วันเวลาปัจจุบัน 25 ส.ค. 2025, 09:36  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 1521 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 22, 23, 24, 25, 26, 27, 28 ... 102  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 23 พ.ค. 2010, 01:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


แพทย์ผ่าตัดผู้ป่วยเป็นบาปมั๊ยคะ
สงสัยว่า แพทย์ที่ให้คำวินิจฉัยตามหลักวิชาการ (ทางโลก) ว่าผู้ป่วยเป็นโรคมะเร็ง แล้วผู้ป่วยได้รับการรักษา (ทางโลกอีกเช่นกัน) ด้วยการผ่าตัดอวัยวะทิ้งไป เช่น ตัดแขน, ขา, เต้านม, ปอด,และ ลำไส้ เป็นต้น หรือ ได้รับการรักษาด้วยเคมีบำบัด รวมทั้งแพทย์ที่ทำการผ่าตัดรักษาดังกล่าว เป็นบาปหรือไม่คะ เพราะเหมือนเป็นการเปลี่ยนแปลงกรรมของคนไข้ที่ต้องมาเป็นโรคนั้นๆ และ การรักษาแบบนี้ก็ทำให้ผู้ป่วยมีความทุกข์ไปอีกแบบคือ ต้องเสียอวัยวะและต้องรับผลแทรกซ้อนจากการรักษา แลกกับการที่อาจจะมีอายุยืนยาวขึ้นอีกชั่วพริบตาเดียว


คำตอบ
หมอที่เข้าไปมีส่วนร่วมในวงจรอกุศลกรรมระหว่างคนไข้กับเจ้ากรรมนายเวรที่เขา ผูกเวรกันไว้ อานิสงส์บาปย่อมเกิดขึ้นกับผู้ที่เข้าไปมีส่วนร่วมแน่นอน หมอมิใช่ผู้ไปเปลี่ยนแปลงกรรมของคนไข้ คนไข้ทำอกุศลกรรมด้วยตัวของคนไข้เอง เมื่อใดที่กรรมให้ผล เขาจึงต้องรับอกุศลวิบากคือความเจ็บป่วย เมื่อหมอเข้าไปรักษาคนไข้ด้วยการผ่าตัด หรือด้วยการใช้สารเคมีบำบัด หมอจึงเป็นผู้เข้าไปมีส่วนร่วมในการเปลี่ยนแปลงอกุศลวิบากของคนไข้ ทำให้คนไข้ต้องได้รับอกุศลวิบากคือความทุกข์ไปเป็นอีกแบบหนึ่ง ก็ยังถือว่าเป็นบาปเช่นกัน ด้วยเหตุนี้พระพุทธะ จึงได้บอกว่าอาชีพรักษาคนไข้ เป็นเดรัจฉานวิชาห้ามสงฆ์สาวกกระทำ ทำแล้วเป็นการสร้างกรรมให้กับตัวเอง เป็นการขวางทางที่จะนำพาชีวิตให้พ้นไปจากวัฏสงสารได้ แต่พระพุทธะมิได้ห้ามฆราวาสกระทำ เพราะมีเป้าหมายของชีวิตต่างกัน พระพุทธะสอนให้ฆราวาสอยู่กับทุกข์ได้โดยให้มีทุกข์เท่าที่จำเป็น คือทุกข์ประจำที่เกิดจากชาติ (การเกิด) เวียนเกิดในสังสารวัฏ ด้วยเหตุนี้นี่เองหมอชีวก จึงมิได้บวชเป็นพระสงฆ์ในพุทธศาสนา แต่สามารถพัฒนาจิตวิญญาณตัวเอง จนเข้าสู่ความเป็นอริยบุคคลขั้นต้น (โสดาบัน) ซึ่งไม่ต้องลงไปเกิดเป็นสัตว์ในอบายภูมิ ซึ่งมีความทุกข์มากได้

ฉะนั้นที่บอกเล่ามา จึงสรุปได้ว่า หมออย่าเพิ่งเลิกอาชีพรักษาคนไข้ เพราะหมอยังต้องเป็นสมาชิกของสังคม คนเจ็บป่วยในสังคมยังมีประโยชน์ให้หมอได้สร้างบุญสร้างบารมีได้อยู่ หากทำได้อย่างที่หมอชีวกได้ทำให้ดูเป็นตัวอย่างได้เมื่อใดแล้ว ผู้ตอบปัญหาอนุโมทนาด้วยคำว่า สาธุ ๆ ๆ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 23 พ.ค. 2010, 01:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1. พี่สาวซื้อบ้านใหม่และมีผู้แนะนำให้ตั้งตี่จูเอี๊ย พี่สาวได้ทำตาม แต่ปรากฎว่าหลังจากตั้งศาลแล้วพี่สาวไม่ได้อยู่บ้านตนเองเลย เพราะกลับมาอยู่บ้านแม่ และไม่ได้กลับไปดูแลบ้านตัวเอง จึงไม่ได้กราบไหว้บูชาศาลเจ้าเลย จะเกิดอะไรขึ้นกับพี่สาวไหมคะ เพราะแม่ต้องการพี่สาวมาดูแล แต่แม่ไม่เคยแนะนำให้พี่สาวกลับไปไหว้เจ้าที่บ้านเลยค่ะ

คำตอบ
ตั้งศาลตี่จูเอี้ยแล้วไม่ได้เซ่นไหว้เลยก็เท่า กับว่าเจ้าที่ไม่ได้รับทานที่เกิดจาการเซ่นไหว้ พี่สาวจึงไม่มีเพื่อนที่อยู่ต่างมิติ หากมีปัญหาใดเกิดขึ้นกับบ้านใหม่ที่ไปซื้อทิ้งไว้จะไม่มีใครช่วยปกป้องคุ้ม ครองให้ปลอดจากภัย


2. ดิฉันปฏิบัติธรรมมาระยะเวลาพอสมควร แต่ยังไม่ก้าวหน้า ควรทำอย่างไรคะจึงจะปฏิบัติธรรมได้ดี ด้วยควารมเคารพอย่างสูง

คำตอบ
หวังความก้าวหน้าเกิดขึ้นจากการปฏิบัติธรรมอย่างน้อยต้องทำให้ได้ 3 เรื่อง ดังนี้
1. ผู้ปฏิบัติต้องมีอย่างนี้ศีล 5 คุมใจอยู่ทุกขณะตื่น
2. ต้องเจริญจิตภาวนาทุกครั้งที่ว่างจากงานของสังคมและเจริญจิตภาวนาทุกครั้ง ที่นึกได้
3. ต้องอุทิศบุญกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวร หลังเสร็จจากการปฏิบัติธรรม
หากทำได้ทุกอย่างที่แนะนำ มรรคผลแห่งการปฏิบัติธรรมย่อมเกิดขึ้น

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 23 พ.ค. 2010, 01:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ได้ฟังคำบรรยายของท่านทาง Internet เรื่องอธิษฐานบารมี อยากทราบว่า
- มหาทานนั้นสามารถทำได้อย่างไร โดยวิธีไหน
- หากอธิษฐานว่าขอให้เจอกัลยามิตรที่ดี อยู่ในสังคมที่ดี ต้องสร้างเหตุให้
ตรงอย่างไร

ขอขอบพระคุณอย่างสูงค่ะ

คำตอบ
คำว่า “ มหาทาน ” หมายถึงการบริจาคทานอันยิ่งใหญ่ เป็นทานที่บริจาคแล้วเกิดอานิสงส์มาก ในยุคสมัยนี้คนที่เกิดมาไม่มีโอกาสได้พบพระพุทธเจ้า การถวายทานกับอริยบุคคลในวันที่ท่านออกจานิโรธสมาบัติเป็นมหาทาน การสร้างศาลาปฏิบัติธรรม การสร้างทางเดินจงกรม การถวายอาหาร ยารักษาโรค ผ้าไตรจีวร แด่พระอริยบุคคล การให้ธรรม (เผยแผ่ธรรม) เป็นทานแก่คนหมู่มากฯลฯ เหล่านี้เป็นมหาทาน

อธิษฐาน ให้ได้พบกัลยาณมิตรที่ดี หมายถึง กัลยาณมิตรในทางธรรม กัลยาณมิตรผู้ทรงศีลทรงธรรม กัลยาณมิตรผู้มีปฏิปทาถูกตรงตางธรรมวินัยพระพุทธะ ฯลฯ เหตุตรงที่ต้องทำคือ พัฒนาตนเองให้เป็นผู้มีศีล อย่างน้อยมีศีล 5 คุมใจ เจริญจิตตภาวนา เข้าหาและเสวนากับผู้มีศีลมีธรรม

อธิษฐานให้ได้อยู่ในสังคมที่ดี สังคมที่ดีหมายถึง สังคมที่บริบูรณ์พร้อมด้วยปัจจัยอำนวยความสะดวกในการดำรงชีวิตสมาชิกของ สังคมที่ตนดีมีศีลมีธรรม และอยู่อาศัยกันอย่างสงบสุขเหตุตรงที่ต้องทำคือ สร้างทางสัญจรให้คนไปมาหาสู่ได้สะดวก สร้างศาลาที่พักริมทางเดิน สร้างน้ำดื่มน้ำใช้ไว้ในที่สาธารณะ สร้างแสงสว่าง เช่น ติดตั้งไฟฟ้าให้ความสว่างริมทางเดิน ถวายเทียนพรรษา ถวายหลอดไฟฟ้าไว้กับวัด ปลูกต้นไม้ให้ร่มเงา ให้ความร่มเย็นริมทางเดินในวัดในสวนสาธารณะ ให้ปัญญาเห็นถูก (สัมมาทิฏฐิ) เป็นทานแก่มวลชนฯลฯ เหล่านี้เป็นเหตุตรง ที่นำสู่ความสมปรารถนาในคำอธิษฐานให้ได้อยู่ในสังคมที่ดี

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 23 พ.ค. 2010, 01:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1.ขอสอบถามปัญหาเรื่องการถวายข้าวหรือน้ำพระพุทธ จำเป็นหรือไม่ หรือเพียงดอกไม้ ธูปเทียนเท่านั้น ที่บ้านจะไหว้พระโดยถวายน้ำเปล่าทุกองค์ วันพระจะถวายดอกไม้ พวงมาลัย แต่จะสวดมนต์ทุกครั้ง เปิดซีดีบทสวด และเชิญทุกรูปทุกนามบริเวณบ้านมารับฟังธรรมเพื่อเป็นบุญของแต่ละท่าน แต่ละตน ทุกเช้าและเย็น ทำถูกต้องแล้วหรือไม่

คำตอบ
บูชาผู้ควรบูชา เป็นมงคลอุดม การบูชาทำได้สองทางคือ “ อามิสบูชา ” การบูชาด้วยสิ่งของเครื่องใช้ ดังเช่นที่บอกเล่าไปการถวายข้าว น้ำ ดอกไม้ ธูป เทียน พวงมาลัยฯลฯ เป็นอามิสบูชาสามารถทำได้ ยังมีการบูชาที่ดีกว่าที่เรียกว่า “ ปฏิบัติบูชา ” ได้แก่การปฏิบัติจิตตภาวนา การสวดมนต์ การฟังธรรม เป็นปฏิบัติบูชา เป็นการปฏิบัติธรรมเบื้องต้น ถ้าจะให้เกิดผลดีควรปฏิบัติให้ยิ่งกว่านั้น คือปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานเมื่อใดที่จิตเข้าถึงมรรคผลของการปฏิบัติได้แล้ว จะเกิดปัญญาเห็นแจ้ง ได้ดวงตาเห็นธรรมการปฏิบัติเช่นนี้เป็นการบูชาสูงสุด


2. การมีใจเมตตาไม่ฆ่ายุง เป็นอานิสงค์ที่เราไม่ค่อยถูกยุงกัด เป็นไปได้หรือไม่ (ในที่เดียวกันคนอื่นบ่นยุงกัดเต็มไปหมด)

คำตอบ
เมื่อไม่ฆ่ายุง ก็ไม่มีเวรผูกพันกับยุง จะไม่ถูกยุงกัด ซึ่งเป็นไปตามกฎแห่งกรรม คำว่าไม่ค่อยถูกยุงกัดแสดงว่ายังมียุงบางตัวกัดอยู่ นี่เป็นผลที่เกิดจากมียุงบางตัวที่ถูกฆ่ายังจองเวรอยู่แต่มีไม่มาก ผู้ตอบปัญหาเคยไปกราบหลวงพ่อเกษม เขมฺมโก ไม่เห็นยุงสักตัวเดียวกัดท่าน แต่ผู้ที่ไปกราบคารวะท่านถูกยุงกัดกันถ้วนหน้า นี่เป็นเครื่องแสดงว่าหลวงพ่อเกษมมีจิตเมตตาเต็มร้อยกับยุง


3. หากเราสวดมนต์หรือแผ่ส่วนกุศลไปให้ผู้ป่วยซึ่งใกล้เสียชีวิต ทำให้เราต้องเข้าไปสู่วงจรการชดใช้กรรมของเขาหรือไม่ และทำให้เราต้องรับความเจ็บปวดร่างกายบ้างจากเจ้ากรรมนายเวรเขาได้หรือไม่ หรือหากเราเปลี่ยนเป็นอุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรของคนป่วย เพื่ออโหสิกรรมและให้เขาจากไปอย่างสงบจะดีกว่าหรือไม่

คำตอบ
หากการเจ็บป่วยมีต้นเหตุมาจากการถูกจองเวรการที่ผู้หนึ่งผู้ใดแผ่กุศลไปให้ ผู้ป่วย ถือว่าเข้าไปร่วมวงจรการชดใช้กรรมของเขา บุญเกิดจากการอุทิศให้ผู้ป่วย และบาปเกิดจากการถูกจองเวรจากเจ้ากรรมนายเวรของผู้ป่วย การกระทำเช่นนี้จึงได้ทั้งบุญและบาป

อนึ่งการอุทิศกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวรของผู้ป่วย และให้เจ้ากรรมนายเวรยกเลิกการจองเวร ผู้อุทิศบุญสามารถทำได้แต่เจ้ากรรมนายเวรจะยกเลิกหรือไม่ยกเลิกการจองเวร เป็นสิทธิ์ของเขา

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 23 พ.ค. 2010, 01:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1. ท่านว่ามีผู้เอาเรื่องราวของท่านที่บรรยายไว้เขาเอาไปก๊อปปี้โดยไม่ขออนุญาต จะมีโทษภายหลังถามว่า ถ้าเช่นนั้นการก๊อปปี้หนังสือธรรมะ เรื่องราวต่าง ๆ ตลอดจนแผ่นซีดีธรรมะแจกจ่ายไปโดยไม่ขออนุญาตเจ้าของจะเป็นเช่นไรครับ

คำตอบ
เมื่อใดที่กรรมให้ผลผู้ที่ก๊อปปี้ผลงานของผู้อื่นไม่ได้ โดยไม่ขออนุญาตจากเจ้าของ จะถูกเจ้ากรรมนายเวรเอาผลงานของตัวเองไปใช้บ้างโดยไม่บอกเจ้าของ

2. เราเกิดมาทุกคนถ้าเราและครอบครัวยังไม่ได้อธิษฐานอะไรเลย เราควรจะแนะนำให้อธิษฐานเช่รไรไว้เป็นเบื้องต้น (เพื่อภพชาติต่อไป)

คำตอบ
เพื่อการเกิดใหม่ในภพชาติถัดไปและได้พบกับชีวิตที่ปกติสุข ควรอธิษฐานว่า เกิดใหม่ให้ได้พบพระพุทธศาสนามีปัญญาเห็นถูกและคำว่าไม่ ไม่ดี ไม่ได้ ไม่สบาย จงอย่าบังเกิดกับข้าพเจ้า

3. ถ้าหากคุณ เมื่อครั้งโดนชาวเหนือสาปแช่งถ้าหาไม่เจตนาจะลบหลู่ แต่โดยคนส่วนมากทั้งเมืองสาปแช่งผลจะเป็นเช่นไร

คำตอบ
ไม่มีเจตนาจะลบหลู่สิ่งที่คนส่วนมากเคารพบูชากราบไหว้ศรัทธาเลื่อมใด แต่ด้วยเหตุแห่งการมีความเห็นผิด (มิจฉาทิฏฐิ) ไปจากธรรม จึงนำไปสู่ความคิดที่ผิด(มิจฉาสังกัปปะ) จึงพูดผิด (มิจฉาวาจา) พูดแล้วเป็นเหตุให้ชาวเหนือจำนวนมากเข้าใจผิด จึงถูกสาปแช่ง ผลที่จะเกิดตามมาในวันข้างหน้าในภพนี้หรือภพไหน ๆ ที่โคจรไปเจอกับคนที่เคยผูกเวรกันไว้ ปฏิสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นจะเป็นไปในทางลบ เช่น ถูกด่า ถูกขับไล่ ถูกนินทา ถูกให้ร้าย ฯลฯ


4. ถ้าหากการฆ่าชีวิตคนต้องชดใช้กรรมด้วยชีวิต การฆ่าศัตรูสมัยก่อน จะเป็นเช่นไรครับ ต้องชดใช้กรรมแบบไหน

คำตอบ
กรรมที่จะให้ผลกับผู้ฆ่าชีวิต คือมีอายุสั้นชีวิตมีอุปสรรคปัญหา อาพาธเจ็บป่วย ตายแล้วมีโอกาสลงไปเกิดเป็นสัตว์ในอบายภูมิได้


5. ป่านนี้เทวทัตจะพ้นวิบากกรรมหรือไม่ครับ

คำตอบ
ไม่ทราบเพราะไม่มีประสบการณ์กับเทวทัตในนรก


6. การฆ่าสัตว์นั้นสัตว์นี้ต้องชดใช้ถ้าไม่ได้ฆ่าสัตว์มีสิทธิ์เป็นสัตว์ต่าง ๆ เพราะเหตุใด

คำตอบ
เพราะเหตุจิตถูกความหลง (โมหะ) เข้าครอบงำ


7. อธิษฐานอย่างไรจึงจะมีสิทธิ์เกิดเป็นผู้ชาย

คำตอบ
อธิษฐานเกิดเป็น ผู้ชาย แล้วต้องทำเหตุให้ตรงจึงมีโอกาสเกิดเป็นผู้ชายได้ เหตุตรงคือ มีศีล 5 คุมใจ รับใช้ใกล้ชิดผู้มีคุณธรรมสูง นำมวลชนทำประโยชน์สาธารณะ ทำตัวเองให้เป็นที่พึ่งแห่งตนและเป็นที่พึ่งแก่มวลชนได้ ฯลฯ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 23 พ.ค. 2010, 01:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โดยปกติแล้วคุณแม่จะเป็นคนห่วงลูกหลานตลอดเวลา ขณะนี้ ท่านได้เสียชีวิตไปแล้วโดยการนอนหลับไปเฉย ๆ จากโรคเส้นเลือดหัวใจตีบ โรคไต ดูจากหน้าตาท่านตอนเสียชีวิต เหมือนหลับไปเฉย ๆ ไม่ได้ทุรนทุราย หรือ เจ็บ อยากทราบว่าจะทราบได้อย่างไรค่ะว่าท่านไปสุคติหรือไม่ และทำบุญ (ถวายภัตตาหาร สังฆทาน ปฏิบัติธรรม ถวายมหาทานตามที่อาจารย์บอก )ให้ท่าน ท่านจะได้รับหรือไม่คะ



คำตอบ
การนอนหลับตามิได้หมายความว่า จิตไม่มีการเกิด-ดับ (ภวังค์) เสมอไป หากนอนหลับแล้วจิตเข้าสู่ภวังค์ จิตจะทำงานไม่ได้ จะเคลื่อนออกจากร่างกายไม่ได้ ฉะนั้นขณะจิตออกจากร่างจิตต้องมีการเกิด-ดับ การตายจึงจะเกิดขึ้นได้ การสละทิ้งร่างกายในขณะจิตมีสติกำกับ จิตจะไปปฏิสนธิในร่างใหม่ในสุคติภพ แต่หากขณะจิตสละทิ้งร่างกาย โดยขาดสติกำกับ จิตจะไปปฏิสนธิในร่างใหม่ในทุคติภพ ทั้งนี้จะทราบได้ด้วยการเข้าฌานแล้วตามดู ดังตัวอย่างที่พระอนุรุทธเถระตามดูการเสด็จดับขันธปรินิพพานของพระพุทธเจ้า พระมหาโมคคัลลานะเข้าฌานแล้วขึ้นไปพบกัณฐกะเทพบุตรในดวงดึงส์ วังคีสะพราหมณ์เข้าฌานแล้วใช้นิ้วดีดกะโหลกคนตาย แล้วรู้ว่าผู้เคยเป็นเจ้าของกะโหลกนั้นตายแล้วไปเกิดที่ไหน หรืออธิษฐานให้คนตายไปแล้วมาบอก หากเขาอยู่ในภาวะที่มาได้ ก็สามารถรู้ได้ ฯลฯ

ส่วนการอุทิศบุญกุศลไปให้คนตาย หากเขาไปเกิดอยู่ในภาวะที่มาอนุโมทนาบุญได้ เขาก็จะได้รับบุญที่มีผู้อุทิศให้ ดังตัวอย่างของปรทัตตูปชีวีเปรต ญาติของขุนคลัง (อดีตของพระเจ้าพิมพิสาร)

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 23 พ.ค. 2010, 01:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ได้ฟังธรรมจากอาจารย์ว่าการซื้อบ้านที่ธนาคารยึดมาเป็นของร้อนนั้น
ดิฉันเพิ่งทราบว่าไม่ดี เมื่อดิฉันซื้อมาแล้วจะทำอย่างไรดีคะ
พอมีวิธีแก้ได้อย่างไรคะขอคำแนะนำจากอาจารย์ด้วยค่ะ
แต่ทุกวันนี้ก็พยายามปฏิบัติธรรมอยู่ตามโอกาสและทำบุญครั้งใดก็อุทิศส่วนบุญ กุศลนั้นให้เจ้าที่คิดว่าเขาคุ้มครองอยู่เสมอค่ะ แต่ไม่เคยทำบุญที่บ้าน เพราะคิดว่าเราไปทำบุญที่ไหนเราก็ระลึกนึกถึงและอุทิศส่วนกุศลให้ทุกครั้ง และโดยปรกติอยู่บ้านก็สวดมนต์เช้า - เย็นและนั่งสมาธิเสมอและก็อุทิศให้เขาตลอด


คำตอบ
ทำอย่างที่บอกเล่าไปนั้นดีแล้ว จงทำต่อไป อุทิศบุญกุศลให้กับเจ้าของเดิมไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งจิตของเจ้าของบ้านเดิมไม่เสียดายที่บ้านถูกธนาคารยึด คุณก็จะอาศัยอยู่ในบ้านที่ซื้อมาได้อย่างปกติสุข หรืออีกทางหนึ่งคือขายบ้านทิ้งไปแล้วหาบ้านใหม่ที่เป็นทรัพย์เย็นมาอยู่ อาศัย ถ้าให้เลือกปฏิบัติ ผู้ตอบปัญหาเลือกวิธีแรก เพราะจะได้มีโอกาสสร้างบุญบารมีให้กับตัวเองไปเรื่อย ๆ และยังเป็นการได้เพื่อนอีกด้วย

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 23 พ.ค. 2010, 01:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมขออนุญาตเรียนถามท่านอาจารย์สั้นๆดังต่อไปนี้ครับ ผมได้อ่านหนังสือบางเล่ม กล่าวว่า การใส่บาตรโดยที่ใส่น้ำนั้น อาจเป็นการทำบุญที่แฝงไปด้วยบาป เพราะหลายคนมีความเชื่อว่า ตายไปถ้าไม่ใส่น้ำ จะไม่มีน้ำกินในโลกหน้า

ผมขอเรียนถามท่านอาจารย์ว่า
หากผู้ใส่บาตรมีเจตนาอย่างนี้ ถือว่าติดหนี้สงฆ์มั้ยครับ? เป็นบาปมั้ยครับ? เพราะผมเห็นใจพระสงฆ์มาก ที่ต้องแบกน้ำจำนวนมากเข้าวัด

ผมขอขอบพระคุณอาจารย์ในความกรุณาที่มีให้เสมอมา และขอขมาต่ออาจารย์หากได้เคยล่วงเกินอาจารย์ด้วยกาย วาจา ใจ

ขออำนาธคุณพระศรีรัตนตรัย โปรดดลบันดาลให้อาจารย์มีสุขภาพแข็งแรง เป็นร่มไม้ใหญ่ให้บัวใต้น้ำอย่างผมด้วยครับ

ด้วยความเคารพ

คำตอบ
หากมีเจตนาบริสุทธิ์การนำอาหารและน้ำใส่ลงในบาตร สามารถทำได้ทำสำเร็จแล้วเป็นบุญ แต่หากคิดว่าน้ำที่นำไปใส่ลงในบาตร จะเป็นการสร้างความลำบากให้กับสงฆ์ผู้อุ้มบาตร แล้วยังใส่ลงไปอีก การทำอย่างนี้ได้ทั้งบุญและบาป ฉะนั้นนำน้ำไปถวายพระที่วัดจะดีกว่า เพราะได้บุญล้วน ๆ

ส่วนคำว่าติดหนี้สงฆ์ หมายถึงไปใช้หรือไปเอาของสงฆ์มาใช้ โดยยังมิได้รับอนุญาตจากสงฆ์ อย่างนี้ถือว่าติดหนี้สงฆ์เป็นบาป

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 23 พ.ค. 2010, 01:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1. บ้านที่คุณแม่อยู่เกิดปลวกขึ้นค่ะ แล้วคุณแม่ต้องขูดปลวกทิ้งประมาณ 10 ครั้งได้แล้วค่ะ ที่สำคัญคือคุณแม่ต้องฆ่าปลวกเหล่านั้นทุกครั้ง ไม่อยากให้ท่านทำเลยค่ะ ได้แต่บอกท่านว่าให้ท่านลองแผ่เมตตาให้ปลวกเหล่านั้นหลังจากที่ท่านสวดมนต์ เสร็จค่ะ ให้ท่านลองทำดูค่ะ รบกวนขอคำแนะนำท่านอาจารย์ด้วยค่ะ

คำตอบ
ผู้ตอบปัญหาไม่มีทักษะเรื่องการขูดปลวกทิ้งหากปรึกษาบริษัทผู้ ให้การดูแลเรื่องปลวกขึ้นบ้าน จะได้คำตอบที่ถูกตรงกว่า

ส่วนเรื่องการแผ่เมตตาให้กับปลวก ผู้ที่มีพฤติกรรมขูดปลวกทิ้งยังเป็นผู้ที่ไม่มีความเมตตา เมื่อไม่มีเมตตาอยู่ในใจแล้ว ก็ไม่สามารถแผ่สิ่งที่ตนเองไม่มีให้กับผู้อื่นสัตว์อื่นได้ ฉะนั้นวิธีเสนอแนะให้แม่ลองทำดูนั้นเสนอแนะได้ แต่ทำแล้วไม่สำเร็จผลดังที่ต้องการ


2. การที่ปลวกขึ้นบ้านนั้น มีสาเหตุมาจากเรื่องกรรม, ศาลเจ้าที่ หรือการเบียดเบียนกันไว้หรือเปล่าค่ะ ตอนสมัยคุณพ่อยังมีชีวิตอยู่ไม่เห็นมีเลยค่ะ

คำตอบ
กรรมที่ทำแล้วเกิดเป็นความเบียดเบียน เมื่อกรรมให้ผล ผู้ทำกรรมจะถูกเบียดเบียนตอบ


3. รบกวนขอพรหรือคำให้กำลังใจจากท่านอาจารย์ เมื่อเวลารู้สึกท้อ หรือความเพียรลดลงค่ะ เพราะเวลาที่ตัวเองไม่สบายใจนั้น จะเปิดเทปบรรยายธรรมของท่านอาจารย์ฟังแล้วจะรู้สึกสบายใจขึ้นค่ะ

คำตอบ
ให้เปิดเทป บรรยายธรรมของผู้ตอบปัญหาฟังบ่อย ๆ แล้วจะเกิดเป็นความสบายใจขึ้น นั่นคือพรที่ให้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 23 พ.ค. 2010, 01:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กระผมได้ตั้งจิตอธิฐานเจริญรอยตามท่านอาจารย์ โดยได้ขออุปสมบทกับพระอาจารย์ธีรภัทร ( ญาณธโร ) ที่คณะ 5 วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฏิ์ เมื่อวันอาทิตย์ทึ่ 24 มิถุนายน 2550 และจะอุปสมบทในวันที่ 2 กรกฎาคม 2550 โดยเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2550 กระผมได้พาบิดา มารดาลงนามรับรองการขออุปสมบทครั้งนี้กับท่านพระมหารำไพ

กระผมขอให้ท่านอาจารย์ช่วยแนะนำทางเอกสายตรง สำหรับการปฏิบัติตนที่ดีเพื่อเตรียมเข้ารับ การฝึกฝนด้านวิปัสสนาสำหรับการอุปสมบทในครั้งนี้ด้วยครับ ขอคำชี้แนะจากท่านอาจารย์สนอง วรอุไร และขอกราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูงที่ท่านได้ชี้ทางสว่างให้กับผมในการเจริญสติ ของตน กระผมขอน้อมรับคำสั่งสอนของท่านเป็นแนวทางในการปฏิบัติธรรมต่อไป



คำตอบ
ในฐานะที่ผู้ตอบปัญหามีประสบการณ์การฝึกจิตมาก่อนและเดี๋ยวนี้ก็ยังมีอยู่ จึงขอแนะนำว่า
1. ต้องทำใจให้มีศีลอย่างน้อย 5 อย่างคุมใจอยู่ทุกขณะตื่น
2. ตั้งอธิษฐานปฏิบัติธรรมเต็มที่ได้แค่ไหนเอาแค่นั้น
3. รักษาสัจจอธิษฐานให้คงอยู่
4. ทำตัวเองให้เหมือนคนโง่ ครูสอนกรรมฐานบอกให้ทำอย่างไร ต้องทำตามที่ครูบอกให้ได้
5. กินน้อย นอนน้อย พูดน้อย ฟังน้อย ดูน้อย อ่านน้อย แต่ปฏิบัติให้มาก (ประมาณ 20 ชม.ปฏิบัติ) ฯลฯ

หากทำได้ดังคำที่แนะนำมา ความสำเร็จในการเข้าถึงมรรคผลแห่งธรรมจะเกิดขึ้นแน่นอน มากหรือน้อยขึ้นอยู่กับทุนเดิมที่สั่งสมมา

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 23 พ.ค. 2010, 01:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1. การบวชในศาสนาพุทธนั้น มีความสำคัญหรือมีความจำเป็นหรือไม่ เพียงไรที่ผู้ชายทุกคนเกิดมาแล้วต้องบวช หากไม่บวช แต่ศึกษาธรรมะที่บ้านเอง หรือ ปฏิบัติธรรมเองได้หรือไม่

คำตอบ
ในอดีตคนที่ อาศัยอยู่ห่างไกลตัวเมืองส่วนใหญ่ทำอาชีพเกษตรกรรมแทบจะไม่มีความรู้ว่าอะไร คือบาปบุญคุณหรือโทษ คนที่ยังไม่ได้บวชเรียนจึงถูกเรียกว่าเป็น “ คนเดิม ” คนที่บวชเรียนแล้วถูกเรียกว่าเป็น “ คนสุก ” เวลาที่ผู้ชายจะไปขอลูกสาวบ้านอื่นมาตั้งเป็นครอบครัว เพื่ออยู่กินฉันท์สามี-ภรรยา จะถูกพ่อแม่ฝ่ายหญิงถามอยู่เสมอว่า บวชเรียนมาหรือยัง ถ้ายังไม่ได้บวชเรียนถือว่าเป็นคนดิบเขาจะไม่ยกลูกสาวให้ หากความเชื่อนี้ยังไม่อยู่ในสังคมใดการบวชเรียนในพุทธศาสนาถือว่ายังมีความ สำคัญและจำเป็นแต่ในปัจจุบันสังคมเมืองมีสื่อธรรมะให้เข้าไปซื้อหามาอ่านกัน ได้ง่าย การเรียนรู้ว่าสิ่งใดทำแล้วเป็นบุญ ให้คุณแก่ผู้กระทำ เรียนรู้ว่า สิ่งใดทำแล้วเป็นบาปให้โทษแก่ผู้กระทำ หากเรียนรู้แล้วเกรงกลัวต่อบาปที่จะเกิดขึ้นก็จะไม่กระทำสาระสำคัญของการบวช เรียนของคนในอดีตอยู่ที่ตรงนี้

ฉะนั้นผู้ถามปัญหาตระหนักและเข้าถึงสาระของการบวชเรียน ได้ด้วยการศึกษาและปฏิบัติธรรมด้วยตัวเอง และสามารถเข้าถึงธรรมได้แล้วก็ไม่จำเป็นต้องบวช

อนึ่งหากบุพการี (พ่อแม่) ยังมีความเชื่อว่า การที่ลูกได้บวชในพุทธศาสนา เป็นการช่วยพ่อแม่ไม่ให้ลงไปเกิดเป็นสัตว์ ในอบายภูมิเมื่อตายแล้ว หากความเชื่อเช่นนี้ยังคงมีอยู่ในครอบครัว อย่างนี้ยังถือว่าจำเป็นต้องบวชเพื่อทดแทนพระคุณของพ่อแม่


2. หากต้องบวช ควรบวชเป็นระยะเวลาเท่าใดจึงจะดีที่สุด เคยมีคนบอกว่าต้องบวชให้ได้ครบพรรษา จึงจะดี แต่เห็นวันรุ่นสมัยนี้บวชกันไม่กี่วันก็สึกแล้ว (และพระควรฉันวันละกี่มื้อ เห็นบางวัดก็ มื้อเดียวก็มี)

คำตอบ
ระยะเวลาของการ บวชไม่สำคัญเท่ากับว่าเมื่อบวชแล้ว ได้เรียนรู้ธรรมและมีธรรมเข้ามาอยู่ในจิตใจของผู้บวชหรือไม่จากประสบการณ์ ตรงของผู้ตอบปัญหา มีนักเรียนระดับชั้นมัธยมต้นจำนวนหนึ่งได้บวชเป็นเณรปฏิบัติธรรมภาคฤดูร้อน นาน 30 วัน ในวันลาสึกจากเณรไปสู่เพศฆราวาสมีเณรอยู่ 4-5 องค์ไม่ยอมสึก ผู้ปกครองต้องนำเสื้อผ้าที่เตรียมมาให้สวมใส่หลังสึกกลับไปบ้านเหตุเป็น เพราะเณรจำนวน 4-5 รูปนั้นได้เข้าถึงธรรมของพระพุทธะ ได้เห็นคุณค่าของการมีธรรมบรรจุอยู่ในจิตใจ จึงขอเวลาแสวงหาสิ่งอันมีคุณคงให้นานเท่าที่จะทำได้

ส่วนเรื่องการฉันอาหารไม่จำเป็นต้องกำหนดจำนวนมื้อต่อวัน หากปฏิบัติธรรมแล้วจิตเข้าถึงความตั้งมั่นเป็นสมาธิได้ จิตจะมีอารมณ์ปรุงแต่งเกิดขึ้นน้อยจึงไม่จำเป็นต้องใช้พลังงานมาก ฉันอาหารเพียงวันละ 1 มื้อก็เพียงพอแก่ความต้องการของร่างกาย พระที่ปฏิบัติธรรมบางท่านมีจิตสงบมาก ปฏิเสธการฉันอาหารทุกวัน โดยเว้นไปเป็นฉันอาหาร 3 วัน 5 วัน 7 วัน หรือมากกว่านั้น เพียงครั้งเดียว ก็สามารถอยู่ได้โดยร่างกายยังมีความเป็นปกติ ไม่มีทุกขเวทนาเรื่องความหิวเกิดขึ้นให้เป็นความทุกข์เบียดเบียน


3. ศาสนาอื่นเค้าใช้นรกร่วมกับศาสนาพุทธหรือไม่ หมายถึงว่า คนที่นับถือศาสนาอื่นเวลาเค้าตกนรกเนี่ย เป็นนรกเดียวกันหรือแยกกันกับศาสนาพุทธ หากแยกกัน เค้าสบายหรือทรมานกว่านรกของศาสนาพุทธ ( รวมถึงสวรรค์ด้วย ใช้สวรรค์ร่วมกันหรือไม่)
ขอบพระคุณ อ.สนองมากครับ


คำตอบ
ความสุขในสวรรค์ความทุกข์ในนรกมีความเป็นสากลเหมือนกัน แต่ต่างกันที่สมมติเพราะภพสวรรค์และภพนรกยังเป็นสมมติที่มีอยู่ในวัฏสงสาร หากจะเปรียบเทียบให้เห็นเด่นชัดและเข้าใจง่ายก็ต้องบอกว่าลักษณะของคุกฝรั่ง กับคุกไทยไม่เหมือนกัน แต่สภาพที่ถูกคุมขัง ถูกจำกัดบริเวณให้หมดอิสรภาพ ความรู้สึกไม่สบายกายไม่สบายใจต้องถูกจำกัดอิสรภาพ เช่นเดียวกับชาวตะวันตก ที่ถูกคุมขังอยู่ในคุกไทย ต้องถูกจำกัดอิสรภาพเช่นเดียวกับชาวตะวันตกที่ถูกคุมขังอยู่ในคุกฝรั่ง แต่คุกไทยกับคุกฝรั่งมีความไม่เหมือนกันเพราะใช้วัฒนธรรมต่างกันใช้สมมติ ต่างกัน

ที่ถามว่าใช้สวรรค์ร่วมกันหรือไม่ ขอตอบว่าส่วนใหญ่แล้วไม่ใช่สวรรค์ร่วมกัน สวรรค์ใครสวรรค์มันเพราะเป็นสมมติ แต่มีบ้างเป็นส่วนน้อยที่ใช้สวรรค์ร่วมกัน ทั้งนี้มีเหตุมาจากความเชื่อและสัญญา (ความจำ) ที่ถูกเก็บบันทึกไว้ในดวงจิต หลังจากได้กระทำสิ่งที่ให้อานิสงส์เป็นบุญที่นำเกิดเป็นชาวฟ้าชาวสวรรค์

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 23 พ.ค. 2010, 01:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1.ตามที่อ.เคยแนะนำว่าวิธีหนึ่งที่จะสามารถทราบว่าคนที่ตายไปแล้วไป อยู่ที่ไหนไปสู่สุคติหรือทุคติ เราสามารถอธิษฐานจิตให้คนตายมาบอกได้ อยากทราบว่าต้องอธิษฐานว่าอะไรบ้างคะ

คำตอบ
คนที่ตายไปแล้ว ไปได้ร่างใหม่ในสุคติภพ หรือไปได้ร่างใหม่ในทุคติภพ มนุษย์ผู้อยู่หลังสามารถอธิษฐานจิตให้คนตายมาบอกได้ว่า “ ไปเกิดที่ไหนให้มาบอกกันด้วย ” แต่คนที่ตายไปเกิดใหม่แล้วจะมาบอกได้หรือไม่นั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง หากเขาไปอยู่ในสภาพที่มาบอกไม่ได้การอธิษฐานก็ไม่สัมฤทธิ์ผล หากเขาไปอยู่ในสภาพที่มาบอกได้แต่ผู้ตายไม่ประสงค์จะมาบอก การอธิษฐานก็ไม่สัมฤทธิ์ผล หรือหากเขาประสงค์จะมาบอกแต่สื่อเครื่องรับของผู้อธิษฐานไม่สามารถสื่อสาร กับผู้ตายได้ เช่นความถี่คลื่นจิตไม่ตรงกันหรือกำลังแรงส่งไม่พอ ก็ไม่สามารถมาบอกกันได้จากประสบการณ์ตรงของผู้ตอบปัญหาเกี่ยวกับเรื่องนี้ ผู้ตอบปัญหาเคยไปงานพิธีเผาศพบิดาของผู้ร่วมงาน ก่อนที่ผู้ตอบปัญหาจะทอดผ้ามหาบังสุกุลได้เอ่ยชื่อและนามสกุลของผู้ตาย แล้วอธิษฐานว่า “ ไปเกิดที่ไหนมาบอกกันด้วย ” ผู้ตายไม่สามารถสื่อให้ผู้ตอบปัญหาทราบโดยตรง แต่กลับไปสื่อให้เพื่อนสนิทของผู้ตาย ว่าเขาไปเกิดอยู่ในชั้นดาวดึงส์ (สวรรค์) โดยเพื่อนสนิทของเขาได้พูดผ่านออกมาทางไมโครโฟน ที่กำลังยืนพูดเกี่ยวกับพิธีงานศพอยู่


2.หลังจากอธิษฐานไปแล้ว ถ้าไม่ได้รับการติดต่อจะสามารถสรุปได้หรือไม่คะว่าผู้ตายไปสู่ทุคติ เพราะ อ.เคยสอนว่าถ้าคลื่นจิตไม่ตรงกันก็ไม่อาจสื่อสารกันได้ หากเป็นเช่นนั้นจะทำอย่างไรต่อไปดีค่ะ



คำตอบ
ไม่ต้องทำอะไรต่อไปให้เวลาแห่งชีวิตของผู้ถามปัญหาผ่านไปโดยไร้ประโยชน์ เอาผู้ตายเป็นครูสอนใจว่า อีกไม่นานผู้ถามและผู้ตอบปัญหา ก็ต้องเป็นเช่นเดียวกับผู้ตาย เอาเวลาที่เหลืออยู่ไปสร้างและสั่งสมความดี สั่งสมบุญ สั่งสมบารมี ไว้เป็นปัจจัย (ทรัพย์ภายใน) เพื่อใช้ในการเดินทางต่อในปรภพจะมิดีกว่าหรือ ขณะที่ตนเองยังมีชีวิตอยู่น่าจะดูแลรักษาใจ ให้พ้นจากภัยอันเกิดจากกิเลสตัณหา (อยากรู้ว่าเขาตายไปเกิดที่ไหน) อุปาทาน ทำใจตนเองให้มีศีล มีธรรม มีความดีงาม ครอบครองใจตนเองให้ได้ จะดีกว่าให้สิ่งเศร้าหมองอันเป็นบาปเป็นกิเลส มานำพาชีวิตให้ไปเกิดในภพต่ำ

ผู้รู้ได้ชี้แนะทางเสื่อมทางเจริญของชีวิตไว้เช่นนี้ ผู้มีสติปัญญาต้องฟังและพิจารณา เลือกทางเดินให้กับชีวิตของตนเอง นี้เป็นสิ่งที่ควรทำให้เกิดขึ้นมีขึ้น หากโอกาสของลมหายใจแห่งชีวิตหยุดลงเมื่อใดการทำความดีให้กับชีวิตนี้ก็เป็น อันยุติ ฉะนั้นผู้ตอบปัญหาจะบริหารจัดการหรือปล่อยชีวิตไปตามยถากรรม ก็เป็นสิทธิ์ของเจ้าของชีวิต ผู้รู้ไม่อาจก้าวล่วงในชีวิตของผู้อื่น ผู้รู้เป็นได้เพียงผู้ชี้ทางเท่านั้น


.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 23 พ.ค. 2010, 02:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1. วิธีทำให้อีโก้เบาบางหรือหมดไปทำได้อย่างไร
2. การทำบุญให้คนตาย ทราบได้อย่างไรว่าเขาได้รับหรือไม่
3. ปกติตักบาตรทุกเช้า และอุทิศส่วนกุศลให้กับวิญญาญเร่ร่อนที่เราไม่รู้จัก วิญญาณข้างทางเขาจะได้รับไหมค่ะ
4. (1)นางไม้ที่อาศัยอยู่กับต้นไม้มีจริงไหม เราควรทำอย่างไรกับต้นไม้เหล่านั้นเวลาตัดต้นไม้
(2) ต้นตะเคียนที่ขึ้นจากน้ำให้หวยกับชาวบ้านมีจริงหรือไม่
5. มีพี่สาวแถวบ้านคนหนึ่ง ทำงานบริษัทแห่งหนึ่งได้เงินเดือนมาก เกิดไม่ชอบงานจึงลาออกกลับมาอยู่บ้าน แล้วขอรถยนต์พ่อจะไปทำมาค้าขายเองเอาไปได้สองวันแล้วไม่ไปค้าขายแต่ไป ปฏิบัติวิปัสสนาบวชชีพราหมณ์เคร่งครัดมากจนเป็นบ้า ระหว่างที่บวชพ่อแม่ก็ส่งเงินเดือนไปให้เดือนละ 2,000 บาท และพ่อแม่ก็มานั่งใช้หนี้ทุนกู้ยืมเรียน (กยศ) ให้ด้วย พ่อแม่ทุกข์ใจมากที่ลูกไม่ทำงาน สิ่งที่พี่สาวคนนี้ทำจะได้บุญหรือได้บาปกันแน่


คำตอบ

ข้อ 1 ทำอัตตา (อีโก้) ให้เบาบางหรือหมดไปได้ ด้วยการปฏิบัติกรรมฐานจนเกิดปัญญาเห็นแจ้งขึ้นกับจิต แล้วใช้ปัญญาเห็นแจ้งพิจารณาขันธ์ 5 (รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) จนเห็นว่าแต่ละขันธ์ดับไปตามกฎไตรลักษณ์ เมื่อขันธ์ 5 ดับอัตตาจะดับตามไปด้วย มาตรวัดการดับของอัตตาคือคุณธรรมที่เกิดขึ้นกับใจ เมื่อใดที่ใจมีคุณธรรมสั่งสมสั่งร่างกายให้คิดพูดและทำ พฤติกรรมที่แสดงออกล้วนเป็นสิ่งดีงามทั้งหมด

ข้อ 2 ทราบได้ด้วยการเข้าฌานแล้วสื่อจิตไปถึงคนตาย หรือไม่ต้องเข้าฌาน แต่อธิษฐานจิตให้คนตายมาบอกว่า บุญที่อุทิศให้เขาได้รับหรือไม่ เมื่อใดเหตุปัจจัยลงตัวผู้อุทิศก็สามารถทราบได้

ข้อ 3 วิญญาณเร่ร่อนหรือวิญญาณข้างทางที่อยู่ในรูปของสัมภเวสีหรือในรูปของเปรตบาง ประเภท (ปรทัตตูปชีวีเปรต) จะได้รับบุญด้วยเหตุ 3 ประการ คือมีบุญเกิดขึ้น มีผู้อุทิศให้ และมีผู้มาอนุโมทนาบุญ หากปัจจัยทั้ง 3 ลงตัว ปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้อุทิศบุญกับผู้มารับส่วนบุญก็สัมฤทธิ์ผล

ข้อ 4 (1) มีจริงถ้าไม่จำเป็นให้หลีกเลี่ยงไม่ตัดต้นไม้ที่มีนางไม้อาศัยอยู่ ถ้าจำเป็นต้องตัดต้นไม้ต้นนั้น ต้องขออนุญาตก่อนตัดต้นไม้ ส่วนนางไม้จะอนุญาตให้ตัดได้หรือไม่นั้นมันเป็นสิทธิ์ของนางไม้ ผู้รู้มิบังอาจละเมิดสิทธิ์ของผู้อื่น หรืออีกทางเลือกหนึ่งให้เขาย้ายไปอยู่ที่ต้นไม้ต้นอื่น หากเขาเห็นชอบด้วยคุณก็ตัดต้นไม้ได้

(2) ต้นตะเคียนมีแต่รูปไม่มีนาม จึงให้หวยไม่ได้แต่หากมีจิตวิญญาณ (พลังงานชนิดหนึ่ง) สิงสถิตอยู่ในต้นไม้นั้นประสงค์สำแดงฤทธิ์ พลังงานสามารถทำงานและแสดงออกเป็นตัวเลขได้

ข้อ 5 ปฏิบัติธรรมแล้วเป็นบ้านั่นคือบาปที่เกิดขึ้นและยังได้บาปที่ทำให้พ่อแม่ เป็นทุกข์ เป็นการทำบาปในส่วนที่สองเพิ่มขึ้นอีกด้วย

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 23 พ.ค. 2010, 02:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอเรียนถามเรื่อง เป็นเรื่องกรรมจริง หรือบังเอิญค่ะ

ตอนนี้ เวลาทำบุญ จะได้กลับมาเท่าตัว เช่น ทำบุญช่วยคน 1 หมื่น สิ้นงวดก็ถูก ฉลากธนาคาร 2 หมื่น ต่อมา 5 เดือนทำบุญสร้างกุฎ 5 พัน วันรุ่งขึ้นก็ถูกฉลากธนาคาร 1 หมื่น เป็นความบังเอิญหรือไม่ค่ะ ทำไมเป็น 2 เท่าเหมือนเดิม

ส่วนเวลาทำบาปก็ได้รับการลงโทษ 3 เท่าตัว คือ ไปจอดรถ เขาเขียนว่า ชม ละ 20 บาท เราไปจอดแต่ไม่เจอคนเก็บเงิน ก็ได้ไปถามร้านค้าแถวนั้นว่า คนเก็บไปไหน เขาบอกว่า มาเย็นๆ (เราไปจอดตอนเที่ยง) แต่ก็ได้นึกในใจว่า ดีประหยัดไป 20 บาท ไปจอด 2 วัน ก็ไม่มีคนมาเก็บ คิดเป็นเงิน 40 บาท วันต่อมาไปจอดที่โรงแรม ประทับตราไม่ได้เนื่องจาก เพื่อนๆที่นัดกันเปลี่ยนทานข้าวที่กระทันหัน โดนไป 100 บาท วันถัดมาไปจอดแถวท่าน้ำ ไม่เคยจอดมาก่อน พอรับบัตรมา เห็น ชม ละ 20 บาท บอกว่าไม่เอา ขอไม่จอดเพราะเราเข้าไปไม่ถึง 1 นาที เขาบอกว่าไม่ได้ ออกบัตรแล้วต้องจ่าย ทำให้เสียค่าจอดรวมเป็น 120 บาท

ไม่ทราบเป็นเป็นเรื่องกรรมจริง หรือบังเอิญ หากเป็นเรื่อง กรรมจริง ทำไมตามกันเป็นจรวด วันต่อวันค่ะ เนื่องจากเท่าที่อ่านมา กรรมจะซับซ้อนมาจับต้นชนปลายไม่ถูก


กราบขอบพระคุณค่ะ

คำตอบ
พุทธศาสนาเป็นศาสนาของผู้รู้จริง ในครั้งที่ผู้ตอบปัญหาได้ไปฝึกกรรมฐานอยู่กับท่านเจ้าคุณโชดก เคยได้ยินท่านพูดให้ฟังว่า เมื่อใดที่ปฏิบัติกรรมฐานจนจิตมีความบริสุทธิ์เพิ่มมากขึ้นเมื่อทำสิ่งเป็น บุญ อานิสงส์แห่งบุญจะเกิดขึ้นกับผู้กระทำ เพิ่มมากเป็นหลายเท่าตัว และหากทำบาปอานิสงส์แห่งบาปก็จะเกิดกับผู้กระทำเพิ่มมากเป็นหลายเท่าตัวเช่น กัน

นอกจากนี้จากความรู้และประสบการณ์ของผู้ตอบ ปัญหาพบว่าผลแห่งบุญหรือผลแห่งบาปที่จะเกิดขึ้นกับผู้กระทำ ยังขึ้นอยู่กับปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคล หากผู้กระทำมีปฏิสัมพันธ์กับผู้มีคุณธรรมสูง มีปฏิสัมพันธ์กับคนหมู่มาก และมีปฏิสัมพันธ์กับผู้ที่มีพลังจิตสูง จนเกิดผลตามมาอย่างรวดเร็วและรุนแรง ตามระดับของความมีคุณธรรม ตามจำนวนบุคคลที่ร่วมในปฏิสัมพันธ์และตามพลังจิตของผู้ร่วมในปฏิสัมพันธ์อีก ด้วยดังตัวอย่างเช่นในสมัยของพุทธเจ้าที่มีนามว่า อโนมทัสสีพุทธะ ก่อนจะรับถวายทานจากบรรดาฤาษี พระอโนมทัสสีพุทธะ ก่อนจะรับถวายทานจากบรรดาฤาษี พระอโนมัทัสสีพุทธะ และอัคคสาวกพร้อมทั้งพระอรหันตสาวก ได้เข้านิโรธสมาบัติฌาน 7 วัน ด้วยเหตุที่มีพุทธประสงค์จะให้อานิสงส์แห่งทานเกิดขึ้นมากแก่บรรดาฤาษีที่มี จิตศรัทธาถวายทาน หลังจากออกนิโรธสมาบัติในวันที่ 7 แล้วจึงได้รับถวายทานของฤาษีสรทะ (อดีตของพระสารีบุตร) และฤาษีบริวาร และอีกตัวอย่างหนึ่งคือในครั้งพุทธกาลของพระพุทธโคดม พระมหากัสสปะ (อรหันต์) ได้เข้านิโรธสมาบัตินาน 7 วัน เมื่อออกจากนิโรธสมาบัติแล้วได้ไปโปรดหญิงชรายากจน โดยรับบิณฑบาตเอาน้ำผักดองมาฉัน อานิสงส์แห่งทานได้ปรากฏขึ้นหลังจากหญิงชรานั้นได้ตายไปเกิดเป็นนางฟ้ามี บริวารมากอยู่ในสวรรค์ชั้นนิมมานนรดี

ในทางกลับกัน ปฏิสัมพันธ์ในส่วนบาป ดังตัวอย่างของนันทยักษ์ใช้กระบองตีศีรษะของพระสารีบุตรผู้ที่กำลังนั่งเข้า นิโรธสมาบัติอยู่ผลกรรมที่เกิดตามมาคือ นันทยักษ์ถูกธรณีสูบในทันทีแล้วลงไปเกิดเป็นสัตว์นรก ฯลฯ ดังนั้นที่ผู้ถามบอกเล่าไปจึงเป็นเรื่องจริง หากประสงค์จะจับต้นชนปลายในเรื่องของกรรมและกฎแห่งกรรม ได้อย่างชัดแจ้งต้องพัฒนาตัวเองให้เข้าถึงความเป็นอริยบุคคลได้แล้ว วิจิกิจฉาก็จะหมดไป

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 23 พ.ค. 2010, 02:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1. อภิญญา คืออะไร เกิดขึ้นได้จากการปฏิบัติสมาธิหรือวิปัสสนาหรือทั้ง 2 อภิญญามีกี่ชนิด อะไรบ้าง และอภิญญาแต่ละตัวแตกต่างกันอย่างไร

คำตอบ
อภิญญาเป็นสมมติบัญญัติ ที่มนุษย์ตั้งขึ้นเพื่อให้สื่อความหมายได้ตรงกัน อภิญญาเป็นความรู้สูงสุด (ภาวนามยปัญญา) เกิดขึ้นในดวงจิตที่มีความตั้งมั่นเป็นสมาธิสูงสุด หรือที่เรียกว่าเป็นสมาธิในฌาน อภิญญามี 2 ระดับ คือระดับที่เป็นโลกิยะ เกิดขึ้นจากการ
1. อิทธิวิธี คือความรู้เห็นเข้าใจที่นำไปใช้ให้เกิดฤทธิต่าง ๆได้
2. ทิพพโสต คือความรู้เห็นเข้าใจ ที่เกิดขึ้นจากหูในที่เรียกว่าหูทิพย์
3. เจโตปริยญาณ คือความรู้เห็นเข้าใจ ในจิตของผู้อื่น
4. ปุเพนิวาสานุสติญาณ คือความรู้เห็นเข้าใจในเรื่องของการเวียนตาย-เวียนเกิด ในภพต่างๆ ที่ผ่านมาทั้งของตัวเองและของผู้อื่น
5. ทิพพจักขุ คือความรู้เห็นเข้าใจที่เกิดจากตาในตาทิพย์ตาญาณ

และยังมีอภิญญาระดับโลกุตตระ ซึ่งเกิดจากการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานที่เรียกว่า เศร้าหมองคือ

กิเลสที่เนืองยาวนาน (อนุสัย) ได้แก่ความกำหนัดในกาม ความหงุดหงิด ความเห็นผิด ความลังเลสงสัย ความถือตัว ความกำหนัดในภพและความรู้ไม่จริงหรือเป็นความรู้เห็นเข้าใจที่จะกำจัดสิ่ง เศร้าหมองที่ผูกมัดใจสัตว์ (สังโยชน์) ให้ต้องเวียนตาย-เวียนเกิด ไม่มีวันจบสิ้น อันได้แก่ความเห็นว่าเป็นตัวของตน ความลังเลสงสัย ความถือมั่นศีลและ รูปธรรมอันประณีต ความติดใจในอรูปธรรม ความถือว่าตัวเป็นนั่นเป็นนี่ ความฟุ้งซ่านใจและความรู้ไม่จริง ที่มีอยู่ในจิตวิญญาณให้หมดสิ้นไป


2. ชายที่มีภรรยาอยู่ ได้เสียกับหญิงซึ่งบรรลุนิติภาวะ บิดามารดาของหญิงนั้นเสียชีวิตแล้ว จะถือว่าชายคนนี้ผิดศีลกาเม หรือไม่คะ

คำตอบ
ก่อนตอบปัญหาขอ เล่าเรื่องหญิงที่เกิดโอปปาติกะ คือ ผุดขึ้นทันทีทันใดโดยปราศจากเจ้าของ ที่ชื่อว่า “ อัมพปาลี ” ได้โอปปาติกะอยู่โคนต้นมะม่วงในราชอุทยาน ของเมืองเวสาลี แคว้นวัชชี เนื่องจากไม่มีเจ้าของ ไม่มีผู้ปกครองดูแลและเป็นที่หมายของเจ้าชายต่าง ๆ ของแคว้นวัชชี ต่างคนต่างอยากได้นางมาเป็นภรรยาแต่ตกลงกันไม่ได้ ในที่สุดสภาแห่งแคว้นวัชชีได้ประชุมและมีมติแต่งตั้งนางเป็นหญิงคณิกา (โสเภณี) ซึ่งทุกคนมีสิทธิอภิรมย์ได้แต่ต้องจ่ายค่าตัวให้กับนาง ดังนั้นชายที่ไปร่วมอภิรมย์กับนาง จึงไม่ถือว่าผิดศีลข้อ 3 ก็ด้วยเหตุที่นางไม่มีเจ้าของไม่มีผู้ปกครองดูแล ด้วยเหตุนี้พระเจ้าพิมพิสารกษัตริย์กรุงราชคฤห์ แคว้นมคธ จึงได้อยู่กินกับนางนานถึง 7 วัน จนนางได้ตั้งท้องและคลอดลูกออกมาเป็นชายชื่อ “ วิมลโกณฑัญญะ ” และในอีกกรณีหนึ่งพระเจ้าพิมพิสาร ได้ไปขอเจ้าหญิงเขมาแห่งแคว้นมัททะ พ่อแม่ได้ยกให้มาเป็นมเหสีรอง (ภรรยาน้อย) ทั้งสองกรณีนี้ไม่ถือว่าผิดศีลข้อ 3 พระเจ้าพิมพิสารตายจากชาติที่เป็นมนุษย์แล้วจึงได้ไปเกิดเป็นยักษ์ (เทวดา) ชื่อ “ ชนวสภยักษ์ ” อยู่ในสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา

นอกจากนี้ยังมีเรื่องของสองสาวพี่น้องที่เกิดเป็นลูกสาว ของพ่อค้า คนพี่ชื่อ “ ภัททา ” คนน้องชื่อ “ สุภัททา ” ภัททามีคนมาขอไปเป็นภรรยาแต่ไม่มีลูก ภัททาจึงบอกสามีให้ไปขอสุภัททามาเป็นภรรยาน้อยในกรณีนี้สามีของภัททาได้รับ อนุญาตจากเจ้าของทั้งสอง คือ พ่อแม่และภรรยาหลวง การมีภรรยาน้อยด้วยเงื่อนไขอย่างนี้จึงไม่ผิดศีลข้อ 3

ดังนั้นปัญหาที่ถามประเด็นอยู่ที่ว่า เมื่อพ่อแม่ของหญิงนั้นได้ตายไปแล้ว และหญิงนั้นไม่มีผู้ปกครองอื่นดูแล และภรรยาหลวงอนุญาต การมีภรรยาน้อยไม่ถือว่าผิดศีลข้อ 3

3. หากบิดามารดาของหญิงนั้นยังมีชีวิตอยู่ ยินดียกหญิงนั้นให้เป็นภรรยาของชายซึ่งตนทราบว่ามีภรรยาอยู่แล้ว บุตรสาวที่ยกให้ยินยอมเป็นภรรยาของชายคนดังกล่าว ถามว่า ชายคนนี้ผิดศีลกาเม หรือไม่คะ (มีคนฝากถามมาค่ะ)


คำตอบ
บิดามารดายินดียกลูกสาวให้ไปเป็นภรรยาของชายอื่นแต่หากภรรยาหลวงไม่ยินยอม ให้สามีนำหญิงอื่นมาเป็นภรรยาน้อยหากสามีกระทำลงไปถือว่าผิดศีลข้อ 3

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1521 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 22, 23, 24, 25, 26, 27, 28 ... 102  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร