วันเวลาปัจจุบัน 23 ส.ค. 2025, 04:30  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 1521 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 6, 7, 8, 9, 10, 11, 12 ... 102  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 พ.ค. 2010, 19:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1.ท่านอาจารย์มีความเห็นอย่างไรเกี่ยวกับการเปลี่ยนชื่อ-นามสกุล ช่วงไม่นานมานี้คนไทยนิยมเปลี่ยนชื่อกันมาก แม้แต่บุคคลที่เกิดในตระกูลดี ฐานะดี มีคุณวุฒิ ความรู้สูง ฉลาดเฉลียว มียศตำแหน่งสูง

คำตอบ
หลวงพ่อบ่นที่หนูเปลี่ยนชื่อ เป็นเพราะหลวงพ่อเห็นความงมงายของหนู ที่เอาสมมติ(ชื่อ) มามีอิทธิพลอยู่เหนือจิตใจ
ชื่อนั้นสำคัญไฉน
อหิงสา คือความไม่เบียดเบียน การเว้นจากการทำร้าย อหิงสกะ(โจรองคุลีมาล) ยังฆ่าผู้คนได้มากถึง 999 คน
อโศก คือไม่โศก ไม่เสียใจ พระเจ้าอโศกมหาราช ฆ่าชาวกลิงคะ ไปเป็นจำนวนมาก ยังโศกเศร้า ยังเสียใจในความเหี้ยมโหดของพระองค์เอง สุดท้ายจึงวางศาสตราวุธ แล้วหันมาทำนุบำรุงพระศาสนาให้ขจรขจายได้
ปฏาจรา แปลว่าผู้ไปโดยไม่มีผ้านุ่งห่ม(เสียสติ บ้า) เมื่อได้บวชเป็นภิกษุณี กลับมามีสติสัมปชัญญะ แล้วบรรลุอรหัตถผลได้
ดังนั้น ชื่อจึงเป็นเพียงสมมติบัญญัติ ใช้สำหรับสื่อถึงตัวบุคคลโดยเฉพาะ สมมติบัญญัตินี้ไม่มีอิทธิพลเหนือจิตใจ แล้วเหตุไฉนจึงเอาใจของเราเข้าไปเป็นทาสสมมติบัญญัติ ให้คุณค่าของจิตใจตนเองลดต่ำลงด้วยเล่า

2.พรหมในชั้นรูปพรหมจะปฏิบัติให้ถึงความหลุดพ้นได้หรือไม่
เมื่อตายไปหนูอยากเกิดเป็นรูปพรหมเพราะไม่อยากอยู่ในกามภพ
แต่ได้ฟังเรื่องเก่าที่ท่านอาจารย์บรรยายไว้ว่าการไปเกิดเป็นพรหมซวยเลย เพราะต้องใช้ชาตินานมากและยังไม่สิ้นกิเลสต้องลงมาเกิดอีกไม่รู้ว่าจะพ้น ทุกข์เมื่อไรเว้นแต่พรหมชั้นสุทธาวาสเท่านั้นที่นิพพานในชาตินั้น หนูสงสัยว่าพรหมประพฤติธรรมให้ถึงความหลุดพ้นไม่ได้หรือคะ หนูคิดว่าโดยทั่วไปพรหมน่าจะมีบุญมากกว่า มีความละเอียดมากกว่า และมีสติปัญญาดีกว่าเทวดาและมนุษย์นะคะ
(ขอพูดถึงเฉพาะผู้ที่ปรารถนาพ้นทุกข์เท่านั้นนะคะ)



คำตอบ
การเข้าถึงความเป็นรูปพรหม มนุษย์สามารถเข้าถึงได้ 2 เส้นทางคือ เจริญสมถกรรมฐานอย่างเดียว จนจิตบรรลุฌาน1-4 หากจิตทิ้งร่างขณะจิตอยู่ในอารมณ์ฌาน จิตจะไปโอปปาติกะเป็นรูปพรหม ที่ยังมีกิเลสในใจแต่กิเลสถูกข่มทับไว้ด้วยอำนาจของฌาน เมื่อกำลังของฌานเสื่อม ยังต้องกลับมาเวียนตายเวียนเกิดอีกยังเข้านิพพานไม่ได้เพราะกิเลสยังไม่หมด ไปจากใจ
การเข้าถึงรูปพรหมในแนวทางที่ 2 ต้องปฏิบัติจิตตภาวนาทั้งสมถและวิปัสสนากรรมฐาน จนบรรลุความเป็นอริยบุคคลระดับ 3 (อนาคามี) หากจิตทิ้งร่างขณะยังเป็นอนาคามี จิตจะไปโอปปาติกะ เป็นรูปพรหมชั้นสุทธาวาส(อวิหา อตัปปา สุทัสสา สุทัสสีและอกนิษฐา) ระดับใดระดับหนึ่งตามภูมิธรรมภูมิปัญญาแห่งตน รูปพรหมชั้นนี้พัฒนาจิตให้สูงขึ้น แล้วเลื่อนระดับขึ้นถึงอกนิษฐาและหากยังไม่หยุดทำจิตตภาวนา ก็จะสามารถบรรลุอรหัตถผลได้ โดยไม่ต้องเวียนกลับมาเกิดเป็นเทวดาหรือมนุษย์อีกเลย
ส่วนรูปพรหมตั้งแต่ชั้น1-11 ยังมีสภาพจิตเป็นปุถุชน เปรียบเทียบในด้านภูมิธรรมภูมิปัญญาแล้วยังด้อยกว่าอริยเทวดที่มีอยู่ในชั้น ของสวรรค์ และยังด้อยกว่ามนุษย์ผู้เข้าถึงความเป็นอริยบุคคลอีกด้วย

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 พ.ค. 2010, 19:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมอยากมีศรัทธาที่ถูกต้องและเต็มเปี่ยมต่อสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าครับ ไม่ทราบต้องปฏิบัติตัวอย่างไรคือปัจจุบันก็ศรัทธานะครับแต่รู้สึกว่ายังคลอน แคลนไม่มั่นคงอยู่
หัวมันคิดว่าควรศรัทธาอย่างสุดจิตสุดใจ แต่จิตใจบางทีเราไม่เป็นไปตามนั้น
ไม่ทราบว่าทำอย่างไรดีครับ

คำตอบ
ต้องเจริญอินทรีย์พละ 5( ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา) ให้กล้าแข็ง แล้วใจของคุณจะมีพลังมาก ศรัทธาต่อพระศาสนาจะไม่สั่นคลอน

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 พ.ค. 2010, 19:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดิฉันได้ฝึกวิปัสสนากรรมฐานมาระยะหนึ่งแล้ว
คิดอยากจะลองปฏิบัติแบบยอมตายถวายชีวิตบ้าง จึงขอเรียนถามท่านว่า
การอดทนปฏิบัติดูสภาวะจิตติดต่อต่อเนื่องกันไปเป็นเวลานานๆ เช่น
การไปนั่งปฏิบัติในบ้านผีดุเพื่อดูความกลัว
หรือนั่งปฏิบัติติดต่อกันทั้งวันเพื่อดูจิตดิ้นรนเพราะเวทนา
เป็นวิธีการปฏิบัติแบบเอาชีวิตเข้าแลกหรือยังคะ



คำตอบ
คนที่ปฏิบัติกรรมฐานแบบยอมตายถวายชีวิต ต้องพัฒนาจิตให้มีกำลังสติกล้าแข็งจึงจะทำได้ ถ้าไปนั่งที่บ้านผีดุแล้วยังมีความกลัว ยังไม่จัดว่ายอมตาย ถ้ายอมตายต้องไม่กลัวตายผีจะมาหลอก มาบีบคอให้ตาย ก็ยอมสละชีวิต อย่างนี้เรียกว่ายอมตาย เช่นเดียวกันการดูจิตดิ้นรนเพราะเวทนามีใช่การยอมตาย ถ้ายอมตายต้องยอมให้เกิดทุกขเวทนาจนสุดชีวิตก็จะไม่ยอมขยับเขยื้อน ไม่เปลี่ยนอิริยาบถ ยอมสู้กับทุกขเวทนาโดยเอาชีวิตเข้าแลก อย่างนี้เรียกว่ายอมตาย

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 พ.ค. 2010, 19:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1. ดิฉันอยากทราบว่าเพราะทำกรรมอะไรไว้คะ
ถึงทำให้ต้องตกงานซ้ำซาก หรือบ่อย ๆ คะ?
จะแก้ไขอย่างไรคะ?
ตอนนี้ดิฉันตกงานได้ 7-8 เดือนแล้วค่ะ
และเคยตกงานมาก่อนหน้านี้ 3 ครั้ง
ดิฉันจมอยู่ในกองทุกข์มาตลอดเพราะมีแรงกดดันรอบข้างอีกด้วย
ทำให้มีความสงบเพียงแค่เวลาที่ได้นั่งสมาธิหรือเจริญสติเท่านั้นค่ะ
ใจของดิฉันมีทุกข์ปนอยู่ในอารมณ์อื่น ๆ อยู่เสมอ
ทำให้จิตใจไม่เบิกบานเสียเลย

คำตอบ
สาเหตุที่ทำให้ตกงานซ้ำซาก ให้ดูตัวเองและปรับปรุงแก้ไขตัวเองดังนี้
• ศักยภาพตัวเองต่ำ คือ ด้วยในความรู้ความสามารถ ( IQ ต่ำ) ต้องเรียนรู้เรื่องงานให้มากและทำให้เป็น ทำงานให้ได้ผลสำเร็จ
• ความกตัญญูกตเวทีต่อบรรพบุรุษหรือต่อผู้มีพระคุณมีน้อยหรือไม่มี ทำให้ไม่พบความสำเร็จในหน้าที่การงาน
• ความขยันมีไม่มากพอ ต้องแก้ตัวเองให้การทำงานมีอิทธิพลอยู่เหนือกาลเวลา อย่าให้เวลามามีอิทธิพลกำหนดการเริ่มทำงานหรือการเลิกงาน




2. จริง ๆ แล้ว ดิฉันรักแม่มาก ๆ มีความสิ่งดี ๆ
หลายเรื่องที่คิดจะทำให้ท่าน ตอบแทนบุญคุณท่าน
แต่ก็ไม่มีโอกาสได้ทำเสียทีเพราะจนถึงวันนี้ดิฉันยังเป็นที่พึ่งของตัวเอง ไม่ได้เลย

แต่มาเวลานี้ความรู้สึกอยากที่ตอบแทนบุญคุณนั้นกลับกลายเป็นความเกลียดชัง
เคียดแค้นขึ้นมา
ซึ่งมันสั่งสมมานานหลายปีและหลายเรื่องค่ะ
ดิฉันควรจะทำอย่างไรคะ?



คำตอบ
สาเหตุที่ทำให้พึ่งตัวเองไม่ได้
๑. มีบุญสั่งสมน้อย แก้ไขโดยประพฤติปฏิบัติ บุญ กิริยาวัตถุ ๑๐ อยู่เสมอ แล้วอุทิศ บุญกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรบ่อย ๆ
๒. มีความดี (คุณธรรม)สั่งสมน้อย แก้โดยประพฤติปฏิบัติ จริยธรรม ของลูกที่มีต่อพ่อแม่ , จริยธรรมของลูกจ้างที่ดีต่อนายจ้าง , จริยธรรมเพื่อนที่ดีต่อเพื่อนทุกคนฯลฯ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 พ.ค. 2010, 19:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1.ดิฉันอยากทราบว่าคนที่ทำงานเดียวกับดิฉันเป็นเพื่อนร่วมงาน รับราชการ มีหน้าที่ตักอาหาร
ให้คนไข้และถ้าอาหารเหลือแล้วเอาไปรับประทานที่บ้านจะผิดศีลหรือเปล่าคะ

คำตอบ
อาหารที่เหลือจากตักให้คนไข้ ถ้าผู้มีหน้าที่รับผิดชอบ ควบคุม ดูแล(เจ้าของ)เกี่ยวกับอาหาร อนุญาตให้ผู้อื่นที่มิใช่คนไข้รับประทานได้ จะนำกลับไปรับประทานที่บ้านถือว่าไม่ผิดศิลข้อ อทินนาฯ เพราะเจ้าของอนุญาตแล้ว ถ้าเขายังมิได้เอ่ยปากให้นำกลับไปบ้านได้ ต้องขออนุญาตและได้รับความเห็นชอบจากเขาเสียก่อนจึงจะนำกลับไปบ้านได้โดยไม่ ผิดศิล


2.ดิฉันมีบุตร1คนเป็นชายอายุย่าง11ปี มีนิสัยก้าวร้าวเอาแต่ใจ ชอบด่าและตีพ่อแม่ ดิฉันควร
แก้ไขอย่างไรค่ะ ดิฉันทราบว่าเป็นกรรมที่ดิฉันทำไว้กับพ่อแม่ เมื่อก่อน ทั้งเถียงไม่เชื่อฟังบางครั้ง
โกรธเคยพลั้งมือตีพ่อแม่บ้าง ดิฉันเห็นกริยาของลูกแล้วนึกย้อนเห็นภาพตัวเองในวัยเด็ก มอง
ลูกแล้วเห็นตัวเอง แต่ดิฉันคิดว่าตัวเองทำไม่เท่าครึ่งหนึ่งที่ลูกทำกับดิฉันตอนนี้ดิฉันกลัว บาป
กรรมมาก ที่สำคัญดิฉันกลัวลูกต้องโดนอย่างตัวเองต่อไป

คำตอบ
ถ้าคุณเชื่อพระพุทธะว่า
สิ่งไม่ดีที่ได้กระทำไว้ก่อนแล้วจะกลับมาตอบสนองผู้กระทำให้ได้รับความเดือด ร้อนในภายหลัง(กิเลศ-กรรม-วิบาก)

และถ้าคุณยอมรับความจริง คุณต้องยอมใช้หนี้กรรมเก่าที่ไม่ดี ใช้หนี้มากกว่าที่ได้กระทำไว้หลายเท่าเพราะ พ่อแม่เป็นผู้มีคุณธรรมสูง ใช้หนี้กรรมไม่ดีจนกว่าจะหมดไปและต้องไม่สร้างหนี้ใหม่(อกุศลกรรม)ขึ้นอีก



3.เมื่อกันยา47 ดิฉันมีโอกาสได้ไปปฏิบัติธรรมหลักสูตรคุณแม่สิริ กรินชัย 7วัน ออกมาดิฉันเห็น
ความเลวของตัวเองมาก ทั้งที่ก่อนเข้าดิฉันคิดว่าตัวเองเป็นคนดีคนหนึ่ง หลังจากนั้นดิฉันมี
โอกาสเข้าหลักสูตรนี้อีก2-3ครั้ง แต่ยิ่งทำยิ่งปฏิบัติดิฉันยิ่งเห็นกิเลสของตัวเองมากขึ้นทุกวัน
ดิฉันเบื่อหน่ายเห็นแต่ความทุกข์ไม่อยากเกิดอีกแล้ว แต่ในขณะเดียวกันความทุกข์แบบเดิมๆ
ก่อนเข้ากลับน้อยลง แต่ก็ไม่มีความสุข เป็นความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก ทั้งที่ก่อนปฏิบัติธรรมดิฉัน
คิดว่าตัวเองก็มีความสุขดี
ดิฉันควรแก้ไขหรือทำอย่างไรต่อไปดีคะ

คำตอบ
เรื่องนี้เป็นธรรมดาของผู้ที่ใช้ภาวนามยปัญญา ส่องดูตัวเอง จะเห็นข้อบกพร่องของตัวเองจนเกิดเป็นความเบื่อหน่าย เห็นแต่ความทุกข์จนไม่อยากเกิดอีกแล้ว

ปัญหามีอยู่ว่า ทำอย่างไรจึงจะพ้นไปจากทุกข์ แห่งการเวียนตาย-เวียนเกิดได้ พระพุทธะท่านเมตตาชี้ทางพ้นทุกข์ไว้นั่นไง คือ มรรค 8 หรือถ้าจะให้หดสั้นเข้าคือ ปฏิบัติธรรมด้วยตัวเอง ตามแนวของ ศิล-สมาธิ-ปัญญา สิ่งที่คุณทำอยู่คือ เข้าปฏิบัติธรรมมา 3 ครั้งแล้ว ทำไมไม่ปฏิบัติต่อไป เป็นครั้งที่ 4,5,6,7 ไปเรื่อยๆจนกว่าจะมีปัญญาเห็นแจ้งมากขึ้นแล้วทุกข์ที่มีอยู่ในใจก็จะหมดไปๆ ใจมีความเป็นอิสระมากขึ้นๆ ต้องปฏิบัติให้ใจเป็นอิสระต่อสรรพสิ่งได้หมด แล้วโอกาสพ้นไปจากการเวียนตาย-เวียนเกิด จะมีได้เป็นได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 พ.ค. 2010, 19:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดิฉันได้มีโอกาสฟังท่านอาจารย์ บรรยายธรรมจากอินเตอร์เน็ต เกิดซาบซึ้ง และยิ่งศรัทธาในพระพุทธศาสนาเป็นอย่างมาก ดิฉันอายุ 29 ปี อาศัยและทำงานอยู่ต่างประเทศกับสามีชาวต่างชาติ ยังไม่มีบุตรเมื่อวันแม่ที่ผ่านมา ดิฉันได้มีโอกาสกลับเมืองไทย และได้ไปบวชชีพราหมณ์เพื่อทดแทนพระคุณแม่เป็นเวลา 3 วัน ซึ่งไม่ใช่ครั้งแรกที่ดิฉันได้บวชชี และระลึกอยู่เสมอว่าถ้ามีโอกาสดิฉันอยากบวชชีในบั้นปลายชีวิต

ดิฉันมีปัญหารบกวนถามท่านอาจารย์ดังนี้ค่ะ
1. ดิฉันอยากให้พ่อกับแม่ของดิฉันปล่อยวาง เลิกหลงใหลในวัตถุ หันหน้าเข้าวัดฟังธรรมให้มากกว่าที่เป็นอยู่ มีทางไหนบ้างคะที่ดิฉันพอจะช่วยพ่อกับแม่ได้บ้าง

คำตอบ
อยากให้พ่อแม่ปล่อยวาง เป็นความคิดที่ดี พระพุทธะสอนมิให้แก้ปัญหาที่ผู้อื่น แต่สอนให้แก้ปัญหาที่ตัวเอง ด้วยการทำตัวเองให้เป็นผู้ปล่อยวางได้ก่อน ทำตัวเองให้เป็นตัวอย่างที่ดีไห้พ่อแม่ดูเป็นตัวอย่าง เมื่อใดทั้งพ่อและแม่เกิดความศรัทธาในตัวลูก และปรารถนาจะทำได้อย่างลูก เมื่อนั้นเหตุปัจจัยลงตัวลูกสอนพ่อแม่ถึงวิธีปล่อยวางได้


2. สามีดิฉันไม่ศรัทธาในพระพุทธศาสนาแต่ก็ไม่ได้คัดค้านที่ดิฉันเป็นพุทธ ศาสนิกชน ดิฉันอยากทำบุญร่วมชาติกับสามีต้องทำอย่างไรคะ ดิฉันอยากให้เขาได้รับส่วนบุญและกุศลด้วยค่ะ

คำตอบ
อยากให้สามีมีส่วนร่วมในการสร้างบุญกุศล เป็นความคิดที่ดีแต่ถ้าเขาเป็นคนดี(มีคุณธรรม) และเป็นคนสะอาด(มีศิล)อยู่แล้ว ก็แสดงว่าเขาเป็นคนมีบุญ การที่จะไปทำให้คนอื่นมาเป็นอย่างที่ตัวเองต้องการ นั่นเป็นความเห็นแก่ตัว นักปราชญ์หรือคนมีปัญญาเขาไม่ทำกัน ที่เขาไม่ศรัทธานั้นเป็นความถูกต้องของเขา ที่เขาไม่คัดค้านในวิธีการสร้างบุญกุศลของคุณนั้นเป็นความดีของเขา แค่นั้นน่าจะพอแล้วสำหรับการเป็นสามีที่ดี


3. ภายในปีหน้าดิฉันกับสามีวางแผนกันไว้ว่าจะมีบุตรด้วยกัน ดิฉันอยากได้คนดี มีหิริโอตัปปะมาเกิดเป็นบุตร ดิฉันและสามีต้องปฏิบัติตัวและใจอย่างไรคะ ถึงจะได้สิ่งนั้นมา




คำตอบ
ปีหน้าอยากมีบุตร ไม่ยาก ถ้าระบบสรีระของทั้งคู่มีความสมบูรณ์แข็งแรง ก็ขอความร่วมมือจากสามี ถ้าเขาไม่ขัดข้องความสำเร็จคงจะเกิดขึ้นส่วนจะได้ลูกประเภทไหนมาเกิดกับคุณ อยู่ที่คุณกำหนดคุณสมบัติของลูกไว้อย่างไร เสร็จแล้วคุณต้องสร้างมหาทาน อธิษฐานคุณสมบัติของผู้ที่จะมาเกิดเป็นลูก แล้วต้องสร้างเหตุของผู้เป็นแม่ให้เหมาะสมที่ปฏิสนธิวิญญาณจะมาเกิด ตัวอย่างปฏิสนธิวิญญาณที่จะมาเกิดเป็นลูก ต้องมาจากสุขติภูมิ ต้องมีความเห็นถูกต้องเอาสวรรค์สมบัติมาด้วย เอาบริวารมาด้วยฯลฯ แล้วคุณต้องสร้างเหตุให้ตรง คือ รักษาศิลอย่าให้ขาดตกบกพร่อง ต้องไห้ทานอยู่เสมอ ทำตัวเองให้เป็นผู้มีความเห็นถูกต้อง ทำตัวเองให้เป็นคนเย็น มีเมตตา มีความสงสาร(กรุณา)อยากช่วยคนอื่น ถ้าทำตัวเองให้ได้อย่างนี้แล้ว จึงขอความร่วมมือจากสามีให้ช่วยสร้างรูป(ร่างกายของเด็ก)ให้ เพื่อรองรับปฏิสนธิวิญญาณมาเข้าในรูปที่สร้างขึ้นนั้น คุณก็จะได้บุตรที่มีลักษณะตรงตามที่กำหนดไว้ ลูกเกิดมาแล้วไม่สร้างปัญหา พ่อแม่มีความสุข.

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 พ.ค. 2010, 19:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดิฉันอยากเรียนถามว่าถ้าเพื่อนขอยืมเงินไปซื้อปลาเป็นๆ มาแช่แข็งขายที่ตลาด ถ้าเราสงสารเพื่อนให้ยืมเงินไป ผู้ที่ให้ยืมเงินจะผิดศีลข้อ 1 ด้วยหรือเปล่าคะและต้องได้รับกรรมด้วยหรือเปล่าคะ

คำตอบ
ก่อนที่จะตอบขอยกตัวอย่างว่า นาย ก. และนาย ข. กำลังราวีกันคุณหยิบไม้ส่งให้นาย ก. เป็นอาวุธ คุณได้นาย ก. เป็นเพื่อนคุณได้บุญ นาย ก. ใช้ไม้ไปตีหัวนาย ข. คุณได้นาย ข. เป็นศัตรู คุณได้บาป
เช่นเดียวกัน คุณให้เงินเพื่อนยืม คุณได้บุญ เพื่อนเอาเงินยืมไปลงทุนด้วยการซื้อปลาเป็นไปขาย ในทางโลกไม่ผิดกฎหมาย แต่ในทางธรรมเป็นมิจฉาอาชีวะ และผิดศีลข้อปาณาติบาตฯ ถือว่าคุณมีส่วนร่วมในการทำบาป , เมื่อใดที่กรรมให้ผล คุณจะได้รับทั้งกุศลวิบากและอกุศลวิบากได้เพื่อนหนึ่งคน แต่ได้ศัตรูมากหลาย ศัตรูคงร่วมกันราวีคุณให้อยู่ไม่มีความสุข และถ้าปลาบางตัวเป็นผู้ที่เคยมีคุณธรรมสูงมาเกิดหรือเป็นพระโพธิสัตว์มาเกิด เป็นปลาเพื่อบำเพ็ญบารมี อานิสงส์ของบาปจะรุนแรง และอาจวิบัติถึงต้องตายก่อนวัยอันควรได้
แต่ถ้าคุณไม่ทราบว่าเขาเอาเงินไปทำอะไร คุณได้บุญล้วน ๆ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 พ.ค. 2010, 19:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขณะนี้คุณพ่ออายุ 76 ปี มีภาวะที่จิตใจเศร้าหมอง กลัวลูกลำบาก กลัวสิ่งต่าง ๆที่ยังไม่เกิดวิตกกังวลไปล่วงหน้า ประกอบกับมีโรคความดัน โรคเก้าต์ ต่อมลูกหมากโต และไส้เลื่อนซึ่งผ่าตัดแล้ว รวมทั้งโรคเหงา เมื่อจิตใจไม่ปกติ ร่างกายก็ยิ่งแย่ไปด้วย ทานไม่ได้ ไม่อยากอาหาร เบื่อชีวิต ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ลูก ๆ แต่ละคนโตกันหมด ไม่มีอะไรน่าห่วง แต่พ่อก็ยังห่วง หากเมื่อได้รับอารมณ์ใดๆมากระทบก็จะคล้อยตามอารมณ์นั้น ทั้งดีและไม่ดี ยิ่งถ้าไม่ดีก็ยิ่งเศร้าไปใหญ่ ปกติคุณพ่อไปวัดทุกวันพระ เป็นคนทำบุญกุศลมาตลอด แต่ขณะนี้ดูเหมือนท่านคิดว่าตัวเองยังทำดีไม่พอ คิดว่าตัวเองมีกรรมที่ทำให้ต้องเป็นแบบนี้ หนูและพี่ ๆ น้อง ๆ พยายามปลอบใจดูแลให้กำลังใจพ่อเต็มที่ แต่ก็เหนื่อยใจที่ว่าไม่เป็นผลเพราะพ่อฟังแต่ไม่ทำตาม หนูพยายามพูดเตือนสติและให้กำลังใจให้พ่อปล่อยวางอย่ายึดติด พ่อก็ยังเหมือนเดิม หนูพยายามคิดว่าหรือจะเป็นภาวะของผู้สูงอายุ แต่หนูต้องพูดแบบเดิม ๆ ซ้ำ ๆ โดยหวังว่าจะช่วยให้พ่อคลายกังวลต่าง ๆ ลงบ้าง จนบางทีก็กลายเป็นบ่นว่า ถึงดุพ่อค่ะ แต่หนูมีเจตนาดี อยากให้พ่อมีสติ ไม่ฟุ้งซ่าน คำถามคือการที่หนูดุหรือบ่นพ่อด้วยความหวังดี จะบาปไหมคะ และหนูจะใช้อุบายอย่างไรให้พ่อค่อย ๆ คลายความยึดติดลงได้ หนูเองก็พยายามแก้ที่ตัวเองก่อนนะคะ โดยไม่ทำตัวให้พ่อต้องห่วงกังวล พยายามเป็นเพื่อนคุยกับพ่อ ใกล้ชิดมากขึ้น คือหนูกลัวว่า การที่พ่อทำดีมาตลอด แต่เกรงว่าจิตวาระสุดท้ายจะไม่ดีค่ะ ขอความกรุณาอาจารย์ช่วยชี้แนะด้วยค่ะ



คำตอบ
ในฐานะที่เป็นลูก ดุหรือบ่นเป็นกริยาที่ไม่สมควรจะใช้กับบุพการี แม้ว่าจะทำด้วยความหวังดีก็ตาม ควรพูดแนะนำด้วยเหตุและผล
ส่วนเรื่องที่จะให้พ่อไม่เป็นห่วงลูก ๆ และคลายความยึดติดลูกต้องสร้างศรัทธาให้พ่อเห็นว่า ลูกทุกคนมีความพร้อมด้วยปัจจัยในการดำเนินชีวิต มีความสุข และทำตัวให้เป็นที่พึ่งกับพ่อได้ เช่น พาท่านไปทำบุญที่วัด พาท่านไปโรงพยาบาล พาท่านไปหาหมอ เพื่อรับคำปรึกษาแนะนำรักษาโรคของท่าน ฯลฯ
เรื่องการไปทำบุญที่วัดทุกวันพระของพ่อ แสดงว่าท่านมีจิตใจโน้มนำไปทางกุศล ลูกแต่ละคนที่อยู่ใกล้ ควรจัดเวรรับภาระจัดเตรียมอาหารและนำท่านไปวัด รับศีลจากพระ ฟังธรรม แล้วเจริญกรรมฐานที่เหมาะสมกับวัยของท่าน ลูก ๆ ควรทำเป็นตัวอย่างให้พ่อดูได้ก่อนแล้วชักชวนให้ท่านทำตาม สวดมนต์ไหว้พระเป็นประจำทุกวัน ทำไปตลอดชีวิต ที่แนะนำมาทั้งหมดนี้ หากลูกทำได้ครบถ้วนแล้วท่านยังปฏิเสธก็ต้องปล่อยวาง ถือว่าสัตว์โลกเป็นไปตามกรรม

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 พ.ค. 2010, 19:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1.พระโสดาบัน โสดาผล ทำไมถึงปิดนรก ปิดอบายภูมิได้ครับ

คำตอบ
คำว่าโสดาบันเป็นสมมติบัญญัติ ใช้สำหรับเรียกอริยบุคคลผู้เข้าถึงโสดาปัตติผลญาณ เป็นผู้ที่ละกิเลสที่ผูกมัดใจสัตว์ (สังโยชน์) เบื้องต่ำ 3 อย่าง ได้คือ ละความเห็นอันเป็นเหตุให้ยึดถือความเป็นตัวตน (สักกายทิฏฐิ) ละความสงสัย (วิจิกิจฉา) ในพระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์ และละความเห็นว่ามีศีลเพียงอย่างเดียวแล้วปฏิบัติตามศีลก็สามารถทำให้ บริสุทธิ์หลุดพ้นได้ (สีลพตปรามาส)
พระโสดาบันเมื่อสิ้นชีวิตแล้วไม่ลงไปเกิดในอบายภูมิ (ปิดอบายภูมิ) ด้วยเหตุที่มีจิตใจเลื่อมใสมั่นคงในพระรัตนตรัย และเป็นผู้มีศีลที่พระอริยเจ้ายินดี มั่นคงอยู่ในจิตใจตลอดเวลา พระพุทธเจ้าตรัสกับพระอานนท์ไว้อย่างนี้


2.ปฎิบัติอย่างไรจึงสามารถเข้าสู้เส้นทางของพระโสดาบัน โสดาผลได้ครับ

คำตอบ
จะเข้าสู่ความเป็นโสดาบันได้ ต้องปฏิบัติตนตามมรรค 8 (หรือ ศีล สมาธิ ปัญญา) มีปัญญาเห็นแจ้งว่า สรรพสิ่งที่เข้ากระทบจิตเป็นไปตามกฎไตรลักษณ์มีความดับไปเป็นธรรมดา เป็นสิ่งที่ไม่มีตัวตน (อนัตตา) จิตปล่อยวาง จิตเป็นอิสระต่อสรรพสิ่ง เห็นอย่างนี้และจิตเป็นอิสระได้อย่างนี้ ความเป็นโสดาบันจึงเกิดขึ้น


3.บุคคลที่อยู่ในขั้นพระโสดาบัน โสดาผล สามารถรู้ตนเองไหมว่าตนเข้าสู่ขั้นโสดาผล แล้วครับ
กราบเรียนถามอาจารย์ด้วยความเคารพครับ
พรชัย ม้าวิไล

คำตอบ
พระโสดาบันจะรู้เห็นด้วยตนเอง (สนฺทิฏฐิโก) ว่าจิตได้เข้าสู่ความเป็นโสดาบันแล้ว เป็นเรื่องธรรมชาติของจิตที่เป็นสัมมาทิฏฐิจะเห็นว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการ เกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งปวงย่อมมีความดับไปเป็นธรรมดา จิตมีความเห็นถูกอย่างนี้และปราศจากอารมณ์ปรุงแต่ง

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 พ.ค. 2010, 19:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1. เกี่ยวกับสถานการณ์ความไม่สงบในภาคใต้นั้น ชาวไทยพุทธใน 4 จังหวัดภาคใต้ควรวางจิตใจไว้อย่างไร ตั้งอยู่ในอะไร และชาวพุทธในจังหวัดอื่นควรวางจิตใจไว้อย่างไร ตั้งอยู่ในอะไร
มีหนทางใดที่เราแต่ละคนจะปฏิบัติเพื่อช่วยรักษาแผ่นดินให้สงบสุขโดยเร็วได้ หรือไม่

คำตอบ
ชาวพุทธทุกคน ถ้าเป็นชาวพุทธแท้ ต้องมีศีลและเมตตาอยู่ในใจผู้มีศีลเป็นผู้มีกาย วาจา ใจ สะอาด ผู้มีเมตตามีความสงบเย็น ต้นเหตุของปัญหาใน 3 จังหวัดภาคใต้อยู่ที่บุคคลเป็นผู้ทุศีลและขาดเมตตา มีปฏิสัมพันธ์ทางลบกับผู้อื่น การพยาบาทจองเวรจึงเกิดขึ้น
จะทำให้แผ่นดินใน 3 จังหวัดภาคใต้สงบได้ ต้องรักษาคนดีซึ่งเป็นประชากรกลุ่มใหญ่ให้คงเป็นคนดีอยู่ได้ ด้วยการไม่ไปเบียดเบียนเขา มีเมตตาช่วยเหลือเขาให้มีอาชีพให้มีงานทำ ซึ่งจะส่งผลให้อยู่ดีกินดีมีปัจจัยใช้สอย ดังที่สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ ทรงกระทำให้ดูเป็นตัวอย่าง เมื่อใดคนมีงานทำ มีเงินใช้ มีความเป็นอยู่สุขสบาย เขาจะไม่ไปก่อปัญหา ให้สังคมเดือดร้อนหรอก
ส่วนผู้ก่อความไม่สงบซึ่งมีเป็นส่วนน้อย ควรใช้ความเมตตาให้อภัยชักชวนเขาให้กลับมาช่วยพัฒนาบ้านเมือง ทั้งนี้ผู้ปกครองดูแลสังคมต้องอดทน มีสัจจะ มีความยุติธรรม และต้องสร้างงานให้เขาทำ
ส่วนผู้เห็นผิดไม่กลับตัวกลับใจ รัฐต้องจับเขามาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมของบ้านเมือง ถ้าทำได้อย่างนี้แผ่นดินใน 3 จังหวัดภาคใต้ จะมีความสงบในระดับที่อยู่กันได้อย่างปกติสุข


2. ถ้าเรารู้ว่ากรรมชั่วในอดีตชาติอย่างหนึ่งกำลังจะส่งผลโดยต้องไปเกี่ยวข้อง ผูกพันหรือประพฤติมิชอบกับบุคคลที่ไม่สมควร และเราพยายามประกอบความดี ยกจิตให้สูง เพื่อระงับการประพฤติชั่วอันนั้น แต่ไม่มั่นใจว่าจะมีสติยับยั้งไว้ได้ตลอดไปหรือไม่ การหลีกไปให้พ้นจากบุคคลนั้นเป็นทางออกที่ดีที่สุดหรือยัง และถ้าเรามีภาระหน้าที่ที่ทิ้ง(หนี)เขาไปไม่ได้แล้วเราควรทำอย่างไร
ขอกราบขอบพระคุณในความเมตตาของท่านอาจารย์เป็นอย่างยิ่งครับ

คำตอบ
เมื่อใดกรรมชั่ว ให้ผล คุณต้องยอมรับความจริง ยอมรับอกุศลวิบาก ขณะเดียวกันหยุดทำชั่ว แล้วทำกรรมดีให้ยิ่ง ๆ ขึ้น การนำตัวออกจากกลุ่มคนชั่ว เป็นวิธีการหนึ่งที่จะไม่ให้คุณ เข้าไปมีส่วนร่วมในกรรมชั่วเพิ่มมากขึ้น ผู้ตอบคำถามเคยมีปัญหาอย่างนี้และได้ทำอย่างที่แนะนำ ด้วยการหางานใหม่ที่เป็นสัมมาอาชีวะทำ และทำได้สำเร็จมาแล้ว

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 พ.ค. 2010, 19:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมได้เริ่มฝึกวิปัสสนากรรมฐานตั้งแต่ตอนเข้าค่ายที่คณะมนุษย์มช.และก็ยัง ปฏิบัติเรื่อยมา ตอนนี้ผม อายุ 23 ปี หลังเรียนจบ คุณแม่คุณพ่อ และญาติ ๆ ฝั่งคุณพ่อหลายคนอยากได้หลานเพื่อสืบทอดตระกูลตามความเชื่อของคนจีนเพราะผม เป็นลูกของลูกชายคนโต ผมไม่ได้ยึดติดตรงนี้ เพราะคิดว่าทุกอย่างเป็นสิ่งที่เราสมมุติบัญญัติขึ้นมา และ ปราถนาอยากจะละกามราคะเพื่อให้จิตเป็นอิสระ และปฏิบัติกรรมฐานได้ดีขึ้น เพราะคิดว่าการมีครอบครัวเหมือนมีภาระหนักเป็นบ่วงผูกคอ เป็นการเพิ่มสิ่งที่ต้องกังวลในใจ ผมก็อธิบายให้คุณพ่อคุณแม่ฟัง ท่านก็รับฟังแต่ก็รู้ว่าท่านจะดีใจมากถ้าเรามีหลานให้ คงจะเป็นสิ่งที่ทำให้ท่านดีใจที่สุดในชีวิตที่ผมสามารถให้ได้
ผมควรจะตอบแทนบุพพากรีโดยการมีครอบครัว หรือว่าตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติธรรมโดยการเป็นโสดทั้งชีวิตดีกว่ากันครับ

คำตอบ
พ่อแม่มีบุญคุณในฐานะแม่ให้อาศัยท้องเกิด พ่อและแม่ให้การเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ คุณจึงถูกสังคมสมมติเรียกว่าลูก การระลึกถึงบุญคุณและตอบแทนผู้มีพระคุณเป็นคุณธรรมของผู้เจริญ ลูกต้องปฏิบัติจริยธรรมการเป็นลูกที่ดี เช่น ท่านเลี้ยงมาเลี้ยงท่านตอบแทน ช่วยทำธุรกิจการงานของท่าน ดำรงวงศ์สกุลให้คงอยู่ทำตนเป็นทายาทที่ดี ทำบุญอุทิศเมื่อท่านล่วงลับ

ส่วนเรื่องของชีวิตคุณมีสิทธิ์ที่จะเลือกทางเดินได้เอง เป็นเรื่องที่ต้องบริหารจัดการเอาเอง เพราะชีวิตเป็นของคุณ ตัวอย่าง เจ้าชายสิทธัตถะ เลือกชีวิตการเป็นพระพุทธเจ้า ใช้ธรรมวินัยมาสั่งสอนคนให้พ้นทุกข์ ปิปผลิมาณพ (พระมหากัสสปะ) ทิ้งสมบัติเศรษฐี ออกบวชเป็นพุทธสาวกสำเร็จเป็นพระอรหันต์ อัมพปาลี ทิ้งอาชีพโสเภณี ออกบวชเป็นพุทธสาวิกา สำเร็จเป็นพระอรหันต์ ฯลฯ เหล่านี้ต่างเลือกทางเดินของชีวิตด้วยตนเอง และนำชีวิตไปสู่ความเจริญสูงสุด

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 พ.ค. 2010, 19:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1.ผมปฏิบัติธรรมโดยอ่านจากหนังสือและฟังเสียงบรรยายจาก internet โดยไม่ได้ไปสำนักใดๆ ได้ไหมครับ(ปฏิบัติที่บ้าน)

คำตอบ
ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานโดยไม่ต้องนำตัวเองเข้าสำนักปฏิบัติธรรมสามารถทำได้ ถ้ารู้ว่าผิดทางแล้วแก้ไขด้วยตัวเองได้ ดูตัวอย่างของภิกษุณีโคตรมีในครั้งพุทธกาล ท่านใช้ “ หลักกำหนดธรรมวินัย 8 ” เป็นมาตรวัดแนวทางการปฏิบัติของท่านจนสามารถบรรลุอรหัตผลได้


2.ผมมักจะมีความคิดที่เป็นอกุศล ผ่านเข้ามาในจิตเนืองๆ โดยพยายามจะรู้สติไม่ให้คิด แต่บางครั้งก็ฝืนไม่ได้ครับ

คำตอบ
แก้ไขโดยให้ทานทุกรูปแบบ เพราะจะทำให้กิเลสหลุดง่ายและรักษาศีล 5 ให้อยู่คุมใจ เพราะศีลทำให้ใจสงบ เมื่อทำทั้ง 2 อย่าง ได้แล้วทำจิตภาวนา (สมถกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐาน) แล้วใช้สติและปัญญาที่เห็นถูกตรงที่เกิดขึ้น ไปกำจัดความคิดอกุศล โดยพิจารณาให้เห็นว่าความคิดอกุศลเป็นไปตามกฎไตรลักษณ์ คือในที่สุดดับไปไม่มีตัวตนจิตจะปล่อยวาง พิจารณาทุกครั้งที่ความคิดอกุศลเกิดขึ้นในที่สุดจะหมดไปเอง


3.ผมจะประกอบธุรกิจผลิตกระเป๋ารองเท้าจากหนังสัตว์(ส่วนมากจะเป็นหนังวัว) โดยไปซื้อหนังจากร้านค้าหรือโรงงานที่ฟอกย้อมสำเร็จแล้ว ซึ่งไม่มีเจตนา ที่จะผิดศีลข้อปาณา และจะทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้สัตว์เหล่านั้น ทั้งนี้จะเกิด ผลอย่างไรครับ


คำตอบ
การทำธุรกิจเกี่ยวกับหนังสัตว์ ไม่ผิดศีลข้อปาณาติบาต เพราะไม่ได้สั่งให้เขาฆ่าเพื่อเอาหนังมาทำเครื่องใช้ แต่อาจผิดศีลข้อ 2 อทินนา ตรงที่ว่าหากมีสัตว์ตัวใดเห็นผิด ผูกพยาบาทจองเวรกับผู้ที่เอาชิ้นส่วนของซากศพไปใช้ โดยมิได้ขออนุญาตจากเจ้าของซาก ทางที่ปลอดภัย ควรบังสุกุลตาย ก่อนนำหนังสัตว์เข้าสู่โรงงาน และทำให้ดียิ่งขึ้น ควรทำบุญบ่อย ๆ แล้วอุทิศบุญกุศลให้กับสัตว์ทุกตัวที่เราไปเอาหนังของเขามาใช้ (บังสุกุลตายหาดูได้จากหนังสือสวดมนต์ทั่วไป)

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 พ.ค. 2010, 19:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ในอดีตแฟนได้เคยนอกใจ ต่อมาพอมีแฟนคนใหม่ ก็กลายเป็นคนขี้ระแวงตลอดเวลา อยากหายจากการระแวงค่ะ เพราะทำให้ไม่มีความสุขในชีวิต แต่ก็อดไม่ได้ ถ้าฝึกจิตพัฒนาตนเอง จะหายไปไหมคะ


คำตอบ
คนขี้ระแวงเป็นคนมีสติอ่อน มีความเห็นแก่ตัว และไม่รู้จริงในเรื่องของชีวิต ที่ว่ามีสติอ่อนเพราะปล่อยใจให้ไปรับสัญญาเก่าที่ไม่ดีจากอดีตมาปรุงแต่ง เป็นอารมณ์ และยึดติด(อุปทาน)อยู่ในอารมณ์ติดลบนั้นส่งผลให้เกิดเป็นความหวาดระแวง ทำให้เสียบุคลิกและเกิดทุกข์กับตัวเอง ถ้าอยากจะพ้นจากอุปทานนี้ ต้องฝึกจิตให้มีสติเข้มๆ คือให้ระลึกอยู่กับอิริยาบถที่เป็นปัจจุบันเท่านั้น แล้วพัฒนาให้เกิดปัญญาเห็นแจ้ง ให้ปัญญาเห็นแจ้งพิจารณาขันธ์ 5 ให้ดับไปตามกฎไตรลักษณ์ เมื่อขันธ์ 5 ไม่มี(อนัตตา) ความเห็นแก่ตัวจะหมดไป จิตไม่ไปเปลี่ยนคนอื่นให้มาเป็นอย่างที่เราคิด คนที่ไม่รู้จริงคือคนโง่ รังแต่จะคอยเปลี่ยนคนอื่นให้มาเป็นเหมือนเรา อย่างนี้เรียกว่ามีความเห็นผิด ผลที่ตามมาคือเกิดเป็นทุกข์ขึ้นในใจ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 พ.ค. 2010, 19:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โมโหแม่และด่าแม่ในใจว่าโง่ รู้สึกละอายใจมากครับ แม่ยังมีชีวิตอยู่
แต่จะกราบขอขมาแม่กับพระพุทธรูปได้หรือไม่ครับ


คำตอบ
ต้อง ขอขมาแม่ ที่ล่วงเกินแม่

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 พ.ค. 2010, 19:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1.ถวายเงินพระบาปไหม หากต้องถวายเงินพระต้องทําอย่างไรถึงไม่บาป

คำตอบ
ถวายเงินให้พระสงฆ์เป็นหนึ่งในบุญกิริยาวัตถุ 10 คือการให้ปัจจัยเป็นทาน ก่อนถวายเต็มใจ ขณะถวายสบายใจ ถวายแล้วอิ่มใจอย่างนี้เป็นการถวายเงินที่มีอานิสงส์เป็นบุญ


2.ซื้อผลไม้ที่มีเมล็ดไปถวายพระ เช่น ส้ม ได้หรือไม่ เพราะเหตุใด
ขอบพระคุณครับ

คำตอบ
ซื้อผลไม้ที่มีเมล็ด เช่น ส้มไปถวายพระสงฆ์ สามารถทำได้แต่ควรปอกเปลือกเอาเมล็ดออกให้เรียบร้อยเสียก่อน หรือทำเครื่องหมายให้รู้ว่าได้ทำกัปปิยะ (สมควรแก่สมณะบริโภค) แล้ว

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1521 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 6, 7, 8, 9, 10, 11, 12 ... 102  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร