วันเวลาปัจจุบัน 22 ก.ค. 2025, 00:08  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 285 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 15, 16, 17, 18, 19  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 เม.ย. 2010, 20:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว




2723934guj0po2rp3.gif
2723934guj0po2rp3.gif [ 257.85 KiB | เปิดดู 4031 ครั้ง ]

ในโลกแห่งความฝัน
และวันที่เป็นจริง
เรื่องราวทุกสิ่งต่างกันมากมาย

เธอจงเสาะหาพกพานำไป
เพียงรักเต็มหัวใจกำลังใจเต็มทรวง

ถ้าเธอเหนื่อยนักหยุดพักเสียก่อน
ล้มตัวลงนอนแนบตักฉันนี่

จะหนาวจะร้อน
จะคอยพัดวี
หลับฝันถึงสิ่งดีหลีกหนีสิ่งเลว

แม้เธอปวดร้าวก็ขอเพียงสู้
ฉันยังยืนอยู่
คู่เธอมิแหนงหน่าย

หากเธออยากถาม
ว่าฉันคือใคร
ฉันคือหัวใจศรัทธาของผองชน

หากเธออยากถาม
ว่าฉันคือใคร
ฉันคือหัวใจศรัทธาของผองชน

http://solno07.exteen.com/20100406/entry





ทุกๆเส้นทางที่เดินผ่าน ล้วนแตกต่างไปตามเหตุที่แต่ละคนกระทำมา
สุขบ้าง ทุกข์บ้าง แล้วแต่เราจะปรุงแต่งตามสิ่งที่มากระทบ

กลไกของจิตนี้ละเอียดยิ่งนัก มีอะไรที่ซับซ้อนมากมาย
เหมือนเราผ่านไปทีละเฟืองๆ ตามกลไกของจิต
กว่าจะเข้าได้ถึงจิต ต้องเจอบททดสอบอะไรมากมาย

สติทัน สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าเห็น
สติไม่ทัน เป็นไปตามกับดักกิเลส

รอบๆตัว มีแต่หลุมพรางของกิเลส
จากเห็นหยาบๆ จนถึงไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


แก้ไขล่าสุดโดย walaiporn เมื่อ 17 เม.ย. 2010, 20:19, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 เม.ย. 2010, 21:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว




2365662as983w1dxl.gif
2365662as983w1dxl.gif [ 396.1 KiB | เปิดดู 4207 ครั้ง ]

โกจำได้ไหมแฟนผมที่ผิวขาวๆ
หมวยๆตาคมผมยาวที่โกเคยชมว่าสวย อ๋อจำได้
ก็แฟนคนนี้แหละทำให้ผมเจอหมา
ผมเลยอยากมาปรึกษา น่ะโกอ่ะช่วยผมด้วย ได้เลย
ไอ้เรื่องสิงสาราสัตว์หมูหมากาไก่
โกกะก็ศึกษาพอได้ ถามมาเลยโกจะช่วย
อย่างไอ้ตัวไรที่ชอบมายืนกันท่า
ไม่ยอมให้ใครเข้ามาทั้งๆที่เธอไม่เล่นด้วย
อ๋อเรียกหมาหวงก้าง
แล้วมันจะหวงทำไม นั่นแหน่ะ เขาไม่เล่นด้วย
แล้วมันจะได้อะไรอ่ะ
บางวันมันมาเป็นฝูงหลายๆตัวมาเห่ามาขู่น่ากลัว
จนผมต้องยืนผวา อ๋อหมาหมู่
บางพวกขึ้นเสียงยกนิ้วขึ้นมาชี้หน้า
แต่พอเข้าใกล้ละไม่กล้า
เขาเรียกหมาเห่าไม่กัด พันนี้

เรื่องของหมามันไม่ใช่เรื่องของคน
เรื่องของคนก็ไม่ใช่เรื่องของหมา

http://solno07.exteen.com/20100402/entry

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 พ.ค. 2010, 02:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว




503468r2i0ope08s.gif
503468r2i0ope08s.gif [ 25.36 KiB | เปิดดู 4163 ครั้ง ]

"15 ปีที่ฉันใช้ชีวิตอยู่อุ้มผาง
เพียงพอสำหรับการทำให้จิตวิญญาณ
ของฉันผูกพันอยู่กับธรรมชาติจนแยกไม่ออก
อบอุ่นอยู่ในอ้อมกอดของขุนเขา สุขุมอยู่ใต้ร่มเงาของแมกไม้
เยือกเย็นอยู่กับสายน้ำ ทะเลหมอก และดอกเสี้ยว
ฉันจึงไม่ต้องการสิ่งใดมากไปกว่าการมีชีวิตอยู่เพื่อให้
อยู่อย่างสันโดษและสมถะ ฉันทำเทปบันทึกเรื่องราวต่างๆ
ทั้งสุขและทุกข์ตามฤดูกาลของชีวิต
จำหน่ายหารายได้ไปช่วยเหลือเด็กๆ ตามเรี่ยวแรงกำลังที่ฉันมีอยู่
หากเรื่องราวเหล่านี้เป็นสิ่งที่คุณไม่อยากฟัง
เป็นเสียงที่คุณไม่อยากได้ยิน
ขอคุณจงปล่อยให้เสียงนี้ล่องลอยและจางหายไปกับสายลม
แต่ถ้างานชิ้นนี้พอมีสิ่งดีอยู่บ้าง
ก็ขอให้เสียงนี้ล่องลอยไปไกลแสนไกล
เพื่อจิตสำนึกที่ดีงามของทุกชีวิต
ให้รู้จักเสียสละ แบ่งปัน และอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข"


[เนื้อเพลง]
ขึ้นดอยแล้วลงดอย เกือบจะถอยตั้งหลายที
แรงกายเริ่มไม่มีแต่ใจนี้มันไม่ถอย
ห่วงคนที่รอคอย ดีใจเมื่อครูมา
จากวันก็เป็นเดือน จากเดือนก็เป็นปี
ความรักที่ศิษย์มี มันฉายแสงแห่งดวงตา
หากเราจากเขามา ใครจะพาเขาก้าวไป
เหน็บหนาวน้ำค้างพรม มีผ้าห่มกันหนาวตาย
แต่หนาวที่ในใจจะมีใครมาแยแส
กับคนที่เคยแคร์ เขาจากไปไม่คืนมา
ขึ้นดอยแล้วลงดอย เกือบจะถอยตั้งหลายครา
แดดร้อนให้อ่อนล้า น้ำตาจะรินไหล
ยามนี้ไม่มีใคร มาเคียงคู่กับครูดอย
(ยามนี้ไม่มีใคร มาเคียงข้างบนทางดอย)

http://solno07.exteen.com/20100418/entry-4


คุณครูสมพงศ์ หมื่นจิตต์

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 พ.ค. 2010, 03:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว




46096fh7pq318nm.gif
46096fh7pq318nm.gif [ 128.61 KiB | เปิดดู 3943 ครั้ง ]

ฤารักฉันจะเป็นเพียงความฝัน ไม่มีวันนั้น

จันทร์คืนแรม วับแวมอยู่บนปลายฟ้า คงล้าอ่อนแรง ทอแสงแหว่งเว้าครึ่งดวง

คืนเหงามันเศร้ามันซึมในทรวง จันทร์เพียงครึ่งดวง คล้ายจันทร์เจ้ารอใคร

จันทร์คืนแรม วับแวมมีเพียงครึ่งใบ คงดังกับใจฉันที่มีเพียงครึ่งดวง

คอยรักที่จักเดิมเต็มในทรวง โอ้ใจครึ่งดวง เฝ้ารอมาเนิ่นนาน

จันทร์เอ๋ยจันทร์ที่ลอยเด่นฟ้า จะมีน้ำตาหลั่งมาเหมือนฉันบ้างไหม

ความรักมันช่างห่างไกลแสนไกล ไม่รู้วันไหน หัวใจถึงจะเต็มดวง

คงมีวันที่จันทร์เจ้าจะเต็มใบ แต่ว่าหัวใจฉันจะมีไหมวันนั้น

ฤารักฉันจะเป็นเพียงความฝัน ไม่มีวันนั้น วันที่ใจเต็มดวง

จันทร์เอ๋ยจันทร์ที่ลอยเด่นฟ้า จะมีน้ำตาหลั่งมาเหมือนฉันบ้างไหม

คงมีวันที่จันทร์เจ้าจะเต็มใบ แต่ว่าหัวใจฉันจะมีไหมวันนั้น

ฤารักฉันจะเป็นเพียงความฝัน ไม่มีวันนั้น วันที่ใจเต็มดวง

ฤารักฉันจะเป็นเพียงความฝัน ไม่มีวันนั้น วันที่ใจเต็มดวง

http://solno07.exteen.com/20080911/entry-2




ฟังเพลง เท่ากับได้ฟังสภาวธรรมไปด้วย ทำให้ย้อนไประลึกถึงสภาวะที่ผ่านมา
บางคนเกิดมา มีเส้นทางที่ถูกกำหนดไว้แล้ว บางคนเพิ่งมากำหนดเส้นทางให้กับตัวเอง
บางคนก็ยังไม่รู้เส้นทางของตัวเอง แต่ยังคงหาเส้นทางนั้นอยู่ บางคนทั้งยังไม่รู้ ทั้งยังไม่ได้ค้นหา

สภาวะที่ผ่านมา ทำให้เข้าใจเรื่องราวของความรัก
ทำให้รู้สึกเข้าใจในความทุกข์ของคนที่มีความรัก
รักมาก คือ ยึดมาก ย่อมทุกข์มาก
รักน้อย คือ ยึดน้อย ย่อมทุกข์น้อย
ไม่มีความรักยังไงก็ยังมีทุกข์ ทุกข์ที่เกิดจากอุปทาน
ตราบใดที่ยังมีอุปทาน ย่อมมีทุกข์เกิดขึ้นได้ตลอดเวลา

ขนาดตัวเราเองที่ได้เจอมา ถึงแม้จะไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นในชีวิตจริงๆก็ตาม
ยังสามารถทำให้ทุกข์ใจได้ขนาดนั้น แล้วคนที่เจอจริงๆในชีวิตของเขาจริงๆ
จะทุกข์ใจขนาดไหน สิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นล้วนเกิดจากเหตุที่เคยร่วมกระทำด้วยกันมาทั้งนั้น

หากแม้นไม่สมหวัง จะด้วยเหตุใดๆก็ตาม ให้ขออโหสิกรรมต่อกัน
อย่าได้โกรธเคืองหรือผูกใจเจ็บต่อกัน เราเคยทำเขา เขาย่อมทำเรา
เราเคยทิ้งเขา เขาย่อมทิ้งเรา ทุกอย่างมันมีเหตุ ผลเลยมาแสดงให้เห็น
ควรให้การอโหสิกรรมต่อกัน เมื่อมีการให้อโหสิกรรมต่อกันทั้งสองฝ่ายแบบออกจากใจจริงๆ
กรรมที่เคยมีต่อกัน ย่อมสิ้นสุดลง

ฤามีให้หนีกรรม ทำสิ่งใด ย่อมได้รับผลตามนั้นอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะช้าหรือเร็วก็ตาม
ยังไงก็ต้องชดใช้ จากโจทย์ที่หนึ่ง หากสิ้นอายุขัยไปก่อน หรือจะด้วยเหตุใดๆก็ตาม
โจทย์ที่สองจะขึ้นมาแทนที่โจทย์ที่ 1 ที่สิ้นไป เปรียบเสมือนห่วงโซ่
หากยังตัดห่วงโซ่นี้ยังไม่ได้ ผลย่อมได้รับอย่างแน่นอน

ชายไม่ชาย หญิงไม่ใช่หญิง
เหตุที่เป็นหญิงหรือชาย ล้วนเกิดจากเหตุที่กระทำมา
ความรักที่แท้จริงไม่มีการแบ่งเพศ แบ่งวัย แบ่งชั้นวรรณะ
แต่เพราะเหตุที่กระทำมาจึงทำให้มีผลแสดงให้เป็นไปเช่นนั้น

เราทั้งหลาย ทุกรูป ทุกนาม ไม่เคยไม่เกิดมาเป็นทั้งหญิงและชาย
ไม่เคยไม่เป็นพ่อ แม่ พี่ น้อง ญาติ ร่วมตระกูลกันมา

บางคู่เกิดมาเพื่อสร้างบารมี บางคู่เกิดมาเพื่อทำลายล้างกัน
ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใดๆก็ตาม สิ่งที่เกิดขึ้น ล้วนเกิดจากเหตุที่เคยกระทำร่วมมากันทั้งสิ้น

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 พ.ค. 2010, 20:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว




2698294g4lmp4ckke.gif
2698294g4lmp4ckke.gif [ 266.87 KiB | เปิดดู 4054 ครั้ง ]


อยากจะมีใครสักคน
ยามสับสนคอยเป็นเพื่อนใจ

เส้นทางที่ยาวไกล
จะมีบ้างไหมใครร่วมเดิน
อยากมีคนดูแล มากปัญหาที่ต้องเผชิญ
แบ่งเบาภาระที่เกิน ก้าวเดินเคียงไม่ถอย

อยู่คนเดียวตามลำพัง
.... ดูบางครั้งก็ยังพอไหว ....

อยากจะมีคนรู้ใจ
ก้าวต่อไปคงไม่เลื่อนลอย

เฝ้าบอกใจตัวเอง
จะนานเพียงไหนใจก็จะคอย
เมื่อกำลังใจถดถอย จะยื่นนิ้วก้อยไปเกี่ยวก้อยใคร

ปรับทุกข์กับเงาบ่อยๆ
... คนที่คอยเมื่อใดจะมา ...

ฝากสายลมโชคชะตา พัดเธอมาให้เจอได้ไหม
นานพอแล้ว ที่ใจนี้ต้องเดินเดียวดาย
บางคืนอยากมีใคร ส่งเสียงผ่านสายบอกว่าฝันดี

วอนดาวที่ส่องแสง
อย่าเพิ่งหน่ายแหนงคำร้องขอ

มีเพียงเงาเคลียคลอ
คือคำตัดพ้อยามเหงาทุกที
ฟ้าแต้มดาวกับเดือน ต่างจากฉันหาใครไม่มี
กอดเหงากี่ล้านนาที ถึงจะมีคนแทนที่เงา

ปรับทุกข์กับเงาบ่อยๆ
.... คนที่คอยเมื่อใดจะมา ...

ฝากสายลมโชคชะตา พัดเธอมาให้เจอได้ไหม
นานพอแล้ว ที่ใจนี้ต้องเดินเดียวดาย
บางคืนอยากมีใคร ส่งเสียงผ่านสายบอกว่าฝันดี

วอนดาวที่ส่องแสง
อย่าเพิ่งหน่ายแหนงคำร้องขอ

มีเพียงเงาเคลียคลอ
คือคำตัดพ้อยามเหงาทุกที
ฟ้าแต้มดาวกับเดือน ต่างจากฉันหาใครไม่มี
กอดเหงากี่ล้านนาที ถึงจะมีคนแทนที่เงา

http://solno07.exteen.com/20100126/entry-2




" เรื่องปกติ " สำหรับจิตของคนที่ยังไม่มีที่พึ่งพิง

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 พ.ค. 2010, 20:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว




1567872ihpkp46xfk.gif
1567872ihpkp46xfk.gif [ 452.92 KiB | เปิดดู 4027 ครั้ง ]

แสงตะวันเพิ่งจะโผ่ลพ้นขอบฟ้า
มีเวลาให้คนเราอีกมากมาย พาชีวิตก้าวไปสู่ยังจุดหมาย
ถึงเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายก็น่าลอง

มองดูฟ้า
ฝูงนกกาเที่ยวหากิน ไปยังถิ่นแดนไกลสุดสายตา
เหมือนย้ำเตือนว่าชีวิตล้วนเกิดมา แสวงหาต่อสู้และดิ้นรน

... โอ้ชีวิต ...
มีอะไรตั้งเยอะแยะ
มีเกิดแก่เจ็บตายคล้ายๆ กัน
แต่สิ่งที่มีไม่เหมือนคือความฝัน
อยู่ที่ใครจะล่ามันให้อยู่มือ

คนเป็นคนย่อมปะปนด้วยชั่วดี
ในศักดิ์ศรีมีทั้งจนและร่ำรวย มีความรักเป็นเรื่องราวอันสดสวย

ความผิดหวังเป็นแค่เรื่องธรรมดา
ฟ้าเบื้องบนน้ำเบื้องล่างดินขวางหน้า
ข้ามไปเถิดไขว่คว้าความใฝ่ฝัน
มีชีวิตเกิดมาแค่ครั้งเดียวเท่านั้น อย่าปล่อยมันซังกะตายไปวันๆ


แม้ในข้างคืนเดือนดาวอันมืดมิด
ยังมีสิทธิ์คิดฝันอันเฉิดฉาย ดุจแสงเทียนนำทางสว่างไกล
ดุจหิ่งห้อยพร่างพรายในค่ำคืน

ยืนเดียวดายในความกลัวหลอกตัวเอง
เท่ากับเร่งรัดไปสู่ความล้มเหลว
ยังมิทันได้ลงมือทำดีเลว
กลับถูกเปลวไฟความกลัวเผาตัวตน


แผ่นฟ้ากว้าง
เขาสูงใหญ่ยังเคยข้าม
ฝันงดงามถามหน่อยเคยข้ามไหม
ไปยังฝั่งที่ตั้งฝันอันแสนไกล แต่สุดท้ายก็ได้ฝันนั้นมาครอง

ลองดูเลยเกิดมาเป็นคนล่าฝัน
มีรางวัลฝันใฝ่ให้ใฝ่ฝัน
มีชีวิตเกิดมาแค่ครั้งเดียวเท่านั้น อย่าปล่อยมันซังกะตายไปวันๆ


http://solno07.exteen.com/20100506/entry-1




คิดถึงเพื่อน


ขณะที่กำลังเดินจงกรม ใจแว่บคิดถึงเพื่อน " ปลายฟ้า "
ฟ้าจะชอบระบายความรู้สึกออกมาทางตัวอักษร ออกมาเป็นบทความหรือบทกลอน
เมื่อก่อนเราเองก็เคยลองเขียนบทกลอน แต่นั่นไม่ใช่เรา ทำให้มีผลต่อการปฏิบัติของเรา
คือฟุ้งสุดๆ ฟุ้งออกมาเป็นบทกลอนเลย เวลาที่นั่งสมาธินี่ มีแต่บทกลอนลอยละล่องมาเลย
เหมือนตอนที่ติดเกมส์ นั่งสมาธิ แล้วมีภาพนิมิตเป็นเกมส์ที่เราชอบเล่น ก็เลยเล่นเกมส์ในนิมิตแทนเลยเลิกคิดแต่งบทกลอน ไม่แต่งอีกเลย

มาวันนี้ มองเห็นในอีกมุมของตัวเองในวันนี้
เดี๋ยวนี้เวลาอะไรมากระทบ แม้แต่ฟังเพลง ใจมันจะนำไปเปรียบเทียบกับธรรมะ ก็แปลกดี
บางทีก็มีความคิดผุดขึ้นมา ก็จะจดไว้ เราเรียกว่า ตัวปัญญานะ เรื่องที่ผุดขึ้นมาแต่ละเรื่อง
มีประโยชน์ทั้งการปฏิบัติและการดำรงชีวิต ทำให้ไม่ยึดติดกับสิ่งต่างๆมากขึ้น
ความอคติที่เคยมีไม่ว่ากับใครๆ มันลดน้อยลง มองแต่ในแง่ของเหตุและผลของแต่ละชีวิต
นั่นคือ ชีวิตเขา นั่นคือเหตุของเขาที่ทำกันมา ทำอย่างไร ย่อมเป็นแบบนั้น
เพียงดูตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้น นั่นคือเขา นี่คือเรา เขา เรา ล้วนไม่แตกต่างเลย

สวัสดีชาวโลก :b43:

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 พ.ค. 2010, 17:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว




701397zbug7up9ij.gif
701397zbug7up9ij.gif [ 13.18 KiB | เปิดดู 4021 ครั้ง ]

ในความมืดมิด
ชีวิตคิดเดินอย่างไร
ผ่านทางพลาดพลั้ง ยับยั้งชั่งใจให้ดี

ยังมีแสงไฟ
ความหวังจุดส่องนำทาง
หลากหลายผู้คน ดั้งหวังให้เราต้องอยู่


บนความมืดคิด
บอกชีวิตเข้มแรง แข็งใจ
หากเคยล้มลง ยังมีสายลมสายใจ

ยังมีแสงชัย
ความหวังจุดส่องนำทาง
หลากหลายผู้คน เอาใจให้เราก้าวย่าง

ร้องให้กับฝัน
กับวันที่เดินหลงทาง

ค่ำคืนอ้างว้าง
ยังมีสายลมหายใจ
ผ่านทางมืดมิด ชีวิตต้องเดินก้าวไป

ยังมีแสงไฟ
ความหวังจุดส่องนำพา
หลากหลายผู้คน ดั้งหวังให้เราต้องอยู่

ยิ้มให้กับฝัน
บนทางถนนคนสู้
หยดคราบน้ำตา ปาดเช็ดด้วยใจเราเอง



หยดคราบน้ำตา ปาดเช็ดด้วยใจเราเอง
หยุดคราบน้ำตา ปาดเช็ดด้วยรอยยิ้มเรา



http://solno07.exteen.com/20100508/entry-2





เป็นอีกหนึ่งกำลังใจที่ยังคงมีให้กับทุกๆคนในทุกๆวัน
ทุกๆครั้งที่ทำกรรมฐานเพื่อขัดเกลาจิตของตัวเอง
ในการแผ่เมตตาและการส่งกุศลจิต จะตั้งจิตน้อมระลึกถึงทุกคนในบอร์ดเสมอๆ
" ขอให้ทุกคนมีความสุข "

ไม่ว่าจะดี เพราะเรายังมียึดติด " ดี "
ไม่ว่าจะร้าย เพราะเรายังยังมียึดติด " ร้าย "
ไม่ว่าจะแค่รู้ เพราะ " แค่รู้ "

ตราบใดที่เกิดผัสสะแล้วยังมีผลให้จิตเรากระเพื่อมอยู่ ไม่ว่าจะมากหรือน้อย
ล้วนเกิดจากการปรุงแต่งของจิตเราเองทั้งสิ้น

ไม่ใช่ใครที่ไหนเลยที่จะสร้างทุกข์ให้เกิดขึ้นในใจของเราได้
ตัวเรานี่แหละ ความที่มี " เรา " นี่แหละ ที่ปรุงแต่งตลอดเวลา
เหตุเกิดจากเพราะ " ความไม่รู้ " หรือ " อวิชชา " หรือ " กิเลส " นี่เอง

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


แก้ไขล่าสุดโดย walaiporn เมื่อ 09 พ.ค. 2010, 17:37, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 พ.ค. 2010, 00:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว




1455336pr5n93ya3p.gif
1455336pr5n93ya3p.gif [ 416.32 KiB | เปิดดู 4020 ครั้ง ]


จะบอกอย่างไร
ให้เธอเข้าใจ
ว่าโลกนี้มีอะไรอีกมากมาย
ให้ลืมเรื่องราวที่มันยังฝังใจ ปล่อยไปให้มันผ่านเลย

หากเก็บเอาความช้ำตรม
เก็บความขื่นขม ใครเล่าเขาจะรู้
ให้ลืมเรื่องราว หาใครดูสักคน ปลอบโยน ด้วยรักที่จริงใจ

ฉันก็เคยเป็นเช่นเธอ
ที่เคยเจอะเจอกับเรื่องเลวร้าย
คงต้องมีเรื่องราวอีกมากมาย
สีสัน หลากหลาย ความหมายรักต่างกัน


http://solno07.exteen.com/20100508/entry-3






ไม่มีใครอยากผิดพลาด ไม่มีใครอยากเป็นคนเลวหรอก
ทุกคนอยากเป็นคนดี
เราอยากดีทุกคน

เราทุกข์กันมานาแค่ไหนแล้ว
เคยพิจรณาบ้างไหม ทุกข์เพราะอะไร
ทำไมถึงต้องทุกข์ แล้วทำอย่างไรจึงจะมีชีวิตอยู่กับทุกข์นั้นๆได้

เพราะเราไปคิดว่า สิ่งนั้น สิ่งนี้ที่เกิดขึ้นล้วนเป็นทุกข์
มันเลยกลายเป็นความทุกข์ขึ้นมาจริงๆตามที่เราคิด

เพราะความไม่รู้ จึงก่อให้เกิดกระทำที่เป็นวิบากกรรมต่อกันและกันไม่รู้จักจบสิ้น
เราเองก็เคยเป็นแบบเขาเหล่านั้น

เมื่อได้มาเจริญสติปัฏฐาน ทำให้รู้เห็นตามความเป็นจริงมากขึ้น
รู้สึกเห็นใจเขาเหล่านั้น

ขอให้เขาได้พบทางอันประเสริฐแบบที่เราได้พบด้วยเถิด
เขาจะได้เลิกแสวงหาสิ่งนอกตัวกัน เลิกกล่าวโทษสิ่งต่างๆนอกตัวกัน
แต่หันกลับมาทบทวนดูในกายและจิตของตนเองมากยิ่งๆขึ้นไป


สิ่งที่เราทุกรูปทุกนาม ที่กำลังเผชิญหน้ากันอยู่กับสิ่งต่างๆที่มากกระทบ
ทำให้เกิดการปรุงแต่งแตกต่างกันไปตามแต่กิเลสในใจ
ที่มีมากน้อยแตกต่างกันไป

แต่ถ้ามาทบทวน มานั่งพิจรณาดู สิ่งที่มากระทบที่ไปคิดว่า
มันสุขหรือทุกข์หรือไม่สุขไม่ทุกข์นั้น เกิดจากอะไรล่ะ

เหตุที่เกิดขึ้นในปัจจุบันในชีวิต แต่มันคือเหตุของการกระทำในอดีตของทุกคน
ที่กระทำลงไปเพราะความรู้ที่มีแตกต่างกันไป แต่ส่วนมากคือเกิดจากความไม่รู้เสียมากกว่า
ผลมันถึงส่งที่ปัจจุบัน คือ เหตุที่กำลังเกิดขึ้นกับตัวเอง ณ ขณะนั้นๆ


ต้องถูกทดสอบตลอดเวลา จากใคร จากกิเลส
จากสภาวะหรือสิ่งที่เกิดขึ้นนั่นเอง มันไม่ได้ยากหรือง่ายเลย
แต่ อยู่ที่ความเพียร ความต่อเนื่อง

ใหม่ๆต้องความอดทนต่อความเจ็บช้ำน้ำใจ จะจากใครล่ะ ไปโทษใครล่ะ
กระทำเองทั้งนั้นเลย แล้วจะไปร้องหาความยุติธรรมที่ไหนล่ะ
ในเมื่อทำเองก็ต้องรับผลเอง

ไปกล่าวโทษนอกตัว นั่นคือ โง่ เพราะอะไร เพราะนั่นคือ การขาดสติ
กำลังสร้างเหตุใหม่ ที่เป็นการก่อภพก่อชาติขึ้นมาใหม่อีกแล้ว
วัฏฏสงสารถึงยาวนานออกไปไม่รู้จักจบจักสิ้น


เพราะทุกๆการกระทำที่เจอๆกันนั้น
นั่นคือในอดีตที่เคยสร้างเหตุเอาไว้ ทำไปด้วยความไม่รู้


เรา เขา ทั้งหลาย ล้วนไม่มีความแตกต่างกันเลย
เหตุเกิดที่ใคร ที่ตัวเองทั้งนั้น ดับก็ต้องดับที่เหตุ คือตัวของเราเอง

ตราบใดที่ยังมีคำว่า " เขา " " เรา "
ทุกข์ย่อมมีเนืองๆ





.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 พ.ค. 2010, 22:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว




701397zbug7up9ij.gif
701397zbug7up9ij.gif [ 13.18 KiB | เปิดดู 3844 ครั้ง ]


ดีชั่ว อยู่ที่ตัวทำ สูงต่ำ อยู่ที่ทำตัว

เวรกรรมตามทันกันในชาตินี้ คิดดูให้ดีใครจะก่อกรรมทำเข็ญ

ก่อตอนเช้าได้รับลงทัณฑ์ตอนเย็น มองให้เห็นความเป็นลิขิตแห่งกรรม สามคำจำไว้กรรมลิขิต

ทำชีวิตให้ขึ้นสูงหรือตกต่ำ ใครทำกรรมดี กรรมดีย่อมช่วยหนุนนำ ใครเคยก่อกรรมทำเวรไว้...กรรมลิขิต


ทำดีดีส่งให้ เห็นผล
ทำชั่วชั่วก็ดล ชั่วให้
ชั่วดีดุจตราตน ตีบอก ไว้นา
ใครชั่วใครดีไซร้ สืบได้ ด้วยกรรม

นำมาจาก http://www.kasetporpeang.com/forums/ind ... 77.45;wap2


กรรมลิขิต " บัญชีบาป "


http://www.youtube.com/watch?v=iCz2cgPk ... re=related

http://www.youtube.com/watch?v=mBA-rydy_Yg&NR=1

http://www.youtube.com/watch?v=o-pspJ1RY4Q&NR=1

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 พ.ค. 2010, 04:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว




2539734q6vtfsqjf7.gif
2539734q6vtfsqjf7.gif [ 111.83 KiB | เปิดดู 3823 ครั้ง ]
ในเวลาปวดร้าว
เรื่องราวหมอง
ใจมันอยากร่ำร้อง ทำนองเศร้าตรม

บางเวลาอ่อนไหวใจระบม
กลืนกินความขื่นขม
ระทมข้างใน จนใจอาวรณ์

นอนน้ำตาไหลซึม
หลั่งรดลงใจ
คนใจดำนั้นทำเจ็บซ้ำเจียนตาย

ช่างโหดร้ายเรื่องราวในดวงแด
สร้างรอยแผลให้ต้องเจ็บจำ
เป็นรอยซ้ำจากรักไม่จริง
เป็นรอยซ้ำจากรักไม่จริง

http://solno07.exteen.com/20100508/entry-5





ทุกคนเกลียดความทุกข์ พยายามสลัดทิ้ง พยายามขจัดทุกวิถีทาง
ไปทำลายผล แล้วทุกข์นั้นๆจะดับไปได้อย่างไร เพราะมันเป็นเพียงผล
ที่เกิดจากเหตุในอดีตที่ทำกันไว้ ซึ่งส่งเป็นตัวผลหรือสภาวะที่เกิดขึ้นกับทุกคนในปัจจุบัน
เราจะปฏิเสธความจริงข้อนี้ไปได้อย่างไรกัน

ในเมื่อต้นตอที่แท้จริง เหตุที่เกิดทั้งหมด เกิดจากตัวเราเอง กระทำมันขึ้นมาเอง
ไม่มีใครมาจับมือหรือบีบบังคับให้เราทำเลย มีแต่ความเต็มใจที่จะกระทำ

เพราะความไม่รู้ตัวเดียวแท้ จะทำลายความทุกข์ได้ ต้องดับที่เหตุ
คือสิ่งที่ทุกๆคนกำลังสร้างให้เกิดขึ้น ที่กำลังทำกันอยู่ในปัจจุบันนี่เอง
ที่กำลังจะส่งเป็นผลไปในอนาคต หลายเป้นเหตุที่จะต้องเกิดขึ้นกับเราในอนาคตอย่างแน่นนอน

การดับที่ต้นเหตุหรือทำลายต้นเหตุคือตัวเรานั้นทำอย่างไรล่ะ
ฆ่าตัวตายกระนั้นหรือ อย่าเข้าใจผิดๆ ไม่ใช่แบบนั้นเลย
ดับหรือทำลายด้วยการกระทำไง หมั่นสร้างแต่กกรรมดีหรือเหตุดี
ที่ผ่านมาแล้วกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้ ที่แก้ได้คือ ผลที่จะได้รับในอนาคต
คือ เหตุที่กำลังจะทำให้เกิดขึ้นในปัจจุบันนี่เอง ดับการปรุงแต่งตามความคิดของเรา
ที่มีเกิดขึ้นจากการกระทบทุกๆขณะ

เราจึงต้องมาฝึกเจริญสติกันเพราะเหตุนี้ ฝึกเพื่อจะดับเหตุที่ไม่ดีที่กำลังจะทำให้เกิดขึ้นในปัจจุบันนี่เอง
นี่แหละตัวตัดกรรมที่แท้จริง ไม่ต้องไปหาหมอดู ไม่ต้องไปหาคนทรงเจ้า หาผีหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ไหนๆ

สติ สัมปชัญญะนี่แหละ คือ ตัวที่ตัดกรรมที่แท้จริง
ตัดกรรมล่วงหน้า กรรมในอนาคตที่กำลังจะเกิดขึ้น
กรรมในอดีตเราไปแก้ไขไม่ได้ ไปตัดทอนทิ้งออะไรไม่ได้เลย
ทำไว้อย่างไร ต้องได้รับผลเช่นนั้น

แต่สิ่งที่ทำให้เกิดขึ้นในปัจจุบันต่างหากที่สำคัญเสียยิ่งกว่าในอดีต
เพราะปัจจุบนนี่เราแก้ไขได้ โดยเลือกสร้างแต่เหตุดี

ขอเพียงเรามาเจริญสติกัน เพื่อจะได้มี สติ สัมปชัญญะที่แข็งแรง
จะได้เกิดปัญญาแยกแยะดี แบ่งแยกถูกได้ เลือกที่จะกระทำได้
ไม่ใช่แยกดีหรือชั่ว ไม่ออก มองแค่ว่ามันเหมือนๆกันหมด
นั่นก็ถูก นี่ก็ถูก ถูกเพราะอะไร ถูกในความคิด ที่เกิดอุปทานว่าถูก

คนส่วนมากบอกว่า เกลียดทุกข์
แต่มองๆดูแล้ว เห็นวิ่งเข้าหาทุกข์กันเป็นแถวๆ
โดยไม่รู้เลยว่า นั่นคือ กำลังหาทุกข์ใส่ตัวกันเอง

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 พ.ค. 2010, 21:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว




33041qarmymnxlc.gif
33041qarmymnxlc.gif [ 237.82 KiB | เปิดดู 3898 ครั้ง ]
ตะเกียง
สองดวง ที่ช่วง โชติวาว
ส่องแสง แพรวพราวให้ความ สว่าง สดใส
ดวงหนึ่ง สว่างอยู่ที่ ณ ถิ่น แดนไกล
ดวงหนึ่ง สดใสอยู่ใน วิมาน เมืองแมน
..ดวงหนึ่ง เพิ่มบรร ยากาศดวงหนึ่ง ส่องสาด
เพราะขาด สิ้นแสง สุรีย์ คุณค่า ที่มี
เพียงต่าง ที่วางและสิ่ง มุ่งหวัง


...ผู้คนที่ห่าง กันทั้ง สองทาง
ต่างก็ มุ่งหวังในชี วิตและ จุดหมาย
เปลวเทียน ลับล่วงแท่งเทียน ก็มอด มลาย
คุณค่า ความหมายได้มอบ สิ่งใด
ทิ้งไว้ แทนตน

มนุษย์ ทั้งหลาย
มากมาย สุดแสน สับสนยอกย้อน เวียนวน
เข่นฆ่า แก่งแย่ง แข่งขันมองข้าม ความรัก
ไร้รัก ให้กัน และกันโลกแปร เปลี่ยนผัน
ไร้สุข มีทุกข์ ไม่คลาย


...ผู้คน
ที่ห่าง กันทั้ง สองทางต่างก็ มุ่งหวัง
ในชี วิตและ จุดหมายเปลวเทียน ลับล่วง
แท่งเทียน ก็มอด มลายคุณค่า ความหมาย...
ได้มอบ สิ่งใดทิ้งไว้ แทนตน



http://solno07.exteen.com/20090508/entry-7




จากบันทึกของครูบาฯนิรนาม

จิตมุ่งพระนิพพาน

ทำไมจิตอาตมาตอนนี้ จึงมุ่งความพ้นทุกข์ ปรารถนาพระนิพพาน ก็เพราะได้บรรลุพระโสดาบันแล้ว
จัดเป็นผู้ไม่ย้อนกลับ มีแต่จะสูงขึ้น ไป อาตมาจึงปรารถนาแต่ทางพระนิพพาน

พระนิพพานนี้ มนุษย์ชาวโลกพากันสงสัยยิ่งนักว่าเป็นอย่างไร?

สมัยหนึ่งมีความเชื่อถึงกับมีภาษิตขึ้นมาว่า “นิพพานํ ปรมํ สูญญํ นิพพานเป็นของสูญ ไม่เกิด ไม่ตาย”
คนไม่เข้าใจก็มักกลัว ไม่คิด จะไปสู่ทางพระนิพพาน

ส่วนผู้ทำบุญให้ทานรักษาศีล ก็ตั้งความปรารถนาในสวรรค์สมบัติ เพียงเท่านั้น
เพราะขึ้นชื่อว่าสวรรค์แล้ว ย่อมเป็นแดนบรมสุข สำหรับ ชาวโลกผู้ปรารถนาแต่ความสุข
จึงไม่ปรารถนาพระนิพพาน เพราะไม่ อยากถึงความสูญเช่นนั้น ครั้นกาลเวลาผ่านมา
ความเชื่อดังกล่าวนี้จึง หายไป และต่างก็ทราบความจริงว่า “นิพพานไม่สูญ”

เป็นธรรมดาของมนุษย์ปุถุชน ที่มีเกราะเหล็ก คือ ความโลภ ความโกรธ ความหลง ห่อหุ้มอยู่
อย่างแน่นหนา ความทุกข์ไม่ปรารถนา ต้องการแต่ความสุขเพียงประการเดียว แม้นิพพานก็มองเห็นว่า
ไม่ใช่ความสุขที่ตนปรารถนา หากเข้าสู่พระนิพพานแล้ว อะไรก็ สูญสิ้นหมด

อย่างไรก็ตาม ชีวิตมนุษย์ปุถุชน ไม่ใช่จะมีความสุขเพียงอย่างเดียว ความทุกข์ก็ย่อมมีอยู่ด้วย
เป็นธรรมดา ไม่มีใครจะเลือกสุขเวทนา โดยไม่ มีทุกข์เวทนาปะปนอยู่ด้วยเลย
จะสุขน้อยหรือสุขมาก จะทุกข์น้อยหรือ ทุกข์มาก ก็แล้วแต่ผลกรรมของตนเอง

แต่จะสุขหรือทุกข์อย่างไร ก็ยังเป็นวิสัยของชาวโลก ที่จะพ้นจาก พระไตรลักษณ์ คือ
“อนิจจัง” ความไม่เที่ยง “ทุกขัง” ความทนได้ยาก และ “อนัตตา” คือ ความไม่มีตัวตน

เพียงอนิจจังอย่างเดียว ก็เปลี่ยนแปลงชีวิตมนุษย์อย่างตั้งตัวแทบไม่ติด
ไม่ว่าจะเกิดจากการกระทำของมนุษย์ และผลที่ตามมา

มนุษย์ต้องเวียนว่ายตายเกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่รู้กี่ภพกี่ชาติ เกิดมา รวย เกิดมาจน เกิดมาสุขสำราญ
เกิดมายากจนแสนเข็ญ บางทีตายจาก มนุษย์ไป ก็ยังเกิดเป็น สัตว์ เปรต อสุรกาย เทวดา
มีความไม่ยั่งยืน แปรปรวนไปได้ทุกขณะ

ในเรื่องเหล่านี้ เราจะต้องทำความเข้าใจเรื่องกรรมให้ดี เพราะความ รู้เรื่องกรรม เป็นสิ่งสำคัญยิ่ง
หรือเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา ถ้าเราไม่ รู้เรื่องกรรม เราก็จะไม่รู้ว่าพระนิพพานเป็นอย่างไร

แม้แต่คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ก็จำเป็นต้องเอาเรื่องกรรมเป็น หลัก และทรงยืนยันว่า
“กรรมเป็นสิ่งที่ทรงอำนาจใหญ่ยิ่ง ในการเกิด การตาย การได้ดี หรือการตกยากของมนุษย์เรา”

ในหมู่พุทธบริษัทส่วนมาก ต่างก็ยอมรับว่า แรงใดจะสู้แรงกรรม เป็นไม่มี
ดูแต่องค์พระมหาโมคคัลลานะ แม้บรรลุพระอรหันต์แล้ว ก็ ยังต้องรับผลกรรมที่สืบเนื่องกันมา
ในอดีตชาติ ขนาดมีฤทธิ์มาก ก็ยัง ต้องรับกรรม ให้พวกโจรทุบตีเอา
แม้พระบรมศาสดาของเราท่านทั้ง หลาย ก็ยังต้องทรงรับสนองผลกรรมในบางกรณี

สำหรับผู้มีความรู้ดีในเรื่องของกรรม ย่อมอดทนในเมื่อต้องเสวยผล ของกรรม ไม่ทำการโต้ตอบ
ให้เกิดกิเลสสืบต่อไป ให้มันสิ้นกระแสไป เพียงเท่านั้น


ทั้งนี้ไม่เหมือนสามัญสัตว์ทั่วไป เมื่อได้เสวยผลของกรรมที่ตนทำ ไว้ แทนที่จะรู้สำนึก
และยอมรับผลกรรมแต่โดยดี กลับรู้สึกไม่พอใจ แล้วทำกรรมใหม่เพิ่มเติมและโต้ตอบ
ทำให้เป็นเวรสืบเนื่องไม่ขาดสายลงได้ อาจสืบต่อซ้ำซากกันไปตั้งกัปตั้งกัลป์ ร้อยชาติพันชาติ
อย่างอีกา กับนกเค้าแมว หรืออย่างงูกับพังพอน พบกันก็ต้องตีกันกัดกัน ไม่รู้ว่า
เป็นศัตรูคู่อาฆาตกันมาแต่ครั้งไหน

พระพุทธเจ้าทรงทราบชัด เรื่องกรรมสนองกรรมอย่างชัดเจน จึง ทรงสอนมิให้สืบต่อเวรกรรมต่อไป
ให้อดทนและยอมรับผลกรรม เพื่อ ให้หมดสิ้นกันไป ทรงดำรัสเป็นใจความว่า

“ในกาลไหนๆ เวรในโลกนี้ ย่อมไม่ระงับด้วยเวรเลย แต่จะระงับ ได้ด้วยการไม่จองเวรเท่านั้น”

กรรมนั้นมีอยู่สองประเภท

อย่างหนึ่งเป็นกรรมของคนฉลาด เป็น ความดีที่มีอำนาจ สามารถบังคับความชั่ว
และล้างความชั่วได้ ท่านเรียก ว่า “กุศลกรรม” หรือ “บุญกรรม”

อีกอย่างเป็นกรรมที่ทำด้วยความโง่ เป็นความชั่วที่มีอำนาจเผาลน ให้ร้อนรุ่มดับถูกไฟเผาไหม้
เรียกว่า “อกุศลกรรม” หรือ “บาปกรรม” มีลักษณะทำให้สกปรกเศร้าหมอง

บางแห่งท่านเรียกกรรมดีว่า “สุกกะ” (ขาว) และเรียกกรรมชั่ว ว่า “กัณหะ” (ดำ)
ดังนั้นบัณฑิตพึงละ “กรรมดำ” เสีย พึงเจริญแต่ “กรรมขาว” เมื่อละกรรมทั้งหลายหายกังวลแล้ว
ย่อมยินดียิ่งในพระ นิพพาน อันเงียบสงัด

อย่างไรก็ตาม การกระทำกรรมดีก็ตาม กรรมชั่วก็ตาม เมื่อพูดถึง ความรู้สึก เราย่อมทราบว่า
เป็นกิริยาของจิตใจ และจิตใจนี้เองเป็นตัว การทำกรรมขึ้น โดยพระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า

“ภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวว่า เจตนาเป็นกรรม การจงใจทำ พูด คิด คือ เจตนาของจิตใจ
และจิตใจนั้นเอง จะต้องรับผิดชอบการกระทำ ของตนเอง จะปัดความรับผิดชอบนั้นไม่ได้”


ธรรมดา เจตนาในการทำ พูด คิด นั้นมีน้ำหนักแตกต่างกัน

ถ้า ความรู้สึกมีกำลังดันแรงที่สุด เจตนาก็ย่อมแรงที่สุด

ถ้าแรงพอประมาณ เจตนาก็แรงพอประมาณ ถ้าแรงเพลาๆ ก็ย่อมเพลาตามกัน

สังเกตได้ จากผู้มีโทสะแรงกล้า ก็อาจฆ่าคนได้ทันที จนแทบไม่รู้สึกตัว
ถ้ามี โทสะแรงพอประมาณ แม้คิดจะฆ่า ก็ยังคิดก่อนทำ ถ้าเพลาเบาลง ก็ เพียงคิดแต่ไม่ฆ่า

ผลของกรรมก็เช่นเดียวกัน ย่อมให้ผลสนองตอบ ตามกำลังของ เจตนานั้นๆ

ถ้ารู้สึกแรง ผลก็มาแรง เช่น อนันตริยกรรม ๕ มีการ ฆ่าบิดามารดา ผู้ที่จะทำเช่นนั้นได้
ต้องมีความรู้สึกฝ่ายกิเลสแรงกล้า เจตนาที่ทำก็แรงด้วย และมักให้ผลในขณะที่ทำนั้นเอง

เพราะแรงกรรมแตกต่างกันดังนี้ ท่านจึงแยกกรรมและผลของกรรม ไว้ดังนี้

๑. กรรมที่สามารถให้ผลให้ปัจจุบันชาติ ที่เรียกว่าให้ผลทันตา ได้แก่
กรรมประเภทประทุษร้ายผู้ทรงคุณ เช่น บิดา มารดา พระอรหันต์ แม้แต่เพียง
การด่าว่าติเตียนท่านผู้ทรงคุณเช่นนั้น ก็เป็นกรรมที่แรง สามารถ ห้ามมรรคผลนิพพานได้

ด้วยเหตุนี้เมื่อ องคุลิมาล จะฆ่ามารดาเป็นคนสุดท้าย จึงจะ ครบพันคนตามที่อาจารย์สั่งฆ่า
พระพุทธเจ้าจึงต้องเสด็จไปยับยั้งไว้ เพราะการเบียดเบียนสัตว์ หรือทรมานสัตว์บางจำพวก
ก็มักให้ผลใน ปัจจุบันทันตาได้เหมือนกัน เช่น การเบียดเบียนแมว เป็นต้น
นี่เป็น กรรมฝ่ายอกุศล ฝ่ายกุศลก็สามารถให้ผลทันตาเช่นกัน

อย่างผู้ประพฤติพรหมจรรย์ทั้งยังมีศีลบริสุทธิ์ ผลที่มองเห็นก็คือ ได้รับการอภิวาทกราบไหว้
ได้รับการยกเว้นภาษีอากรจากรัฐบาล ได้รับ การคุ้มครองจากรัฐบาล ได้รับปัจจัยที่เขาถวาย
ด้วยศรัทธา เลี้ยงชีพเป็นสุขในปัจจุบัน ได้รับความเงียบสงัดใจ ความแช่มชื่นเบิกบานใจ
ความสุข สบายทั้งกายและใจ เพราะใจสงบเป็นสมาธิ ได้ฌานสมาบัติ ได้ไตรวิชชาหรืออภิญญา
สิ้นอาสวะในปัจจุบันชาติ แต่ถ้ายังมีกิเลสอยู่ ก็จะ เข้าถึงโลกที่มีสุขเมื่อตายไป

๒. กรรมที่สามารถให้ผล เมื่อเกิดใหม่ในชาติหน้า ถ้าเป็นกุศลกรรม ก็อำนวยผลให้มีความสุข
ตามสมควรแก่กรรมในคราวใดคราวหนึ่ง

ถ้าเป็นอกุศลกรรมก็ให้ผลเป็นทุกข์เดือดร้อน ตามสมควรแก่กรรมในคราวใด คราวหนึ่ง

สมมติชาติปัจจุบันเราเกิดเป็นมนุษย์ ได้กระทำกรรมไว้หลาย อย่าง ทั้งบุญและบาป
ตายแล้วกลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีก ด้วยอำนาจ กุศลกรรมอย่างหนึ่ง ซึ่งสามารถแต่งกำเนิดได้
ในชีวิตใหม่นี้ ที่เราได้รับ สุขสมบูรณ์เป็นครั้งคราว เพราะกุศลกรรมในประเภทนี้ให้ผล เราได้รับ
ความเดือดร้อนเป็นบางครั้ง นั่นคืออกุศลกรรมในประเภทนี้ให้ผล

๓. กรรมที่สามารถให้ผลสืบเนื่องไปหลายชาติ ตัวอย่างในข้อนี้มีมาก

ฝ่ายกุศลกรรม เช่น พระบรมศาสดาทรงแสดงบุพกรรมของ พระองค์ไว้ว่า ทรงบำเพ็ญเมตตาภาวนา
เป็นเวลา ๗ ปี ส่งผลให้ไปเกิด ใน พรหมโลก นานมาก แล้วมาเกิดเป็น พระอินทร์ ๓๗ ครั้ง
มาเกิดเป็น พระเจ้าจักรพรรดิ ๓๗ ครั้ง

ฝ่ายอกุศลกรรม เช่น พระมหาโมคคัลลานะเถระในอดีตชาติ หลง เมียและฟังคำยุยงของเมีย
ให้ฆ่าบิดามารดาผู้พิการ ท่านทำไม่ลง เพียงแต่ทำ ให้มารดาลำบาก กรรมนั้นส่งผล
ให้ไปเกิดในนรกนาน ครั้นมาเกิดเป็น มนุษย์ ถูกเขาฆ่าตายมาตามลำดับทุกชาติถึง ๕๐๐ ชาติ
ทั้งชาติปัจจุบัน ที่บรรลุพระอรหันต์แล้ว ก็ถูกโจรฆ่า

๔. กรรมที่ไม่มีโอกาสจะให้ผล เพราะไม่มีช่องที่จะให้ผล เลย หมดโอกาส และสิ้นอำนาจสลายไป
เรียกว่า “อโหสิกรรม”

ในฝ่ายอกุศล เช่น องคุลิมาล ได้หลงกลของอาจารย์ จึงได้ฆ่า คนเกือบพัน
เพื่อนำไปขึ้นครูขอเรียนมนตร์

พระพุทธองค์ทรงเห็นอุปนิสัยแห่งพระอรหันต์ผลมีอยู่ ทรงเกรงว่า จะฆ่ามารดา
แล้วทำลายอุปนิสัยแห่งพระอรหันต์เสีย จึงรีบเสด็จไปโปรด และตรัสพระวาจาเพียงว่า

“เราหยุดแล้ว แต่ท่านซิยังไม่หยุด”

องคุลิมาลเกิดรู้สึกตัว จึงเข้าเฝ้าขอบรรพชาอุปสมบท

๕. ชนกกรรม กรรมที่สามารถแต่งกำเนิดได้ กำเนิดของสัตว์ใน ไตรโลก มี ๔ อย่างด้วยกันคือ

ชลาพุชะ เกิดจากน้ำสัมภะของมารดาบิดาผสมกัน เกิดเป็นสัตว์ ครรภ์ แล้วคลอดออกมาเป็นเด็ก
ค่อยเจริญเติบโตขึ้นโดยลำดับกาล ฝ่ายดีเกิดเป็นมนุษย์ ฝ่ายไม่ดีก็เกิดเป็นสัตว์ดิรัจฉาน

บางจำพวก อัณฑชะ เดิมเป็นฟองไข่ก่อน แล้วจึงเกิดเป็นตัวออกจากกะเปาะ ฟองไข่ แล้วเจริญเติบโต
โดยลำดับกาล ฝ่ายดีได้แก่กำเนิดดิรัจฉานที่มี ฤทธิ์ เช่น นาค ครุฑ
ฝ่ายชั่วได้แก่กำเนิดดิรัจฉาน เช่น นกทั่วๆไป สังเสทชะ เกิดจากสิ่งโสโครก เหงื่อไคล

ฝ่ายดี เช่น นาค ครุฑ
ฝ่ายชั่ว ได้แก่ กิมิชาติ มีหนอนที่เกิดจากน้ำครำ เป็นต้น รวมทั้งเลือด ไร หมัด เล็น
ที่เกิดจากเหงื่อไคลหมักหมม เป็นต้น

ง. อุปปาติกะ เกิดขึ้นเป็นวิญญูชนทันที ฝ่ายดี เช่น เทวดา
ฝ่าย ชั่ว เช่น สัตว์นรก เปรต อสุรกาย
รวมความว่ากรรมดีแต่งกำเนิดดี กรรม ชั่วแต่งกำเนิดชั่ว นี้เป็นกฎแห่งกรรมที่ตายตัว
ไม่เปลี่ยนแปลงเป็นอื่นไป

๖. อุปปัตถัมภกรรม เป็นกรรมที่คอยสนับสนุนกรรมอื่นซึ่งเป็น ฝ่ายเดียวกัน กรรมดีก็สนับสนุนกรรมดี
กรรมชั่วก็สนับสนุนกรรมชั่ว เช่น กรรมดีแต่งกำเนิดดีแล้ว กรรมดีอื่นๆ ก็ตามมาอุดหนุนส่งเสริม
ให้ได้รับความสุข ความเจริญยิ่งขึ้น

กรรมชั่วแต่งกำเนิดทราม กรรมชั่วอื่นๆ ก็ตาม มาอุดหนุนส่งเสริมให้ได้รับทุกข์เดือดร้อนในกำเนิดนั้น
ยิ่งๆ ขึ้น อย่างที่ เราเห็นๆกัน คนทำดี เช่น ให้ทาน รักษาศีล เจริญสมาธิ ความดีก็จะ ส่งเสริม
ให้ได้ดีมีความสุขยิ่งขึ้น บางคนเกิดมายากจน ชีวิตก็ยิ่งได้รับ ความยากจนตลอดมา

๗. กรรมที่เป็นปรปักษ์ต่อกรรมอื่นที่ต่างฝ่ายกับตน คอยเบียดเบียน ให้ฝ่ายตรงข้ามมีกำลังอ่อนลง
ให้ผลไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย เช่น เกิด เป็นมนุษย์ แล้วมีกรรมชั่วเข้ามาขัดขวางริดรอนอำนาจ
ของกรรมดีลง เช่น ได้เกิดเป็นมนุษย์แล้ว ก็ให้มีอันเจ็บป่วยด้วยโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียน
มี แต่ความทุกข์โศกสูญเสีย พลัดพราก ทั้งนี้ก็เพราะกรรมชั่วแต่งให้เกิด มาทราม แต่ยังมีกรรมดี
เข้ามาสนับสนุน ให้มีผู้เมตตาสงสารช่วยเหลือ ถึงเกิดเป็นสัตว์ ก็มีผู้เลี้ยงดูรักใคร่อุปถัมภ์
อย่างหมามีปลอกคอ

๘. กรรมที่เป็นปรปักษ์กับกรรมอื่น แต่มีอำนาจรุนแรงกว่า เช่น เกิดเป็นมนุษย์ แต่ไปฆ่าเขาตาย
ก็เสียความเป็นมนุษย์ไป ดูเหมือน เป็นยักษ์มารชั่วร้ายป่าเถื่อน

นั่นคือ กรรมดีให้มาเกิดเป็นมนุษย์ แต่กรรมชั่วทำให้เสียความเป็น มนุษย์ หรือเกิดมาเป็นเพศชาย
แต่ประพฤติอย่างเพศหญิง หรือเพศหญิง อยากเป็นชาย ซึ่งมีให้เห็นกันมาอย่างทุกวันนี้
ในพุทธกาลเคยมีตัวอย่าง เช่น โสเรยยะบุตรเศรษฐี ไปหลงใหลพระสังกัจจายน์ ว่าท่านรูปงาม
อย่างผู้หญิง มีจิตคิดเอาเป็นภรรยา ผลกรรมทำให้กลับเพศเป็นหญิง ต้องหนีจากบ้านไปอยู่เมืองอื่น
ไปได้สามี มีบุตรด้วยกัน ภายหลังมาขอ อโหสิกรรมจากพระเถระ ท่านอภัยโทษให้
จึงได้กลับเป็นชายตามเดิม เรื่องของพระอรหันต์จะไปล้อเล่นไม่ได้ บางคนไปเกิดเป็นเปรต
ได้มีผู้ อุทิศบุญให้ ต่อมาได้ไปเกิดเป็นเทวดา

๙. กรรมที่หนักมาก สามารถให้ผลในทันทีทันใด หรือเรียกอีก อย่างหนึ่งว่า “ครุกรรม”
ฝ่ายกุศล ได้แก่ ฌานสมาบัติ ฝ่ายอกุศล ได้แก่ อนันตริยกรรม ๕ อนันตริยกรรมนี้มีผลร้ายแรงมาก
แม้เป็นผู้มี อุปนิสัยจะได้สำเร็จมรรคผลถึงขั้นพระอรหันต์ แต่ถ้าไปทำผิดเข้า ก็จะ ตัดมรรคตัดผล
ต้องไปเสวยกรรมอีกช้านาน

๑๐. กรรมอีกอย่างเรียกพหุกรรม หรืออาจิณกรรม คือต้องทำ เป็นประจำจนเคยชิน เป็นกรรมหนัก
รองจากครุกรรมลงมา ทางฝ่ายดี เช่น เป็นผู้บำเพ็ญทาน ถือศีล เจริญสมาธิ มีเมตตาภาวนา เป็นต้น
แต่ยังไม่ถึงได้ฌานสมาบัติ กรรมนี้ก็จะเป็นปัจจัยให้มีกำลังในจิต ที่จะ ทำดีอยู่เสมอ สามารถให้ผล
ต่อเนื่องไปนาน ถ้าไม่ประมาท ในชาติ ต่อไปก็จะทำเพิ่มเติมอยู่เป็นอาจิณ ตัดโอกาส
ไม่ให้กรรมเล็กน้อยมาตัด รอนได้

ทางฝ่ายอกุศลก็เช่นเดียวกัน เช่น พรานป่าล่าสัตว์ หรือชาวประมง ทำปาณาติบาตอยู่เป็นประจำ
แม้แต่คนมีอาชีพฆ่าหมูขาย เชือดไก่ เชือดเป็ด หรือขายสัตว์เป็นประจำ คนพวกนี้แม้จะมีกรรมดีอยู่บ้าง
ก็ยากที่จะเข้ามาช่วยได้ เพราะกรรมชั่วติดสันดานเสียแล้ว เวลาใกล้ตาย ก็จะส่งเสียงร้องเหมือนสัตว์
ที่ตนฆ่า พอสิ้นใจก็ไปนรกทันที

โรงงาน ใหญ่ๆ ที่ฆ่าไก่ส่งนอกวันละเป็นพันเป็นหมื่น เขามักจะจ้างคนอิสลาม มาฆ่า
ก็ไม่มีผลอะไรในเรื่องของบุญบาป เพราะเจ้าของผู้ให้ฆ่า และคน ฆ่า จะนับถือศาสนาอะไร
ก็ต้องรับผลทั้งนั้น

เจ้าของผู้ให้ฆ่าหรือจ้างวานให้ฆ่า จะว่าไปแล้วก็ถือว่าเป็นบาปกว่า คนฆ่าเสียอีก เขาเหล่านี้
แม้จะร่ำรวยเป็นพันเป็นหมื่นล้าน เมื่อถึง คราวจะสิ้นชีวิต ทรัพย์นั้นก็จะละลายหายสูญ
เช่นเดียวกับที่ถูกเผาไหม้ อยู่ในนรก

ยังมีกรรมอีกสองประเภท กรรมแรกเรียก “อาสันนกรรม” เป็น กรรมที่ให้ผลในเวลาใกล้ตาย
ไม่ว่าจะเป็นกรรมหนักหรือกรรมเบา

ตัวอย่างในสมัยพุทธกาลเล่าว่า มีบุรุษคนหนึ่งโดยสารไปในเรือเดิน ทะเล แล้วเกิดพายุทำให้เรือแตก
อับปางลง จึงได้สมาทานศีลก่อนตาย เพียงเล็กน้อย เมื่อตายแล้วได้ไปเกิดในสวรรค์
มีนามว่า สตุลลปายิกาเทวา

ตัวอย่างการอาราธนาศีลก่อนตาย คนไทยชาวพุทธแต่โบราณมา ยึดถือปฏิบัติกันทั่วไป
บิดามารดาก็ดี ญาติพี่น้องก็ดี เมื่อเห็นว่าใกล้จะ สิ้นใจ เขาจะบอกให้ผู้ใกล้ตายระลึกถึงสิ่งที่ดีงาม
เช่น บอกให้ระลึกถึงคุณ พระพุทธเจ้า เช่น พุทโธ หรือ สัมมาอะระหัง เมื่อสิ้นใจแล้วจะได้มีสติ
ไปจุติในที่ดีเอาไว้ก่อน

แต่บางทีถ้าทำบาปเอาไว้มาก จะบอกอย่างไรก็ไม่มีสติจะระลึกได้ เพราะเจ้ากรรมนายเวร
ที่เขาอาฆาตได้ปิดบังเอาไว้

พระพุทธเจ้าท่านจึงสอนนักหนาว่า “ขึ้นชื่อว่าบาป ไม่ทำเสียเลย ดีกว่า”

แต่ถึงจะเคยทำบาปมา ภายหลังสำนึกได้ กลับทำความดี ให้ทาน รักษาศีล บำเพ็ญสมาธิภาวนา
ก็ยังพอเอาตัวรอดได้ โดยเฉพาะการทำ สมาธินั้น เป็นเหตุให้มีสติดี เมื่อมีสติดี ก็สามารถ
จะระลึกถึงความดี เช่น พุทโธ ได้ก่อนสิ้นใจ

ดังนั้นท่านทั้งหลายจึงไม่ควรจะตายอย่างคนเลอะเทอะ หาสติมิได้
จะเป็นการเสียชาติที่เกิดมาเป็นมนุษย์

กรรมอีกประเภทหนึ่ง เรียก “กตัตตากรรม” เป็นกรรมที่เบา ที่สุด หรือจะเรียกว่า กรรมเล็กกรรมน้อย
ทำด้วยเจตนาอ่อนๆ แทบไม่มี เจตนาเลย เช่น การฆ่ามดแมลงของเด็กๆไม่เดียงสา
แสดงคารวะต่อพระ รัตนตรัย ตามที่ผู้ใหญ่สอนให้ทำ เด็กก็จะทำด้วยเจตนา ที่ชื่อว่าสักแต่ว่าทำ
ถ้าไม่มีกรรมอื่นให้ผลเลย กรรมชนิดนี้ก็ให้ผลได้บ้าง

อย่างไรก็ตาม กรรมต่างๆ ที่กล่าวมาแล้วทั้งหมด แสดงว่าพระพุทธ ศาสนาไม่ได้สอนแบบกำปั้นทุบดิน
อย่างที่บอกว่า ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว แต่ได้แยกแยะกรรมต่างๆ ไว้เป็นอันมาก ทำดีขนาดไหน
ทำอย่างไร ทำชั่วขนาดไหน ทำอย่างไร และให้ผลอย่างไร ท่านแสดงไว้หมด

ผู้ที่ วิตกว่า ได้ทำบาปมามาก กลัวจะใช้กรรมไม่หมด ก็ไม่ต้องกลัวขนาด นั้น เมื่อรู้ตัวว่าทำบาปมาก
ก็ยังมีทางแก้อยู่ คือ หันมาทำบุญให้มาก ท่าน ศีล ภาวนา ต้องทำให้มากกว่าบาปที่ทำมาแล้ว
ก็อาจแก้ไขให้ร้าย กลายเป็นดีได้ แต่ต้องทำให้มาก ชนิดที่กรรมชั่วตามไม่ทัน


อย่างองคุลิมาลได้ฆ่าคนมาร่วมพัน ยังได้บรรลุอรหันต์ พอบรรลุ อรหันต์ก็เป็นผู้เหนือโลก
พ้นโลกเสียได้แล้ว กรรมอื่นก็เป็นอันพ้นไป หมดทางที่จะชดใช้อีกแล้ว เว้นแต่กรรมบางชนิด
แม้เป็นอรหันต์แล้ว ก็ยังต้องใช้ อย่างที่กล่าวมาแล้ว

ยังมีผู้เข้าใจผิดในเรื่องของกรรมอีกมาก เช่น ทำดีได้บาป หรือทำ บาปแล้วยังได้ดี
ถ้าทำความเข้าใจเรื่องกรรมที่กล่าวมาแล้วให้ดี ก็จะ เห็นว่า ที่ทำบาปกลับได้ดีนั้น
เขายังมีกรรมอื่นสนับสนุนอุปถัมภ์อยู่ บุญกุศลที่เคยทำไว้ในอดีต ยังมีเหลืออยู่
บาปในชาตินี้ยังส่งผลให้ไม่ได้


ส่วนทำดีได้บาปนั้น ก็เช่นเดียวกัน บาปเก่ายังส่งผลอยู่ กรรมดีก็เข้าไป สนับสนุนไม่ได้
ต้องรอจนบาปเก่าสิ้นไป จึงจะได้รับผลดีตอบแทน จึง เชื่อว่าจะไม่สับสนในเรื่องของกรรม
หรือรู้เรื่องกรรมแบบกำปั้นทุบดิน

นอกจากนี้ยังมีลักษณะของกรรมที่อยากให้รู้ไว้ให้ชัดอีก ๖ ประการ คือ

๑. กรรมจากการฆ่าสัตว์ ย่อมส่งผลให้ไปสู่อบายภูมิ ครั้นกลับมา เกิดเป็นมนุษย์อีก
ก็เป็นคนอายุน้อยหรืออายุสั้น ตายเสียก่อนวัยอันควร

ส่วนกรรมที่ไม่ฆ่าสัตว์ มีเมตตาปรานีในสรรพสัตว์ ตายแล้วย่อมไป สู่สุคติโลกสวรรค์
เมื่อกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ ก็เป็นคนอายุยืน

๒. กรรมจากการเบียดเบียนสัตว์ ด้วยการตบตี ขว้างปา แทง ฟัน ส่งผลให้ไปสู่อบายภูมิ
ครั้นได้กลับมาเป็นมนุษย์อีก ก็เป็นคนมีโรคภัย ไข้เจ็บมาก

๓. กรรมจากความมักโกรธ ถูกว่าเล็กน้อยก็โกรธพยาบาทปอง ร้าย แสดงความโกรธ ความดุร้าย
ความน้อยใจให้ปรากฏออกมา ส่ง ผลไปสู่อบายภูมิ ครั้นมาเกิดเป็นมนุษย์ ก็จะเป็นคนผิวทราม
ส่วนคน ที่ไม่มักโกรธ เกิดมาเป็นมนุษย์ก็ผิวงาม น่าเลื่อมใส ผ่องผุด เกลี้ยงเกลา

๔. กรรมจากความมีใจริษยา อยากได้ เข้าไปขัดขวางในลาภ สักการะของผู้อื่น หรือผู้อื่นมีใจนับถือ
นบไหว้ผู้อื่น ก็ไปขัดขวางเขา ต้องการให้นับถือตัวผู้เดียว ตายไปก็ลงสู่อบายภูมิ ครั้นเกิดเป็นมนุษย์อีก
ก็เป็นคนมีศักดาต่ำ ไม่ค่อยมีใครยกย่องนับถือ ส่วนตรงกันข้าม ก็ไปสู่สวรรค์ เกิดเป็นมนุษย์มีศักดาใหญ่
ได้รับความนับถือจากผู้อื่น

๕. กรรมจากการไม่ให้ข้าว น้ำ ผ้า ยานพาหนะ ดอกไม้ของหอม ที่อาศัยหลบนอน ให้แสงสว่าง
แก่สมณะและคนดี เพราะความตระหนี่ เหนียวแน่น ตายไปก็ส่งผลให้ไปสู่อบายภูมิ ครั้นมาสู่
ความเป็นมนุษย์อีก ย่อมเป็นคนมีโภคะน้อย หรือมีสมบัติน้อย ส่วนตรงกันข้ามย่อมเป็นผู้มี โภคะมาก

๖. กรรมจากความกระด้างถือตัว ไม่ไหว้คนควรไหว้ ไม่ลุกรับคน ควรลุกรับ ไม่ให้อาสนะแก่คนควรให้
ไม่หลีกทางแก่คนควรหลีก ไม่ สักการะคนควรสักการะ ไม่เคารพคนควรเคารพ ไม่นับถือคนควรนับถือ
ไม่บูชาคนควรบูชา ทั้งนี้ก็สามารถส่งผลดีและผลร้ายได้เช่นเดียวกัน

ดังนั้น จะเห็นได้ว่า กรรมที่กล่าวมานี้ เป็นเรื่องของจิตใจโดยตรง เป็นกรรมทางจิต ก็จิตของมนุษย์
เรานั้น ถ้าปล่อยให้จิตเศร้าหมอง ขุ่นมัว ด้วยกรรมต่างๆ กัน ย่อมเป็นพิษภัยแก่ตัวเองทั้งสิ้น
ท่านจึง สอนให้ทำจิตให้สะอาด สว่าง และสงบ เป็นจิตบริสุทธิ์ ประกอบด้วย เมตตา กรุณา มุทิตา
อุเบกขา เป็นจิตใจที่อ่อนโยน

๗. กรรมอีกอย่างหนึ่ง คือ การไม่เข้าหาเพื่อศึกษา หรือไต่ถาม สมณพราหมณ์ หรือผู้รู้มีปัญญา
ในสิ่งที่ควรถาม เช่น กุศล อกุศล สิ่งมีโทษ ไม่มีโทษ สิ่งควรเสพ ไม่ควรเสพ กรรมที่เป็นไปเพื่อทุกข์
กรรมที่เป็นไปเพื่อสุข หรือสิ่งที่ส่งผลไปสู่อบาย หรือกรรมที่ส่งผลไปสู่ สุคติโลกสวรรค์ นิพพาน

การที่ท่านบัญญัติกรรมนี้ไว้ ก็เพราะถือว่า มนุษย์ที่เกิดมา จะทำดี หรือไม่ดี ก็เพราะความไม่รู้
ที่เรียกว่า “อวิชชา” การไม่แสวงหาความรู้ จึงเป็นต้นเหตุแห่งกรรมดีกรรมชั่วของมนุษย์
ผลที่เห็นได้ง่ายก็คือความ โง่เขลา และความเฉลียวฉลาดมีปัญญา

เมื่อได้รู้เรื่องกรรม ตามที่กล่าวมาแล้วทั้งหมด ท่านผู้มัปัญญา ย่อมจำแนกแยกแยะ ความหยาบ
ความละเอียด หนักเบาของกรรม นั้นๆ ได้ และเป็นจริง

แสดงให้เห็นว่า สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของๆ ตน มีกรรมเป็นผู้ ให้ผล มีกรรมเป็นแดนเกิด
มีกรรมเป็นเครื่องจำแนกแยกให้เห็นว่า มนุษย์ จะดีหรือจะชั่ว จะร่ำรวยหรือยากจนเข็ญใจ
จะรูปงามหรือต่ำทราม จะลง นรกหรือขึ้นสวรรค์ จะเวียนว่ายตายเกิดในภพภูมิต่างๆ หรือจะหลุดพ้น
ไปสู่พระนิพพาน แดนแห่งจิตอมตะก็ด้วยกรรม คือ การกระทำของตน เองทั้งสิ้น

ทั้งนี้ไม่มีพระเจ้าองค์ใดจะบันดาลให้ได้ แม้พระพุทธเจ้าผู้รู้แจ้งโลก ทั้ง ๓ ก็เป็นแต่ผู้แนะนำสั่งสอน
ชี้ให้เห็นทางถูกผิด กุศล อกุศล ให้ เท่านั้น ตัวเรา มนุษย์เรา จะเป็นผู้เลือกทางเดินของตนเอง
จะเลือกอย่าง คนโง่ดักดาน หรือจะเลือกอย่างคนฉลาดมีปัญญา ก็เป็นเรื่องของมนุษย์ เองทั้งสิ้น

พระพุทธศาสนา ไม่มีคำสอนให้คนหลงใหลงมงาย แต่สอนให้รู้จัก ความเป็นตัวของตัวเอง
เชื่อตนเอง และให้พยายามค้นหาความเป็น จริง ในกายในจิตของตนเอง มากกว่าดูจากภายนอก
เพราะภายนอกนั้น ยังเป็นสิ่งลวงตาอยู่

เมื่อรู้จักเรื่องของกรรมแล้ว ก็ย่อมจะเข้าใจนิพพานได้ถูกต้องขึ้น ว่า แท้จริงแล้ว “นิพพาน”
มิได้สูญหายไปไหน คำว่า “นิพพานํ ปรมํ สูญญํ” นิพพานสูญนั้น ได้สร้างความเข้าใจผิด
หวาดกลัวมาสมัยหนึ่ง ใครๆ ก็ไม่อยากไปนิพพาน ไปทำไมเมื่อมีความสูญสลาย สู้เป็น
มนุษย์อยู่อย่างนี้ไม่ได้ บริบูรณ์ด้วยรูป รส กลิ่น เสียง หรือไม่ได้เป็น มนุษย์ ไปสวรรค์ยังดีเสียกว่า

ก็นี่แหละมนุษย์ ที่ยังติดรูป รส กลิ่น เสียง มีความโลภ โกรธ หลง เป็นเจ้าเรือนอยู่ ไม่ใช่จะสละละวาง
ไปนิพพานกันได้ง่ายๆ เอกเพียง แค่ไม่ทำบาป ก็เป็นของยากแสนเข็นเสียแล้ว
ก็ยากที่จะเอาชนะกิเลสได้

คำบาลีมีอีกประโยคหนึ่งว่า “นิพพานํ ปรมํ สุขํ” แปลว่า “นิพพาน เป็นสุขอย่างยิ่ง”
ซึ่งมีความหมายที่ถูกต้องที่สุด ความสุขอย่างยิ่ง เป็นลักษณะของพระนิพพาน
แต่สุขอย่างยิ่งอย่างไร จึงจะเป็นสุขของ พระนิพพาน

ธรรมชาติของมนุษย์และสัตว์ทั้งหลาย มีทุกขเวทนาเป็นพื้น ฐาน เกิดก็ทุกข์ แก่ก็ทุกข์ เจ็บก็ทุกข์
ตายก็ทุกข์ เพียงความเกิด แก่ เจ็บ ตาย ครั้งหนึ่งก็พอทน แต่มันมีคำว่าเวียนว่ายตายเกิดเพิ่มขึ้นมา
ชีวิต มนุษย์และสัตว์ทั้งหลาย ต่างเวียนว่ายตายเกิดเช่นนี้ นับภพนับชาติไม่ ถ้วน
เกิดแต่ละภพแต่ละชาติ ต่างก็ต้องทนทุกขเวทนาซ้ำแล้วซ้ำอีก


ผู้มีปัญญา ได้สร้างทานบารมี ศีลบารมี สมาธิบารมี จนเป็นผู้ มีปัญญา มีจิตเป็นกุศล
ย่อมเห็นทุกขเวทนาในการเกิด การแก่ การเจ็บ การตาย เวียนว่ายตายเกิด ซ้ำซาก
ย่อมเกิดความเบื่อหน่ายคลายกำหนัด แสวงหาความพ้นทุกข์ หวังมรรคผลนิพพาน


ส่วนผู้มีอวิชชาครอบงำอยู่ ย่อมไม่รู้สึกรู้สา ต่อการละวางกิเลส ตัณหา ยังติดอยู่ในรูป รส กลิ่น เสียง
ซึ่งเป็นธรรมดาโลก ทุกอย่าง ขึ้นอยู่กับผลกรรมของตน ใครทำกรรมใดไว้ จะดีหรือชั่ว
ย่อมเป็นไปตาม กรรมนั้น


นิพพานที่ว่าเป็นสุขอย่างยิ่ง ต้องทราบก่อนว่า ธรรมชาติจิตเป็น ธาตุอมตะ ไม่ใช่ของสูญได้
จิตย่อมเวียนว่ายตายเกิดตามกรรมของตน

การที่เราจะเข้าถึงนิพพานที่เป็นสุขอย่างยิ่ง คือ ทำให้จิตไม่ต้องเกิดตาย ต่อไป เป็นจิตที่สุขอย่างเดียว
เหนือธรรมชาติของจิตธาตุอมตะธรรมดา ขึ้นไปอีก และเป็นจุดสุดยอดที่พระพุทธเจ้าทรงเข้าถึง
และเป็นจุดสุดยอด ของพระพุทธศาสนา ซึ่งไม่ใช่จะเข้าถึงได้โดยง่าย อย่างที่คนโดยมากคิดกัน
ต้องอาศัยบารมีที่สร้างสมมาหลายภพหลายชาติ เกื้อกูลส่งเสริมด้วย

ฉะนั้น จึงไม่ใช่เรื่องง่าย ที่มนุษย์สามัญชนเรา จะมานั่งกลัวว่า ตน จะต้องไปนิพพาน
ที่เข้าใจว่าเป็นการสูญ

มนุษย์สามัญชนผู้ไม่รู้อดีตชาติ ไม่รู้กรรมดีกรรมชั่วที่เคยกระทำมา ถ้าเรามีจิตเป็นกุศล
เราอาจปรารถนานิพพานได้ แต่จะช้าหรือเร็ว ก็ เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
สุดแต่วาสนาบารมีที่เราเคยกระทำมา ซึ่งไม่ทราบว่ามี แค่ไหน

แต่เมื่อปรารถนานิพพาน แล้วตั้งใจทำกรรมดี ก็จะต้องได้สักวัน หนึ่ง หรือในชาติหนึ่งจนได้
ข้อสำคัญในปัจจุบัน เราทำอะไรอยู่ ถ้าเราทำ ในสิ่งที่เป็นกุศล เช่น ให้ทาน รักษาศีล ทำสมาธิ
ทำไปจนเคยชินเป็น ปกติ ไม่ให้ตกไปอยู่ในความชั่วหรืออกุศลกรรม

แม้ไม่ปรารถนาสวรรค์ นิพพาน ก็ย่อมไปถึงจนได้ เพราะกุศลกรรมความดีนั้น เปรียบเหมือน
เมล็ดพันธุ์ที่สมบูรณ์ เมื่อได้น้ำดี ดินดี ก็จะมีแต่ความงอกงาม เจริญ ยิ่งๆ ขึ้นไป

ดังนั้น แต่ละชีวิต แต่ละจิตวิญญาณ ก็ใช่ว่าเมื่อเกิดมาในภพใดภพ หนึ่งหรือชาติใดชาติหนึ่ง
ซึ่งต่างก็ผ่านมานับภพนับชาติไม่ถ้วน จะมีโอกาส สร้างสมกุศลบารมี ทุกชาติทุกภพก็หาไม่

บางชาติบางภพ ก็มีโอกาส สร้างสมกุศลบารมีติดต่อกันมา แต่บางชาติบางภพ ก็มีอกุศลกรรม
มาทำให้หลงผิดเป็นชอบ สร้างบาปกรรมทำลายตนเองมากมาย

เพียงผิดศีล ๕ ก็ทำให้ตกนรกภูมิ เสียเวลาไปนับเป็นกัปเป็นกัลป์ เพราะอวิชชา ครอบงำ
และส่วนมากก็ตกอยู่ในสภาพที่จะต้องรับผลจากอกุศลกรรม มากกว่ากุศลกรรมด้วยซ้ำไป
เราเรียกเจ้าตัวอุปสรรคขัดขวางว่าเป็น มาร หรือกิเลสมาร อันเป็นฝ่ายอกุศล

ด้วยเหตุนี้ทำให้เห็นว่า ทุกชีวิตผู้มีจิตวิญญาณ ต่างก็ต้องพบกับ การทำความดี และการทำความชั่ว
สลับกันไป ข้อสำคัญอยู่ที่เราทำกรรมดี หรือกรรมชั่วมากกว่ากัน มันขึ้นอยู่กับชีวิตความคิดของเราเอง

เคยมีพระนักปฏิบัติบางรูป ท่านปรารภให้ฟังว่า ถ้าท่านเกิดทันใน พุทธกาล คือ ในสมัยที่พระพุทธเจ้า
ยังทรงดำรงค์พระชนม์อยู่ ก็คงจะบรรลุ เป็นพระอรหันต์ไปแล้ว

คำที่ท่านปรารภออกมานี้ มันไม่แน่เสมอไป เพราะผู้ที่เกิดทันพระ พุทธเจ้า ได้สนทนากับพระพุทธเจ้า
ไม่ได้เป็นแม้เพียงโสดาบันก็มี ส่วนผู้ ที่เกิดภายหลังพระพุทธเจ้านับเป็นพันๆปี เมื่อปฏิบัติตาม
พระธรรมคำ สอนอย่างจริงจังแล้ว ได้บรรลุพระอรหันต์ก็มี มันขึ้นอยู่กับกุศลบารมี
ได้สร้างสมมาเต็มเปี่ยมหรือยัง

ดูแต่ อุปกาชีวก ซิ เขาเดินสวนทางกับพระพุทธเจ้า ไดทักถาม สนทนากับพระพุทธเจ้า
ตอนที่มุ่งหน้าไปโปรดปัญจวัคคีย์ ที่ป่าอิสิป ตนมฤคทายวัน เมื่อพบพระองค์กลางทาง เขาทักว่า

“ดูกร อาวุโส…อินทรีย์ทั้งหลายของท่านผ่องใสพิเศษแล้ว พรรณนา แห่งผิวบริสุทธิ์ผุดผ่องโดยรอบ
ท่านได้บรรพชาเฉพาะซึ่งผู้ใด ใครหนอ เป็นศาสดาของท่าน ท่านชอบใจธรรมของผู้ใด”

พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า “เราเป็นผู้ครอบงำซึ่งธรรมทั้งปวงในภูมิ ๓ เราตรัสรู้แจ้งด้วยตนเอง
เราละเสียซึ่งเตภูมิกรรม เป็นผู้น้อมไปแล้ว ซึ่งอารมณ์พระนิพพาน อันเป็นที่สิ้นตัณหา
เป็นผู้มีวิมุตติหลุดพ้นจาก อาสวะทั้งปวง เราตรัสรู้เองแล้ว จะพึ่งใครเป็นศาสดาเล่า”

แต่อุปกาชีวก กลับแสดงอาการเย้ยหยัน ไม่เชื่อ แล้วหลีกไปเสีย นี่ก็แสดงว่าการพบพระพุทธเจ้า
ไม่ได้ทำให้เขาบรรลุมรรคผลแต่อย่างใด แทนที่จะทูลซักถามให้ละเอียด
และขอฟังธรรมของผู้สิ้นอาสวะแล้ว

การแสดงความไม่เชื่อ เย้ยหยันพระพุทธเจ้านั้น ก็อาจทำให้เขา ตกนรกได้ เพราะพระพุทธศาสนานั้น
ถือเรื่องความคิดเป็นเรื่องสำคัญ คนที่มีทิฐิ แสดงความไม่เชื่อว่า พระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์
ว่ามีอยู่จริง หรือไม่เชื่อบาปอกุศล ไม่เชื่อกุศลบารมี ทำให้ตกนรกอวจี ได้เหมือนกัน

“จิตมนุษย์” ล้วนมีความโลภ โกรธ หลง กิเลส ตัณหา อุปาทาน เป็นสัญชาติญาณประจำตัวก็ว่าได้
จึงเท่ากับมีทุนทางอกุศล เป็นทุนอยู่ แล้ว เรื่องการทำชั่วทำบาป จึงกระทำกันได้ง่าย จนกระทั่ง
ถือเป็นธรรมดา ไปก็มี คือ ทำกันจนเคยชิน เช่น การฆ่าสัตว์ เมื่อทำเป็นอาจิณ ผู้ทำก็ไม่รู้สึก
ถึงความผิดบาปแต่อย่างใด หรือการพูดโกหกมดเท็จ บางคนพูดจน กลายเป็นนิสัย
วันไหนไม่ได้พูดมุสา จะรู้สึกอึดอัดไม่สบายใจ คล้ายขาด อะไรไปอย่างหนึ่ง

ที่ท่านกล่าวว่าบาปทำได้ง่าย ก็เพราะมันมีบาปมากมาย ให้เลือก ทำได้ทุกโอกาส
ผิดกับการทำกุศลหรือการทำบุญสร้างความดี ต้องฝืนทำ ต้องพากเพียร ต้องตั้งใจให้จริง จึงจะทำได้

อันที่จริง การระลึกชาติได้นี้ มีคนในโลกระลึกได้ไม่น้อย เป็น การระลึกในลักษณะแตกต่างกันไป
บางคนก็ระลึกได้ในชาติที่แล้ว สามารถ บอกเล่าตรงกับความเป็นจริงได้ บางคนก็ระลึกได้ด้วยฌาณ
อันปฏิบัติ ธรรมดีแล้ว ที่เรียกว่า “อตีตังสญาณ” จะระลึกได้น้อยชาติหรือมาก ชาติ
ก็ขึ้นกับปัญญาบารมีของแต่ละคน

พระอรหันต์ระลึกได้น้อยกว่าพระพุทธเจ้า ผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ สามารถย้อนหลังระลึกชาติไปไม่มีสุด

สำหรับอาตมา ที่เล่าการระลึกชาติมานี้ ก็เป็นเรื่องเฉพาะตน เพื่อ ยืนยันว่า ชาตินี้ชาติหน้า
การเวียนว่ายตายเกิด เป็นสิ่งที่มีอยู่จริง แต่ ไม่อาจเปิดเผยนามได้ และนามนั้นก็สมมติขึ้น
ชีวิตก็เป็นอนัตตา เพียง ให้รู้ว่าเราท่านไม่ควรประมาทในชีวิต ก็น่าจะจบได้แล้ว








ซึ่งในโลกอินเตอร์เน็ตจะมีเยอะมากๆ ที่เข้าใจเรื่องกรรมแบบผิดๆ
เหมือนกับการที่เข้ามาโพสข้อความตามเว็บบอร์ดต่างๆ
ใช้หลายๆยูสเซอร์ เหมือนเล่นละครหลายบทบาท
มีทั้งบทตัวดี บทตัวร้าย แสดงในคนๆเดียวกัน ตอนนี้กลายเป็นแฟชั่นไปเลย

สร้างเหตุอย่างไร ย่อมได้รับผลเช่นนั้น
ไม่มีความแตกต่างทั้งทางโลกแห่งความจริง และโลกของอินเตอร์เน็ต

ผู้ที่มีผลกระทบ ไม่ว่าจะมากหรือน้อยก็ตาม คือ ผู้ที่มีวิบากร่วมหรือเคยสร้างเหตุร่วมกันมา
ส่วนผู้ที่ไม่มีผลกระทบใดๆเลย คือ เขาเหล่านั้น ไม่เคยสร้างวิบากหรือสร้างเหตุร่วมกันมานั่นเอง

หนีอะไร หนีได้ แต่กฏแห่งกรรมหรือกฏแห่งกรรมไม่มีทางหนีพ้นอย่างเด็ดขาด
ต่อให้โลกมีเครื่องมือไฮเทคขนาดไหน การชดใช้ก็ไฮเทคตามตัว ปฏิเสธไม่ได้เลย

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


แก้ไขล่าสุดโดย walaiporn เมื่อ 17 พ.ค. 2010, 21:47, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 พ.ค. 2010, 21:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว




2523165ovmd0qf0p7.gif
2523165ovmd0qf0p7.gif [ 337.07 KiB | เปิดดู 3774 ครั้ง ]
บนทางเดิน
อาจไม่มีทางไหนมุ่งไปดวงดาว
ที่ส่องสกาวบนนภา
และคนที่เดินดินทุกทุกคนก็รู้ว่า
มันไกลเกินที่คนจะก้าวไป


ในความเป็นจริง
เส้นทางบนดินนั้นก็มีดวงดาว
ที่ส่องสกาวอยู่ไม่ไกล
และตัวฉันคนนึงที่ต้องการจะก้าวไป
ฉันมั่นใจว่าคงไม่ยากเกิน


เพราะฉันนั้นต้องการมีเสี้ยวนาทีที่ยิ่งใหญ่
ให้ใจจดไว้นานเท่านาน
อยากจะได้ภูมิใจ ที่มือฉันเคยได้เอื้อมผ่าน
ได้เก็บดาว ที่แสนไกล ... ด้วยตัวฉันเอง


คนบางคนอาจจะมีใจท้อแค่ตรงกลางทาง
หมดความหวังในหัวใจ
แต่มีฉันคนนึงที่ยังคงจะก้าวไป
ฉันมั่นใจกับทางที่เลือกเดิน

ฉันนั้นต้องการเขียนตำนานให้หัวใจ
เพื่อจำจดไว้นานเท่านาน
สิ่งที่ฉันทำไปจะเป็นเส้นทางให้ข้ามผ่าน

สู่จุดหมายที่ตั้งใจ
ด้วยตัวฉันเอง


http://solno07.exteen.com/20100504/entry-7






ทุกวันนี้เรากล้าพูดได้เต็มปากเลยว่า " นี่แหละคือ เส้นทางที่ฉันเลือกเดิน "
และนี่คือ " ชีวิตที่เรากำหนดมันขึ้นเอง " ด้วยกายและใจเรานี่แหละ


ใครที่ยังท้อ ใครที่ยังทุกข์ หมั่นทบทวนทุกๆครั้งที่เกิดความทุกข์
เห็นทุกข์ไหม ทุกข์เพราะอะไรทั้งๆที่รู้ว่าทุกข์ แต่ทำไมจึงยังวิ่งหาทุกข์กันอยู่อีก

ตัวเราถือว่าได้ประสพความสำเร็จในระดับหนึ่ง
คำว่า ประสพความสำเร็จของเรา หมายถึง " ชีวิต " นะ
ไม่ใช่ไปประสพความสำเร็จทางโลกๆ เรื่องทางโลกๆ เราไม่ปรารถนาอันใดแล้ว
เพราะรู้แล้วว่า สิ่งที่เรากำลังทำอยู่นี้ ส่งผลให้ได้รับทั้งทางโลกและทางธรรม


ไม่ต้องไปดิ้นรนหาหนทางใดๆ
ไม่ต้องไปไขว่คว้าหาดาวแบบที่เขาพูดๆกัน
ไม่ต้องไปเหลียวซ้ายแลขวาหาคนช่วยเหลือ
ไม่ต้องไปหาที่พึ่งพิงนอกตัว
ไม่ต้องไปวิ่งหาสิ่งที่สนองทำให้เกิดความสุข
มันจะมีแต่คำว่า " ไม่ต้อง "


เรามีหน้าที่เพียง ดู รู้ลงไป กับทุกๆสิ่งที่เกิดขึ้น ณ ขณะนั้นๆ
ไม่ว่าจะชอบหรือชัง แค่รู้ แล้วชอบหรือชังจะหายไปเอง

ไม่ต้องไปหาวิธีการ มีแค่เฝ้าดู รู้ลงไป แล้วอยู่กับสิ่งนั้นๆ
ยิ่งหาวิธีการ ยิ่งวุ่นวาย มีแต่ส่งจิตออกนอก


เพราะมันคือกิเลสตัวหนึ่งที่เนียนมากๆ
" ความอยาก "
ความอยากสำเร็จ แต่ไม่รู้ไม่อยาก
จึงพยายามหาวิธีการ ที่คิดว่าเป็นหนทางพาไปสู่ความสำเร็จได้


ยิ่งดิ้น ยิ่งไขว่คว้า ยิ่งมองไม่ออก เพราะความอยากบดบังดวงตา
บดบังปัญญาไม่ให้เห็นตามความเป็นจริง ในสิ่งที่กำลังเป็นอยู่
ในสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับตัวเอง


ทุกๆการกระทบ คือ สภาวะของคนๆนั้น
ทุกๆสภาวะคือบททดสอบสติ สัมปชัญญะ
และ การชดใช้หนี้กรรมที่เคยได้สร้างเหตุเอาไว้ด้วยความไม่รู้


เมื่อเจอผัสสะที่คิดว่า " ดี " อย่าไปให้ค่าให้ความหมายต่อสิ่งที่คิดว่า " ดี "
เมื่อเจอผัสสะที่คิดว่า " ร้าย " อย่าไปให้ค่าให้ความหมายต่อสิ่งที่คิดว่า " ร้าย "


สิ่งที่เกิดขึ้นทุกอย่าง ไม่ว่า จะดีหรือร้าย ล้วนเป็นหลุมพรางของกิเลส
จงอย่าพยายามแก้ไข ให้ดู แล้วรู้ลงไปในสิ่งที่เกิดขึ้น
อย่าตอบโต้ การตอบโต้ คือ การแก้ไข คือ การสร้างภพชาติใหม่ให้เกิดขึ้น ยืดยาวออกไป


คุณล่ะ ตัดสินใจกำหนดชีวิตของคุณเอง ด้วยตัวคุณเองแล้วหรือยัง
หรือว่ายังปล่อยให้เป็นไปตามเหตุที่กระทำมา แล้วยังคิดกระทำต่อไปอีก

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


แก้ไขล่าสุดโดย walaiporn เมื่อ 19 พ.ค. 2010, 21:19, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ค. 2010, 16:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว




2577532l4x63rlo05.gif
2577532l4x63rlo05.gif [ 214.61 KiB | เปิดดู 3750 ครั้ง ]

ตะวันลับลา
ท้องฟ้าหลับใหล
สายลมชื่นใจโชยกลิ่นเกสร

หมู่ดวงดารา
โอเอนเพลงไพร
สำนียงเรไร บอกให้เข้านอน

โอ้ละหนอ หนอ หนอ
จันทร์กระพ้อลู่ลม .....

เจ้ากระต่ายแสนกล
วาดวิมานดารา

โอ้ละหนอ หนอ หนอ
เธอจงพักสายตา ....

ในอ้อมอกนิทรา
..... หลับเถิดหนาคนดี ....

จะคอยพัดไกว
.... ให้ร้อนเบาบาง ....

รื้นไรให้ห่าง
อย่ามากล้ำกราย

.... เก็บดาวให้เธอ ....
ไว้หนุนอิงกาย
พักให้สบาย อย่าได้กังวล


http://solno07.exteen.com/20100404/entry






" ศิล " + " การยอมรับความจริง " = " เห็นตามความเป็นจริง "


หมั่นฝึก กาย วาจา ใจ ให้เป็นเขตปลอดเชื้อโรค


" ความสุขที่แท้จริง " อยู่ที่ใจของเรานี่เอง

" ขอให้ทุกคน จงมีความสุข "

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 พ.ค. 2010, 19:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว




1_display.jpg
1_display.jpg [ 31.71 KiB | เปิดดู 3736 ครั้ง ]
เดิมๆอยู่ทุกวัน
.... เรื่องธรรมดา ....

ทำตามอย่างเขาไป
ไม่มีปัญหา

อยากลองอยากคิดเดิน หนทางใหม่ๆ
ประตูยังเฝ้าคอยให้เราออกไป

ก็ไม่รู้หนทางที่วาดไว้
จะดีร้ายขอไปอย่างใจต้องการ

ปล่อยชีวิต
ตามทางที่เลือกเดิน
เปิดความคิดให้ใจได้เพลิดเพลิน

แค่ได้พบความสุขที่บรรเลง
แค่ได้ร้องตามจังหวะที่ครื้นเครง
.... เท่านี้ก็สุขใจ ....

จะเร็วจะช้าไปก็ไม่เป็นไร
เดินทางมาแสนไกล แค่เรายังไหว
อะไรไม่สำคัญเท่าเป็นตัวเอง
ได้เป็นดั่งเสียงเพลงที่เราเต้นไป

บทเพลงที่มาจากใจ
.... ส่งไปให้ใครต่อใคร ....

อาจมีสักคนเข้าใจ
จิตใจ
ข้างในบทเพลง

บทเพลงที่มาจากใจ ส่งไปให้ใครต่อใคร
อาจมีสักคนเข้าใจ เท่านี้ก็สุขใจ

http://www.you2play.com/player/media_type,song/id,4459/





จงปลดปล่อยตัวเองจากพันธทนาการที่มีอยู่
จงเป็นอิสระจากทุกสรรพสิ่ง

เพราะทุกสรรพสิ่ง ล้วนมี และเป็นในสิ่งที่ควรเป็น
ตามเหตุปัจจัยของสิ่งๆนั้น ก่อนที่จะมี " เรา " ขึ้นมา

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 พ.ค. 2010, 22:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


เทส

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 285 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 15, 16, 17, 18, 19  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร