วันเวลาปัจจุบัน 18 ก.ค. 2025, 06:50  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=2



กระทู้นี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความ หรือ ตอบกลับในกระทู้นี้  [ 387 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 7, 8, 9, 10, 11, 12, 13 ... 26  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 เม.ย. 2010, 01:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


varinne เขียน:

วันนี้เป็นไรไม่รู้ แม้แต่เรื่องที่ดูว่าเล็กน้อยก็สามารถทำให้หงุดหงิดได้
คิดได้หลายอย่างนะวันนี้ แต่ว่าหงุดหงิด... บันทึกแค่นี้ละ..






ยังดีนะคะ ที่ยังคงทำอย่างต่อเนื่อง
เรื่องอารมณ์และความคิดนี่ เรื่องปกติค่ะ ตราบใดที่ยังมีความชอบและชังอยู่
คนที่ยังไม่เข้าใจเรื่องของอารมณ์ ถึงได้รู้สึกโกรธกันง่ายๆเพราะเหตุนี้แหละค่ะ

คนที่เข้าใจ เขาย่อมรู้อยู่กับใจของเขา เขาย่อมถอยออกไปเอง
โดยไม่ไปคิดทำอะไรที่ไปส่งผลกระทบกับเรา

ส่วนคนที่ยังไม่รู้ เขาย่อมทำลงไปด้วยความไม่รู้
คืออาจจะหงุดหงิดตอบกลับเราบ้าง ก็เลยทำให้ส่งผลกระทบต่อตัวเรา
แล้วเจ้าตัวปรุงแต่ง ถ้าสติเรายังไม่ทันนะ มันจะแสดงตัวออกมาทันที

ยิ่งเจริญสติ ยิ่งเห็นอารมณ์พวกนี้อย่างชัดเจน
ทั้งๆที่เมื่อก่อน ถ้าถามว่า มีไหม? ..... มีอย่างแน่นอน จริงมั๊ยคะ?
เพียงแต่ว่า มันไม่สะดุดใจเราเท่านั้นเองแหละค่ะ
แล้วเราจะค่อยๆปรับสภาวะของตัวเองค่ะ
อารมณ์หรือความคิดในเชิงลบ จะเบาบางลงไปเรื่อยๆ

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 เม.ย. 2010, 01:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 มี.ค. 2010, 23:38
โพสต์: 193

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รู้สึกว่าช่วงนี้การทำกรรมฐานจะมีอุปสรรค์มากเลย
เป็นเพราะเราทำดึกเกินไปหรอ หรือว่า จะอะไรก็แล้วแต่ก็ตาม ควรที่จะทำต่อเนืองอยู่ดี
เป็นกรรมของเราล่ะมั้งที่ต้องเจออะไรแบบนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ถ้าไม่พยายามก็จะไม่สามารถออกจากบ่วงนี้ได้หรือเปล่านะ


เดิน 3 นาที
ไม่มีอะไรมากหรอก
วันนี้ได้ฝึกความอดทนกับการรอคอยไป มันก็เป็นสิ่งที่เราไม่ได้คุ้นเคยอะไรด้วยเลย แต่ก็ต้องฝึก...
ใจสงบขึ้นนะ แต่ว่าคลื่นความร้อนแรงดูเหมือนจะยังเท่าเดิม

ถ้าคิดมากๆกว่านี้มันจะกลายเป็นความผิดหวังในตัวเองน่ะนะ... ดังนั้นเราก็เลยคิดได้เพียงเท่านี้แหละ

แล้วก็ รอต่อไป...
แต่คราวหน้าสงสัยจะต้องเอาความพยายามเข้าไปด้วยละมั้ง
แต่ไม่ค่อยมีตัว"ความพยายาม"เลย นี่สิ
จะรอดหรือเปล่า ก็มิอาจล่วงรู้ได้

จบการบันทึกเพียงเท่านี้

คิดไปเองหรือเปล่าว่าถึงช่วงเวลาแห่งการขัดขวางแล้ว หรือว่า ก็แค่ความบังเอิญ หรือจะเป็นเพราะ อะไรก็แล้วแต่
ไม่อยากคิดมากไปกว่านี้เลยละ
ยังหงุดหงิดในใจ.. เหมือนเดิม

.....................................................
หากไม่สนใจหลักธรรมปลีกย่อย แล้วจะบรรลุหลักธรรมใหญ่ได้ยังไง -- กวนอู

"ทรัพยกรมนุษย์หากตายไป บริษัทฯ สามารถหามาแทนได้ แต่ทรัพยากรครอบครัวนั้น ครอบครัวไม่สามารถหามาแทนได้"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 เม.ย. 2010, 01:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว



จริงๆแล้ว เราเป็นคนขี้เบื่อนะ เบื่อง่าย ไม่ชอบอะไรที่ซ้ำซากจำเจ
การเจริญสตินี่ ยอมรับว่า " ถูกโฉลกกับจิตเรามากๆ " เพราะมีอะไรต่อมิอะไรให้ดูตลอดเวลา

เดินมั่ง ยืนมั่ง นั่งมั่ง นอนมั่ง จะทำในอริยาบทไหนๆก็ได้ ไม่มีจำกัดวิธีการ
ก็ไม่นับว่าสายจนเกินไป ที่ได้มารู้จักกับการเจริญสติ
ประกอบกับ พื้นฐานสมาธิมีติดตัวมาเยอะ เลยทำให้ไปได้ดี

เมื่อก่อนบ้าสวดมนต์นะ ต้องใช้คำว่า " บ้า " เพราะว่า บ้าจริงๆ
สวดไม่ค่อยเหมือนชาวบ้านเขา อยู่ตรงไหนก็จะสวด สวดเพราะอยากไปสวรรค์
วันไหน วันหยุดงาน สวดทั้งวันทั้งคืน กินข้าว ทำกิจส่วนตัวเสร็จ สวดต่อ

เดี๋ยวนี้กลับไม่ชอบการสวดมนต์ ชอบเจริญสติมากกว่า มีอะไรให้เรียนรู้ ให้ปรับเปลี่ยนได้ตลอดเวลา
สวดมนต์ทีไร หลับทุกที ทั้งๆที่ เมื่อก่อนสวดได้สว่างคาตา สภาวะเปลี่ยนไปเรื่อยๆนะ
มาอ่านสภาวะเก่ากันต่อดีกว่า ว่า เรานั้น รอดปากเหยี่ยวปากกา ฝ่าฟันกิเลสตัวเองมาได้อย่างไร :b13:

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 เม.ย. 2010, 10:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


จขกท. Varinne
การเจริญสติปัฏฐาน และการเจริญนิวรณ์ นั้นต่างกันครับ

การเจริญสติปัฏฐาน เป็นการปฏิบัติธรรมเพื่อชำระจิตให้สะอาดด้วยการเจริญโลกุตตรฌานด้วยวิปัสสนาจิต มีพระนิพพานเป็นอารมณ์

แต่การเจริญนิวรณ์ คือสิ่งที่คุณVarinne ทำอยู่ทุกวันนี้ เป็นการเจริญนิวรณ์โดยเจตนา เพื่อยึดเอารูปนามตลอดไป ยิ่งปฏิบัติยิ่งฟุ้ง ฟุ้งไปความคิดความคำนึงของตนแต่นึกว่า เป็นสมถะบ้าง วิปัสสนาบ้าง
แล้วแต่ว่าความฟุ้งนั้นจะแล่นไปในภายนอก หรือในภายใน

ที่แล่นไปในภายนอก ก็คือการใส่ใจในการก้าวเดิน เหมือนหุ่นยนต์ แล้วแล่นไปในภายในคือความตามติดใจจดจ่อในอาการนั้นว่าเป็นความรู้สึกตัวเป็นสัมปชัญญะเป็นสติ

ยิ่งเจริญนิวรณ์มากเท่าไหร่ จะยิ่งปักยิ่งปำอยู่กับอุเบกขาอันประกอบด้วยอุทธัจจะจนยากที่จะไถ่ถอน

ในเบื้องต้น เข้าใจเสียก่อนว่า จิตเป็นกุศลเมื่อไหร่ให้ผลเป็นสุขเสมอ
เพียงแต่ จขกท. สงบจิตจากเครื่องกังวล จากความคิดโลภ คิดโกรธ คิดเบียดเบียน จากความคิดความตรึกในความขุ่นใจ ใดๆ ระลึกในพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณว่าเป็นที่พึ่งที่อาศัย เป็นที่ให้มีความสงบเย็น แล้วสวดมนต์ จิตที่สงบเพียงชั่วครู่ก็จะสัมผัสได้ ด้วยอาการนั้นสติปัฏฐาน 4 ก็ยังชื่อว่า บริบูรณ์
มีนิวรณ์อันสงบระงับ

ในเบื้องต้นจับความรู้สึกเช่นนี้ก็เพียงพอ

เจริญธรรม

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 เม.ย. 2010, 21:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว



2 มค. 49
เดิน 15 นาที นั่ง 15 นาที เริ่มต้นใหม่อีกแล้ว

5 มค.
เดิน 15 นาที นั่ง 15 นาที เดิน 20 นาที นั่ง 20 นาที

10 มค.
เดิน 15 นาที นั่ง 15 นาที

11 มค.
06.35 เดิน 20 นาที นั่ง 20 นาที
21.30 เดิน 25 นาที นั่ง 25 นาที

12 มค.
06.30 เดิน 15 นาที นั่ง 15 นาที
22.20 เดิน 30 นาที นั่ง 30 นาที
วันนี้ สติดี สมาธิดีขึ้น ไม่ตกใจเวลาเสียงนาฬิกาดังครบเวลา

13 มค.
06.30 เดิน 15 นาที นั่ง 15 นาที
20.30 เดิน 30 นาที นั่ง 30 นาที
วันนี้ สติดีมากขึ้น สมาธิดีขึ้น เกิดปีติตลอด

14 มค.
04.30 เดิน 15 นาที นั่ง 15 นาที
20.30 เดิน 45 นาที นั่ง 45 นาที
ดีขึ้น ฟุ้งซ่านกำหนดได้ทัน มาปวดขาก่อนหมดเวลาน่าจะประมาณ 5 นาที

15 มค.
06.20 เดิน 10 นาที นั่ง 10 นาที
21.45 เดิน 50 นาที นั่ง 50 นาที มีฟุ้ง แต่กำหนดได้

16 มค.
04.00 เดิน 30 นาที นั่ง 30 นาที
10.00 เดิน 45 นาที นั่ง 45 นาที กำหนดได้ดี
19.15 เดิน 20 นาที นั่ง 20 นาที
ฟุ้งตลอด จิตส่งออกแต่นอก แทบจะไม่รู้อยู่ที่กาย

17 มค.
04.30 เดิน 20 นาที นั่ง 20 นาที
20.45 เดิน 20 นาที นั่ง 20 นาที
เริ่มมีอาการเบื่อหน่ายอีกแล้ว ทำไมถึงเป้นแบบนี้นะ แล้วจะแก้ไขยังไงดี ไม่อยากปฏิบัติเลย
เบื่อบอกไม่ถูก แต่ต้องพยายามทำ ไม่อยากไปทุกข์ใจอีกแล้ว เบื่อข้างบ้าน ชอบมาวุ่นวายกับเราจริงๆ
ตั้งใจแผ่เมตตาให้กับเขา อาจจะทำให้ดีขึ้น

18 มค.
04.00 เดิน 20 นาที นั่ง 20 นาที เบื่อมั่กๆ
11.37 เดิน 45 นาที นั่ง 45 นาที
ตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว ไม่อยากปฏิบัติเลย แต่เมื่อเช้าก้ทำได้ดีนะ
20.30 เดิน 45 นาที นั่ง 45 นาที
ดีเหมือนกันที่เจอแต่ปัญหา ทำให้หันหน้ามาหาธรรมะ แทนที่จะออกไปที่อื่น
ผลของการปฏิบัติ ถึงแม้จะทำไม่ต่อเนื่องก็จริง
แต่สิ่งที่เราได้รับ เราเริ่มมีสติการรับรู้มากขึ้นกว่าเมื่อก่อนเยอะมาก
คงต้องพยายามทำให้ต่อเนื่อง เรียนรู้อย่างอื่นยังทำได้เลย แล้วนี่เพื่อชีวิตของเรานะ ต้องอดทน



นี่คือความมุ่งมั่นที่มองเห็นได้อย่างชัดเจน แล้วรู้จักพิจรณาทบทวนสภาวะของตัวเอง
ทั้งๆที่ตอนนั้นทำแบบไม่รู้อะไรเลย ตำรับตำราก็ไม่เคยอ่าน เพราะครูบาฯทุกๆท่านสั่งเหมือนกันหมด
อย่าอ่านตำรา อย่าสงสัย ไม่ต้องไปถามใครๆ ทำต่อไป แล้วที่สงสัยจะรู้เอง


19 มค.
05.30 เดิน 30 นาที นั่ง 30 นาที ปวดเร็วขึ้น ฟุ้งตลอดเลยเวลาปวด
22.25 เดิน 30 นาที นั่ง 30 นาที
ลองนำวิธีของหลวงพ่อชามาใช้ เข้าปลายจมูก ณหทัย สะดือ ออก สะดือ ณหทัย ปลายจมูก
จนกว่าจิตจะสงบแล้วค่อยพองหนอ ยุบหนอ ผลคือ สงบช่วงแรก ปวดขาเป็นพักๆ

20 มค.
05.30 เดิน 20 นาที นั่ง 20 นาที
21.00 เดิน 30 นาที นั่ง 30 นาที
วันนี้กำหนดได้ มาวูบไปช่วงท้าย ไม่รู้ตัว มารู้ตัวตอนเสียงนาฬิกาดัง

21 มค.
20.30 เดิน 30 นาที นั่ง 30 นาที
นั่งเพลิน สติไม่ทัน วูบไป ตกใจเลยลืมกำหนด วันนี้ครูมาสอน ปวดพอทน

23 มค.
19.30 เดิน 35 นาที นั่ง 35 นาที
ฟุ้งตลอด แต่พอกำหนดได้ ครูมาสอน พอกำหนดได้ รู้ตัวทัน วันนี้ไม่มีวูบ

24 มค.
03.35 เดิน 30 นาที นั่ง 30 นาที ง่วงนอนมากๆ นั่งหลับ
23.50 เดิน 30 นาที นั่ง 30 นาที

25 มค.
20.00 ไปสวดมนต์ที่วัดอโศ ได้ฟังเทศน์เรื่อง ความยึดมั่นถือมั่น เรื่องจิต เรื่องความโกรธ
การด่าว่ากัน ให้ยึดหลักว่า ปล่อยวางซะให้หมด เดี๋ยวก็ตายกันแล้ว จะไปว่าให้เกลียดชังกันทำไม
นั่ง 1 /1/2 ชม.
22.09 กลับมาทำต่อที่บ้าน เดิน 30 นาที นั่ง 30 นาที

27 มค.
10.30 เดิน 45 นาที นั่ง 45 นาที
20.00 สวดมนต์ ปฏิบัติที่วัดอโศ นั่ง 1/1/2 ชม. เลิก 4 ทุ่ม
22.30 เดิน 30 นาที นั่ง 30 นาที

28 มค.
08.30 เดิน 45 นาที นั่ง 45 นาที
20.00 สวดมนต์ ปฏิบัติที่วัดอโศ นั่ง 1/1/2 ชม.เลิก 4 ทุ่ม
22.30 เดิน 45 นาที นั่ง 45 นาที

29 มค.
10.15 เดิน 45 นาที นั่ง 45 นาที
20.00 สวดมนต์ ปฏิบัติที่วัดอโศ เลิก 4 ทุ่ม

30 มค.
10.30 เดิน 45 นาที นั่ง 45 นาที
21.30 เดิน 45 นาที นั่ง 45 นาที

31 มค.
20.30 เดิน 45 นาที นั่ง 45 นาที

........................................................................

1 กพ. 49
20.30 เดิน 20 นาที นั่ง 20 นาที วันนี้ปวดหัว รู้สึกเครียดกับเรื่องส่วนตัว

2 กพ.
10.00 เดิน 20 นาที นั่ง 20 นาที
23.30 เดิน 20 นาที นั่ง 20 นาที

3 กพ.
10.56 เดิน 20 นาที นั่ง 20 นาที
20.00 เดิน 45 นาที นั่ง 45 นาที

4 กพ.
เดิน 45 นาที นั่ง 45 นาที

5 กพ.
21.45 เดิน 45 นาที นั่ง 45 นาที

6 กพ.
10.20เดิน 30 นาที นั่ง 30 นาที
20.00 เดิน 45 นาที นั่ง 45 นาที เหวยๆๆๆๆๆๆ ยิ่งปฏิบัติ ยิ่งโดนด่าทุกวัน ด่าเรามากๆเลย
ไม่รู้ไปทำอะไรกับเขาไว้ ขนาดพยายามไม่สุงสิงด้วยแล้วนะ สามีชาวบ้านน่ะไม่สนใจหรอก
แค่สามีเขามาทักเรา เราก็คุยตอบธรรมดาๆ ขนาดหนุ่มๆยังไม่สน แก่ๆแบบนั้น จะเอาไปทำอะไรหว่า



ยิ่งปฏิบัติ ยิ่งชดใช้ แต่ตอนนั้นยังไม่รู้เรื่อง



7 กพ.
เดิน 20 นาที นั่ง 20 นาที
19.50 เดิน 20 นาที นั่ง 50 นาที

8 กพ.
10.30 เดิน 20 นาที นั่ง 20 นาที
20.00 เดิน 20 นาที นั่ง 50 นาที

9กพ.
03.30 เดิน 30 นาที นั่ง 30 นาที ฝืนใจมากๆเลย ทั้งที่ง่วงแสนง่วง แต่จะลองทำดู เบื่อชีวิตเหลือเกิน
10.20 เดิน 30 นาที นั่ง 30 นาที
21.30 เดิน 20 นาที นั่ง 50 นาที

10 กพ.
21.00 เดิน 50 นาที นั่ง 50 นาที

11 กพ.
22.56 เดิน 20 นาที นั่ง 50 นาที
การปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง โดยที่เราไม่ได้หยุดเลย รู้สึกว่า ก้าวหน้าขึ้น กำหนดรู้ได้ทันมากขึ้น
ปวดขา กำหนดได้ทันมากขึ้น มีอะไรแปลกๆอยู่อย่าง ดูมาหลายวันแล้ว รู้สึกช่วงเวลาหายไป
ไม่ได้หลับ ไม่ได้งูบ แต่เหมือนเวลาหายไปเฉยๆ พอรู้ตัวอีกที เห็นท้องพองยุบเอง เราไม่ต้องกำหนด



เป็นเรื่องของสมาธิที่เข้าอัปนาสมาธิ มันเลยดับแบบเราไม่รู้ตัว เหตุเนื่องจากสมาธิล้ำหน้าสติ
วิธีปรับอินทรียคือ ให้เดินเพิ่มขึ้น ลดนั่งลง ปรับไปเรื่อยๆ จนกว่าสติจะนำหน้าสมาธิ หรือเสมอๆกัน


12 กพ.
20.10 เดิน 1/2 ชม. นั่ง 50 นาที

13 กพ.
21.03 เดิน 1/2 ชม. นั่ง 1/1/2 ชม. วันนี้ปวดมากๆ กำหนดได้บ้าง ไม่ได้บ้าง

14 กพ.
20.30 เดิน 1/2 ชม. นั่ง 55 นาที

15 กพ.
22.30 เดิน 1/2 ชม. นั่ง 1/2 ชม.

16 กพ.
21.02 เดิน 1/2 ชม. นั่ง 55 นาที
วันนี้รู้ตัวตลอด การเกิดสมาธิรู้ตลอดว่าเกิดตอนไหน แต่ไม่มีแสงสว่าง มันจะรู้สึกว่า ว่างแล้วก็โล่ง
ตัวหายไปหมด ลมหายใจหายไป เหมือนมันหายไปหมดเลย
และกลับมารู้สึกตัวใหม่ เป็นแบบนี้ถึง 3 ครั้ง
เวทนาน้อยมาก แทบจะไม่มี ความฟุ้งวันนี้ลืมกำหนด แต่ปล่อยไปเรื่อยๆ มากำหนดตอนหลัง พอนึกได้
เดิน รู้สึกตัวดี


พอมาย้อนอ่าน นับว่าเป็นกุศลของเรา คงสร้างเหตุดีด้านนี้มาเยอะ เลยทำให้ไม่หลงสภาวะ
ไปคิดว่า ตัวเองได้อะไรและเป็นอะไร เราปฏิบัติช่วงนั้นเพราะมีทุกข์ และอยากรวย
ศัพท์ต่างๆที่เขาเรียกๆกัน ไม่รู้จักเลย ฉะนั้นเรื่องโสดาหรืออริยะนี่ไม่ต้องพูดถึง ไม่รู้จัก
เลยทำให้ไม่หลงสภาวะ แบบที่มีคนส่วนมากหลงกัน เพราะความอยากเป็น
เลยทำให้หลง น้อมเอา คิดเอาเองว่าตัวเองเป็นอะไรและได้อะไร แต่กิเลสความอยาก
ที่อยากเป็นนั้น มองไม่เห็น เหตุมี ผลย่อมมี


18 กพ.
21.00 เดิน 1/2 ชม. นั่ง 55 นาที
เมื่อวานไม่ได้ทำ เพราะปวดท้องเมนส์มากๆ มาวันแรกที่ไร แย่แบบนี้ทุกที
วันนี้ปฏิบัติ ไม่มีสติ ลืมกำหนดพองยุบ เกิดสมาธิตอนเดินจงกรมหลายครั้ง
ตอนนั่งเกิดสมาธิเข้าออกเอง เหมือนหลับ แต่ไม่หลับ มันแปลกๆ เพราะรู้ตัวตลอด แต่ทำไมเหมือนหลับ

19 กพ.
21.25 เดิน 1/2 ชม. นั่ง 1 ชม.
วันนี้ปวดเป้นระยะๆพอทนได้ มาปวดมากตอนท้ายๆ แต่ก็ผ่านไปได้

20 กพ.
09.30 เดิน 15 นาที นั่ง 30 นาที
21.45 เดิน 20 นาที นั่ง 60 นาที

21 กพ.
09.20 เดิน 10 นาที นั่ง 35 นาที
22.05 เดิน 20 นาที นั่ง 1 ชม.

22 กพ.
10.10 เดิน 10 นาที นั่ง 40 นาที
20.50 เดิน 20 นาที นั่ง 1ชม. 10 นาที
วันนี้ลองเพิ่มเวลา ปวดมากๆเลย กำหนดแล้วก็ยังปวด ทรมาณมากๆ

23 กพ.
22.25 เดิน 10 นาที นั่ง 30 นาที ฟุ้งตลอดเลย

24 กพ.
09.35 เดิน 10 นาที นั่ง 30 นาที
20.00 เดิน 15 นาที นั่ง 40 นาที กลับมาเริ่มต้นใหมีอีกครั้ง นั่งมีแต่เวทนา ปวดตั้งแต่เริ่มนั่ง

26 กพ.
เดิน 5 นาที นั่ง 20 นาที

27 กพ.
20.30 เดิน 10 นาที นั่ง 30 นาที เดิน 15 นาที นั่ง 40 นาที
ทำสองรอบ ฟุ้งตลอด แต่กำหนดได้ รอบหลังนี่ปวดขา ขาชาไปหมด แต่พอกำหนดได้บ้าง

28 กพ.
19.35 เดิน 5 นาที นั่ง 35 นาที ฟุ้งตลอด ปวดพอกำหนดได้



ตอนนั้นยังไม่รู้เรื่องการปรับอินทรีย์ เรียกว่า ทำแบบไม่รู้อะไรเลย ทำอย่างเดียว


.......................................................................................

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


แก้ไขล่าสุดโดย walaiporn เมื่อ 03 เม.ย. 2010, 18:57, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 เม.ย. 2010, 23:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 มี.ค. 2010, 23:38
โพสต์: 193

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
จขกท. Varinne
การเจริญสติปัฏฐาน และการเจริญนิวรณ์ นั้นต่างกันครับ

การเจริญสติปัฏฐาน เป็นการปฏิบัติธรรมเพื่อชำระจิตให้สะอาดด้วยการเจริญโลกุตตรฌานด้วยวิปัสสนาจิต มีพระนิพพานเป็นอารมณ์

แต่การเจริญนิวรณ์ คือสิ่งที่คุณVarinne ทำอยู่ทุกวันนี้ เป็นการเจริญนิวรณ์โดยเจตนา เพื่อยึดเอารูปนามตลอดไป ยิ่งปฏิบัติยิ่งฟุ้ง ฟุ้งไปความคิดความคำนึงของตนแต่นึกว่า เป็นสมถะบ้าง วิปัสสนาบ้าง
แล้วแต่ว่าความฟุ้งนั้นจะแล่นไปในภายนอก หรือในภายใน

ที่แล่นไปในภายนอก ก็คือการใส่ใจในการก้าวเดิน เหมือนหุ่นยนต์ แล้วแล่นไปในภายในคือความตามติดใจจดจ่อในอาการนั้นว่าเป็นความรู้สึกตัวเป็นสัมปชัญญะเป็นสติ

ยิ่งเจริญนิวรณ์มากเท่าไหร่ จะยิ่งปักยิ่งปำอยู่กับอุเบกขาอันประกอบด้วยอุทธัจจะจนยากที่จะไถ่ถอน

ในเบื้องต้น เข้าใจเสียก่อนว่า จิตเป็นกุศลเมื่อไหร่ให้ผลเป็นสุขเสมอ
เพียงแต่ จขกท. สงบจิตจากเครื่องกังวล จากความคิดโลภ คิดโกรธ คิดเบียดเบียน จากความคิดความตรึกในความขุ่นใจ ใดๆ ระลึกในพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณว่าเป็นที่พึ่งที่อาศัย เป็นที่ให้มีความสงบเย็น แล้วสวดมนต์ จิตที่สงบเพียงชั่วครู่ก็จะสัมผัสได้ ด้วยอาการนั้นสติปัฏฐาน 4 ก็ยังชื่อว่า บริบูรณ์
มีนิวรณ์อันสงบระงับ

ในเบื้องต้นจับความรู้สึกเช่นนี้ก็เพียงพอ

เจริญธรรม

ขอโทษนะคะ... แต่ว่า เราไม่ได้เจริญ นิวรณ์ อะไรก็ตามที่คุณพูดมาทั้งสิ้นคะ
แล้วคุณบอกว่าเราฟุ้ง นึกว่าเป็นสมถะบ้าง วิปัสสนา อะไรบ้าง คุณมั่วหรือเปล่าคะ เราไม่ได้คิดอะไรทั้งสิ้นคะ เราแค่ดูตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในขณะนั้นในจิตใจของเรา
โกรธ ก็รู้ว่าโกรธ ฟุ้งก็รู้ว่าฟุ้ง

นี่คือ การเจริญสติปัฏฐานของเราคะ

กรุณาอย่าสับสน

แล้วที่คุณพูดมาน่ะ เราว่าไม่ใช่เจริญสติปัฏฐานหรอก ก็แค่หนีกิเลสไปเป็นพรหมลูกฟักก็แค่นั้นแหละ

และสุดท้าย เราไม่ได้ต้องการเบื้องต้นด้วยคะ

เราว่าคุณยังสอบอารมณ์คนไม่ได้หรอกคะ
พูดจริงๆ

.....................................................
หากไม่สนใจหลักธรรมปลีกย่อย แล้วจะบรรลุหลักธรรมใหญ่ได้ยังไง -- กวนอู

"ทรัพยกรมนุษย์หากตายไป บริษัทฯ สามารถหามาแทนได้ แต่ทรัพยากรครอบครัวนั้น ครอบครัวไม่สามารถหามาแทนได้"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 เม.ย. 2010, 23:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 มี.ค. 2010, 23:38
โพสต์: 193

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


2 - 4 - 2553

วันนี้ อุปสรรค์เยอะมาก เยอะจนน่ารำคาญ วันนี้ที่ตั้งใจจะเดินสัก20นาทีหน่อย ขอเลิกทำละกัน ไม่ไหวแล้ว หงุดหงิด
มีคนโทรมา เดินขึ้นเดินลง โดนไล่ที่ ตลอด เบื่อละ

วันนี้ก็ถามตัวเองอีกแล้วว่าจะเดินต่อไปทำไมเนี่ย ทำไมต้องมาเดิน
แล้วเราก็นึกๆ เรื่องที่แบบว่า เป็นความทุกข์ เห็นคนต้องทำงานทุกวัน น่าเบื่อออก
แล้วก็ตอนนี้น่ะ รู้สึกว่าอยากจะเป็นอิสระจากกิเลสที่สุดเลยละ

ก็เลยต้อง รู้สึกพยายามมากกว่านี้... แต่ก็ อุปสรรค์มันเยอะจริงๆนะช่วงนี้ ไม่รู้ว่าต้องถือสุภาษิตบทไหนดี ระหว่าง
"มารไม่มี บารมีไม่เกิด" กับ "ชดใช้กรรมไปจนกว่าจะหมดวาระนั้นๆ"

ตอนนี้ ก็เลยไม่รู้ว่าจะเครียดเรื่องไหนดี พอคิดอีกที ไม่เครียดน่าจะดีกว่า
ตอนนี้ก็เลยกลายเป็นความเครียดที่ก้ำกึ่ง แบบแปลกๆว่างั้น

เคยอธิษฐาน ขอความกล้าหาญ
ตอนนี้ก็คิดว่า จะกล้ามากขึ้นนิดๆ แล้วละ แต่ก็ต้องพยายามอยู่ดี
บอกกะตัวเองว่าไม่เป็นไร เชื่อมั่นในตัวเองนี่แหละ ดีที่สุดแล้วมั้ง

.....................................................
หากไม่สนใจหลักธรรมปลีกย่อย แล้วจะบรรลุหลักธรรมใหญ่ได้ยังไง -- กวนอู

"ทรัพยกรมนุษย์หากตายไป บริษัทฯ สามารถหามาแทนได้ แต่ทรัพยากรครอบครัวนั้น ครอบครัวไม่สามารถหามาแทนได้"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 เม.ย. 2010, 00:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ขอโทษนะคะ... แต่ว่า เราไม่ได้เจริญ นิวรณ์ อะไรก็ตามที่คุณพูดมาทั้งสิ้นคะ
แล้วคุณบอกว่าเราฟุ้ง นึกว่าเป็นสมถะบ้าง วิปัสสนา อะไรบ้าง คุณมั่วหรือเปล่าคะ เราไม่ได้คิดอะไรทั้งสิ้นคะ เราแค่ดูตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในขณะนั้นในจิตใจของเรา
โกรธ ก็รู้ว่าโกรธ ฟุ้งก็รู้ว่าฟุ้ง

นี่คือ การเจริญสติปัฏฐานของเราคะ
กรุณาอย่าสับสน


ฟุ้งตามสบาย

อ้างคำพูด:
แล้วที่คุณพูดมาน่ะ เราว่าไม่ใช่เจริญสติปัฏฐานหรอก ก็แค่หนีกิเลสไปเป็นพรหมลูกฟักก็แค่นั้นแหละ
และสุดท้าย เราไม่ได้ต้องการเบื้องต้นด้วยคะ
เราว่าคุณยังสอบอารมณ์คนไม่ได้หรอกคะ
พูดจริงๆ


หลงในทิฏฐิ อย่างยากไถ่ถอน
ตามสบายนะ
Onion_L Onion_L

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 เม.ย. 2010, 00:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 มี.ค. 2010, 23:38
โพสต์: 193

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
อ้างคำพูด:
ขอโทษนะคะ... แต่ว่า เราไม่ได้เจริญ นิวรณ์ อะไรก็ตามที่คุณพูดมาทั้งสิ้นคะ
แล้วคุณบอกว่าเราฟุ้ง นึกว่าเป็นสมถะบ้าง วิปัสสนา อะไรบ้าง คุณมั่วหรือเปล่าคะ เราไม่ได้คิดอะไรทั้งสิ้นคะ เราแค่ดูตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในขณะนั้นในจิตใจของเรา
โกรธ ก็รู้ว่าโกรธ ฟุ้งก็รู้ว่าฟุ้ง

นี่คือ การเจริญสติปัฏฐานของเราคะ
กรุณาอย่าสับสน


ฟุ้งตามสบาย

อ้างคำพูด:
แล้วที่คุณพูดมาน่ะ เราว่าไม่ใช่เจริญสติปัฏฐานหรอก ก็แค่หนีกิเลสไปเป็นพรหมลูกฟักก็แค่นั้นแหละ
และสุดท้าย เราไม่ได้ต้องการเบื้องต้นด้วยคะ
เราว่าคุณยังสอบอารมณ์คนไม่ได้หรอกคะ
พูดจริงๆ


หลงในทิฏฐิ อย่างยากไถ่ถอน
ตามสบายนะ
Onion_L Onion_L


พูดแบบนี้ก็ไปไกลๆเลยคะ ไม่ต้อนรับ Onion_L Onion_L

.....................................................
หากไม่สนใจหลักธรรมปลีกย่อย แล้วจะบรรลุหลักธรรมใหญ่ได้ยังไง -- กวนอู

"ทรัพยกรมนุษย์หากตายไป บริษัทฯ สามารถหามาแทนได้ แต่ทรัพยากรครอบครัวนั้น ครอบครัวไม่สามารถหามาแทนได้"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 เม.ย. 2010, 01:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


varinne เขียน:
พูดแบบนี้ก็ไปไกลๆเลยคะ ไม่ต้อนรับ Onion_L Onion_L


ไปไกลๆ อย่างไร สภาวะเป็นอย่างไร :b6: :b19: :b9:

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 เม.ย. 2010, 20:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 มี.ค. 2010, 23:38
โพสต์: 193

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


3 เมษายน 2553
เดิน 30 นั่ง 5

ในที่สุดก็ได้ทำกรรมฐานในเวลาที่ปกติเสียที
เพราะวันนี้เริ่มเดินตั้งแต่ 1 ทุ่ม ด้วยความตั้งใจว่าจะให้ครบเวลาเสียที

วันนี้เดินก็ มีสมาธิในการเดินนะ เดินสามระยะเหมือนเดิมคือ ซ้าย/ย่าง/หนอ กับ ขวา/ย่าง/หนอ
ตอนนี้คิดเรื่องที่จะพิจารณาไม่ออกเลย ก็เลยเลิกคิดหันมาให้ความสำคัญกับการเจริญสติกว่า
คือเดินดูเท้าไปเรื่อยๆ เพราะว่าพี่ที่ดูแลเราอยู่บอกเราว่า พิจารณานำหน้าสติ
ดังนั้นเราก็เลยต้องฝึกสติเพื่อให้ทั้งสองอย่างเท่ากันละ จึงจะก้าวหน้าไปได้ดียิ่งขึ้น
ก็ มีใจร้อนบ้าง หรือว่าฟุ้งไปเรื่องอื่นบ้าง พอรู้สึกตัวก็จะหยุดเดินแล้วกำหนดรู้หนอๆๆ ก่อนจะเดินต่อ

วันนี้เจอตัว พิโรธ
อย่าง โกรธใคร หรืออะไร อย่างนี้
ก็นะ ช่วงนี้เจอคนเกรียนๆในเกมไป ก็เลยด่า(แบบสุภาพ) ไปเต็มเหนี่ยว แต่มันก็โมโหนะ
เล่าให้แฟนฟัง เขาก็บอกว่า "อย่าไปสนคนพวกนี้เลย ทำให้ใจหมองเปล่าๆ"
เอ่อ.. มันก็จริงนะ แต่ว่าเราเป็นพวกชอบลองของน่ะ ต้องลองจนเบื่อก่อนจึงจะเข้าใจ

วันนี้ก็เดินอย่างมีความสุข เพราะว่ามันสงบดี แต่ก็เจอตัว โทสะ นี่แหละ
ที่วันนี้หรือว่าช่วงนี้ เจอตัวนี้มากเป็นพิเศษ ก็เลยพอรู้กรายๆแล้วว่า ถึงเวลาที่จะกำจัดกิเลสตัวนี้แล้วละ

ช่วงนี้มีความสุขดีนะ ใจมันเลิกวุ่นวายแล้ว มันแบบไม่สนใจอะไรที่เป็นของนอกกายแล้ว
สนใจแค่คุณค่าทางจิตใจ แต่ก็มีบ้างนะที่เผลอไป เพราะว่ายังมีอวิชชาอยู่ ก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติของคนธรรมดานะ
แต่ก็เป็นคนธรรมดาที่เริ่มใฝ่หาความดีล่ะ

แต่ว่าช่วงท้ายๆเดินแล้วปวดขามาก ไม่รุ้เพราะเดินอย่างตั้งใจเดิน มารผจญ หรือว่าอะไรก็แล้วแต่ แต่ก็ไม่ได้สนใจ ดูเท้าไปเรื่อยๆ ก็ภาวนาอยู่ในใจนะว่าเมื่อไหรจะหมดเวลาหนอ... 30นาทีช่างเป็นเวลาที่นานจริงๆนะ แต่สุดท้ายเราก็เดินจนครบละ เราคิดนะว่า 30นาทีในช่วงเวลานั้นมันช่างยาวนาน แต่ถ้าวันพรุ่งนี้มาถึงก็จะหวนกลับไปคิดว่า 30นาทีของเมื่อวานช่างสั้นยิ่งกว่ากระพริบตาอีก ดังนั้นถ้ามีโอกาสได้สร้างช่วงเวลาหนึ่งๆให้เป็นช่วงเวลาที่มีคุณค่าแล้ว ก็ไม่ควรที่จะเลิกล้มคุณค่านั้นอย่างเด็ดขาด

ตอนนี้สิ่งที่เป็นกำลังใจที่ทำให้เดินกรรมฐานต่อไปในยามที่ไม่อยากเดินก็คือ
"เราอยากจะเป็นอิสระจากกิเลสนะ"
เพราะตอนนี้เรารู้แล้วว่า เรากำลังขาดอิสระเพราะถูกกิเลสบดบังความจริงไว้
ตอนนี้เราอยากเป็นอิสระ อยากทำอะไรที่เราสามารถมีความสุขไปกับมันได้ หรือพูดง่ายๆก็คือ อยากหาสิ่งที่ตัวเองชอบให้เจอและมีความสุขไปกับมันด้วยความบริสุทธิ์ใจจริงๆ อยากจะทำให้ได้อย่างนั้นเร็วๆ

แต่ว่าตั้งแต่เดินมา ถ้านึกเทียบกับแต่ก่อนแล้ว ตอนนี้เรามีอิสระมากขึ้น และเราก็กล้าหาญที่จะเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น
เราแทบไม่สร้างความเดือดร้อนให้คนอื่นเลยล่ะ ดังนั้นตอนนี้ก็เลยค่อนข้างมีความสุขและก็สบายใจมาก

ส่วนตอนนั่ง ก็ คิดได้คร่าวๆว่า
กิเลสมันก็เท่านั้นแหละ ถ้าไม่เอาจิตไปข้องเกี่ยวกับกิเลสก็ดี

คิดได้เพียงช่วงสั้นๆ และเราก็รู้ว่า ถ้าถึงเวลาของเราแล้ว จิตมันจะยอมละกิเลสไปโดยอัตโนมัติ โดยที่ไม่ต้องทำอะไรเลย

จบการบันทึกเพียงเท่านี้

.....................................................
หากไม่สนใจหลักธรรมปลีกย่อย แล้วจะบรรลุหลักธรรมใหญ่ได้ยังไง -- กวนอู

"ทรัพยกรมนุษย์หากตายไป บริษัทฯ สามารถหามาแทนได้ แต่ทรัพยากรครอบครัวนั้น ครอบครัวไม่สามารถหามาแทนได้"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 เม.ย. 2010, 23:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


varinne เขียน:
3 เมษายน 2553


ในที่สุดก็ได้ทำกรรมฐานในเวลาที่ปกติเสียที
เพราะวันนี้เริ่มเดินตั้งแต่ 1 ทุ่ม ด้วยความตั้งใจว่าจะให้ครบเวลาเสียที


วันนี้เจอตัว พิโรธ อย่าง โกรธใคร หรืออะไร อย่างนี้
เราเป็นพวกชอบลองของน่ะ ต้องลองจนเบื่อก่อนจึงจะเข้าใจ

วันนี้ก็เดินอย่างมีความสุข เพราะว่ามันสงบดี แต่ก็เจอตัว โทสะ นี่แหละ
ที่วันนี้หรือว่าช่วงนี้ เจอตัวนี้มากเป็นพิเศษ ก็เลยพอรู้กรายๆแล้วว่า ถึงเวลาที่จะกำจัดกิเลสตัวนี้แล้วละ

ช่วงนี้มีความสุขดีนะ ใจมันเลิกวุ่นวายแล้ว มันแบบไม่สนใจอะไรที่เป็นของนอกกายแล้ว
สนใจแค่คุณค่าทางจิตใจ แต่ก็มีบ้างนะที่เผลอไป เพราะว่ายังมีอวิชชาอยู่ ก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติของคนธรรมดานะ
แต่ก็เป็นคนธรรมดาที่เริ่มใฝ่หาความดีล่ะ

30นาทีช่างเป็นเวลาที่นานจริงๆนะ แต่สุดท้ายเราก็เดินจนครบละ เราคิดนะว่า 30นาทีในช่วงเวลานั้นมันช่างยาวนาน แต่ถ้าวันพรุ่งนี้มาถึงก็จะหวนกลับไปคิดว่า 30นาทีของเมื่อวานช่างสั้นยิ่งกว่ากระพริบตาอีก ดังนั้นถ้ามีโอกาสได้สร้างช่วงเวลาหนึ่งๆให้เป็นช่วงเวลาที่มีคุณค่าแล้ว ก็ไม่ควรที่จะเลิกล้มคุณค่านั้นอย่างเด็ดขาด

ตอนนี้สิ่งที่เป็นกำลังใจที่ทำให้เดินกรรมฐานต่อไปในยามที่ไม่อยากเดินก็คือ
"เราอยากจะเป็นอิสระจากกิเลสนะ"
เพราะตอนนี้เรารู้แล้วว่า เรากำลังขาดอิสระเพราะถูกกิเลสบดบังความจริงไว้
ตอนนี้เราอยากเป็นอิสระ อยากทำอะไรที่เราสามารถมีความสุขไปกับมันได้ หรือพูดง่ายๆก็คือ อยากหาสิ่งที่ตัวเองชอบให้เจอและมีความสุขไปกับมันด้วยความบริสุทธิ์ใจจริงๆ อยากจะทำให้ได้อย่างนั้นเร็วๆ

แต่ว่าตั้งแต่เดินมา ถ้านึกเทียบกับแต่ก่อนแล้ว ตอนนี้เรามีอิสระมากขึ้น และเราก็กล้าหาญที่จะเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น
เราแทบไม่สร้างความเดือดร้อนให้คนอื่นเลยล่ะ ดังนั้นตอนนี้ก็เลยค่อนข้างมีความสุขและก็สบายใจมาก

ส่วนตอนนั่ง ก็ คิดได้คร่าวๆว่า
กิเลสมันก็เท่านั้นแหละ ถ้าไม่เอาจิตไปข้องเกี่ยวกับกิเลสก็ดี

คิดได้เพียงช่วงสั้นๆ และเราก็รู้ว่า ถ้าถึงเวลาของเราแล้ว จิตมันจะยอมละกิเลสไปโดยอัตโนมัติ โดยที่ไม่ต้องทำอะไรเลย





อนุโมทนาค่ะ :b8:

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 เม.ย. 2010, 00:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


1 มีค. 49
04.20 เดิน 5 นาที นั่ง 20 นาที แรกๆง่วง แต่สักพักดีขึ้น
11.05 เดิน 5 นาที นั่ง 20 นาที
20.00 เดิน 1/2 ชม. นั่ง 45 นาที ฟุ้งตลอด กำหนดได้เป็นระยะๆ ปวดช่วงท้ายๆ กำหนดพอได้

2 มีค.
04.15 เดิน 5 นาที นั่ง 20 นาที
10.21 เดิน 5 นาที นั่ง 20 นาที
20.00 เดิน 45 นาที นั่ง 45 นาที ฟุ้งน้อยลง ปวดพอทนได้ ปวดเป็นพักๆ
ใกล้หมดเวลา ปวดมากๆ แต่ก็ผ่านไปได้

3 มีค.
04.25 เดิน 5 นาที นั่ง 20 นาที
10.30 เดิน 15 นาที นั่ง 20 นาที
20.55 เดิน 45 นาที นั่ง 45 นาที เดินกำหนดได้ดี ฟุ้งเป็นระยะ แต่กำหนดได้ทัน

4 มีค.
04.20 เดิน 20 นาที นั่ง 20 นาที
10.30 เดิน 15 นาที นั่ง 20 นาที
20.55 เดิน 45 นาที นั่ง 45 นาที
เดินกำหนดได้ดีมากขึ้น ฟุ้งเป็นระยะ พอกำหนดได้ นั่ง ยังเหมือนเดิม

5 มีค.
05.45 เดิน 5 นาที นั่ง 10 นาที
วันนี้วันอาทิตย์ เราตื่นสาย เมื่อคืนนอนดึก เรายังไม่พยายาม ความพยายามมีน้อยเกินไป
ต้องฝืนใจให้ตื่น ยังชอบตามใจตัวเองอยู่ เกี่ยวกับเรื่องเวลา ต้องบังคับตัวเองให้ได้มากกว่านี้
21.50 เดิน 20 นาที นั่ง 20 นาที

6 มีค.
21.00 เดิน 45 นาที นั่ง 45 นาที
อยากรู้หนอเหมือนหลวงพ่อหรือแบบลูกศิษย์หลวงพ่อ ตอนนี้ได้แต่ยึดหลวงพ่อเป็นหลัก

ตรงนี้อ่านแล้วก็ขำๆตัวเอง ความอยากเยอะจริงๆ อยากรู้หนอ


7 มีค.
20.00 เดิน 50 นาที นั่ง 50 นาที
เดินกำหนดได้ดี เดินรอบละ 1/2 ชม. ทำแบบหลวงพ่อสอน คือ เดินให้ช้าที่สุด
นั่ง วันนี้สมาธิดีกว่าทุกวันที่ปฏิบัติ ปวดพอทนได้ มาฟุ้งตอนเกือบหมดเวลา
ยังคงมีอาการเหมือนเดิมคือ ช่วงเวลาหายไป พอรู้ตัวอีกทีคือใกล้จะหมดเวลาแล้ว
ระว่างเวลาที่หายไป ไม่มีอะไรเลย เวทนาไม่มี คือไม่มีอะไรเลยจริงๆ เหมือนเราไม่ได้นั่งอยู่
ที่ว่าหลวงพ่อสอนนั้น เป็นสิ่งที่อ่านเจอในหนังสือ ไม่ใช่หลวงพ่อสอนให้
สมาธิคงเข้าสู่ระดับลึกเหมือนเดิม


8 มีค.
เดิน 1 ชม. นั่ง 1 ชม.
เดิน รู้เวทนาตลอด ฟุ้งกำหนดได้ พยายามเดินช้าๆ
นั่ง วันนี้แปลกจัง เราจับได้ช่วงแรกๆ เรากำหนดได้ คือ ปลายจมูก ณหทัย สะดือ แล้วเข้าพองยุบ
พอกำหนดได้สักพัก เรารู้สึกตัวตลอดนะ แต่แปลกจริงๆ เราว่าเราเพิ่งนั่งได้แป๊บเดียว
แต่ทำไมจึงปวดมากๆแบบนั้น เหมือนใกล้จะหมดเวลา เราก็เลยลืมตาดูนาฬิกา ปรากฏว่า
เหลืออีก 5 นาที หมดเวลา แล้วเวลาที่เรานั่งอยู่ก่อนนี้ล่ะ มันหายไปไหน ทำไมไม่รู้สึกตัว
ไม่ได้หลับเลยนะ ไม่มีงูบหรือโงกด้วย

9 มีค.
20.55 เดิน 1 ชม. นั่ง 1 ชม.
เดิน มีอยู่ช่วงหนึ่งเกิดสมาธิในขณะที่กำหนดยืนอยู่ เดินกำหนดได้ทันตลอด
นั่ง มีอยู่ช่วงหนึ่ง พอเรารู้ตัวว่าเหมือนๆกับเราจะเกิดสมาธิ เราไม่แน่ใจ แต่คิดว่าใช่
เรากำหนดสติตามรู้ตลอดวันนี้ ความรู้สึกตัวหายไป ลมหายใจหายไปมีแว๊บเดียว นอกนั้นรู้ตัวตลอด
ปวดพอทนได้ ก็ยังขยับหัวเข่าอยู่

10 มีค.
04.05 กำหนดยืนแล้วนั่งเลย 30 นาที
22.15 เดิน 1/2 ชม. นั่ง 1/2 ชม.

11 มีค.
04.15 ยืนแล้วกำหนดนั่ง 30 นาที

13 มีค.
19.15 เดิน 1 ชม. นั่ง 1 ชม.เดินกำหนดได้ตลอด นั่งมีปวดตอนท้ายๆ
ตั้งแต่วันเสาร์ มีเรื่องเครียดมากๆ ตอนแรกคิดจะไปวัด แต่สุดท้ายไม่ได้ไป เพราะคิดว่า ทำไมเวลาดีๆ
ถึงไม่ไปวัด พอมีปัญหาทีไรจะไปวัดทุกที ทำไมไม่พยายามทำที่บ้านให้ต่เนื่อง แล้วแก้ปัญหาเอง

14 มีค.
03.40 กำหนดยืนแล้วนั่ง 30 นาที
23.55 ไม่ได้เดินจงกรม แค่สวดมนต์ นั่งสักพัก แล้วแผ่เมตตา เบื่อ

16 มีค.
00.30 สวดมนือย่างเดียว

17 มีค.
20.30 เดิน 45 นาที นั่ง 45 นาที
เดินมีสมาธิดี กำหนดได้ตลอด มีฟุ้งแต่กำหนดได้ทัน
นั่ง วันนี้อาจจะเป็นวันแรกที่ปฏิบัติในวันนี้ กำหนดได้ดี มีอยู่ช่วงหนึ่งลืมตัว พอปวดแล้วไปขยับขา

ไปวัดอัมพวัน 21-24 มีค.

26 มีค.
เดิน 1/2 ชม. นั่ง 1/2 ชม.

27 มีค.
22.20 เดิน 1/2 ชม. นั่ง 1/2 ชม.

28 มีค.
เดิน 20 นาที นั่ง 20 นาที เบื่อชีวิต

29 มีค.
21.50 เดิน 1/2 ชม. นั่ง 1/2 ชม.

30 มีค.
23.10 เดิน 1/2 ชม. นั่ง 1/2 ชม.

31 มีค.
00.00 เดิน 1/2 ชม. นั่ง 1/2 ชม.


เวลามาลงสภาวะเก่านี้ รู้สึกดีใจลึกๆที่ไม่หลงสภาวะว่าตัวเองได้อะไร เป็นอะไร
เพราะความที่ไม่รู้จักอะไรเลย คำเรียกต่างๆก็ไม่รู้จัก คิดว่าตัวเอง บรรลุ
ตอนที่ว่า ตัวหาย ลมหายใจหาย แบบนั้นล่ะยุ่งเลย คงไม่มีเราในวันนี้อย่างแน่นอน
ถึงจะทำแบบโง่ๆเซ่อๆนี่ มาว่ากันไม่ได้เลยนา รู้มากจะยากนานนะ บางทีน่ะ
พอรอ่านมาก รู้มาก เลยยึดติด และผสมกับความอยาก เลยทำให้หลงสภาวะ



.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 เม.ย. 2010, 21:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว



3-21 เมย.
ปฏิบัติทุกวัน เดิน 1/2 ชม. นั่ง 1/2 ชม.

24-26 ไปปฏิบัติที่วัดอโศ งานท่านพ่อลี
เบื่อชีวิตมากๆเลย

27 เมย.
จู่ๆไม่สบายเอง ไม่มีสาเหตุ ปวดหัวมากๆ และเป็นไข้หวัด เลยไม่ได้ทำ

30 เมย.
ไม่สบายมาหลายวัน ไม่ได้ทำเลย นี่ยังไม่ค่อยดีเท่าไหร่ หัวยังตื้อๆ กำหนดยืนแล้วนั่ง 15 นาที

..................................................................................

1-5 พค.
23.52 กำหนดยืนแล้วนั่ง 15 นาที

6- 21 พค.
สวดมนต์อย่างเดียว

22-25 พค.
กำหนดยืนแล้วนั่ง 15 นาที

26 พค.
22.08 เดิน 15 นาที นั่ง 15 นาที

27 พค.
เดิน 20 นาที นั่ง 20 นาที

..........................................................................

3 มิย.
ไม่ได้ปฏิบัติมาหลายวัน เราก็รู้ว่า ทำความดีต้องมีวิบากกรรมที่เราต้องชดใช้เร็วขึ้น
แต่ตรงนี้เราต้องการใช้หนี้เขาไปให้หมด เราต้องอดทน

6 มิย. 09.16 เดิน 15 นาที นั่ง 15 นาที

7 มิย.
เช้า เดิน 15 นาที นั่ง 15 นาที
20.50 เดิน 20 นาที นั่ง 20 นาที

8 มิย. เดิน 15 นาที นั่ง 15 นาที

9 มิย. เดิน 15 นาที นั่ง 15 นาที

10 มิย. เดิน 15 นาที นั่ง 15 นาที

12 มิย. เดิน 20 นาที นั่ง 20 นาที

13 มิย. เดิน 30 นาที นั่ง 30 นาที

14 มิย.
09.25 เดิน 15 นาที นั่ง 15 นาที
22.50 เดิน 35 นาที นั่ง 35 นาที

15-18 มิย. สวดมนต์อย่างเดียว

19 มิย. กำหนดยืนแล้วนั่ง 15 นาที

20 มิย. กำหนดยืนแล้วนั่ง 15 นาที

21 -26 มิย. สวดมนต์อย่างเดียว

27 มิย. เดิน 30 นั่ง 30

28 มิย. เดิน 30 นั่ง 30
เรากำลังติดคอมฯ เพราะเราชอบอ่านหนังสอ พอเข้าไปในเว็บ เราอยากอ่านอย่างต่อเนื่อง
เรารู้สึกเสียเวลาไปเยอะ แทนที่จะทำอย่างอื่นดีกว่า เราต้องเลิกที่จะแตะคอมฯ
มันเป็นเรื่องกรรมของแต่ละคน อย่าไปสนใจเลย สนใจแก้ปัญหาของตัวเองให้ได้ก่อน
แล้วค่อยไปช่วยคนอื่นๆเขา ว่ายน้ำยังไม่เป็น แล้วจะไปช่วยคนอื่นได้อย่างไร
เอาเวลามาปฏิบัติดีกว่า เศร้าใจกับพฤติกรรมของตัวเองจริงๆ ทำอะไรที่ไม่มีสติอีกแล้ว

.........................................................................................

2 กค. กำหนดยืนแล้วนั่ง 15 นาที

3 กค.
04.00 กำหนดยืนแล้วนั่ง 35 นาที
23.00 กำหนดยืนแล้วนั่ง 15 นาที

4 กค. กำหนดยืนแล้วนั่ง 15 นาที

6 กค. เดิน 30 นั่ง 30

8 กค. เดิน 30 นั่ง 30

วันที่ไม่ได้ลงเลย คือ สวดมนต์อย่างเดียว ไม่ได้ปฏิบัติ

26 กค. เดิน 1 ชม. นั่ง 1 ชม.

28 กค. เดิน 1/2 ชม. นั่ง 1/2 ชม.

29 กค. เดิน 1/2 ชม. นั่ง 1/2 ชม.

30 กค. เดิน 1 ชม. นั่ง 1ชม.

31 กค. 21.47 เดิน 1 ชม. นั่ง 1 ชม. วันนี้ง่วงมากๆ กำหนดไม่ได้เลย

..........................................................................................

8-15 สค. ไปวัดอัมพวัน

15 สค. เพิ่งกลับมา 20.50 เดิน 1 ชม. นั่ง 1 ชม.

16 สค. เดิน 1 ชม. นั่ง 1ชม.

17 สค. เดิน 1 ชม. นั่ง 1 ชม.
เหลือ 15 นาที ปวดมากๆ ลืมตาดูเวลา

18 สค. เดิน 1 ชม. นั่ง 45
เวลาเดินแล้วสังเกตุเอา ค่อยเพิ่มเวลาไปเรื่อยๆ

22 สค. สวดอิติปิโส 407 จบ

23 สค. เดิน 45 นั่ง 30
วันนี้พอกำหนดได้บ้าง รู้ตัวตลอดไม่หลับ ทำดีไม่ได้ผล เพราะทำตนลุ่มๆดอนๆ

24 สค. เดิน 30 นั่ง 30
วันนี้เดินกับนั่งเท่ากัน ดูสิว่าจะเป็นยังไง ถ้าไม่ไหว ค่อยๆปรับ

27 สค. เดิน 30 นั่ง 30
...............................................................................

1-6 สวดมนต์แล้วนั่ง ไม่ได้กำหนดเวลา

7 กย. สวดอิติปิโส มากกว่าอายุ 1 จบ เดิน 1/2 ชม. นั่ง 1/2 ชม.

9 กย. สวดอิติปิโสมากกว่าอายุ 1 จบ เดิน 30 นั่ง 30

10 กย. สวดอิติปิโสมากกว่าอายุ 1 จบ เดิน 40 นั่ง 40

11 กย.สวดอิติปิโสมากกว่าอายุ 1 เดิน 45 นั่ง 45

21 กย. สวดอิติปิโสมากกว่าอายุ 1 เดิน 30 นั่ง 30

22 กย. สวดอิติปิโสมากกว่าอายุ 1 เดิน 30 นั่ง 30 ทำ2 รอบ เช้ากับค่ำ

23 กย.สวดอิติปิโสมากกว่าอายุ 1 เดิน 35 นั่ง 35 นั่งนับประคำ หลับทุกที

26 กย. สวดอิติปิโสมากกว่าอายุ 1 เดิน 30 นั่ง 30 กำหนดได้นะ
........................................................................................

14 ตค.สวดอิติปิโสมากกว่าอายุ 1 เดิน 35 นั่ง 35

15 ตค.สวดอิติปิโสมากกว่าอายุ 1 เดิน 45 นั่ง 45
เครียดมากๆ โดนกระหนาบด้วยบ้านสองหลังที่มีแต่คนขี้เหล้า ทั้งกินเหล้าส่งเสียงดังยังไม่พอ
ร้องคาราโอเกะอีก กรรมล้วนเกิดจากการกระทำ เราเองก็ทำมั่ง ไม่ทำมั่ง สุดจะทนจริงๆ
พยายามทำใจ สวดมนต์แผ่เมตตา ภาวนาขอให้มีอะไรดลจิตดลใจให้คนเหล่านี้ย้ายบ้านไป

เป็นการชดใช้หนี้นะ เราสมัยก่อน ก่อนที่จะหันมาปฏิบัติ คบเพื่อนเยอะ แล้วก็มีแต่ประเภทนี้
นี่เรากำลังถูกชดใช้ แต่ตอนนั้นเรายังไม่รู้ คือรู้ แต่ใจมันยังไม่ยอมรับในสิ่งที่ตัวเองเคยทำเอาไว้ในอดีต


19 ตค.สวดอิติปิโสมากกว่าอายุ 1 เดิน 30 นั่ง 30

26 ตค. ติดเกมส์อย่างหนัก เวลาเล่นเกมส์ เล่นสว่างคาตาทุกคืน ทำยังไงดี ถึงจะเลิกเล่นเกมส์ได้
........................................................................................................

27 ธค. เช้า เดิน 25 นั่ง 25 เย็น เดิน 30 นั่ง 30
...............................................................................

4 มค.50
เดิน 1 ชม. นั่ง 1 ชม.
วันนี้สามารถแยกจิตออกจากกายได้ โดยไม่ไปรู้ในเวทนา แต่รู้ในอาการเวทนาที่เกิดขึ้น
ได้แค่ดูอย่างเดียว แต่ไม่ได้เอาใจเข้าไปข้องกับเวทนาแต่อย่างใด

8 มค. เดิน 30 นั่ง 30

17 มค. เดิน 1 ชม. นั่ง 1 ชม.

18 มค. เดิน 1 ชม. นั่ง 1 ชม.
.......................................................................

วิธีรายงานอารมณ์โดยย่อ

1. สามารถกำหนดการเคลื่อนไหวอริยาบทย่อยทั้งวันที่ผ่านมา ได้อย่างต่อเนื่องหรือไม่?

2.จับสภาวะอาการพองยุบ อาการเดิน ได้หรือไม่?

3. รักษาทวารทางตา ได้หรือไม?

4. กำหนดสภาวะของจิตและความนึกคิด ได้หรือไม่?

5. กำหนดเวทนา ได้อย่างไร?

6. กำหนดอาการทวารทั้ง 6 ได้ทันหรือไม่? และได้ประสพอาการอะไร จากการกำหนด

7.ให้รายงานประสพการณ์ ตามความเป็นจริง ไม่ใช่คิดเดาขึ้น
รายงานอารมณ์ เท่าที่จำได้ และปรากฏชัด

8. การส่งอารมณ์ ควรพูดเฉพาะ เนื้อหา สาระ ประเด็นสำคัญๆเท่านั้น
เพื่อจะได้มีเวลาชี้แนะข้อควรปฏิบัติต่อไป



เราพยายามหาวิธีการให้กับตัวเอง อันนี้จำไม่ได้ว่าไปนำมาจากไหน รู้แต่ว่า เป็นหลักการสอบอารมณ์
ของหลวงพ่อโชดก เราเลยนำมาเป้นหลักให้กับตัวเอง และสอบอารมณ์ตัวเอง ตามความเป็นจริง
การปฏิบัติของเราเริ่มจับหลักต่างๆได้มากขึ้น เริ่มจับสภาวะได้ชัดก็เนื่องจากทำตามการสอบอารมณ์
ก็แอบไปอ่านล่วงหน้าแล้ว ตอนหลังๆนี่ บันทึกรายละเอียดของสภาวะมากขึ้น ไม่ใช่เขียนบันทึกแบบก่อน

ก็นับว่า กุศลของเรายังมีทางนี้อยู่ ถึงจะทำแบบโง่ๆงมๆ ไม่รู้เรื่องรู้ราวหรือไปรู้อะไรเลย
ทำแบบล้มลุกคลุกคลานมาตลอด ทำไม่ต่อเนื่อง ทำมั่งไม่ทำมั่ง แต่สิ่งที่ทำลงไปนั้นมีแต่กุศล
เมื่อเวลาถึงวาระที่ส่งผล ย่อมส่งผลตามวาระ เลยทำให้เรามาพบหลักการสอบอารมณ์ตรงนี้
เลยทำให้เราเริ่มปฏิบัติเข้าที่เข้าทางมากขึ้น เริ่มเป็นผู้เป็นคนมากขึ้น เริ่มรู้จักกิเลสมากขึ้น
เพียงแต่ยังไม่รู้จักคำว่า " กิเลส " โดยสภาวะ เพียงทำตาหลักการที่ให้ไว้อย่างเดียว

หลักการอันนี้ดีนะ อย่างน้อย ทำให้เราเอาจิตจดจ่ออยู่ในกายและจิตของเรามากขึ้น
สนใจเรื่องการปฏิบัติมากขึ้น เดี๋ยวจะนำเรื่อง หลักการสอบอารมณ์นี้ไปลงไว้ในบล็อก
เผื่อใครๆที่ไม่มีพี่เลี้ยง หรือ ห่างไกลครูบาฯ จะได้นำไปใช้กับตัวเองได้

จริงๆแล้ว เรื่องราวการปฏิบัติของเรามีเยอะนะ แต่ที่มีบันทึกไว้ ก็นำมาลงที่ตามบันทึก
ก่อนหน้านั้นไม่มีเลย เพราะเป็นคนไม่ชอบเขียนสมุดบันทึก คือ ชอบอ่าน ไม่ชอบเขียน
แต่พอมาปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง ทำให้ต้องเขียน ไม่งั้นจะไม่รู้เรื่องราวของสภาวะที่เกิดขึ้น

เวลามาอ่านสภาวะเก่าๆนี่ ก็ทึ่งตัวเองเหมือนกัน ทำได้ไง อึดจริงๆ เหมือนจะเลิก แต่ไม่เลิก
สารพัดปัญหา อาจจะเพราะ อยากรู้หนอ เหมือนหลวงพ่อกระมัง ที่ทำให้มีกำลังใจที่จะทำต่อ
ก็อย่างที่บอก นับว่ากุศล ที่ไม่รู้เรื่อง ไม่รู้ปริยัติ ไม่รู้คำศัพท์ต่างๆ เลยทำให้ผ่านอุปกิเลสไปได้
แบบสบายๆ ไม่มาติดเหมือนคนอื่นๆเขา นิมิตก็ไม่ติด เพราะของเหล่านั้น เราเห็นมาตั้งแต่จำความได้
เลยกลายเป็นเรื่องปกติสำหรับเรามากๆในการเห็นนิมิต หรือไปรู้อะไรๆต่างๆ ไปรู้เหตุการณ์
ที่จะเกิดขึ้นล่วงหน้า เลยทำให้ ไม่ไปหลงสภาวะ หลงว่าตัวเองได้อะไร หรือไปเป็นอะไร

ตรงนี้สำคัญมากๆนะ ความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่อ่านพบ แล้วนำมาเทียบเคียงกันเอาเอง
เลยทำให้เข้าใจสภาวะไปแบบผิดๆ แต่มองไม่เห็นกิเลสในใจของตนเองกัน ความอยาก อยากที่จะเป็น
เจ้าความอยากตัวนี้ รุนแรงนะ ยิ่งสภาวะเปลี่ยนไปมากเท่าไหร่ ยิ่งละเอียดมากขึ้น เนียนมากขึ้น
จนดูไม่ออกว่า นี่ความความอยากที่จะเป็นในสิ่งที่เขาเรียกๆกัน ทำให้บดบังดวงตาให้มืดบอด
ปิดบังปัญญา ไม่สามารถเห็นตามความเป็นจริงได้



.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 เม.ย. 2010, 23:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 มี.ค. 2010, 23:38
โพสต์: 193

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โมทนากะพี่ walaiporn คะ สาธุๆๆๆ

วันที่ 4 เมษายน 2553
เดิน 30 นั่ง 5

คำพูดสามารถฆ่าคนได้

คติประจำใจนี้เราจำเรื่อยมา และวันที่ผ่านมากับวันนี้ เราได้ฆ่าคนไปหลายคนเลยล่ะ = ="
เป็นเพราะความไม่รู้ของเรา เราจึงขอยกโทษทั้งหมดให้กับความไม่รู้นั้น... ฮ่ะๆๆ...

อย่างวันนี้ ก็พิโรธแบบทั้งวันเลย
คือว่า ความรู้สึกมันก็คือ โกรธแล้วแบบ ความรู้สึกมันค้างอยู่ที่ความโกรธ เหมือนว่าเราล๊อคมันไว้เพื่อดูมัน ช่วงนั้นทรมานมาก เพราะว่าเหมือนตัวแข็งทื่อ ยิ้มก็ยิ้มไม่ออก บางทีตัวกระตุกเลยเพราะว่าความรู้สึกมันแรงมาก เป็นแบบนั้นล่ะ แล้วก็นิสัยที่ไม่ยอมคนน่ะ พอเกิดความขัดแย้งเข้า มาดที่เราดูแบบเหมือนนางฟ้า ใจดี..(ในเกม) คำพูดก็เลยกลายเป้นว่ามีอิทธิพลมาก ก็เลยได้ฆ่าคนตายไปหลายศพ... ฮ่ะๆ... ตายยกกิล เพราะเราโกรธ

ปัญหาน่ะมันตามมาอยู่แล้วล่ะ ก็เพราะว่าเรายังแคร์ความรู้สึกของผู้อื่นได้ไม่ดีเลย ก็เลยเกิดปัญหาตามมา ก็เสียใจนะตอนนั้นน่ะ แต่เรายอมรับว่า เราต้องผิดพลาดเพื่อที่จะเรียนรู้ ดังนั้นเราจะไม่ว่าความผิดพลาดเหล่านั้น เพราะว่าเราต้องการที่จะรู้ เราก็เลยต้องยอมผิดพลาดและต้องยอมรับผลที่ตามมา มันเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำจริงๆนะ แต่ว่าเพราะเป็นเรา เราก็เลยต้องทำลงไป

ไม่ค่อยอยากเล่าเท่าไหรเลยล่ะ แต่จะเล่าให้นิดหนึ่งล่ะกัน

วันนี้เดิน ได้ความรู้หลายอย่างนะ จะบอกเป็นข้อๆละกัน
ตนเป็นผู้เตือนตนเอง น่ะดีที่สุดแล้ว เพราะถ้าให้คนอื่นมาเตือนให้ก็คงจะเจ็บกว่าน่ะนะ ดังนั้นตนเป็นผู้เตือนตนเอง ก่อนที่จะให้คนอื่นมาเตือนน่ะดีที่สุดแล้ว
การแข่งขัน ไม่ใช่ว่าการแข่งขันนั้นไม่ดีนะ แต่สิ่งที่ไม่ดีน่ะก็คือการอยากเอาชนะต่างหาก ชนะตัวเองให้ได้จะดีกว่านะ
ในฐานะที่เราเป็นผู้ใหญ่แล้วดังนั้น สิ่งที่ควรทำก็คือต้องแคร์ความรู้สึกของทุกคนให้ได้ และก็ให้ครบทุกคนด้วยจึงจะดีที่สุด
มันอาจเป็นเรื่องยากนะ... แล้วก็ บางทีก็คิดว่าการที่จะเป็นแบบนั้นได้มันช่างยากเหลือเกิน การใช้ชีวิตการมีชีวิตบนโลกนี้ช่างยากจริงๆ
ต้องระวังนู้นระวังนี้ ต้องแบบนู้นแบบนี้ เดี๊ยวก็ผิดใจเดี๊ยวก็อะไรก็ไม่รู้ ยากที่จะหลีกเลี่ยงเรื่องแบบนั้นหรือเปล่านะ
เราก็คงจะยังโลกแคบจริงๆละ ดังนั้นเราก็เลยยังให้คำตอบที่ดีไม่ได้ เราจะต้องเรียนรู้ต่อไป

เสียใจทุกครั้งที่ทำให้คนอื่นรู้สึกไม่ดี แต่สิ่งที่สมควรทำก็คือต้องเดินหน้าต่อไปและก็ห้ามหนี
เพราะว่าเราเป็นเรายังไงละ ใจก็คิดว่าไม่อยากจะทำแบบนั้นแล้วล่ะ

ไม่อยากโมโหไม่อยากโกรธอะไรแล้วล่ะ จะตัดกิเลสตัวนี้ได้เราต้องดูต่อไป

วันนี้ก็เดินไปพิจารณาไปล่ะนะ หนักไปทางพิจารณามากกว่า ช่วงที่ผ่านมานี้ทำร้ายคนไปเยอะเหมือนกัน ตั้งแต่หักหลัง คำพูดทิ่มแทงใจ ทำให้คนอื่นรู้สึกไม่ดี ไม่เชื่อใจคนอื่น อะไรทำนองนั้นแหละ
ถ้าจะทำให้คนอื่นเจ็บแล้ว การที่เราเป็นผู้เจ็บเองน่าจะดีกว่าเนอะ

นี่ถ้าเราทำได้อย่างที่เราพูดมาทั้งหมดได้นี้คงจะดีมากๆเลยล่ะ
เพราะว่าตอนนี้ยังทำไม่ได้เต็มร้อย ก็เลยกลุ้มใจอยู่น่ะตอนนี้.. เฮ้อ

ตอนนี้เราก็ใจเย็นแล้วก็เริ่มจิตเริ่มอ่อนตัวลงมากขึ้นล่ะ ดูกันต่อไป

ส่วนตอนนั่งก็ พอทำสมาธิจริงๆแล้ว เหมือนตัวสั่น จากนั้นก็เหมือนเหลือแค่ลมหายใจ

ปัญหาใหม่ที่เกิดขึ้นมาก็ยังไม่จบ... ฮ่ะๆ.. ก็จะแก้ปัญหานี้อย่างไรดีนะ

"พระเจ้ามอบอุปสรรค์ให้เรา เพื่อให้เราเอาชนะมันให้ได้"
(คำพูดจากหนังที่ชื่นชอบมากในตอนนี้)

จบการบันทึกเพียงเท่านี้

.....................................................
หากไม่สนใจหลักธรรมปลีกย่อย แล้วจะบรรลุหลักธรรมใหญ่ได้ยังไง -- กวนอู

"ทรัพยกรมนุษย์หากตายไป บริษัทฯ สามารถหามาแทนได้ แต่ทรัพยากรครอบครัวนั้น ครอบครัวไม่สามารถหามาแทนได้"


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กระทู้นี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความ หรือ ตอบกลับในกระทู้นี้  [ 387 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 7, 8, 9, 10, 11, 12, 13 ... 26  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร