกรุ๋งกริ้ง เมื่อมือน้อย ๆ ตบเข้าหากันอย่างร่าเริง
แกโอบลำแขนไปรอบคอของแม่ แล้วร้องว่า

“ดูสิ แม่จ๋า ดูสิ ดูว่าหนูพบอะไร”

มันคือ ขนนกอ่อนนุ่ม แตะแต้มด้วยสีฟ้าใสและทองเรื่อเรือง สำหรับหูของเด็กเล็ก ๆ
มันกระซิบเรื่องราวของฟากฟ้าและกลุ่มเมฆ มันเล่าถึงรวงรังอันอบอุ่น
และลูกน้อยส่งเสียงร้องจี๊ด จี๊ด มันเล่าถึงความเปรมปรีต่ออรุณรุ่งและความหวังที่โบยบิน
เด็กน้อยนั้นโบกขนนกนั้น ไล้ไปตามพวงแก้มและดวงตา
แล้วร้องเสียงใสด้วยดวงใจอันกระตือรือร้นใคร่รู้ว่า

“ดูสิ แม่จ๋า ดูสิ ดูว่าหนูพบอะไร”

แม่จ้องดูมัน หัวเราะออกมาว่า

“คนดี สมบัติอะไรอย่างนี้ที่ลูกได้พบ”
หล่อนกล่าว แล้วขว้างขนนกนั้นทิ้งไป พลางเร่งรีบกลับ ไปยังงานบ้านที่รออยู่



ทารกน้อยทิ้งตัวลงบนพื้น ประหนึ่งนกปีกหัก รอยยิ้มในดวงตาจางหายไปสิ้น
ครู่ต่อมา แกลุกขึ้นพลางหยิบขนนกนั้นติดมือมาด้วย

แต่นั้นเป็นต้นมา ทุกสิ่งที่แกพบจะถูกเก็บงำซ่อนเร้นให้พ้นจากสายตาแม่

ระพินนาถฐากูร


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.พ. 2010, 09:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 ม.ค. 2010, 12:54
โพสต์: 96

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ความว่างเปล่า


พระเจ้าอเลกซานเดอร์มหาราช เมื่อใกล้จะสิ้นพระชนม์บนแท่นบรรทม

พระองค์ทรงรับสั่งว่า เมื่อจะนำพระองค์ไปฝัง ขอให้ปล่อยพระหัตถ์ทั้งสองของพระองค์เปล่าเปลือย
ไม่ห่อหุ้มด้วยอาภรณ์สิ่งใด แต่ให้ยื่นออกมานอกโลงศพ เพื่อคนทั้งหลายจะได้เห็นว่า พระหัตถ์ทั้งสองของพระองค์นั้น กำได้ก็แต่เพียงความว่างเปล่า..


บันทึกหลังเรื่องเล่า

พระเจ้าอเลกซานเดอร์มหาราช ทรงครอบครองพื้นที่เกือบครึ่งค่อนโลก
แต่สุดท้ายก็ได้แต่ความว่างเปล่า มนุษย์เรายังคร่ำครวญค้นหาไขว่คว้าสิ่งใดกัน

ตอนมนุษย์เกิดมา มีแต่ความว่างเปล่า ส่งเสียงร้อง พร้อมทั้งกำมือ เหมือนดังจะบอกว่า
ฉันจะกำทรัพย์สมบัติต่าง ๆ ไว้เพื่อเป็นของฉัน แต่ตอนที่จะต้องตาย ไม่มีสิ่งใดติดกายไป
มือก็จะต้องแบ เพื่อให้ผู้ที่อยู่เบื้องหลังรดน้ำ และเพื่อบ่งบอกว่า แม้สายน้ำก็ไม่ได้ติดกาย
เพียงไหลผ่านมือแล้วล่วงลาลับไป ...


....ไม่มีอะไร ไม่มีอะไรเลยจริง ๆ

:b51: :b51: :b51:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.พ. 2010, 10:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 ม.ค. 2010, 12:54
โพสต์: 96

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b16:
ชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้าย

มีเรื่องจริงของชายหนุ่มหญิงสาวคู่หนึ่ง แต่งงานอยู่ด้วยกันมาสักพักหนึ่ง
แล้วก็มีปัญหาทะเลาะกัน ผู้หญิงหนีออกจากบ้าน ระหว่างทางผู้หญิงคนนี้ได้รับอุบัติเหตุ
มีอันให้ต้องตาบอด ผู้ชายรู้สึกผิด จึงทำดีเอาใจทุกอย่าง แต่ผู้หญิงคิดว่า
วันหนึ่งเขาคงขอเลิก เพราะเราตาบอด คงไม่มีสามีที่ไหนจะพาผู้หญิงตาบอดออกงาน
ต่อให้สวยอย่างไรก็ตามเถิด ผู้หญิงคนนี้เธอคิดอย่างนี้ตลอดมา
บอกตัวเองเสมอว่าวันหนึ่งเขาจะต้องบอกเลิก

อยู่มาวันหนึ่ง ขณะนั่งทานข้าวด้วยกัน ผู้ชายก็บอกว่า

“พรุ่งนี้พี่จะพาเธอไปขึ้นรถประจำทาง เอาไหม”

ทีนี้ร้องไห้โฮเลย เข้าไปร้องไห้ในห้องคิดว่า

“นี่ยังไงล่ะ เขาเคยขับรถไปส่งเราทุกวัน ทีนี้จะชวนเราไปขึ้นรถประจำทาง
ต่อไปถ้าเราขึ้นรถประจำทางได้ เขาก็คงจะขอเลิก โอ๊ย... เป็นไปตามที่คิดไว้เลย”


ร้องไห้หนักเข้าไปอีก

วันเสาร์-อาทิตย์ สามีพานั่งรถ ไป-กลับๆ ไม่รู้กี่เที่ยว วันจันทร์ต่อมา
เขาพาเธอไปขึ้นรถประจำทาง ไปทำงาน พอลับหลังสามี เธอนั่งร้องไห้ เงียบ ๆ ทุกวัน ไ
ม่มีเสียง เพราะยอมรับชะตากรรมผู้หญิงตาบอด เลิกก็ต้องยอมรับ เธอยอมรับชะตากรรม
โดยไม่ปริปากบ่น ไม่โกรธสามี จนกระทั่งวันหนึ่งหลังเลิกงาน เมื่อเธอขึ้นมานั่งบนรถ
ซึ่งตอนนั้นยังไม่มีใคร นอกจากคนขับรถ

คนขับรถเห็นเธอแล้วก็ทักทาย

“ผมอิจฉาคุณผู้หญิงจังเลยนะ ที่มีคนมาส่งคุณทุกวัน”

ผู้หญิงคนนั้นก็ถามว่า
“คุณมาอิจฉาผู้หญิงตาบอดอย่างฉันทำไม แค่ฉันนั่งรถไปกลับ เองคนเดียว
ฉันก็เจ็บปวดมากพอแล้ว”


ชายคนนั้นก็บอกว่า
.
“ ที่ผมอิจฉาเพราะอะไรรู้ไหม เพราะทุก ๆ วัน ผมสังเกตดูว่าข้างหลังคุณผู้หญิง
มีผู้ชายคนหนึ่งนั่งเฝ้ามาโดยตลอด ผมเพิ่งรู้เมื่อวานนี้ว่าเขาเป็นสามีคุณผู้หญิง”


ที่นี้น้ำตาเธอร่วงพรู กลับถึงบ้านพอเจอสามี เธอรีบถามว่า
“จริงหรือเปล่าที่พี่ไปส่งหนูทุกวัน”

สามีบอกว่า
“จริง”
สามีบอกว่า

“ชีวิตคนเรา แขวนอยู่บนเส้นด้ายของความไม่แน่นอน พี่กับเธอจะจากกันวันไหนก็ไม่รู้
เพราะฉะนั้น พี่จึงพยายามฝึกให้เธออยู่ให้ได้ด้วยตัวเอง ถึงแม้พี่จะพาเธอไปขึ้นรถประจำทาง
แต่ทุกวันพี่ก็นั่งเฝ้าตลอดส่งเสร็จพี่จึงไปที่สำนักงานของพี่”


ผู้หญิงคนนี้ พอรู้สามีเธอรักและภักดีถึงขนาดนี้ เขาทำดีเงียบ ๆ เพื่อให้เธออยู่ได้ในวันที่ไม่มีเขา...

จาก งานสัมฤทธิ์ ชีวิตรื่นรมย์ ..ว.วชิรเมธี

:b41: :b41: :b41:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.พ. 2010, 15:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 ม.ค. 2010, 12:54
โพสต์: 96

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b1: :b1: :b1:

เหยือกเต็มหรือยัง ?

ชายหนุ่มคนหนึ่งได้รับเชิญจากมหาวิทยาลัยเอกชน
เพื่อให้เป็นวิทยากรพิเศษสอนวิชาปรัชญาให้กับนักศึกษาปริญญาโท


เขาเตรียมการสอนอยู่หลายวันจึงตัดสินใจจะสอนนักศึกษาเหล่านั้น
ด้วยแบบฝึกหัดง่ายๆ แต่แฝงไว้ด้วยข้อคิด



เขาเดินเข้าห้องเรียนมาพร้อมด้วยของสองสามอย่างบรรจุอยู่ในกระเป๋าคู่ใจ

เมื่อได้เวลาเรียน เขาหยิบ เหยือกแก้ว ขนาดใหญ่ขึ้นมา แล้วใส่ ลูกเทนนิส ลงไปจนเต็ม


' พวกคุณคิดว่าเหยือกเต็มหรือยัง ?'

เขาหันไปถามนักศึกษาปริญญาโท


แต่ละคนมีสีหน้าตาครุ่นคิดว่าอาจารย์หนุ่มคนนี้จะมาไม้ไหนก่อนจะตอบพร้อมกัน

' เต็มแล้ว... '


เขายิ้มไม่พูดอะไรต่อหันไปเปิดกระเป๋าเอกสารคู่ใจ


หยิบกระป๋องใส่กรวดออกมา แล้วเท กรวดเม็ดเล็กๆ จำนวนมากลงไปในเหยือก
พร้อมกับเขย่าเหยือกเบาๆ

กรวดเลื่อนไหลลงไปอยู่ระหว่างลูกเทนนิสอัดจนแน่นเหยือก เขาหันไปถามนักศึกษาอีก

“ เหยือกเต็มหรือยัง ?'

นักศึกษามองดูอยู่พักหนึ่งก่อนจะหันมาตอบ

' เต็มแล้ว... '

เขายังยิ้มเช่นเดิม หันไปเปิดกระเป๋าหยิบเอาถุงทรายใบย่อมขึ้นมา
และเททรายจำนวนไม่น้อยใส่ลงไปในเหยือก เม็ดทราย ไหลลงไป

ตามช่องว่างระหว่างกรวดกับลูกเทนนิสได้อย่างง่ายดาย
เขาเทจนทรายหมดถุง เขย่าเหยือกจนเม็ดทรายอัดแน่นจนแทบล้นเหยือก

เขาหันไปถามนักศึกษาอีกครั้ง “ เหยือกเต็มหรือยัง ?'

เพื่อป้องกันการหน้าแตกนักศึกษาปริญญาโทเหล่านั้นหันมามองหน้ากัน ปรึกษากันอยู่นาน
หลายคนเดินก้าวเข้ามาก้มๆ เงยๆ มองเหยือกตรงหน้าอาจารย์หนุ่มอยู่หลายครั้ง
มีการปรึกษาหารือกันเสียงดังไปทั้งห้องเรียน จวบจน
เวลาผ่านไปเกือบห้านาที หัวหน้ากลุ่มนักศึกษาจึงเป็นตัวแทน เดินเข้ามาตอบอย่างหนักแน่น

“ คราวนี้เต็มแน่นอนครับอาจารย์ '

“ แน่ใจนะ '

“ แน่ซะยิ่งกว่าแน่อีกครับ '

คราวนี้เขาหยิบ น้ำอัดลม สองกระป๋องออกมาจากใต้โต๊ะแล้วเทใส่เหยือกโดยไม่รีรอ ไ
ม่นานน้ำอัดลมก็ซึมผ่านทรายลงไปจนหมด ทั้งชั้นเรียนหัวเราะฮือฮากันยกใหญ่
เขาหัวเราะอย่างอารมณ์ดี

“ ไหนพวกคุณบอกว่าเหยือกเต็มแน่ๆ ไง '
เขาพูดพลางยกเหยือกขึ้น

“ ผมอยากให้พวกคุณจำบทเรียนวันนี้ไว้ เหยือกใบนี้ก็เหมือนชีวิตคนเรา
ลูกเทนนิสเปรียบเหมือนเป็นเรื่องสำคัญที่สุดในชีวิต เช่น ครอบครัว คู่ชีวิต การเรียน สุขภาพ
ลูก พ่อแม่และเพื่อน


สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่
คุณต้องสนใจจริงจัง สูญเสียไปไม่ได้
เม็ดกรวดเหมือนสิ่งสำคัญรองลงมา เช่น งาน บ้าน รถยนต์
ทรายก็คือเรื่องอื่นๆ ที่เหลือเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่เราจำเป็นต้องทำ
แต่เรามักจะหมกมุ่นอยู่กับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้


เหยือกนี้เปรียบกับชีวิตของคุณ ถ้าคุณใส่ทรายลงไปก่อน
คุณจะมัวหมกมุ่นอยู่กับเรื่องเล็กๆน้อยๆ อยู่ตลอดเวลา



ชีวิตเต็มแล้ว... เต็มจนไม่มีที่เหลือให้ใส่กรวด ไม่มีที่เหลือใส่ให้ลูกเทนนิสแน่นอน '

ชีวิตของคนเราทุกคน ถ้าเราใช้เวลาและปล่อยให้เวลาหมดไปกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ
เราจะไม่มีที่ว่างในชีวิตไว้สำหรับเรื่องสำคัญกว่า


เพราะฉะนั้นในแต่ละวันของชีวิต เราต้องให้ความสนใจกับเรื่องที่ทำให้ตัวเรา
และครอบครัวมีความสุข ใช้ชีวิตเล่นกับลูกๆ หาเวลาไปตรวจร่างกาย
พาคู่ชีวิตกับลูกไปพักผ่อนในวันหยุด พากันออกกำลังกาย เล่นกีฬาร่วมกันสักชั่วโมงสอง
ชั่วโมง เพื่อสุขภาพและความสัมพันธ์ที่ดีในชีวิต


พาพ่อแม่ไปเที่ยวพักผ่อนหรือทานข้าว
โทรศัพท์หาเพื่อนบ้างให้รู้ว่าเรายังคิดถึงและ
เป็นห่วง เราต้องดูแลเรื่องที่สำคัญที่สุดจริงๆ ดูแลลูกเทนนิสของเราก่อนเรื่องอื่นทั้งหมด
หลังจากนั้นถ้ามีเวลาเหลือเราจึงเอามาสนใจ
กับสิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบๆ ตัวเรา



นักศึกษาคนหนึ่งยกมือขึ้นถาม

“ แล้วน้ำที่อาจารย์เทใส่ลงไปล่ะครับ หมายถึงอะไร ?'


เขายิ้มพร้อมกับบอกว่า
“ การที่ใส่น้ำลงไปเพราะอยากให้เห็นว่า ไม่ว่าชีวิตของเราจะวุ่นวายสับสนเพียงใด
ในความสับสนและวุ่นวาย เหล่านั้นคุณยังมีที่ว่างสำหรับการแบ่งปันน้ำใจให้กันเสมอ... '


:b51: :b51: :b51:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 มี.ค. 2010, 23:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มี.ค. 2010, 23:16
โพสต์: 47

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b12:

ประชาชนทั่วไป อ่านแล้วดี

เอานิทานมาแจม ขอนุญาตเจ้าของกระทู้ รวม ๆ กันไว้


..............

อายหมามัน

ที่วัดแห่งหนึ่งในกรุงฯ เรานี่เองมีพระหมอดูที่มีชื่อเสียงเลื่องลือว่าดูหมอแม่นมาก

พระหมอดูรูปนี้นี้เป็นผู้ที่มากไปด้วยเมตตา ท่านใช้วิชาโหราศาสตร์ในการปลดเปลื้องความทุกข์
ของชาวบ้านด้วยการปลอบประโลมหรือเตือนสติให้ผู้มาดูหมอกับท่านอยู่ในลู่ทางของพุทธศาสนิกชนที่ดี
คือไม่ให้ทุกข์จนทอดอาลัย หรือไม่ให้ลิงโลดคอยแต่โชคลาภที่จะมาถึงจนประมาทไม่ทำมาหากินเลย

นอกจากนี้ท่านก็ไม่ห่วงวิชา เวลาท่านดูหมอให้ชาวบ้านก็มักจะมีพวกลูกศิษย์ลูกหาหาทั้งพระทั้งฆราวาสมานั่งเรียนวิชาจากท่าน หลายครั้งท่านจะให้พวกลูกศิษย์ประเภทพอมีความรู้ทางโหราศาสตร์ใช้การได้แล้วทดลองผูกดวงของญาติโยมที่มาดูหมอ โดยท่านจะตรวจความถูกต้องอีกทีหนึ่ง

เวลาท่านทำนายทายทักก็อธิบายถึงอิทธิพลของดวงดาวและเรือนของภพของภูมิต่าง ๆ ตลอดจนหลักการพยากรณ์และเกร็ดความรู้ต่าง ๆ ไปด้วย

แล้วมาวันหนึ่งมีชายวัยกลางคนแต่งตัวซอมซ่อพาลูกชาย ๒ คนมาหาพระดูหมอดูที่ว่านี้ ชายวัยกลางคนนี้เล่าว่า เขายากจนเหลือเกินไม่มีปัญญาหาเลี้ยงลูกทั้งสองได้ ก็เลยจะยกลูกคนหนึ่งให้กับญาติที่บ้านเดิมที่กาญจนบุรีเป็นบุตรบุญธรรมเขาเสียคนหนึ่ง เพราะหากอยู่ด้วยกัน ๓ คนพ่อลูกก็อาจจะอดตายได้ ที่มาหาพระก็เพื่อให้ช่วยดูดวงว่าควรจะยกลูกคนโตหรือลูกคนเล็กให้ญาติเลี้ยงดี เรียกว่ามาอาศัยบารมีของโหราศาสตร์ให้ช่วยเลือกทีเถิด

พระหมอดูท่านนั้นหลังจากผูกดวงเรียบร้อยแล้ว ท่านพูดว่า

" ที่สำคัญต้องดูนิสัยใจคอเด็กจากตนุเศษเสียก่อน เจ้าคนพี่ ตนุเศษคือ ศุกร์ในเรือนจันทร์ มันอ่อนหวาน มีอารมณ์แช่มชื่น หัวอ่อน ว่าง่าย และศุกร์ตนุเศษเป็นศรี มักรักดีใฝ่ดี แม้ร่วมอังคารก็ไม่แรง เพราะเป็นนิจไปเสียแล้ว ศุกร์เป็นทั้งตนุลัคน์และตนุเศษ เป็นคนเปิดเผย สุจริต เมื่อตนุเศษมาอยู่ในภพกัมมะ มันรักเอาใจใส่การงานดี

"ส่วนเจ้าน้องชายนั้นตนุเศษคืออังคารในเรือนอาทิตย์ ใจมันกล้าหาญร้อนแรง อยู่ข้างจะไม่เรียบร้อย ยิ่งติดเรือนอาทิตย์ ถ้าจะดื้อแล้วมันก็จะรั้นเอาการทีเดียว ยิ่งร่วมมฤตยูมันดึงดันแบบเอาหัวชนฝา ยิ่งกว่านั้นราหู ตัวอารมณ์อยู่เรือนอังคาร ทำให้อังคารตัวนี้วู่วามขาดความยับยั้ง แต่ถ้ายามดี มันขยันหมั่นเพียรอาสาการงานดีเพราะตนุเป็นอุตสาหะ คนที่ตนุลัคน์เป็นอุจจ์นั้น ไม่ค่อยยอมลงใครง่าย ๆ หรอก ดังนั้น ถ้าจะให้ใครไปอยู่กับคนอื่นก็คงต้องตัวพี่ชายนั้นแหละ เนื่องจากการไปอยู่อาศัยอยู่กับคนอื่นนั้นเด็กมันต้องอัธยาศัยดี อ่อนน้อม ขยันขันแข็ง ใช่คล่อง เขาถึงจะเมตตา"

เวลาท่านดูหมอแล้วละก็ ท่านจะฟันธงโป๊ะเชะไปเลย ไม่มีอ้อมค้อม อ้ำ ๆ อึ้ง ๆ ทำนายกำกวมแบบกั๊กเหมือนหมอดูหรือพวกใบ้หวยพวกนั้นที่เขานิยมทำ ๆ กัน เมื่อได้ฟังดังนั้น เจ้าคนพี่ก็ปล่อยโฮสะอื้นฮัก ๆ ทำเอาคนทั้งหลายบนกุฏิระส่ำระส่ายด้วยความเวทนา เจ้าเด็กน้อยตัวนี้ก็หันไปสั่งเสียกับพ่อว่า

" พ่อขายผมได้เงินมาแล้ว พ่อต้องให้น้องเข้าโรงเรียน แล้วทำบุญให้แม่ด้วย "

เท่านั้นแหละ พระหมอดูท่านหันไปตวาดถามอีตาพ่อทันทีว่า

" นี่แกจะขายลูกหรือ ? "

อีตาพ่อโกหกมาแต่แรกแล้ว จึงต้องสารภาพว่า

" คนจีนในตลาดเขาไม่มีลูก เขาขอเด็กไปเลี้ยง จะให้ค่าเลี้ยงดูเก้าร้อยบาท ตั้งใจจะเอาเงินก้อนนี้ไปทำทุนหาเลี้ยงเจ้าคนที่เหลือต่อไป "

พูดแล้วก็กระสับกระส่าย ถือโอกาสลากลับเลยทีเดียว พระหมอดูท่านพยายามระงับจิตใจเอาไว้แล้ว
ก็พูดเบา ๆ ว่า

" ก่อนที่จะกลับนี่ อยากจะเล่าอะไรให้ฟังไว้สักเรื่องหนึ่ง เป็นเรื่องพ่อและลูกที่เกิดขึ้นจริง ๆ เมื่อสมัยอาตมายังเป็นเด็ก ไม่ได้สรรค์แต่งมาพูดเทศนา ฟังแล้วจะไม่ยึดถือ เอาทิ้งไว้ชานกุฏินี้ก็ได้ "

เมื่อเห็นพ่อเด็กนิ่งเหมือนยอมรับฟังโดยดุษณี ท่านก็เริ่มเรื่องขึ้น

" เมื่ออาตมายังเด็ก อายุคราว ๆ เจ้าสองคนนี่แหละ โยมป้าแช่มแกเป็นสาวโสด
แกขออาตมาซึ่งเป็นหลานมาเลี้ยงแกจับอาตมาบวชเณรที่วัดตีนเลน เดี๋ยวนี้เขาเรียกวัดบพิตรภิมุข
ส่วนตัวแกเองอยู่บ้านถัดวัดเข้าไป เป็นสะพานยาวตามที่ชานเลนลงริมแม่น้ำ
อาชีพแกทำขนมฝรั่งขายส่งเจ้าจำนำอยู่ที่สะพานหัน ซึ่งส่งกันเป็นประจำทุกวัน
การส่งขนมเจ้านำของแกแปลกประหลาดไม่เหมือนใคร คือใช้สุนัขเป็นผู้ส่งและรับเงินค่าขนมกลับมาเสร็จ
เจ้าสุนัขตัวนี้รูปร่างพิกล เป็นสุนัขตัวผู้สีขาวปลอด แต่ตอนบนศีรษะเหมือนใครเอาถุงสีดำมาคลุมไว้
แกเลยตั้งชื่อตามลักษณะของมันว่า " อ้ายโม่ง"
วิธีส่งขนมฝรั่งของแก คือ พอทำเสร็จก็ใส่บรรจุลงในตะกร้าหวาย สำหรับถือไปจ่ายกับข้าว
เอาผ้าปิดกันฝุ่นไว้ เขียนจดหมายบอกราคาเงินใส่ไปเสร็จส่งให้อ้ายโม่งคาบไปส่งเจ้าจำนำที่เชิงสะพานหัน
เมื่อเจ้าจำนำรับขนมฝรั่งครบก็เอาสตางค์ใส่ตะกร้าส่งให้อ้ายโม่งคาบกลับมา

ปฏิบัติเช่นนี้มาทุกวัน ที่มันฉลาดรอบรู้ทำได้ดี ก็เพราะตอนมันเล็ก ๆ มันติดสอยห้อยตามโยมป้าไปส่งขนมฝรั่งเจ้าจำนำคนนี้เป็นประจำทุกวัน ร่วมปีจนมันโตเป็นหนุ่มจำได้แม่น
ระยะทางจากบ้านปลายสะพานยาวมาร้านจำนำที่สะพานหันนั้นมันไกลพอดู คือจากบ้านต้องผ่านวัดและเลี้ยวอ้อมโบสถ์ มาหลังโรงเรียนบพิตรภิมุข และเลียบตึกแถวริมคลองโอ่งอ่างมาจนถึงสะพานหัน
ชาวบ้านสองข้างทางทุกบ้านรู้จักอ้ายโม่งดี เวลามันคาบตะกร้าขนมฝรั่งมา พอเมื่อยพักหน้าบ้านใครเข้า
เขาก็แกล้งล้อมันว่าขอขนมฝรั่งกินหน่อย มันทำตาเขียวโกรธรีบคาบหนีไปหน้าบ้านอื่นทันที
ถ้าเป็นเด็ก ๆ ทำวอแวเข้ามาคว้าขนมฝรั่ง มันจะฮื่อฮ่าทำท่าจะกัดเอาจริง ๆ ส่วนตัวมันเองสัตย์ซื่อถือขันติไม่เคยแตะต้องขนมฝรั่งในตะกร้าเลย และเวลาขากลับได้สตางค์มามันจะวิ่งแน่วไม่ยอมหยุดที่ไหนกลับถึงบ้านทันที มันส่งมาแรมปี


อยู่มาวันหนึ่ง เกิดเหตุประหลาดขึ้น เจ้าจำนำรับขนมเขียนหนังสือมาต่อว่า ว่าขนมขาดไป ๒ อัน คุณโยมป้าแช่มไม่สงสัยอะไร คิดว่าตัวเองอาจเผอเรอนับผิดมากกว่าจึงพยายามนับถี่ถ้วนจนครบ แล้วส่งไปก็ถูกต่อว่ายังขาดเช่นเดิม โยมป้าคิดอะไรไม่ถูก หาเหตุผลอะไรไม่ได้ จะว่าหายระหว่างทางก็ไม่น่าเป็นไปได้ เพราะอ้ายโม่งมันรักษาหน้าที่เคร่งครัดมาตลอดเวลาร่วมปี ไม่เคยบกพร่อง เพื่อตัดปัญหา แกนับเกินไป ๒ อันเผื่อหาย ครั้งนี้ไม่มีการต่อว่า ว่าขาดอีก


จนสองสามวันต่อมา ความสงสัยของโยมป้าไม่มีสิ้นสุด ความอยากรู้สาเหตุ วันหนึ่งแกนับขนมมอบให้อ้ายโม่งไปแล้ว แกก็แอบสะกดรอยตามหลังอ้ายโม่งไปด้วย อ้ายโม่งออกจากบ้านตรงแหนวไม่เเวะที่ไหน ผ่านถนนในวัดตรงไปสู่โบสถ์ แต่ตอนจะเลี้ยวหลังโบสถ์ผ่านลานทรายไปทางริมคลอง โยมป้าเห็นอ้ายโม่งเลี้ยวข้างกำแพงโบสถ์เข้าไปหลังเจดีย์ซึ่งเป็นที่ลับตาคน สักพักอ้ายโม่งก็กลับออกมา และมุ่งหน้าไปตามเส้นทางส่งขนมตามเคย

โยมป้าแอบเข้าไปดู ปรากฏว่า หมาแม่ลูกอ่อนออกลูกโทน ( มีลูกตัวเดียว ) สีสันเหมือนอ้ายโม่งไม่มีผิด ไม่ต้องมีใครบอก..หรือจะต้องตรวจเลือดตรวจดีเอ็นอี ดีเอ็นเเซด ..( อันนี้พิมพ์เอง ) ก็รู้ว่าเป็นลูกอ้ายโม่งชัด ๆ และมีขนมฝรั่งที่แกทำวางไว้สองก้อน


นับแต่นั้นมา โยมป้าก็ต้องนับขนมฝรั่งให้เกินไว้ ๒ อัน เพื่อให้อ้ายโม่งได้ทำหน้าที่พ่อที่ต้องเลี้ยงดูลูกเมียหมา ๆ ของมัน จนกระทั้งลูกหมาได้อายุหย่านมแล้ว โยมป้าจึงติดตามไปเอาสายเลือดของอ้ายโม่งมาเลี้ยงเป็นสมาชิกของครอบครัวเพิ่มขึ้น เรื่องนี้ชาวบ้านแถบนั้นเขารู้เรื่องโจษขานกันอยู่หลายปี คนเก่าแก่แถวนั้นเดี๋ยวนี้ยังคงพูดถึงอยู่เสมอ

พอพระหมอดูเล่าเรื่องจบลงคนบนกุฏิ ๖-๗ คนนิ่งเงียบกันหมด ต่างคนต่างคิด อัดอั้นตันใจกันไปหมด มีแต่เสียงเจ้าเด็กน้อยคนพี่ที่ถูกตัดสินให้จากพ่อไปยังคงสะอื้นอยู่เบา ๆ เลยพาเอาเจ้าคนน้องที่พอรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง พลอยร้องไห้ตามพี่ชายไปด้วย

สักครู่ใหญ่พ่อเด็กกระเถิบเข้ามาพนมมือบอกลาแล้วก้มลงกราบ เมื่อเงยหน้าขึ้นมาน้ำตาอาบแก้ม พร้อมกับกล่าวว่า

" ผมตัดสินใจไม่ขายลูกแล้วขอรับ อายหมามัน "


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 00:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มี.ค. 2010, 23:16
โพสต์: 47

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ประสบการณ์เกี่ยวกับคนไทยชื่อ จาตุรันต์ ศิริพงษ์ (เจ)
ที่ถูกตัดสินประหารชีวิตในเรือนจำ ซาน เควนติน เมื่อ พ.ศ. ๒๕๔๒
แต่กลับใจปฏิบัติธรรม ตายอย่างสงบ


คำอนุโมทนา


ในการเกิดมาและมีชีวิต เป็นเรื่องธรรมดาที่พวกเราหมู่มนุษย์ จะมีความหวั่นไหว หวาดกลัวต่อความตาย หาได้ยากนักที่ใครสักคนจะเดินเข้าไปสู่ความตายด้วยจิตใจที่ตั้งมั่นเหตุการณ์ในชีวิตของบุรุษผู้หนึ่ง ได้เปลี่ยนหายนะให้เป็นโอกาสเข้าสู่ทางที่มั่นคง จนเห็นว่าน่าจะเป็นตัวอย่างแก่คนอื่น ๆ ได้หนังสือเล่มนี้เกิดจากความสนใจของหลาย ๆ คน ที่ได้ยินอาตมาเล่าถึงประสบการณ์เกี่ยวกับคนไทยชื่อ จาตุรันต์ ศิริพงษ์ (เจ) ที่ถูกตัดสินประหารชีวิตในเรือนจำ ซาน เควนติน เมื่อ พ.ศ. ๒๕๔๒ ถึงแม้ว่าเขาต้องใช้เวลา ๑๖ ปีสุดท้ายของชีวิตอยู่ในเรือนจำก็จริง แต่เขาก็สามารถพลิกตัวเองให้เป็นคนที่มีที่พึ่งที่แท้จริงได้ ขออนุโมทนากับทุก ๆ คน ที่มีส่วนร่วมในการจัดพิมพ์เล่มนี้ ขอให้ธรรมะจงนำพาแสงสว่าง ให้เกิดมีขึ้นในดวงตาแห่งปัญญาของทุกท่านทุกคน

ปสนฺโน ภิกขุ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 00:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มี.ค. 2010, 23:16
โพสต์: 47

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


.
เจเติบโตในประเทศไทย และเชื่อเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด เขาเคยพูดเล่น ๆ ว่า
อยากให้เอาอังคารของเขาไปโปรยในทะเลให้ปลากิน เมื่อคนมากินปลาอีกต่อหนึ่ง
เขาก็จะได้กลับมาเกิดในภูมิมนุษย์อีก เพื่อจะได้ปฏิบัติธรรมต่อไป เขารู้ว่ามนุษย์เท่านั้นที่สามารถเรียนรู้
และพัฒนาตัวเองได้โดยไม่มีขีดจำกัด รู้จักแยกแยะ สุข-ทุกข์ ดี-ชั่ว และผิด-ถูก
พัฒนาการและการเรียนรู้ของแต่ละคน เป็นผลสืบเนื่องจากวิถีกรรมที่คนคนเลือกเอง
ที่แล้วมาเจได้เลือกทางผิดไปบ้าง แต่เขาก็มีทางที่ถูกอยู่ด้วยเหมือนกันเจได้เรียนรู้ความจริงบางอย่างแล้ว
จากประสบการณ์ชีวิตในชาตินี้ เขาจึงมุ่งมั่นที่จะได้ปฏิบัติธรรมต่อไปในชาติหน้า

ลิ้มรสสิ่งที่อยู่ในใจ


จาตุรันต์ (เจ) ศิริพงษ์ ถูกจับที่ประเทศสหรัฐอเมริกาเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๖ ด้วยข้อหาที่ปล้น
ร้านการ์เด็นโกรฟ มาร์เก็ต (Garden Grove Market) และฆ่าเจ้าของร้านและผู้ช่วย
เจรับสารภาพว่าร่วมในการปล้น แต่ไม่ได้ฆ่า
อย่างไรก็ตาม เมื่อเขาไม่ยอมซัดทอดผู้อื่น ศาลจึงพิพากษาและตัดสินประหารชีวิต เมื่อ ๑๖ ปีที่แล้ว
ได้มีการอุทธรณ์ แต่ในที่สุดก็กำหนดประหารวันจันทร์ที่ ๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๒

ก่อนถึงวันประหารหกวัน เคนดัล โก๊ะ (Kendall Goh) เพื่อนซึ่งเป็นทนายความของเจ
ได้ติดต่อขอความอนุเคราะห์ไปยังวัดป่าอภัยคีรี เมืองซานฟรานซิสโก รัฐแคลิฟอร์เนีย
เพื่อให้เจมีโอกาสได้พบชาวพุทธที่สามารถจะเป็นที่พึ่งทางใจแก่เขาได้
สองวันต่อมา ท่านอาจารย์ ปสนฺโน เจ้าอาวาสร่วมวัดป่าอภัยคีรี ก็ได้เยี่ยมและอบรมกรรมฐานแก่เจ
ในเรือนจำ ซาน เควนติน (San Quentin Prison) นับว่าเป็นสามวันสุดท้ายที่พิเศษสุดในชีวิตของเจ
ก่อนที่จะถูกประหารชีวิตด้วยการฉีดยาพิษ ในวันที่ ๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๒


:b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 00:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มี.ค. 2010, 23:16
โพสต์: 47

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




เมื่อครั้งยังอยู่ในบ้านเกิดเมืองนอน ช่วงหนึ่งที่ได้บวชเรียนตามประเพณีไทย เจได้ฝึกสมาธิภาวนาด้วย
เมื่อถูกคุมขังรอการประหารในอเมริกา เขาได้รื้อฟื้นประสบการณ์นั้นขึ้นมาปฏิบัติอีกอย่างต่อเนื่อง
และสม่ำเสมอ หลายคนเล่าว่า เจเปลี่ยนแปลงไปอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งน่าจะเป็นผลมาจากการพัฒนาจิต
ระหว่างปฏิบัติอยู่ในเรือนจำ ผู้คุมและเพื่อนนักโทษได้เห็นว่า เจใช้ชีวิตในเรือนจำ ซาน เควนติน
อย่างสงบ หลายคนสนับสนุนการขอลดหย่อนผ่อนโทษประหารให้เจ
และบางคนก็แสดงออกอย่างเปิดเผย รวมทั้ง แดเนียล บี. วาสเควช (Daniel B.Vasquez)
อดีตผู้คุมของ ซาน เควนติน ด้วย

เรื่องราวเกี่ยวกับเจต่อไปนี้ เป็นการถอดความและเรียบเรียงจากบทสัมภาษณ์ที่ แคธรีน กูตา
(Kathryn Guta) และ เดนนิส ครีน (Dennis Crean) ได้สัมภาษณ์ ท่านอาจารย์ ปสนฺโน
เมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๔๒ และจากการบรรยายธรรมในหัวข้อ “เล่าเรื่องเจ” ที่แสดงวัดป่านนาชาติ เมื่อวันที่ ๑๕ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๔๒

ท่านอาจารย์ได้รับนิมนต์เข้าไปเป็นที่พึ่งทางใจให้เจได้อย่างไรครับ

ครั้งแรกที่เจจะถูกประหาร เมื่อวันที่ ๑๗ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๑ นั้น ผู้ที่ทำหน้าที่นี้
เป็นผู้นำทางศาสนาคริสต์ ซึ่งเป็นสุภาพสตรีที่ได้เคยช่วยเหลือนักโทษประหารอื่น ๆ ในเรือนจำ
ซาน เควนติน มาแล้วหลายคน เจก็รู้จักกับท่านมาหลายปีและสนิทสนมกับท่าน
แต่เมื่อถึงคราวของตัวเอง เจพบว่า แทนที่จะช่วยให้เจสงบ กลับทำให้เขารู้สึกวิตกกังวลยิ่งขึ้น
เจเองรู้อยู่ว่าควรจะเตรียมตายอย่างไรในเดือนพฤศจิกายนนั้น แต่ก็ไม่เป็นไปตามแผน
ในนาทีสุดท้าย ศาลได้ตัดสินเลื่อนการประหารออกไปอีกสามเดือน ซึ่งนับว่าเป็นโชคดีของเจอย่างยิ่ง
เขาอยากตายอย่างสงบที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เจเองรู้ตัวว่าจะต้องเตรียมตัวเตรียมใจอย่างไร

พอมาถึงครั้งที่สอง เจจึงตัดสินใจที่จะเผชิญกับความตายตามลำพัง
เพื่อให้เวลาตัวเองได้ทำจิตสงบในช่วงสุดท้าย คุณเคนดัล โก๊ะ เป็นห่วงว่าเจจะขาดที่พึ่งทางใจ
จึงรับอาสาจะหาที่ปรึกษาใหม่ที่เป็นชาวพุทธให้ แต่การขอเปลี่ยนแปลงในเรื่องนี้ไม่ใช่ง่าย
มีอุปสรรคมากมายหลายด้าน ทั้งในและนอกเรือนจำ เจจึงต้องพิจารณาเรื่องนี้อย่างรอบคอบ
เพราะสิ่งที่เขาต้องการที่สุดในเวลานั้น คือการอยู่อย่างสงบ อย่างไรก็ตามเมื่อเจได้ติดต่อกับอาตมาทางโทรศัพท์
อาตมาก็ถามว่า
“จิตใจเป็นยังไง พร้อมหรือเปล่า”

เขาก็ตอบว่า
“พร้อมครับ ผมเตรียมตัวมาตั้งนานแล้ว ยอมรับว่าจะถูกประหาร ไม่รู้สึกกลัว ไม่หวั่นไหว แต่ยังมีข้อสงสัยบางอย่างที่อยากจะขอศึกษาจากท่านอาจารย์”
เจบอกว่าไม่เสียดายหากจะถูกประหาร เพราะการอยู่ในสถานการณ์เช่นนั้น บีบบังคับให้เขาแสวงหาสิ่งที่จะเป็นประโยชน์ที่สุดต่อชีวิต เขาไม่แน่ใจว่าถ้าหากอยู่ธรรมดา ๆ จะมีความเข้าใจขนาดนี้หรือไม่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 00:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มี.ค. 2010, 23:16
โพสต์: 47

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:

เจเล่าให้ฟังว่า

หลังจากถูกตัดสินประหารแล้ว ๖-๗ ปี เขาอยู่ในเรือนจำ ก็เกิดความรู้สึกว่า เขาจะต้องรีบตัดสินใจ
ว่าจะอยู่อย่างคนที่ผูกโกรธ มีความอาฆาตเศร้าหมอง มีอกุศลธรรมทั้งหลายครอบงำจิตใจ
หรือเขาจะพัฒนาจิต ให้เป็นจิตใจที่ดี จิตใจที่มีธรรมะ จิตใจที่สงบ
ตอนนั้นเขาไม่รู้ว่าจะอยู่ได้อีกนานเท่าไร ไม่รู้ว่าจะถูกเรียกไปประหารเมื่อไร

เขาเลยเกิดความตั้งใจว่า อย่างไรเสียจะต้องพยายามละสิ่งที่ทำให้จิตใจเศร้าหมอง
และพยายามพัฒนาส่วนที่ดีในจิตใจให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ สำหรับเวลาที่ยังเหลืออยู่แล้ว
เขาก็ได้พยายาม ได้หาหนังสือทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษมาศึกษาพุทธศาสนา

เลยเป็นโอกาสให้ได้ฝึกภาษาอังกฤษด้วย
เพราะในคุกไม่มีคนพูดภาษาไทย ตัวเขาเองตอนติดคุกภาษาอังกฤษก็ยังไม่ดี
เนื่องจากไปอมริกาได้ไม่กี่เดือนก็เกิดคดี และตอนนั้นญาติพี่น้องในอเมริกาก็ไม่มีสักคน
เขาเลยฝึกภาษาอังกฤษจนกระทั่งเขียนอธิบายปรัชญาในศาสนาพุทธได้อย่างละเอียด
เขียนกลอนก็ได้ เป็นคนมีศิลปะในชีวิต แล้วก็ฝึกวาดรูปในเรือนจำจนเก่ง มีความสามารถในงานศิลปะ
และเป็นคนที่ตั้งใจนำสันติสุขให้เกิดขึ้น ในที่ซึ่งเป็นที่รวมของผีของเปรตอย่างในคุก
เพราะนักโทษส่วนใหญ่ก็แย่มาก ๆ เจ้าหน้าที่ก็พอ ๆ กัน เลยต้องทำให้ตัวเองเป็นที่ยอมรับวันแรกที่อาตมาไปเรือนจำ ทนายความก็ไปรับ อาตมาถาว่าเจเป็นยังไง
ทนายก็บอกว่า เจน่ะเขาสบายแต่พวกเราซีแย่

:b8:
..


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 00:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มี.ค. 2010, 23:16
โพสต์: 47

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:

ท่านอาจารย์รู้สึกอย่างไรที่ได้ช่วยเป็นที่พึ่งทางใจ แก่นักโทษประหาร

ตอนแรกอาตมาก็รู้สึกยินดี แต่พอมาคิดได้ว่า เอ... นี่เรากำลังจะเข้าไปแดนนรกนะ
อาตมาก็ชักรู้สึกไม่ค่อยมั่นใจขึ้นมานิดหน่อย ระบบรักษาความปลอดภัยของเรือนจำก็เข้มงวดกวดขันมาก กว่าจะผ่านเข้าไปถึงต้องผ่านประตูเหล็กหลายต่อหลายชั้น ผ่านเครื่องตรวจหาอาวุธสองครั้ง แล้วก็ยังมีผู้คุมมาตรวจอีกหลายคณะ ตรวจแล้วก็ประทับตราที่มือของอาตมา แล้วก็ต้องไปผ่านประตูเหล็กและผู้คุมอีก หลายชั้นหลายขั้นตอนทีเดียว แต่มีสัญญาณบางอย่างที่แสดงให้เห็นความแตกต่าง

อาตมาได้ยินผู้คุมทักทายเด็กบางคนอย่างสนิทสนมเหมือนรู้จักกันดี เขาให้เวลาเยี่ยมตอนเช้าถึงบ่ายสองโมง หลังจากนั้นแล้วแขกต้องกลับหมดเมื่ออาตมาเห็นเจ เขาไม่เหมือนคนใกล้ตายคนอื่น ๆ ที่อาตมาเคยพบ เจยังหนุ่ม แข็งแรง และดูมีสุขภาพจิตดี เขาเป็นคนฉลาดหลักแหลม ประณีต ไม่น่าสงสัยเลยว่า
เขาได้ใช้ชีวิตในช่วงสุดท้ายอย่างมีคุณค่า แม้จะถูกล่ามโซ่ที่เอว เจก็ยังดูภาคภูมิเป็นตัวของตัวเอง
มารยาทงาม และต้อนรับผู้มาเยือนอย่างอบอุ่น ทุกอย่างดูเป็นปกติ
ไม่มีอะไรส่อเค้าเลยว่า เที่ยงคืนของวันมะรืนผู้ชายคนนี้จะถูกประหาร เขาจะต้องตาย

ท่านอาจารย์ได้พูดกับเจเกี่ยวกับทางเลือกที่ผิดของเขาบ้างหรือเปล่าครับ
เกี่ยวกับอาชญากรรมของเขาเปล่า


อาตมาไม่ได้เอ่ยถึงอดีตของเจเลย เราไม่มีเวลาพอด้วย อาตมามุ่งไปที่การช่วยให้เขามีสุขภาพจิตที่ดี
พอที่จะเผชิญกับความตายได้อย่างสงบมากกว่า เพราะอาตมาไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับเจในฐานะที่เขาฆ่าคนตาย แต่ในฐานะคนที่กำลังเผชิญกับความตาย

:b53:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 00:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มี.ค. 2010, 23:16
โพสต์: 47

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:

บรรยากาศในวันนั้นเครียดไหมครับ

ไม่นะ ไม่เครียด ไม่ซึมเศร้า ค่อนข้างผ่อนคลายทีเดียว
บางครั้งเราก็ถกกันเรื่องที่สุขุมลุ่มลึกเกี่ยวกับธรรมชาติของจิต
แต่บางทีเราก็มีเรื่องเบา ๆ ให้ได้หัวเราะกันบ้าง

เจทำหน้าที่เจ้าของบ้านได้อย่างวิเศษ โดยเฉพาะในวันแรก แม้ในสภาพอย่างนั้น
เขาก็ยังได้จัดการต้อนรับพระด้วยความเคารพ และกำชับเพื่อน ๆ ให้ปฏิบัติต่อพระอย่างถูกต้อง
ตามธรรมเนียม เจเตรียมอาหารไว้ถวายด้วย และบอกว่ารู้สึกเป็นสุขที่ได้มีโอกาสถวายภัตตาหาร
แก่พระภิกษุ เป็นครั้งแรกในรอบยี่สิบปี นอกจากนี้ยังคอยสนับสนุนให้เพื่อน ๆ ได้ซักถามข้อสงสัย
ซึ่งอาตมาก็เทศน์ให้ฟังเกี่ยวกับความเชื่อในศาสนาพุทธ
การเข้าถึงธรรมะโดยการเปรียบเทียบกับบัวสี่เหล่า นอกจากนี้ก็ได้อธิบายความหมายของคำว่า

“ไตรสรณาคมน์” คือการถือเอาพระพุทธเป็นที่พึ่งในฐานะผู้รู้แจ้ง พระธรรมในฐานะที่เป็นสัจธรรม
และพระสงฆ์ในฐานะพระสุปฏิปันโน ดูเจรู้สึกภูมิใจที่ได้เป็นผู้ให้โอกาสแก่เพื่อน ๆ
ได้ศึกษาพระพุทธศาสนา อย่างไรก็ตาม อาตมาได้กำชับเจให้พยายามประคับประคองจิตของตัวเอง
ไม่ให้หวั่นไหวไปกับความว้าวุ่นของคนรอบข้าง เพราะวันประหารใกล้เข้ามาแล้ว
เจเองก็คอยหลีกความฟุ้งซ่าน ที่เกิดจากความพยายามช่วยเหลือของคนรอบข้าง
เขาตระหนักดีว่า จะต้องรับผิดชอบต่อความตั้งมั่นของตนเอง
เจจึงให้เวลากับเพื่อน ๆ อย่างเต็มที่ตลอดชั่วโมงเยี่ยม
แต่นอกนั้นแล้ว เขาทำสมาธิวันละหลายชั่วโมง เริ่มตั้งแต่ตื่นนอนประมาณสองหรือสามนาฬิกา
นอกจากไตรยาพี่สาวของเจแล้ว ยังมีหมู่เพื่อนที่ประทับใจในตัวเจมาเยี่ยมมากมาย
โดยเฉพาะเมื่อใกล้วันประหาร

หลายคนเป็นทนายความ หลายคนเป็นชาวคริสต์
บางคนก็เลื่อมใสในปฏิปทาของเจ และยึดถือเป็นแบบอย่างในการพัฒนาจิต
ต่างคนต่างมีจุดมุ่งหมาย และเจซึ่งมีนิสัยโอบอ้อมอารีอยู่แล้ว ก็พยายามสนองตอบทุกคนอย่างเช่นทนายความที่ติดต่อกับอาตมา ก็เพิ่งจะเริ่มศึกษาธรรมะและหัดนั่งสมาธิ
กำลังอยู่ในระหว่างแสวงหาครูบาอาจารย์ ก็ได้อาศัยเจเป็นผู้แนะนำเช่นเดียวกัน

ส่วนหนึ่งที่แสดงว่าเจได้รับความเชื่อถือและไว้วางใจก็คือ ปกติเมื่อรับแขกในห้องอย่างนั้น
จะต้องมีเจ้าหน้าที่สี่คน ยืนเฝ้าอยู่ทุกมุมตลอดเวลา ตัวนักโทษเองนั่งเก้าอี้พิเศษ มีโซ่ล่ามที่เอว
และมีโซ่จากเอวมาที่แขนทำให้ยกแขนได้ไม่มาก แล้วก็ต้องมีโซ่ล่ามติดเก้าอี้ด้วย แต่วันนั้นเป็นกรณีพิเศษ ไม่มีโซ่ล่ามเก้าอี้ เจ้าหน้าที่ก็มีคนเดียวยืนฟังเทศน์ด้วย บรรยากาศร่าเริงพอสมควรไม่เครียด

:b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 00:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มี.ค. 2010, 23:16
โพสต์: 47

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


.
ช่วงสุดท้ายที่ท่านอาจารย์ได้อยู่กับเจ บรรยากาศเป็นอย่างไรบ้างครับ

ในวันแรก หลังจากบ่ายสองโมงแล้ว อาตมามีโอกาสได้พบโยมผู้หญิงคนหนึ่ง
เป็นชาวคริสต์ซึ่งเคยเกี่ยวข้องในเหตุการณ์ประหารมาแล้ว ๖-๗ ครั้ง
ในฐานะผู้นำทางศาสนา ได้คุยกันอยู่นาน เขาเล่าให้ฟังว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง
หลังจากหกโมงไปแล้วจนถึงเวลาประหาร เมื่อเรารู้ตัวล่วงหน้าจะได้ไม่ตกใจ ไม่เสียสมาธิเขาบอกว่า
จะมีพวกเจ้าหน้าที่หกคนควบคุมเราตลอดเวลา พวกนี้เป็นทีมเพชฌฆาต
ซึ่งสมัครใจมาทำหน้าที่นี้ด้วยตัวเอง คงตื่นเต้นและมีความสุขในการประหาร
เขาบอกว่า

พวกนี้อาจจะรังแกเราด้วยวิธีการต่าง ๆ อาจเบียดเบียนทั้งกายและวาจา
พูดจาหยาบคาย เขาจะมาพาเราไปตั้งแต่หกโมง และเวลาประหารเป็นหกทุ่ม
ซึ่งเหลือเวลาน้อยเต็มที เราควรจะได้อยู่กับนักโทษให้นานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
แต่เขาก็จะทำให้เราเสียเวลาในระหว่างพาไป โดยทำทุกอย่างให้เป็นเรื่องยืดยาว
ระหว่างอยู่ในห้องรอประหาร เขาก็จะคุยกันเสียงดัง บางทีก็เปิดโทรทัศน์รบกวน
ไม่เป็นมิตรกับนักโทษเลยในวันที่กำหนดจะประหารเจครั้งแรกในเดือนพฤศจิกายนนั้น
เจได้รับอนุญาตให้ถือลูกประคำเข้าในห้องประหารได้ แต่ก่อนที่จะส่งถึงมือเจ ผู้คุมก็โยนลงบนพื้น แล้วก็เหยียบเสียทีหนึ่ง

เมื่ออาตมาได้ข้อมูลมาอย่างนี้ ก็มาคิดวางแผนว่าจะทำอย่างไรดี หากเจอเหตุการณ์อย่างที่เขาเล่า


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 00:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มี.ค. 2010, 23:16
โพสต์: 47

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว



วันสุดท้ายคืนวันจันทร์ เยี่ยมได้เฉพาะทนายความ ญาติ และผู้นำทางศาสนาซึ่งทำหน้าที่เป็นที่พึ่งทางใจให้แก่นักโทษ

วันนั้นอาตมาอยู่ตลอดวัน
ก่อนเวลาประหารหกชั่วโมง นักโทษจะต้องลาครอบครัวและเพื่อน ๆ ไปสู่ห้องขังพิเศษ
ซึ่งอยู่ติดกับห้องประหาร เฉพาะผู้นำทางศาสนาเท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้ติดตามไป

เมื่อเขามาคุมตัวเราจากห้องรับแขกไปยังห้องรอประหาร อาตมาก็เริ่มต้นทักทายหัวหน้าผู้คุม
ถามทุกข์สุข ถามเรื่องนั้นเรื่องนี้ คุยไปเรื่อย เขาก็ตรวจร่างกาย ตรวจเสื้อผ้า
ต้องเอาผ้าออกหมดทุกชิ้น ไม่ให้มีอะไรซ่อนไว้ได้เลย แต่เขาก็อำนวยความสะดวก
ไม่ให้เสียเวลามากส่วนเจก็มีผู้คุมมาพาไปอีกทางหนึ่ง แล้วเขาก็พาไปขังไว้คนละห้อง

ห้องที่ขังเจยาวไปอีกทางหนึ่ง ส่วนห้องที่ขังอาตมาก็ยาวไปอีกทางหนึ่ง แต่ก็มีมุมหนึ่งที่เราคุยกันได้พอเราเข้าไปในห้องขังแล้ว หัวหน้าผู้คุมก็มาอบรมเรา ว่าจะต้องอยู่ในระเบียบอย่างไร

โยมผู้หญิงที่เป็นผู้นำทางศาสนาคนนั้น ได้เตือนไว้แล้วว่า
ถ้าเจอหัวหน้าผู้คุมตัวสูง มีเครา ลักษณะอย่างนี้ ๆ ให้ระวัง เพราะนั่นน่ะตัวร้าย ดุ อย่าทำให้เขารังเกียจ
อาตมาก็เจอจริง ๆ เพราะฉะนั้นเวลาเขาพูดอะไร เราก็...ครับ ครับ เขาอบรมอะไร ก็...ครับ ครับ
อาตมาได้ตกลงกับเจไว้แล้วว่า พอถึงเวลาที่สมควร ก็ให้เจขอพระไตรสรณาคมน์ ขอรับศีลเป็นภาษาบาลี
เป็นเบื้องต้น ก็เป็นช่องที่จะได้อบรมเขาว่า สรณะที่พึ่งคืออะไร พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ คืออะไร ศีลคืออะไร แล้วก็เทศน์สั้น ๆ กัณฑ์หนึ่ง อบรมให้ความรู้เจ ไม่ใช่เพื่อเจคนเดียว แต่เพื่อผู้คุมด้วย

เมื่อเจขอไตรสรณาคมน์ ขอศีลเสร็จแล้ว ก็ให้อาราธนาพระปริตร แต่เจหลง เขาขึ้น ..พรหม จะ โลกา คืออาราธนาเทศน์ เราเลยได้โอกาสแสดงธรรมต่อ เพื่อเป็นการดึงจิตใจเจ้าหน้าที่ไปในตัว

แล้วเจก็อาราธนาพระปริต สวดมงคลชยคาถา บางบทที่มีคำแปลเป็นภาษาอังกฤษ
เราก็สวดเป็นภาษาอังกฤษด้วย เพื่อให้เจ้าหน้าที่เข้าใจว่าเราสวดอะไร

พอสวดเสร็จ หัวหน้าผู้คุมที่ว่าดุนั่นก็เข้ามามาพูดอย่างเอ็นดูว่า“ช่วงที่ท่านสวดมนต์อยู่ ทนายของเจโทรศัพท์มาสองครั้ง ผมไม่ได้บอก เพราะอยากให้ท่านสวดให้เสร็จ ตอนนี้จะผมโทร.กลับให้ไหมครับ

”อาตมาก็เลยให้เบอร์โทรศัพท์เขาไป เพราะทนายก็อยู่อีกอาคารหนึ่งในเรือนจำสักประเดี๋ยวก็มาถามอีก
“ท่านสวดมนต์นาน คงจะคอแห้ง ต้องการน้ำไหมครับ หรือจะเอาน้ำส้ม”
อาตมาบอกว่า
“ไม่เอาดีกว่า เพราะมีคนอธิบายให้ฟังว่า ถ้าจะเข้าห้องน้ำต้องมีคนพาไป แล้วห้องน้ำก็อยู่ไกลด้วย
ขากลับก็ต้องถูกเจ้าหน้าที่ตรวจ เปลือยกายอีก ยุ่งยากไม่เอาดีกว่า”

เขาก็บอกว่า “ที่จริงห้องน้ำใกล้ ๆ ก็มี จะให้ใช้ก็ได้” อาตมาก็เลยเอาน้ำส้ม

:b53:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 00:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มี.ค. 2010, 23:16
โพสต์: 47

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว



:b8:

ตลอดคืนเขาก็อยู่ แต่ไม่ได้รังแกหรือรบกวนอะไรเลย

ถ้ามีใครคนใดคนหนึ่งทำเสียงดัง ก็มีเจ้าหน้าที่ตักเตือนกันเอง
เวลาสั่งงาน เขาก็เขียนใส่กระดาษ ส่งกันต่อ ๆ เพื่อจะได้ไม่มี่เสียงรบกวนเรา

คืนนั้นอาตมากับเจ ก็เลยมีโอกาสได้อยู่ด้วยกันเต็มที่ เราก็นั่งสมาธิ สนทนาธรรม
และสวดมนต์โดยเฉพาะการแผ่เมตตาอุทิศส่วนกุศล

ตลอดเวลานับตั้งแต่อาตมาได้พบเจ จนกระทั่งถึงวันประหารเป็นเวลาสามวันนี้

อาตมาก็ได้ตอบข้อสงสัย ข้อข้องใจของเจ โดนเฉพาะเรื่องอนัตตา เรื่องขันธ์ ๕ และการปล่อยวาง
ว่าจะทำอย่างไร การสังเกตในตัวเองว่าละได้จริง ๆ อย่างไร เรื่องทำสมาธิเขาเก่ง สมาธิดี
เพราะเขาฝึกอยู่ในเรือนจำนาน เวลากลางคืนที่คนอื่นนอน เขาก็นั่งสมาธิ กลางวันตื่นสาย
เพราะตอนกลางวันในเรือนจำมีเสียงรบกวนมาก

สำหรับในคืนสุดท้าย อาตมาก็ได้ไขข้อข้องใจต่าง ๆ บางอย่าง และฝึกเขาในการทำจิตให้มั่นคง
พร้อมที่จะรับความตายโดยไม่หวั่นไหว ฝึกให้เขาเปลี่ยนกรรมฐาน
คือปกติเขาทำสมาธิโดยวิธีอาณาปานสติ กำหนดลมหายใจ แต่เมื่อยาที่ใช้ในการประหารออกฤทธิ์
ทำให้หัวใจหยุด ลมหายใจก็หยุด ถ้าเอาลมหายใจเป็นอารมณ์และลมหายใจหยุดชะงัก
ขณะเขากำลังกำหนดอยู่ การตั้งสติก็จะไม่มั่นคงเท่าที่ควร
แล้วเจเคยฝึกสมาธิมาตอนก่อนบวชที่เมืองไทย เมื่อมานั่งสมาธิที่วัด เขาได้เห็นนิมิตแสงสว่างครั้งหนึ่ง
.แต่เมื่อเขาพยายามนั่งจะให้เห็นอีกก็ไม่สำเร็จ แต่เมื่อเจบอกว่า สามสัปดาห์ก่อนเขาได้เห็นแสงสว่างอีก
ก็ทำให้อาตมาใจชื้นขึ้นเป็นอันมาก
และเนื่องจากเจเป็นจิตรกร อาตมาก็เลยได้ความคิดว่า เขาน่าจะกำหนดภาพแสงสว่างเป็นอารมณ์กรรมฐาน อาตมาเลยให้เขาใช้นิมิตแสงสว่างแทน
ซึ่งเขาก็ทำได้ตอนแรกอาตมาก็แนะนำท่านั่ง คืนนั้นก็แนะนำน้อยลง ให้เขาทำเองมากขึ้น
ช่วงสุดท้ายเขาบอกว่า จิตเป็นสมาธิได้เร็ว อาตมาพยายามอธิบายการตั้งจิต เมื่อลมหายใจหมด
จิตกำลังจะดับ ทั้งหมดนี้ก็เป็นส่วนที่เจ้าหน้าที่ต้องนั่งฟังอยู่ด้วย
เพราะหนีไปไหนไม่ได้ เขาเลยพลอยได้ความรู้มากเหมือนกัน

:b53:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 00:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มี.ค. 2010, 23:16
โพสต์: 47

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว



ตลอดคืนเราก็ได้ยินเสียงเตรียมการในห้องประหารซึ่งอยู่ติด ๆ กัน
ผู้ว่าการเรือนจำและจิตแพทย์ก็ต้องเข้ามาตรวจ เพราะถ้าเจบ้า เสียสติ เขาก็ประหารไม่ได้
และเขาก็ต้องตรวจอาตมา ถ้ามียาพิษให้เจกินตายไปก่อน เขาจะเสียดาย

ในคืนนั้นท่านอาจารย์เทศน์เรื่องอะไรครับ

อาตมาเล่าประวัติพระพุทธเจ้า หลังจากตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณใหม่ ๆ
ไม่ทรงปรารถนาจะโปรดสัตว์ เพราะทรงเห็นว่าธรรมที่ทรงตรัสรู้เป็นของลึกซึ้ง
ยากที่คนจะเข้าใจปฏิบัติตามได้ จากนั้นก็พูดถึงโมหะกิเลส ซึ่งเป็นธรรมดาของสัตว์โลก
และธรรมะเพื่อการหลุดพ้น แล้วก็พูดถึงอริยสัจ ๔
และอธิบายความหมายของการปล่อยวาง ซึ่งไม่ใช่การปล่อยทิ้ง
คือเจจะต้องตั้งสติจดจ่ออยู่กับการกำหนดรู้อยู่ในปัจจุบัน ไม่ว่าอารมณ์อะไรจะเกิดขึ้น ก็เพียงแต่กำหนดรู้
แล้วก็ปล่อยวาง
อย่าปล่อยจิตให้เลื่อนไหลไปกับอารมณ์ เพราะนั่นหมายถึงการเกิด แล้วก็ทุกข์
เราได้พูดถึงการปล่อยวาง ในความหมายที่เชื่อมโยงถึงการ “การให้อภัย” และ “อนัตตา”
ถ้าเราไม่ให้อภัยคือเรายังยึดทุกข์ไว้ เราก็จะสร้างตัวตนขึ้นบนความทุกข์เรื่อยไป ไม่มีที่สิ้นสุด
เมื่อเกิดมีตัวตนขึ้นเมื่อไรทุกข์ก็เกิดขึ้นเมื่อนั้น มันเกี่ยวพันกันอยู่อย่างนี้

แล้วอาตมาได้ถามเจว่า “ยังมีใครอีกบ้างไหมที่เจยังไม่ได้ให้อภัย”

เจนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็ตอบค่อย ๆ ว่า

“ผมยังไม่สามารถให้อภัยตัวเองได้หมดใจครับ”

คำตอบของเจกินใจอาตมาจนทำให้เกิดความรู้สึกตื้นตัน เจยังฝังใจจำที่ตัวเองได้พลาดพลั้งไปในอดีต
อาตมาจึงได้ชี้แจงให้เห็นธรรมชาติของการเกิดดับ เจจะต้องทำความเข้าใจ ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีต
มันได้ดับไปแล้ว ที่ยังเหลืออยู่ในปัจจุบัน ก็เป็นคนละคนกับคนในอดีต
เจจะต้องปล่อยวางเหตุการณ์ในอดีต รวมทั้งคนที่เคยประกอบกรรมในอดีตนั้นเสียด้วยน่าสังเกตว่า
บรรดาผู้คุมก็สนใจฟังเทศน์ของอาตมาเหมือนกัน
และตลอดคืนนั้นพวกเขาก็ดูให้ความเคารพและเกรงใจเราทั้งคู่มากขึ้น

:b53: :b53: :b53:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 108 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 4, 5, 6, 7, 8  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร