วันเวลาปัจจุบัน 24 ส.ค. 2025, 01:53  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 1521 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 13, 14, 15, 16, 17, 18, 19 ... 102  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 17 พ.ค. 2010, 21:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อยากเรียนถามว่าคนประเภทไหนคะที่เข้าจำพวกคนพาล ที่ไม่ควรอ่อนน้อมถ่อมตนด้วย
คนที่ไม่มีศีล 5 จัดเข้าประเภทคนพาลหรือไม่คะ
ด้วยความเคารพอย่างสูง

คำตอบ
คนที่ไม่มีศีล 5 คุ้มครองใจ หรือคนที่ประพฤติล่วงอกุศลกรรมบถ 10 จัดเป็นคนพาล (อันธพาล) ที่ไม่ควรอ่อนน้อมถ่อมตน หากจำเป็นต้องปฏิสัมพันธ์กับคนประเภทนี้ ควรมีปฏิสัมพันธ์เฉพาะเรื่องที่เป็นสาระ ตรงไปตรงมา และมีปฏิสัมพันธ์เท่าที่จำเป็น

ยังมีคนพาลอีกประเภทหนึ่ง เป็นผู้มีความประพฤติดี มีกาย วาจา เรียบร้อย แต่ใจยังตกเป็นทาสของความโลภ ความโกรธ ความหลง ยังมีปัญญาอ่อน ไม่สามารถปกป้องใจให้เป็นอิสระจากกิเลส ตัณหา อุปาทานได้ ในสายตาของคนทั่วไป คนประเภทนี้ถือว่าเป็นคนดีแต่ในสายตาของผู้เข้าถึงธรรม เรียกคนประเภทนี้ว่า “ กัลยาณพาล ” หากคนใกล้ชิด มีโอกาสนำชีวิตสู่ความวิบัติได้

ของแถม โทษของการคบคนพาล

๑. ทำให้ขาดจากประโยชน์ตนประโยชน์ผู้อื่น

๒. ขาดจากประโยชน์โลกนี้ ขาดจากประโยชน์โลกหน้า

๓. ทำให้ประพฤติทุจริตทางกาย วาจา ใจ

๔. ทำให้เสียชื่อเสียง

๕. ไม่มีคนนับถือ

๖. ทำให้คนเกลียด ไม่อยากคบหาสมาคมด้วย

๗. หมดความเป็นสิริมงคล

๘. ทำลายตระกูลตัวเอง

๙. ตายแล้วมีโอกาสลงไปเกิดเป็นสัตว์ในอบายภูมิได้ง่าย

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 17 พ.ค. 2010, 21:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ครั้งหนึ่งอาจารย์เคยกล่าวในการบรรยายธรรมว่า การมีอาชีพเป็นหมอรักษาคนไข้เป็นการผิดธรรม เพราะผู้ที่เจ็บไข้ได้ป่วยเป็นเพราะมีคู่เวรมาทวงหนี้ แต่หมอไปรักษาคนไข้ คู่เวรเลยเบนมาเล่นงานหมอ นี่คือผิดธรรม

กราบเรียนถามว่าการที่ได้บริจาคเลือดเพื่อช่วยชีวิตคน หรือการบริจาคเงินช่วยเหลือคนยากคนจน จะเป็นการผิดธรรมไหมค่ะ คู่เวรของผู้ที่เราให้การช่วยเหลือจะเบนมาเล่นงานเราได้หรือเปล่าค่ะ แล้วควรจะป้องกันตัวได้อย่างไรค่ะ


คำตอบ
การบริจาคเลือดเป็นทานระดับอุปบารมี มีอานิสงส์มากกว่าการให้ทานในระดับธรรมดา การบริจาคเงินช่วยเหลือผู้ยากไร้ก็เป็นทานเมื่อทำสำเร็จแล้ว จะเกิดเป็นบุญสั่งสมอยู่ในจิตใจ เมื่อใดที่ผู้บริจาคมีบุญต้องอุทิศบุญ (เป็นหนึ่งในบุญกิริยาวัตถุ 10)ให้กับเจ้ากรรมนายเวรของตัวเองเวรกรรมจะได้ติดตามไม่ทัน เพราะเจ้ากรรมนายเวรบางรายได้รับการชดใช้แล้วด้วยบุญที่อุทิศให้ อนึ่งบุญที่ทำยังมีเหลืออยู่มากกว่าบาป ชีวิตจะอยู่ได้อย่างเป็นทุกข์ไม่มากไง

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 17 พ.ค. 2010, 21:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดิฉัน ได้ทำเวรกรรมในชาติปัจจุบันมาก ทำให้ตอนนี้ได้รับผลของกรรมที่ได้ทำมา ตอนนี้ตกงานมาหลายปีแล้ว สามี ก็ทิ้งลูกสาวตั้งแต่อายุ ได้เดือนเศษๆ ปัจจุบันก็ได้อาศัยคุณแม่ช่วยท่านขายเนื้อสัตว์ใหญ่อยู่กับบ้าน พร้อมทั้งขาย หมูปิ้ง ประทังชีวิตไปวันๆ ชีวิตของดิฉันไม่เจริญขึ้นบางเลย ก็เลยหลบไปปฎิบัติวิปัสนากรรมฐานที่วัดทุ่งบ่อแป้น จน กระทั่งได้พบ ดร.สนอง ที่วัดทุ่งบ่อแป้น อยากจะรบกวนเรียนถามท่าน ดังนี้คะ

หนูอยากมีงานทำค่ะ สมัครงานหลายปีแล้ว แต่ไม่เคยได้สักครั้งเลยคะ ตอนนี้อายุก็ 32 ปีแล้วคะ อยากมีเงินเลี้ยงลูก และแม่ สงสารทุกคนใจแทบขาดในเวลาที่เห็น แม่ทำงานลำบาก ป่วยก็บ่อย และเวลาที่ลูกสาวอยากได้สิ่งของ แล้วไม่ได้ หนูควรทำบุญในด้านใดดีคะ เจ้ากรรมนายเวรของหนูท่านจะได้อโหสิกรรมให้หนูบ้าง หนูไปปฏิบัติที่วัด มา 3 ครั้งแล้วคะ



คำตอบ
แนะนำให้รักษาศีล 5 ให้มีอยู่กับใจให้ได้ทุกขณะที่ตื่น เลิกประกอบอาชีพเบียดเบียนที่ทำอยู่ หันไปประกอบอาชีพที่ไม่เบียดเบียนแทนอาชีพปัจจุบัน ทำบุญอยู่เสมอ (ดูบุญกิริยาวัตถุ 10) และอุทิศบุญให้แก่เจ้ากรรมนายเวรปฏิบัติให้ได้อย่างที่แนะนำไปเรื่อย ๆ เมื่อใดที่อกุศลวิบากลดลงชีวิตดีขึ้นแน่นอน

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 17 พ.ค. 2010, 21:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมมีความสงสัยอันเกิดจากการได้อ่านหนังสือธรรมะ หลายๆเล่มที่ได้กล่าวถึงการอาบัติของพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา ซึ่งเกิดจากสาเหตุแตกต่างกันไป ผมจึงใคร่เรียนถามท่านอาจารย์สนองว่า อาบัตินั้นมีกี่ประเภท และแต่ละประเภทมีสาเหตุจากอะไรบ้าง ทั้งนี้คำตอบจะเป็นไปเพื่อความกระจ่างชัดในการศึกษาธรรมของกระผมผู้มีความ รู้น้อยนี้และสหธรรมมิกทุกท่านในกาลต่อไป


คำตอบ
คำว่าอาบัติหมายถึงการล่วงละเมิด หรือโทษที่เกิดกับสงฆ์ผู้ล่วงละเมิดสิกขาบท ถามไปว่ามีกี่ประเภท ต้องขออภัยที่มิได้ศึกษามาทางด้านปริยัติจึงไม่รู้และไม่ขอตอบ เหตุเพราะผู้ตอบปัญหาเป็นฆราวาสที่มีพฤติกรรม คิด พูด ทำดี อยู่ทุกขณะตื่น คำว่าดีหมายถึง ไม่ผิดกฎหมาย ไม่ผิดศีล ไม่ผิดธรรม ก็น่าจะเพียงพอแล้วสำหรับการเป็นฆราวาส จึงไม่อยากไปรู้มากให้รกสมอง

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 17 พ.ค. 2010, 21:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดิฉันมีคำถามอยากให้ท่านช่วยตอบเพื่อจะได้แก้ไขและนำไปปฏิบัติให้ถูกต้อง ต่อไป

เรื่องก็มีอยู่ว่า แม่สามีของดิฉันเธอบอกว่าเธอเห็นผีอยู่ในบ้าน คอยตามเธอจนเธอไม่กล้าอยู่คนเดียว เธอบอก ว่า ถ้ามีคนอยู่ด้วยผีจะไม่มาให้เห็น เธอพยายามแก้โดยการทำบุญใส่บาตร ทั้งธรรมดา และ 9 ทิศ แล้วแต่ใคร จะแนะนำ แต่ก็ยังเห็นผีอยู่ พาแม่ไปหาหมอๆ บอกว่าเธอเป็นโรคจิต+ความชรา จึงคิดไปเอง

ท่านอาจารย์คะ จะทำอย่างไรจึงช่วยเธอได้ เธอเป็นคนแก่คนจีน อายุ 77 ปี อ่านหนังสือไทยไม่ออก สวดมนต์ แบบไทยไม่เป็น แต่เธอเป็นคนศรัทธาในพระ เธอสวดมนต์แบบจีนทุกวัน ทานเจทุกวันพระจีน

ลูกๆ บอกว่าเธอเป็นโรคจิต ไม่มีหรอกผี เห็นผีหลายตัว เป็นประจำ

ท่านอาจารย์จะวินิจฉัยโรคนี้อย่างไรคะ



คำตอบ
เป็นเรื่องธรรมของผู้ที่มีอายุมาก จิตมีความตั้งมั่นเป็นสมาธิมากว่าหนุ่มสาว ดังนั้นโอกาสเห็นรูปนามในมิติที่เป็นทิพย์จึงมีได้เป็นได้ ความกลัวเกิดจากความรู้ไม่จริง กลัวผีเพราะรู้ไม่จริงเรื่องผี ถ้ารู้จริงแล้วไม่กลัว ผีเป็นรูปนามในอีกมิติหนึ่งเป็นมิติที่ละเอียด เขาก็เป็นเหมือนเรานั่นแหละ เป็นรูปนามที่ยังต้องมีตายมีเกิดอยู่ในวัฎสงสารเช่นเดียวกับมนุษย์ เมื่อเห็นแล้วควรอุทิศบุญกุศลให้กับผีโดยกล่าวคำว่า “ จงมีความสุขเถิด อย่างมีเวรภัยต่อกันเลย ” ทำอย่างนี้เรื่อย ไปทุกครั้งที่เห็นเขา เมื่ออุทิศบุญให้ผีแล้ว แม่สามีจะได้มีเพื่อนต่างมิตินั่นไง เขามิได้มาทำร้ายอะไรหรอก เขาเพียงปรากฏให้เห็นเพราะต้องการบุญจากผู้สูงอายุหากแม่สามีเป็นคนมีเมตตา จะแผ่เมตตาให้กับผีก็ยังได้ โดยกล่าวคำว่า “ จงเป็นสุข ๆ เถิด ” ไม่เห็นต้องกลัวอะไร เป็นเรื่องปกติธรรมดาของผู้มีบุญนั่นเอง

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 17 พ.ค. 2010, 21:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เคยได้ยินมาว่า คนที่ชาตินี้ต้องถูกไฟคลอกตาย เป็นเพราะกรรมเก่า และชาติต่อๆไปจะต้องตายแบบนี้อีก อยากถามอาจารย์ว่าทำอย่างไรจึงจะช่วยให้เค้าเหล่านี้พ้นวงจรแห่งกรรมนี้ได้ เพราะทุกวันนี้พยายามทำสังฆทานและตักบาตรไปให้เสมอ


คำตอบ
การทำสังฆทาน ตักบาตรแล้วอุทิศบุญให้ผู้ตายหากผู้ตายอยู่ในฐานะที่จะมาอนุโมทนาบุญได้ ผู้ตายก็จะได้รับบุญที่คุณอุทิศไปให้ซึ่งจะทำให้มีบุญเพิ่มขึ้นพร้อมกับความ ทุกข์บรรเทาลง

ผู้ที่ตายไปแล้วจะพ้นจากวงจรแห่งอกุศลกรรมนี้ได้ก็ต่อ เมื่อได้ชดใช้หนี้เวรกรรมได้หมดสิ้นแล้วนั่นแหละ ทำไมคุณไม่ทำบุญใหญ่ด้วยการนำตัวเองเข้าปฏิบัติจิตตภาวนา เมื่อทำแล้วก็อุทิศบุญให้กับเจ้ากรรมนายเวรของผู้ที่ตายไปแล้วล่ะ โอกาสที่ผู้ตายจะพ้นไปจากวงจรอกุศลกรรมนี้จะได้สั้นเข้า

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 17 พ.ค. 2010, 21:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


มีความสงสัยค่ะว่า ทำไมคนต่างชาติที่เป็นมหาเศรษฐีเขาทำบุญด้วยอะไร ถึงมีอานิสงส์มากทำให้มีเงินมากกว่ามหาเศรษฐีที่เป็นคนไทยเหลือเกิน ทั้งๆ ที่เขาก็ไม่ได้เป็นชาวพุทธ และก็ไม่น่าจะได้ปฏิบัติกรรมฐานนะคะ


คำตอบ
มหาเศรษฐีต่างชาติ ทำบุญด้วยการให้การสละ การบริจาคทรัพย์เป็นทาน เมื่อเหตุที่ทำให้ผลตอบแทนกลับมาจึงมีทรัพย์มาก ให้ทรัพย์กับคนที่มีคุณธรรมสูงมีอานิสงส์มาก ให้ทรัพย์กับคนหมู่มากมีอานิสงส์มาก พิสูจน์ด้วยตนเองสิ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 17 พ.ค. 2010, 21:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กระผมมีพี่น้อง 3 คนกระผมเป็นคนสุดท้องพี่ทั้ง สองของผมมีครอบครัวแยกบ้านเรียนร้อยแล้ว พี่คนโตมาเยี่ยมแม่บ้างก็คือเอาลูกเขามาให้เลี้ยงไม่งั้นก้อไม่มาหาเลย
ส่วนพี่คนที่สองไม่มาหาเลย มีแต่แม่ผมไปหา...... พ่อของกระผมเสียแล้วตอนนี้กระผมอาศัยอยู่กับแม่ 2 คน ตอนนี้ผมอายุ 28 ปี ผมรักชอบกับผู้หญิงคนนึงแต่แม่กระผมไม่ยอมรับเธอเพราะว่าเราต่างเชื้อชาติ กัน (กระผมเป็นไทยมีเชื้อสายอินเดียนะครับ)ส่วนเธอเป็นไทยเชื้อสายจีน...และเธอ ก้ออายุมากกว่าผม 4 ป
ี เราคบกันมา 7-8 ปีแล้ว ตอนแรกผมก้อคิดว่าใช้เวลาเป็นตัวแก้ปัญหาแต่เวลาก้อผ่านมานานพอสมควรแล้วแม่ ผมก้อไม่รับเธอสักที ผมกับแม่ไม่เคยเคย คุยรื่องแฟนผมสักที เพราะว่าพูดทีไรแม่ผมก้อโมโห ไล่ผมออกไปอยู่กับเธอทุกทีเลย มันทำให้แม่ผมเสียใจผมก้อเลยไม่พูดถึง...แต่ตอนนี้อายุผมก้อเริ่มเยอะขึ้น ทุกที ... (แม่ผม เป็นคนดีมากนะครับสวดมนต์ไหว้พระมาตลอดชีวิตของเธอเลย )

ผมก็ต้องวิ่งไปวิ่งมา ผมเหนื่อยมากๆ ไม่รู้จะไปพูดกับใครดี แฟนผมก็เข้าใจดีแหละก็ไม่ได้ว่าอะไร มันทำให้ผมเครียดมาก ประสิทธิ์ภาพในการทำงานลดลงเพราะความเครียดตอนนี้ทำให้ผมเป็นคนอ่อนแอมาก (ปกติผมมีอาชีพเล่นหุ้น) ก็เครียดอยู่แล้ว
เวลาสั่งงานลูกน้องไม่ได้ดั่งใจก็เครียดอีก กลับมาบ้านก็มีเรื่องกลุ้มใจอีก ตอนนี้ผมไม่รู้จะทำยังไงดี ถ้าออกไปอยู่ข้างนอกแม่ผมก็อยู่คนเดียว ก็เป็นลูกทรพีอีก ส่วนอยู่อย่างนี้ไปเรื่อยๆๆ ผมกับแฟนก็อายุมากขึ้นทุกที (แฟนผมก็ไม่ได้มีอาชีพอะไรเธออยู่กับแม่เธอส่วนค่าใช้จ่ายทั้งหมดผมรับผิด ชอบให้) เธอเป็นคนดีมาก สวดมนต์ไหว้พระทุกวัน นั่งสมาธิด้วย
เธอแนะนำให้ผมฟัง cd อาจารย์ แหละเธอเคยพาผมไปกราบอาจารย์ด้วย (ที่ รร. เตรียมอุดม) วันนั้นอาจารย์มาบรรยายเรื่อง กินดูอยู่ แบบวิธีพุทธ ...

ตอนนี้พูดตามตรงกระผมไม่ค่อยจะมีสติเท่าไหร่ ปกติกระผมจะเป็นคนหัวไวฉลาดตอนนี้ผมโง่ลงไปเยอะมาก ถ้าให้ผมทิ้งแม่ไปอยู่กับเธอ จิตใต้สำนึกของผมบอกว่าทำไม่ได้ ให้ผมทิ้งเธอแล้ว เป็นลูกที่ดีแต่งงานกับคนที่แม่ผมหาให้ (ผมก้อเหมือนติดคุกไปตลอดชีวิตเลย)



คำตอบ
ในบรรดาพี่น้องทั้งสาม คุณเป็นคนโชคดีทีสุด ที่มีโอกาสได้เลี้ยงคุณแม่ ช่วยแม่ทำงาน ฯลฯ รักษาคุณธรรมนี้ไว้ให้ได้แล้วชีวิตของคุณจะไม่ตกต่ำ

ในอินเดียสมัยพุทธกาลคนที่อยู่ต่างวรรณะกัน แต่งงานอยู่เป็นครอบครัวเดียวกัน ลูกที่เกิดมาถูกคนในสังคมที่มีปัญญาเห็นผิด สมมุติว่าเป็นลูกจัณฑาล แม่ของคุณคงมีความเชื่อแบบนั้นจึงไม่อยากได้หลานที่เกิดจากพ่อแม่ต่างเชื้อ ชาติกัน ซึ่งในสายญาติของแม่คงไม่ยอมรับ
และจะเป็นการสร้างความลำบากใจให้กับแม่ของคุณก็ได้นะ

ในกรณีนี้แม่มีความเห็นถูก แม่จะไม่ทุกข์ใจและจะไม่กีดกันคุณถ้าคุณมีความเห็นถูก คุณจะไม่ทุกข์ใจที่จะอยู่กินกับคนต่างเชื้อชาติ และเช่นเดียวกัน ไม่ถือว่าเป็นการเนรคุณไม่ถือว่าเป็นลูกทรพี ในกรณีที่คุณไม่เชื่อฟังแม่ เหตุเพราะท่านมีความเห็นผิดต่างหากล่ะ ฉะนั้นชีวิตเป็นของคุณคุณต้องเลือกทางเดินชีวิตให้กับตัวเอง แต่ที่สำคัญจริยธรรมของการเป็นลูกที่ดีคุณต้องไม่ละทิ้งดูตัวอย่างของพระสา รีบุตร จากแม่ไปบวชเป็นพระสงฆ์ในพุทธศาสนา ไม่ได้เลี้ยงดูแม่ ไม่ได้ปรนนิบัติแม่ด้วยตัวท่านเองแต่ให้หลานและบริวารทำแทนยังสามารถพัฒนาตน เองให้เข้าถึงความดีสูงสุดได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 17 พ.ค. 2010, 21:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อยากทราบว่า การที่เราสนใจธรรมะ ศึกษาธรรมะ เพื่อเป็นแนวทางแห่งการนำไปปฏับัติ ทั้งเพื่อการดำรงค์ชีวิตในปัจจุบัน และเป็นเสบียงให้กับตัวเองในภพชาติต่อไป การที่เราไม่มีโอกาสสนทนาธรรมกับพระ แต่เราค้นคว้าจากการอ่าน การฟังจากท่านผู้รู้ต่างๆ หรือหลวงพ่อต่างๆที่มีให้อ่านให้ฟังในแว็ปไซน์มากมาย บางครั้งหากเราอ่านก็ดี เราฟังก็ดี แล้วเรานำมาพิจารณาแล้วเห็นว่า เอ..เราเคยอ่านเจอหรือได้ฟังหลวงพ่อหลายๆองค์หรือ(จากท่านอาจารย์ดร.สนอง) และท่านผู้รู้อื่นๆ ท่านบอกว่า อย่าเชื่ออะไรโดยปราศจากเหตุและผล การที่เราเครีอบแคลงสงสัย ในตัวพระหรือนักบวชบางองค์ แม่ชีบางท่าน ว่าท่านสอนบิดเบือนจากคำสอนของพระพุทธะ ยกตัวอย่างเช่น พระบางองค์อวดอุตริ หรือชีบางท่าน รู้ เรื่องญาณ และอื่นๆ การที่เราเครือบแคลงสงสัย การปฏิบัติของท่านเหล่านั้น จะถือว่าเราผิดหรือไม่ เพราะเราต้องการที่จะเรียนรู้และศึกษาธรรมะและนำไปปฏิบัติอย่างถูกต้องจริงๆ การเชื่อโดยปราศจากเหตุผลเรียกว่างมงายใช่หรือไม่



คำตอบ
หากบุคคลยังมีความเคลือบแคลงสงสัยใดๆ ก็แสดงว่ายังเข้าไม่ถึง ปัญญาสูงสุดที่จะก้าวล่วงไปจากความเป็นปุถุชน

นักบวชบางองค์แสดงอวดอุตริมนุษยธรรม ก็เป็นเครื่องบ่งชี้ได้ว่านักบวชองค์นั้น ไม่ประพฤติปฏิบัติตามวินัยสงฆ์ที่พระพุทธะได้บัญญัติไว้ยังไม่เรียกว่าเป็น พระแต่เรียกว่าเป็นสมมุติสงฆ์

คำว่าญาณหมายถึงปรีชาหยั่งรู้ เป็นความรู้ขั้นสูงที่เกิดจากการทำจิตตภาวนา ที่บอกว่า “ ชี ” บางท่านรู้เรื่องญาณ การรู้เรื่องญาณเกิดได้จากการฟังการอ่าน ส่วนการมีญาณเป็นการปฏิบัติจิตตภาวนาแล้วเข้าถึงด้วยตนเอง ฉะนั้นคนรู้เรื่องญาณกับคนมีญาณหยั่งรู้สิ่งต่างๆ ที่อยู่นอกเหนือประสาทสัมผัสจึงต่างกัน ถามไปว่าจะผิดหรือไม่ที่คุณไปเคลือบแคลงสงสัยการปฏิบัติของผู้อื่น เรื่องนี้ถ้ามองในมุมมองของผู้ถามแล้ว “ ไม่ผิด ” แต่ถ้ามองในมุมมองของผู้ปฏิบัติจนเข้าถึงญาณได้แล้วถือว่า “ ผิด ”

ส่วนเรื่องการเชื่อโดยปราศจากเหตุผล ถือว่าเป็นความเชื่อที่งมงายไม่เป็นความจริง ต้องถามต่อไปว่า คุณใช้เหตุผลระดับไหนในการตัดสินว่าจริงหรือไม่จริง ถ้าใช้เหตุผลระดับประสาทสัมผัสก็ต้องบอกว่าแมลง “ หิ่งห้อย ” มีจริง ถ้าใช้เหตุผลระดับเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์สัมผัสก็ต้องบอกว่า “ ไวรัสหวัดนก ” มีจริง ถ้าใช้เหตุผลระดับจิตสัมผัสก็ต้องบอกว่า “ เทวดา ” มีจริง คุณในฐานะผู้ถามล่ะ เข้าถึงเหตุผลได้ระดับไหน

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 17 พ.ค. 2010, 21:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมทราบมาว่าอาชีพที่พระพุทธเจ้าทรงห้ามไว้มีอยู่ 5 อาชีพคือ
1. การค้าศัสตราวุธ
2. การค้ามนุษย์
3. การเลี้ยงสัตว์เพื่อขายเพื่อฆ่า
4. การค้าขายน้ำเมา
5. การค้าขายยาพิษ

ต่อมาผมได้อ่านเจอในหนังสือ ความสำเร็จที่มาจากพระพุทธเจ้า ได้อ้างอิงถึงพระไตรปิฎก ในพระสูตรอรรถกถา เล่มที่29 หน้าที่ 179 เรื่องตาลปุตตสูตร ว่าด้วยผู้ที่ทำงานมีอาชีพเกี่ยวกับการร้องรำทำเพลง เต้นระบำ การแสดงต่างๆ ที่ทำให้คนหัวเราะรื่นเริง ด้วยคำจริงบ้าง คำเท็จบ้าง เมื่อตายจากโลกนี้ไปจะต้องตกนรกที่ชื่อว่าปหาสะ หรือกำเนิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง เนื่องจากเป็นการทำให้คนมีความกำหนัดมาก และตั้งตนอยู่ในความประมาทขาดสติ

ผมขอกราบเรียนถามท่านอาจารย์ว่า
1. อยากให้อาจารย์ช่วยอธิบายเรื่องอาชีพต้องห้าม 5 อาชีพ กับอาชีพนักร้อง นักแสดง นั้นมีขอบเขตแค่ไหน หรือไม่ควรเข้าไปเกี่ยวข้องเลยแม้แต่นิดเดียวครับ

คำตอบ
อาชีพต้องห้ามทัง 5 มีระบุไว้ในพุทธศาสนา ผู้ใดเข้าไปข้องเกี่ยวด้วยแล้วชีวิตพบความวิบัติได้ ทั้งนี้เป็นไปตามกฎแห่งกรรมเพียงแต่ส่งอกุศลกรรมจะให้ผลเมื่อใดขึ้นอยู่กับ กรรมอื่นเข้ามามีส่วนในการให้ผลด้วย

อาชีพนักร้องนักแสดงเป็นอาชีพที่สร้างสรรค์ความหลงความ ยึดติดในกามสุขให้กับผู้ฟังผู้ชม เมื่อกรรมให้ผลจะมีอบายภูมิเป็นที่หมายหากคิดปฏิบัติธรรมและให้บังเกิดมรรค ผลก้าวหน้าควรปฏิเสธสองอาชีพนี้โดยสิ้นเชิง อนึ่งนักร้องนักแสดงบางคน เขาได้สร้างกุศลกรรมอื่น ๆ เช่นสร้างวัด สร้างโรงทาน สร้างพระพุทธรูป ทอดกฐิน ช่วยเหลือคนถูกน้ำท่วม ฯลฯ เหล่านี้ไว้ด้วย เมื่อถึงคราวที่จิตทั้งขันธ์ลาโลก กุศลกรรมที่ทำจะเป็นแรงผลักดันให้เขาไปเกิดในสุคติภพก็ได้ หากจิตดวงสุดท้ายก่อนหลุดออกจากร่างได้ระลึกถึงกรรมดีที่ทำไว้


2. หากการแสดงเป็นไปเพื่อการกุศลหรือมีเจตนาที่เป็นกุศล เช่นคอนเสริต์หรือการแสดงเพื่อการกุศลต่างๆ นั้น จะถือเป็นบาปหรือไม่ครับ

คำตอบ
การแสดงที่เป็นไปด้วยจิตกุศล ถือว่าได้บุญหากจิตตกเป็นทาสของเสียงของภาพที่เห็นก็เป็นบาป ดังนั้นเรื่องนี้จึงมีทั้งส่วนบุญ-ส่วนบาป อย่างไหนจะมากกว่ากันนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่งขึ้นอยู่กับปัจเจกบุคคล


3. เพลงธรรมะที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับธรรมะ มีเจตนาที่เป็นกุศล ต้องการให้คนสนใจธรรมะ นั้นผู้แต่งและผู้ร้อง เป็นบาปหรือไม่ครับ

คำตอบ
ผู้แต่งเมื่อได้ แต่งเพลงธรรมะแล้ว ผู้ร้องได้ร้องเพลงธรรมะแล้วมีเจตนาเป็นกุศล ผู้ฟังได้ฟังเพลงธรรมะแล้วมีจิตเป็นกุศล บุคคลทั้งสามประเภทที่กล่าวถึงนี้ถือได้ว่าเป็นผู้มีบุญสั่งสมอยู่ในจิตใจ ไม่เป็นบาป

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 17 พ.ค. 2010, 21:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หนูได้ปฏิบัติธรรมมาประมาณ 2 ปี แล้ว การปฎิบัติทำให้เราทราบว่าทุกอย่างเป็นอนิจจัง หนูไม่ต้องการเร่งรีบในการปฏิบัติ เป็นอย่างไรคืออย่างนั้น

หนูมีปัญหาคือเนื่องจากปัจจุบัน หนูพบว่าในการทำงานมีแรงบีบคั้นมากขึ้น ทำให้มีความจำเป็นต้องเรียนต่อในระดับปริญญาที่สูง ๆ(คิดว่าขอทุนจากที่ทำงานน่าจะได้ แต่ต้องผ่านเกณฑ์ภาษาอังกฤษตามเงื่อนไข ซึ่งหนูไม่ต้องการกดดันตัวเองในการมานั่งอ่านหนังสืออีก)และความจริงถ้า เลือกได้หนูไม่ต้องการ แต่อยากจะทุ่มเทในเรื่องการปฏิบัติมากขึ้น แต่เนื่องด้วยเรื่องเศรษฐกิจและต้องดูแลครอบครัวทำให้หนูยังต้องทำงานนั้น ตอนนี้หนูรู้สึกว่าเหมือนตัวเองเจอทางตันและมีทางแยกอยู่ 2 ทางให้เลือก



คำตอบ
ทางตันไม่มีสำหรับผู้รู้จริง ขณะนี้คุณยังต้องทำงานแลกเงิน เพื่อนำมาใช้เลี้ยงปากท้อง เลี้ยงชีวิต เลี้ยงครอบครัว เหล่านี้เป็นสิ่งสมมุติ ซึ่งคุณก็รู้แล้วว่า สมมุติเป็นสิ่งไม่เที่ยง (อนิจจัง) มีการเปลี่ยนแปลงตามกาลเวลา แล้วคุณยังคิดปฏิเสธสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไม่ยอมพัฒนาตัวเองให้ก้าวทันสิ่งที่ เปลี่ยนแปลง ตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่กับสมมุติแต่ต้องหาวิธีทำใจให้เป็นอิสระจากสมมุติ ให้ได้ ด้วยการพัฒนาใจให้มีกำลังกล้าแข็ง เพื่อที่จะไม่เอาใจไปรองรับความเป็นทาสของสมมุติไงล่ะ

ดังนั้นงานยังต้องทำอยู่ยังปฏิเสธไม่ได้ ยังต้องพัฒนาความรู้ทางโลกให้ก้าวทันยุคสมัยและต้องขวนขวายหาเวลาที่ปลอดจาก งาน ไปพัฒนาจิตวิญญาณตัวเอง จนมีกำลังกล้าแข็งได้เมื่อใดแล้ว จะไม่มีสิ่งใด ๆ มากดดันให้คุณต้องไม่สบายใจ ความกดดันจะไปจากใจของคุณ คุณก็พบกับความเจริญทั้งทางโลกและทางธรรม จริงแท้แน่นอน พิสูจน์ดูสิ .. คุณ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 17 พ.ค. 2010, 21:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เนื่องจากพ่อสามีได้เสียชีวิต จึงมีเรื่องสงสัยขอถามว่า คนเรา เมื่อตายแล้วกี่วันถึงจะไปจากโลกนี้ ทำไมยังมีคนเห็นวิญญาณของเขาอยู่ เมื่อเขาไปแล้ว เขาจะกลับมาให้เราเห็นอีกไหมค่ะ

คำตอบ
ถามไปว่าคนที่ตายแล้วกี่วันถึงจะไปจากโลกนี้ ตอบว่าไม่แน่นอน บางคนก็จากไปบางคนก็ยังอยู่ เช่นไปเกิดเป็นเทวดาชั้นสูง หรือไปเกิดเป็นสัตว์ในอบายภูมิชั้นต่ำ ตายแล้วก็ต้องจากโลกนี้ไป บางคนเกิดเป็นภูมิเทวดา รุกขเทวดา หรือเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานหรือเกิดเป็นสัมภเวสีก็ยังต้องอยู่กับโลกนี้ ส่วนจะอยู่นานเท่าไรขึ้นอยู่กับกรรมที่ทำก่อนตาย

คำถามที่ว่ายังมีคนเห็นวิญญาณของเขาอยู่ คำว่าวิญญาณมีความหมายได้หลายอย่าง เช่นหมายถึงความรู้แจ้งอารมณ์ ความรู้ที่เกิดขึ้นเมื่ออายตนะภายนอกเข้ากระทบอายตนะภายใน หรือหมายถึงจิตก็ได้ คนที่จะเห็นจิต (วิญญาณ) คนอื่นได้ จิตของผู้เห็นต้องเข้าถึงความเป็นฌานและได้ทิพพจักขุญาณ ที่ถามไปคงหมายถึงรูปนามที่เปลี่ยนจากรูปนามที่มีกายหยาบ ไปเป็นรูปนามที่มีกายละเอียด เช่นสัมภเวสี ซึ่งมีรูปหน้าตาเหมือนคนก่อนตาย อย่างนี้โอกาสเห็นจึงมีได้เป็นได้ ส่วนเขาจะกลับมาให้เราเห็นอีกหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับความถี่ของคลื่นจิต ถ้ามีความถี่คลื่นจิตของผู้เห็นและผู้ถูกเห็นตรงกัน คือมีความถี่เดียวกัน ก็มีโอกาสเห็นรูปนามของเขาได้ การจูนความถี่คลื่นจิตทำได้ 2 ทิศทางคือ ผู้ถูกเห็นจูนเข้าหาผู้เห็น หรือผู้เห็นจูนความถี่คลื่นจิต (ด้วยการเข้าฌาน) ไปยังผู้ถูกเห็น

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 17 พ.ค. 2010, 21:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ตอนนี้ญาติของหนูป่วยหนักค่ะ มีเลือดออกในสมองนอนอยู่ห้องซีซียูยังไม่รับรู้อะไร แต่สามารถลืมตาได้บ้างแล้วแต่ยังพูดไม่ได้ค่ะ หนูขอกราบเรียนถามอาจารย์ดังนี้ค่ะ

1.หนูควรจะทำบุญแบบไหนให้เค้าคะถึงจะช่วยผ่อนหนักเป็นเบาได้ค่ะ ตอนนี้ลูกเค้าทำสังฆทานให้ทุกวันค่ะ ลูกเค้าบอกว่าหลังจากทำบุญให้คุณแม่แล้วอาการดีขึ้น

คำตอบ
เมื่อจิตสั่ง สมองให้ลืมตาได้ – หลับตาได้ แสดงว่ายังมีการรับรู้เกิดขึ้น ฉะนั้นหนูควรทำบุญแทนคนป่วย ด้วยการให้ทาน เช่นนำอาหารไปใส่บาตรพระสงฆ์ ถวายสังฆทาน ทอดกฐิน บริจาคช่วยคนถูกน้ำท่วมหรือบวชพระ สละเลือดให้กาชาด ฯลฯ เมื่อทำแล้วต้องอุทิศบุญกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวรของคนไข้ แล้วบอกให้เขารับรู้และอนุโมทนาบุญ แม้คนป่วยพูดไม่ได้แต่เขารับรู้ได้ เขายังสามารถอนุโมทนาด้วยใจซึ่งเป็นมโนกรรมได้อยู่เมื่อทำแล้วถือว่าบุญนั้น ได้สำเร็จแก่เขาแล้ว

2.ในขณะที่เค้าไม่รู้สึกตัว(นอนหลับตา) หนูมีความสงสัยว่าดวงจิตเค้าอยู่ที่ไหนคะ เค้าต้องทรมานมั้ยคะหรือว่าเหมือนคนนอนหลับและฝันไป หนูสงสารเค้าค่ะ


คำตอบ
ดวงจิตยังคงอยู่ในร่างกายของคนป่วย คนป่วยจะมีอารมณ์เป็นทุกข์ทรมานหรือมีอารมณ์เป็นสุข ให้ดูที่ดวงตาขณะที่คนป่วยลืมตาดวงตาเป็นเหมือนหน้าต่างแห่งดวงใจนั่นไง วิบากกรรมเป็นเรื่องเฉพาะตนไม่มีใครช่วยใครได้อย่างแท้จริง ฉะนั้นคุณช่วยเหลือเท่าที่ความสามารถของคุณทำได้นั้นถูกต้องแล้ว

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 17 พ.ค. 2010, 21:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อยากทราบว่าเครื่องรางของขลังที่พระบางองค์ท่านปลุกเสกให้จะช่วยให้การ ค้าดีขึ้น มีลูกค้ามากขึ้นจริงหรือไม่คะ? และหากไม่จริง เครื่อลางของขลังที่ว่านั้น เราจะเอาไปไว้ที่ไหนดี หากเราเห็นว่า ไม่สามารถช่วยได้จริงๆ

แล้วพระหรือเมตตามหานิยมที่พระปลุกเสกนั้นมาอนุภาพมีจริงหรือปล่า วคะ? ฮวงจุ้ย นั้นตามหลักฐานพอเชื่อได้ไหมคะ? คือทำงานสุดความสามารถแล้ว ทำเต็มที่ ราคาค่าบริการก็ไม่แพง แล้วทำใมลูกค้าถึงมีน้อย ซึ่งจริงๆแล้วน่าจะมีเพิ่มขึ้นบ้าง ไม่ทราบว่าเป็นเพราะสาเหตุใด บางคนเขาก็บอกให้หานางกวักมาบูชา อยากขอความกรุณาท่านช่วยแนะนำด้วยนะคะ ว่าควรจะทำอย่างไรดี? ดิฉันเองก็รักษาศีลห้าอยู่ เงินส่วนที่ทำมาหาได้ก็แบ่งทำบุญสุนทานอยู่เสมอ แต่ทำใมกิจการถึงไม่ก้าวหน้าขึ้น



คำตอบ
ถ้าเครื่องรางของขลังช่วยให้การค้าขายดีขึ้นจริงพระพุทธะคงไม่ บัญญัติเป็นวินัยห้ามสงฆ์สาวกกระทำหรอก แต่เพราะเป็นมิจฉาทิฎฐิ ทำให้คนหลงตกเป็นทาสของวัตถุ เป็นเดรัจฉานหากผู้ใดนำจิตเข้าไปเป็นทาสของวัตถุ เรียกว่า เป็นคนหลง ไม่ทำให้พ้นทุกข์ได้แท้จริง

ฮวงจุ้ยมีจริง เป็นความสัมพันธ์ระหว่างสสารกับพลังงานหรือคือความสัมพันธ์ของเหตุปัจจัย นั่นเอง ความสัมพันธ์นี้มีทั้งสัมพันธ์กันในทางดี ทางที่เอื้อประโยชน์ให้กับมนุษย์เรียกว่า ฮวงจุ้ยดีแต่หากสัมพันธ์แล้วเกิดโทษกับมนุษย์เรียกว่า ฮวงจุ้ยไม่ดี เช่นปลูกบ้านอยู่อาศัยใกล้โรงกำจัดขยะ ปลูกบ้านอยู่อาศัยใกล้โรงทำวัตถุระเบิดไม่ดี

ถามปัญหาไปเพื่อให้ผู้ตอบปัญหาแนะนำว่า จะทำอย่างดีกิจการค้าจึงจะเจริญ เรื่องนี้ต้องขออภัยที่คนรู้ธรรมไม่สามารถแนะนำใครให้หลงยึดติดวัตถุทางโลก มีแต่จะแนะนำให้ทำจิตเป็นกุศล เมื่อเหตุปัจจัยถึงพร้อมกิจการก็จะก้าวหน้าขึ้นแน่นอน

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 17 พ.ค. 2010, 21:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ตอนนี้ตัวเองมีกรรมอยู่อย่างหนึ่งค่ะ คือจะปวดตามน่องและเข่าทั้งสองข้างทุกวัน แค่เดินนิดหน่อยก็ปวดแล้ว และถ้านั่งสมาธิก็จะปวดมากกว่าเดิม ไปพบแพทย์หลายครั้งและหลายคนทั้งแพทย์แผนไทยและจีนเขาบอกว่าไม่ให้นั่งพับขา เพราะทำให้เลือดไหลเวียนไม่สะดวก ทำให้มีความลังเลสงสัยค่ะว่าควรจะทำตามแพทย์สั่งหรือไม่ เพราะเคยอ่านหนังสือกฏแห่งกรรมของหลวงพ่อจรัญ หลายท่านก็ทนนั่งต่อความเจ็บปวดต่าง ๆ และในที่สุดเมื่อใช้กรรมนี้แล้วก็จะไม่เจ็บตรงนั้นอีก และพระอริยสงฆ์ท่านก็นั่งสมาธิทั้งนั้นไม่ใช่หรือค่ะ ถ้าตัวเองทนนั่งต่อไปจะได้ใช้กรรมส่วนนี้ อาจารย์เห็นว่าอย่างไรค่ะ เพราะใจตัวเองแล้วอยากใช้กรรมตรงนี้ให้หมดไปเพื่อจะได้หายปวด (แต่ไม่แน่ใจว่าจะหายหรือไม่) และอยากเพิ่มเวลาการนั่งสมาธิให้มาก ๆ ค่ะ



คำตอบ
คำว่า “ กรรม ” หมายถึงการกระทำ เมื่อใดที่กรรมให้ผลเรียกว่า วิบากกรรม การปวดตามน่องและเข่าเป็นอกุศลวิบาก เพียงหนึ่งอย่างในวิบากอีกหลายอย่าง หมอแนะนำไม่ให้นั่งพับขา คุณควรเชื่อและปฏิบัติตามที่หมอให้คำแนะนำ อกุศลวิบากที่น่องและเข่าจึงจะบรรเทาลง การปฏิบัติกรรมฐานทำได้ในทุกอิริยาบถ เช่น ยืน เดิน นั่ง นอน กิน ตื่น พูด ฯลฯ โดยให้มีใจจดจ่อ (สติ) อยู่กับอิริยาบถที่เกิดขึ้นเป็นปัจจุบัน หากทำได้ก็เท่ากับเป็นการฝึกจิตให้มีสติแล้วนั่งพับขาแล้วปวดที่น่องทำไม่ ไม่นั่งห้อยขาบนเก้าอี้ หรือเปลี่ยนไปใช้อิริยาบถอื่นดูบ้างล่ะ พระอริยะท่านพัฒนาจิตจนมีกำลังของสติและสัมปชัญญะกล้าแข็ง จึงสามารถกับจิตให้อยู่เหนือทุกขเวทนาที่ปุถุชนไม่สามารถทำได้ ดังนั้นขอแนะนำว่า คุณควรใช้อิริยาบถอื่นในการพัฒนาจิต จึงจะแก้ปัญหาการปวดน่องปวดเข่าได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1521 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 13, 14, 15, 16, 17, 18, 19 ... 102  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร