วันเวลาปัจจุบัน 22 ส.ค. 2025, 20:57  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 1521 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 7, 8, 9, 10, 11, 12, 13 ... 102  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 15 พ.ค. 2010, 19:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดิฉันได้ไปฟังการบรรยาธรรมของท่านอาจารย์ หลายครั้ง ก่อนที่ดิฉันจะไปฟังบรรยายธรรมของท่านอาจารย์ ดิฉันได้ถูกเพื่อนชักชวนให้นับถือพระศรีอารย์ เขาบอกว่าพระศรีอารย์ได้ลงมาแล้วให้ไปทำพิธีที่ศาลศรีอารย์จังหวัดนครปฐม ดิฉันก็เชื่อเพื่อนได้ไปทำพิธีที่นั่น เข้าให้ดิฉันไม่ต้องบูชาพระพุทธรูป แต่ให้ตั้งศาลพระศรีอารย์แทนเรียกว่าข้าราชการไสยศาสตร์ ต่อมาได้มีเรื่องลงหนังสือพิมพ์ว่าเป็นเรื่องหลอกลวงไม่เป็นความจริง ดิฉันของเรียนถามท่านอาจารย์ว่า

ที่ดิฉันได้ตั้งศาลพระศรีอารย์ที่บ้านแล้ว ดิฉันจะรื้อศาลออกไม่บูชาแล้ว จะเป็นอะไรไหมคะ และจะตั้งโต๊ะบูชาพระพุทธแทน ถึงแม้ปัจจุบันนี้ดิฉันก็ยังสวดมนต์อยู่ทุกวัน แต่สวดมนต์อยู่ในห้องนอน และที่บ้านก็ไม่มีพระพุทธรูปบูชา แต่ดิฉันใช้เป็นรูปภาพแทน



คำตอบ
เมื่อได้ตั้งศาลแล้ว หากจะรื้อศาลทิ้งถ้าคุณมีคุณธรรมสูงกว่า สามารถทำได้ด้วยการ
จุดธูป 1 ดอกปักที่ศาลแล้วบอกว่า หากมีรูปนามใดที่เป็นทิพย์มาสิงสถิตอยู่ที่ศาลนี้ โปรดย้ายออกไปอยู่ที่อื่นตามที่เห็นสมควร
ผู้ตอบคำถามเคยมีปัญหาลักษณะนี้ และได้ทำอย่างที่แนะนำก็ยังมีชีวิตที่ปกติสุขมาจนทุกวันนี้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


แก้ไขล่าสุดโดย ธรรมบุตร เมื่อ 15 พ.ค. 2010, 19:42, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสต์ เมื่อ: 15 พ.ค. 2010, 19:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1. คนเราก่อนตายมีหลายรูปแบบ การตายแบบธรรมดาหรือแก่ตายนับวันจะน้อย ดังนั้นโอกาสที่จะเตรียมตัวเตรียมใจก่อนตายจึงน้อยเพราะปัจจุบันมีภัยต่างๆ มากมาย บ้างก็ป่วยตาย บ้างก็อุบัติเหตุตาย บ้างก็ถูกฆ่าตาย เหล่านี้ ส่วนใหญ่จิตจะมีสติจึงน้อยจึงคิดว่าส่วนใหญ่ตายแล้วคงไม่ไปสู่สุขคติแน่ ดังนั้นอยากให้ท่านอาจารย์ช่วยแนะนำในเรื่องนี้ด้วย

คำตอบ
การตายของคนส่วนใหญ่เกือบทั้งหมด ไม่รู้ว่าจะตายเมื่อไรและไม่รู้ว่าจะตายแบบไหน ดังนั้นเพื่อความไม่ประมาทจึงควรต้องพัฒนาจิตใจตนเองให้เป็นผู้มีสติ คือมีจิตระลึกรู้อยู่กับขณะกำลังจะตาย เมื่อใดที่จิตมีสติเป็นสัมมาสติ จิตที่หลุดออกมาจากร่างไปแล้ว จะไปปฏิสนธิหรือโอปปาติกะใหม่ในร่างที่อยู่ในสุคติภูมิ
สัมมาสติคือ ใจที่จดจ่ออยู่กับสิ่งดีงาม เช่นจดจ่ออยู่กับการรักษาศีลเนืองนิตย์ จดจ่ออยู่กับการบริจาคทานอยู่เนืองนิตย์แล้วสัมมาสติจะถูกเก็บฝังไว้ในดวง จิต ตายแล้วจิตไปเกิดใหม่ในภพภูมิที่ดี

2. คำสอนหรือหัวใจของพุทธศาสนาของพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ต่างกันหรือไม่ และมีจุดมุ่งหมายเดียวกันคือพระนิพพานใช่หรือไม่

คำตอบ
คำสอนในพุทธศาสนาของพระพุทธเจ้าแต่ละองค์ สอนเรื่องธรรมและวินัยเหมือนกัน มีจุดมุ่งหมายเดียวกัน คือสอนฆราวาสให้มีธรรมะคุ้มครองใจ สอนพุทธสาวกให้มีจิตพ้นไปจากอาสวะกิเลสและเข้าสู่พระนิพพานเป็นเบื้องสุด
ส่วนวิธีการสอนแตกต่างกันตามยุคสมัย ของผู้ที่ได้อบรมสั่งสมบารมีมาแตกต่างกันที่มาเกิดร่วมสมัย เช่นพระพุทธะบางองค์สอนเน้นในเรื่องความเพียร บางองค์สอนเน้นด้านศรัทธาและบางองค์สอนเน้นด้านปัญญา
หมายเหตุ : คำตอบนี้พึงอย่าปลงใจเชื่อ ด้วยเหตุที่เป็นคำตอบที่เป็นไปตามครรลองแห่งธรรม อริยบุคคลไม่เชื่อคำตอบหรือคำพูดที่ออกจากปากมนุษย์แต่เชื่อเหตุและผล


3. ทำไมคนทั่วไปไม่สามารถมองชาติภพในอดีตได้ ที่ถามเพราะหากทุกคนสามารถรู้ชาติภพในอดีตได้ ทุกคนคงเชื่อเรื่องกรรม และไม่ทำความชั่วอีก



คำตอบ
คนส่วนใหญ่ที่เกิดในยุคนี้ เป็นคนที่มีจิตใจเป็นทาสของโลกธรรมและวัตถุ เป็นคนที่มีกำลังของสติอ่อนทำให้มีจิตตั้งมั่น (สมาธิ) ไม่ยาวนาน จึงปิดโอกาสของจิตใจที่จะเข้าถึงความเป็นฌานและอภิญญา (ปัญญาสูงสุด) ดังนั้นการจะไปรู้เห็นเข้าใจในเรื่องของภพชาติของอดีตจึงเป็นไปไม่ได้
เรื่องระลึกชาติได้นั้นมิได้ปิดกั้น สำหรับผู้ที่มีความประสงค์จะพิสูจน์ด้วยตนเอง ขอเพียงแค่ต้องปรับแก้ไขตัวเองให้มีเหตุปัจจัยลงตัว เช่นทำตัวเองให้มีศีลคุมใจ เข้าหากัลยาณมิตรทางธรรม ปฏิบัติสมถกรรมฐานเร่งความเพียร มีสัจจะ ฯลฯ ได้แล้ว โอกาสยังเปิดเสมอให้พิสูจน์ได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 15 พ.ค. 2010, 19:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมมีปัญหามากเลย
คือว่าผมมีปมด้อยครับ คือว่า ตัวเตี้ย แล้ว ก็อ้วนด้วย ไปไหนมาไหน ใครๆก็
ชอบพูด ว่า อ้วนแล้วยังเตี้ยอีก ไรทำนองเนี้ยครับ ผมไม่ชอบมากเลย
ได้ฟังทีไรแล้ว รู้สึกหนักใจมาก เป็นทุกข์ครับ
ทำไงดีครับจึงจะช่วยให้หาทุกข์ได้ครับ ช่วยชี้แนะด้วยครับ


คำตอบ
คุณต้องแก้ปัญหาที่ตัวคุณเอง ด้วยการพัฒนาจิตใจให้มีกำลังกล้าแข็ง คือต้องเจริญพละธรรม 5 (ศรัทธา วิริยา สติ สมาธิ ปัญญา) อยู่เสมอ แล้วใช้กำลังสติกำลังปัญญาเห็นแจ้ง ส่องนำทางให้กับชีวิตจิตของคุณจะเป็นอิสระอยู่เหนือคำสรรเสริญ คำตำหนิติด่าหรือคำพูดล้อเลียนที่ออกจากปากของคนอื่นได้แน่นอน เป็นการแก้ปัญหาที่ถูกตรง แก้ปัญหาได้อย่างยั่งยืนตามแนวทางของพระพุทธะ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 15 พ.ค. 2010, 19:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1. ความคิด, จิต และ สติ มีความเหมือนและแตกต่างกันอย่างไร?
2. ความคิด, จิต และ สติ มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันอย่างไร?

คำตอบ
- จิตหรือใจ หรือจิตใจ คือสิ่งที่มีหน้าที่รู้ คิด นึก
- สติคือความระลึกได้ , นึกได้
- ความคิดคือการใคร่ครวญ , ไตร่ตรอง
ทั้งสามมีความแตกต่างกัน


3. การทำจิตนิ่งคือการทำให้สติรู้เท่าทันความคิด ใช่หรือไม่ครับ ถ้าใช่ เราจะทำอย่างไรให้สติรู้เท่าทันความคิดตลอดเวลา?
ขอขอบพระคุณ อาจารย์เป็นอย่างยิ่งครับที่เมตตา ขอขอบคุณ กลุ่มกัลยาณธรรม เป็นอย่างยิ่งในการเผยแพร่ธรรมะที่ถูกต้องและตรงยิ่ง


คำตอบ
• การทำจิตนิ่งคือการทำให้จิตมีความตั้งมั่นเป็นสมาธิ สมาธิจะเกิดได้จิตต้องมีสติ สามารถระลึกได้ทันสิ่งกระทบ ภายนอกที่เข้าทางทวารที่ 6 คือระลึกทันเสียงที่เข้ากระทบหู ระลึกทันรูปที่เข้ากระทบตา ระลึกทันกลิ่นที่เข้ากระทบจมูก ระลึกทันรสชาติที่เข้ากระทบลิ้น ระลึกทันเย็น ร้อน อ่อน แข็ง ที่เข้ากระทบกาย และระลึกทันสิ่งที่ใจนึกคิด หรือความคิดที่เกิดขึ้นในใจ (ธรรมารมณ์)
ผู้ถามมีความปรารถนาให้ตัวเองมีจิตระลึกได้ทันสิ่งกระทบ ต้องฝึกสมถกรรมฐาน (อุบายสงบใจ) และปรารถนาให้จิตรู้ทันสิ่งกระทบตามความเป็นจริง ต้องฝึกวิปัสสนากรรมฐาน (อุบายเรืองปัญญา) ด้วยตนอง จนกว่าจิตใจของผู้ฝึกมีสติและปัญญาเห็นแจ้ง แล้วความปรารถนานั้นจะสัมฤทธิ์ผล

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 15 พ.ค. 2010, 20:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1. เมื่อในอดีตประมาณ ปี 32 ได้เคยทำแท้ง โดยรู้ไม่เท่าถึงการณ์และไม่รู้ว่ามันบาป ตอนนั้นยังไม่ได้เข้าสู่การปฏิบัติธรรม แต่หลังจากได้เข้าสู่การปฏิบัติธรรมหลักสูตรของคุณแม่สิริ กรินชัย นั้น ขณะปฏิบัติเกิดมีอาการปวดท้องอย่างรุนแรง นั้นหมายถึง เหตุทำแท้งจึงปวดใช่หรือไม่ และ หากต้องตายไปเราจะตกไปอยู่ในทีใด ซึ่งทุกวันนี้ก็แผ่เมตตาให้ทุกครั้งที่ทำกุศล ตรงนี้ช่วยให้เบาบางได้มั้ยค่ะ

คำตอบ
การที่ได้มีโอกาสเข้าปฏิบัติธรรม จนจิตสงบเป็นสมาธิได้แล้วจิตหวนกลับไประลึกถึงอกุศลกรรมที่ทำไว้แต่อดีต ส่งผลกลับมาให้คุณได้รับอกุศลวิบาก คือทุกขเวทนาที่บอกไปนั้นถูกต้องแล้ว
คำว่าเมตตาคือความรักความปรารถนาให้ผู้อื่นได้รับประโยชน์และมีความสุข คนที่มีเมตตาเป็นคนมีอารมณ์เย็น เมื่อใดที่มีเหตุขัดใจเกิดขึ้นแล้วต้องไม่โกรธ ไม่มีโทสะ ไม่หงุดหงิด จึงจะเรียกได้ว่าผู้นั้นมีเมตตา ถ้ามีเมตตาอยู่กับใจตัวเองได้ก่อนแล้ว สามารถแผ่เมตตาให้กับคนอื่นสัตว์อื่นได้ คนอื่นสัตว์อื่นเมื่อได้รับเมตตา จะเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันตรงกันข้ามถ้าไม่มีเมตตาอยู่กับใจตนเองแล้วยังไม่ แผ่เมตตาให้กับคนอื่นสัตว์อื่นอยู่อีก ถือว่าการแผ่เมตตานั้นโมฆะ ไม่มีผลเพราะคนอื่นสัตว์อื่นไม่ได้รับ ยังต้องมีการเบียดเบียนกันอยู่เหมือนเดิม
ส่วนคำว่ากุศล แปลว่า หรือหมายความว่า ความดี , บุญ , ฉลาด ฯลฯ หากคุณได้สร้างบุญกุศลตามบุญกริยาวัตถุ 10 หากใครได้ทำแล้วเป็นผู้มีบุญและสามารถอุทิศบุญกุศลให้คนอื่นสัตว์อื่นได้
ฉะนั้นที่ถามว่าจะช่วยให้อกุศลวิบากที่ได้รับนั้นเบาบางลงหรือไม่ต้องตอบ ว่า ถ้าทำได้ถูกตรงตามที่ได้แนะนำและหากเมตตาและบุญกุศลมีมากพอ และผู้รับการอุทิศเห็นด้วย รับรองว่าอกุศลวิบากที่ได้รับจะเบาบางหรือหมดไปได้แน่นอน

2. ทุกวันนี้ไม่มีงานทำ ทำอะไรก็ไม่สำเร็จ ตรงนี้เป็นสาเหตุด้วยใช่หรือม่

คำตอบ
คนที่ไม่มีงานทำ คนที่ทำอะไรไม่สำเร็จ อกุศลกรรมแต่อดีตเป็นเหตุส่วนหนึ่ง ที่ทำให้เกิดผลเช่นนี้

3. วิธีแก้ไข ควรทำอย่างไรบ้าง

คำตอบ
วิธีแก้ไขต้อพัฒนาศักยภาพ ด้านสัมมาสติ และปัญญาเห็นถูกด้วยการนำตัวเองเข้าฝึกกรรมฐาน กับครูฝึกที่เป็นกัลยาณมิตรในทางธรรมเมื่อได้ผลแล้ว ต้องใช้สติและปัญญาเห็นถูกหยุดการสร้างอกุศลกรรมทุกชนิดและสร้างบุญกุศลให้ เกิดขึ้นกับตัวเองให้มากที่สุด และในขณะปฏิบัติหรือฝึกกรรมฐานควรขอความเมตตาจากผู้ร่วมฝึกฯ ช่วยอุทิศบุญกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวรของคุณ ทำบ่อย ๆ แล้วอกุศลวิบากจะเบาบางหรือหมดไป การมีงานทำและความสำเร็จของชีวิตจะเกิดขึ้นแทนที่

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 16 พ.ค. 2010, 02:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมพยายามฝึกสมาธิด้วยตนเอง (สรุปความรู้ แนวทางจากการอ่านหนังสือของอาจารย์ ๆ ทั้งหลาย) สวดมนต์และจึงนั่งสมาธิ (ประมาณ ๑๕ – ๒๐ นาที จะปวด เมื่อย ชาขาก็เลิกครับ) เวลานั่งสมาธิจะพยายามสำรวมจิตให้นิ่ง (ยุบหนอ พองหนอ) จะทำจิตให้ความคิดค่อย ๆ เล็กลง ๆ คล้าย ๆ กับการรับรู้ว่าตัวตนของเราหดเล็กลง จนกลายเป็นจุดเล็ก ๆ จุดหนึ่งบริเวณหน้าท้อง จะจับจิตไว้ตรงนั้น แต่ไม่ค่อยเกิดบ่อยนัก อาจจะเพราะไม่ค่อยทำสม่ำเสมอ

๑. แนวทางที่ปฏิบัตินี้ใช้ได้ไหมครับ

คำตอบ
แนวทางปฏิบัติกรรมฐานแบบ “ พองหนอ-ยุบหนอ ” ที่มานั้นยังไม่ถูกต้อง เหตุเพราะคุณใช้จิตกำหนดให้ความคิดค่อย ๆ เล็กลง เป็นการใช้พลังจิตบังคับให้เป็นไปตามที่คุณต้องการ แต่การภาวนา “ พองหนอ-ยุบหนอ ” เป็นการใช้จิตตามระลึกรู้ (สติ) อาการพองยุบที่ผนังหน้าท้อง คือจดจ่ออยู่กับอิริยาบถที่เกิดอยู่ในปัจจุบัน หากจิตสามารถจดจ่ออยู่กับการพอง-ยุบของผนังหน้าท้องตลอดเวลา จิตจะเข้าสู่การตั้งมั่นเป็นสมาธิ ไม่เคลื่อนออกไปจากหน้าท้องไม่ออกไปรับสิ่งกระทบภายนอกอื่นมาปรุงแต่งอารมณ์ การปฏิบัติกรรมฐานแบบพองหนอ-ยุบหนอจึงจะถูกทาง

๒. ผมเกิดวันที่ ๑๒ สิงหาคม ๒๔๙๙ เคยอ่านพบว่าคนเกิดราศีนี้จะมีสัมผัสพิเศษ เกี่ยวกับวิญญาณ ไม่ทราบว่าเป็นจริงไหม เวลาที่ไปสถานที่ต่าง ๆ บางครั้งผมจะรับรู้ด้วยอาการขนหัวลุก เช่น เมื่อปลายเดือนตุลาคม ผมไปทำเรื่องขอพระราชทานเพลิงศพพ่อ เป็นกรณีพิเศษ ก่อนไปได้จุดธูปบอกพ่อว่าขอให้ราบรื่น เมื่อทำเรื่องเสร็จจะมีอาการขนหัวลุก ขนแขตั้ง เหมือนว่าพ่อรับรู้ในเรื่องนี้แล้ว อาจารย์คิดว่าเป็นเรื่องของการติดยึดไหมครับ แบบคิดเอง เออเอง

คำตอบ
เหตุแท้จริงที่คุณมีสัมผัสพิเศษ อยู่ที่ความถี่คลื่นจิตของคุณไปตรงกับความถี่ของคลื่นจิตของรูปนามอื่นที่ เป็นทิพย์ จึงสัมผัสกันได้ มิได้มาจากเหตุที่ว่า เวลาเกิดของคุณไปตกอยู่ในราศรีไหน


๓. ผมจะมีอาการปวดหลัง และปวดเมื่อยเท้า ข้อเท้าบ่อยมาก ๆ ไม่ทราบว่าเกิดจากวิบากกรรมใดครับ ขอให้อาจารย์มีพลังกายที่แข็งแรง พลังใจที่แข็งแกร่ง เผยแผ่ธรรมตลอดไปครับ


คำตอบ
เกิดจากอกุศลกรรมของคุณเป็นต้นเหตุ คุณจึงต้องรับอกุศลวิบากคือ ปวดหลัง ปวดเมื่อยเท้าข้อเท้าบ่อย ๆ วิธีหาต้นเหตุคุณลองทำจิตให้นิ่ง ลองสืบหาเหตุที่คุณทำในปัจจุบัน เช่นท่านั่ง ท่านอน ที่เป็นอุปนิสัยทำอยู่บ่อย ๆ การสวมใส่รองเท้า การเดิน ตลอดจนการรับประทานอาหารประเภทที่ย่อยสลายแล้วปลดปล่อยกรดยูริกออกมามาก ลองไปปรึกษาผู้รู้ ผู้มีประสบการณ์ เช่น แพทย์แผนปัจจุบัน นักกายภาพบำบัด หรือผู้มีทักษะในการฝึกโยคะ ฯลฯ อาจแก้ปัญหาให้กับคุณได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 16 พ.ค. 2010, 02:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดิฉันเคยฟังการบรรยายธรรมของอาจารย์เกี่ยวกับเรื่อง "ครูบาศรีวิชัย" และเลื่อมใสมากค่ะ ส่วนตัวดิฉันมีความสนใจ ไฝ่ใจในการฟังธรรมะ แต่อ่อนปฏิบัติ แต่ก็พยายามมีสติอยู่กับตัวเองตลอดวัน

ปัญหาของดิฉันคือเป็นห่วงคุณแม่ค่ะ อายุ 60 ปี 3 ปีที่ผ่านมาชอบไปบ่อนคาสิโนบ่อยๆ และระยะหลังไปแทบทุกวัน คนที่บ้านพูดก็ไม่ฟัง บอกว่าไปแล้วกลับมาสบายใจ สอนหลับสบายดีกว่าอยู่บ้านอีก ซึ่งปกติก่อนหน้านี้คุณแม่จะไม่ค่อยชอบไปไหน ชอบอยู่บ้านด้วยซ้ำ ดิฉันกลัวว่าสักวันหนึ่งผีพนันเข้าสิง แล้วจะเลิกไม่ได้

ขอถามอาจารย์ว่า คุณแม่ดิฉันทำกรรมอะไรมาจึงชอบเล่นพนันตอนแก่ และจะทำอย่างไรถึงจะทำให้เลิกได้ค่่ะ อยากให้คุณแม่ไปสุขคติภูมินะค่ะ เคยชวนไปสมาิธวิปัสนาก็บอกว่าไม่ชอบไป


คำตอบ
การพนันเป็นหนึ่งในอบายมุข 6 เป็นทางแห่งความเสื่อมของชีวิตนี้และชีวิตหน้า จึงไม่ควรนำจิตเข้าไปข้องเกี่ยวและเป็นทาสการพนัน
1. ปล่อยเวลาให้ว่างเปล่า โดยไม่หางานในตัวเองทำ
2. ได้เพื่อนไม่ดีมีคนชั่วเป็นมิตร
3. จิตเดิมยังมีความหลง (โมหะ) ค้างมาแต่อดีต
วิธีแก้พระพุทธะสอนให้แก้ที่ต้นเหตุคือ
ที่ดี 1. เจ้าตัวต้องมีศรัทธา พร้อมจะปรับปรุงแก้ไขชีวิตตัวเอง ศรัทธาเกิดขึ้นได้ ผู้อยู่ใกล้มีอิทธิพลอย่างมาก คือผู้อยู่แวดล้อมต้องเป็นคนสะอาดเป็นคนดี มีศีลธรรมคุ้มครองใจให้ได้ก่อน
2. เจ้าตัวต้องไม่ปล่อยเวลาให้ล่วงเลยไปโดยเปล่าประโยชน์ ต้องหางานดี (สัมมากัมมันตะ) ทำ งานดีคืองานที่ทำแล้วเกิดประโยชน์กับชีวิต งานดีคืองานที่ทำแล้วไม่เบียดเบียนตัวเองไม่เบียดเบียนผู้อื่น
3. เจ้าตัวต้องคบหาแต่กัลยาณมิตร เพราะกัลยาณมิตรจะขัดขวางไม่ให้ทำชั่วแต่จะชักชวนให้ทำแต่สิ่งดีงาม
4. เจ้าตัวต้องพัฒนาจิตวิญญาณให้เป็นผู้มีสติและสัมปชัญญะ อยู่พร้อมทุกขณะตื่นแล้วใช้สิตสัมปชัญญะ ส่องนำทางให้กับชีวิต

หากลูกได้ชักนำแม่ให้เกิดศรัทธา และปรับปรุงแก้ไขเหตุที่กล่าวข้างต้นได้แล้ว ปัญหาเรื่องการเล่นพนันจะหมดไป และยังเป็นความกตัญญูกตเวทีที่ดีที่สุด ที่ลูกพึงมีต่อแม่ผู้มีพระคุณอีกส่วนหนึ่งด้วย

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 16 พ.ค. 2010, 02:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมขอเรียนถามอาจารย์ว่าลำพังสุตมยปัญญาและจินตมยปัญญานั้นละกิเลสหรือ คลายความยึดมั่นถือมั่นได้ไหมครับ
ขอบคุณครับ

คำตอบ
สุตมยปัญญาและจินตามยปัญญา เป็นปัญญาที่สามารถรู้เห็นเข้าใจความจริงชั่วคราว (สภาวะสัจจะ) ยังเข้าไม่ถึงความจริงแท้ (ปรมัตถสัจจะ) หากนำปัญญาทั้ง 2 มาใช้ละกิเลสหรือใช้คลายความยึดมั่นถือมั่นของจิต ก็สามารถละกิเลสได้ชั่วคราว ใช้คลายความยึดมั่นถือมั่นได้ชั่วคราว

หากผู้ใดสามารพัฒนาปัญญาตัวที่ 3 คือภาวนามยปัญญาได้แล้ว ปัญญาตัวนี้สามารถรู้เห็นเข้าใจความจริงแท้ได้ คนที่เข้าถึงภาวนามยปัญญา มีทั้งสติ (ความระลึกได้) มีทั้งสัมปชัญญะ (ความรู้ตัวทั่วพร้อม) อยู่ในดวงจิตของผู้นั้น สติระลึกทันสิ่งเศร้าหมอง (กิเลส) ที่เข้ากระทบจิต สัมปชัญญะ เห็นสิ่งที่เข้ากระทบดับไปตามกฎไตรลักษณ์ จึงไม่รับสิ่งกระทบเข้าปรุงเป็นอารมณ์ จึงไม่มีกิเลสให้ละ จิตไม่ถูกกิเลสครอบงำ หรือกิเลสเข้าครอบงำจิตไม่ได้จึงไม่มีความจำเป็นต้องคลายความยึดมั่นถือมั่น จิตมีแต่ความเป็นอิสระ มีความสงบและเป็นสุข

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 16 พ.ค. 2010, 02:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1) มีน้องที่รู้จักคนหนึ่งคุณพ่อเป็นมะเร็ง ซึ่งคุณหมอบอกว่าถึงทางตันของการรักษาแล้ว จะมีชีวิตอยู่ได้ไม่เกิน 3 เดือน โดยคุณหมอให้ลูกเซ็นต์ยินยอมว่าหากมีอาการกลับมาที่โรงพยาบาลนี้อีก คุณหมอจะไม่ทำการเจาะคอ ใส่ท่อ หรือปั๊มหัวใจ เพราะจะเป็นการทรมานคนไข้เปล่า ๆ คุณหมอจะให้ยาที่ทำให้คนไข้จากไปอย่างสงบ (คงเป็นยาประเภทคลายกล้ามเนื้อหรือ ประเภทมอร์ฟีนก็ไม่ทราบ)ขอทราบความเห็นอาจารย์ค่ะ ว่าผู้เป็นลูกจะตัดสินใจอย่างไร

คำตอบ
ลูกที่ดีต้องรู้คุณของพ่อ และต้องตอบแทนคุณท่าน (กตัญญูกตเวที) เช่นการพาพ่อไปหาหมอรักษาโรคทางร่างกายนั้นถูกต้องแล้วแต่ต้องไม่ลืมว่าต้อง รักษาใจของท่านให้ดีด้วยให้พ่อมีสติได้ก่อนที่จะทิ้งร่างกายที่ชำรุดนี้ เพื่อไปเกิดใหม่ ถ้าใจไม่เศร้าหมอง ใจมีสติระลึกรู้ว่าจิตกำลังจะออกจากร่าง ท่านจะไปเกิดใหม่ได้ร่างใหม่ในสุคติภูมิ วิธีช่วยพ่อให้ใจไม่เศร้าหมอง และมีสติระลึกรู้อยู่แต่สิ่งดีงาม ถ้ายังสามารถสวดมนต์ได้ให้เจริญพุทธมนต์เช้า-เย็น (ทำวัตรเช้า-ทำวัตรเย็น) ถ้ายังกำหนดลมหายใจเข้า-ออกได้ให้ภาวนา พุท-โธ ถ้าหูยังได้ยินเสียง ให้ฟังเสียงพระสวดมนต์เสียงพระบรรยายธรรม สนทนาธรรม ฯลฯ ปฏิบัติอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ จะดีกับผู้ปฏิบัติเอง หากมีทุกขเวทนาเกิดขึ้นให้พิจารณาเวทนาที่เกิดขึ้นเป็นตามกฎไตรลักษณ์ (อนิจจัง-ทุกขัง-อนัตตา) เมื่อเวทนาเข้าสู่อนัตตา ความไม่มีตัวตน จิตจะคลายความยึดติดเวทนาได้เอง จิตจะเป็นอิสระและสงบ

2) กรณีมีหน้าที่ต้องให้ยาฆ่าเหา,พยาธิ กับเด็กเล็กๆ จะหลีกเลี่ยงการผิดศีลข้อ 1 อย่างไรค่ะ

คำตอบ
เมื่อยังต้องรับจ้างทำงาน รับเงินเดือนจากหน่วยงาน ด้วยการทำหน้าที่ให้ยาฆ่าเหา ฆ่าพยาธิ ต้องยอมรับความจริงว่าได้ทำบาป สร้างเจ้ากรรมนายเวรให้เกิดขึ้น หากมีช่องทางเลิกไปหางานที่ไม่เบียดเบียนทำควรเลิก แต่ถ้ายังเลิกอาชีพนี้ไม่ได้ ต้องสร้างบุญใหญ่ เช่น สร้างโบสถ์ ศาลา ทอดกฐินประพฤติปฏิบัติธรรม ฯลฯ แล้วอุทิศบุญกุศลให้กับทุกชีวิตที่คุณไปเบียดเบียนเขา ทำบุญให้มากกว่าทำบาปแล้วบาปจะตามให้ผลไม่ทัน ทำเรื่อย ๆ ไป หากคุณพัฒนาจิตวิญญาณจนหลุดพ้นจากวัฏฏสงสารได้ บาปทั้งปวงเป็นอันยกเลิกไป


3) การที่เราว่าจ้างบริษัทกำจัดปลวกเป็นประจำทุกปี โดยตั้งใจไว้ว่าเพื่อป้องกันไว้ก่อนที่ปลวกจะมาอยู่ ถือว่าเข้าข่ายผิดศีลข้อ1 หรือไม่เพราะเวลาบริษัทมาฉีดยาจะมีแมลงอื่นๆ ตายให้เห็น ทำให้ไม่ค่อยสบายใจที่จะทำต่อ แต่ถ้าปล่อยไว้จนบ้านพังค่อยซ่อมก็อาจจะต้องทำร้ายปลวกมากมายตอนซ่อม



คำตอบ
หากมีเจตนาป้องกันปลวกมิได้มีเจตนาฆ่าปลวก ไม่ถือว่าผิดศีลข้อ 1 แต่เมื่อบริษัทมาฉีดพ่นยาแล้วทำให้แมลงอื่นตาย ถือว่าผิดศีลข้อ 1 กับแมลงอื่น ฉะนั้นก่อนให้บริษัทกำจัดปลวกมาฉีดพ่นยาควรอธิษฐานล่วงหน้า 2-3 วันว่า “ ขอให้สรรพสัตว์ที่อยู่ในบริเวณที่จะฉีดพ่นยานั้น จงอพยพออกไปให้พ้นรัศมีของยา ” แล้วอุทิศบุญกุศลให้กับแมลงอื่นสัตว์อื่นที่ตายเพราะการฉีดพ่นยา จากนั้นทำตามข้อ (2)

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 16 พ.ค. 2010, 02:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมปฏิบัติธรรมมานาน 8 ปีครับทั้งสมถภาวนา และวิปัสสนา ในชีวิตประจำวันสามารถกำหนดได้ค่อนข้างดี เริ่มเผลอน้อยลง ความ โกรธ โลภ หลง น้อยลงครับ บางช่วงเวลาปฎิบัติได้ดีการเข้าสมาธิ การหลับ ตื่น ได้ เอง แทบ ไม่ต้องใช้นาฬิกาปลุก อยากถามอาจารย์ครับ

1. เคยหลายครั้งกำหนดยุบพองขณะเข้านอน ตัวตรึงแข็งแล้วคล้ายตัวลอยขาทั้งสองยกลอย อยู่นาน เกิดจากสมถะ มากไปหรือเปล่าครับ

คำตอบ
อาการที่เกิดขึ้นเป็นปีติชนิดหนึ่ง เกิดจากการปฏิบัติสมถกรรมฐาน ที่สติยังมีกำลังไม่กล้าแข็งเท่าไร ควรทำปีติที่เกิดขึ้นให้หายไป ด้วยการกำหนดว่า รู้หนอ ๆ ๆ ไปเรื่อย ๆ จนกว่าอาการดังกล่าวหายไป แล้วดึงจิตกลับมาสู่องค์ภาวนาเดิม คือ พองหนอ – ยุบหนอ ๆ ๆ เรื่อยไป วิธีนี้จะทำให้จิตมีสติเพิ่มขึ้น แล้วสมาธิจะมีกำลังมากขึ้น

2. บางครั้งจิตนิ่งไวมาก นอน ฝันก็ รู้ กำหนด ได้ดี เวลาตื่นนอน มีอาการตัวเบา จิตรับรู้ทุกสัมผัสทุกขณะจิตจากนอนไปนั่งโดยไม่ได้ตั้งใจกำหนด ไม่ว่านิ้ว งอ แขนยกทุกขั้นตอนละเอียดมาก แต่เป็นประมาณ สอง สามนาทีแล้วหายไป เป็นสองถึง สามครั้ง อยากเรียนถามอาจารย์ถามว่าเกิดจากอะไร และช่วยแนะนำการปฏิบัติเพื่อทำต่อไปด้วยครับ ผมจะมุ่งมั่นทำต่อไป

คำตอบ
คนที่พัฒนาจิตจนมีกำลังของสติดีแล้ว จะไม่นอนฝันเห็นโน่นเห็นนี่ อาการตัวเบาเมื่อตื่นนอน ก็คือปีตินั่นเอง ต้องปรับปรุงแก้ไขวิธีปฏิบัติเสียใหม่ ด้วยการทำตามข้อ (1)

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 16 พ.ค. 2010, 02:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ฝึกกรรมฐานมาประมาณ 3 เดือน แล้ว ในวันธรรมดาจะนั่งสมาธิ 1 ครั้ง 1 ชั่วโมง ถ้าเป็นวันเสาร์-อาทิตย์จะปฏิบัติวันละ 2-3 ครั้ง แต่ 3 เดือนที่ผ่านมาผมรู้สึกว่าไม่ก้าวหน้าเลยครับ บางครั้งจิตก็สงบมาก แต่บางครั้งก็เหมือนวุ่นวายไปหมดเลยครับ ผมจะต้องทำอย่างไรจึงจะถูกวิธี ศึกษาจากหนังสือบางครั้งไม่เข้าใจเลย ผมขอความกรุณาอาจารย์ช่วยแนะนำวิธิปฏิบัติหรือมีหนังสือเล่มใดที่ผมจะศึกษา ได้บ้างครับ



คำตอบ

ปฏิบัติธรรมมาแล้ว ๓ เดือน บางครั้งจิตสงบมาก ก็แสดงว่าการปฏิบัติในบางครั้งดำเนินไปถูกทาง แต่รักษาความสงบของจิตไว้ไม่ได้ เกิดจาก ๒ สาเหตุใหญ่คือการปฏิบัติส่วนใหญ่ดำเนินไปผิดทาง หรือเหตุเกิดเพราะใจมีกำลัง (พละ๕) ไม่กล้าแข็งถ้าจะให้ความสงบคงอยู่ได้ต้องแก้ไขที่ต้นเหตุ คือเจริญพละ 5 (สัทธา วิริยา สติ สมาธิ ปัญญา) อยู่ทุกขณะตื่นที่ว่างจากกิจการงานและต้องเจริญพละ 5 ทุกครั้งที่ฝึกได้ ปฏิบัติอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอและยาวนาน กำลังของใจจึงจะกล้าแข็งรักษาความดี (ความสงบ) ไว้ได้ และหากต้องการให้ได้มรรคผลเร็ว ควรอุทิศเวลาให้กับการปฏิบัติด้วยการนำตัวเองไปเข้าครอส์ปฏิบัติอย่างน้อย 7-10วัน โดยมีครูอาจารย์คอยชี้ทางแนะนำแก้ไข จะทำให้การปฏิบัติธรรมได้ผลเร็วยิ่งขึ้น

การอ่านหนังสือได้เพียงความจำ ไม่สามารถเข้าถึงความจริงแห่งธรรมของพระพุทธะได้ ฉะนั้นควรงดการอ่าน แล้วเร่งภาคปฏิบัติให้เข้มข้นขึ้นจะดีกว่า

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 16 พ.ค. 2010, 02:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


บาปมั้ย?
ถ้าหากลูกบวชไม่ยอมสึกทั้งๆ ที่ครอบครัวมีความลำบากต้องการคนมาช่วยดูแลและพยุงฐานะทางครอบครัว การปฏิบัติเช่นนี้ถือว่าบาปมั้ยครับ หรือมีทั้งบาปและบุญครับ ที่ถามเพราะผมเห็นมาหลายกรณีที่พ่อแม่ไปร้องไห้อ้อนวอนขอให้ลูกสึก แต่ก็มีทั้งที่ครอบครัวลำบากจริง ๆ ต้องการให้ลูกกลับมาช่วยกันทำงานหาเงิน และทั้งที่ตัดใจไม่ได้อยากให้ลูกออกมาอยู่ที่บ้านตามปกติ

ขอบคุณครับ

คำตอบ
การบวชเป็นภิกษุ หากได้รับความยินยอมจากครอบครัวก่อนบวชไม่ถือเป็นบาป แต่เมื่อบวชแล้วจิตใจยังห่วงกังวลอยู่กับความยากลำบากของครอบครัวถือว่าเป็น บาป
หากบวชแล้วปฏิบัติธรรมจนกระทั่งจิตใจเป็นอิสระจากสิ่งเศร้าหมองได้ถือว่า เป็นบุญ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


แก้ไขล่าสุดโดย ธรรมบุตร เมื่อ 31 พ.ค. 2010, 01:48, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสต์ เมื่อ: 16 พ.ค. 2010, 02:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1. การรักษาศีลจำเป็นจะต้องสมาทานหรือไม่ หรือแค่คิดในใจว่างดเว้นตามข้อห้ามให้ได้ครบก็ใช้ได้หรือเปล่าครับ ผมสงสัยว่าชาวต่างชาติหรือแม้แต่คนไทยเองถ้าไม่ได้สมาทาน แต่ไม่ได้ทำผิดศีลเลยอย่างนี้ถือว่ามีศีลหรือไม่ครับ

คำตอบ
ถ้าเป็นฆราวาสและมีศีลทั้ง 5 ข้อ อยู่ในจิตใจครบถ้วน กายและวาจาจะมีศีลคุ้มครองโดยอัตโนมัติ จึงไม่จำเป็นต้องสมาทานศีลจากพระสงฆ์


2. มีอาจารย์ท่านหนึ่งบอกว่าการถวายซอง(เงิน)พระเป็นบาป เพราะเราทำให้พระอาบัติ
ถูกต้องหรือไม่ครับ
ปัจจุบันมีหลายๆอย่างที่อาจารย์แต่ละท่านสอนไม่เหมือนกัน ผมก็พยายามค้นคว้าจากหลายที่เช่นพระไตรปิฏก แต่ก็ยังไม่เข้าใจ

คำตอบ
ในครั้งพุทธกาล พระพุทธะ บัญญัติมิให้สงฆ์สาวกรับเงินทองที่ฆราวาสถวาย ด้วยเหตุนี้กระมังภิกษุสงฆ์ไทยสายธรรมยุคจึงบัญญัติมิให้สงฆ์รับทรัพย์ด้วย มือตนเอง แต่อนุญาตให้รับใบปวารณาได้

ในความเห็นส่วนตัวของผู้ตอบคำถาม ซึ่งตอบในฐานะฆราวาสผู้ปฏิบัติธรรม ภิกษุรับปัจจัย (ทรัพย์) ด้วยมือตนเองเมื่อรับแล้วเอาเข้าไว้เป็นส่วนกลางแก่หมู่สงฆ์ นั่นคือมีจิตไม่ตกเป็นทาสของทรัพย์ ไม่น่าจะถือว่าเป็นอาบัติ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 16 พ.ค. 2010, 02:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ตอนช่วงก่อนปีใหม่ได้มีโอกาสไปฝึกวิปัสสนากรรมฐาน แล้วนำมาปฎิบัติตต่อที่บ้าน อาการพองยุบ จะค่อนข้างรุนแรง พองสุด สุด และ ยุบ สุด สุด จะพยายามกำหนดรู้ให้เท่าทัน และจะมีอาการผงะ เข้าใจว่าเป็นเรื่องธรรมดาตามกฎไตรลักษณ์ แต่ การปฏิบัติเองคนเดียวจะไม่มีอันตรายใช่มั้ยค่ะ เกรงว่าคนข้างนอกเวลามาเห็นเราทำกรรมฐานแล้วจะตกใจกับอาการดังกล่าว จริงๆแล้วยังมีความรู้เรื่องนี้น้อยนิดมาก สุดท้ายจะขอเป็นกำลังใจในการทำงานของอาจารย์ ค่ะ

คำตอบ
อาการพอง – ยุบเกิดขึ้นรุนแรง ให้กำหนดหรือมีจิตจดจ่อ (สติ)อยู่กับคำบริกรรมว่า “ รุนแรงหนอ ๆ ๆ ๆ ๆ ” เรื่อยไปจนกว่าอาการพองยุบที่เกิดขึ้นรุนแรงนั้นดับไป (อนัตตา) ตามกฎไตรลักษณ์ และเช่นเดียวกัน อาการผงะเป็นความปรกติของจิตที่มีสติอยู่ในระดับหนึ่ง ต้องกำหนดหรือมีจิตจดจ่อ (สติ) อยู่กับคำบริกรรมว่า “ รู้หนอ ๆ ๆ ๆ ” เรื่อยไปจนกว่าอาการผงะดับไปตามกฎไตรลักษณ์ แล้วจึงดึงจิตกลับมาสู่องค์บริกรรมเดิม คือพองหนอ-ยุบหนอ

วิธีดังกล่าวนี้ เป็นการดึงจิตกลับมาให้มีสติจดจ่อ อยู่กับอาการที่เกิดขึ้น เมื่อใดที่สติระลึกได้ทันอาการดังกล่าวจะหายไป (อนัตตา) ที่ถามไปนั้นในทางปฏิบัติแล้วเป็นการส่งอารมณ์ให้กัลยาณมิตรช่วยตรวจสอบ แก้ไข หากผู้ปฏิบัติกรรมฐานมีศรัทธาในคำชี้แนะ แล้วปฏิบัติตามที่ผู้มีประสบการณ์แนะนำ ปัญหาที่เกิดขึ้นจะหมดไปไม่มีอันตรายใดเกิดขึ้น

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 16 พ.ค. 2010, 02:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1. ผมมีอาชีพที่ต้องทำงานกับคอมพิวเตอร์และต้องซื้อแผ่นโปรแกรมเถื่อนมาใช้งาน อย่างนี้ถือว่าผิดศีลข้ออทินนามั้ยครับ

คำตอบ
การไปซื้อแผ่นซีดีเถื่อนมาใช้งาน เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย ในแง่ที่ว่ารับซื้อของโจรหรือของที่ขโมยมา และยังเป็นการสนับสนุนให้คนอื่นประพฤติผิดศีลข้อ 2 (อทินนาทาน) ถือได้ว่าผู้ซื้อมีส่วนร่วมในการละเมิดศีลข้อ 2 นั้นด้วย


2. ตามข้อ 1 ถ้าผิดศีล แล้วถ้าผมใช้งานโปรแกรมหรือเพลงที่ผมซื้อมาก่อนหรือมีอยู่ในเครื่องก่อนที่ จะสมาทานศีล ถือว่าผิดมั้ยครับ

คำตอบ
การไปซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์มาใช้งาน แต่มีโปรแกรมหรือเพลงติดอยู่ในเครื่องก่อนแล้ว เจตนาในการทำกรรมคือการซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์มิได้มีเจตนาซื้อโปรแกรมหรือ เพลงที่ติดมากับเครื่องไม่ถือว่าเป็นกรรม จึงไม่ผิดศีลข้ออทินนาทาน

3. ได้ยินมาว่า อุโบสถศีลมีอานิสงส์มากแต่ก็บาปมากถ้าเราทำผิดศีล จริงมั้ยครับ และถูกต้องตัวผู้หญิงได้ไหมครับในวันที่เราถืออุโบสถศีล

คำตอบ
จริงครับ อุโบสถศีลมีอานิสงส์มากกว่าเบญจศีล เพราะจะรักษาได้ยากกว่า ใช้ความพยายามมากกว่า จึงมีอานิสงส์มากกว่าในวันที่ถืออุโบสถศีล ถ้าเป็นฆราวาสถูกต้องตัวสตรีได้ หากคุณไม่มีเจตนาประพฤติผิดพรหมจรรย์ คือเว้นจากการร่วมประเวณี

4. การพูดจาหยอกล้อกันหรือพูดเล่นแบบเว่อๆ สนุกๆ โดยในใจไม่เจตนาจะส่อเสียดหรือให้คนฟังต้องเสียใจ จะผิดข้อมุสา มั้ยครับ



คำตอบ
การพูดจาหยอกล้อ หรือพูดเล่น แบบเวอร์ ๆ สนุก ๆ ถือว่าไม่ผิดศีลข้อ 4 (มุสาวาท) เว้นจากการพูดเท็จ พูดโกหก ไม่ตรงตามความเป็นจริง แต่ผิดกุศลกรรมบถ (กรรมดีอันนำไปสู่สุคติ) ข้อวจีกรรม 4 ได้แก่ เว้นพูดเท็จ เว้นพูดส่อเสียด เว้นพูดหยาบ เว้นพูดเพ้อเจ้อ การพูดที่กล่าวถึงข้างต้น ถือว่าเป็นการพูดเพ้อเจ้อ จึงผิดวจีกรรมข้อที่ 4

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1521 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 7, 8, 9, 10, 11, 12, 13 ... 102  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร