วันเวลาปัจจุบัน 27 ส.ค. 2025, 01:34  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 1521 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 24, 25, 26, 27, 28, 29, 30 ... 102  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ค. 2010, 17:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1. ดิฉัน สวดมนต์ภาษา ญี่ปุ่น เนื่องจากสามีสวด ดิฉันสวด เช้า เย็น (ประมาณ 5 นาที ถึง 1 ชม.แล้วแต่เวลา ) ดิฉัน สวดเสร็จ ได้แผ่เมตตาให้ เจ้ากรรม นายเวร ศัตรูหมู่มิตร ผู้มีพระคุณ และ สรรพสัตว์ ทั้งหลาย
2. สวดชินบัญชร 1 จบ เช้า เย็น สวดเสร็จ ได้แผ่เมตตาให้สรรพสัตว์ ทั้งหลาย
3. เดินจงกรม ประมาณ 45 - 60 นาที เช้า เย็น
4. นั่งสมาธิ เช้า เย็น ครั้งละ 1 ชม ดูเวทนาตามร่างกาย ทีละส่วน หาก จิตฟุ้งมาก ก็จะดูลมหายใจ จนกว่า จิตจะหายฟุ้ง เสร็จแล้ว ได้แผ่เมตตาให้ เจ้ากรรม นายเวร ศัตรูหมู่ มิตร ผู้มีพระคุณ และ สรรพสัตว์ ทั้งหลาย
5. เวลาที่เหลือจะเป็นการทำความสะอาดบ้านค่ะ ก็ทำด้วยสติ แต่ก็ยังเผลออยู่

คำถาม
1. การสวดมนต์ ญี่ปุ่นและ แผ่เมตตา ทำได้ไหมค่ะ บุญจะถึงไหมค่ะ และการสวดมนต์ หลายๆอย่างทำได้ไหมค่ะ ขอคำแนะนำด้วยค่ะ

คำตอบ
สวดมนต์เป็นภาษาญี่ปุ่น และแผ่เมตตาสามารถทำได้แต่บุญที่แผ่ให้สรรพสัตว์จะถึงเฉพาะสัตว์ที่อยู่ในภาวะมารับอนุโมทนาบุญได้ ผู้ใดมีเมตตาก็สามารถแผ่เมตตาให้สรรพสัตว์ได้และสรรพสัตว์ได้อยู่ในภาวะที่มาอนุโมทนาบุญได้ เขาก็ได้รับเมตตาที่มีผู้แผ่ให้ได้

ส่วนเรื่องการสวดมนต์หลาย ๆ อย่างสามารถทำได้ แต่ก่อนสวดมนต์ต้องมีศรัทธา ขณะสวดมนต์ต้องตั้งใจสวด สวดมนต์เสร็จแล้วมีความอิ่มใจ การสวดนั้นจึงจะได้บุญมาก

2. เดินจงกรมเสร็จ หากไม่ได้นั่งสมาธิต่อเลย ควรแผ่เมตตาไหมค่ะ หรือ รอนั่งสมาธิก่อนแล้วค่อยแผ่เมตตาทีเดียวตอนหลัง

คำตอบ
เมตตาคือความรักความปรารถนาให้ผู้อื่นได้รับประโยชน์และมีความสุข ผู้มีเมตตาเป็นผู้ไม่มีโทสะ ไม่หงุดหงิดไม่เบื่อหน่าย ผู้ใดมีสภาวะของจิตใจเป็นเช่นนี้ผู้นั้นเป็นผู้มีเมตตาเมื่อมีเมตตาแล้วสามารถแผ่เมตตาให้สรรพสัตว์ได้ในทุกโอกาสรวมถึงเดินจงกรมเสร็จก็แผ่เมตตาได้ เดินจงกรมแล้วต่อด้วยการนั่งสมาธิเสร็จแล้วก็แผ่เมตตาได้

3. การทานอาหารที่มี เนื้อสัตว์ปน แต่เราไม่ได้ทานเนื้อ ทานแต่ผัก ถือว่า เบียดเบียนสัตว์นั้นไหมค่ะ ( การทานมังสวิรัติ ไม่ได้ฝืนใจค่ะ คือ ตั้งแต่ 4 ปีก่อนได้มีโอกาสเข้ากรรมฐาน 8 วัน 7 คืน จากนั้นใจไม่รับเนื้อสัตว์เอง ไม่ทราบเหมือนกันว่าเป็นเพราะอะไร เนื่องจากในหลักสูตรที่เข้าก็ไม่ได้พูดเรื่องนี้เลย ปัจจุบันจะเหม็นเนื้อสัตว์ทุกชนิด )
กราบขอบพระคุณด้วยใจค่ะ

คำตอบ
กรรมอยู่ที่เจตนา ไม่มีเจตนาฆ่าสัตว์ ไม่มีเจตนาสั่งให้ผู้อื่นฆ่าสัตว์ ไม่เห็นเขาฆ่าสัตว์ ไม่สงสัยว่าเขาฆ่าเพื่อเรา ฯลฯ ยังไม่ถือว่าเบียดเบียนสัตว์ แต่หากกักขังสัตว์ ล่ามโซ่สัตว์ ทุบตีสัตว์ ฯลฯ อย่างนี้ถือว่าเบียดเบียนสัตว์

ดังนั้นการรับประทานอาหารที่ปรุงด้วยเนื้อสัตว์ ยังไม่ถือว่าเป็นบาป (ยกเว้นสัตว์ตัวที่ผูกพยาบาทก่อนถูกฆ่า) การบริโภคอาหารที่มีเนื้อสัตว์ปน และตนเองเลือกบริโภคแต่ผักไม่ถือว่าเป็นบาป

ส่วนเรื่องการเหม็นเนื้อสัตว์ทุกชนิด เป็นเรื่องของระบบประสาทที่ส่งผลกระทบถึงใจ เหตุเกิดจากจิตมีความตั้งมั่นเป็นสมาธิ แล้วส่งผลถึงระบบประสาทรับกลิ่นทำงานได้เร็วขึ้นและมีความละเอียดประณีตในการจำแนกกลิ่นได้มากยิ่งขึ้นแล้วส่งผลกระทบถึงใจ ใจจึงรับสิ่งกระทบมาปรุงแต่งอารมณืเป็นกลิ่นเหม็นเนื้อสัตว์ได้ละเอียดยิ่งขึ้น

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ค. 2010, 17:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดิฉันเพิ่งมีโอกาสได้อ่านหนังสือธรรมของท่าน และมีปัญหาที่ไม่แน่ใจว่าถ้าทำไปแล้วจะถูกต้องหรือไม่
ดิฉันอยากลาออกจากงาน เพราะใจไม่สงบเหมือนตัวเองได้เข้าไปในบ่วงกรรม เนื่องจากบริษัทฯที่ ทำงานมักจะหาเรื่องหักเงินจากบริษัทฯที่รับจ้างอีกทอด โดยที่ดิฉันรู้แต่ก็พูดไม่ได้ ไม่ทราบว่าดิฉัน ควรจะทำอย่างไรดี

กรุณาชี้ทางสว่างให้ด้วยค่ะ


คำตอบ
บริษัทที่ทำหน้าที่หางานให้ผู้อื่นทำเรียกว่าเป็นนายจ้าง บริษัทที่รับจ้างทำงานแทนบริษัทแทนบริษัทได้งาน เรียกได้ว่าเป็นลูกจ้าง เรื่องนี้จึงเป็นปฏิสัมพันธ์ระหว่างนายจ้าง-ลูกจ้าง

ปัญหามีอยู่ว่าการหักเงินของนายจ้างแต่ละครั้ง มีเหตุผลชอบธรรมลูกจ้างเข้าใจและยอมรับความจริง ไม่ถือว่าเป็นการเบียดเบียนแรงงานของลูกจ้าง ไม่เป็นบาป ในทางตรงกันข้าม การหักเงินลูกจ้างแต่ละครั้งไม่ตั้งอยู่บนเหตุผลของความชอบธรรม ลูกจ้างถูกนายจ้างเอาเปรียบค่าจ้างแรงงานอย่างนี้ถือว่าเป็นการเบียดเบียนแรงงานของลูกจ้างเป็นบาป

ผู้ถามปัญหาอยู่ในฐานะทำงานให้กับบริษัทนายจ้าง ต้องวิเคราะห์ด้วยตัวเองว่า ถ้าปฏิสัมพันธ์ให้ผลเป็นอย่างในกรณีแรกก็สามารถร่วมวงจรกุศลกรรมต่อไปได้ แต่หากให้ผลเป็นอย่างในกรณีที่สอง ผู้ถามปัญหาต้องตัดสินใจด้วยตัวเองว่า จะร่วมวงจรอกุศลกรรมกับบริษัทที่ทำงานอยู่หรือไม่เพราะเมื่อใดอกุศลกรรมให้ผล ผู้ร่วมเบียดเบียนแรงงานต้องได้รับอกุศลวิบากของชีวิต ด้วยการไปเกิดเป็นสัตว์ในอบายภูมิ จึงขอยกตัวอย่างของผู้ที่ทำกรรมในลักษณะนี้ ผู้ซึ่งมีประสบการณ์ตายแล้วฟื้นเล่าให้ฟัง เขาได้ตายจากโลกมนุษย์ลงไปเห็นผลกรรมของคนที่เคยทำกรรมเบียดเบียนแรงงานได้ไปเกิดเป็นสัตว์นรกถูกบังคับให้ทำงานหนักโดยไม่มีเวลาพักผ่อน มีแต่กลางวันซึ่งต้องทำงานหนักไม่มีกลางคืนให้ได้พักผ่อน เขาไปเห็นสัตว์นรกถูกบังคับให้ทำงานหนักถ้าเมื่อใดหยุดทำงานจะถูกบริวารของยมบาลทำโทษถูกตีด้วยกระบองใหญ่จนล้มลุกคลุกคลาน ถ้าไม่ลุกขึ้นจะถูกตีจนต้องรีบลุกขึ้นมาทำงานอีก เขาไปเห็นสัตว์นรกรับโทษเช่นนี้อยู่นานถึง ๒ วัน ทั้ง ๆ ที่เวลาในโลกมนุษย์ผ่านไปได้เพียง ๕ นามี ผู้ตอบปัญหาจงนำมาบอกเล่าให้ผู้ถามปัญหา ได้นำเรื่องนี้ไปคิดพิจารณาด้วยตนเอง จะได้ใช้ประกอบการตัดสินใจให้กับชีวิตของตนเองได้ไม่ผิดพลาด

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ค. 2010, 17:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1. พระอนาคามีบุคคลจิตละกิเลสกามแล้วเพราะเห็นโทษแล้วละได้ แต่ยังมีความ รู้สึกด้านทางกายภาพอยู่หรือไม่คะ หมายถึงทางกายยังรู้ถึงความกำหนัดแต่จิตมี กำลังเข้มกว่าไม่ทำให้ความต้องการนั้นลุไปได้

คำตอบ
เมื่อใดจิตเข้าถึงธรรมที่ละกามราคะได้แล้วความรู้สึกทางกายภาพจะไม่ปรากฏ สิ่งนี้เป็นคุณธรรมของพระอนาคามีคิดว่าตัวเองละกามราคะได้แต่ความรู้สึกทางกายภาพ (ความกำหนัด) ยังมีอยู่สภาวะเช่นนี้ยังไม่เข้าถึงธรรมของการเป็นพระอานาคามี

2. คนที่จะบรรลุพระอนาคามีจำเป็นต้องเกิดวิปัสสนาญาณจากการเห็นร่างกายเป็นของอ สุภะทุกคนหรือไม่คะ เคยได้ยินครูบาอาจารย์เล่าว่าความรู้สึกทางกายมันหายไป เมื่อไรไม่รู้ ต้องลองนึกถึงที่จะให้จิตกำหนัดแล้วมันไม่เกิดจึงรู้ว่าละได้ แล้ว

คำตอบ
ปัญญาเห็นแจ้ง (วิปัสสนาญาณ) จำเป็นต้องเกิดกับพระอนาคามีทุกคน

3. คนที่ถอดกายทิพย์ไป ช่วงนั้นจิตวิญญาณอื่น สามารถเข้ามาอาศัยในร่างกายได้ หรือไม่คะ

คำตอบ
สามารถเข้าได้ แต่เมื่อเจ้าของเดิมกลับมาต้องออก

4. ได้คุยกับท่านหนี่งเล่าว่า ท่านเกิดกามกิเลสแล้วท่านเลยมองตัวกิเลสนั้นแล้ว มันก็ดับวูบหายไป อันนี้เป็นมรรคหรือเปล่าคะ

คำตอบ
เป็นมรรค

5. การเห็นเวทนาแล้วดับเวทนาด้วยมรรรค ไม่มีต้วอะไรชี้บอกว่าจะต้องเกิด วิปัสสนาตัวนี้อย่างนี้จึงบรรลุธรรมขั้นนี้ถ้าจะรู้ว่าการเกิดวิปัสสนาแต่ละ ครั้งเป็นการบรรลุธรรมขั้นไหนต้องดูว่าละอะไรได้บ้างใช่ไหมคะ
ขออนุโมทนากับท่านอาจารย์ และขอบพระคุณที่ท่านอาจารย์ให้ความสว่างแก่ปัญญา ค่ะ

คำตอบ บรรลุธรรมขั้นไหนต้องดูว่าละอะไรได้บ้างใช่ไหม ตอบว่า คำว่าบรรลุธรรมขั้นไหนหากหมายถึงธรรมขั้นที่ทำให้กิเลสตัวนั้นเช่นความโกรธหมดไป ต้องตอบว่าใช่แต่หากหมายถึงธรรมขั้นที่ทำให้เป็นอริยบุคคลต้องดูว่าละกิเลสที่ผูกมัดใจสัตว์ให้ต้องเวียนตายเกิด (สังโยชน์) ได้กี่ตัว เช่นละสังโยชน์สัก 3 ตัว (สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส) ก็บรรลุธรรมขั้นโสดาบัน ละสังโยชน์ได้ 5 ตัว (สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส กามราคะ ปฏิฆะ) ก็บรรลุธรรมขั้นอนาคามี ฯลฯ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ค. 2010, 17:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1.การที่ต้องอยู่ร่วมอาศัยกับผู้ที่ตำหนิ(คือแม่สามี)เราบ่อยๆ เป็นกรรมที่เราเคยก่อไว้หรือไม่ ถ้าหากว่าย้ายออกไป ไม่อยู่ร่วมกันอีก จะไปเจอกรรมที่หนักกว่านี้หรือไม่ (เพราะเพื่อนเจอเหตุการณ์อย่างนี้ เก็บกดจนเป็นบ้าไปเลย) แปลว่าเราต้องอดทนต่อเค้าจนกว่าจะตายจากกันหรือไม่เพื่อให้หมดเวรต่อกัน

คำตอบ
เป็นกรรมที่เคยทำมาก่อนและได้ผูกเวร (ความแค้นเคือง ความปองร้าย ความคิดร้ายตอบแก่ผู้ทำร้าย) กันไว้ หากย้ายออกไปจะไปเจอกรรมที่หนักกว่านี้หรือไม่ ขึ้นอยู่กรรมว่าเคยทำกรรมที่เป็นเวรผูกกันไว้หรือไม่ ถ้าไม่เคยก็ไม่เจอ แต่ถ้าเคยทำกรรมที่เป็นเวรผูกกันไว้ เมื่อเหตุปัจจัยลงตัวจะเกิดการเบียดเบียนขึ้นได้อีก และจะให้ผลรุนแรงแค่ไหนขึ้นอยู่กับแรงกรรม (เวร) ที่ได้ทำ

ถ้าคุณเชื่อคำแนะนำของพระพุทธะ คุณต้องใช้หนี้เวรให้หมดไม่สร้างหนี้กรรมเวรขึ้นใหม่ แล้วเวรกรรมจึงจะมีโอกาสหมดไปได้

2.ทุกครั้งหลังถูกตำหนิแล้ว จะเกิดอาการคิดมาก คิดวนไปวนมาในเรื่องเหตุผลที่ถูกตำหนิ ซึ่งคนอื่นไม่ถูกตำหนิ ไม่เข้าใจว่าทำไมถูกตำหนิคนเดียว เป็นอย่างนี้ไม่ต่ำกว่า 2 สัปดาห์จึงจะดีขึ้น
กราบขอบพระคุณอาจารย์สนองอย่างสูง

คำตอบ
ผู้ใดคิดวนไปวนมาถึงเรื่องที่ถูกตำหนิ แสดงว่าผู้นั้นมีกำลังของสติอ่อน แต่เมื่อใด พัฒนาจิตวิญญาณจนมีกำลังของสติกล้าแข็งได้แล้ว การคิดวนไปวนมาจะไม่เกิดขึ้น ส่วนเรื่องที่คนอื่นไม่ถูกตำหนิ เพราะคนอื่นไม่ได้ทำกรรมที่เป็นเวรผูกไว้กับเขาผู้นั้น

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ค. 2010, 17:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1.ถ้าบังเอิญไปเห็นลูกน้องของพี่ชายโกงเงินพี่ชาย ควรจะบอกให้พี่ชายทราบไหมคะ หรือจะวางอุเบกขา โดยถือว่ากรรมใครกรรมเค้า

คำตอบ
ศาสนาพุทธ เป็นศาสนาของผู้รู้จริง จึงไม่มีคำว่าบังเอิญทุกอย่างที่เกิดต้องมาจากเหตุที่ทำให้เกิด ในฐานะที่เป็นน้องและยังต้องร่วมสังคมวงศาคณญาติ ต้องตอบแทนคุณของพี่ชาย ด้วยการบอกเรื่องที่เกิดขึ้นให้เขาทราบเพื่อเขาจะได้บริหารจัดการความสัมพันธ์ ระหว่างเจ้านายกับลูกน้องผู้ไร้จริยธรรมของการเป็นลูกน้องที่ดี ได้อย่างถูกต้อง ซึ่งจะถูกต้องตามโลกหรือถูกต้องตามธรรมก็เป็นเรื่องของพี่ชายคือต้องเลือกวิธีการด้วยตัวของเขาเอง

2.ได้ใส่บาตรแถวบ้านในกรุงเทพฯ พระท่านแจกเงิน สิบบาท ยี่สิบบาทให้กับผู้ที่มาใส่บาตร โดยบอกว่าเป็นเงิน ปุกเสกเป็นเงินก้นถุง ดิฉันควรจะรับเงินนั้นหรือไม่คะ และควรจะใส่บาตรกับท่านอีกไหมคะ

คำตอบ
พระสงฆ์มีเจตนาที่ดี หวังทำทานด้วยการให้เงินก้นถุงเป็นทาน แก่ผู้ทำความดีด้วยการใส่บาตร คุณต้องรับไว้จะได้ไม่เป็นการตัดทางของผู้ให้ และควรใส่บาตรพระสงฆ์องค์นั้นต่อไป บุญที่เกิดจากการนำอาหารไปใส่บาตรได้เพิ่มพูนยิ่ง ๆ ขึ้น

3.ถ้าเจอเงินเป็นหมื่นบาทใส่ถุงหล่นอยู่ข้างทางควรจะนำเงินนี้ไปให้ตำราจหรือนำเงินนี้ไปทำบุญหรือไม่ควรเก็บ ปล่อยไว้ที่เดิมดีคะ
กราบขอบพระคุณอาจารย์ที่กรุณาตอบคำถามให้คะ
ด้วยความเคารพอย่างสูง

คำตอบ
ควรเก็บไว้แล้วประกาศหาเจ้าของเงินที่ทำตกหล่นด้วยสื่อต่าง ๆ ที่เหมาะสม หรือนำไปมอบเป็นทางการไว้กับตำรวจเป็นผู้เก็บรักษาไว้เพื่อประกาศหาเจ้าของต่อไป

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ค. 2010, 17:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หนูมีปัญหาเกี่ยวกับคุณพ่อที่จะถามนะคะ คือคุณพ่อหนูเป็นคนจีน ตอนนี้อายุ 85 ปี ท่านแข็งแรงมาก และต้องเดินออกกำลังกายทุกวัน วันละ 2-3 รอบ แต่เวลาที่ท่านไปเดินออกกำลังกายนั้น ท่านจะต้องไปหยิบขนม, ผลไม้หรืออาหารรวมถึงน้ำดื่ม ที่เขาไหว้ตามศาลพระภูมิและบางแห่งที่ไหว้เจ้าที่ ท่านก็จะหยิบขนมหรือผลไม้ที่อยากกินใส่ถุงกลับมาบ้านทุกวันค่ะ ไม่ใช่ที่บ้านไม่มีให้ทานนะคะ หนูจัดอาหารให้ท่านทาน 3 มื้อ แล้วก็จัดผลไม้แบบปลอกเปลือกเรียบร้อยแล้วให้ทาน ท่านก็ทานทุกวัน แต่ท่านชอบกินขนมและน้ำดื่มที่ท่านหยิบมา (ซื้อมาให้แบบเหมือนกันท่านก็ไม่กิน) และบางครั้งก็ชอบทานอาหารที่ค้างไว้หลายวันมาก โดยอ้างว่า เพื่อนให้มา เพราะบางวันก็มีอาหารคาวที่เกือบจะเสียอยู่แล้วกลับมา ท่านก็ชอบทาน ส่วนผลไม้นั้นเอามาก็ไม่ได้ทานเพราะหนูจัดไว้ให้ทานอยู่แล้ว (คือทานไม่ทัน) ก็จะเน่าเสียทุกครั้ง และโดยเฉพาะวันพระ จะมีกลับมาเยอะมาก หนูอยากถามท่านเป็นข้อๆ นะคะ

1. การที่ท่านหยิบของไหว้หรือกินของที่เขาไหว้เจ้าที่ไว้นั้น แต่บางครั้งก็เหมือนมีคนให้มาโดยเขาจัดใส่ถุงไว้ให้แล้ว ท่านจะบาปหรือไม่คะ แล้วเป็นกรรมอะไรคะท่านถึงได้เป็นแบบนี้

คำตอบ
รับของที่คนมอบให้เป็นทาน ไม่ถือว่าเป็นบาปแต่การไปเอาของที่เจ้าของยังมิได้อนุญาตมาเป็นของตนโดยพลการถือว่าละเมิดศีลข้อ 2 เป็นบาป เหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะความเห็นผิดจากธรรมยังมีอำนาจอยู่เหนือจิตใจ


2. ผลไม้หรือขนมที่เน่าเสียแล้ว หนูเก็บไปทิ้งโดยไม่บอกท่านหนูจะบาปไหมค่ะ

คำตอบ
บาปเพราะไปเอาสิ่งของของผู้อื่นไปทิ้งโดยยังไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของ แต่หากเจ้าของผลไม้เน่าอาหารบูดเน่าได้นำไปใส่ไว้ในภาชนะทิ้งของแล้วคุณสามารถนำไปทิ้งได้โดยไม่เป็นบาป

3. ความประพฤติของท่านแบบนี้ ในส่วนหนูที่เป็นลูก หนูต้องทำอย่างไรค่ะ (เพราะบางครั้งหนูก็โกรธท่านที่นำของไหว้กลับมา แล้วก้อชอบรับประทานอาหารที่เสียๆ นะค่ะ)
ทุกวันนี้หนูก็สวดมนต์ไหว้พระ เช้า-เย็น แล้วนั่งสมาธิทั้งตอนตื่นนอนและก่อนนอน ประมาณ ครึ่งชั่วโมง และแผ่เมตตาให้ บิดา-มารดา รวมถึงญาติเปตา และสรรพสัตว์ทั้งหลาย และบางครั้งก็ไปปฏิบัติธรรมที่วัดบ้าง ถึอศีลอุโบสถบ้าง แบบนี้ถูกต้องไหมค่ะ หนูปฏิบัติมาได้ 6 เดือนแล้ว

คำตอบ
ในฐานะเป็นลูกควรให้ความเห็นที่ถูกต้องกับท่านหากท่านเชื่อแล้วทำตามที่คุณแนะนำจะเป็นบุญเกิดขึ้นกับทั้งพ่อและลูก ดังตัวอย่างของวิมลโกญทัญญะ ได้แนะนำแม่อัมพปาลีที่ดำเนินอาชีพเป็นหญิงงามเมือง (โสเภณี) ว่าเป็นบาปควรเลิกอาชีพนั้นเสีย แม่เชื่อแล้วทำตามและยังได้นำตัวเองมาประพฤติปฏิบัติธรรมจนบรรลุอรหัตผลเป็นพระอรหันต์ได ้หากคุณได้แนะนำพ่อแล้วท่านไม่เชื่อคุณต้องปล่อยวางเพราะชีวิตเป็นของท่านต้องเลือกและนำพาชีวิตด้วยตัวท่านเอง

ส่วนความเห็นในเรื่องของการบริโภค มนุษย์ผู้มีความเห็นถูกเห็นว่า บุหรี่สูบแล้วให้โทษแต่ยังมีมนุษย์อีกจำนวนมากเห็นว่าบุหรี่เป็นสิ่งมีคุณ สูบแล้วสบายอารมณ์มีความสุขจึงยังคงสูบอยู่ เช่นเดียวกันผลไม้เน่าอาหารบูดเสียพวกหนอน พวกแร้งกินซากศพเน่ารวมถึงมนุษย์บางคนเห็นว่าบริโภคแล้วมีคุณ จึงยังจำเป็นต้องกินอาหารบูดเน่าอยู่เพราะบริโภคแล้วไม่เกิดโทษทั้งยังทำให้ร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงอีกด้วย ผู้รู้จึงยอมรับและเคารพความเห็นของคนอื่น

เรื่องพฤติกรรมที่บอกเล่าไปหากทำแล้วเกิดผลดีจงทำต่อไป และหากเมื่อใดสามารถนำจิตวิญญาณเข้าถึงธรรมของพระพุทธะได้แล้วคุณสามารถให้คำชี้แนะที่ดีต่อผู้อื่นได้ สามารถปล่อยวางเรื่องของคนอื่นได้ แล้วจะไม่เป็นทุกข์

หนูจะถามคำถามเกี่ยวกับคุณแม่หนู 1 ข้อนะคะ
4. คุณแม่หนูเสียชีวิตมาได้ ประมาณ 8 ปีแล้ว เมื่อก่อนก็ฝันเห็นท่านบ้าง แต่หลังจากที่ปฏิบัติธรรม หนูฝันถึงท่านคือฝันว่าได้จูงมือท่านเข้าไปในโบสถ์ ที่มีพระภิกษุสงฆ์หลายรูปกำลังนั่งสวดมนต์อยู่ ในฝันท่านรู้สึกกลัวๆ แต่หนูก็จูงมือตั้งแต่หน้าประตูเข้าไปถึงในโบสถ์และจัดให้ท่านนั่งฟังพระสวดอยู่ข้างหลังพระเลย แบบนี้หมายถึงท่านไปดีแล้วใช่ไหมค่ะ



คำตอบ
นิมิตเห็นสิ่งดี เป็นเครื่องบ่งชี้ภพที่สัตว์ไปเกิด (คติ) ดี

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ค. 2010, 17:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เวลาหนูนั่งฟังธรรมอย่างตั้งใจ ด้วยจิตสำรวม มีความเคารพและศรัทธาครูบาอาจารย์เป็นอย่างมาก แต่มักจะเกิดอาการจิตก้าวร้าวและคิดไม่ดี เช่น นั่งฟังธรรมของหลวงพ่อสนองกตปุญโญ นั่งฟังอย่างตั้งใจ ห่างจากท่านประมาณ 1 เมตร แต่พอนั่งฟังธรรมได้ประมาณ 2 ชั่วโมง หยิบก้อนหินเล่นไปมาได้ซัก 3-4 ครั้ง จิตก็นึกถึงการเควี้ยงก้อนหินก้อนนั้นไปทางครูบาอาจารย์ ทั้งๆที่ไม่มีความตั้งใจในการทำอย่างนั้น แต่มันมีความคิดนั้นเกิดขึ้น ทั้งๆที่หนูมีความเคารพครูบาอาจารย์เป็นอย่างมากและหนูก็ต้องงงกับความคิดของตังเองว่าทำไมความคิดนี้มันผุดมาได้อย่างไร ( เฉพาะเวลาตั้งใจมากๆแต่ถ้าฟังธรรมปกติก็ไม่มีปัญหาอะไร ค่ะ )

1. หนูควรจะต้องทำอย่างไรค่ะ ? เพราะหนูก็กลัวบาปมากๆค่ะทั้งๆที่หนูไม่มีความตั้งใจในการทำอย่างนั้น แต่จิตมันแวบคิดในทางไม่ดี ซึ่งหนูก็รู้ว่าท่านเป็นพระอรหันต์ถ้าคิดอย่างนั้น ก็จะเป็นบาปมหันต์ ต้องตกนรก

คำตอบ
เหตุที่ไประลึกรู้เรื่องขว้างปาก้อนหิน เป็นอกุศลกรรมเก่าที่เคยประพฤติมา แล้วจิตเก็บบันทึกกรรมชั่วไว้เป็นสัญญา เมื่อจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิจนถึงระดับไประลึกรู้ถึงสัญญาเก่าที่ถูกเก็บฝังไว้ในจิต วิธีแก้ปัญหา ต้องนำพวงมาลัยดอกไม้สดเช่นพวงมาลัยมะลิสดใส่ลงในพานแล้วไปขอขมากรรมต่อหลวงพ่อที่คุณไปฟังธรรมจากท่าน เมื่อท่านเอ่ยปากยกโทษให้เวรกรรมเรื่องขว้างปาผู้ทรงศีลจะหมดไป


2. หรือว่าชาติก่อนๆหนูเป็นอย่างไรค่ะ ? ถึงมีความคิดที่ไม่ดีแวบซึ่งหนูเองก็ยังตกใจกับตัวเอง จึงต้องนั่งคล้ายสะกดจิตตัวเองและท่องอยู่ในใจว่า มนุษย์ ต้องคิดดี พูดดี และทำดี และไม่เกร็ง ทำจิตให้สบายๆ เหมือนอิริยาบถปกติ จิตจึงผ่อนคลายดีขึ้น

สุดท้ายขออำนาจคุณพระรัตนตรัย จงช่วยปกป้องและคุ้มครองท่าน ด.ร สนอง วรอุไร ให้มีความสุขความเจริญ และอยู่เป็นร่มโพธิ์ร่มไทร ของชาวมนุษย์นานๆ ค่ะ
กราบขอบพระคุณอย่างสูงค่ะ


คำตอบ
ชาติก่อนเป็นคนขาดสติ จึงคิดและทำไม่ดีกับผู้ทรงคุณธรรม ชาตินี้มีสติจึงระลึกได้ถึงแรงกรรมไม่ดีที่ทำไว้ ควรต้องรีบแก้ไข

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ค. 2010, 17:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1. การสำเร็จความใคร่โดยไม่ได้ไปเที่ยวผู้หญิง ถือว่าผิดศีลห้าไหมครับ และมีผลต่อความก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรมอย่างไร

คำตอบ
การทำกรรมสามารถทำได้ 3 ทางคือ มโนกรรม วจีกรรมและกายกรรม ไม่ผิดศีล 5 แต่ผิดธรรม ตรงที่ว่าจิตตกเป็นทาสของกามราคะ หากราคะยังมีกำลังกล้าแข็งมีอำนาจอยู่เหนือจิตใจทำให้ใจไม่สงบเป็นอุปสรรคต่อความก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรมได้


2. ผมตั้งใจรักษาศีลห้ามาได้ประมาณหนึ่งเดือนแล้วครับ เวลาทำสมาธิซักพักจะเกิดอาการตึงบริเวณด้านในใบหน้าบริเวณจมูก และรู้สึกว่าลมหายใจเริ่มมีแรงดันแปลกๆ เหมือนลมหายใจรวมตัวเป็นลำมากระแทกจมูกเวลาหายใจออก ผมมักจะเริ่มเกิดอาการนี้เมื่อนึกเห็นภาพพระสว่าง 3จุดในหัว ในอก และในท้อง ควบกับการรู้ลมหายใจเข้าออกและคำภาวนา นะมะพะธะ ไปซักพัก แล้วจะรู้สึกสายลมหายใจเข้าออกสั้นลงแต่ไม่ถึงกับลมดับ คำถามคือความรู้สึกที่เกิดแบบนี้ที่มันรู้สึกหนักๆแน่นๆในจมูกนี้ ผมปฏิบัติผิดทางหรือเปล่าครับ ความรู้สึกจริงๆของการเข้าถึงฌานลึกจริงๆควรจะรู้สึกเบาสบาย ไม่หนักแบบนี้ใช่ไหมครับ ขอคำแนะนำด้วยครับ

คำตอบ
หากปฏิบัติธรรมแล้วเกิดอาการติดลบ เช่นความรู้สึกหนัก ๆ แน่น ๆ ในจมูก แล้วยังปล่อยให้อาการเช่นนี้ยังคงอยู่ การปฏิบัติธรรมจะไม่ได้ผลก้าวหน้า ถือว่าได้เป็นการปฏิบัติที่ผิดทาง วิธีแก้ไข เมื่อใดที่มีอาการดังกล่าวเกิดขึ้นต้องกำหนดว่า “ หนักหนอ ๆ ๆ ” จนกว่าอาการหนักจะหายไป เช่นเดียวกันเมื่อเกิดอาการแน่น ต้องกำหนดว่า “ แน่นหนอ ๆ ๆ ๆ ” จนกว่าอาการแน่นหายไปตามกฎไตรลักษณ์ แล้วดึงจิตกลับมาสู่องค์บริกรรมเดิม

ส่วนการที่จิตพัฒนาเข้าสู่องค์ฌานจะไม่มีอาการเช่นนี้ปรากฏแต่มีอารมณ์ฌานเกิดขึ้น มีอารมณ์ฌานเป็นแบบไหน ขึ้นอยู่กับระดับของฌาน ทุกระดับของรูปฌานจะมีจิตแน่วแน่อยู่ในอารมณ์อันเดียว (เอกัคคตา) เป็นเครื่องบ่งชี้ความเป็นฌานของจิต

3.ในหนังสือทางเอกนั้น ผมสนใจเรื่องการตั้งคำอธิษฐานมาก เพื่อประสบความสำเร็จในการปฏิบีติธรรมมาก ผมสนใจเรื่องการสร้างเหตุให้ตรงกับเรื่องที่อธิษฐานและการอ้างสัจจะประกอบการอธิษฐาน ผมขอเรียนถามว่า ถ้าสิ่งที่ผมจะอธิษฐานขอเป็นข้อ 3.1 ถึง 3.5 การอธิษฐานข้อใดที่ถ้าปฏิบัติตามเงื่อนไขในวิธีการด้านล่างแล้ว จะมีโอกาสสำเร็จสูงสุดครับ สาเหตุที่ผมถามเพราะผมไม่อยากอธิษฐานแล้วไม่สำเร็จกลัวว่าจิตจะตกครับ


วิธีการ
-ถ้าผมทำสมาธิให้เข้าฌานสูงสุดเท่าที่ผมทำได้ จนเห็นภาพพระสว่าง และอาการลมหายใจเกิดเหมือนที่ผมอธิบายข้างบน
-แล้วอ้างสัจจะที่ได้ถวายปัจจัยสร้างพระพุทธรูปของสมเด็จองค์ปฐมบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้ามาแล้ว 30 วันต่อเนื่องและจะทำไปตลอดชีวิตตามสัจจะ

-เพื่อ
-3.1. ขอเห็นนิมิตรคำตอบของคำถามที่ว่าผมเคยอธิษฐานพุทธภูมิหรือสาวกภูมิ
-3.2. ขอเห็นนิมิตรคำตอบของคำถามว่า ถ้าผมตายตอนนี้จะไปไหน เพื่อขอทราบผลการปฏิบัติธรรมในปัจจุบันของตนเอง
-3.3. ขอเห็นนิมิตรภาพพระพุทธรูป ที่จะเป็นพุทธนิมิตรให้ผมจับภาพพระนั้นจนสามารถเข้าถึงฌานสี่ละเอียดได้เร็วที่สุด
-3.4. เพื่อขอทราบคำตอบของคำถามที่ว่า อายุขัยของคุณพ่อคุณแม่ผมจะถึงเมื่อไหร่ ผมจะได้เร่งรัดให้ท่านปฏิบัติธรรมได้ถูกจังหวะ
-3.5. ขอให้เจ้ากรรมนายเวรที่กำลังตัดรอนชีวิตของคนที่ผมอยากช่วย ให้อโหสิกรรมให้คนที่ผมอยากช่วย แลกกับการอุทิศผลบุญจากสังฆทานที่ผมจะไปทำวันพรุ่งนี้

ท้ายที่สุดนี้ ไม่ว่าพี่สนองจะสงเคราะห์ตอบคำถามผมหรือไม่ก็ตาม ผมกราบขออำนาจพระพุทธ พระธรรม และ พระสงฆ์ จงบันดาลบุญและภูมิธรรมทั้งหมดที่ผมได้เคยทำมาดีแล้วในทุกๆชาติและที่จะได้ทำต่อไปในอนาคต ให่สำเร็จแด่พี่สนองและคนในครอบครัวพี่ เพื่อให้เข้าสู่พระนิพพานกันในชาตินี้เทอญ :)



คำตอบ
ก่อนตอบปัญหา ต้องเข้าใจก่อนว่าขณะจิตพัฒนาเข้าสู่ความเป็นฌาน ไม่สามารถอธิษฐานใดๆ ได้ เพราะจิตตั้งมั่นอยู่ในอารมณ์ของฌานเมื่อใดถอนจิตออกจากฌาน จึงสามารถใช้พลังจิตไปทำสิ่งต่าง ๆ ได้

ข้อ 3.2 มีโอกาสสำเร็จได้ง่ายที่สุด เพียงแต่ว่าพัฒนาจิตให้มีสติสัมปชัญญะ แล้วดูที่ต้นเหตุที่ทำเป็นปกติอยู่ในปัจจุบัน สามารถรู้ผลว่าตายแล้วตัวเองมีโอกาสไปเกิดที่ไหน

ส่วนข้อ 3.5 สำเร็จได้ยากที่สุด เพราะเจ้ากรรมนายเวรของผู้อื่นมีจำนวนมากเกินที่จะนับได้ เจ้ากรรมนายเวรจะยกเลิกการจองเวรให้หรือไม่นั้น ไม่มีใครแม้แต่พระพุทธะยังไม่สามารถก้าวล่วงได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ค. 2010, 17:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1. เมื่อสมัยข้าพเจ้าเรียน ปวช. เคยสนใจเรื่องการนั่งสมาธิ อยู่มาวันหนึ่ง เมื่อข้าพเจ้านั่งสมาธิได้สักพัก ลองเอามือสองข้างมาถูกัน ปรากฏว่า ฝ่ามือทั้งสอง ขยายออกเองอัตโนมัติ เมื่อลองดันมาเข้าหากันจะรู้สึก เหมือนมีอะไรซักอย่างมีแรงต้านกันอยู่ เหมือนมีลูกบอลตรงฝ่ามือ ครับ ปัจจุบันก็ยังสามารถทำได้ และเคยให้นักเรียน ในชั้นเรียนบางคน ลองกลับไปทำที่บ้าน แล้วเด็ก ๆ ก็ตื่นเต้นใหญ่ แต่เราไม่สามารถอธิบายได้ อยากเรียนถาม ท่าน ดร.ครับว่า สิ่งนี้คืออะไรครับ

คำตอบ
สิ่งนั้นคือพลังของจิตที่ตั้งมั่นเป็นสมาธิคนหลงจำนวนมากใช้พลังสมาธิ (พลังฝ่ามือ) ไปแสดงการจับหลอดฟลูออเรสเซนท์ให้สว่างใช้พลังฝ่ามือสับอิฐให้แตกหัก ใช้พลังฝ่ามือต่อสู้ศัตรูใช้พลังฝ่ามือรักษาโรคทางกาย ฯลฯ ทั้งหมดยกตัวอย่างเป็นการใช้พลังสมาธิไปใช้ทางที่ผิด (มิจฉาสมาธิ) ผู้ตอบปัญหาไม่แนะนำให้แสดงเพราะไม่ทำให้พ้นไปจากทุกข์ได้


2. ข้าพเจ้ามีความสนใจด้านธรรมะพอสมควร ชอบอ่านและศึกษาธรรมะเป็นชีวิตจิตใจ แต่รู้สึกว่าตนเองหลงในกามอารมณ์มากเกินไป พยายามใช้ธรรมะเข้าข่ม ก็ช่วยได้บ้าง ครับ ไม่ทราบว่า ตรงนี้มีกรรมใดถึงละเว้นได้ยากนัก

คำตอบ
กรรมที่ทำคือปล่อยให้กิเลสเข้ามามีอำนาจเหนือใจเหตุเพราะไม่พัฒนาใจให้มีกำลังกล้าแข็ง

3. ข้าพเจ้าสะสมหนังสือธรรมะและแผ่นซีดีธรรมะไว้มาก บางเล่มก็ยังไม่ได้อ่าน ซีดีบางแผ่นก็ยังไม่ได้ดู จึงนำหนังสือที่ได้รับแจกมานี้ เอาไปมอบให้ผู้อืนอีกที เพื่อจะเป็นประโยชน์แก่ผู้นั้นได้ ส่วนซีดี ข้าพเจ้าก็นำไปตั้งแจกไว้กับหนังสือสวดมนต์ที่ข้าพเจ้าเย็บเล่มเอง ไปวางไว้ในวัด โดยทำป้ายว่า หนังสือแจกฟรี อยากเรียนถามท่าน ดร.ว่า การที่เรามีเจตนาจะให้ทาน แต่ไม่ได้ระบุผู้รับ คือ วางไว้ให้ผู้สนใจหยิบไปได้เลย ฟรี แบบนี้ จะได้กุศลมากน้อยเพียงใด เมื่อเทียบกับการเจตนามอบให้เป็นรายบุคคล ครับ

ข้าพเจ้ากราบขอบพระคุณ ท่าน ดร.ไว้ล่วงหน้าครับ

คำตอบ
การกระทำแบบนี้ คือการให้ธรรมะเป็นทานแก่คนหมู่มากได้บุญมากกว่ามอบธรรมให้เป็นราย ๆ แต่ทั้งสองยังได้ไม่มากเท่ากับเอาธรรมะที่มีอยู่ในหนังสือหรือมีอยู่ในแผ่นซีดี มาบรรจุไว้ในใจของตัวเองได้เมื่อไร จะเป็นบุญสูงสุด

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ค. 2010, 17:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดิฉันขอเรียนถามเกี่ยวกับการปฏิบัติธรรมของตัวเองดังนี้ค่ะ
ดิฉันเริ่มปฏิบัตธรรมที่บ้านมาได้ ๖ เดือน คือดิฉันจะสวดมนต์ประมาณ ๒๐ นาที จากนั้นก็เดินจงกรม ๒๐ ถึง ๓๐ นาท และก็นั่งสมาธิต่ออีก ๑๕ ถึง ๒๐ นาที สามเดือนแรกการปฏิบัติมีการก้าวหน้าเรี่อยๆ ดิฉันมีสมาธิมากขึ้น และก็มีความจำดีขึ้นด้วย แต่หลังจากที่ดิฉันได้พยายามที่จะนั่งสมาธิให้ได้นานขึ้นคือประมาณ ๓๐ นาทีถึง ๔๕ นาที ดิฉันก็จะมีอาการปวดหัว ยิ่งพอตกเย็นก็จะรู้สึกปวดหัวมาก และก็ปวดที่ท้องด้วย ดิฉันคิดว่าคงจะพยายามเกินไป จึงได้เกิดความเครียด ดิฉันจึงลดการนั่งสมาธิให้น้องลง และก็เดินจงกรมให้มากขึ้น อาการปวดหัวก็หายไป แต่แปลกตรงที่ว่าตอนเย็นดิฉันจะรู้สึกปวดท้อง แต่พอเช้ามาก็ไม่มีอาการดังกล่าวอีก เป็นแบบนี้อยู่หลายอาทิตย์แล้ว เวลาเกิดอาการปวดท้อง ดิฉันพยายามกำหนดว่าปวดหนอ ปวดหนอ แต่อาการก็ไม่หายไป

ดิฉันอยากเรียนถามอาจารย์ว่าอาการเหล่านี้เกิดจากอะไร และทำอย่างไรอาการเหล่านี้ถึงจะหายไป และดิฉันจะต้องปฏิบัติอย่างไรต่อไปเพื่อความก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรม

กราบเรียนมาด้วยความเคารพอย่างสูง


คำตอบ
ปวดท้องต้องไปหาหมอให้หมอค้นดูต้นเหตุที่ทำให้ปวด และประสงค์ให้เกิดความก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรม ต้องลดความพยายามลงให้เหลือเท่าครั้งแรก ๆ ที่ปฏิบัติแล้วได้มรรคผลคือมีสมาธิมากขึ้นมีความจำดีขึ้น นั่นเป็นมัชฌิมาปฏิปทาของคุณ ต่อเมื่อจิตมีพลังมากขึ้น ระดับมัชฌิมาปฏิปทาจะเพิ่มขึ้นเองเป็นอัตโนมัติ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ค. 2010, 18:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมได้อ่านหนังสือเกี่ยวกับธรรมมะแล้ว ยังไม่เข้าใจในเรื่องต่อไปนี้
๑. เมื่อตายแล้ว เข้าใจว่าวิญญาณออกจากร่าง ถ้าเป็นวิญญาณดังว่าจะมีกี่วิญญาณ โดยเฉพาะชาวจีน จะมีพิธีมากมายเกี่ยวกับวิญญาณ เช่น ขณะทำพิธีกงเต๊ก ผู้ทำพิธีก็บอกว่านำวิญญาณไปสู่สรวงสวรรค์ วันร่งขึ้นก็นำศฯพไปฝังยังหลุมฝังศพ เมื่อทำพิธีฝังก็นำวิญญาณมากราบไหว้บูชาที่บ้านอีกโดยมีป้ายชื่อของผู้ตายตั้งไว้ วิญญาณอยู่ที่ใด หรือสามารถเดินทางไปยังที่ต่าง ๆ ได้ คล้ายมีกายทิพย์

คำตอบ
อ่านหนังสือเกี่ยวกับธรรมะแล้วยังไม่เข้าใจเรื่องของชีวิตได้ถ่องแท้ นั่นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง เพราะการอ่านอย่างเดียวไม่ทำให้เกิดปัญญาเห็นแจ้งได้

วิญญาณคือ การรู้แจ้งอารมณ์หรือคือจิต ที่ถามว่าวิญญาณออกจากร่าง นั่นหมายถึงจิตออกจากร่าง มีเพียงจิตเดียว แต่ละการเกิดดับของพลังงานจิต สามารถทำงานได้การเกิดดับของจิตเร็วมากจึงทำงานได้หลายอย่างเช่น ไปรู้อารมณ์ทางตา (จักษุวิญญาณ) ไปรู้อารมณ์ทางหู (โสตวิญญาณ) ไปรู้อารมณ์ทางลิ้น (ชิวหาวิญญาณ) ฯลฯ คนที่เข้าไม่ถึงความจริงแท้จึงเข้าใจว่ามีหลายวิญญาณ (มีหลายจิต) แต่นักปฏิบัติธรรมที่เข้าฌานได้แล้วเกิดอภิญญาไประลึกรู้ชาติหนหลัง (ปุพเพนิวาสานุสติญาณ) จะรู้เห็นเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าแต่ละภพที่ตนไปเกิดมีเพียงรูปนามเดียว เช่นเดียวกันรูปนามที่เป็นทิพย์ ที่ไปเกิดในภพที่มีอิสระในการโคจร สามารถไปในที่ต่าง ๆ ได้ตามศักยภาพที่ตนมีเช่นเทวดา แต่รูปนามทิพย์ที่ไปเกิดในอบายภูมิบางภพหมดโอกาสโคจรเพราะเสวยอกุศลวิบากถูกจำกัดบริเวณก็หมดโอกาสโคจร บางภพเปิดโอกาสให้สัตว์โคจรได้ค่อนข้างจำกัด ด้วยเหตุนี้วิญญาณจึงมีอยู่ในทุกภพ นับแต่เบื้องต่ำสุด(สัตว์นรก) จนถึงภพสูงสุด (พรหม)

๒. ที่ว่าคนทำบาปจะต้องตกนรกตามแต่กรรมของแต่ละคน การรับกรรมของคนตกนรกเป็นเช่นใด บางเล่มที่ได้อ่านมา หรือตามที่คนมักจะกล่าวถึงเสมอ เช่น ถูกเหล็กแหลมแทงบ้าง ถูกสุนัข/อีกา กัด/จิกบ้าง เป็นต้น จิตหรือวิญญาณนั้นมีรูปร่างอีกหรือ

คำตอบ
คนทำบาปต้องถามว่า ทำบาประดับไหน เช่นทำบาปด้วยการฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดกาม ฯลฯ ตายแล้วมีโอกาสไปเกิดเป็นสัตว์นรกได้ทำบาปด้วยการกล่าววาจาลบหลู่ผู้มีคุณธรรม ตายแล้วมีโอกาสไปเกิดเป็นเปรตได้
ฯลฯ

การรับผลกรรมของสัตว์นรก แตกต่างกันตามชนิดของกรรมที่ทำตัวอย่างเพระเทวทัต รับผลกรรมในนรกด้วยการถูกตรึงให้อยู่ในท่ายืนด้วยเหล็กแหลมเสียบร่างกาย พระเจ้าอชาติศัตรูรับผลกรรมในนรก ด้วยการถูกต้มอยู่ในหม้อนรก ที่มีของเหลวเดือดอยู่ตลอดเวลา สัตว์นรกที่ถูกใช้ให้ทำงานไม่มีวันพักผ่อนเหตุเพราะสมัยเป็นมนุษย์คดโกง เบียดบังแรงงานคนอื่น ฯลฯ

จิตหรือวิญญาณ เมื่อออกจากร่าง (ตาย)แล้วจะต้องโคจรไปเกิดอยู่ในร่างใหม่ (ปฏิสนธิ) ได้รูปนามเป็นสัตว์ในภพต่าง ๆ ตามกรรมที่ตนเองทำเอาไว้



๓. เพชณฆาตก็ดี ตำรวจก็ดี หรือแม้แต่ทหารที่ทำสงครามก็ดี จะต้องมีการฆ่ากันตาย จะต้องรับกรรมด้วยหรือไม่

คำตอบ
ผู้ใดทำกรรมไม่ว่าดีหรือชั่ว กรรมจะถูกเก็บบันทึกไว้ในจิตของผู้ทำกรรมเมื่อใดกรรมให้ผล ผู้ทำกรรมย่อม ได้รับผลกรรมนั้นแน่นอน


๔. นายนิรยบาล (น่าจะเป็นยมบาล) เป็นผู้คุมกฎแห่งกรรม จะมีโทษหรือชดใช้กรรมหรือไม่

จึงกราบเรียนมายังอาจารย์โปรดให้คำชี้แนะด้วยครับ


คำตอบ
คำว่า “ นิรยบาล ” กับคำว่า “ ยมบาล ” หมายถึงผู้ลงโทษสัตว์นรก ผู้ลงโทษสัตว์นรกถ้าประพฤติได้ถูกตรงตามหน้าที่ และสัตว์นรกยอมรับผลของกรรมที่ตนเองทำจะไม่มีการจองเวรเกิดขึ้น ผู้ลงโทษสัตว์นรกไม่ต้องรับโทษ

แต่ถ้าผู้ลงโทษไม่รู้แน่ชัด แล้วไปลงโทษผู้ที่มิได้ทำความผิดเกิดมีการจองเวรเกิดขึ้น ผู้ลงโทษต้องได้รับโทษแห่งการทำหน้าที่นั้นตัวอย่างเช่น มูคผักขะกุมาร (พระเตมีย์ใบ้) อดีตเคยเกิดเป็นพระเจ้ากรุงพาราณสี ได้ตัดสินโทษประหารชีวิตแก่นักโทษ เมื่อกรรมให้ผล ตนเองต้องลงไปเกิดเป็นสัตว์นรกยาวนานถึงแปดหมื่นปี เมื่อพ้นโทษในนรกแล้วจึงได้มาเกิดเป็นมนุษย์ชื่อว่ามูคผักขะราชกุมาร ได้ระลึกถึงเรื่องราวในอดีตของตนจึงได้อธิษฐานเป็นใบ้ เหตุเพราะไม่ประสงค์จะสืบต่อราชบัลลังก์ เป็นพระเจ้ากรุงพาราณสีต่อจากพระบิดา หรือในอดีตตัวอย่างหนึ่ง คือเรื่องของคุณหมออาจินต์ อดีตเคยเป็นราชมัล ทำหน้าที่ทรมานนักโทษด้วยการใช้เครื่องบีบขมับให้ยอมสารภาพความผิด ทั้งที่เป็นผู้บริสุทธิ์นักโทษจึงได้ผูกเวรได้ ผลที่ตามมาคือ เมื่อมาเกิดเป็นมนุษย์ในชาติปัจจุบันท่านต้องรับอกุศลวิบาก ด้วยการปวดศรีษะอย่างแรงยาวนาน

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ค. 2010, 18:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมได้ฝึกปฎิบัติสติปัตฐานสี่ตามแนวของหลวงพ่อ จรัญ วัดอัมพวันอยู่เสมอ มีปัญหาจะรบกวนท่านอาจารย์ช่วยแนะนำด้วยดังนี้
1. ลูกสาวอายุได้ 3เดือน มีปัญหาเป็นโรคลิ้นหัวใจไม่แข็งแรงและผนังหัวใจรั่ว ถ้าผมปฎิบัติกรรมฐานบ่อยๆ แล้วแผ่เมตตาให้เจ้ากรรมนายเวรของลูกสาว จะช่วยให้ลูกสาวหายป่วยได้หรือไม่ ขออาจารย์ช่วยชี้แนะด้วยครับ

คำตอบ
ปฏิบัติกรรมฐาน (ภาวนา) เป็นหนึ่งในบุญกิริยาวัตถุ 10 ผู้ใดปฏิบัติได้มรรคผลแล้ว จะเกิดเป็นบุญสูงสุดผู้มีบุญสามารถอุทิศบุญกุศลให้ผู้อื่นได้ ส่วนเขาจะรับอนุโมทนาหรือไม่นั้น เป็นสิทธิ์ของเขาไม่มีใครไปบังคับให้เขารับหรือไม่รับอนุโมทนาได้

ส่วนเมตตาเป็นคนละเรื่องกับบุญเมตตาเป็นบารมีเป็นความรักความปรารถนาให้ผู้อื่นได้รับประโยชน์และมีความสุข เมตตาเกิดขึ้นได้ด้วยการให้อภัยเป็นทานเครื่องบ่งชี้ความมีเมตตาคือ ความสงบและเย็น (ไม่โกรธ ไม่หงุดหงิด) เกิดมีอยู่ในจิตวิญญาณของผู้มีเมตตา และเช่นเดียวกัน ผู้ใดมีเมตตาสามารถแผ่เมตตาให้ผู้อื่นหรือสัตว์อื่นได้ ผู้อื่นหรือสัตว์อื่นรับอนุโมทนนาเมตตาจากผู้แผ่ให้แล้วความเป็นศัตรู ความผูกพยาบาล จองเวรจะไม่เกิดขึ้น

2. การตั้งจิตอธิฐานทุกๆครั้งในการทำบุญและปฏิบัติกรรมฐาน ให้ถึงพระนิพพานในกาลอันควร เป็นการอธิฐานที่ถูกต้องหรือไม่ อย่างไร

คำตอบ
เป็นการอธิษฐานที่ถูกต้อง สำหรับผู้ปรารถนานำพาชีวิตให้พ้นไปจากสังสารวัฏ เมื่ออธิษฐานแล้วต้องทำใจให้มีศีลและสัจจะคงอยู่ และสุดท้ายต้องทำเหตุให้ถูกตรง คือพัฒนาจิตให้เกิดปัญญาเห็นแจ้ง แล้วใช้ปัญญาเห็นแจ้งไปกำจัดกิเลส ที่นอนเนื่องอยู่ในจิตสันดาน (อนุสัย 7) หรือกำจัดกิเลสที่ผูกมัดใจสัตว์ให้ต้องเวียนตายเกิด (สังโยชน์ 10) ให้หมดไปจากใจได้เมื่อไรแล้วคำอธิษฐานให้ถึงซึ่งพระนิพพานจึงจะเกิดเป็นจริงได้


3. การปฎิบัติกรรมฐานที่บ้านด้วยตนเอง จะต้องไปสอบอารมณ์กับพระอาจารย์หรือไม่

คำตอบ
หากบุญบารมีสั่งสมมามากพอ สามารถปรับแก้ไขสิ่งผิดพลาดในการกำจัดกิเลสให้หมดไปจากใจได้ ดังเช่นพระปัจเจกพุทธะทำให้ดูเป็นตัวอย่าง แต่หากบุญบารมียังอ่อนจำเป็นต้องสอบอารมณ์กรรมฐานกับครูบาอาจารย์ผู้มีประสบการณ์และเป็นกัลยาณมิตรในทางธรรม


4. ผมต้องการร่วมทำบุญโรงทานให้พระที่ออกจากสมาบัติที่อาจารย์เคยพูดไว้ จะทำได้อย่างไรครับ


คำตอบ
หากปรารถนาจะร่วมบุญกับการจัดตั้งโรงทานตามที่ถามไปทุกต้นเดือนกุมภาพันธ์ของปี โปรดสอบถามได้โดยตรงกับผู้มีประสบการณ์หรือถามไปทางชมรมกัลยาณธรรมน่าจะให้คำตอบที่ถามไปได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


แก้ไขล่าสุดโดย ธรรมบุตร เมื่อ 23 พ.ค. 2010, 18:28, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ค. 2010, 18:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1. คุณแม่เป็นผู้ป่วยจิตเภท รักษาตัวและทานยามาตลอด สามารถดูแลตัวเองได้ แต่ปัญหาคือเมื่อมีใครมาพูดว่าหรือแสดงทีท่าว่าไม่พอใจการกระทำของท่าน บางครั้งแม้เพียงเล็กน้อย ก็จะโกรธและหลายครั้งก็ควบคุมตัวเองไม่ได้ จะด่าทอและขว้างปาข้าวของ โวยวาย อาละวาด และมักจะโทษว่าเป็นความผิดของเพื่อนบ้านบ้าง พี่น้องบ้าง แต่ส่วนใหญ่มักจะโทษว่าเป็นความผิดของลูกว่าไม่ดูแลเอาใจใส่ ตัวดิฉันเองไม่ได้อยู่กับท่านเพราะทำงานอยู่ที่จังหวัดอื่น และยอมรับว่าไม่ค่อยใกล้ชิดกันมากตั้งแต่เด็ก ความคิดความเห็นหลายๆ อย่างก็ไม่ตรงกัน ไม่สามารถสื่อสารกันได้ จนบางครั้งเครียดมาก เพราะขนาดอยู่กันคนละที่ บางช่วงท่านยังก่อปัญหาให้เครียดได้แทบจะรายวัน
ดิฉันดูแลเรื่องค่าใช้จ่ายของท่านเพราะท่านไม่ได้ทำงาน เคยพาท่านไปปฏิบัติธรรม ในวันเกิดของท่านก็จะจัดหาหนังสือธรรมะให้ท่านแจก ส่งเทปและซีดีรวมทั้งหนังสือธรรมะไปให้ฟัง ไปให้อ่าน และท่านเองก็จะเข้าวัดถืออุโบสถในวันพระ และชอบทำบุญตักบาตร แต่ก็ยังไม่ทำให้ดีขึ้น และเมื่อดิฉันทำทานหรือปฏิบัติธรรมดิฉันก็จะแผ่บุญให้ อยากจะเรียนถามอาจารย์ว่ากรรมอะไรที่ทำให้คุณแม่เป็นอย่างนี้ จะมีวิธีการอะไรอีกมั้ยคะที่จะช่วยแก้ไขอาการของท่านให้ดีขึ้นและมีความสุขขึ้นได้ และไม่ทราบว่ากรรมอะไรที่ทำให้บุคคลมาเกิดเป็นแม่ลูกกัน ถ้าเป็นกรรมไม่ดีดิฉันจะมีวิธีการตัดกรรมได้ยังไงคะ

คำตอบ
กรรมที่ท่านทำคือ ใช้ปัญญาเห็นผิดเป็นเครื่องส่องนำทางให้กับชีวิตและไม่มีใครจะแก้ปัญหาให้กับชีวิตของท่านได้ แท้จริงท่านต้องแก้ปัญหาชีวิตด้วยตัวเอง ด้วยการพัฒนาจิตให้มีกำลังของสติ และมีกำลังของปัญญารู้ทันสิ่งกระทบต่าง ๆ ตามความเป็นจริง (สติสัมปชัญญะ) จนจิตมีกำลังอยู่เหนือกิเลส ตัณหา อุปาทานได้แล้ว ปัญหาที่เกิดกับตัวท่านจะหมดไป ท่านจึงจะมีจิตที่สงบและเป็นสุข

คนที่จะเกิดมาเป็นแม่ลูกกันได้ ต้องเคยทำกรรมร่วมกันมาซึ่งมีทั้งกรรมดีที่ให้ผลเป็นความสุข ความเจริญ ความสำเร็จ กับกรรมไม่ดีที่ให้ผลเป็นความทุกข์ความขัดข้องของชีวิต วิธีตัดกรรมที่ให้ผลเป็นอกุศลวิบากไม่มี แต่อกุศลวิบากจะหมดไปได้ ด้วยการกระทำ 4 อย่าง ดังนี้คือ
1. ชดใช้หนี้กรรมจนกว่าจะหมดไป
2. ทำความดีที่ให้ผลเป็นบุญแล้วอุทิศบุญกุศลใช้หนี้
3. ทำความดีให้ยิ่งใหญ่จนกรรมชั่วตามให้ผลไม่ทัน
4. พัฒนาจิตวิญญาณจนเข้าสู่ความเป็นอริยบุคคลขั้นสูงสุด แล้วทิ้งขันธ์ลาโลก (ดับรูป-ดับนาม) ไม่ต้องกลับมาสู่สังขารวัฏอีกต่อไป

2. มีเพื่อนฝากเรียนถามอาจารย์ว่า เขาไปปฏิบัติธรรมที่วัดแห่งหนึ่ง มีหมา 2 ตัวที่คนมาปล่อยไว้ ตัวหนึ่งเป็นหมาฝรั่งตัวโต อีกตัวเป็นหมาไทยแต่มีหมัดเต็มตัว เพื่อนดิฉันอยากทราบว่าจะพาหมาฝรั่งไปทำหมันได้ไหม เพราะกลัวว่าถ้าหมาตัวนี้ออกไปนอกวัดไปผสมกับหมาตัวเล็กกว่า จะสร้างกรรมกับแม่หมาตอนคลอดลูก เพราะจะทำให้ได้รับความลำบากมาก และจะพาหมาอีกตัวไปรักษาหมัดได้หรือไม่ จะแก้ปัญหาอย่างไรไม่ให้บาปคะ

ขอกราบขอบพระคุณอาจารย์เป็นอย่างสูงและขอให้อาจารย์มีสุขภาพแข็งแรงค่ะ

คำตอบ
พาสุนัขไปทำหมันได้ พาสุนัขไปรักษาไม่ให้มีหมัด เห็บได้แต่ผู้ที่เป็นต้นเหตุของกิจกรรมต้องรับผล แห่งการกระทำนั้น ถ้าไม่ปรารถนาจะให้มีบาปเกิดขึ้นกับตัวเอง ต้องไม่เข้าไปมีส่วนร่วมในกระบวนอกุศลกรรมกับสุนัข

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ค. 2010, 18:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อยากแก้นิสัย

สวัสดีค่ะ

ดิฉันเป็นคนขี้หึง และขี้ระแวงมาก จิตปรุงแต่งได้เรื่อยๆ ดิฉันอยากจะแก้นิสัยนี้มากเพราะเห็นว่ามันเป็นทุกข์ทั้งกับตัวเองและคนอื่นที่อยู่ข้างๆ เรา ไม่ทราบว่าเป็นเพราะกรรมที่ทำให้เจอเหตุการณ์ที่ทำให้คิดไปได้ และต้องคิดไปในทางนั้น หรือเป็นเพราะโรคจิตเองก็ไม่ทราบ

พยายามคิดหาข้อธรรมะต่างๆ ที่พอได้ศึกษามาบ้างด้วยตนเองเพื่อหาเหตุผลดีดีมากำหราบตัวเอง ก็ไม่พบข้อไหนที่จะเอาอยู่ อาจจะเป็นเพราะความตื้นเขินและเบาปัญญาของตัวเอง แต่ดิฉันยังเชื่อว่าทุกข์ทุกอย่างในโลกสามารถดับได้ด้วยยาวิเศษคือธรรม แต่จะใช้ยาตัวไหนนั้นคงต้องพึ่งคุณหมอผู้รู้แล้วล่ะค่ะ เพราะจากการที่พยายามค้นยาสามัญประจำบ้านตามที่พอรู้ เพื่อช่วยเหลือตัวเองไปก่อนหน้านี้ตามกำลังปัญญาตัวเองมันค้นไม่เจอ รักษาไม่หาย และยังเป็นทุกข์ใจอยู่

จึงกราบขอความเมตตาอาจารย์โปรดชี้ทางสว่างให้กับสัตว์ที่กำลังตะเกียกตะกายติดบ่วงอยู่ตรงนี้ด้วยค่ะ

ขอร่วมอนุโมทนากับทุกบารมี ทุกความเมตตาที่อาจารย์กำลังบำเพ็ญอยู่นี้ และขอให้บุญใดก็ตามที่ดิฉันได้บำเพ็ญมาตั้งแต่อดีตชาติจนถึงปัจจุบันชาติช่วยเป็นอีกแรงหนึ่งให้ท่านอาจารย์มีกำลังทั้งนอกและในเพื่อช่วยพาสัตว์ข้ามพ้นโอฆะ เป็นกำลังของพระศาสนาของพระศาสดาเช่นนี้ต่อไปนานๆ เทอญ

ขอบพระคุณค่ะ

คำตอบ
เป็นโรคจิตชนิดหนึ่ง ที่มีสาเหตุมาจากจิตที่มีกำลังของสติอ่อน และมีกำลังปัญญาเห็นแจ้งอ่อน จึงรับเอาสิ่งกระทบเข้าทางหูสิ่งกระทบเข้าทางตา มาปรุงแต่งให้มีอารมณ์ติดลบเกิดขึ้น แล้วยึดเอาอารมณ์ (อุปาทาน) นั้นว่าเป็นตัวตน เป็นของตัวเป็นของตน ทุกข์ใจเกิดขึ้น

ยาขนานเอกที่สามารถแก้ปัญหานี้ได้ ต้องมีศรัทธาเต็มร้อยแล้วปฏิบัติตามคำแนะนำด้วยการไปพิจารณาซากศพที่บวมพองขึ้นอืด สิ่งกลิ่นเหม็นคละคลุ้งมีน้ำเหลืองไหลออกทางปาก ทางจมูก ทางหู จนกระทั่งเข้าถึงสัจธรรมของร่างกายได้ถูกตรงตามความเป็นจริง ว่าร่างกายเป็นสิ่งปฏิกูลน่าขยะแขยง เป็นสิ่งที่น่ารังเกียจไม่ปรารถนายึดเอามาเป็นของตนได้เมื่อไรแล้วปัญหาขี้หึงขี้ระแวงอันนำความทุกข์มาให้กับใจจะหมดไป

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ค. 2010, 18:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดิฉันอยากทราบว่ากรรมอะไรที่ได้สามีเป็นเกย์ และต้องทนจนถึงเมื่อไหร่ถึงจะเรียกว่าหมดเวรต่อกัน ดิฉันไม่พบคำถามที่เหมือนกันในคำตอบเก่าๆของอาจารย์ค่ะ และคิดว่าสมัยนี้คงไม่ได้มีดิฉันคนเดียวที่มีปัญหานี้ จึงคิดว่าคำตอบของอาจารย์คงช่วยคนที่มีปัญหาเหมือนดิฉันได้ด้วยค่ะ

ขอบพระคุณล่วงหน้าค่ะ

คำตอบ
เคยร่วมกระบวนกรรมผิดศีลข้อ 3 มาด้วยกัน จะหมดเวร(ความแค้นเคือง) นี้ได้ต่อเมื่อ มีเหตุต้องแยกทางเดินของชีวิต เช่น ไม่ปรารถนาอยู่ร่วมสังคมเดียวกัน ชาติปัจจุบันสร้างเหตุต่างกันหรือตายจากกันไป ฯลฯ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1521 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 24, 25, 26, 27, 28, 29, 30 ... 102  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร