วันเวลาปัจจุบัน 24 ส.ค. 2025, 01:51  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 1521 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 14, 15, 16, 17, 18, 19, 20 ... 102  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 พ.ค. 2010, 21:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ตอนนี้ดิฉันมีความทุกข์มากถึงมากที่สุดเท่าที่เกิดมาตอนนี้ถือว่าหนักที่ สุด พยายามเอาธรรมมะเข้าช่วย ด้วยว่าทุกวันนี้ก็ยังไม่มีบ้านเป็นของตนเองไปไหนก็ต้องใช้เงินคือปัจจุบัน สามีไปมีหญิงอื่นไม่ส่งเสียช่วยค่าเลี้ยงดูบุตรมา1ปีตอนนี้มีกิจการก็เพิ่ง เจ้งไปไม่นานมานี้ เป็นร้านใหญ่ในห้างดังปกติเป็นคนไม่มีญาติพี่น้อง พ่อแม่เสียตั้งแต่เด็กเมื่อ15ปีที่แล้ว ตอนนี้30กว่าแล้วก็ยังไม่มีบ้านเป็นของตัวเองกำลังฟ้องหย่า เพราะไม่มีค่าเลี้ยงดู ลูกกำลังจะเปิดเทอมไม่มีค่าเทอม เคยคิดสั้นแต่ด้วยคิดว่าจะอยู่เพื่อใช่หนี้กรรมให้หมดแล้วสร้างบุญเพิ่ม

อยากถามอ.สนองว่าเท่าที่เล่ามากรรมของดิฉันมันมากใช่ไหมคะ เราต้องเคยไปทำคนอื่นมามากเขาถึงให้เราได้รับผลแบบนี้แล้ว หากเรานั่งสมาธิชดใช้กรรมได้ไหมคะ ถ้าเราไม่มีเงินทำบุญ

คำตอบ
แม้จะยังไม่มีบ้านเป็นของตัวเอง แต่ยังมีบ้านให้ซุกหัวนอนได้ก็ยังดีกว่าคนอีกจำนวนมากที่เป็นคนจรจัด นอนตามโคนไม้นอนในสวนสาธารณะ นอนใต้สะพานลอย แม้ข้างถนนก็ยังใช้เป็นที่หลับนอน ฯลฯ เรื่องนี้เป็นผลงานจากอดีตของคุณเองทำไว้ไม่ดี ผู้รู้สอนให้ยอมรับความจริง อยู่กับความจริง ชดใช้วิบากเก่าที่ทำไว้ไม่ดีให้หมดไป ที่สำคัญปัจจุบันต้องไม่สร้างกรรมใหม่ที่ไม่ดีให้เกิดขึ้น เช่น ไม่ใช้อกุศโลมายขับไล่ใครให้ต้องออกจากบ้าน ไม่พรากลูกไปจากแม่ ไม่เอาสัตว์เลี้ยงไปปล่อยให้เป็นสัตว์จรจัด ฯลฯ และต้องสร้างกรรมใหม่ที่เป็นกุศลกรมล้วน ๆ อยู่ทุกขณะตื่น หากคุณทำได้แล้วในวันข้างหน้ากุศลวิบากกลับมาให้คุณได้พบแน่นอน

ถามไปว่ามีกรรมมากไหม ต้องเข้าใจคำว่า “ กรรม ” คือการกระทำมนุษย์รวมถึงสัตว์ทำกรรมด้วยการคิด พูด ทำ คือเป็นมโนกรรม วจีกรรม กายกรรม ดังนั้นทุกคนที่ยังต้องเวียนตาย เวียนเกิดอยู่ในวัฏสงสารต่างล้วนมีกรรมมากันทุกคน เพราะภพชาติหาสิ้นสุดมิได้ มีกรรมมากจนไม่อาจประมวลออกมาเป็นจำนวนได้ ด้วยเหตุนี้คนฉลาดเขาไม่เอาใจไปจดจ่ออยู่กับเรื่องที่ผ่านไปแล้วซึ่งแก้ไข ไม่ได้ แต่เขาทำกรรมปัจจุบันให้ดีด้วยการทำตัวเองให้มีบุญ (ดูบุญกิริยาวัตถุ 10) เลือกทำในเรื่องที่ทำได้ โดยเฉพาะจิตตภาวนาเป็นบุญใหญ่ไม่ต้องใช้เงิน ทำบุญแล้วต้องอุทิศผลบุญให้เจ้ากรรมนายเวรไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะหมดหนี้เวรกรรม ตราบใดที่กุศลกรรมใหม่ให้ผลเป็นกุศลวิบากคุณก็จะเสวยแต่ความสุขความสบาย

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 พ.ค. 2010, 21:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมเป็นพวกรักเพศเดียวกันครับ(เกย์)อยากเรียนถามท่านอาจารย์ว่า
1. ผมทำกรรมอะไรมาครับจึงส่งผลให้เกิดมาเป็นพวกรักเพศเดียวกันในชาตินี้

คำตอบ
อกุศลกรรมจากอดีต เคยประพฤติละเมิดศีลข้อสาม


2. ในชาตินี้ผมจะดำเนินชีวิตอย่างไรเพื่อไม่ให้ชาติหน้าเกิดมาเป็นพวกรักเพศ เดียวกันอีก

คำตอบ
รักษาศีล 5 ให้บริสุทธิ์ตลอดชีวิตสิคุณ ไม่เห็นจะยากเลย


3. แล้วในชาตินี้ถ้าผมเพียรพยายามปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานแล้วจะสามารถหวังมรรค ผลนิพพานได้หรือไม่
(มีอาจารย์บางท่านกล่าวว่าพวกที่เป็นอย่างผมปฏิบัติธรรมอย่างมากก็ได้แค่ สวรรค์)

คำตอบ
ในชาติปัจจุบัน แม้จะพยายามปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานอย่างไร ก็ไม่อาจเข้าถึงกระแสแห่งมรรคผล นิพพานได้ เหตุเพราะยังต้องรับอกุศลวิบากอยู่ แต่ยังมีสิทธิ์เป็นสมาชิกของชาวสวรรค์ได้ หากคุณไม่ท้อถอยในการให้ทานและรักษาศีล 5 เนืองนิตย์ตลอดชีวิต เมื่อทิ้งขันธ์ลาโลกแล้วสิทธิในสวรรค์ยังเปิดรับรอคุณอยู่

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 พ.ค. 2010, 21:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดิฉันอยากทราบว่าหากการที่เราครองเรือนแล้วไปกันไม่ถึงฝั่งอยู่ด้วยกันไม่ ถึง10ปี เค้าเรียกว่าคู่ชั่วคราวแล้วจำเป็นไหมค่ะว่าคนๆนี้จะไม่สามารถเจอคู่ถาวร หรือคู่แท้ในภพชาตินี้ได้อีกแล้ว หากยังไม่ได้แก้กรรมที่จะหลุดพ้นจากการมีบ่วงกรรมเรื่องคู่ ที่อาจารย์แนะนำให้ปฎิบัติธรรมนั่งสมาธิตลอดชีวิต ซึ่งดิฉันเข้าใจว่าหากถ้าเรารู้ตัวว่าเราเจอคู่ชั่วคราวแล้วแสดงว่าเรามี กรรมเรื่องคู่หากฝืนมีใหม่เข้ามาเราก็จะเจอแต่ปัญหาเดิมๆซ้ำแล้วซ้ำเล่าใช่ ไหมคะ กราบเรียนอาจารย์ช่วยตอบให้ละเอียดด้วยค่ะเพราะตอนนี้รู้สึกไม่มั่นใจตัวเอง ในกรณีที่เรามีคนใหม่เข้ามาให้ศึกษาแต่เรากลัวจะเป็นเหมือนคู่เก่าที่ผ่านมา ทำให้ไม่รู้จะวางตัวอย่างไรถ้าเรารู้ว่าเราจะมีแต่ปัญหาเดิมๆจะได้ตัดออกไป จากชีวิตเลยเรื่องคู่นี้ค่ะ



คำตอบ
การเกิดเป็นทุกข์ การแก่เป็นทุกข์ การตายเป็นทุกข์ นอกจากนี้เมื่อเกิดมาแล้วยังมีทุกข์จะทุกข์ที่มาเยี่ยมเยือนชีวิตเป็นครั้ง คราว เช่น การเจ็บไข้ได้ป่วย ปวดหนัก ปวดเบา ความสมหวังสมปรารถนาความผิดหวังไม่ได้ดั่งใจปรารถนา ความพลัดพรากจากสิ่งที่ตนรัก ฯลฯ คุณเป็นอีกคนหนึ่งที่ยังไม่เบื่อที่จะมีความทุกข์ คิดแต่จะหาทุกข์จรมาเพิ่มให้กับชีวิตตนเอง ด้วยการมีความเห็นผิด จึงคิดผิด คิดถึงแต่เรื่องที่จะมีคู่ครอง แม้จะได้คู่ดีอย่างไร้ในที่สุดก็ต้องตายพลัดพรากจากกันไปทำให้ต้องเสียใจ เป็นทุกข์อีกแน่นอน

เว็บไซด์นี่ชี้ทางสว่างในทางปัญญา ใช้ส่องนำทางให้กับชีวิตดำเนินไปอย่างสะดวก ราบรื่นและมีความสันติสุข นอกจากความทุกข์จะลดลงแล้ว ยังได้ชี้ให้เห็นทางชีวิตที่เดินออกห่างจากความทุกข์มิได้แนะนำให้แสวงหา ทุกข์มาเพิ่มใส่ตน ผู้ตอบปัญหาได้เคยชี้ทางถูกตามธรรมให้คุณเห็นแล้ว หากคุณไม่ศรัทธา ไม่จำเป็นต้องทำตาม เพราะชีวิตเป็นของคุณ คุณต้องบริหารจัดการและเลือกทางเดินชีวิตด้วยตัวเอง ว่าจะนำพาชีวิตให้ออกห่างไปจากความทุกข์ หรือบ่ายหน้าเข้าหาความทุกข์ นั้นเป็นสิทธิของคุณเลือกเองนะครับ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 พ.ค. 2010, 21:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เนื่องด้วยตอนนี้ดิฉันกำลังจะหย่าขาดจากสามีเนื่องจากเขาไม่เลี้ยงดู ดิฉัน แล้วยังไม่รับผิดชอบบุตรกลับไปเลี้ยงดูส่งเสียหญิงอื่น ดิฉันทำใจยอมรับความจริงได้แล้วแต่มีผู้หวังดีแนะนำว่า หากไม่อยากมีปัญหาเรื่องคู่อีกให้บอกกล่าวกับสามีว่าหากชาติที่แล้วเราเคย ล่วงเกินหรือทำไม่ดีไว้กับเขา ขอให้อโหสิกรรมต่อกันด้วยโดยแนะนำว่าให้ดิฉันยกมือไหว้สามีเพื่อขออโหสิกรรม หากสามียอมพูดคำว่าอโหสิดิฉันก็จะหลุดพ้นบ่วงกรรมเรื่องคู่เลย

อยากเรียนถามอาจารย์ว่าเราจำเป็นต้องทำไหมคะ แล้วถ้าทำแล้วจะอโหสิกรรมกันได้จริงไหมเพราะรู้สึกแปลกๆ ตรงที่เขาทำผิดกับเราแท้ๆๆ แต่เรากลับต้องขอให้เขาอภัยให้เรา



คำตอบ

ตบมือข้างเดียวไม่ดังใช่ไหม ใครเขาจองเวรไว้กับคุณมันเป็นสิทธิ์ของเขา หากคุณไม่ผูกเวรไว้กับใครด้วยการให้อภัยแล้วเวรกรรมจะติดตามมาให้คุณต้องชด ใช้ได้อย่างไร

ถ้าอยากหลุดพ้นบ่วงกรรมเรื่องคู่ชั่วคราว ต้องทำตัวเองให้ไม่มีคู่ชั่วคราว ด้วยการพัฒนาจิตวิญญาณให้เข้าถึงความเป็นฌาน แล้วตายในขณะจิตทรงฌาน ไปเกิดเป็นพรหม จะหลุดพ้นจากการมีคู่ได้ยาวนานตั้งแต่ 1/3-500 มหากัปและถ้าไม่อยากมีคู่อย่างถาวร ต้องพัฒนาจิตวิญญาณให้เข้าถึงความเป็นอริยบุคคลอย่างน้อยระดับอนาคามี จะหลุดพ้นจากปัญหาดังกล่าวได้...แน่นอนและตลอดไป

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 พ.ค. 2010, 21:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมมีเรื่องอยากเรียนถามอาจารย์หน่อยครับ คือบางครั้งผมมักจะให้เมล็ดพันธ์กระบองเพชรให้บรรดานักเล่นนักเพาะกระบอง เพชรทั้งหลายที่อยากได้ไปเพาะกัน บุญผมคิดว่าได้แน่ๆส่วนหนึ่งเพราะมันเป็นทาน แล้วส่วนบาปเราจะได้หรือเปล่าครับเพราะเขาทั้งหลายอาจมัวเมาลุ่มหลงอยู่กับ มัน หรือว่าบาปหรือไม่บาปขึ้นอยู่กับจิตของผู้ให้เท่านั้นว่าสักแต่ให้หรือไม่ หรือมีเจตนาอย่างไร รบกวนขอความเห็นอาจารย์หน่อยครับ เพราะเรื่องนี้อาจนำไปประยุกต์กับการให้ของสิ่งอื่นๆที่ทางโลกเห็นว่ามีค่า มีความหมายในทางโลกที่ผู้รับอาจยึดข้องอยู่กับมันครับ ขอบพระคุณครับอาจารย์

กราบขอขมาอาจารย์ด้วยครับ

คำตอบ
ถามหน่อยเดียวหรือ ถามมากก็ได้นะ การให้เมล็ดพันธุ์กระบองเพชรกับผู้อื่นเพื่อนำไปเพาะปลูกการให้สิ่งดี เป็นทาน เมื่อคุณให้แล้วคุณได้เพื่อนดีไหมล่ะ ถ้าดีก็จงให้ต่อไป คุณเกรงว่าสิ่งที่ให้เขาไปนั้นจะไปทำให้เขามัวเมาลุ่มหลง ลุ่มหลงในทางดียังไม่เสียหายมากเท่ากับลุ่มหลงไปในทางชั่วทางอบายมุข เมื่อคุณได้คนมาเป็นเพื่อนแล้วและไม่อยากให้เขาลุ่มหลง ทำไมไม่ให้ธรรมะเป็นทาน เหมือนกับที่ชมรมกัลยาณธรรมเขาทำให้ดูล่ะ

ในหนึ่งชีวิตถ้าคุณมีทุกคนเป็นเพื่อน นับว่าคุณโชคดี แต่หากทำให้มีศัตรูเกิดขึ้นแม้เพียงคนเดียว ชีวิตเสียหายนะ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 พ.ค. 2010, 21:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เวลามีพระสงฆ์มาเรี่ยไรตามบ้าน เอาถังผ้าป่ามาให้ร่วมทำบุญ เราควรจะทำอย่างไรค่ะ เพราะเคยทราบมาว่าพระสงฆ์จริง ๆ จะไม่มาทำแบบนี้ค่ะ กลัวว่าจะเป็นพวกพระปลอมค่ะ

คำตอบ
ไม่เห็นต้องทำอะไร ให้ความเสื่อมศรัทธาถูกเก็บบันทึกไว้ในดวงจิต
เพียงแต่กล่าววาจาว่า “ ไม่ศรัทธา – ไม่ทำ ” เรื่องก็จบ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 พ.ค. 2010, 21:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดิฉันอยากเรียนขอคำแนะนำว่าหากดิฉันต้องมีความจำเป็นที่จะต้องพบปะสนทนา กับคนที่มีโมหะจริตโดยหลีกเลี่ยงไม่ได้ (คนคนนั้นเขามีบุญคุณกับดิฉัน เขาเป็นคนดีคนหนึ่ง แต่เวลาเขาโมโหเขาจะไม่ยอมฟังเหตุผลของใครและเขาชอบที่จะว่าความคิดของเขา ถูกต้องไปหมดโดยไม่ยอมฟังเหตุผลของใคร)

ดิฉันควรจะทำอย่างไรดีคะ ที่ผ่านมาดิฉันพยายามใช้ขันติ ไม่ตอบโต้เขา แต่ก็ยังไม่วายโดนเขาว่ากล่าวโดยที่มันไม่เป็นความจริง ดิฉันไม่สบายใจมากคะ กิเลสความเศร้าหมองเกิดขึ้นเกือบจะทุกครั้งที่เจอเขาแต่ดิฉันก็พยายามเอา ธรรมะเข้าข่ม ดิฉันจะหลีกเหลี่ยงไม่ให้เกิดเหตุการณ์อย่างนี้ได้อย่างไรคะ เขามีบุญคุณกับดิฉันมาก เพราะเหตุนี้จึงทำให้ดิฉันหวานอมขมกลื่น ความเศร้าหมองเกิดในใจเกือบทุกครั้งที่เจอเขา

กราบขอพระคุณอาจารย์ล่วงหน้าที่อาจารย์ช่วยกรุณาแนะแนวทางปฏิบัติหน ทางแห่งการดับทุกข์ให้


คำตอบ
คำว่า “ โมหจริต ” หมายถึงบุคคลผู้มีลักษณะนิสัยหนักไปในทางโง่เขลา งมงาย เชื่อโดยไม่คำนึงถึงเหตุผล ส่วนอาการโมโหเป็นเรื่องของอารมณ์ที่เร่าร้อนของจิตที่มีโทสจริตคือมีพื้น นิสัยเป็นคนหงุดหงิด โกรธง่ายดังนั้นบุคคลที่อ้างถึงและบอกเล่าไป จึงมีจริตทั้งสองถูกบันทึกไว้เด่นชัดในจิตใจของเขา เมื่อใดที่จิตประเภทนี้ทำงานจึงแสดงออกเป็นพฤติกรรมไม่ดี ดูให้ดีว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดาของสัตว์บุคคลผู้มีจริตเช่นนี้มันเป็นเรื่อง ของเขา ไม่ใช่เรื่องของเรา เราไม่ดีเองที่ไปรับเอาความไม่ดีของคนอื่นมาเป็นความไม่ดีของตัวเอง นี่แหละโมหจริตที่มีอยู่ในตัวคุณทำหน้าที่ถูกตรงตามอกุศลจิตที่มีอยู่ในตัว คุณ

เรื่องที่จะปิดปากคนอื่นไม่ให้พูดไม่ดี ปิดปากคนอื่นไม่ได้หรอกแต่สามารถปิดหูตัวเองได้ ด้วยการพัฒนาจิตให้มีกำลังสติกล้าแข็งระลึกได้ทันทุกคำพูดที่ไม่ดีเข้ามากระ ทบหู และพัฒนาปัญญาเห็นแจ้ง เห็นถูกตรงให้เกิดขึ้น หากปัญญาเช่นนี้เกิดขึ้นแล้ว จะเห็นว่าคำพูดที่ไม่ดีที่ออกจากปากคนอื่นดับไป ( อนัตตา ) ไม่มีตัวตนแท้จริง จิตจะปล่อยวางคำพูด จิตไม่เป็นทาสรองรับคำพูดที่ออกจากปากของใคร ๆ อีกต่อไป จิตเป็นอิสระเบา สบาย ดังนั้นดูตัวเองให้ออก แก้ไขที่ตัวเอง แล้วปัญหาทั้งหลายจะหมดไป ด้วยปัญญาเห็นถูกตามธรรมนั่นเอง

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 พ.ค. 2010, 22:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดิฉันจะไปทำบุญกับพระที่เข้านิโรธสมาบัติ จึงอยากทราบว่าเราควรทำบุญกับท่านด้วยอะไรจึงจะเหมาะสม และ ถูกกาลเทศะ



คำตอบ
การทำบุญกับพระที่เข้านิโรธสมาบัติดังที่ถามไป ผู้ถามคงหมายถึงการบูชาความดีของท่านด้วยการจัดของไปใส่บาตร หากเป็นดังที่กล่าวมานี้สิ่งของที่จะนำไปใส่ลงในบาตร ควรเป็นเครื่องอุปโภคบริโภคที่ควรแก่สมณวิสัยบริโภคใช้สอยแล้วไม่ทำให้ เคลื่อนไปจากธรรมจากวินัยของสงฆ์ เป็นอันว่าใช้ได้ทั้งนั้น อนึ่งในวันที่พระสงฆ์ออกนิโรธสมาบัติ พุทธบริษัทที่มีความศรัทธาเลื่อมใสในการทำบุญในลักษณะนี้มีจำนวนมาก ดังนั้นสิ่งของที่จะนำไปใส่ลงในบาตรขณะที่ท่านออกเดินบิณฑบาต ควรเป็นอาหารแห้ง เป็นเครื่องดื่มที่อายุการเก็บรักษายาวนาน เป็นเครื่องดื่มที่ไม่กระตุ้นประสาท ไม่บำรุงความกำหนัดหรือควรเป็นยารักษาโรค รักษาอาการอาพาธ หรือเครื่องใช้สำหรับพระ ฯลฯ เป็นต้นให้ได้ทั้งนั้น

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 พ.ค. 2010, 22:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดิฉันมีเรื่องอยากสอบถามเกี่ยวกับวิธีการทำบุญค่ะ คุณพ่อคุณแม่ของดิฉันเป็นคนใจบุญ แต่จะเลือกไปพบไปทำบุญกับท่านอาจารย์ที่เป็นพระเกจิ หรือท่านที่ได้รับการรับรองแล้วว่าเป็นพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เนื่องจากพ่อกับแม่มีความเห็นว่า เดี๋ยวนี้พระเชื่อที่ไม่ดีก็มีเยอะค่ะ ดิฉันก็เชื่อตามท่านมาตลอด จนพักหลังดิฉันรู้สึกว่าการทำอย่างนั้นทำให้ตนเองมีความคิดคับแคบ ประมาทพระสงฆ์ เวลาเห็นพระก็จะคิดไปในทางว่าดีจริงหรือว่าดีโฆษณาค่ะ

ตอนหลังพยายามคิดใหม่ให้มีใจน้อมเคารพพระทุกรูปทุกท่าน และไม่ไปดิดด่วนตัดสินพระ และพยายามฟังที่ท่านสอน และโน้มเข้ามาในทางว่าพระธรรมคำสั่งสอน เป็นประโยชน์กับผู้ที่ฟังและนำไปปฏิบัติตาม และมามองที่จิตใจของตัวเองเป็นหลักว่าคิดดีหรือคิดไม่ดี รู้สึกว่าทำอย่างนี้แล้วทำให้เราเปิดใจกว้างขึ้นค่ะ เห็นวัดไหนมีเปิดให้ทำบุญ ก็ทำไปโดยไม่สนใจว่าหลวงพ่อที่มารับนั้นจะเป็นอย่างไร มีความเก่งความสามารถอย่างไร แค่ได้ชื่อว่าทำกับสงฆ์ก็ได้บุญแล้ว ส่วนถ้าท่านจะปฏิบัติดีอีก ส่วนนั้นดิฉันถือเป็นกำไร

ทีนี้เลยถูกคุณพ่อคุณแม่ดุว่า ทำบุญกับวัด หรือพระที่ไม่ได้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ นอกจากได้บุญไม่เต็มที่แล้วยังได้บาปอีกด้วยค่ะ เลยเกิดความกังขาว่า อย่างนี้สิ่งที่เราทำเรียกว่าทำบุญเป็นหรือว่าเป็นการงมงาย ศรัทธาโดยไม่ยอมมองดูความเป็นจริงคะ

รบกวนท่านอาจารย์ช่วยให้คำวินิจฉัยในกรณีของดิฉันด้วยค่ะ จะได้ยึดไว้เป็นแนวทางในการปฏิบัติให้ถูกต้องเหมาะสมต่อไป



คำตอบ
การทำความดีที่เป็นบ่อเกิดแห่งบุญ ต้องทำความดีตามที่ระบุไว้ในบุญกิริยาวัตถุ 10 คือทำบุญด้วยการให้ ทำบุญด้วยการรักษาศีล ทำบุญด้วยการทำจิตตภาวนา ทำบุญด้วยการประพฤติอ่อนน้อม ทำบุญด้วยการขวนขวายรับใช้ ทำบุญด้วยการอุทิศความดีให้ผู้อื่น ทำบุญด้วยการยินดีในความดีของผู้อื่น ทำบุญด้วยการฟังธรรม ทำบุญด้วยการสั่งสอนธรรม และทำบุญด้วยการทำความเห็นให้ถูกตรง ในการทำความดีทั้ง 10 อย่างนี้ การทำจิตตภาวนาเป็นการทำความดีที่เปิดโอกาสให้จิตได้รับอานิสงส์แห่งบุญสูง สุด เพราะหากเมื่อใดทำจิตตภาวนาจนเกิดปัญญาเห็นแจ้งได้ดวงตาเห็นธรรมนำจิตเข้า สู่ความเป็นอริยบุคคลได้แล้ว จะทำให้ชีวิตปลอดภัยในสังสารวัฏ และสามารถนำพาชีวิตไปสู่วิมุตติสุขได้ในเบื้องสุด

หากบุญบารมีของผู้ทำความดียังมีไม่มาก ควรเลือกทำความดีกับนาบุญที่ดี ดังที่คุณพ่อคุณแม่แนะนำนั้นถูกต้องแล้ว แต่ผู้ที่มีบุญบารมีมาก เช่นอริยบุคคลหรือมีเมตตาไม่มีประมาณ เช่นโพธิสัตว์ บุคคลดังกล่าวย่อมทำความดีกับสรรพสัตว์ที่อยู่ในทิศทั้ง 10 โดยไม่มีประมาณและไม่เลือกนาบุญ ด้วยเหตุดังกล่าวมานี้การทำบุญจึงขึ้นอยู่กับวิถีชีวิตของแต่ละบุคคล ว่ามีวิถีชีวิตเป็นแบบพุทธสาวกหรือแบบโพธิสัตว์ หากผู้ทำระลึกว่าทำบุญแล้วเป็นการเพิ่มกิเลสของผู้รับให้มากขึ้น อย่างนี้ไม่สมควรทำ เพราะผู้ทำจะได้ทั้งบุญและบาป แต่ถ้าผู้ทำระลึกว่าทำบุญกับภิกษุใดก็ได้โดยมีเจตนายังพระศาสนาให้คงอยู่ยาว นาน การทำอย่างนี้เป็นบุญ เป็นการทำของผู้มีบุญบารมีมาก หรือเป็นการทำของพระโพธิสัตว์

ด้วยเหตุดังกล่าวข้างต้น การทำบุญจึงขึ้นอยู่กับวิถีชีวิตของแต่ละบุคคลว่าจะนำพาชีวิตไปตามแนวทาง พุทธสาวก หรือตามแนวทางโพธิสัตว์ พุทธสาวกที่ยังมีบุญบารมีไม่มาก หากประสงค์จะได้อานิสงส์แห่งบุญมาก จำเป็นต้องเลือกทำกับนาบุญที่ดีเช่นพระสงฆ์ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ส่วนพุทธสาวกที่มีบุญบารมีมากรวมถึงโพธิสัตว์ เขาจะทำบุญกับสรรพสัตว์หรือภิกษุใดก็ได้ โดยมีเจตนายังพระศาสนาให้คงอยู่ยาวนาน ถือว่าเป็นการทำบุญอย่างมีสัมมาทิฏฐิ ไม่ใช่ทำอย่างงมงาย การทำบุญด้วยมีเจตนาดีงามเช่นนี้อานิสงส์ย่อมเกิดขึ้นกับผู้กระทำแน่นอน

สุดท้ายที่มีสติสัมปชัญญะดีโคจรไปสู่อาวาสไหน มีธรรมสากัจฉากับบุคคลใด เมื่อจิตมีสติระลึกทันผัสสะ มีสัมปชัญญะ (ปัญญา) วิเคราะห์ได้ถูกตรงตามธรรมการโคจรในครั้งนั้น ๆ ธรรมสากัจฉาในครั้งนั้น ๆ ล้วนเป็นครูสอนใจให้ผู้มีสติสัมปชัญญะได้เห็นแจ้งในธรรมของพระพุทธองค์ นี่แหละบุญเกิดขึ้นแล้ว เมื่อใดผู้ถามปัญหาทำได้อย่างนี้...สาธุ ๆ ๆ ๆ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 พ.ค. 2010, 22:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณแม่ติดการพนัน และนำบ้านไปจำนอง ตอนนี้เกือบจะถูกยึดบ้าน คุณแม่ได้ขอให้ดิฉันช่วยกู้เงินค้ำประกันบ้าน ดิฉันคิดจะให้เป็นเงินก้อนแทนการช่วยค้ำประกัน ไม่ทราบว่าดิฉันทำถูกต้องมั้ยค่ะ ที่ผ่านมาตั้งแต่ทำงานมาก็ได้ช่วยเหลือทางบ้านมาตลอดไม่เคยขาด จนกระทั่งตัวเองไม่ค่อยมีเงินเก็บเท่าที่ควร ทั้งที่อายุก็มากขึ้น ขอความกระจ่างอาจารย์ว่าควรจะ ทำยังไง เป็นทางออกที่ดีที่สุดค่ะ

ขอบพระคุณค่ะ


คำตอบ

การพนันเป็นหนึ่งในอบายมุข 6 ผู้ใดมีจิตตกเป็นทาสของการพนัน แรงกรรมที่เล่นการพนันแต่ละครั้งจะถูกเก็บสั่งสมไว้ในดวงจิต เมื่อใดที่อกุศลกรรมให้ผล จะผลักดันชีวิตไปสู่ความวิบัติทั้งในชาติปัจจุบันและชาติอนาคต

การให้เงินก้อนแทนการช่วยค้ำประกัน เป็นวิธีการหนึ่งในการตอบแทนบุญคุณที่คุณได้อาศัยท้องท่านมาเกิดในครั้งนี้ ให้ไปเถิดเท่าที่คุณสามารถให้ได้ให้แล้วเปลี่ยนทรัพย์ภายนอก (ทรัพย์กำพร้า) ไปเป็นทรัพย์ภายในที่สามารถนำติดตัวไปได้เมื่อตาย หากคุณให้เงินท่านแล้ว ท่านยังนำเงินไปใช้เล่นการพนัน เท่ากับว่าคุณมีส่วนส่งเสริมผู้มีพระคุณ ให้ทำและสั่งสมบาป คุณต้องรับส่วนแห่งบาปนั้นด้วยในวันข้างหน้า

ส่วนเรื่องการช่วยค้ำประกันบ้าน ถ้ายังมีการเลือกที่ดีกว่าก็ไม่ควรทำ เพราะตราบใดที่บ้านยังไม่ปลอดจากการประกัน จิตใจของผู้ช่วยค้ำประกัน ระลึกถึงเรื่องนี้ครั้งใดแล้วไม่สบายใจ นั่นแหละบาป อาคันตุกะทุกข์ได้เข้ามาเยือนบ้านใจของผู้ช่วยค้ำประกันแล้ว หากผู้ช่วยค้ำประกันคบหาสมาคบอยู่กับความไม่สบายใจอยู่บ่อย ๆ เมื่อจำเป็นต้องทิ้งขันธ์ลาโลก เป็นการลาโลกที่ขาดทุนชีวิต เพราะโอกาสที่จะไปเกิดเป็นสัตว์ในทุคติภพนี้ได้เป็นได้....นะโยม

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 พ.ค. 2010, 22:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สงสัย
ดิฉันเคยขโมยเงินน้องชาย เมื่อสมัยเป็นวัยรุ่น และมานึกได้อีกครั้งก็ตอนมาปฏิบัติธรรม จึงพยายามหาทางเอาเงินไปวางคืนน้องชาย แต่หาโอกาสไม่ได้สักที จะบอกน้องตรงๆว่า เคยขโมยเงินมาใช้ก็ไม่กล้า จึงตัดสินใจขอเงินจำนวนนั้นกับน้องชาย โดยบอกว่าเคยขอยืมเงินจำนวนนี้มาแล้วยังไม่ได้คืน ช่วยยกหนี้นี้ให้นะ น้องชายบอกว่าเอาไปเหอะจำไม่ได้แล้ว ถือว่าเป็นการอโหสิกรรมกันได้ไหมคะ

คำตอบ
“ เคยขโมยเงินสมัยที่เป็นวัยรุ่น ” ถือว่าทุศีลข้อ 2 จิตได้บันทึกอกุศลกายกรรมไว้แล้ว และกลับมาบอกว่า “ เคยขอยืมเงินจำนวนหนี้มาแล้วยังไม่ได้คืน ” ถือว่าละเมิดศีลข้อ 4 จิตได้บันทึกอกุศลวจีกรรมไว้แล้ว รวมแล้วในเรื่องเดียวกัน จิตได้ละเมิดศีลถึงสองครั้ง คุณอ้างเหตุที่ไม่ตรงแล้วขอให้น้องชายยกหนี้กรรมให้ แม้เขาจะบอกว่า “ เอาไปเหอะ ” ก็ยังไม่ถือว่าเป็นการอโหสิกรรม ถ้าคุณได้บอกเหตุที่ได้ทำแล้วอย่างถูกตรง แล้วเขาบอกว่าเอาไปเหอะ ไม่ต้องมาใช้หนี้ เมื่อนั้นแหละ จึงจะเป็นอโหสิกรรมได้


ดิฉันก็ตัดสินใจไปสารภาพบาปกับน้องชาย ว่าสมัยอยู่เมืองนอกเคยขโมยเงินน้องมาใช้ น้องชายมองหน้าแล้วทำหน้าเบื่อหน่าย แล้วบอกว่ารู้แล้วพูดอยู่ได้ อย่างนี้ถือว่าเป็นการอโหสิกรรมหรือไม่ เพราะดิฉันจะคะยั้นคะยอให้น้องชายพูดคำว่า อโหสิกรรมให้ ก็ไม่ได้ เพราะน้องชายขี้รำคาญ และปากจัดค่ะ

คำตอบ
การทำกรรมของมนุษย์มี 3 แบบ คือการกระทำทางกาย (กายกรรม) การกระทำทางวาจา (วจีกรรม) และการกระทำทางใจ (มโนกรรม)

ดังนั้นเมื่อน้องชายทราบเรื่องที่คุณขโมยเงินในครั้งที่ ไปอยู่เมืองนอกเมื่อเขารับทราบแล้วไม่ติดใจทวงคืน ก็แสดงว่า ไม่มีโปรแกรมที่คุณเป็นลูกหนี้อยู่ในจิตใจของน้องชาย บัญชีเจ้าหนี้-ลูกหนี้ระหว่างคุณกับน้องชายก็ถูกปิดลง ด้วยเหตุนี้ไปเซ้าชี้เขาบ่อย ๆ เขาจึงรำคาญไงล่ะ ในทางกลับกันน้องชายให้อภัยยกหนี้ให้คุณได้ ถามว่าคุณในฐานะพี่สาว มีอะไรดี ๆ จะให้น้องชายได้บ้างล่ะ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 พ.ค. 2010, 22:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เวลาเห็นพระแล้วชอบคิดไม่ดี
คือว่าเวลาผมเห็นพระแล้วชอบคิดไม่ดี เช่นว่า จะขึ้นไปยืนบนหัวท่าน หรือจะเอาเท้าไปถีบท่านบ้าง หรือคิดจะเรียกท่านว่าไอ้บ้าง ไม่ว่าจะเป็นพระสงฆ์หรือพระพุทธรูป พอมองไปแล้วมันจะคิดไม่ดีทันทีเลยมันจะแว๊ปขึ้นมาเลย(มันยังมีคิดไม่ดีอีก เยอะคับ) พอจะมีวิธีแก้ไหมครับช่วยตอบผมหน่อยครับ

คำตอบ
เรื่องที่บอกเล่าไปถ้าเป็นจริงก็น่าสงสาร ถ้าไม่เป็นจริงก็น่าสงสาร เพราะความเห็นผิด (มิจฉาทิฏฐิ) เป็นเหตุให้ความคิดผิด (มิจฉาสังกัปปะ) ต่าง ๆ เหล่านี้เกิดขึ้น หากภาวะดังกล่าวยังคงมีอยู่ในจิตใจโดยไม่ได้รับการปรับปรุงแก้ไข ความวิบัติในชีวิตนี้และความวิบัติในชีวิตหน้าจะเป็นผลให้คุณต้องได้รับ วิธีแก้ไขมีอยู่ ถ้าปรารถนาให้ปัญหานี้หมดไป ต้องพัฒนาจิตตนเองให้กลับมาสู่ความเห็นถูก (สัมมาทิฏฐิ) หากทำได้วันใดวันนั้นแหละโปรแกรมจิตที่คิดลบก็จะหมดไป ความคิดถูก (สัมมาสังกัปปะ) จึงจะเกิดขึ้นแล้วชีวิตนี้พร้อมทั้งชีวิตหน้าก็จะปลอดภัย

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 พ.ค. 2010, 22:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


จิตหมอง
ดิฉันปฏิบัติธรรมมาได้ประมาณ 8 เดือน แต่ไม่ติดต่อกัน บางวันจิตใจปลงตกก็สบายใจ แต่บางวันตื่นเช้ามาจิตใจหดหู่เศร้าหมอง โดยหาสาเหตุไม่เจอ เป็นด้วยเหตุใดคะ

คำตอบ

เหตุเพราะความประมาทของคุณเอง ที่ไม่พัฒนาจิตใจอย่างต่อเนื่อง ทำให้สติมีกำลังไม่กล้าแข็ง ปล่อยให้กิเลสมามีอำนาจอยู่เหนือใจตื่นเช้าขึ้นมาสิ่งกระทบไม่ดีภายนอก ตีเข้าทางหู เข้าทางตา ฯลฯ แล้วสติรับไม่ทันอารมณ์บูด อารมณ์บ่จอยจึงเกิดขึ้นทำให้จิตใจหดหู่ เศร้าหมอง ถ้าประสงค์จะให้มีอารมณ์ดีอยู่ทุกขณะตื่น ต้องเจริญพล ธรรม 5 อยู่เสมอจนจิตใจมีกำลังกล้าแข็ง สามารถต้านทานกิเลสต้านทานมารต่าง ๆ ได้ แล้วเมื่อนั้นแหละ จิตจะเป็นอิสระ สงบและมีความสุข เชื่อเหอะทำได้แล้วดีแน่

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 พ.ค. 2010, 22:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กลุ้มใจมาก
คุณแม่โกรธดิฉันมาเป็นเวลาเดือนกว่าแล้ว ท่านทำเหมือนไม่มีดิฉันอยู่ในสายตา ไม่พูด ไม่มอง ไม่กินสิ่งที่ดิฉันซื้อไปให้รับประทาน ไม่ดื่มน้ำที่ดิฉันเทให้ ที่โกรธเพราะดิฉันไปช่วยพี่สาวดูแลลูกๆของพี่สาว คุณแม่จะคอยขัดขวางไม่ให้ดิฉันดูแลลูกๆของพี่สาว แต่จะให้ไปดูแลลูกๆของพี่ชาย ซึ่งปกติดิฉันก็ดูแลให้ แต่พี่สะใภ้ไม่พอใจ เขาต้องการให้แม่ดิฉันเป็นคนดูแล เพราะอยากให้เป็นหลานรักของคุณย่า แล้วจะได้รับมรดกเยอะๆ ช่วงกลางวันดิฉันจะอยู่เป็นเพื่อนแม่ แต่แม่จะหงุดหงิด ไม่ชอบหน้าลูกสาวเอาซะเลย แม่เคยโกรธลูกสะใภ้ แต่ไม่กล้าว่าเขา หันมาด่าดิฉันประชด คำด่าก็แสนหยาบคาย อี....อกทอง จนดิฉัน ลุแก่โทสะ เถียงแม่กลับไปว่าโกรธใครก็ให้ด่าคนนั้นอย่าด่าประชด แม่ยังบังคับให้ไปดูตัวกับเจ้าพ่ออาบอบนวด(ความคิดของลูกชายสุดที่รักของ แม่) ดิฉันจึงแก้ปัญหาโดยการหลบหน้าแม่ คือ เช้า ตามพี่สาวมาส่งหลานที่โรงเรียน กลางวันหลบตามห้าง เย็นรับหลานกลับ แล้วหลบอยู่บนห้อง สอนการบ้านหลาน แต่ทุกเช้า เย็น ดิฉัน จะแวะไปทักทายแม่ บางครั้งยกไหว้ ซึ่งแม่จะหันไปมองทางอื่น แกล้งไม่เห็นและไม่ได้ยิน ก่อนนอนดิฉันจะคุกเข่ากราบขอขมาแม่ทีหน้าห้องนอนแม่ พี่สะใภ้เห็นดิฉันกราบแม่อยู่หน้าห้อง เขาบอกว่าแม่ไม่ให้อภัยหรอก แต่ดิฉันก็หวังว่าสักวันดิฉันกับแม่จะเป็นกัลยาณมิตรกัน

ดิฉันควรทำอย่างไรจึงแก้ปัญหาขัดแย้งระหว่างแม่กับดิฉันได้คะ

คำตอบ
เรื่องนี้ในฐานเป็นลูกต้องประพฤติจริยธรรมของลูกที่ดีต่อแม่ เช่นจัดดูแลอาหารการกินของท่านให้เรียบร้อย ส่วนท่านจะกินหรือไม่กินก็เป็นเรื่องของท่าน ทำงานบ้านแทนท่าน เช่น ปัดกวาดเช็ดถูบ้านให้เรียบร้อยส่วนท่านจะพอใจหรือไม่ก็เป็นเรื่องของท่าน เมื่อท่านเจ็บไข้ได้ป่วยต้องพาไปหาหมอ ส่วนท่านจะไปหรือไม่ไปก็เป็นเรื่องของท่าน ดำรงวงศ์สกุลให้คงอยู่ทำตนเป็นทายาทที่ดี การประพฤติดีงามเหล่านี้เมื่อคุณได้ทำแล้ว ก็จะถูกเก็บสั่งสมไว้ในใจเป็นคุณธรรม ในทางกลับกันท่านจะแสดงพฤติกรรมเลวร้ายใด ๆกับคุณ ก็เป็นบาปเก็บฝังไว้ในใจของท่านเอง เมื่อใดที่อกุศลกรรมให้ผลเป็นอกุศลวิบาก ท่านต้องเสวยอกุศลวิบากนั้นด้วยตัวของท่านเอง เพราะสัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรมนั่นเอง

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 พ.ค. 2010, 22:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เมื่อ4เดือนที่แล้วหนูได้มีโอกาสรู้จักเพื่อนโดยบังเอิญและได้คุย โทรศัพท์ติดต่อกันเรื่อยมา โดยที่ยังมิได้พบหน้ากันเป็นการพูดคุยที่เหมือนรู้จักกันมานานเป็นสิบปี เราชอบทำบุญเหมือนกันเวลาเขาไปไหว้พระที่อื่นก็จะโทรมาให้อนุโมทนาบุญทุก ครั้ง แล้วหนูก็ทำเหมือนกัน เรานัดกันสวดมนตร์พร้อมกันทุกคืนแล้วโอนเงินทำบุญด้วยกันบ่อยๆมีความรู้สึก ที่ดีต่อกันมาก แต่มีปัญหาตรงที่ว่าตอนที่เขายังไม่ทราบเรื่องอายุ เรามีความรู้สึกว่ามันเป็นบุญเก่าที่ทำกันมามั้งเลยทำให้เรารู้สึกดี อายุหนูมากกว่าเขา6ปีเขารับไม่ได้แต่ยังคงอยากให้เราอยู่เหมือนเดิมในฐานะ เพื่อน มันเป็นความทุกข์ใจทั้งสองฝ่ายแสดงว่าหนูและเขาอาจเคยทำอะไรไม่ดีมาพร้อมกัน ใช่ไหมคะ ถึงทำให้ไม่สมหวังในเรื่องของความรักนะคะ และถ้าหากเจอกันแล้วไม่เป็นอย่างที่หวังแสดงว่าเราต้องมีหนี้กรรมติดค้างกัน เลยต้องมาใช้กันในรูปแบบนี้ใช่ไหมคะ

และถ้าเรารู้ว่าวันข้างหน้ามันไม่มีทางเป็นไปได้เราควรเลิกติดต่อกันดี กว่าใช่ไหมคะ ทุกวันนี้เรายังคงติดต่อกันพูดคุยปรึกษาเรื่องงานและมีความรู้สึกที่ดีต่อ กัน แต่ยังไม่ได้เจอกันเกรงว่าหากเจอกันเขาอาจรับเราไม่ได้ เลยคิดจะเลิกติดต่อเพื่อจะได้ไม่มีกรรมต่อกัน หนูคิดอย่างนี้ได้ไหมคะ และที่อยากเรียนถามอาจารย์คือ เราต้องทำกรรมแบบไหนร่วมกันมาถึงได้ต้องมาใช้กรรมที่ทรมานใจแบบนี้คะ ทั้งเขาและหนูรู้สึกทั้งดีและแย่พอๆๆกันที่ทำให้เราได้มารู้จักกันและยังทำ ใจไม่ได้ทั้งคู่ที่จะเลิกติดต่อกันค่ะ ขออาจารย์ชี้แนะด้วยค่ะขอบคุณค่ะ (หนูลืมบอกไปว่าหนูและเขาต่างกันมากๆๆๆทั้งฐานะความเป็นอยู่และครอบครัว)

คำตอบ
จากเรื่องที่บอกเล่าไปแล้วทำให้เกิดเป็นความทุกข์ใจ เหตุเกิดเพราะความเห็นผิด ยึดเอาความอยาก (ตัณหา) มาเป็นสมบัติของใจ ทำไมไม่ปรับปรุงแก้ไขให้ใจมีเมตตา แล้วความรักของคุณก็จะเหมือนพ่อแม่รักลูก เหมือนพระโพธิสัตว์รักสัตว์โลก เป็นความรักที่ไม่มีเงื่อนไข เป็นความรักที่ปรารถนาให้คนอื่นได้รับประโยชน์และมีความสุข รักอย่างนี้ไม่เป็นทุกข์ ตรงกันข้ามถ้าใจขาดความเมตตา มีความเห็นผิด รักด้วยตัณหาเป็นแรงสนับสนุน ผิดหวังเป็นทุกข์แน่นอน ดังนั้นถ้าประสงค์จะแก้ปัญหาที่บอกเล่าให้หมดไป ต้องปรับปรุงแก้ไขที่ตัวเอง ให้มีเมตตาให้มีปัญญาเห็นถูก และให้ตัณหาหมดไปให้ได้แล้วคุณก็จะมีจิตสำนึกที่ถูกต้องดีงาม จะรู้วิธีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นแลมีชีวิตอยู่ได้อย่างเป็นสุข

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1521 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 14, 15, 16, 17, 18, 19, 20 ... 102  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร


cron