วันเวลาปัจจุบัน 23 ส.ค. 2025, 14:39  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 1521 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 11, 12, 13, 14, 15, 16, 17 ... 102  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 16 พ.ค. 2010, 16:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1. การที่เราใช้ internet ของบริษัท เข้าใน web ธรรมะ ผิดศีลหรือไม่ค่ะ

คำตอบ
ถ้าเจ้าของบริษัทเขาอนุญาตให้นำอินเตอร์เน็ตไปใช้ในธุรกิจอื่น ที่ไม่ใช่งานในธุรกิจของบริษัทได้ ก็ไม่ผิดศีล


2. การไปดาวน์โหลด file ต่างๆ ที่แจกเป็นธรรมทาน เช่น file หนังสือธรรมะ หรือ file เสียงต่างๆ ใน Web แล้วทำการสำเนาแผ่นเพื่อไปแจกเป็นธรรมทาน ผิดศีลหรือไม่คะ และต้องทำอย่างไรจึงจะไม่ผิดศีล
ขอบคุณค่ะ
เต็มสิริ

คำตอบ
ถ้าเจ้าของ file หรือเจ้าของหนังสือไม่ได้ระบุว่าอนุญาตให้ก็อปปี้แจกเป็นธรรมทานได้ แล้วคุณทำโดยพละการถือว่าผิดศีลหากขออนุญาตแล้วเขาเห็นชอบให้คุณทำได้ก็ไม่ ผิดศีล

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 16 พ.ค. 2010, 16:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คือชาตินี้ผมคงไม่บรรลุนิพพานแน่
แต่ตั้งความหวังไว้ว่าจะสำเร็จพระนิพพานไม่เกินศาสนาของพระศรีอาริยเมตไตรย ไม่ทราบว่าการตั้งทิฏฐิเช่นนี้เป็นมิจฉาทิฏฐิหรือไม่ครับ


คำตอบ
การตั้งความหวังหรืออธิษฐานได้ว่า ชาตินี้คงไม่บรรลุพระนิพพาน เป็นการตั้งโปรแกรมจิตที่ผิดเป็นมิจฉาทิฏฐิ เพราะเป็นการตั้งความหวังที่เป็นเหตุให้เกิดการบั่นทอนการทำงานของจิตให้ พัฒนาได้ไม่เต็มที่ และการตั้งความหวังไว้ว่า จะสำเร็จพระนิพพานไม่เกินศาสนาของพระศรีอาริยเมตไตรย์ ก็เป็นการตั้งความหวังไว้ผิดอีกนั่นแหละ เพราะคุณมั่นใจได้อย่างไรว่า กำลังของบุญและบารมีที่คุณทำสั่งสมในแต่ละภพชาติที่เกิดนั้น จากนี้ต่อไปจนถึงศาสนาของพระศรีอาริยเมตไตรย์จะถึงพร้อมให้เป็นเหตุปัจจัย ให้จิตมีศักยภาพมากพอจะที่กำจัดกิเลสที่ผูกมัดใจสัตว์ทั้ง 10 อย่าง (สังโยชน์10) ให้หมดไปจากใจของคุณได้

ลองดูประวัติของพระอัญญาโกณทัญญะ หรือพระอานนท์ที่เป็นพุทธอุปฏฐากของพระสมณโคดมพุทธเจ้า ได้ตั้งปรารถนาไว้แต่ครั้งที่เกิดมาพบพระปทุมุตตระพุทธเจ้า กว่าจะสำเร็จเป็นพระอรหันต์และมีเอตะทัคคะในทางหนึ่งได้ ต้องใช้เวลาพัฒนาจิตวิญาณยาวนานถึง 100,000 กัป ผ่านศาสนาของพระพุทธเจ้าองค์ต่าง ๆ 15 พระองค์ จึงจะบรรลุความหวังที่ตั้งไว้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 16 พ.ค. 2010, 16:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เนื่องจากแถวบ้านหนูมักได้ยินข่าว มอเตอร์ไซด์กระชากกระเป๋าบ่อยครั้ง แล้วยิ่งช่วงนี้ข้าวยากหมากแพง อาจเนื่องด้วยสภาพแวดล้อมเอื้ออำนวยต่อการกระทำดังกล่าว อยากทราบว่าในทางพุทธศาสนาแล้วชาวบ้านที่อาศัยอยุ่บริเวณนี้ที่ โดนกระชากกระเป๋ามีกรรมอันใดทำร่วมกันจึงต้องมาเจอเหตุการณ์แบบนี้ หรือชาวบ้านเคยเป็นหนี้กรรมต่อมอเตอร์ไซด์คนนั้นคะ และถ้าเชื่อคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว กรรมที่มอเตอร์ไซด์คนนั้นทำสักวันต้องสนองผลแก่เขาใช่หรือไม่ สำหรับตอนนี้มีวิธีแก้ไขอย่างไรดีในทางศาสนาเพื่อให้บรรยากาศดีขึ้น เช่น แผ่เมตตา เป็นต้น

คำตอบ
เรื่องการที่ บุคคลถูกกระชากกระเป๋าถือ ทำให้ต้องสูญเสียทรัพย์สินไปนั้น เหตุเป็นเพราะบุคคลนั้นเคยสร้างอกุศลกรรมไว้ก่อนในอดีต ซึ่งเป็นไปตามกฎแห่งกรรม เช่นเดียวกับคนขับขี่รถมอเตอร์ไซค์ ได้ทำเหตุปัจจุบันที่เป็นอกุศลกรรม เมื่อใดที่กรรมให้ผล เขาก็ต้องมีอันต้องทำให้สูญเสียทรัพย์สินได้ในอนาคต บุคคลใดหากมีศีล 5 ครองใจ และไม่มีอกุศลกรรมเก่าโดยเฉพาะการล่วงละเมิดศีลข้อ 2 ตกค้างอยู่ในใจ เขาจะเป็นผู้ไม่สูญเสียทรัพย์ด้วยการถูกกระชากกระเป๋าถืออย่างแน่นอน “ สีเลนะ โภคะสัมปทา ” นั้นเป็นจริง คุณไม่เชื่อพระพุทธเจ้าหรือ

วิธีแก้ไขในปัจจุบันก็คือให้มีความมักน้อยในการกินอยู่ ใช้สอย ไม่ประดับร่างกายด้วยอาภรณ์มีค่า ไม่เดินในที่เปลี่ยวปลอดผู้คน ไม่โคจรในยามวิกาล ฯลฯ ที่สำคัญต้องมีศีล 5 ครองใจได้เป็นดีที่สุด

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 16 พ.ค. 2010, 16:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หนูมีสิ่งหนึ่งที่เป็นข้อข้องใจอยากขอความกรุณาท่านอาจารย์ช่วยแนะนำด้วย ค่ะ ถ้าเราต้องการจะทราบถึงสภาวะตามความเป็นจริงของผู้ที่เสียชีวิตไปแล้ว ว่าตอนนี้ท่านผู้นั้นอยู่ที่ไหน แต่ในขณะนี้เราไม่สามารถที่จะปฎิบัติถึงขั้นที่จะรู้ได้ (หมายถึงการถอดกายทิพย์หรือการมีทิพจักขุญาณที่ชัดเจนแจ่มใสเพียงพอ) เราจะต้องหัดทำสมาธิ รักษาศีล ไปเรื่อย ๆ จนสักวันนึงเราจะสามารถรู้ในสิ่งที่อยากรู้ อาจารย์อาจจะไม่เห็นด้วยว่า แล้วทำไมเราต้องไปอยากรู้ด้วยเล่า ทำไมเราไม่ทำชีวิตในปัจจุบันให้มันดี อย่าไปคิดถึงอดีตที่มันกลับคืนไม่ได้ หนูขอกราบเรียนอาจารย์ว่า บุคคลที่หนูอยากรู้มีความสำคัญกับหนูมากเหลือเกิน หนูอยากจะพิสูจน์และเห็นด้วยตัวเอง ว่าการที่หนูทำบุญไปให้ในแต่ละครั้ง ท่านผู้เสียชีวิตได้รับ และหนูอยากจะทราบความต้องการขอท่านที่เสียชีวิตไปแล้วว่าต้องการให้หนูทำบุญ อะไรไปให้บ้างเพื่อช่วยท่าน รบกวนอาจารย์ช่วยตอบคำถามหนูให้คลายสงสัยด้วยเถิด

คำตอบ
ความเห็นผิด (มิจฉาทิฏฐิ) คือความเห็นที่ไม่นำไปสู่ความพ้นทุกข์ คุณบอกไปว่าคนที่ตายไปแล้วมีความสำคัญกับคุณมากเหลือเกิน ก็ยังเป็นความเห็นผิดอยู่นั่นแหละ เพราะคุณเอาใจไปยึดติดและให้ความสำคัญกับสิ่งที่เปลี่ยนแปลง สิ่งที่เป็นสมมติขึ้นเพียงชั่วคราวคือคนที่ตายไปแล้ว นี้เป็นต้นเหตุแห่งทุกข์

ผู้เห็นถูก (สัมมาทิฏฐิ) เขาให้ความสำคัญกับสิ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลงและฝึกเอาสิ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลง คือธรรมะของพระพุทธะเป็นสรณะ แล้วจะไม่เป็นทุกข์ ด้วยเหตุนี้การเข้าถึงความรู้สูงสุดที่เรียกว่าอภิญญา ที่สามารถรู้เห็นความเป็นไปของสัตว์ในภพภูมิต่าง ๆ จึงเป็นสิ่งที่อาจารย์ของผู้ตอบปัญหาคือท่านเจ้าคุณโชดก สั่งให้ละความอยากรู้อยากเป็นเหล่านั้นเสีย เพราะเป็นปฏิปทาที่ไม่นำไปสู่การเกิดของปัญญาเห็นแจ้ง ผู้ตอบปัญหาต้องขออภัยที่มิอาจทำตัวเป็นต้นเหตุให้ผู้ถามปัญหา ต้องหลงทางชีวิตเพิ่มมากขึ้นมันเป็นบาปนะโยม

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 17 พ.ค. 2010, 17:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อยากรบกวนท่านอาจารย์แนะนำการปฎิบัติตนเมื่อถูกผู้อื่นเอาเปรียบ เราควรปฎิบัติตนอย่างไรจึงจะถูกต้องค่ะ ระหว่างคิดว่าการที่เราโดนเอาเปรียบนั้นเป็นกรรมเก่าของเราเองหรือควรจะ ต่อสู้เพื่อสิทธิของตัวเองเพราะบางคราวก็รู้สึกท้อเพราะเหมือนกับต่อสู้ไปก็ ไม่สามารถแก้สถานการณ์ให้ดีขึ้น

อยากขอคำแนะนำท่านอาจารย์ว่าในสถานการณ์แบบใดที่เราควรวางเฉยและ สถานการณ์แบบใดที่ควรจะต่อสู้ค่ะ

เกี่ยวกับการฝึกสมาธิไม่ทราบว่าท่านอาจารย์เปิดอบรมหลัก สูตรสมาธิที่กรุงเทพ บ้างหรือเปล่าคะ


คำตอบ
ถ้าคุณเชื่อในปัญญาของผู้รู้ คุณต้องเอาขันติธรรมขึ้นตั้งเป็นปราการ รับกระทบจากการถูกผู้อื่นเอาเปรียบ แล้วใช้เมตตาธรรมเป็นอาวุธแผ่ไปยังผู้ที่เอาเปรียบคุณ แล้วเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็จะผ่านพ้นด้วยดี

ทำไมไม่คิดว่าก็เพราะคุณมีดีให้เขาเอาเปรียบ เขาไม่มีอย่างที่คุณมี แต่เขามีความเห็นแก่ตัว (อัตตา) เขาจึงคิดเอาเปรียบคุณไงล่ะ หากเมื่อใดคุณคิดแล้วทำการต่อสู้เพื่อสิทธิของคุณ การผูกพยาบาทจองเวรจะเกิดขึ้นทันที เมื่อเหตุปัจจัยลงตัวแล้วโคจรมาพบกันอีกในวันข้างหน้า คุณก็จะกลับมาสู่วงจรเดิมอีกมิใช่หรือ เหตุเพราะเวรไม่ถูกระงับ ด้วยเหตุนี้พระพุทธะจึงสอนเวไนยสัตว์ว่า “ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร ” ไงล่ะ ยอมเป็นผู้แพ้ผู้เสียเปรียบในสายตาของชาวโลก เพื่อเป็นผู้ชนะผู้ได้เปรียบในสายตาของผู้รู้ในวันข้างหน้า จะมิดีกว่าหรือ เลือกหนทางแก้ปัญหาเอาเองนะข้าพเจ้ามิบังอาจเข้าไปข้องเกี่ยวในทางกรรมของ ใคร เป็นได้เพียงผู้ชี้ทางเท่านั้น

อนึ่งด้วยมีเวลาแห่งชีวิตไม่มาก จึงไม่มีเวลาเหลือที่จะเอื้อให้เปิดหลักสูตรอบรมจิตให้แก่ผู้ใดได้...ต้องขอ อภัย

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 17 พ.ค. 2010, 17:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อยากทราบว่าการที่คนเราได้รู้จักกันโดยบังเอิญ แค่เพียงการพูดคุยแค่ไม่กี่วันแล้วมีความรู้สึกว่าเหมือนรู้จักกันมานานมาก โดยยังไม่เคยเจอหน้าเลย มันเป็นบุญกุศลเก่าที่เคยทำกันมาใช่มั๊ยคะแต่หากเรารู้ว่าเราไม่สามารถที่จะ คบกันได้เกินกว่านี้ มันก้ออาจเป็นกรรมเก่าที่เราทำมาด้วยกันใช่ไหมค่ะ ถึงทำให้ไม่สมหวังในเรื่องนี้(ความรักนะคะ)
ดังนั้นเราจึงควรเอาตัวออกห่างให้เร็วที่สุดใช่ไหมค่ะเพื่อที่จะไม่มีกรรม ต่อกันอีกหากคนใดคนหนึ่งต้องเสียใจ



คำตอบ
คำว่าบังเอิญไม่มีในผู้รู้ ปรากฏการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นย่อมมีเหตุที่ทำให้เกิดบุคคลที่มารู้จักกัน และไว้ใจกันโดยยังไม่เห็นหน้ากันเลย ก็แสดงว่าเคยมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมาแต่อดีต ส่วนคำว่ากรรมคือการกระทำ หากบุคคลทำกรรมร่วมกับคนหลายคน เมื่อกรรมให้ผลเป็นวิบาก บุคคลก็ต้องเสวยวิบากนั้นกับคนหลายคน ก่อนหลังตามลำดับความแรงของกรรม กรรมใดให้ผลก่อน ผู้ทำกรรมต้องรับวิบากนั้นก่อนกรรมใดให้ผลทีหลัง ผู้ทำกรรมต้องรับวิบากนั้นภายหลัง ด้วยเหตุนี้ในครั้งพุทธกาล สาวกของพระพุทธะไปบิณฑบาต แล้วไปพบภรรยาในอดีตชาติมาใส่บาตร จึงทูลพระพุทธเจ้าว่าจะกลับไปอยู่กับอดีตภรรยา พระพุทธเจ้าตรัสว่า อดีตเป็นเรื่องของอดีต ปรับปรุงแก้ไขอดีตไม่ได้ ให้อยู่กับปัจจุบัน โลกจะไม่วุ่นวายสับสน ด้วยเหตุนี้ คุณไม่จำเป็นต้องนำตัวออกห่าง แต่สามารถสร้างกรรมดี ๆ ร่วมกันได้ แต่ต้องมีสติระลึกรู้อยู่กับปัจจุบัน ทำภาระและหน้าที่ในปัจจุบันด้วยความถูกต้องดีงาม กรรมอันเป็นกุศลจะได้เกิดขึ้น และกุศลวิบากก็จะมาหาคุณได้อีกในที่สุด

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 17 พ.ค. 2010, 17:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ได้รับยาพาราเซตามอลหลายกระปุกเป็นของชำร่วยจากงานศพ
จะแบ่งไปถวายพระซักสองกระปุกโดยที่ยังไม่ได้แกะห่อพลาสติกที่หุ้มออก
อยากทราบว่ายังสมควรถวายพระได้หรือไม่ครับ



คำตอบ
หากยังไม่ได้เปิดออกใช้ นำไปถวายพระได้ไม่ถือว่าเป็นเดนทาน

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 17 พ.ค. 2010, 17:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1. ผมเริ่มทำบุญทุกวันๆละ 20 บาทที่วัดไกล้ที่ทำงาน
และผมก็ไปวัดทุกเดือนๆหนึ่งผมจะทำบุญครั้งละ 1000 บาท ขณะทำบุญอยู่นั้นผมมักจะนึกน้อมจิตถึงพ่อที่เสียไปแล้วคิดว่าท่านอยู่ในตัว ผมแล้วทำบุญพร้อมกันแล้วตั้งจิตว่าขอให้ผลบุญนี้ไปถึงพ่อและเจ้ากรรมนายเวร ขอให้มีความสุขในภพภูมิที่ดีๆ
อย่าได้จองเวรซึ่งกันและกันเลยและขอให้ลูกได้มีแต่ความสุข
การทำแบบนี้จะช่วยให้ท่านได้บุญพร้อมกระผมมั้ยครับ
และจำนวนเงินที่ทำมีผลต่างกันอย่างไรเช่น 20 บาททุกวันรวม 30 วันเป็นเงินเพียง 600 บาท แต่ได้ทำบุญทุกวันกับอีกอย่างคือ 1 เดือนทำครั้งเดียว แต่จำนวนเงินเยอะกว่าต่างที่จำนวนวันไปทำบุญน้อยกว่า

คำตอบ
การทำบุญด้วยการบริจาคทรัพย์เป็นทาน เป็นเพียงหนึ่งในสิบวิธีของการทำบุญ ดูเรื่องบุญ กิริยาวัตถุ 10 แล้วทำบุญให้หลากหลาย อานิสงส์ของบุญจะเกิดขึ้นได้ง่าย เมื่อมีบุญแล้ว คุณอุทิศให้กับผู้ล่วงลับ หากผู้ล่วงลับมีโอกาสมาอนุโมทนาบุญเขาก็ได้รับ ความมากน้อยของทรัพย์ที่บริจาคไม่สำคัญเท่ากับความบริสุทธิ์ของใจของผู้ บริจาคทรัพย์ หากบริจาคแล้วเกิดปีติมากก็ได้บุญมาก ลองไปอ่านเรื่องของหญิงชราผู้ยากจนทำบุญโดยเอาน้ำผักดองใส่บาตรพระมหากัสสปะ แล้วเกิดปีติมากเมื่อตายลาโลกไปแล้ว ได้ไปเกิดเป็นเทพนารีอยู่ในสวรรค์ชั้นสูงสุดเลยทีเดียวเชียว

2. ถ้าสมมุติว่าคนรวยทำบุญ 50,000 บาท กับคนปานกลางทำบุญ 50,000 บาทเท่ากัน ความปิติเท่ากันผลบุญจะต่างกันมั้ยครับ
คือว่ากระผมสงสัยว่าคนรวยคงไม่คิดมากเพราะเงินแค่นี้ขนหน้าแข้งคงไม่ร่วง แต่คนปานกลางนี้สิคับน่าจะเยอะนะครับกว่าจะเก็บเงินได้ขนาดนี้

คำตอบ
สมมุตว่าคนรวยและคนจนให้ทรัพย์จำนวนเท่ากันบริจาคเป็นทาน เมื่อให้แล้วเกิดปีติเท่ากัน เป็นสมมุติที่เป็นจริงไม่ได้ จึงไม่ขอตอบ

3. ขณะที่กระผมนั่งสมาธิอยู่พอเกิดความสุขกายสบายใจ ตัวจะเบาสบายหายใจเข้าจะโล่งโปร่งเบาสบายกระผมมักจะน้อมเอาพ่อมานั่งที่ตัว ผมด้วย คือนึกว่าท่านมานั่งที่ร่างของเราเป็นนิมิตพ่อในท่านั่งสมาธิทำแบบนี้ ท่านจะมีได้รับผลบุญจากการที่กระผมได้ปฎิบัติธรรมมั้ยครับ

คำตอบ

หนึ่งในบุญกิริยาวัตถุ 10 ไม่มีข้อไหนเลยที่บ่งบอกถึงการกำหนดเอาบุพพการี ที่ตายไปแล้วมาเป็นรูปนิมิตนั่งสมาธิ แล้วผู้ล่วงลับจะได้บุญโดยวิธีการเช่นนี้ ฉะนั้นหากประสงค์จะให้ผู้ตายได้บุญ คุณต้องทำบุญแล้วอุทิศบุญให้ผู้ตายและผู้ตายต้องมาอนุโมทนาบุญ อย่างนี้ผู้ตายได้รับบุญแน่นอน

4. ผมสงสัยว่าบุญคือความสุขใช่มั้ยครับเพราะเวลานั่งสมาธิแล้วผมรู้สึกว่าพอใจ นิ่งดีแล้วก็เกิดความสุขลมหายใจเข้าออกมันช่างละเอียดอ่อนมาก ความเบาความสบายเหมือนปลอดกังวลเป็นที่ๆอยากจะอยู่แบบนี้นานๆ สมาธิสามารถชำระล้างใจให้กลัวบาปได้และทำให้ผมเป็นคนขี้สงสารคนมากเวลาทำบุญ ผมมักจะมีความปิติใจมากครับ ผมจึงคิดว่าบุญคือความสุขใช่มั๊ยครับ
สุดท้ายขอขอบคุณท่านอาจารย์ ดร.สนอง และทีมงานที่ช่วยตอบคำถามได้รวดเร็วมากเลยครับ

คำตอบ
คำว่าบุญมีความหมายหลายอย่าง แปลว่าความสุขก็ได้และหากเมื่อใดจิตมีสติเพิ่มขึ้น ความตั้งมั่นของจิตที่เรียกว่าสมาธิก็จะเกิดขึ้น กำลังของสมาธิไม่สามารถชำระล้างใจให้สะอาดปราศจากมลทินได้ ต้องใช้ปัญญาญาณล้างมลทิน(กิเลส) ที่สะสมอยู่ในใจจึงจะสะอาดได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 17 พ.ค. 2010, 17:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หนูกับแฟนคบกันมาหลายปีและวางอนาคตจะแต่งงานกัน แต่แฟนหนูแอบไปมีความสัมพันธ์และคบกับผู้หญิงคนอื่น(2-3 เดือน) แต่ก็ให้อภัยเขาทั้งสองคนเพราะคิดว่ามันเป็นกรรมของหนูหรือที่เรา 3 คนเคยทำร่วมกันในอดีตชาติ ซึ่งหนูให้อภัยด้วยจิตที่เมตตา และสวดมนต์เจริญภาวนาแผ่เมตตาให้เขาทั้งสอง

1.หนูทำเช่นนี้แล้ว จะสามารถตัดกรรมหนูกับผู้หญิงได้หรือเปล่าค่ะเพื่อที่จะไม่ต้องเป็นเจ้าเวร นายกรรมกันต่อในชาติหน้า เพราะแฟนหนูเขาขอโอกาสและกลับมาคบกับหนูเหมือนเดิม

คำตอบ
ปัญหาต้องแก้ด้วยปัญญาที่เห็นถูกตรง ปัญหาจึงจะหมดไปได้ การที่คุณให้อภัยคนอื่น ทำให้เกิดเป็นความเมตตาขึ้นในใจของคุณ อานิสงส์ของเมตตาไม่สามารถตัดเวรตัดกรรมได้ แต่สามารถป้องกันอันตรายจากไฟ ศาสตราวุธและยาพิษ ไม่ให้กร้ำกรายผู้มีเมตตาได้

2. แบบนี้ถือว่าแฟนหนูกับผู้หญิงคนนั้นผิดศีลข้อกาเมฯหรือเปล่าคะ เพราะหนูกับแฟนยังไม่ได้แต่งงาน

คำตอบ
คุณยังไม่มีสิทธิเป็นเจ้าของของผู้ชาย หากเขาทั้งสองเสพเมถุนกัน เขาไม่ได้ผิดศีลกับคุณ แต่เขาผิดศีลข้อ 3 กับพ่อแม่เพราะพ่อแม่ยังมิได้ยินยอม ยกให้เขาทั้งสองเป็นสามีภรรยากัน

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 17 พ.ค. 2010, 18:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ส.ค. 2005, 10:46
โพสต์: 12074

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


สาธุ สาธุ สาธุค่ะ...พี่ธรรมบุตร

:b48: ธรรมรักษาค่ะ :b48:


รูปภาพ


โพสต์ เมื่อ: 17 พ.ค. 2010, 20:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมได้ฟังอาจารย์บรรยายธรรมที่วัดพระธาตุทรายทองเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่าน รู้สึกมองเห็นทางสว่างอยากให้อาจารย์ช่วยแนะนำสถานที่ฝึกกรรมฐาน ผมพักอยู่จังหวัดลำปางและผมทำงานที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแม่เมาะ จะใช้เวลาในการฝึกสักกี่วัน ผมสามารถลางานได้เติมที่ประมาณ 7 วัน ผมมีปัญหาถามอาจารย์อีกอย่างหนึ่งคือการถ่ายพยาธิออกจากร่างกายจะบาปหรือไม่



คำตอบ
แนะนำให้ฝากตัวเป็นศิษย์ฝึกกรรมฐานที่วัดแพร่ธรรมาราม ใกล้สถานี้รถไฟเด่นชัย อ.เด่นชัย จ.แพร่

ส่วนเรื่องการถ่ายพยาธิ ผู้ใดทำแล้วถือว่าเป็นบาป เมื่อรู้ว่าเป็นบาป ต้องปฏิบัติตัวเองให้มีบุญมากกว่าบาปที่ทำแล้วอุทิศบุญกุศลให้กับสรรพชีวิต ที่ถูกเบียดเบียน อุทิศไปจนกว่าเวรรกรมที่ผูกกันไว้จะหมดสิ้นไป

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 17 พ.ค. 2010, 20:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดิฉันเป็นผู้หนึ่งที่ได้ฟังเทปของอาจารย์มานานแล้ว และดิฉันก็ปฎิบัติธรรมโดยการสวดมนต์ ดินจงกรม นั่ง สมาธิสม่ำเสมอ เกือบจะทุกวัน จนพบความเปลี่ยนแปลงของตัวเองมากขึ้น คือรู้จักตัวเองมากขึ้นจนไม่อยากคิดว่าตัวตนที่ แท้จริงนี่ยังไม่มี ความดีเลย เมื่อก่อนมองไม่ออก แต่ตอนนี้รู้ตัวเลยพยายามระวังแต่ก็ไม่ใช่ง่ายเลย เพียงแต่รู้สึกว่า ทุกข์กับเหตุการณ์ในชีวิต ประจำวันน้อยลง และพยาบาทน้อยลงเรื่อยๆ โกรธน้อยลง แต่ก็มีอยู่ กว่าจะรู้อย่างนี้ว่าเรานี่ทำแต่สิ่ง ไม่ดี ก็หลังจากรู้จักและสนใจ ปฎิบัติธรรม มากว่าหลายปี แต่ยิ่งทำยิ่งสงสัยกับความเปลี่ยนแปลงของตัวเอง เลยอยากรบกวน อาจารย์ช่วยไขข้อข้องใจดังนี้

1. เมื่อก่อนเห็นพวงมาลัยจะต้องซื้อมาถวายพระพุทธรูปที่บ้านถ้ามีโอกาสและ รู้สึกสุขที่ได้ถวาย แต่ตอนนี้ เห็นก็เฉยๆความรู้สึกบอกว่าไม่จำเป็นเพราะไม่ใช่สาระ ที่จะปฎิบัติ

คำตอบ
การระลึกถึงบุญคุณของพ่อแม่ แล้วทำการบูชาด้วยวัตถุ เช่น อาหาร เสื้อผ้า ยา ดอกไม้ ฯลฯ ลูกผู้ได้กระทำเช่นนี้แล้ว มงคลชีวิตจะเกิดขึ้นแก่ลูก เช่นเดียวกันการบูชาคุณของพระพุทธเจ้า ด้วยการซื้อพวงมาลัยดอกไม้ไปถวายพระพุทธรูปและยิ่งได้บูชาคุณของพระพุทธเจ้า ด้วยการนำตัวเองเข้าปฏิบัติธรรม (ปฏิบัติบูชา) นั้นได้ว่าเป็นการบูชาสูงสุด และยิ่งได้เข้าถึงปัญญาเห็นแจ้งได้เมื่อใด เมื่อนั้นแหละคุณจะเลือกทำในสิ่งที่ดีกว่า เลือกทำในสิ่งที่เป็นสาระมากกว่านั้นเอง

2. เมื่อก่อนเวลาทำบุญให้ทานจะรู้สึกสุข แต่ตอนนี้ก็ทำไปทุกครั้งที่มีโอกาสทำแต่กลับเฉยๆไม่รู้สึกปลื้มปิติ แต่อย่างไร แต่ก็ทำโดย อัตโนมัติทุกครั้งที่มีจังหวะมา เช่นถ้าไปพบตู้บริจาคทานที่ใดก็หยอดไปเรื่อยๆแต่ใจกลับเฉยๆ

คำตอบ
ทำทานด้วยใจศรัทธา และตั้งใจให้ทาน โดยไม่หวังสิ่งใดตอบแทนกลับมาสู่ตน นั่นแหละคือผู้มีจิตเป็นอิสระจากทานที่ทำ สรรพกุศลใด ๆ เมื่อได้กระทำแล้วและระลึกได้ว่าผลที่ทำลงไปเป็นความดีงามและไม่ติดในความดี นั้น เป็นการกระทำของปราชญ์ของผู้รู้จริง

3. เมื่อก่อนนั่งสมาธิจะเกิดปิติมากมายจนเคยเหมือนกับกายทิพย์หลุดมาครึ่งตัว แล้วมีเสียงบอกให้ออกมา ให้หมดตัวแต่กลัว (ตั้งแต่นั้นมาเลยเชื่อว่าเราไม่ได้มีแค่ชาติเดียว) ตอนนี้เวลานั่งจะมีปริศนาธรรมมากมายผุดมา เช่น ตา หู จมูก ลิ้นกายใจ บางครั้งก็พิจารณาตาม บางครั้งเหมือนนิ่งมากแต่ไม่เกิดอะไรนอกจาก จะเบาตัวและเริ่มส่องร่างเป็นจุดๆ แต่พอจะไปลึก ก็จะมีเสียงท่องพุทธะ พุทธาทำให้รู้ว่าต้องลืม ตา เหมือนการนอนชั่วครู่ตอนเช้าในรถ พอเสียงนี้มาก็จะลืมตาก็ได้เวลาต้องไปทำงานทุกที ไม่ ทราบเพราะอะไร

คำตอบ
เพราะจิตมีความตั้งมั่นเป็นสมาธิ จนเป็นปรกตินั่นแหละ ความเที่ยงตรง ( biologieal clock ) ในการระลึกถึงหน้าที่ที่จะต้องทำจึงเกิดขึ้นอย่างทันเวลา รักษากำลังใจเช่นนี้ให้คงอยู่แล้วจะดีเอง

4. ไม่รู้ว่าเป็นอะไรเวลาพูดและทำไปอะไรไปแล้วจะมีความรู้สึกเหมือนมาสรุปว่า เราทำไม่ดีหรือดีไปกี่อย่างในวันนี้ หรือเราทำไมถึงสร้าง สิ่งไม่ดีฝังในจิตอีกแล้ว


คำตอบ
กำลังของสติที่มีอยู่ระดับหนึ่ง เป็นเหตุให้ระลึกรู้ในสิ่งที่ได้ทำไปแล้วทั้งดีและไม่ดี ควรเจริญพละธรรม 5 ให้ยิ่ง ๆ ขึ้นเพื่อสติและปัญญาจะได้มีพลังมากขึ้น แล้วเมื่อนั้นการกระทำที่เกิดขึ้นจะมีแต่สิ่งดีงามล้วน ๆ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 17 พ.ค. 2010, 20:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1. ทำอย่างไรจึงจะสามารถปฏิบัติธรรมได้ด้วยดีคะ เพราะคุณแม่ไม่อนุโมทนากับดิฉันค่ะ

คำตอบ
คุณแม่ไม่อนุโมทนาก็เป็นเรื่องของคุณแม่ท่านก็ไม่ได้บุญในส่วน นี้ (อนุโมทนาบุญ) ส่วนคุณลูกเมื่อไปปฏิบัติธรรมคุณลูกก็ได้บุญในส่วนของภาวนาบุญ (อานิสงส์มากกว่า) ใครทำบุญส่วนไหนผู้ทำก็ได้บุญส่วนนั้น บุญเป็นของเฉพาะตน (ปัจจัตตัง) ไม่ข้องเกี่ยวกัน

2. สับสนในจิตใจมาก เพราะปัญหาครอบครัวเยอะค่ะ พี่ชายพี่สะใภ้จ้องจะฮุบสมบัติ แม่ก็ไม่เป็นที่พึ่ง ตัวเองก็ปกิบัติธรรมไม่เข้าขั้น ควรทำตัวอย่างไรดีคะ


คำตอบ

ตัณหาเป็นต้นเหตุให้เกิดทุกข์ (สมุทัย) ถ้าวางตัณหาลงได้ ทุกข์ทั้งหลายที่พี่ชายพี่สะใภ้รวมถึงคุณแม่ กำลังแสดงให้คุณดูนั้นจะหมดไปสิ้นเชิง เหตุที่คุณวางความอยากลงไม่ได้ เพราะคุณมีความเห็นผิด ทำใจให้นิ่งแล้วดูให้ออกสิว่า สมบัติที่พี่ชายพี่สะใภ้จ้องจะฮุบนั้น ล้วนเป็นสมบัติกำพร้า ครอบครองได้ไม่นานดอก ดีไม่ดีมันหนีไปจากเจ้าของ ด้วยถูกขโมย ถูกโกง ถูกน้ำพัดพาหายไปถูกไฟมอดไหม้ไป หรือแม้ที่สุดผู้ครอบครอง ก็ต้องตายจากไปโดยทิ้งสมบัติกำพร้าไว้กับโลก เอาติดตัวไปไม่ได้สักอย่าง แต่สิ่งที่คุณได้กระทำ (ปฏิบัติธรรม) นี่สิเป็นบุญใหญ่ เป็นสมบัติที่ไม่กำพร้าสามารถติดตัวคุณไปได้เมื่อตาย ตาสว่างขึ้นสิจะได้ไม่ต้องทุกข์ใจยังไงล่ะ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 17 พ.ค. 2010, 20:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เคยได้ยินมาว่าพระอริยบุคคลขั้นโสดาบันที่เป็นฆราวาสยังมีอยู่ในปัจจุบัน ไม่ทราบจริงหรือไม่ครับ
ไม่ทราบว่าท่านระดับนั้นท่านมีอาชีพการงานเหมือนๆกับคนทั่วไปไหมครับ
คือผมสงสัยครับอยากทราบว่าท่านทำอย่างไรให้ศีลของตัวเองบริสุทธิ์ได้ในท่าม กลางสิ่งแวดล้อมในสภาพปัจจุบัน(คือผมพอจะทราบมาว่าอริยบุคคลขั้นโสดาบันมี ศีลบริสุทธิ์
จะไม่ละเมิดศีลเด็ดขาด) ผมอยากมีศีล5ที่บริสุทธิ์ทุกๆวันเลยครับ
เลยอยากให้อาจารยช่วยแนะนำอุบายว่าจะทำอย่างไรให้ตัวเองมีศีล5บริสุทธิ์ คือผมไม่ค่อยมี"ปัญญา"เท่าไหร่เลยครับ มักเจอสถานการณ์ที่ทำให้เสี่ยงต่อการผิดศีลเสมอๆ



คำตอบ
ดูวิสาขาเป็นตัวอย่าง เป็นเด็กหญิงโสดาบันตั้งแต่อายุ 7 ขวบ โตเป็นสาวแล้วแต่งงาน ยังมีลูกได้ถึง 20 คน

ในสมัยปัจจุบันหากประสงค์ความเป็นโสดาบัน ต้องเจริญวิปัสสนากรรมฐาน จนได้ปัญญาเห็นแจ้ง แล้วใช้ปัญญาเห็นแจ้ง ส่องนำทางให้กับชีวิตดับอุปาทานขันธ์ 5 ให้ได้ กำจัดกิเลสในใจ 3 ตัว (สังโยชน์ 3) ให้หมดไปความเป็นโสดาบันอยู่ไม่ไกลเกินปรารถนา

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 17 พ.ค. 2010, 20:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ได้มีโอกาสคุยกับเพื่อนๆกัลยาณมิตรและมีคนในกลุ่มถามว่า จิตอาศัยอยู่ในส่วนใดของร่างกายเรา ซึ่งก็มีคนตอบมาต่างๆกันไป บางก็ว่า ถ้าสมองเราตาย จิตเราก็ตายไปด้วย บางก็ว่า ไม่มีที่อาศัย ไม่มีที่อยู่แน่นอน แต่ก็ไม่มีใครให้คำตอบได้ที่แน่นอน แต่ตามที่ตัวเองเข้าใจคือ จิตอยู่ในตัวเราในทุกส่วนของร่างกาย อยู่ที่ว่าจิตไปรับรู้สภาวะต่าง ๆ ในร่างกาย ที่ใดนั้นก็คือ จิตอยู่ที่นั่นใช่หรือไม่ หรือเรียกว่า สติ นั้นเข้าใจถูกต้องหรือไม่ค่ะ



คำตอบ
คำว่าสัพพัญญูมีความหมายว่า ผู้รู้ทุกสิ่งทุกอย่าง สัพพัญญูเป็นคุณสมบัติของพระพุทธเจ้า ถ้าคุณเชื่อพระพุทธะคุณต้องไม่ปลงใจเชื่อตามหลักกาลามสูตร ที่พระพุทธะมอบไว้แก่ชาวโลก แล้วพัฒนาจิตตนเองจนเข้าถึงความรู้แจ้งได้เมื่อใด ก็จะรู้ว่าจิตมีหทัยวัตถุเป็นที่อยู่ประจำในร่างกาย

หากให้ความหมายของคำว่าตาย หมายถึง สิ้นใจ สิ้นชีวิต ไม่เป็นอยู่อีกต่อไป
เคลื่อนไหวไม่ได้ ฯลฯ คนที่พูดว่าเมื่อสมองตาย จิตก็ตายไปด้วยก็ถูกของผู้มีความเห็นอย่างนั้น คนที่พูดว่าเมื่อสมองตาย จิตจะทิ้งร่างแล้วไปหาร่างใหม่อยู่อาศัย ก็ถูกของผู้มีความเป็นอย่างนั้น คนที่พูดว่าตราบใดที่ร่างกายไม่อยู่ในสภาพให้จิตใช้ทำงานได้ จิตจะทิ้งร่างนี้แล้วไปหาร่างใหม่อยู่อาศัย ฯลฯ ต่าง ๆ เหล่านี้พระพุทธะมิให้ปลงใจเชื่อตามหลักกาลามสูตร แล้วจะทำยังไงดีล่ะ พิสูจน์สิ พัฒนาจิตเข้าถึงปัญญาสูงสุด แล้วเมื่อนั้นแหละแจ่มแจ้งด้วยตนเองได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1521 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 11, 12, 13, 14, 15, 16, 17 ... 102  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร