วันเวลาปัจจุบัน 23 ส.ค. 2025, 11:22  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 1521 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 8, 9, 10, 11, 12, 13, 14 ... 102  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 16 พ.ค. 2010, 02:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


บาปรึป่าวครับ
ผมอยู่ดีๆมันเหมือนในจิตเรามันแบ่งเป็น 2 ตัวครับคือตัวหนึ่งดีอีกตัวหนึ่งไม่ดีเหมือนตัวไม่ดีมันแทรกขึ้นมาเลยคอยด่า พระบ้าง ด่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เคารพนับถือบ้าง จิตด้านดีก็ค่อยบอกว่าไม่ดีนะ คอยขอโทษสิ่งศักดิ์สิทธิ์ว่าไม่มีเจตนาลบหลู่เคยฟัง CD ของดร.สนองว่าเดี๋ยวมันก็หายตามกฎ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป แต่ไม่หาย กลัวมากเลย จะนั่งสมาธิก็ไม่กล้ากลัวมันกลับมาอีก จะนอนก็นอนไม่หลับต้องรอให้ง่วงจัดครับ อยากถามดร.สนองว่าจะบาปรึป่าวครับที่จิตอีกตัวคอยด่าสิ่งต่างๆ และจะทำอย่างไรให้หายครับทำไมคนอื่นไม่เป็นครับหรือเป็นบาปติดตัวมาครับ



คำตอบ
ทุกคนที่เกิดมาเป็นมนุษย์ มีทั้งส่วนดี (กุศล) และส่วนไม่ดี (อกุศล) ฝังลึกอยู่ในจิตใจ เมื่อกุศลกรรมให้ผลเป็นกุศลวิบาก จะมีอารมณ์ดี คิดพูดทำแต่สิ่งดีงาม แต่เมื่อใดที่อกุศลกรรมให้ผลเป็นอกุศลวิบากอารมณ์จะไม่ดี คิดพูดทำแต่สิ่งไม่ดี วิธีแก้ไขสิ่งไม่ดี ต้องปรับแก้ไขที่จิตใจตนเอง โดยทำตามคำแนะนำของผู้รู้ ผู้มีประสบการณ์ ด้วยการนำตัวเองเข้ารับการฝึกจิตให้มีกำลังของสติกล้าแข็ง สามารถระลึกทันสิ่งกระทบภายนอกที่ไม่ดี และระลึกได้ทันสิ่งกระทบภายในที่ฝังอยู่ในจิตทำให้เกิดความคิดที่ไม่ดี ใช้จิตที่สงบตามดูความคิดที่ไม่ดีว่าในที่สุดดับไป (อนัตตา) ตามกฎไตรลักษณ์ การฝึกต้องใช้ความอดทน ฝึกฝนต่อเนื่องในทุกอิริยาบถ ไม่ปล่อยให้จิตว่าง ต้องฝึกจิตอยู่ทุกขณะที่นึกได้ ฝึกทุกขณะที่ว่างจากกิจการงานภายนอก ฝึกตลอดไป บางคนบางกรณีอาจต้องใช้เวลาฝึกฝนยาวนาน กว่าอกุศลวิบากคือความคิดที่ไม่ดีหมดสิ้นไป

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 16 พ.ค. 2010, 02:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1.ดิฉันนั่งสมาธิโดยกำหนดยุบพองและดูจิตพร้อมกันไปด้วยค่ะ
ขณะที่นั่งสมาธิได้ประมาณ 10 นาที จิตในขณะนั้นรู้สึกได้ว่ามีความสุข มีความสงบ แต่สักครู่หัวใจก็เต้นแรงขึ้น หายใจแรงขึ้น ตาที่หลับอยู่ก็กระพริบแรงขึ้น จากนั้นก็รู้สึกว่าร่างกายสั่นไหวแบบขึ้นลงทั้งตัวแรงขึ้น ๆ ลักษณะคล้ายการทรงเจ้าค่ะ ดิฉันเกิดความกลัวแต่ก็ตามดูอาการทั้งหมดนี้จนมันหายไปค่ะ ใช้เวลา3-5 นาทีค่ะ จากนั้นก็เข้าสู่ภาวะปกติของการนั่งสมาธิ ออกจากสมาธิแล้วยังรู้สึกกลัวกับสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ค่ะ อาการนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้ว 4 ครั้งค่ะ ก่อนจะเกิดสภาวะเหล่านี้จิตมีความสุขและสงบทุกครั้งค่ะ แต่ในครั้งที่ 4 นี้ ดิฉันมีความรู้สึกว่ามีเงาดำผ่านไปมาหน้าดิฉัน 2 เที่ยว ทั้งที่นั่งหลับตาอยู่ แล้วจึงเกิดอาการข้างต้นค่ะ แต่คราวนี้ดิฉันออกจากสมาธิทันทีเลยค่ะไม่รอให้ร่างกายสั่นไหว แล้วก็แผ่บุญเหมือนทุกครั้งค่ะ จึงอยากทราบค่ะว่าอาการข้างต้นนั้นเป็นอาการของอะไรคะ? เป็นไปได้ไหมคะว่ามีจิตอื่นต้องการร่างของดิฉัน?
ขออาจารย์แนะนำการปฏิบัติที่ถูกต้องให้ด้วยค่ะ

คำตอบ
การฝึกจิตให้มีสติด้วยการนั่งกำหนด “ พองหนอ-ยุบหนอ ” ควรฝึกควบคู่กับการเดินจงกรม สลับกันไป การเดินจงกรมเป็นอิริยาบถใหญ่เหมาะกับผู้เริ่มฝึก เพราะจะทำให้การเจริญสติเกิดได้ง่าย และทำให้จิตเป็นสมาธิตั้งมั่นได้ยาวนาน ดีกว่าการนั่งภาวนาเพียงอย่างเดียว

วิธีแก้ปัญหาเรื่องอาการสั่นไหวของร่างกาย ที่บอกไปนั้นทำได้ถูกทางแล้วให้รักษาปฏิปทานี้ไว้ ส่วนเรื่องที่ไปคิดว่า จะมีจิตวิญญาณอื่นต้องการใช้ร่างของเรานั้น ไม่สมควรคิดแต่หากความคิดนี้เกิดขึ้นเมื่อใด ให้กำหนดจิตตามดูความคิดที่เกิดขึ้นว่าเป็นไปตามกฎไตรลักษณ์ เมื่อความคิดอนัตตาไปแล้วให้ดึงจิตกลับมาสู่องค์ภาวนาเดิม



2. ขออาจารย์แนะนำด้วยค่ะว่า
ทำอย่างไรจิตจึงจะมีความหนักแน่น และไม่โลเลในบุญที่ได้ทำไปแล้ว? ไม่ให้คิดว่า ทำทานมากหรือน้อยไป ไม่ให้คิดเสียดายทานที่ได้ให้ไปแล้ว ฯลฯ
รบกวนเรียนถาม 2 ข้อค่ะ
ขออาจารย์เมตตาตอบคำถามและให้คำแนะนำเพื่อนำไปปฏิบัติด้วยค่ะ



คำตอบ
ถ้าต้องการให้จิตมีความหนักแน่นในบุญหรือความดีใด ๆ ที่ได้ทำไว้แล้ว คือต้องการรักษาความดีให้คงอยู่นั่นเอง ต้องเจริญพละ 5 (ศรัทธา-วิริยา-สติ-สมาธิ-ปัญญา) ให้จิตมีกำลังกล้าแข็ง ทำอยู่เสมอ ๆ แล้วมารหรืออกุศลกรรมใด ๆ จะไม่สามารถเข้ามายึดพื้นที่ใจของเราไปครอบครองได้ ความดีหรือบุญที่คุณได้ทำไว้แล้ว จะยังคงอยู่ในใจของคุณตลอดไป

เพราะจิตคนเรามีลักษณะพิเศษคือ สามารถรับอารมณ์ได้ทีละอย่าง ขณะใดที่จิตมีสติคุม กิเลสก็จะไม่สามารถเข้ามามีอิทธิพลในจิตใจได้ แต่ขณะใดที่ขาดสติ ขณะนั้นเป็นช่วงจังหวะที่อกุศลหรือกิเลสเข้ายึดพื้นที่ได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 16 พ.ค. 2010, 02:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สมมุติว่าผมไปเบียดเบียนคนๆหนึ่งหรือพระองค์หนึ่งแต่คนๆนั้นหรือพระท่านรูป นั้นไม่ผูกเวรกับเรา
อโหสิให้เราแล้วเรายังต้องรับกรรมจากการทำร้ายเปียดเบียนอยู่ไหมครับ
ขอบคุณมากครับ

คำตอบ
กรรมเบียดเบียนเมื่อถึงเวลาให้ผลจะเป็นอกุศลวิบาก กลับมาตอบแทนผู้ก่อกรรมนั้น หากผลกรรมเบียดเบียนยังไม่แสดง และผู้ทำกรรมเบียดเบียนไปขอขมาโทษแล้ว ท่านยกโทษให้ เป็นอันว่ากรรมที่ทำไว้เลิกให้ผล เป็นอโหสิกรรมไป ปัญหามีอยู่ว่า คุณไปเบียดเบียนท่านแล้วบริวารของท่านอาจจะเดือดร้อนจึงได้ผูกพยาบาทจองเวร ได้ ท่านยกโทษให้แต่บริวารไม่ยกโทษให้ คุณยังจะต้องได้รับผลของกรรมนั้นอยู่

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 16 พ.ค. 2010, 02:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หนูขออนุญาติ เรียนถาม ว่ากรณีที่หนูมีพี่เขย ซึ่งมีเหตุให้ต้องไปรับโทษในคุก และ หนูคิดว่าหากเป็นคนที่มีกรรมน้อย หรือมีเงินมาก ไม่น่าจะติดคุก แต่เขาก็ต้องติดด้วย ปัจจัยหลายอย่างที่พ้องกัน ในขณะเดียวกันเขาและภรรยา (พี่สาวหนู) ลูก พ่อแม่ และ คนใกล้ตัวหลาย ๆ คน ทุกข์มากกกก เพราะคิดไม่ถึงว่าความผิดของเขาจะทำให้เขาติด คุกได้นานถึง 12 ปี อีกทั้งกลัวว่าเขาไปอยู่ในคุกจะลำบาก ได้รับความทุกข์ต่าง ๆ เช่น เจอคนคุมไม่ดี เจอเพื่อนร่วมคุกไม่ดี เวลาจะทำอะไรที เช่น ไปเยี่ยม ฝากของไปให้ ก็ กลัวว่าคนในคุกด้วยกันจะอิจฉาแล้วทำร้ายให้เขาเดือดร้อน ในขณะที่พอไม่ฝาก หรือไม่ ไปเยี่ยมก็กลัวว่าจะหมดกำลังใจ หรืออยู่อย่างยากลำบากขาดแคลน

ในขณะเดียวกันพี่สาวหนูต้องรับภาระเลี้ยงดูครอบครัวต่อในขณะที่ขาพิการ แต่ต้องทำงานหนักเลี้ยงดูลูก ๆ และต้องส่งเงิน ส่งของไปให้พี่เขยในคุก

1. หนูอยากช่วยเขาบ้าง หนูอยากทราบว่าหนูสามารถทำบุญ หรือทำความดีอะไร ที่จะสามารถส่งผลบุญให้พี่เขยสามารถอยู่ในคุกได้อย่างสงบสุข และพ้นโทษได้เร็วกว่ากำหนดมาก ๆ และตัวเขาเองต้องทำอย่างไร

คำตอบ
ขณะที่อกุศลวิบากให้ผล ต้องยอมรับและชดใช้วิบากนั้นจนหมด คุณคิดอุทิศบุญกุศลให้เขา สามารถทำได้แต่เขาจะยังไม่ได้รับในตอนนี้ หากต้องการให้เขาพ้นโทษเร็ว ต้องทำตัวเองให้เป็นนักโทษชั้นดี ปฏิบัติตามกฎระเบียบของเรือนจำ และขณะเดียวกันต้องปฏิบัติบุญกิริยาวัตถุ 10 ทำเฉพาะข้อที่สามารถทำได้ เช่น ทำตัวเองให้เป็นคนอ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่ อ่อนน้อมตนต่อผู้คุม ช่วยทำงานให้กับส่วนรวม ยินดีเมื่อคนอื่นทำความดี รักษาศีล 5 ให้มีอยู่ในใจ สวดมนต์ภาวนา อุทิศบุญกุศลที่ทำแล้วให้เจ้ากรรมนายเวร ฯลฯ สรุปแล้วคือทำตัวเป็นนักโทษชั้นดีได้แล้ว โอกาสได้รับการพิจารณาลดหย่อนโทษเป็นไปได้

2. หนูอยากช่วยพี่สาวให้มีชีวิตที่สงบสุขบ้าง เพราะเท่าที่ผ่านมา ชีวิตมีแต่ความทุกข์ซ้ำซ้อน เช่น พอจะสบายก็มีเหตุให้ลำบาก หนูต้องทำอย่างไร และพี่สาวต้องทำอย่างไร

คำตอบ
ถ้าอยากให้พี่สาวมีชีวิตที่สงบสุข ต้องทำให้พี่สาวมีศรัทธาในพระพุทธศาสนาและทำตัวเองให้อยู่ในศีลในธรรม เช่นรักษาศีล 5 สวดมนต์ เจริญภาวนา ทำทุกวันเรื่อยไปตลอดชีวิตโอกาสพบกับความสงบสุขเป็นได้

3. พ่อแม่หนูฝากความหวังไว้ที่หนู ว่าหนูน่าจะสามารถช่วยวิ่งเต้นหาคนโน้น คนนี้ให้ช่วยพี่เขยได้ ในขณะที่หนูเองไม่ได้ทำอย่างนั้น เพราะยังมองไม่เห็นช่องทางว่าเขาจะช่วยอย่างไรได้ อีกอย่างหนูไม่กว้างขวางพอ ในขณะเดียวกันหนูไม่กล้าบอกพ่อแม่ว่าหนูช่วยไม่ได้ แต่หนูกลับบอกว่าหนูจะช่วยอย่างเต็มที่เท่าที่หนูจะสามารถช่วยได้ หนูบาปหรือไม่ที่หลอกให้พ่อแม่มีความหวัง ในขณะที่หนูเองยังไม่รู้เลยว่าหนูจะช่วยอย่างไรได้ และหนูต้องทำอย่างไร



คำตอบ
สามารถช่วยพี่เขยได้แน่นอน ด้วยการพูดบอกกล่าวแนะนำให้พี่เขยทำความดีด้วยตัวของเขาเอง ดังที่ได้แนะนำไว้ในข้อ (1) อย่างนี้เรียกว่าช่วยเหลือได้แล้ว มิได้ผิดวาจาที่ให้ไว้กับพ่อแม่แต่อย่างใด ทำไมไม่ลองบอกให้พี่เขยพิสูจน์ด้วยตัวเขาเองล่ะ หากเขาเชื่อในผลของบุญกุศลแล้วลงมือกระทำด้วยตัวเอง อานิสงส์แห่งบุญแห่งการทำความดีจะกลับมาหาตัวของพี่เขยเอง กาลเวลาเมื่อผ่านไปแล้วไม่สามารถเรียกกลับคืนได้ ทำไมไม่หาเวลาในคุกมาทำประโยชน์ให้กับตัวเองล่ะ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 16 พ.ค. 2010, 02:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมอยากเรียนถามอาจารย์ว่าเมื่อเรากล่าวคำสมาทานศีล 5 เกิดเผลอพูดโกหกหรือทำประการใดๆก็ตามทำให้ศีลขาดไป มีคนบอกว่าในขณะนั้นถือว่าเราไม่มีศีลแล้ว ให้รีบวิรัติศีลจะได้กลับมามีศีลบริสุทธิ์ดังเดิม ผมเมื่อตอนเริ่มต้นรักษาศีลใหม่ๆก็ต้องวิรัติวันหนึ่งหลายครั้ง ต่อมาพอชำนาญในการควบคุมกาย วาจามากขึ้น ก็วิรัติน้อยครั้งลง บางวันไม่แน่ใจว่าวันนี้ได้ทำผิดศีลบ้างหรือเปล่าก็กล่าวคำสมาทานก่อนนอน วัตถุประสงค์คือต้องการให้มีศีลตลอดเวลา การทำอย่างนี้ถือว่าถูกต้องมั้ยครับหรือเป็นสีลพตปรามาสหรือเปล่าครับ

ด้วยความนับถืออย่างสูง

คำตอบ
คำว่าสมาทานหมายถึง การรับเอามาเป็นข้อปฏิบัติ สมาทานศีล 5 หมายถึง รับเอาศีลทั้ง 5 ข้อมาปฏิบัติ เมื่อใดเผลอ (ขาดสติ) ไปกล่าววาจาเป็นเท็จ (โกหก) ศีลยังมีอยู่แต่มีไม่ครบ 5 ข้อ เรียกว่าศีล 5 บกพร่อง

ส่วนคำว่า วิรัติ หมายถึง ความเว้น , งดเว้น , เจตนาที่งดเว้นจากการความชั่ว ตัวอย่างเช่นคำว่า มังสวิรัติ มีความหมายว่าการงดเว้นกินเนื้อสัตว์ ส่วนคำว่า วิรัติศีล หรือศีลวิรัต ไม่มีในพจนานุกรมฯ มีแต่คำว่าศีลสมาทานคือการถือศีล การทำตามข้อบัญญัติ ดังนั้นก่อนนอนกล่าวคำสมาทานศีล คือรับเอาศีลมาเป็นข้อปฏิบัติ ก็ไม่น่าเสียหายตรงไหน

ที่ถามว่าเมื่อสมาทานศีล 5 แล้ว ปฏิบัติได้ไม่ครบ 5 ข้อถือว่าเป็นสีลัพพตปรามาสหรือไม่ ก่อนตอบคำถามนี้ ขออธิบายตามภูมิธรรมภูมิปัญญาของผู้ตอบปัญหาว่า คำว่าศีลหมายถึง การรักษากาย วาจา และใจให้เรียบร้อย พรต หมายถึง ความประพฤติ ปรามาส (ปะ-รา-มาด) หมายถึงความยึดมั่น , การลูบคลำ ฯลฯ คุณสมบัติของพระโสดาบัน (บรรลุโสดาปัตติผล) ต้องละสังโยชน์ 3 ได้ คือ

1. ละสักกายทิฏฐิได้

2. ละวิจิกิจฉาได้

3. ละสีลัพพตปรามาสได้

ดังนั้นผู้จะบรรลุธรรมขั้นเป็นอริยบุคคล ต้องมีศีลอยู่ครบในใจ กายและวาจาจึงจะมีพฤติกรรมเรียบร้อย ด้วยเหตุนี้จึงขอตอบว่า สมาทานศีล 5 แล้วยังรักษาได้ไม่ครบ ศีลยังบกพร่องถือว่าเป็นสีลัพพตปรามาสได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 16 พ.ค. 2010, 02:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมสงสัยว่าคนที่เกิดมารับวิบากกรรมเนื่องจากเคยผิดศีลข้อกาเม ทำให้มีความเบี่ยงเบนทางเพศ เป็นตุ๊ด เกย์ ทอม ดี้ นั้น หากปฏิบัติตามอริยมรรคมีองค์ 8 มีโอกาสบรรลุธรรมเป็นพระอริยบุคคล เช่นพระโสดาบัน ได้ในภพชาตินี้หรือไม่ เหตุที่ผมถามคำถามนี้เนื่องจากได้อ่านกระทู้ถามตอบในพันธ์ทิพย์กระทู้นึง โดยมีการยกคำกล่าวของพระรูปหนึ่งว่า บุคคลที่มีความผิดปกติเหล่านี้ไม่สามารถบรรลุธรรมได้ แต่สามารถปฏิบัติธรรมโดยสูงสุดได้แค่สุขคติโลกสวรรค์ เท่านั้น เป็นจริงหรือไม่ครับ



คำตอบ
บุคคลประเภทต่าง ๆ ที่ยกเป็นตัวอย่างถามไปนั้น ยังต้องเสวยอุศลวิบากอันเนื่องมาจากประพฤติผิดศีลข้อ 3 มาแต่อดีต จิตยังหวั่นไหวต่อโลกธรรมและยังมีความเห็นไม่ถูกตรง (มิจฉาทิฏฐิ) ดังนั้นโอกาสบรรลุธรรมเป็นพระโสดาบันจะยังเป็นไปไม่ได้ แม้จะปฏิบัติตามมรรค 8 ก็ยังไม่สามารถเข้าถึงความเป็นผู้มีสัมมาทิฏฐิตามมรรค 8 เพราะสัมมาทิฏฐิตัวนี้เป็นปัญญาเห็นถูกระดับโลกุตระ

อนึ่งจิตทิ้งร่างแล้วประสงค์ไปเกิดในโลกสวรรค์ ต้องพัฒนาจิตตนเองให้มีคุณสมบัติของชาวสวรรค์ คือจิตดวงสุดท้ายก่อนหลุดออกจากร่าง ต้องพร้อมไปด้วยทานและศีลอยู่ครบสมบูรณ์จึงจะไปเกิดในโลกสวรรค์ได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 16 พ.ค. 2010, 02:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


การที่คนสองคนแต่งงานกัน และมีเพศสัมพันธ์ในฐานะสามีภรรยา ถือว่าเป็นการดึงจิตใจให้ต่ำลงโดยการสนองต่อกามารมณ์หรือไม่ครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากทั้งคู่กำลังพยายามถือศีลและละอารมณ์และกิเลสทางโลกออก เพื่อยกระดับจิตใจของตนให้สูงขึ้น แต่ยังปราถนาที่จะใช้ชีวิตคู่ร่วมกันอยู่



คำตอบ
หากทั้งสองคน (สามี-ภรรยา) สมาทานศีล 5 และมีเพศสัมพันธ์กันในฐานะสามีภรรยา ในฐานะฆราวาสมิได้เสียหายตรงไหน นางวิสาขาเป็นโสดาบันแต่งงานแล้วยังมีลูกได้ แต่หากฆราวาสสมาทานศีล 8 แล้วยังมีเพศสัมพันธ์กัน เป็นการละเมิดศีลที่สมาทานไว้การปฏิบัติธรรมไม่สามารถยกระดับจิตใจให้สูง ขึ้นได้ เพราะไม่มีสัจจะ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 16 พ.ค. 2010, 02:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อยากถามอาจารย์ว่าเทพบางองค์เช่น พระพิฆเนศ เจ้าแม่กวนอิมมีจริงหรือไม่
และชาวพุทธสมควรกราบไว้หรือไม่ครับ
ขอบคุณครับ

คำตอบ
ก่อนตอบคำถามขออธิบายคำที่เกี่ยวข้องกับที่ถามไป

คำว่ากราบไหว้ มีความหมายว่า เคารพบูชา

คำว่าเคารพ มีความหมายว่า ไม่ล่วงเกิน , ไม่ล่วงละเมิด , แสดงอาการนับถือ

คำว่าบูชา มีความหมายว่า แสดงความเคารพบุคคล , ยกย่องเทิดทูนด้วยความนับ ถือ , เลื่อมใสในความรู้ความสามารถ ฯลฯ

ถ้าอ่านและเข้าใจความหมายของคำ ที่เกี่ยวข้องแล้ว จึงขอตอบว่า

พระพิฆเนศเป็นชื่อสมบัติของ เทวดาองค์หนึ่ง ที่มีความสามารถในด้านศิลปะ หากชาวพุทธประสงค์จะกราบไหว้ (เคารพบูชา) ด้วยความเลื่อมในในนความรู้ความสามารถของการเป็นครูศิลปะ ก็ไม่ต่างไปจากการกราบไหว้ครูอาจารย์ที่มีอัตภาพเป็นมนุษย์ ผู้มีความรู้ความสามารถในด้านศิลปะสามารถกราบไหว้ได้ ไม่เสียหายตรงไหน กราบไหว้แล้วดี กราบไหว้แล้วยังเป็นมงคลแก่ตัวเองอีกด้วย (บูชาจ ปูชะนียา นัง เอตัมมัง คะละ มุตตะมัง)

ส่วนเจ้าแม่กวนอิม ซึ่งมีอัตตภาพอยู่ในรูปนามของเทพ เป็นพระโพธิสัตว์คือผู้ตั้งความปรารถนาให้ได้ตรัสรู้ เพื่อช่วยมนุษย์ให้ข้ามพ้นสังสารวัฏให้ได้เสียก่อน ตนเองจึงจะนิพพาน ควรกราบไหว้อย่างยิ่ง หากคุณปรารถนาความหลุดพ้นจากอาสวกิเลส ต้องเคารพบูชาและปฏิบัติตามธรรมที่ท่านชี้นำให้ได้และเช่นเดียวกัน กราบไหว้แล้วยังเป็นมงคลอุดมแก่ตนเองอีกด้วย

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 16 พ.ค. 2010, 02:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คนที่ละทิ้งครอบครัว เพื่อไปแสวงหาความสุขสงบหรือความหลุดพ้นส่วนตัว
จะถือว่าเป็นคนดีหรือเปล่าครับ


คำตอบ
คำว่าคนดีหรือคนไม่ดี เป็นสมมติบัญญัติของคนในสังคมบัญญัติขึ้นเพื่อใช้เรียกบุคคลผู้มีการกระทำ ที่คนในสังคมเห็นพ้องด้วยว่าเป็นคนดี และไม่เห็นพ้องด้วยว่าเป็นคนไม่ดี ในสังคมมิจฉาชีพหากไม่ออกไปลักขโมย คนในสังคมมิจฉาชีพจะมองว่าเป็นคนไม่ดี แต่คนในสังคมสัมมาชีพมองว่าเป็นคนดี ดังนั้นดีและไม่ดีจึงมีอยู่ในบุคคลคนเดียวกัน คนขี้เกียจถูกคนอื่นมองว่าเป็นคนไม่ดี คนขยันถูกมองว่าเป็นคนดี ผู้ที่ถามปัญหาไปนั้นมีสองสิ่งนี้อยู่ในใจตัวเองหรือเปล่า...ลองย้อนดูตัว เองสิ

ในมุมมองทางพุทธศาสนา มองว่า คนที่เกิดมามีทั้งสิ่งดี (บุญ) และสิ่งไม่ดีคือกิเลส (บาป) เป็นของตัวเอง การละทิ้งครอบครัว เพื่อไปเอาสิ่งไม่ดีออกจากตัว แล้วเอาสิ่งดี ๆ เข้าไว้ในตัว คนในสังคมที่ใฝ่กิเลสมองเพียงครึ่งเดียวว่า เป็นคนไม่ดี แต่คนในสังคมที่ใฝ่ธรรมมองไกลกว่านั้น และเห็นตรงกันข้าม ตัวอย่างเจ้าชายสิทธัตถะละทิ้งครอบครัว เพื่อไปขจัดความไม่ดีทิ้ง แล้วแสวงหาความดีใส่ตัว เมื่อได้ความดีมาแล้ว นำมาบอกกล่าวกับคนในครอบครัว รวมทั้งคนในสังคมอื่นให้ทำความดี จนในที่สุด คนในครอบครัวและคนในสังคมอื่น เห็นดีด้วยแล้วทำตาม จนมีความดีสั่งสมอยู่ในตัวถ้วนทั่วกัน คนดีเหล่านั้นได้พัฒนาตัวเองให้ดียิ่งขึ้น จนอยู่เหนือความดีความไม่ดี ที่เรียกว่า เหนือบุญเหนือบาปหรือหลุดพ้นจากบุญบาป ดังนั้นการละทิ้งครอบครัวไปเพื่อความหลุดพ้นส่วนตัว แล้วกลับมานำคนอื่นให้หลุดพ้นตามด้วย ในมุมมองของพระเรียกว่าเป็นคนดี แต่ในมุมมองของมาร(คนบาป) เรียกว่าเป็นคนไม่ดี...แล้คุณล่ะมองจากมุมไหน

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 16 พ.ค. 2010, 02:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ตั้งแต่เด็กจนโต30กว่าปีเห็นบิดากินแต่เหล้าเล่นการพนันทำร้ายมารดางาน ไม่ทำมารดาต้องเป็นหัวเรือหลัก จนวันหนึ่งที่ทุกคนในบ้านรู้สึกไม่ไหวแล้วจึงพามารดาออกจากบ้านมาอยู่ที่ ใหม่ปล่อยให้บิดาอยู่ลำพังอยากทำอะไรก็ให้ทำไป(ยังแข็งแรงบ้านช่องก็มีให้ อยู่)

ผมก็อยากดูแลทั้งบิดามารดาตามหน้าที่ลูกที่ดีแต่ทุกคนในบ้าน(มารดาพี่สาว ผม)ทนกับสิ่งที่บิดาทำไม่ได้เลยใช้วิธีการปล่อยให้อยู่คนเดียวดีกว่า พอจะมีทางที่ดีกว่านี้อีกไหม บิดาไม่ฟังใคร กินเหล่า งานไม่ทำ..
ผมขอรบกวนอาจารย์ช่วยตอบด้วยครับ
ขอบคุณครับ

คำตอบ
สัตว์โลกเป็นไปตามกรรม (การกระทำ) กรรมเป็นผู้จำแนกสัตว์ให้ ละเอียด ประณีต ดี ชั่ว เลว หยาบ ฯลฯ ผู้ประพฤติตนทุศีลและจิตตกเป็นทาสของอบายมุข นอกจากชีวิตนี้จะเสื่อมแล้ว ชีวิตหน้าอาจต้องลงไปเกิดเป็นสัตว์โลกในอบายภูมิอีกด้วย หากไม่มีกุศลกรรมอื่นมาให้ผลแซงหน้า คือ เสื่อมในชีวิตนี้และอาจเสื่อมในชีวิตหน้า

บิดาจะประพฤติไม่ดีอย่างไรเป็นเรื่องของเขา ในฐานะที่คุณเป็นลูกต้องไม่มีปฏิสัมพันธ์ในทางลบกับผู้มีพระคุณที่ทำให้คุณ ได้เกิดมาและต้องปฏิบัติจริยธรรมลูกที่ดี ต่อบุพการีคือ ท่านเลี้ยงคุณมาคุณต้องเลี้ยงดูท่านตอบแทน ช่วยทำธุรกิจการงานของท่าน (หากมี) ดำรงวงศ์สกุลให้คงอยู่ ทำตนเป็นทายาทที่ดี หากเมื่อใดท่านล่วงลับ ต้องทำบุญอุทิศให้ท่าน ทำสิ่งเหล่านี้ให้ดีที่สุดเท่าที่คุณสามารถทำได้ ซึ่งเป็นการสำนึกในบุญคุณและตอบแทนคุณ (กตัญญูกตเวที) ต่อผู้เป็นบุพการีแล้วชีวิตและงานของคุณจะก้าวหน้ารุ่งเรืองไม่เกิดอุปสรรค และปัญหาหากคุณเชื่อคำแนะนำจากผู้รู้แล้วปฏิบัติตามได้...สาธุ ๆ ๆ บิดาเป็นครูดีที่สอนลูกไม่ให้ประพฤติตามที่ท่านทำ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 16 พ.ค. 2010, 02:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หนูมีปัญหาสงสัยและขอความกรุณาอาจารย์เมตตาแนะแนวทางให้ด้วยค่ะ คือคุณพ่อท่านมีฟาร์มไก่เพื่อส่งไก่ขาย และหนูทราบว่าอาชีพนี้ไม่ควรทำแต่ก็ไม่สามารถทัดทานได้ และอีกทั้งคุณพ่อท่านก็ชอบวิจารณ์พระองค์นั้นองค์นี้บ่อย จนหนูไม่กล้าพาคุณพ่อไปทำบุญที่ไหนด้วยกันอีกเลยเพราะกลัวท่านจะบาปมากขึ้น ส่วนคุณแม่เองในขณะนี้ก็เป็นโรคหลายอย่าง เช่น โรคไต เบาหวาน ความดันโลหิตสูง บางครั้งท่านจะแน่นหน้าอกราวกับว่าจะหายใจไม่ออก แต่ทุกครั้งท่านที่มีอาการนี้ท่านก็จะนึกเคียดแค้นคุณพ่อทุกครั้ง ทั้งนี้เพราะคุณแม่ท่านชอบทะเลาะกับคุณพ่อเป็นประจำเรื่องหึงหวง หนูพยายามเปิด CD ธรรมะให้คุณแม่ฟังแต่ท่านก็รับไม่ได้ บอกว่าจะอาฆาตคุณพ่อไปในชาติหน้า

หนูรู้สึกกลุ้มใจมาก อยากให้ท่านทั้งสองมีสัมมาทิฏฐิในบั้นปลายชีวิต เพราะหนูอยากให้ท่านไปสู่สุคติภูมิเมื่อถึงเวลาที่จิตดับไปแล้วนะคะ เวลาที่หนูปฏิบัตธรรมหรือสวดมนต์และแผ่เมตตา หนูจะอุทิศให้ท่านทั้งสองให้เป็นสัมมาทิฏฐิตลอด ไม่ทราบวิธีนี้จะช่วยได้ไหมค่ะ หรือมีวิธีอื่นอีกบ้างไหมค่ะ


คำตอบ
ในมุมมองทางพุทธศาสนา การเลี้ยงไก่ขายเป็นอาหารเป็นมิจฉาอาชีวะ การเบียดเบียนชีวิตสัตว์เป็นอกุศลกรรม เมื่อใดที่กรรมให้ผล จะให้ผลเป็นอกุศลวิบาก ตกไปยังผู้กระทำ หรือตกไปยังบริวารหรือผู้เห็นด้วยกับการทำอกุศลกรรมนั้น เช่นเดียวกับการวิจารณ์ผู้อื่น เป็นการกล่าววาจาที่เป็นอกุศล หากผู้ถูกวิจารณ์มีคุณธรรมสูง อกุศลวิบากจะกลับมาหาผู้วิจารณ์เร็วและรุนแรง การอาฆาตจองเวรเป็นอกุศลกรรมเมื่อกรรมให้ผล ผู้อาฆาตจองเวรต้องได้รับอกุศลวิบาก

การคิดช่วยเหลือพ่อแม่ เป็นความคิดที่ดีควรทำ ลูกมีบุญกุศลอยู่ในจิตใจแล้ว อุทิศให้พ่อแม่ หากท่านทั้งสองรู้และอนุโมทนาบุญท่านก็สามารถรับบุญกุศลที่คุณส่งให้ แต่จะให้พ่อแม่มีสัมมาทิฏฐิ พ่อแม่ต้องเชื่อและปฏิบัติตามคำบอกกล่าวจากลูก ว่าการเลี้ยงไก่ขายเป็นบาป การวิจารณ์พระเป็นบาป การอาฆาตเป็นบาป หากท่านเชื่อแล้วหยุดกระทำบาปท่านก็เป็นผู้มีสัมมาทิฏฐิได้ หากไม่เชื่อและไม่ทำตาม ท่านก็ยังเป็นผู้มีมิจฉาทิฏฐิเหมือนเดิมยังมีบาปอยู่ เมื่อช่วยไม่ได้ต้องปล่อยวาง ผู้รู้บอกว่าสัตว์โลกเป็นไปตามกรรม ใครทำกรรมใดไว้ต้องได้รับผลแห่งกรรมนั้น

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 16 พ.ค. 2010, 02:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ไม่ทราบว่าสีลพตปรามาสคืออะไร หมายความว่าอะไรครับ ผมยังไม่เข้าใจดีครับ


คำตอบ
ปัญหานี้คิดว่าเคยตอบแล้ว หากยังไม่เข้าใจก็ไม่ต้องไปคิดอะไรให้มาก ไม่ต้องไปหาความหมายอะไรให้มันรกสมอง คงไม่ได้เอาไปตอบเพื่อเพิ่มวุฒิทางความจำ จึงขอตอบอย่างนักปฏิบัติธรรมและเข้าถึงธรรมว่า รักษาใจของคุณให้มีศีลมั่งคง ไม่บกพร่องมีศีลอยู่ครบบริบูรณ์ในใจตลอดเวลาทุกขณะตื่น ความประพฤติดีทางกายและวาจาก็จะเกิดขึ้น คุณก็ไม่เป็นผู้มีสีลัพพตปรามาสโอกาสพัฒนาจิตให้เกิดปัญญาเห็นแจ้ง ที่นำไปสู่ความหมดไปของกิเลส ความสิ้นไปแห่งอวิชชา ก็มีได้เป็นได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 16 พ.ค. 2010, 02:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1. ผู้ที่บริจาคทานโดยไม่ประสงค์จะออกนามจะได้บุญเท่ากับผู้บอกชื่อ-สกุลหรือ ไม่? เพราะไม่มีนามปรากฏให้ทราบเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น?

คำตอบ
ผู้บริจาคทานแล้วไม่เอ่ยนาม เปรียบได้กับการปิดทองหลังพระได้บุญเต็มร้อย เหตุที่ไม่เอ่ยชื่อเพราะผู้บริจาคประสงค์ได้บุญมากนั่นเอง


2. การเล่นดนตรีไทยหรือสากลเป็นบาปหรือไม่?

คำ ตอบ
การเล่นดนตรีไทยหรือสากล ขณะเล่นมีจิตจดจ่อ (สติ) อยู่กับท่วงทำนองหรือตัวโน๊ต ทำให้จิตมีความตั้งมั่นเป็นสมาธิไม่ถือเป็นบาป แต่หากนำสมาธิไปใช้ในทางผิด (มิจฉาสมาธิ) ถือว่าเป็นบาป


3. การที่ท่านอาจารย์ปฏิบัติได้ผลเร็วเป็นเพราะขณะนั้นท่านอาจารย์อยู่ในเพศ บรรพชิตซึ่งมีวินัยและศีลครบถ้วนใช่หรือไม่? การครองเพศฆราวาสหากจะปฏิบัติให้ได้ผลแบบท่านอาจารย์คงต้องใช้ความเพียรและ เวลามากกว่าใช่หรือไม่?


คำตอบ
ขณะบวชเป็นบรรพชิต และปฏิบัติธรรมได้ผลรวดเร็วมีเหตุส่วนหนึ่งมาจาก ไม่ต้องทำงานภายนอก (งานของครอบครัว) ทำแต่งานภายในคือพัฒนาจิตตัวเอง ดังนั้นจึงอุทิศเวลาให้กับการปฏิบัติได้อย่างต่อเนื่องยาวนาน อีกเหตุหนึ่งคือเมื่ออยู่ในเพศบรรพจิตมีความสัปปายะในด้านที่อยู่ อาหาร การพูดและบุคคลดีกว่าอยู่ในครอบครัวดังนั้น การอยู่ในเพศฆราวาสจึงต้องใช้เวลามากใช้ความเพียรมากดังที่เข้าใจนั้นถูก ต้องแล้ว

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 16 พ.ค. 2010, 02:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ตอนเรียนมัธยมผมเป็นลูกศิษย์วัดครับ ด้วยความเป็นเด็กที่ยังไม่รู้จักเกรงกลัว บาปกรรม ผมได้ลักทรัพย์ในตู้บริจาคโดยใช้ไม้ที่เขาใช้คีบแบงค์เขี่ยออกมาใช้ แต่ ก็ไม่กี่ครั้งประมาณสัก 3-4 ครั้งจำไม่ค่อยได้แล้ว และเคยเอาพวกสมุดดินสอปากกา ที่แขวนบนต้นไม้ในกระถางที่คนเขาถวายแล้วมาใช้ (แต่อันนี้รู้สึกหลวงพี่หรือ สามเณรจะอนุญาติ มีบางครั้งอาจถือวิสาสะ) ต่อมาวันนี้เมื่อเริ่มมาศึกษาธรรมะพบ ว่าที่ทำไปมันบาปมาก ตายไปต้องตกนรกหรือเกิดเป็นเปรต อาจารย์ครับบาปที่เราทำไป แล้วอย่างนี้เราสามารถแก้ไขโทษให้ทุเลาเบาบางลงได้ไหมครับ อาจารย์ช่วยสงเคราะห์
ให้คำแนะนำด้วยครับ



คำตอบ
ทรัพย์ที่มีผู้ศรัทธาใส่ไว้ในตู้รับบริจาคนั้นเป็นของวัด สมุด ปากกา ดินสอ เขาบริจาคให้กับหมู่สงฆ์ การไปเอาวัตถุสิ่งของของผู้อื่นมาใช้ โดยเจ้าของมิได้อนุญาตถือว่าละเมิดศีลข้ออทินนาทาน แม้จะทำเพียงครั้งเดียว ตายแล้วมีโอกาสลงไปเกิดเป็นสัตว์ในอบายภูมิได้ คนที่เคยทำผิดมาก่อนแล้วสำนึกผิดได้เป็นคนดี คนที่กลัวนรกมักจะไม่ตกนรก

หากคุณประสงค์จะหนีผลจากอกุศลกรรมที่ทำไว้ ก็สามารถทำได้ด้วยตัวคุณเอง โดยกลับไปที่วัดเดิมที่คุณเคยอยู่สมัยเป็นเด็กวัด เอาดอกไม้ ธูปเทียนไปไหว้พระในโบสถ์ สารภาพผิดแล้วกล่าวคำขอขมาต่อพระรัตนตรัยให้กับเจ้ากรรมนายเวร และสรรพสัตว์ที่ร่วมเวียนตายเกิดในสังสารวัฏ ทำเรื่อยไปตลอดชีวิต คุณสามารถหนีผลของอกุศลกรรมในอดีตได้ และหากคุณสามารถพัฒนาจิตวิญญาณตัวเอง จนเข้าสู่ความเป็นอริยบุคคล ก็สามารถปิดอบายภูมิได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 16 พ.ค. 2010, 02:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดิฉันมีปัญหาจะรบกวนอาจารย์ช่วยกรุณาตอบด้วยค่ะ แม่สามีป่วยเป้นเบาหวาน, ความดัน, โรคไต แต่มีปัญหาคือแกมักจะนึกอยากกินอาหารที่แกชอบ และต้องเป็นร้านที่แกอยากกินด้วย แต่โรคที่เป็นอยู่นี้ต้องควบคุมอาหารและน้ำ แกก็จะดื้อ ไม่ได้ดั่งใจก็พาลด่าคนรอบข้าง ไม่ยอมกินอาหารและยาที่จัดให้ จะกลับไปอยู่บ้านเดิมเพื่อกินตามใจปาก (ปัจจุบันเอาแกไปอยู่กับบ้านน้องชายสามีที่เขาควบคุมอาหารแก) พวกเรากลัวว่าถ้าปล่อยให้กินตามใจปากแกจะโคม่า
คำถามคือ

1.เราจะปล่อยให้แกกลับไปกินอาหารตามใจปากที่บ้านแกดีหรือไม่ หากไปกลัวเบาหวานหรือโรคอื่นๆจะกำเริบแล้วเป็นอะไรไปจนอาจเสียชีวิตได้ ดิฉันกลัวว่าจะเป็นบาปที่ส่งแม่สามีไปตาย และ หากไม่ส่งไปแล้ววาระสุดท้ายจะหิว อยากกิน กลัวไม่ได้ไปดีนะคะ

คำตอบ
พระพุทธะมิได้สอนให้ไปแก้ปัญหาที่คนอื่น แต่สอนให้แก้ปัญหาที่ตัวเอง ท่านเป็นเพียงผู้ชี้ทางแก้ปัญหา เมื่อผู้มีปัญหารับฟังแล้วเกิดศรัทธาและแก้ไขปัญหาตามที่ได้รับคำแนะนำ ปัญหาจะหมดไป ในกรณีที่ถามไปเมื่อท่านรับฟังเหตุผลแล้วไม่ศรัทธา ไม่ทำตามคำแนะนำมันเป็นเรื่องของท่านเป็นการทำเหตุไม่ดีไว้ก่อน จึงต้องมารับผลของอกุศลวิบากด้วยตัวท่านเองสัตว์โลกเป็นไปตามกรรม คุณต้องปล่อยวาง ท่านประสงค์จะกลับไปบ้านเดิมเพื่อไปกินอาหารที่ถูกปาก (ถูกใจ) แล้วเป็นเหตุให้ต้องตายเร็ว หากคุณรั้งท่านไว้ ให้อยู่ที่บ้านของน้องชายของสามีและกินอาหารไม่ถูกปาก ในที่สุดท่านก็ต้องตายเหมือนกันนั่นแหละ เพราะการตายเป็นเรื่องของธรรมชาติ คุณเกรงว่าจะเป็นบาปหากส่งท่านกลับไป นั่นเป็นการเห็นผิด ที่ไปเอากรรมของคนอื่นมาเป็นกรรมของตัวเอง แล้วทำให้ไม่สบายใจ อย่างนี้สิที่เรียกว่าบาป



2.แม่สามีทำกรรมอะไรไว้ถึงคอยแต่พะวงนึกถึงแต่อาหาร และเราพอจะช่วยทำอะไรให้มันดีขึ้นได้หรือไม่ ก่อนป่วยหนักคุณแม่จะเป็นคนที่ใส่บาตรพระทุกเช้า โดยใส่เป็นกับข้าวพร้อมกาแฟปาท๋องโก๋ที่แกขาย



คำตอบ
แม่สามีทำกรรมอะไรไว้จึงพะวงนึกถึงแต่เรื่องของอาหาร คุณก็บอกไปแล้วไงว่า ท่านชอบเอาอาหารใส่บาตรพระทุกเช้า นั่นแหละเป็นกุศลกรรมของท่าน ท่านได้ทำเพื่อสั่งสมทรัพย์ภายใน ให้คุณดูเป็นตัวอย่างไงล่ะ เพราะทรัพย์ภายนอกแล้วเอาติดตัวไปไม่ได้ แต่ทรัพย์ภายในสามารถใช้เป็นปัจจัยเดินทางในปรโลกได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1521 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 8, 9, 10, 11, 12, 13, 14 ... 102  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร