วันเวลาปัจจุบัน 25 ส.ค. 2025, 03:18  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 1521 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 19, 20, 21, 22, 23, 24, 25 ... 102  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 20 พ.ค. 2010, 04:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1. ม่ทราบว่าพระที่รับดูดวง ถือว่าเป็นบาปรึเปล่าค่ะ

คำตอบ
เป็นบาปเพราะประพฤติละเมิดวินัยของพระพุทธะ


2. ถ้าสิ่งที่พระท่านทำนายในอนาคตถ้าเป็นสิ่งไม่ดี ไม่ทราบว่าเราจะแก้โดยการปฏิบัติธรรมได้ไม๊ค่ะ

คำตอบ
แก้ปัญหาด้วยการปฏิบัติธรรมเพื่อกลบฝังกรรมไม่ดีไม่ให้ แสดงผลด้วยการประพฤติจริยธรรม และทำกรรมไม่ดีให้หมดไป ด้วยการยอมรับผลของกรรม หรือปฏิบัติธรรมที่ให้ผลยิ่งใหญ่แล้วอุทิศบุญกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวรจน กว่าเขาจะอโหสิให้


3. การทำบุญตักบาตรโดยไม่ได้กรวดน้ำหลังจากตักบาตร แต่ได้ทำการอธิษฐานแผ่เมตตาทุกครั้งค่ะ ไม่ทราบญาติที่เราทำบุญให้จะได้รับรึเปล่าค่ะ



คำตอบ
กรวด น้ำหรือไม่กรวดน้ำหลังตักบาตร ยังไม่สำคัญเท่ากับ ต้องมีผู้อุทิศบุญ มีบุญที่อุทิศให้ และมีผู้มาอนุโมทนาบุญ หากสามปัจจัยลงตัว การอุทิศบุญกุศลจึงจะสัมฤทธิ์ผล

เมตตาเป็นคุณธรรมอย่างหนึ่ง หากกระทำให้เกิดมีขึ้นในใจตนเองได้แล้ว จะถูกสั่งสมเป็นบารมี ผู้มีเมตตาบารมีเป็นผู้สงบเย็นห่างไกลจากโทสะ ความหงุดหงิด ความเบื่อหน่าย ฯลฯ เมื่อมีเมตตาสั่งสมอยู่ในใจได้ก่อนแล้ว จึงสามารถแผ่เมตตาให้แก่ผู้อื่นได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 20 พ.ค. 2010, 04:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1. บุคคลทำกรรมอย่างไรร่วมกันจึงเกิดมาเป็นสามีภรรยาญาติพี่น้องกัน บางคนรู้สึกรักกันดี แต่บางคนกลับเป็นคู่ศัตรู เคยอ่านหนังสือพิมพ์มีทั้งลูกกตัญญูเลี้ยงดูพ่อแม่ และมีทั้งลูกที่ฆ่าพ่อแม่ตนเอง

คำตอบ
ต้องทำกรรมดี ร่วมกัน แล้วอธิษฐานพบกันอีกในชาติหน้า เมื่อเหตุปัจจัยลงตัว การกลับมาเกิดเป็นญาติ เป็นพี่น้องเป็นพ่อแม่เป็นลูก ที่ปฏิบัติดีต่อกัน จึงมีโอกาสเป็นไปได้

หากทำกรรมไม่ดีต่อกัน แล้วผูกพยาบาทจองเวรกันไว้เมื่อเหตุปัจจัยลงตัว การกลับมาเกิดเป็นลูกที่ฆ่าพ่อแม่ตนเอง จึงมีได้เป็นได้


2. หากบุคคลปฏิบัติธรรมจนได้ฌาน ถึงขั้นได้ชั้นพรหม แต่ยังไม่ถึงขั้นพรหมสุทธาวาส หากเขาปรารถนาที่จะเกิดเป็นมนุษย์ในชาติต่อไปเพื่อปฏิบัติธรรมให้ถึงขั้น อรหันต์จะได้ไม่ต้องเวียนตายเวียนเกิดอีก จะเป็นไปได้หรือไม่ที่เมื่อละสังขารแล้ว จะเกิดเป็นมนุษย์อีกโดยไม่ต้องเกิดในชั้นพรหม

คำตอบ
ปฏิบัติสมถภาวนา จนจิตเข้าถึงความเป็นฌาน หากทิ้งขันธ์ลาโลกขณะจิตอยู่ในองค์ฌาน โอกาสไปเกิดเป็นพรหมเป็นได้ หากไม่ประสงค์จะเป็นพรหม ต้องถอนจิตออกจากฌาน แล้วอธิษฐานเกิดใหม่ในภพมนุษย์ และต้องสร้างเหตุตรงด้วยการรักษาศีล 5 ให้คงอยู่กับใจได้ทุกขณะตื่น เมื่อจิตละขันธ์ไปแล้ว โอกาสเกิดเป็นมนุษย์ในชาติต่อไปจึงมีได้เป็นได้


3. การทำบุญถวายสังฆทานที่เราเป็นผู้จัดซื้อจัดหามาถวายพระเอง กับการทำบุญถวายสังฆทานซึ่งทางวัดจัดหาไว้ให้คนทำบุญ ประเภทเวียนถังสังฆทานให้คนได้ทำบุญนั้น จะมีอานิสงฆ์ของผลบุญเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร หากเรามีจิตเป็นกุศลในการทำบุญทั้ง 2 แบบดังกล่าว



คำตอบ
ได้อานิสงส์เหมือนกัน หากก่อนถวายมีศรัทธาเท่ากันขณะถวายตั้งใจเหมือนกัน ถวายแล้วเกิดความอิ่มเอมใจเท่ากัน

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 20 พ.ค. 2010, 04:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


การอุทิศส่วนกุศลจากบุญทานใดก็ตาม หากระบุชื่อให้แก่ผู้รับซึ่งอยู่ในอบายภูมิลึกๆ ไม่สามารถรับผลบุญได้ ผลบุญเหล่านั้นไปอยู่ที่ใด จะยังคงคอยผู้เป็นเจ้าของมารับไปเมื่อเขามาอยู่ในขั้นที่สามารถรับผลบุญหรือ ไม่


คำตอบ
บุญเป็นของทิพย์ไม่สูญหายไปไหน บุญตกน้ำไม่ไหลตามน้ำ ตกลงในกองไฟไม่มอดไหม้ด้วยไฟ โจรขโมยบุญแย่งชิงบุญไม่ได้ ดังนั้นเมื่อผู้มีบุญอุทิศให้ หากผู้ถูกระบุชื่อยังอยู่ในสถานะที่มารับไม่ได้ บุญที่มีผู้อุทิศให้ยังคอยเขาอยู่ จนกว่าเหตุปัจจัยลงตัวเขาจึงจะรับบุญที่อุทิศให้ได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 20 พ.ค. 2010, 04:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1. บิดาดิฉันเป็นคนอารมณ์ร้อนมากคะ ชอบทะเลาะมีเรื่องกับคนอื่นง่าย ๆ พูดก็ไม่ค่อยฟัง และไม่ค่อยชอบเข้าวัด ดิฉันไม่อยากให้บิดาต้องไปอยู่อบายภูมิเมื่อตายไปแล้ว ดิฉันจะช่วยท่านได้อย่างไรคะ

คำตอบ
ไม่มีใครช่วยใครได้แท้จริง ตัวเองเท่านั้นที่ช่วยตัวเองได้ คนมีโทสะรุนแรงต้องเจริญเมตตาด้วยการบริกรรมว่า “ ช่างมันเถอะ ๆ ๆ ๆ ” ทุกครั้งที่มีเหตุขัดใจเกิดขึ้น ทำบ่อย ๆ จนกระทั่งโทสะเบาบางลงและหายไป หรือใช้เพ่งกสิณ เป็นองค์บริกรรมก็ได้


2. การทำงานคนส่วนใหญ่ก็อยากก้าวหน้าในหน้าที่การงาน แต่ก็ต้องขวนขวาย อยากมีอยากได้ตำแหน่งที่ใหญ่โต แต่ในทางพุทธศาสนาสอนให้รู้จักพอ ไม่ละโมภ ไม่อยากมีอยากได้ มันขัดแย้งกันหรือไม่ อย่างไรคะ



คำตอบ
จะอยู่กับโลกที่อุดมด้วยความทุกข์ หรือจะอยู่กับธรรมที่ห่างจากทุกข์ก็อยู่ที่ตัวคุณเองว่าจะเลือกอย่างไหน ผู้รู้ เลือกที่จะอยู่กับโลกแต่พออยู่พอกิน เพราะรู้ว่าเมื่อทิ้งขันธ์ลาโลกไปแล้ว สิ่งต่าง ๆ ในทางโลกที่หลายคนแสวงหาคือโลกธรรมและวัตถุ ล้วนต่างต้องทิ้งให้เป็นกำพร้าไว้กับโลก เอาติดตัวไปเกิดใหม่ไม่ได้ เขาจึงไม่แสวงหาให้เกินพอดีกับชีวิต

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 20 พ.ค. 2010, 04:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดิฉันอยากทราบว่า หากมารดาเข้าปฎิบัติกรรมฐานเจตนาเพื่อแผ่ส่วนกุศลให้กับบุตรที่ยังมีชีวิต เพื่อช่วยให้บุตรของตนมีชีวิตที่ดีขึ้นและลดอุบากกรรมที่เป็นอยู่ กุศลนั้นจะส่งผลถึงบุตรไหมคะ เพราะตลอดอายุของบุตรที่ผ่านมาพานพบแต่อุปสรรคและสิ่งชั่วร้าย ทั้งที่มาจากตัวของบุตรเป็นผู้กระทำเองและคนอื่นเป็นผู้กระทำกับบุตร และจะต้องใช้เวลานานเท่าใด หากมารดามีเวลาจำกัด

ที่จะเข้ากรรมฐาน สักกี่วันคะ ถึงจะได้ ด้วยเจนตาทั้งหมดปรารถนาที่จะช่วยบุตรของตนให้พ้นจากทุกข์ หรือลดวิบากกรรมเป็นที่ตั้ง หากไปเข้ากรรมฐานกับพระที่วัดแล้ว เราสามารถกลับมาฝึกเองที่บ้านได้ไหมคะ แล้วผลที่ได้เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเราเข้ากรรมฐานได้ถูกต้อง


ด้วยความเคารพและความนับถือ
หัวอกแม่

คำตอบ
ปฏิบัติกรรมฐานเพื่อแผ่ส่วนกุศลให้กับบุคคลที่ยังมีชีวิตอยู่สามารถทำได้ ในกรณีนี้มารดาต้องมีความถี่คลื่นจิตตรงกับความถี่คลื่นจิตของบุตร ก็สามารถส่งบุญกุศลให้บุตรได้และบุตรก็สามารถรับบุญกุศลที่ส่งไปให้ได้

ถามไปว่าต้องใช้เวลานานเท่าใด ไม่มีใครสามารถบอกได้ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับ เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายของบุตร เขาจะยกเลิกการจองเวรให้เมื่อไร

ทำไมไม่นำตัวเองเข้าฝึกกรรมฐานช่วงยาว เช่น 7 คืน 8 วันหรือ 10 วันหรือมากกว่า แล้วขอความเมตตาจากผู้ที่เข้าร่วมการฝึกช่วยอุทิศบุญกุศล ที่เขาเหล่านั้นมีอยู่ใช้หนี้แทนบุตร ซึ่งจะทำให้อกุศลวิบากของบุตรหมดเร็วขึ้น

ฝึกกรรมฐานที่วัดแล้ว สามารถนำวิธีการกลับมาฝึกต่อที่บ้านได้ ส่วนจะรู้ว่าฝึกได้ถูกต้องหรือไม่ ต้องสอบอารมณ์กับครูผู้ให้การฝึก หรือ ใช้วิธีตรวจสอบใจตัวเอง ตามธรรมและวินัยที่พระโคตรมีได้รับพระราชทานคำสอนมาจากพระพุทธะ คือเมื่อปฏิบัติกรรมฐานถูกทาง ต้องสำรอกราคะ ไม่ติดในภพ ไม่เพิ่มกิเลส มักน้อย สันโดษ ไม่คลุกคลีหมู่คณะ ความเพียรเพิ่ม และต้องเลี้ยงดูง่าย

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 20 พ.ค. 2010, 05:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ปฎิทินที่มีรูปพระ เมื่อหมดปีแล้ว ปฎิทินก็ไม่ได้ใช้แล้ว ทีนี้จะเก็บเคลียร์บ้าน จะทำอย่างไรกับรูปพระดี ถ้าทิ้งจะบาปไหม ถ้าบาปเป็นบาปอย่างไร



คำตอบ
เมื่อนำปฏิทินที่มีรูปพระไปทิ้งแล้ว ทำให้จิตของคุณเศร้าหมอง ถือว่าเป็นบาป บาปเกิดจากเหตุที่จิตตกเป็นทาสของวัตถุสมมติ

ถามไปว่าแล้วจะทำอย่างไรดี ต้องแก้ที่ต้นเหตุ คือพัฒนาจิตวิญญาณตัวเองให้เป็นอิสระจากสมมติ คือให้เกิดปัญญาเห็นแจ้ง เห็นสรรพสิ่งดับไปตามกฎไตรลักษณ์ จิตก็จะเป็นอิสระจากรูปพระที่อยู่ในปฏิทิน แล้วบาปก็จะไม่เกิดขึ้นกับใจของคุณ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 20 พ.ค. 2010, 05:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1.การที่ได้ถวายสิ่งของที่ผิดวินัยแก่พระอรหันต์หรือสงฆ์ ย่อมมีอานุภาพ - บุญ ไว้รอเป็น 2 ทาง อย่างละมากๆ ใช่หรือไม่ เช่น การถวาย เงิน ทอง อาหารที่ผิดเวลาและผิดวินัย ยาที่อายุสั้นแต่ถวายไว้เป็นยาอายุยาว (การซื้อถังสังฆทานที่ไม่มีโอกาสได้ตรวจของในนั้น) ดิฉันอ่านแล้วเข้าใจว่าการถวายสิ่งของให้แก่พระสงฆ์ คนทำมีสิทธิได้บุญและบาปเท่ากัน หากเป็นอย่างนั้นจริง การถวายจะต้องปฏิบัติอย่างไร จึงจะมีแต่บุญ

คำตอบ
กรรมอยู่ที่เจตนา ผู้ถวายไม่ทราบว่าอะไรควรถวาย อะไรมีควรถวายให้สงฆ์ ผู้ถวายมีเจตนาดีถวายแล้วได้บุญ ส่วนสงฆ์ได้รับการถวายจากฆราวาส หากท่านมีความรู้ในพระวินัย จะรู้ว่าท่านใดรับได้ท่านจะรับ ทานใดรับไว้แล้วผิดวินัยจะไม่รับ ฉะนั้นฆราวาสควรศึกษาวินัยของสงฆ์ให้เข้าใจ และพิถีพิถันในการคัดเลือกของที่จะนำไปถวายเป็นทาน ความมั่นใจในการถวายทานจะเกิดขึ้น ถวายแล้วจะได้รับอานิสงส์แห่งบุญมากว่าท่านบริโภคใช้สอยแล้วเป็นโทษท่านจะงด เว้น ทานใดบริโภคใช้สอยแล้วไม่เป็นโทษ ท่านจะฉลองศรัทธาให้กับผู้ถวาย

2.เมื่อเห็นพระกระทำความผิด โยมเตือนได้หรือไม่ หากเตือนแล้วไม่ฟัง ไม่นับถือเลื่อมใส บาปหรือไม่



คำตอบ
หากคำว่าพระหมายถึงสงฆ์สาวกของพระพุทธะ ท่านจะไม่กระทำความผิดวินัย แต่หากหมายถึงสมมุตสงฆ์ยังทำผิดพระวินัยได้ การว่ากล่าวตักเตือนสมมุตสงฆ์เป็นหน้าที่ของสงฆ์ผู้เป็นอุปัชฌาย์ สงฆ์ผู้ครูบาอาจารย์ สามารถว่ากล่าวตักเตือนได้เพราะบวชเป็นสมณเพศเดียวกัน ฆราวาสอยู่ในเพศที่ต่ำกว่า หากไปว่ากล่าวตักเตือนถือว่าเป็นบาป

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 20 พ.ค. 2010, 05:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมมีเรื่องกราบเรียนถามท่านอาจารย์ คือเมื่อทำสมาธิบริกรรมพุทโธไปเรื่อยๆจนหายใจละเอียด คำบริกรรมหายไป ผมจึงดูลมหายใจต่อไป ทำอย่างนี้ถูกต้องหรือไม่อย่างไรครับและขอคำแนะนำ ที่ท่านอาจารย์ในการปฏิบัติเพื่อความเจริญก้าวหน้าต่อไป

คำตอบ
เมื่อคำบริกรรมหายไปแสดงว่าสติยังไม่มีกำลังกล้าแข็งพอ จึงตามระลึกรู้ลมหายใจไม่ได้ การสร้างอิริยาบถใหญ่ด้วยการสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ทำถูกทางแล้ว และต้องตามดูลมหายใจที่กำหนดคำบริกรรมว่าพูดอะไร บริกรรมไปเรื่อย ๆ หากสติมีกำลังมากพอ คำบริกรรมจะไม่หายไปไหน

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 20 พ.ค. 2010, 05:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1. เคยอธิษฐานว่าขอให้เจอพระอรหันต์ ก็ได้ไปกับลูกศิษย์หลวงตามหาบัว ไปพบพระหลายรูป วันกลับมีเหตุถูกคนขับรถพูดจาลวนลามเกิดโทสะและความกลัวไปบอกคณะนั้นว่า หนูจะไม่ไปกับพวกเขาอีก เลยไม่ได้ไปกับเขาอีกเลย

2.เคยอธิษฐานเกือบทุกครั้งเลยว่าขอให้ได้ปฏิบัติธรรมโดยสะดวกและ ได้มีความก้าวหน้าในธรรมอย่างต่อเนื่อง ก็ค่อนข้างสะดวกค่ะ และอาจจะเรียกว่าก้าวหน้านิดๆหน่อยๆค่ะ

3. หนูเคยไปปฏิบัติธรรมที่เชียงใหม่ วัดพระธาตุศรีจอมทอง ได้ความสงบ ความทุกข์จากการปวดขาและการต่อสู้เหมือนที่อาจารย์เล่าให้ฟัง หนูได้เอาชนะความเจ็บปวดนั้นได้ ได้เห็นบางอย่างแถวกลางอกแต่มันไม่ค่อยชัด แต่เป็นความรู้สึกอัศจรรย์เหมือนมันไม่น่าเชื่อว่าการปวดมันจะหายไป แต่ก็ไม่ได้อยู่ปฏิบัตินานพอที่จะพิสูจน์มันให้ชัดต่อไปเพราะต้องไปเรียนต่อ หนูจึงอธิษฐานกับพระธาตุค่ะว่าหนูจะขอให้ได้กลับมาที่วัดแห่งนี้อีกเพื่อมา ปฏิบัติธรรม จนบัดนี้ยังไม่ได้กลับไปค่ะ

4. หนูเรียนปริญญาเอกทางด้านเทคโนโลยีอยู่ที่สถาบันนานาชาติในมหาวิทยาลัยแห่ง หนึ่งค่ะ หนูได้พบฝรั่งผู้ชายคนหนึ่ง ตอนนั้นจิตหนูยังนิ่งพอสมควรและศีลบริสุทธิ์ ได้เกิดความคิดว่า น่าจะนำธรรมมะไปให้เขาเพราะเขาเป็นคนมีศีลธรรมและมีเมตตาสูงอยู่แล้วค่ะ หนูเลยตั้งจิตอธิษฐานว่าจะนำพาคนๆนี้เข้าสู่ธรรมมะ แต่มันเป็นความอ่อนแอของหนูเองที่วันหนึ่งไปตกลงใจเป็นแฟนเขา โกหกพ่อแม่ด้วยค่ะ เพื่อขึ้นเครื่องบินไปหาเขา (เสียใจมากๆค่ะ) หนูยังไม่ได้ชักชวนเขาเข้าทางธรรมมะเลยก็ต้องกลับมาประเทศไทยค่ะ (หนูไม่ได้ผิดประเวณีกับเขาค่ะ) ตอนนี้เหมือนเขาอยากเปลี่ยนใจมาเป็นเพื่อนเฉยๆ เพราะเขากำลังมีทุกข์มากค่ะจากการดิ้นรนหาเงินและภาระการดูแลแม่ที่แก่แล้ว หนูก็ทุกข์ด้วยเพราะหนูรู้สึกอกหักและสงสารเขา รู้สึกผิดที่ช่วยอะไรเขาไม่ได้ การช่วยเหลือตัวเองหนูใช้วิธีฟังธรรมซึ่งจะรู้สึกดีมากๆไม่ทุกข์เลย ก่อนนอนก็ต้องฟังธรรมไม่งั้นทุกข์ค่ะ นอนไม่หลับ

คำถาม

ตอนนี้ก็เลยจะหันหน้ากลับไปวัดเดิมที่ไปอธิษฐานไว้ซึ่งกำหนดไว้ ว่ามิถุนายน 2550 (กำลังจะชวนแม่กับเพื่อนไปด้วย) เรื่องแฟนและการอธิษฐานช่วยเหลือฝรั่งแฟน หนูยังอยากช่วยคนๆนี้อยู่ ให้เขาได้ฝึกปฏิบัติสติปัฏฐานสี่ตราบเท่าที่เขายังไม่ตาย แต่หนูรู้สึกสับสนว่าเราปราถนาทั้งการได้เขากลับมาและการได้ช่วยเขาได้เห็น ทางพ้นทุกข์ มันจึงไม่บริสุทธิ์เหมือนตอนแรกที่ยังไม่เป็นแฟน คือตอนนั้นต้องการช่วยเหลือเขาเฉยๆ

1. เช่นนี้แล้วควรจะอธิษฐานอย่างไร ควรจะยกเลิกก่อนแล้วอธิษฐานใหม่หรือไม่ (เพราะผิดศีลคือโกหกพ่อแม่ไปแล้ว) หรือว่าการอธิษฐานจิตแบบนี้ไม่บริสุทธิ์ใจ ไม่ควรทำ...นางอมิตตาก็อธิษฐานถึงสองอย่างในครั้งเดียว (หนูเห็นแก่ตัวและจิตไม่บริสุทธิ์อยากได้ทั้งสองอย่างค่ะ ขออาจารย์ได้ตบกะโหลกให้กิเลสหลุดบ้าง)

คำตอบ
กิเลสมิได้หมดไปด้วยการตบกะโหลก กิเลสหมดไปด้วยการปฏิบัติจิตตภาวนาจนเกิดปัญญาเห็นแจ้งแล้วใช้ปัญญาเห็นแจ้ง ตามดูกิเลสที่เกิดขึ้นในใจจนกระทั่งดับไป(อนัตตา) ตามกฎไตรลักษณ์

ควรยกเลิกอธิษฐานเก่าทั้งหมดต่อหน้าพระรัตนตรัยให้ได้ ก่อน แล้วตั้งอธิษฐานใหม่ว่า “ ชีวิตนี้ขอให้ได้ดวงตาเห็นธรรม ” การอธิษฐานจะศักดิ์สิทธิ์ได้ต้องทำตัวเองให้เป็นผู้มีสัจจะ มีศีลคุ้มครองใจอยู่ทุกขณะตื่น และต้องทำแหตุให้ตรง ด้วยการนำตัวเองไปปฏิบัติจิตตภาวนา


2. หนูจะทำทานใหญ่ (หนูว่าจะไปเป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารผู้ปฏิบัติธรรม) อธิษฐาน รักษาศีล 8 และจะทำเหตุให้ตรง แต่สงสัยว่าควรทำเหตุอย่างไร เพราะอจ.พูดถึงการถวายยา และอธิษฐานไม่ให้ป่วย แต่ตอนนี้อยากทำการช่วยเหลือคนให้พ้นทุกข์ ได้ช่วยให้คนห่างไกลพระพุทธศาสนาได้พบและเกิดในแผ่นดินที่มีวิชาพ้นทุกข์

คำตอบ
อยากช่วยให้คนอื่นพ้นทุกข์ต้องพัฒนาตัวเองให้ห่างไกลหรือพ้นไปจากความทุกข์ ให้ได้ก่อน แล้วจึงจะสามารถช่วยผู้อื่นให้พ้นทุกข์ตามได้ เหตุตรงคือนำตัวเองเข้าปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานจนได้ดวงตาเห็นธรรมเมื่อไร เมื่อนั้นโอกาสที่จะพ้นไปจากทุกข์จึงมีได้เป็นได้

3. อันนี้ไม่เกี่ยวกับหนู แต่หนูอยากทราบว่า อจ. ปรารถนาพุทธภูมิหรือเปล่าคะ



คำตอบ
การส่งจิตออกนอกกาย เป็นพฤติกรรมของคนที่ขาดสติจะเข้าถึงปัญญาเห็นแจ้งได้ต้อง คุมจิตตัวเองไม่ให้ออกไปรับสิ่งกระทบนอกกายให้ได้ก่อน แล้วสิ่งที่ถามไปก็จะรู้ได้ด้วยตัวเอง

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 20 พ.ค. 2010, 05:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1. กรณีที่ผู้ป่วยประสบอุบัติเหตุแล้วกลายเป็นเจ้าชายนิทรา อยู่ได้เพราะเครื่องช่วยหายใจ ถ้าเอาเครื่องช่วยหายใจออกก็จะเสียชีวิต อย่างนี้ถือว่าเสียชีวิตหรือยังค่ะ (ถ้าทางการแพทย์ถือว่าเสียชีวิตแล้ว)

คำตอบ
ประสบอุบัติเหตุ แล้วอยู่ในสภาพเจ้าชายนิทราจิตยังอยู่กับร่างกาย ในทางพุทธศาสนาไม่ถือว่าเสียชีวิต

2. ญาติผู้ที่อนุญาติให้เอาเครื่องช่วยหายใจออก จะบาปหรือไม่

คำตอบ
บาปเพราะผู้อนุญาตเป็นต้นเหตุ ให้จิตของคนไข้ต้องออกจากร่างกาย


3. เกิดอะไรกับดวงจิตของผู้ป่วยค่ะ
ด้วยความเคารพอย่างสูง


คำตอบ
ให้ผลจึงเกิดเป็นอกุศลวิบากขึ้นกับดวงจิต

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 20 พ.ค. 2010, 05:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หนูเคยเรียนอยู่โรงเรียนคริสต์ค่ะ แต่หนูนับถือพุทธน่ะค่ะ หนูเชื่อว่าพระเจ้ามีจริงและเคยได้พระเจ้าช่วยเอาไว้ค่ะ
และเคยขอพรพระโพธิสัตว์กวนอิมที่หนูนับถือด้วยค่ะ ตอนนี้คุณแม่บอกให้หันมาปฏิบัติธรรมอย่างจริงจัง แต่หนูลังเลอยู่ค่ะ
เพราะหนูคิดว่าถ้าหนูหันมาปฏิบัติธรรมอย่างจริงจังจะเป็นการหักหลังพระเจ้า หรือเปล่า เพราะศาสนาคริสต์เชื่อว่าต้องนับถือพระเจ้าองค์เดียว
แต่ถ้าหนูหันไปหาคริสต์จะเป็นการหักหลังพระโพธิสัตว์รึเปล่าค่ะ

คำตอบ
คำว่า “ หักหลัง ” มีความหมายว่า ร่วมใจกันมาก่อนแล้วกลับทรยศ และคำว่า
“ อิสรภาพ ” มีความหมายว่า เป็นไทแก่ตัว

มนุษย์เป็นสัตว์ที่มีอิสรภาพในการเลือกทางเดินให้กับ ชีวิต เลือกทางชีวิตเป็นแบบไหน ขึ้นอยู่กับสติปัญญาของตัวเอง ตัวอย่างเช่นปิปผลิมาณพ (พระมหากัสสปะ) เป็นลูกเศรษฐีตระกูลพราหมณ์ หักหลังตระกูลด้วยการทิ้งสมบัติเศรษฐี แล้วออกบวช ได้พัฒนาจิตวิญญาณตนองไปสู่อิสรภาพสูงสุดของชีวิตได้ จากตัวอย่างจะเห็นได้ว่า ปิปผลิมาณพเลือกที่จะมีจิตเป็นอิสระจากการถูกครอบงำ ด้านความคิดจากคำสอนของผู้อื่น ฉะนั้นปัญหาที่ถามไปอยู่ที่คุณเป็นผู้เลือกด้วยตัวเองคำสอนของพระคริสต์ คำสอนของพระโพธิสัตว์ คำสอนของพระพุทธะ ล้วนเป็นคำสอนที่มุ่งให้คนทำความดีด้วยกันทั้งนั้น แต่คำสอนใดจะดีกว่า คำสอนใดจะดีที่สุด อยู่ที่ศักยภาพทางปัญญาของคุณว่าจะสามารถวิเคราะห์และเข้าถึงความดีระดับไหน ได้ก็จะมีสิทธิ์เลือกได้ไม่เกินสติปัญญาที่มีอยู่

อดีตคุณนับถือศาสนาพุทธมาก่อน แล้วมาให้พระคริสต์ช่วยและยังได้ขอพรจากพระโพธิสัตว์ อย่างนี้ก็ถือได้ว่าหักหลังพระพุทธะแล้วอย่างน้อย 2 ครั้ง พระพุทธะมิได้สอนให้ขอความช่วยเหลือ มิได้สอนให้ขอพรจากผู้ใด แต่สอนให้ทำด้วยตัวเอง เมื่อเหตุปัจจัยลงตัวแล้ว สิ่งที่คาดหวังต้องการก็จะเกิดขึ้น ผู้ตอบปัญหาเคยเข้าไปบรรยายธรรมในทัณฑสถาน ได้เห็นนักโทษที่นับถือศาสนาอื่นมาติดคุก หากการขอความช่วยเหลือเป็นไปได้จริง การขอพรเป็นไปได้จริง เขาคงไม่ต้องนำตัวเองมามีชีวิตอยู่ในสถานที่เช่นนั้น

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 20 พ.ค. 2010, 05:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมมีคำถามรบกวนอาจารย์สนองช่วยตอบหน่อยครับ คือว่า ถ้าคนดูหนังโป๊ หรือหนังลามก แล้วเกิดอารมณ์ ในขณะเดียวกัน ก็สำเร็จความใคร่ด้วยตัวเอง อย่างนี้จะเป็นบาปหรือไม่ อย่างไร แล้วจะแก้บาปนี้ได้อย่างไร ผมต้องขอโทษด้วยครับที่ถามคำถามแบบนี้ แต่ผมสงสัยมานานแล้ว และยังหาคำตอบไม่ได้



คำตอบ
บุคคลใดมีจิตเป็นทาสของกิเลส ตัณหา อุปาทาน เรียกได้ว่าบุคคลนั้นมีบาปสั่งสมอยู่ในจิตวิญญาณ ประสงค์จะทำบาปให้หมดไป ต้องทำจิตให้เป็นอิสระจากกามด้วยการพัฒนาปัญญาเห็นแจ้งให้เกิดขึ้น แล้วใช้ปัญญาเห็นแจ้งดับความใคร่ด้วยการพิจารณาผัสสะให้ดับไปตามกฎไตรลักษณ์ จิตจึงจะเป็นอิสระจากกามได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 20 พ.ค. 2010, 05:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1.ขณะที่กำลังปฏิบัติร่วมกันอยู่ ถ้ามีคนไอ หรือจาม มักจะตกใจ เป็นเพราะอะไรคะ จะมีวิธีการแก้อย่างไรคะ

คำตอบ
อาการตกใจเกิดขึ้นกับคนที่ขาดสติ ต้องแก้ไขด้วยการปฏิบัติสมถภาวนา ให้จิตมีกำลังของสติเพิ่มมากขึ้น แล้วอาการตกใจจะไม่เกิดขึ้นอีก


2.คือหนูมีความตั้งใจปฏิบัติธรรม ไปตลอดชีวิตคะ เพราะรู้สึกว่าเป็นทางเดียวเท่านั้นที่จะช่วยหนูให้พ้นทุกข์ได้ แต่มีข้อสงสัยว่าถ้าชาตินี้สมมติไม่สามารถบรรลุธรรมขั้นต่ำสุดคือเป็น โสดาบัน แล้วตายไป และสมมติต่ออีกว่าชาติต่อไปมีโอกาสเกิดเป็นมนุษย์อีก หนูต้องเริ่มต้นปฏิบัติใหม่หมดเลยหรือไม่ หมายความว่าสิ่งที่หนูได้ทำไปในชาตินี้เท่ากับเป็นศูนย์หรือไม่



คำตอบ
คนทียังมีความสงสัยอยู่ในจิต ความเป็นอริยบุคคลขั้นโสดาบันไม่อาจเกิดขึ้นได้ สิ่งที่สมมุตินั้นมีต้นเหตุมาจากจิตที่มีความเห็นผิด ควรแก้ไขด้วยการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานจนเกิดปัญญาเห็นแจ้งได้แล้ว ความเห็นถูกจะกลับมา สุดท้ายทุกสิ่งที่บุคคลคิดแล้ว พูดแล้ว ทำแล้ว จะถูกเก็บสั่งสมไว้ในดวงจิต ดูตัวอย่างของพระโพธิสัตว์ กว่าจะได้มาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ต้องเวียนตาย เวียนเกิดมายาวนาน เพื่ออบรมสั่งสมบารมีให้เต็ม ฉะนั้นสิ่งที่ทำให้แล้วไม่สูญเปล่าเมื่อไปเกิดใหม่ในภพถัดไปต้องนำสิ่งที่ สั่งสมไว้นั้นไปเกิดใหม่ด้วย

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 20 พ.ค. 2010, 05:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดิฉันมีขอสงสัยอยากจะเรียนถามท่านค่ะ ผู้ที่มีความเพียรทำบุญ ทำกุศลมามาก
แต่จิตสุดท้ายก่อนตายเกิดความโกรธแต่ไม่ได้ทำร้ายผู้ใดด้วยการกระทำและคำพูด
แล้วต้องไปเกิดในทุคติภูมินรกหรือเปล่าค่ะถ้าใช่ กรุณาอธิบายให้เข้าใจ
หน่อยค่ะว่าทำไมความโกรธถึงให้ผลรุนแรงขนาดนั้นคะและบุญกุศลไม่สามารถช่วย ได้เลยหรือคะ

กราบด้วยความเคารพอย่างสูง

คำตอบ
กรรมใกล้ตาย (อาสันนกรรม) ที่เป็นอกุศลคือความโกรธ ถ้าไม่มีกรรมหนัก (ครุกรรม) ฝ่ายดี และไม่มีกรรมฝ่ายดีที่ทำบ่อย ๆ จนเคยชิน (อาจิณกรรม) มาชิงให้ผลตัดหน้า กรรมใกล้ตายที่เป็นอกุศลย่อมให้ผลก่อนกรรมอื่น

เหตุที่ความโกรธให้ผลรุนแรง เพราะความโกรธแสดงผลขณะที่จิตกำลังออกจากร่าง จิตจึงต้องไปเสวยอกุศลจิตวิบากในภพถัดไปบุญกุศลไม่สามารถช่วยได้ เพราะเป็นกฎแห่งกรรมซึ่งแน่นอนตายตัว แต่บุญกุศลจะให้ผลได้ต่อเมื่ออกุศลวิบากนั้นจบสิ้นแล้ว

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 20 พ.ค. 2010, 05:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1.คำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ว่า "จิตเต อสังกิลิฏเฐ สุคติ ปาฏิกังขา" นั้น คำว่าจิตผ่องใส ไม่เศร้าหมองนั้น มีความหมายครอบคลุมอย่างไร เช่น ในกรณีที่เราเสียชีวิตในขณะนั่งสวดมนต์หรือปฏิบัติกรรมฐานหรือทำบุญด้วยวิธี ใดก็ตาม ตามหลักของบุญกิริยาวัตถุ10 นั้น ในขณะนั้นจิตย่อมเกษมผ่องใส ไม่เศร้าหมอง มีสติอยู่กับการทำบุญชนิดนั้น ๆ ที่หมายคือสุคติภูมิแน่นอน แต่ถ้าในกรณีที่เราเสียชีวิตด้วยทางอื่นเช่น เรากำลังขับรถไปแล้วจิตจดจ่อ มีสติอยู่กับการขับรถ ระลึกรู้อยู่ตลอดเวลาในอิริยาบทของการขับรถ แต่ระหว่างขับไปนั้นเกิดอุบัติเหตุขึ้นจนเสียชีวิต อยากเรียนถาม อ.ว่าจิตดวงสุดท้ายที่ดับไปนั้น จะเรียกได้ว่าจิตมีสติได้หรือไม่ หรือจะเรียกว่าจิตไม่เศร้าหมองได้หรือไม่ แล้วที่หมายที่ไปจะเป็นเช่นไร

คำตอบ
ชั่วขณะจิตที่มีการเกิด-ดับ เร็วเกินกว่าที่ระบบประสาทจะสัมผัสได้ ขณะขับรถมีสติก็จริง แต่ขณะเกิดอุบัติเหตุ เป็นผลของการขาดสติ ห้วงเวลาที่เกิดอุบัติเหตุกับห้วงเวลาที่จิตหลุดออกจากร่างนั้น ห่างกันหลายชั่วขณะจิต หากจิตดวงสุดท้ายก่อนออกจากร่างระลึกถึงกรรมดีที่ทำไว้เรียกว่าจิตมีสติ จิตมีสติเป็นจิตที่ไม่เศร้าหมองที่หมายไปเกิดใหม่ในสุคติภพ


2. การตั้งจิตอธิษฐานว่า "หากจะละทิ้งขันธ์ หรือตายไปจากภพมนุษย์นี้ ขอให้ไปด้วยอาการสงบ" (ผมหมายถึงการตายโดยธรรมชาติ ไม่ใช่อุบัติเหตุแบบปัจจุบันทันด่วน) เพื่อที่เราจะได้มีโอกาสตามดูจิตของตัวเองให้คิดถึงแต่กุศลกรรมที่ได้ทำไว้ ก่อนนั้น ถือว่าเป็นมิจฉาทิฎฐิ หรือไม่อย่างไร

ขอขอบพระคุณ อ. ที่เมตตาตอบคำถามครับ

คำตอบ
การตั้งจิตอธิษฐานอย่างที่บอกไป ไม่เป็นการอธิษฐานที่เป็นมิจฉาทิฏฐิ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1521 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 19, 20, 21, 22, 23, 24, 25 ... 102  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร