วันเวลาปัจจุบัน 27 ส.ค. 2025, 02:10  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 1521 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 25, 26, 27, 28, 29, 30, 31 ... 102  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ค. 2010, 18:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขออนุญาตแทนตัวเองว่าหนูนะค่ะ ช่วงนี้หนูมุ่งมั่นในการนั่งวิปัสนากรรมฐานที่บ้านมาก ทุกเช้าและก่อนนอน แต่ปัญหามีอยู่ว่า หนูไม่แน่ใจว่าที่หนูนั่งอยู่มันเป็นแค่สมถะหรือกรรมฐานกันแน่ หนูประสงค์นั่งวิปัสนาเพื่อให้หนูมีสติมากขึ้น เกิดปัญญา และต้องการให้ตัวเองลดความเป็นตัวตนน้อยลง เพราะตัวหนูรู้สึกว่าตนเองเป็นทุกข์และทรมานกับความอยากได้ อยากมี อยากเป็น ไม่อยากได้ ไม่อยากมี ไม่อยากเป็น ทั้งๆที่รู้ว่าไม่ใช่ของเที่ยง แต่ก็ยังเป็นทุกข์กับสิ่งเหล่านี้ ทุกครั้งที่นั่งหนูภาวนาด้วยการยุบหนอ พองหนอ แต่หลายครั้งหลายครา มันมักจะฟุ้งไปเรื่องอื่น หรือบางครั้งก็มีอาการกลืนน้ำลายอยู่บ่อยๆ อาการปวดระยะหลังไม่ค่อยเป็น แต่จะรู้สึกเมื่อย จิตเริ่มขาดเป็นห้วงๆ ทำให้ไม่แน่ใจว่าที่ปฏิบัติอยู่นี่เป็นสมถะหรือกรรมฐานกันแน่ ถึงแม้ว่าจะภาวนาว่า ปวดหนอ เมื่อยหนอ แต่รู้สึกว่ามันไม่หายเลยค่ะ จะทำอย่างไรดีคะ

อาจารย์คะ หนูมีความประสงค์อยากเรียนอภิธรรมเป็นภาษาอังกฤษค่ะ อาจารย์พอจะแนะนำได้ไหมค่ะ หรืออาจารย์พอจะมีเวลาสอนหนูได้ไหมค่ะ คือ จุดประสงค์ของหนูไม่ใช่แค่พัฒนาจิตตนเอง แต่หนูอยากเขียนหนังสือนวนิยายที่สอดแทรกเชิงพุทธเป็นภาษาอังกฤษนะค่ะ ภาษาอังกฤษหนูอยู่ในระดับดีใช้ได้ แต่ยังไม่ถึงขึ้นเก่ง


คำตอบ
ก่อนอื่นต้องปรับความเห็นให้ถูกว่า ประสงค์จะพัฒนาจิตให้มีสติมากขึ้น ต้องปฏิบัติสมถกรรมฐาน ด้วยการเลือกองค์บริกรรมที่เหมาะกับจริตของตน (ดูกรรมฐาน 40) หากทำได้ถูกตรงแล้วจิตต้องตั้งมั่นเป็นสมาธิระดับต้น (ขณิกสมาธิ) ระดับกลาง (อุปจารสมาธิ) หรือจิตตั้งมั่นระดับสูงสุด (อัปปนาสมาธิ)

ประสงค์พัฒนาจิตให้เกิดปัญญาเห็นแจ้ง ต้องปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ด้วยการนำจิตที่มีความตั้งมั่นไปพิจารณากาย เวทนา จิต ธรรม ว่าดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์ได้เมื่อไรแล้ว ปัญญาเห็นแจ้งในสติปัฏฐานทั้ง 4 จึงจะเกิดขึ้น แล้วใช้ปัญญาเห็นแจ้งไปพิจารณาขันธ์ 5 (รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) จนเห็นเป็นจริงตามกฎไตรลักษณ์ ได้แล้ว อัตตา หรือความมีตัวตน หรือความเห็นแก่ตนจะดับไปตัณหาคือความอยากได้ ความไม่อยากได้ (วิภวตัณหา) จะดับไป

ที่นั่งภาวนา เช่น พองหนอ-ยุบหนอ แล้วจิตมักจะฟุ้งไปรับสิ่งกระทบอื่นเข้ามาปรุงเป็นอารมณ์ ต้องปรับต้นเหตุให้ถูกตรง คือต้องมีศีล 5 คุมใจให้ได้ก่อน แล้วการพัฒนาจิตให้มีสติ จึงจะเกิดขึ้นได้

ประสงค์จะเรียนอภิธรรม ผู้ตอบปัญหาไม่แนะนำเพราะไม่เป็นเหตุให้พ้นไปจากทุกข์ได้ แต่ถ้าผู้ถามปัญหาประสงค์จะเรียนอภิธรรม ประสงค์จะอยู่กับความทุกข์ ก็เป็นสิทธิ์ของผู้ถามที่จะเลือกนำพาชีวิตด้วยตนเองผู้ตอบไม่เคยศึกษาเล่าเรียนอภิธรรมมาก่อนจึงไม่อาจให้คำชี้แนะได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ค. 2010, 18:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หนูได้อ่านหนังสือของอาจารย์มาหลายเล่มที่มหาวิทยาลัยน่ะค่ะ อ่านเกือบทุกวัน จะหมดทุกเล่ม(ที่มหาวิทยาลัย)แล้วนะคะ ดีมากค่ะ อย่างน้อยมีสติ ให้ทำความดีทุกขณะ คะแนนสอบการเรียนดีขึ้นอย่างอัศจรรย์ค่ะ มีเต็มกับเกือบเต็มทุกวิชาค่ะ จึงได้เกิดแรงบันดาลใจค่ะ ได้ไปบวชชีพรามณ์ในช่วงเดือนมีนาคม(อยากทำเหมือนอาจารย์น่ะค่ะ)ที่วัดมหาธาตุ ที่เห็นได้ชัดจากคนรอบข้างก็นิสัยเปลี่ยนเป็นคนใจเย็น จัดการกับอารมณ์ตัวเองได้ดีค่ะจากเมื่อก่อนมีแต่คนบอกว่าเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย หนูจึงมีปัญหาธรรมถามอาจารย์ดังนี้ค่ะ

1.ตอนเด็กๆตั้งแต่ 5 ขวบ หนูจะฝันเห็นเด็กผู้หญิงคนนึงค่ะ เค้ามาบอกให้ให้หนูไปทำบุญให้หน่อย หนูไม่เคยรู้จัก ไม่เคยเห็นด้วยค่ะ หนูบอกแม่ แต่แม่ว่าหนูคิดมาก เลยไม่ได้ทำอะไรค่ะ แต่เค้ามาเข้าฝันบ่อยๆนะคะ (แต่หนูก็คิดว่าหนูคงคิดมากไป) จนฝันครั้งสุดท้ายเค้ากลายเป็นวิญญานร้ายแล้วเค้าจะฆ่าหนูน่ะค่ะ เค้าบอกว่าเพราะหนูที่ทำให้เค้ากลายเป็นแบบนี้ หนูเลยขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วย(ไม่เอ่ยถึงท่านนะคะ)ท่านมาจริงๆค่ะ บางครั้งหนูฝันว่าเค้ามานะคะ แต่เค้าทำอะไรหนูไม่ได้น่ะค่ะ จึงอยากถามว่าเพราะอะไรคะ เคยมีอะไรเกี่ยวพันกันมาก่อนรึเปล่า เค้าตามหนูมานานมากค่ะ ตอนนี้หนูอายุ22ปีแล้วนะคะ ซึ่งหนูจะฝันเห็นวิญญานเด็กบ่อยค่ะ(ไม่ใช่เด็กผู้หญิงคนนั้นคนเดียวค่ะ) ถ้าไม่มาเล่นด้วยก็มาขอร่าง แต่หนูบอกไม่ให้ สิ่งเหล่านี้เกิดจากอะไรคะ และมีวิธีแก้อย่างไร

คำตอบ
เป็นเรื่องของกรรมเก่าที่ผูกไว้แต่อดีต ร่วมกับกรรมปัจจุบันที่ฝันเห็น ฉะนั้นทุกครั้งที่ฝันเห็นเด็ก หรือทุกครั้งที่ระลึกถึงเรื่องนี้ต้องทำบุญแล้วอุทิศผลบุญไปให้เขา เลือกทำบุญใหญ่ ๆ เช่น ถวายสังฆทานแก่พระสงฆ์ที่ทรงศีลทรงธรรม แก่พระสุปฏิปันโนหรือพระอริยบุคคลหรือนำตัวเองเข้าปฏิบัติธรรม แล้วของความเมตตาจากเพื่อนโยคีผู้ร่วมปฏิบัติธรรมช่วยอุทิศบุญกุศลให้กับเด็กที่คุณฝันเห็น หรือเด็กที่คุณนึกถึงเขาสามารถมาอนุโมทนาบุญได้ ทุกครั้งที่มีโอกาสทำบุญ เมื่อมีบุญแล้วต้องอุทศบุญให้เขาไปเรื่อย ๆ จนกว่าไม่ฝันถึงหรือไม่ระลึกถึงเขา

ส่วนการที่เขามาขอร่างไปใช้เพื่อนำประโยชน์ของเขาและคุณบอกไม่ให้นั้นทำถูกต้องแล้ว เพราะคุณจะมีโอกาสใช้ร่างนี้ไปพัฒนาจิตวิญญาณได้เต็มที่ และหากเมื่อใดสามารถพัฒนาจิตให้มีศีล 5 คุมใจและพัฒนาจิตให้มีสติอยู่ได้ทุกขณะตื่นหากเจ้าของไม่อนุญาตจะไม่มีใครผู้ใดสามารถเอาร่างของคุณไปใช้ได้

2.หนูภาวนาตามแนวสติปัฏฐาน 4 ค่ะ ก่อนนั่งหนูมักจะบอกว่าขอให้มีสภาวธรรมเกิดขึ้น แล้วเราจะแผ่เมตตาขณะภาวนาได้หรือไม่คะ แผ่อย่างไร บูญกุศลที่ได้มากที่สุดช่วงไหนคะ

คำตอบ
การเจริญจิตภาวนาตามแนวสติปัฏฐาน 4 ผลที่เกิดตามมาคือบุญและยังเป็นบุญสูงสุดอีกด้วย เพราะการปฏิบัติสติปัฏฐาน 4 ส่งผลให้ผู้ปฏิบัติสามารถเข้าถึงธรรมสามารถเปลี่ยนสภาวะจิตให้เป็นอริยบุคคลได้ฉะนั้นเมื่อผู้ปฏิบัติธรรมมีบุญเกิดขึ้นแล้ว ควรอุทิศให้กับเจ้ากรรมนายเวร ญาติพี่น้องทั้งที่มีชีวิตและล่วงลับไปแล้ว ให้กับสรรพสัตว์ที่ร่วมเวียนตายเกิด ที่สามารถมาอนุโมทนาบุญได้ ควรกระทำหลังจากปฏิบัติจิตตภาวนาแล้วเสร็จ ซึ่งผู้ปฏิบัติจะมีบุญมากที่สุด พลังจิตขณะอุทิศจะแรงสุดสามารถส่งบุญไปได้ไกลและจะมีจำนวนผู้มาอนุโมทนาบุญมากที่สุดจึงไม่ควรอุทิศบุญขณะปฏิบัติจิตตภาวนาเพราะบุญยังเกิดได้ไม่เต็มที่

ส่วนเรื่องของเมตตาเป็นคนละเรื่องกับบุญ เมตตาเป็นความรักความปรารถนาให้ผู้อื่นได้รับประโยชน์และมีความสุข เมตตาเกิดได้ด้วยการให้อภัยเป็นทานผู้มีเมตตาเป็นผู้มีจิตอยู่เหนือโทสะ ผู้มีเมตตามีจิตสงบเย็น สรรพสัตว์นำตัวเข้าใกล้ผู้มีเมตตาไม่ฝันร้าย ไม่ฝันสกปรก ลามก ฯลฯ หากพัฒนาจิตใจให้ได้ดังนี้แล้ว จึงสามารถแผ่เมตตาให้กับสรรพสัตว์ได้ แล้วปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้แผ่เมตตากับผู้รับเมตตาจะเป็นไปในทางที่เป็นมิตรที่ดีต่อกัน

3.จะทราบหรือสังเกตได้อย่างไรคะ ว่าคนนี้มีบุญบารมี และสิ่งที่พอจะบอกได้บ้างน่ะค่ะว่าพระรูปนี้เป็นพระสุปฏิปัณโณ


คำตอบ
ต้องพัฒนาจิตตัวเองให้เป็นผู้มีบุญ ให้เป็นผู้มีบารมีได้เมื่อไรแล้วจะรู้ได้ด้วยตนเอง (สนฺทิฏฐิโก) ว่าใครเป็นผู้มีบุญบารมีสั่งสมอยู่ในจิตใจ

พระสงฆ์รูปใดประพฤติถูกตรงตามธรรรมและวินัยของพระพุทธะพระสงฆ์รูปนั้นเป็นพระสุปฏิปันโนใช้ตาดู ใช้หูฟัง ดูนาน ๆ ฟังนาน ๆ แล้วจะรู้ได้เอง

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ค. 2010, 18:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กระผมและภรรยาแต่งงานเมื่อปี ๔๑ หลังจากแต่งงานภรรยาก็ตกงาน อยู่บ้านเช่า ชีวิตครอบครัวกระท่อนกระแท่นมาเรื่อย ๆ จวบจนต้นปี ๔๖ เริ่มตั้งครรภ์ ชีวิตครอบครัวก็เริ่มดีขึ้น ธุรกิจกล้องโทรทัศน์วงจรปิดที่ทำอยู่ก็ดีขึ้นมีเงินเข้ามา พอเดือนตุลาคม ๒๕๔๖ ก็คลอดบุตรสาว ก่อนคลอด ๕ วันได้ย้ายบ้านจากดอนเมืองมาอยู่ที่สายไหม (เป็นบ้านที่ซื้อเอง) จากนั้นประมาณต้นปี ๔๗ ได้ทำธุรกิจซื้อขายรถยนต์มือสอง ธุรกิจเป็นไปด้วยดี ซื้อง่ายขายคล่อง ทำสำเร็จทุกอย่าง ซึ่งอยู่ในเกณฑ์ดีมาก พอสิ้นปี ๔๘ ธุรกิจซื้อขายรถยนต์มือสองก็นิ่งเงียบ จากนั้นไม่มีการซื้อขายอีกเลย

พอเข้าเดือนมีนาคม ๒๕๔๙ ภรรยาของกระผมมีอายุครบ ๓๖ ปี ก็รู้เห็นอดีตของตัวเองว่ามาจากนาคราช เคยอธิษฐานร่วมกันมาชาตินี้เลยเกิดเป็นมนุษย์ครองคู่กัน จากนั้นก็รู้เห็นต่าง ๆ นานา ครอบครัวของกระผมหันมาปฏิบัติธรรม หมั่นภาวนา โดยเฉพาะภรรยาของกระผมเกิดธรรมะรายวัน ภาวนาในทุกอิริยาบถ วิปัสสนากรรมฐานตามแนวของพระอาจารย์ปราโมทย์ ปราโมชโช (สวนสันติธรรม อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี) ศิษย์หลวงปู่ดูลย์ อตุโล ทุกวันนี้ครอบครัวของกระผมหันหน้าเข้าสู่การปฏิบัติธรรม มีศีล ภาวนา เพื่อเดินตามรอยองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ครอบครัวของกระผมมีความสุขมาก

แต่สิ่งที่ตรงกันข้ามคือ ธุรกิจที่เคยทำอยู่กลับนิ่งเงียบเหมือนไม่มีอะไรเลย การเงินเริ่มฝืดเคือง คิดจะทำอะไรเพื่อให้มีรายได้เข้ามา ก็ไม่สำเร็จ (ไม่เหมือนก่อนหน้านี้) ขณะที่การเงินของครอบครัวเริ่มฝืดเคือง ก็มีน้องที่ทำงานของกระผมบอกว่ามีความเดือดร้อนเรื่องเงินอย่างมากขอยืม ๑๐,๐๐๐ บาท ๑ เดือนจะนำมาคืนให้ ๑๐ เดือนแล้วเขาก็ไม่นำมาคืน ส่วนภรรยาของกระผมคิดถึงเพื่อนเก่าชื่อบุญส่งที่เคยเรียนมาด้วยกัน เคยอาศัยข้าวทาน ดูและกันมา เขาก็มายืมเงินไป ๒๐๐,๐๐๐ บาท ทั้งที่เราก็ไม่มี จึงไปหากู้เพื่อนมาให้เพื่อช่วยเหลือกัน จากนั้นเขาก็หายไป (๘ เดือนแล้ว) ปกติครอบครัวของกระผมก็ฝืดเคืองเรื่องเงินอยู่แล้ว ยังมีคนมาทำให้เดือดร้อนอีก



๑. ธรรมะที่เกิดขึ้นกับครอบครัวของกระผมมีที่มาที่ไปอย่างไร

คำตอบ
ที่มาของธรรมะที่เกิดขึ้นกับครอบครัวมาจากคนในครอบครัวต่างประพฤติปฏิบัติธรรม ที่ไปของธรรมะคือคนในครอบครัวทิ้งการปฏิบัติธรรมห่างเหินการปฏิบัติธรรม จิตจึงหนีไปพึ่งโลกธรรมและวัตถุ


๒. ธุรกิจที่เคยทำอยู่ ทำไมถึงเงียบไปเฉย ๆ

คำตอบ
สรรพสิ่งมีเกิด-มีดับ ตามกฎไตรลักษณ์ธุรกิจเป็นหนึ่งในสรรพสิ่งที่กล่าวถึง


๓. เรื่องเงินที่เขามายืม เกิดจากเราใจง่าย หรือกรรมเก่าเราเคยไปเอาของเขามา

คำตอบ
เกิดจากจิตขาดสติและกรรมเก่าส่งผล


๔. ทำอย่างไรการเงินของครอบครัวกระผมจึงจะดีขึ้น

คำตอบ
ต้องกลับมาประพฤติปฏิบัติธรรมจนมีสติสัมปชัญญะกล้าแข็งได้เมื่อไรแล้วจิตจึงจะมีบุญสั่งสมมากครอบครัวจะดีขึ้นได้เองเพราะบุญส่งผล


๕. กระผมและภรรยาเดินมาถูกทางแล้วหรือยัง ทั้งในทางโลกและทางธรรม
สุดท้ายนี้ขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัย ดลบันดาลให้อาจารย์ ดร.สนอง วรอุไร และครอบครัวมีความสุขความเจริญในทางธรรม ตามที่ท่านปรารถนาทุกประการ


คำตอบ
หากใช้สัญญาส่องนำชีวิตดำเนินไปถูกทางแล้วจะไม่มีปัญหาใด ๆ เกิดขึ้นกับชีวิตทางโลกและชีวิตทางธรรมชีวิตทางโลกต้องส่องนำด้วยปัญญาไอคิว ชีวิตทางธรรมต้องส่องนำด้วยปัญญาญาณ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


แก้ไขล่าสุดโดย ธรรมบุตร เมื่อ 23 พ.ค. 2010, 18:34, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ค. 2010, 18:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หนูอายุ 27 ปีตอนนี้พักอาศัยอยู่ที่สหรัฐอเมริกา หนูได้มีโอกาสอ่านหนังสือทั้งสามเล่มของอาจารย์เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมานี่เอง จากการแนะนำของคนอื่น คือ ทางสายเอก ทำชีวิตให้ได้ดีและมีสุข และยิ่งกว่าสุขเมื่อจิตเป็นอิสระ ประกอบกับช่วงนี้เป็นช่วงที่กำลังจะมีการเปลี่ยนแปลงของชีวิต การได้มีโอกาสรู้จักอาจารย์ผ่านตัวหนังสือในอาทิตย์ที่ผ่านมาจึงถือเป็นความโชคดีของหนูอย่างยิ่ง หนูมีโอกาสได้เป็นเจ้าของร้านอาหารร่วมกับเพื่อนตั้งแต่อายุยังน้อย 24ปี แต่หนูเป็นหุ้นส่วนเล็กๆ ค่ะ แต่ในการทำงานหนูเป็นผู้นำเค้านะคะ ถึงแม้ว่าเค้าจะมีอายุมากกว่า เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมาหนูตัดสินใจที่จะไม่ทำงานร่วมกับเค้า ตัดสินใจที่จะถอนหุ้นตัวเองออกมา ทั้งๆที่เสียใจเป็นอย่างมาก เพราะหนูกับพี่เค้ามีความคิดเห็นไม่ตรงกันเสมอ อาจารย์คะตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกันมาหนูรู้สึกได้เสมอว่าพี่เค้าไม่ชอบหนู หนูเป็นคนชอบศึกษาธรรมะและอ่านธรรมะค่ะ ได้พยายามแล้วที่จะดีกับพี่เค้าแต่บางครั้งก็เหมือนกับฝืนตัวเองทำไปไม่ได้นานก็จะออกมาเป็นตัวของตัวเอง 2 อาทิตย์ที่เหลือนี้หนูจะทำงานกับพี่เค้าสุดท้ายค่ะแล้วจากนั้นหนูจะกลับไปเดินเสริฟ์เก็บเงินค่ะ ถ้าวันนึงมีโอกาสหนูจะไปเปิดร้านเป็นของตัวเอง วันนี้หนูไปที่ร้านตอนเช้าแล้วก็เกิดมีเรื่องกับพี่เค้าขึ้นมา หนูก็กลับมาบ้านแล้วก็นึกถึงอาจารย์น่ะค่ะ เลยเข้ามาค้นในweb ดูว่าพอจะมีทางไหนที่จะได้คุยกับอาจารย์ได้ แต่ก็ไม่มีเลย เลยต้องเขียนมาแทนค่ะ

อาจารย์คะหนูกับพี่เค้าผูกเวรกันมาหรือเปล่าคะ ทำไมเราคุยกันไม่เคยรู้เรื่องเลย เราเห็นไปคนละทางตลอดเวลา บางครั้ง หนูคิดว่าทุกคนมีเหตุผลเป็นของตัวเอง แต่ทำไมแต่ละอย่างที่พี่เค้ามองหนูเค้ามองหนูไม่เคยดีเลยหล่ะคะ ทั้งๆ ที่บางครั้งเวลาเค้าว่าหนูออกมา หนูว่าหนูไม่ได้เป็นอย่างนั้นนะคะ หนูยอมรับค่ะว่าเมื่อก่อนเคยอารมณ์ร้อน งอน แต่หนูก็พยายามปรับมาตลอด จนช่วง2 เดือนหลังนี้ดีขึ้นมาก


ยิ่งอาทิตย์ที่ผ่านมาพอได้อ่านหนังสือของอาจารย์ตลอดเวลาที่ยังต้องทำงานอยู่กับพี่เค้าหนูก็กำหนดสติอยู่กับลมหายใจตัวเองตลอด แต่ก็กลายเป็นว่าพี่เค้าหาว่าหนูกวน ไม่พูดไม่จา ทำให้บรรยากาศที่ร้านเสีย คือหนูเปลี่ยนไปไงคะ พอได้อ่านหนังสืออาจารย์เรื่องไร้สาระอะไรหนูก็ไม่พูด เค้าว่าอะไรหนูก็พูดสั้นๆ แล้วเงียบ แต่เค้าก็ยังเห็นว่าไม่ดี

อาจารย์สนองคะ หนูรู้ว่าต้องแผ่เมตตาและให้อภัยเยอะๆใช่ไหมคะ แต่อาจารย์คะ วันนี้หนูรู้สึกเสียใจ เพราะมันมีอะไรอีกหลายๆอย่างระหว่างหนูกับพี่เค้า อาจารย์คะถ้าหนูเลือกที่จะเฉยๆ ไม่พูด ไม่คุย ไม่รับรู้ ต่างคนต่างอยุ่เลยล่ะคะ อย่างนี้จะผูกเวรกันไปอีกหรือเปล่า เพราะถ้าจะให้หนูไปพูดดีๆ หรือทำแบบเดิมนั้น หนูก็รู้สึกว่าตัวเองไม่มีความสุข แล้วก็ไม่อยากแกล้งทำน่ะค่ะ หนูว่ามันไม่ยุติธรรมสำหรับพี่เค้าเลยถ้าหนูจะแกล้งทำ มันเหมือนไม่จริงใจน่ะค่ะ จริงๆ หนูอยากจะคุยกับอาจารย์โดยตรงค่ะ แต่ก็รุ้ว่าเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยากทีเดียว


กราบเท้าขอบคุณอาจารย์ด้วยความเคารพนะคะ ที่สละเวลาอ่านมาถึงตรงนี้ หนูก็ยังเป็นเพียงเด็กผู้หญิงบนโลกนี้คนนึงที่ต้องการกำลังใจ และต้องการมีผู้ที่ชี้ทางให้เดินต่อไปในทางที่ถูกที่ควร ถึงแม้หนูจะยังมีกิเลสเพราะยังเป็นเพียงมนุษย์คนนึง แต่หนูก็คิดและบอกตัวเองเสมอว่าหนูต้องการจะเป็นคนดีของสังคมต่อไป หนูต้องการจะพัฒนาปัญญาและศักยภาพในตัวเองให้เจริญงอกงามต่อไป ต้องการจะเป็นกัลยาณมิตรให้กับตนเองและเพื่อนร่วมโลกต่อไปเหมือนที่อาจารย์กำลังทำอยู่ขณะนี้ หนูจะรอคำตอบและกำลังใจจากอาจารย์นะคะ วันนี้หนูจะไปนั่งธรรมะช่วยตัวเองไปก่อน หนูรักธรรมะค่ะเพราะรุ้ว่าธรรมะจะช่วยหนูได้เสมอและตลอดเวลาไม่มีใครช่วยหนูได้หรอก แต่บางครั้งหนูแค่อยากมีคนคอยช่วยประคับประคองและให้คำปรึกษาในทางที่ถูกน่ะค่ะ เหมือนกับว่าถ้าหนูผิดก็บอกว่าหนูผิดว่าได้เสมอ หนูจะได้ปรับปรุงแก้ไข

กราบเท้าอาจารย์ด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ

คำตอบ
ทั้งหมดที่บอกเล่าไป เป็นไปตามกฎแห่งกรรมการทำร้านขายอาหาร หากมีเครื่องดื่มที่เจือปนด้วยแอลกอฮอล์เข้าไปมีส่วนร่วมในธุรกิจ หากมีการสั่งซื้อเนื้อสัตว์เข้าไปมีส่วนร่วมในธุรกิจผลที่จะต้องเกิดตามมาคือการขาดสติ การทะเลาะเบาะแว้ง การเห็นไม่ตรงกัน การผูกพยาบาลจองเวร ฯลฯ กับผู้ร่วมกระบวนกรรม ซึ่งปัญหาจะทุเลาลงได้ด้วยการใช้ขันติและพรหมวิหาร 4 ซึ่งหนึ่งในพรหมวิหาร 4 คือ เมตตา ผู้มีเมตตาเป็นผู้ให้อภัยในทุกเรื่องที่ทำให้ขัดใจ ผู้มีเมตตาเป็นผู้มีอารมณ์สงบเย็น และไม่งอน หากเป็นได้อย่างนี้ การเจริญพรหมวิหารธรรม แล้วแผ่เมตตาให้กับคู่เวร จะช่วยทุเลาปัญหาลงได้ การทำงานร่วมกันแล้วมีความเห็น (ทิฏฐิ) ไม่ตรงกันย่อมไปด้วยกันไม่ได้
ส่วนการตัดสินใจนำพาชีวิตให้เป็นไปอย่างไรเจ้าของชีวิตต้องบริหารจัดการด้วยตัวเอง ว่าจะนำพาชีวิตดำเนินไปตามกระแสโลก ที่อุดมด้วยอุปสรรค ปัญหา ความทุกข์ และความว่างเปล่าจากประโยชน์ซึ่งจะเห็นได้ชัดแจ้งในวันที่จำเป็นต้องทิ้งขันธ์ลาโลกหรือจะนำพาชีวิตให้ดำเนินไปตามกระแสธรรม ที่อยู่กับอุปสรรคโดยไม่มีอุปสรรคอยู่กับปัญหาโดยไม่มีปัญหา อยู่กับทุกข์โดยไม่เป็นทุกข์มีแต่เก็บเกี่ยวสิ่งอันเป็นประโยชน์ไว้เป็นทุนเดินทางไปเกิดใหม่ซึ่งต้องเลือกด้วยตัวเอง

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ค. 2010, 18:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดิฉัน ดำรงอาชีพด้วยการจำหน่าย เทป ซีดี ทำมาตั้งแต่ ปี 2530 ค่ะ ก็รุ่งเรืองในอาชีพมาโดยตลอด จวบจน กระทั่งปี 2533 ก็เริ่ม หันมาทำผิดศีลข้อ สองคือ หันมาทำ copy ทั้งเทป ทั้ง ซีดี ขายทำโดยไม่รู้สึกว่า ผิดศีล ใคร ๆ เค้าก็ทำกัน ทั้งยังผิลศีลข้อ 3 คือไปรักชอบ กับสามีชาวบ้าน อันนี้เป็นกรรมเก่าหรือเปล่า ดิฉันเองก็ไม่ทราบ เพราะตั้งแต่เห็นผู้ชายคนนี้ ครั้งแรก แล้วเหมือนจำได้ จนเกิดข้อผิดพลาดในชีวิต ต้องไปเป็น ภรรยา ชั่วคราว รับกรรม อยู่ถึง 7 ปีกว่าที่จะหมดกรรมได้

พอมาถึง ปี 40 ดิฉันก็แยกทาง กันไปและหันมาทำกิจการตัวเอง ก็รุ่งเรืองมาโดยตลอดเสียแต่ว่า เหมือนจะลุ่ม ๆ ดอน ๆ พอจะดีก็มี การรื้อร้าน พอจะสบาย (เพราะส่งน้องเรียนด้วย) ก็มี การทำถนน พอจะมือขึ้น ก็โดน ขโมยเข้าร้าน ปี 41 บังเอิญ ดิฉันได้ พบกับ ชายคนนึง ที่รู้จักกันทาง net พูดคุยกันทุกวัน จนกระทั่งนัดพบกัน ดิฉันรู้สึก ถูกชะตาเค้าตั้งแต่แรกเห็น จนกระทั่งดิฉัน รักเค้ามาก เค้าจึงมาสารภาพว่า เค้ามี เมีย แล้ว เหมือนกรรมมากำหนดคนขาด สติ อย่างดิฉัน ทำให้เป็นภรรยา ลับของชายคนนี้ ต่อมา อีก 7 ปีทั้งที่ ดิฉันไม่เคย ได้รบกวนอะไรจากเค้าเลย ประกอบกันกับที่ ดิฉัน ล้มป่วย ลงด้วยโรค ธัยรอยด์เป็นพิษ อย่างแรง ทำให้อารมณ์ ดุร้าย หงุดหงิด ตลอดเวลา เพราะลมหายใจสั้น และชีพจรเต้นเกือบ 110 ต่อนาที ดิฉันรักษาตัวอยู่ 5 ปี เข้าผ่าตัดในปี มิถุนา 47 และการผ่าตัดเป็นไปได้ด้วยดี จนทุกวันนี้ ดิฉันไปตรวจเลือดปี ละ 1 ครั้งเท่านั้น จนกระทั่งล่าสุดปี 48 ดิฉัน โดนเจ้าหน้าที่ ลิขสิทธิ์ ของบริษัท ตามสืบและมาจับถึง ร้าน โดยที่เหตุครั้งนี้ ดิฉันไม่ได้เป็น ผู้กระทำ แต่ดัน ไปแนะนำให้น้องสาว ทำการ copy CD หนังขาย แต่ เปิดบัญชี เป็นชื่อ ดิฉัน โดยที่ดิฉันเองไม่ได้มีส่วน ได้เสียในผลกำไรนั้น ๆ ด้วย หมดเงินไปถึง 3 แสนกว่าในคราวเดียว ดิฉันแทบจะล้มทั้งยืน แต่รวบรวมสติได้ ก็ให้น้องสาว หยุดทำ และเกิด ตาสว่าง เห็นว่า อะไรมันก็ไม่เที่ยง คิดว่า แน่ ๆ ยังไม่แน่ จึงหันหน้าเข้าหา พระธรรม หันมาศึกษา พระธรรม ก็เริ่มทำ ความดีตักบาตรทำบุญ เพราะเดิมดิฉันเป็นคนจีน ไหว้เจ้ามากกว่าไหว้พระ ไปศาลเจ้ามากกว่าไปวัด พอดิฉันเริ่มศึกษา พระธรรมก็ เริ่มเห็นบาปที่ตัวเองทำ จึงไปขอเลิกลากับ ผู้ชายคนนั้น ซึ่งเค้าก็ เห็นดีด้วยเพราะเค้าเองก็เริ่ม ปฏิบัติธรรมเช่นกัน

จนปี 49 ดิฉันเริ่ม ไปเรียน กรรมฐาน กับหลวงพ่อจรัญ วัดอัมพวัน สิงห์บุรี ปฏิบัติมานาน เห็นผลเพียง ไม่กี่ครั้งเท่านั้นที่ ดิฉันรวบรวมสมาธิได้ เกิดความสว่างในจิต รู้สึกสงบมากอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ไม่หงุดหงิด ไม่มีอารมณ์ใด ๆ นอกจากความสงบ อยู่ที่ ภาวนายุบ พอง ไม่ได้ยินเสียง ใด ๆ จากการปฏิบัติครั้งนั้นทำให้ ดิฉัน ยิ่งสนใจในการ ทำ สมาธิมากขึ้น เพราะเห็นผล ในครั้งนั้น แต่ไม่ได้ใส่ความเพียร ก็ละวางไม่ได้ปฏิบัติต่อเนื่อง จวบจนปัจจุบันดิฉัน ไปที่ปฏิบัติธรรมที่วัด อีกครั้งเมื่อเดือน มิถุนาที่ผ่านมา และตั้งแต่กลับมา ก็เพียร ปฏิบัติ ที่บ้านพยายามให้ได้ทุกวันอาจจะมีบ้างบางวันที่ ดึกมากไม่ได้ปฏิบัติ บางวันก็ รู้สึกโปร่งสบายดี แต่เหมือนการปฏิบัติไม่ก้าวหน้าเลยค่ะ ไม่ว่า จะเดินหรือ นั่งฟุ้งซ่าน จิตออกนอกตลอดเวลา ทั้งที่เหมือนไม่มีเรืองอะไรให้คิด ภาระการเงินจากหนี้ครั้งนั้นยังอยู่ ไม่ได้ทำให้ดิฉันถึงกับ เดือดร้อน ยังพออยู่ต่อไปได้ ดิฉันหยุด ทำ copy หรือ ผิลศีลข้อ 2 เลิก ผิดศีลข้อ 3 แล้ว ส่วน ศีลข้ออื่นเช่น ฆ่าสัตวไม่ได้ทำ พูดปด ก็พยายามหลีกเลี่ยงค่ะทั้งนี้ยังเป็นแม่ค้า อยู่ก็พูดยาก แต่สุราไม่เคยแตะมานานแล้วค่ะ ทุกวันนี้ เปิดร้านหนังสือ เทป ซีดี ก็ขายแต่ของแท้ ขายเท่าที่ขายได้ และพลิกตัวเองไปขายประกัน รถยนต์ ซึ่งตัวนี้ก้าวหน้าได้ดีระดับหนึ่งค่ะ

ที่ต้องเล่ารายละเอียดเบื้องหลังมา เผื่ออาจารย์จะได้นำไปเล่าเป็นวิทยาทาน ประกอบกับดิฉันขอสอบถามอาจารย์ ดังนี้ค่ะ

1. ชายคนที่เพิ่งเลิกราไป เค้าไปเรียนกรรมฐานกับ แม่ชีท่านหนึ่ง แถวระยอง แม่ชีท่านนี้ท่านมี เจโตดี และบอกว่า ดิฉันเคยมีกรรมเก่ามาตั้งแต่สมัย สุโขทัย ที่ดิฉันเคยเกิดเป็นคู่ กับชายคนนี้ แล้วบังเอิญ ชายคนนี้เกิดไปมีเมียน้อยเป็นเด็กกว่า ดิฉันแค้นใจ จึงสั่งให้คนไปฆ่า ด้วยการตัดหัว เด็กคนนั้นซะแล้ว ปล่อยศพลอยไป ทั้งดิฉันยังไปให้ร้ายเด็กคนนี้ว่าหนีตามคนอื่นไป ผลกรรมนั้นทำให้ดิฉันเวียนตายเวียนเกิดรับกรรมมาหลายชาติ และเศษกรรม นั้นทำให้ดิฉันต้องเข้า ผ่าตัดคออันเกิดจากธัยรอยด์ในชาตินี้ แล้วตอนหลังจากที่ ดิฉันทราบเรื่องนี้ ก็ไม่ได้คิดติดใจอะไรจนวันหนึ่ง เกิดรู้ขึ้นมาเองว่า ชายคนแรกที่ดิฉันใช้กรรม ด้วยถึง 7 ปี คือคนที่ดิฉันจ้างวานให้ไปฆ่า เค้า ดิฉันต้องมารับกรรม ร่วมกัน ทำให้ดิฉันหาย แค้นเคืองชายคนแรก ลงไปได้
ถามว่า : ตอนนี้ ดิฉันไม่เจอชายคนนี้ อีกแล้ว หากดิฉันหมั่นสร้างกุศล อุทิศไปให้ จะหมดเวรต่อกันไหมค่ะ เพราะดิฉันไม่ได้แค้นเคืองอะไรแล้ว เข้าใจแล้วว่าทำไมเค้าทำกับเราแบบนี้

คำตอบ
หนี้เวรกรรมจะหมดไปได้ด้วยการทำเหตุให้ถูกตรง 4 ประการคือ
1. ยอมรับความจริงแล้วชดใช้หนี้กรรม
2. ทำความดีที่เป็นบุญ แล้วอุทิศบุญแทนหนี้
3, ทำความดีที่เป็นบุญอยู่เสมอ จนหนี้เวรกรรมตามให้ผลไม่ทัน
4. พัฒนาจิตให้หลุดพ้นวัฏสงสาร (นิพพาน) ซึ่งหนี้เวรกรรมที่เหลือทั้งหมดไม่สามารถตามให้ผลได้


2. หากดิฉันไม่ได้ ผลิต หรือทำ CD ขาย แต่ดิฉันไปซื้อ ที่เค้า copy ขาย ดิฉัน จัดว่าผิดศีลข้อ 2 ไหมค่ะ

คำตอบ
ยังถือว่าผิดศีลข้อ 2 ในฐานะผู้ร่วมกระบวนกรรมแต่เป็นจำเลยที่สอง


3. ที่ร้านดิฉัน ขายหนังสือพวกใบ้ หวย ทั้งนี้ดิฉันไม่ได้มอม เมา เหมือนร้านอื่น ๆ ที่เน้นขายให้ได้ มาก ขายให้ได้เยอะ ๆ โดยอ้างว่า ตรงนี้ เข้าดีตรงนั้นให้แม่น คือลูกค้าอยากซื้ออะไร จะขายแต่ไม่เน้นให้ต้องซื้อมาก ๆดิฉัน ผิดศีลหรือเปล่า ค่ะ

คำตอบ
ไม่ผิดศีลแต่ผิดธรรมตรงที่เข้าไปมีส่วนร่วมในกระบวนกรรมให้คนซื้อหนังสือใบ้หวย มีจิตตกเป็น


ทาสของอบายมุข (ทางแห่งความวิบัติของชีวิต) ผู้ขายหนังสือใบ้หวยต้องรับผลของการขายนั้นด้วย


4. ด้วยความที่ก่อนหน้านี้ ดิฉันจำหน่าย เทป Cd มีลูกค้านำ CD หนังโป๊มา ทิ้งที่ร้าน เป็นจำนวน มากคือ เป็นพันแผ่น แล้วดิฉัน นำไปแจกจ่ายต่อไม่ได้เก็บเงิน อย่างนี้ บาป ไหมค่ะ

คำตอบ
บาปตรงที่ว่า เป็นผู้ร่วมกระบวนกรรมนำซีดีหนังโป๊ไปเผยแพร่ให้ผู้อื่นมีจิตเป็นทาสของกรรมลามก


5. ดิฉันจะทำอย่างไร หรือด้วยวิธีไหนที่จะทำให้เกิดสมาธิ ได้ดีบ้างค่ะ ตอนที่หลุดเข้าไปในสมาธิ ได้ นั้นใช้วิธี ยุบ พอง แต่พอได้สมาธิแล้วเหมือนว่า ดิฉันอยู่กับลมหายใจค่ะ ตอนนี้รู้สึก แย่ที่ไม่พัฒนาขึ้นเลย

คำตอบ
หยุดประพฤติอกุศลกรรม พัฒนาจิตให้มีศีล 5 คุมใจให้ได้ทุกขณะตื่น มีสัจจะ และเจริญสติภาวนาอยู่เสมอ


6. กสิณ ถ้าเราต้องการ เพ่งกสิณ สำหรับคนฟุ้งซ่าน อย่างดิฉัน มีคำแนะนำไหมค่ะ


คำตอบ
ประสงค์จะเพ่งกสิณสามารถทำได้ ด้วยการประพฤติตามคำชี้แนะในข้อ (5) ให้ได้ก่อน แล้วเลือกเพ่งกสิณที่เหมาะกับจริตของตน

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ค. 2010, 18:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หนูมีเรื่องอยากกราบเรียนถามอาจารย์ค่ะ คือหนูอยากเรียนรู้การนั่งเจริญสมาธิและวิปัสสนา หนูอ่านหนังสือแล้วไม่เข้าใจค่ะ หนูนั่งสมาธิเกือบจะทุกวันค่ะหลังจากสวดมนต์ แต่หนูไม่ทราบได้การที่หนูนั่งนั้นมันถูกหรือป่าว คือหนูพอทราบว่าการทำสมาธิทำให้เรามีปัญญาและจิตใจสงบ หนูเบื่อนิสัยในความเจ้าอารมณ์ของหนูค่ะ หนูอยากพบหนทางที่สว่างกับชีวิตหนูค่ะ หนูไม่รู้จะหาคำแนะนำทางด้านนี้จากไหนค่ะ หนูพยายามทำตามที่อาจารย์บอกค่ะ ให้คิดดี ทำด ีพูดดี พยายามเลิกทำสิ่งที่ไม่ดี

ขอกราบขอบพระคุณอย่างสูงค่ะ

คำตอบ
ต้องนำตัวเองเข้าปฏิบัติธรรมตามสำนักที่มีการเปิดฝึกปฏิบัติ ทั้งนี้เพื่อให้มีประสบการณ์ตรงจะได้รู้วิธีปฏิบัติที่ถูกต้องแล้วนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์กับตนเอง

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ค. 2010, 18:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดิฉันมีเพื่อนรับแปลงานหนังชุด วีซีดี โดยผู้จ้างไม่ได้รับลิขสิทธิ์โดยตรงจากเจ้าของหนัง ในต่างประเทศ เพื่อนฝากถามว่าจะเป็นบาปผิดศีลข้อ 2 อทินนาหรือไม่ รบกวนอาจารย์ช่วยอธิบายให้ความกระจ่างด้วยคะ


คำตอบ
ผิดศีลข้อ 2 ด้วยเหตุนำตัวเองเข้าไปมีส่วนร่วมในการถือเอาสิ่งของที่เจ้าของมิได้ให้ด้วยอาการลักขโมย (อทินนาทาน) และเป็นจำเลยที่สองด้วยเหตุ ไปรับเอาของที่ถูกขโมยมา ทำให้เกิดประโยชน์กับตัวเอง คือรับผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นจากการแปล

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ค. 2010, 18:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1. เมื่อปี 2548 ดิฉันได้พบและรู้จักกับชายคนหนึ่งเพียงแค่ 2 เดือนเท่านั้นค่ะ ทันทีที่เห็นก็เหมือนรู้จักกันมานาน และรู้สึกดีทุกครั้งที่เจอกันค่ะแต่ก็ต้องมีเหตุจากกันไปเพราะต่างคนต่างอยู่ไกลและมีหน้าที่ที่ไม่สามารถเจอกันได้บ่อยนัก แต่หลังจากนั้นก็มีเหตุให้เข้าใจผิดกันค่ะเพราะสื่อสารผิด เข้าใจไม่ตรงกัน ทำให้เขาเกลียดดิฉันไปเลย เขาไม่อยากเจอหน้า ไม่อยากได้ยินชื่ออีกแล้ว
ตอนนั้นดิฉันเสียใจมากเพราะรู้สึกดีกับคนนี้มาก ยากที่เราจะรู้สึกแบบนี้กับใครแต่ไม่โกรธเขาเลยนะคะและจะไม่ไปให้เห็นหน้า ให้ได้ยินตามอย่างที่เขาต้องการ กลัวเขาไม่สบายใจ จะขอกล่าวให้เขาอโหสิกรรมให้ก็มีคนบอกว่าไม่จำเป็นต้องทำอย่างนั้นเพราะดิฉันไม่มีความผิดแต่เป็นเรื่องที่เขาเข้าใจผิดและรับไม่ได้ แต่ความรู้สึกนี้กลายเป็นความรู้สึกผิดบาปมาตลอดตรงที่ทำให้เขาโกรธค่ะ ดิฉันจึงปฏิบัติธรรมและแผ่เมตตาอุทิศบุญกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร สรรพสัตว์และตัวเขามากขึ้นเพราะเชื่อว่าคงมีเวรกรรมกันมา ไม่อย่างนั้นก็คงไม่สะเทือนใจขนาดนี้

ดิฉันอยากทราบถึงกรรมอะไรที่ต้องเจอเรื่องราวอย่างนี้คะ เพราะเวลายิ่งนานไปถึงแม้ไม่เจอกันสิ่งที่ดิฉันทำก็เหมือนเป็นเองอยู่ฝ่ายเดียว เขาจะรับรู้หรือนึกถึงดิฉันรึเปล่าไม่อาจทราบได้ อาการตอนนี้ก็คล้ายๆรักเขาข้างเดียวค่ะ บางครั้งรู้สึกว่าแบกไปแล้วทุกข์ นั่งกรรมฐานแล้วดีขึ้นค่ะรวมถึงใช้ธรรมะตามกฎพระไตรลักษณ์เข้าช่วย แต่บางครั้งก็ยังมีความรู้สึกนึกถึงเขาว่าเขายังอยู่ด้วยอยู่ข้างๆเหมือนอาการทดแทนทางจิตใจค่ะ สบายใจแต่เหมือนเพ้อฝันเพราะความจริงไม่ได้เป็นอย่างนั้น จะแก้ปัญหาเรื่องนี้อย่างไรดีคะถ้าต้องการหยุดความคิดทุกสิ่งทุกอย่างกับชายคนนี้

คำตอบ
เป็นกรรมในอดีตจิตมีความเห็นผิดไปเอ่ยวาจาขับไล่คุณที่มีความปรารถนาดีไม่ให้เข้าใกล้ เมื่อกรรมส่งผลจึงต้องพบกับเรื่องราวอย่างนี้ เอาเรื่องพลัดพรากเข้ามีอำนาจเหนือใจย่อมได้รับความทุกข์ใจทุกคนประสงค์หยุดความคิดไม่ดีนี้ให้ได้ต้องพัฒนาจิตให้มีกำลังสติสัมปชัญญะกล้าแข็ง แล้วใช้สติสัมปชัญญะมาพิจารณาสิ่งที่เข้ากระทบใจ จนเห็นดับไป (อนัตตา) ตามกฎไตรลักษณ์แล้วอุทิศบุญกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวรไปเรื่อย ๆ จนกว่าเรื่องนี้จะหมดไปจากใจไม่เข้ามากวนใจให้ขุ่นมัวอีกต่อไป


2.อยากสอบถามวิธีเรียนให้เก่งและพัฒนาปัญญาของอาจารย์ค่ะ
ดิฉันเคยทราบมาว่าพระบางรูปจะภาวนาใช้คาถาสหัสสเนตโต ท่านบอกว่าคาถานี้ทำให้จำแม่น อยากทราบว่าทำดังนี้ได้รึเปล่าคะ แต่ดิฉันอยากได้วิธีที่เรียนอะไรก็เข้าใจง่าย ประยุกต์ได้ เช่น พอรู้สูตรก็ทำโจทย์ได้ เจอโจทย์คณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ที่advanceมากๆแล้วทราบว่าต้องsoluteอย่างไร หรือมีทักษะทางด้านคิดค้น ความคิดสร้างสรรค์ เช่น คิดสูตรทางคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ สร้างยานอวกาศ ประดิษฐิ์หลอดไฟ ทำระเบิดปรมาณู คิดโปรแกรมคอมพิวเตอร์
ต้องสร้างเหตุมาอย่างไรคะและถ้าอดีตชาติเราสร้างเหตุมาไม่พอ เช่น ชาตินี้เรียนอะไรเข้าใจยากอาศัยต้องขยัน จะทำอย่างไรให้brightขึ้นคะ ถ้าอยากสร้างเหตุให้ส่งผลปัจจุบันในชาตินี้และเก็บไว้กาลข้างหน้าด้วยค่ะ



คำตอบ
การบริกรรมคาถามีจุดประสงค์ต้องการให้จิตมีกำลังของสติเพิ่มขึ้น หากไม่ใช้คาถาแต่ใช้องค์บริกรรมอื่นที่เหมาะกับจริตจนบรรลุมรรคผลของการบริกรรมแล้ว ก็สามารถทำให้จิตมีกำลังของสติเพิ่มขึ้นได้จิตที่มีสติเพิ่มจะตั้งมั่นเป็นสมาธิ ซึ่งจะส่งผลถึงความถี่ของคลื่นสมองมีการเปลี่ยนไปในทางที่มีระเบียบยิ่งขึ้น ทำให้ความจำเพิ่มขึ้น สุดท้ายส่งผลถึงการศึกษาเล่าเรียนดีขึ้น

เรื่องที่ผ่านไปแล้วเป็นเรื่องอดีตที่แม้แต่พระพุทธะยังแก้ไขไม่ได้ปัจจุบันสามารถประพฤติแต่เหตุที่เป็นสิ่งดี เพื่อผลดีงามจะเกิดตามมาในวันข้างหน้าย่อมทำได้ ประสงค์มีความจำมีสติปัญญาดีเฉลียวฉลาดต้องทำเหตุปัจจุบันให้ถูกตรง คือมีศีล 5 คุมใจให้ได้ก่อนแล้วเจริญจิตตภาวนาด้วยการสวดมนต์ก่อนนอน ฟังธรรม เจริญอานาปานสติ ลมหายใจเข้ากำหนดว่า “ พุท ” ลมหายใจออกกำหนดว่า “ โธ ” ปฏิบัติก่อนนอนวันละ 15-30 นาที ต่อเนื่องยาวนานจนกระทั่งจิตเข้าสู่ความตั้งมั่นระดับอุปจารสมาธิได้แล้วจึงปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน เพื่อให้จิตเกิดปัญญาเห็นแจ้งใครผู้ใดเข้าถึงปัญญาเห็นแจ้งได้แล้วจะสามารถระลึกและรู้ทันสิ่งต่าง ๆ ตามความเป็นจริงได้ในชาติปัจจุบันและติดตามส่งผลถึงชาติหน้าได้อีกด้วย

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ค. 2010, 18:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1.ประโยคที่ว่า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน หมายความว่าอย่างไรคะ

คำตอบ
ผู้รู้ หมายถึง รู้สัจธรรมคือรู้เท่าทันสรรพสิ่งตามความเป็นจริง เช่น รู้อริยสัจ 4

ผู้ตื่น หมายถึง ผู้ที่ตื่นจากหลับ (กิเลส) คือตื่นจากกิเลสสามารถกำจัดกิเลสไม่ให้เข้ามามีอำนาจครอบครองใจได้

ผู้เบิกบาน หมายถึง ผู้มีความแช่มชื่นสดใสด้วยญาณที่ใช้กำจัดอวิชชา (อรหัตตมัตคญาณ)


2.การ คุยไม่มีออกนอกตัว คุยแต่ภายใน อยู่กับตัวไม่ออกนอกตัว
หมายถึงการคุยแต่เรื่องที่เป็นตัวของเราไม่คุยเรื่อง
คนอื่นใช่ไหมคะ
ขอความกรุณาช่วยยกตัวอย่างการคุยไม่ออกนอกตัวซักประโยคจะได้ไหมคะ



คำตอบ
หมายถึงการคุยแต่เรื่องของกายและจิตตามความเป็นจริงแท้ เช่นคุยว่าร่างกายเป็นสิ่งปฏิกูล คุยว่าร่างกายประกอบขึ้นด้วยธาตุทั้ง 4 คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ คุยเรื่องร่างกายว่าเป็นที่อยู่อาศัยของจิตจึงเกิดขันธ์ 5 คุยว่าจิตเป็นตัวรับกระทบจากภายนอกมาปรุงเป็นอารมณ์ดีเมื่อจิตไม่มีราคะ โทสะ โมหะ เข้ารบกวน หรือมีอารมณ์ไม่ดีเมื่อมีกิเลส ตัณหา อุปาทานเข้าครอบครอง ต่างๆ เหล่านี้ล้วนดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์เมื่อเข้าสู่ความเป็นอนัตตาจิตจึงไม่ใช่ตัวตนแท้จริง ฯลฯ อย่างนี้จึงจะเรียกได้ว่าคุยไม่ออกนอกตัว

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ค. 2010, 18:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1. หนูอยากทราบว่าอานิสงส์ของการสวดมนต์บทพาหุงคืออะไรทำให้ระงับความฟุ้งซ่านได้หรือไม่คะ

คำตอบ
ผู้ใดสวดมนต์ด้วยใจจดจ่ออยู่กับบทสวดได้แล้วความฟุ้งซ่านที่มีอยู่กับใจจะหมดไป

บทสวดมนต์พาหุงฯ (ชัยมงคลคาถา) เป็นบทสวดมนต์ที่อ้างถึงการใช้บารมี เช่น ทาน ขันติ เมตตา ฯลฯ ของพระพุทธะ อ้างถึงการใช้อภิญญา การใช้จิตที่ตั้งมั่นของผู้ทรงธรรม มาเป็นเครื่องปกป้องคุ้มครองภัยอันเกิดจากมารที่ทำให้เป็นผลสำเร็จแล้ว จึงมีบทสวดมนต์พาหุงฯ ขึ้นมาภายหลัง เพื่อให้ผู้มีจิตศรัทธาเลื่อมใสนำไปสวดสาธยายให้เกิดเป็นชัยมงคลกับตัวผู้สวดเอง


2. ที่มาที่ไปของพระไตรปิฎกมาจากไหนเรื่องราวในพระไตรปิฎกมีอยู่จริงหรือไม่ และผู้ที่เขียนเรื่องราวของพระไตรปิฎกได้มาจากสมาธิไช่หรือไม่คะ

คำตอบ
พระไตรปิฎกเกิดขึ้นครั้งแรกหลังพุทธปรินิพพานไปแล้ว 3 เดือน ที่ถ้ำสัตตพบรรณคูหา ภูเขาเวภาระ กรุงเราชคฤห์ แคว้นมคธ เหตุเพราะมีภิกษุผู้บวชเมื่อแก่ได้กล่าววาจาจาบจ้องพระธรรมวินัยโดยมีพระเจ้าอชาตศัตรูเป็นศาสนูปถัมภก มีพระมหากัสสปะเป็นองค์ประธานและเป็นผู้ซักถามปัญหา มีพระอุบาลีเป็นผู้ตอบปัญหาด้านพระวินัย มีพระอานนท์เป็นผู้ตอบปัญหาด้านพระธรรม

สังคายนาครั้งที่ 2 เกิดเมื่อพ.ศ. 100 ที่เมืองเวสาลี แคว้นวัชชี เหตุเพราะพระสงฆ์ประพฤตินอกธรรมนอกวินัย

สังคายนาครั้งที่ 3 เกิดในสมัยพระเจ้าอโศกครองราชย์ ประมาณปี พ.ศ. 234 ที่เมืองปาฏลีบุตร แคว้นมคธ เนื่องด้วยเหตุมีเดียรถีย์จำนวนมาก ปลอมมาบวชเป็นพระสงฆ์ จึงทำให้พุทธศาสนาเสื่อมพระเจ้าอโศกเป็นองค์อัครศาสนูปถัมภก และยังได้ส่งพระโสณะ และพระอุตตระเป็นทุตินำพระไตรปิฎกมาสู่สุวรรณภูมิ

พระไตรปิฎกแบ่งเป็น 3 หมวดใหญ่ คือหมวดที่ว่าด้วยพระธรรมหมวดที่วาด้วยพระวินัย และหมวดที่ว่าด้วยพระสูตร (เรื่องเล่า) ผู้ตอบปัญหาได้พิสูจน์แล้วจึงยืนยันว่าพระไตรปิฎกเป็นเรื่องจริง แต่ผู้ถามอย่าพึงปลงใจเชื่อ ต้องพิสูจน์ด้วยตัวเองจนเข้าถึงความจริงแล้วจึงค่อยเชื่อพระอริยสงฆ์ผู้เข้าร่วมปฐมสังคายนาจำนวน 499 รูป ทุกองค์เป็นพระอหันต์ อภิญญา 6 (อิทธิวิธี ทิพพโสต เจโตปริยญาณ ปุพเพนิวาสานุสติญาณ ทิพพจักขุ อาสาวักขยญาณ) และมีปฏิสัมภิทาญาณ 4 (อัตถปฏิสัมภิทา ธัมมปฏิสัมภิทา นิรุตตปฏิสัมภิทา ปฏิภาณปฏิสัมภิทา) ยกเว้น พระมหากัสสปะผู้ทำหน้าที่เป็นประธานปฐมสังคายนา เป็นพระอรหันต์วิชชา 3 (ปุพเพนิวาสานุสติญาณ จุตูปปาตญาณ อาสวักขยญาณ) ทรงอภิญญา และมีปฏิสัมภิทาญาณด้วย การเกิดของอภิญญาและการเกิดของปฏิสัมภิทา ต้องมีสมาธิขั้นสูงสุดเป็นพื้นฐาน


3.หนูเชื่อว่านรก-สวรรค์มีจริงแต่ไม่เคยเห็นด้วยตา
อยากให้อาจารย์สนองออกหนังสือหรือเล่าเรื่องที่เกี่ยวกับนรกที่ได้ไปพบไปเห็นมา ว่าสัตว์นรกหน้าตาเป็นอย่างไรทำกรรมเช่นไร จะต้องไปอยู่ในขุมนรกที่มีลักษณะแบบไหนและทรมานและมันยาวนานขนาดไหน จะได้ดูไว้เป็นอุทาหรณ์ไว้ระลึกไม่ให้เราเดินไปในทางที่ผิด ถ้าเป็นไปได้ช่วยบอกวิธีที่จะทำให้ตัวเราไม่ต้องตกนรกด้ว


คำตอบ
เชื่อเรื่องนรก-สวรรค์ว่ามีจริงโดยไม่เคยเห็นด้วยตาเป็นการพูดที่ยังไม่ถูกตรงตามความเป็นจริง แท้จริงแล้วทุกคนเคยเกิดเป็นสัตว์นรก ทุกคนเคยเกิดเป็นชาวฟ้าสวรรค์มาแล้วทั้งสิ้น แต่การเกิดแต่ละครั้งถูกภพชาติปิดบัง ไม่ให้เห็นสิ่งที่ผ่านไปแล้วด้วยตาเนื้อตาหนัง แต่ทุกคนมีสิทธิ์เห็นได้ด้วยตาจิต ตาทิพย์ ตาญาณ หากทำเงื่อนไขได้ถูกตรงด้วยการเข้าฌานได้แล้ว จะรู้เห็นเข้าใจว่านรก-สวรรค์เป็นภพที่มีจริงเป็นจริง

ในพระไตรปิฎกเขียนบอกเล่าเรื่องนรกสวรรค์ไว้ชัดแจ้งและยังมีคนอื่นออกหนังสือ เรื่องนรก-สวรรค์มายืนยันอีกมากยังไม่สามารถทำให้คนอีกจำนวนมากเกรงกลัวบาปกรรมที่จะทำให้ไปเกิดเป็นสัตว์นรกยังไม่ทำให้คนอีกจำนวนมาก ประพฤติเหตุที่นำสู่การเกิดเป็นชาวฟ้า-ชาวสวรรค์ ด้วยการทำตนให้มีศีล ทำตนให้เป็นผู้ศรัทธาในทานผู้ตอบปัญหาจึงยังไม่เห็นประโยชน์ที่เกิดจากการเขียนเรื่องนรก-สวรรค์ขึ้นมาให้รกโลก

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ค. 2010, 18:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1. ผมเคยได้ฟังธรรมเทศนาเกี่ยวกับเรื่องของการเจริญมรณานุสติครับ แต่ตัวผมเองยังไม่เข้าใจในเรื่องของการปฏิบัติครับ คือผมอยากทราบว่าหลักวิธีการ
ในการที่จะใช้ในการเจริญมรณานุสติ ควรจะทำอย่างไรครับ

คำตอบ
มรณานุสติเป็นหนึ่งในอนุสติ 10 คือให้ระลึกถึงความตาย ที่ต้องเกิดขึ้นกับตนเองเป็นธรรมดาจะได้ไม่กลัวตายและจะได้เร่งขวนขวายบำเพ็ญคุณงามความดีให้มีและสั่งสมอยู่ในจิตใจ

หลักการคือเอาจิตระลึกถึงความตายบ่อย ๆ ว่า เราต้องตายลงในวันใดวันหนึ่งข้างหน้าแน่นอนเป็นธรรมดา บัดนี้เราทำความดี มีบุญ มีบารมีพอแล้วหรือที่จะใช้เป็นปัจจัยเดินทางไปเกิดในร่างใหม่ในภพใหม่


2. จากรายการธรรมะที่ผมเคยฟังจากวิทยุครับ มีคนส่วนนึงโทรมาถามในรายการว่า บทสวดยอดพระกัณฑ์ไตรปิฏกนั้นทำไมยิ่งสวดยิ่งแย่
และผมได้ฟังพระอาจารย์ท่านได้ตอบคำถามครับ ผมฟังแล้วก็รู้สึกเหมือนท่านก็ไม่แนะนำให้สวดมนต์บทนี้ครับ
ผมจึงอยากทราบว่าในเมื่อบทสวดมนต์ทุกบทล้วนเป็นบทพุทธคุณ แล้วจะทำให้แย่จริงหรือครับ

คำตอบ
ผู้ตอบปัญหาไม่มีประสบการณ์ในการสวดมนต์บทนี้จึงไม่ทราบว่าสวดแล้วทำให้ชีวิตเสื่อมลงจริงหรือ แต่ที่รู้คือสวดมนต์ด้วยความจำเป็นคาดหวังให้มนตรานั้นกลับมาช่วยแก้ปัญหาให้กับตัวเอง เมื่อสวดแล้วไม่ได้ผลตามที่คาดหวัง จึงผิดหวังอย่างนี้เป็นการสวดมนต์ที่ผิดทาง ความรู้สึกว่า “ ยิ่งสวดยิ่งแย่ ” จึงได้เกิดขึ้นกับผู้มีความเห็นผิด


3. การปฎิบัติในการทำสมาธินั้น จากที่ผมเคยอ่านหนังสือของท่านอาจารย์ครับ เรื่องของการที่คนเราต้องมีศีลเป็นสำคัญ จึงจะช่วยให้เราสามารถเกิดปัญญา
ในการทำสมาธินั้น หากว่าเรายังปฏิบัติในการถือศีล 5 ยังบกพร่องอยู่ในบางครั้ง(ถึงแม้ว่าจะแค่ครั้งเดียวก็ตาม) ก็จะเป็นการขัดขวางไม่ให้เราเกิดปัญญาขั้นสูงสุด
ได้ใช่ไหมครับ และศีลข้อที่ 4 เป็นศีลที่รักษาได้ยากที่สุด ควรจะทำอย่างไรดีครับ ในการที่จะรักษาศีลข้อนี้ไม่ให้ด่างพร้อย

คำตอบ
ในเรื่องของไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นพื้นฐานเป็นบันไดส่งให้ขึ้นสูง คือศีลเป็นบันไดนำสู่การเกิดความตั้งมั่น (สมาธิ)ของจิต จิตที่ตั้งมั่นดีแล้วเป็นบันไดนำสู่การเกิดปัญญาเห็นแจ้งดังมีปรัชญาอื่นกล่าวไว้ว่า “ เมื่อใดจิตมีความตั้งมั่นเป็นสมาธิ แก่นแท้ของความรู้จะเกิดขึ้น ”

ดังนั้นเมื่อพื้นฐานยังไม่ดี บันไดยังไม่มี โอกาสพัฒนาจิตให้ขึ้นถึงที่สูงจึงเป็นไปได้ยาก วิธีแก้ปัญหาที่ถามไปต้องแก้ด้วยการเอาธรรมะมาคุ้มครองใจคือพัฒนาใจให้เป็นผู้มีสัจจะได้เมื่อใดแล้วการละเมิดศีลข้อ 4 จะไม่เกิดขึ้น


4. ถ้าคนที่กำลังเป็นทุกข์มากๆแล้วหาทางออกให้ตัวเองไม่ได้ ท่านอาจารย์มีแนวทางที่จะให้ใช้ในการแก้ไขไหมครับ
สุดท้ายนี้ ผมต้องกราบขอบพระคุณท่านอาจารย์อย่างสูงครับ ขอให้ท่านอาจารย์มีสุขภาพแข็งแรงครับ

คำตอบ
วิธีแก้ปัญหาคือนำตัวออกจากสังคมทีมีสิ่งกระทบไม่ดีเล่นกีฬาประเภทที่มีการใช้พลังมาก เช่น เล่นฟุตบอล เล่นรักบี้ ว่ายน้ำ เล่นเทนนิสฯลฯ เล่นจนเหนื่อยอ่อนและเมื่อยล้า รับประทานอาหารย่อยง่ายพักผ่อนด้วยการนอนหลับให้เต็มตื่น บริโภคใช้สอยมักน้อย เท่าที่จำเป็นกับชีวิตบริโภคใช้สอยแต่สิ่งเป็นสาระและมีความสันโดษ ไม่นำตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่นประพฤติให้เป็นกิจวัตรเมื่อกรรมดีเหล่านี้ให้ผลปัญหาก็จะหมดไป

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ค. 2010, 18:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กระผมมีปัญหาในการฝึกกรรมฐานอยากจะเรียนถามถ่านอาจารย์ ดังนี้ครับ
1. ผมนั่งสมาธิก่อนนอนทุกวัน ครั้งละประมาณ30-60 นาที ทำอย่างนี้มาประมาณ 3-4 อาทิตย์
แต่ขณะปฎิบัติรู้สึกว่าจิตฟุ้งซ่านสลับกับการมีสติจดจ่อ เป็นอย่างนี้ไปจนเลิกนั่งสมาธิ
- ถามว่า ถ้าฝึกนั่งอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆจะสามารถพัฒนาจิตได้ไปถึงขั้นไหนและควรปรับปรุงอย่างไรดี

คำตอบ
ปฏิบัติธรรมแล้วมีจิตฟุ้งกับกับมีจิตจดจ่อ ถ้าปฏิบัติต่อไปจะได้บุญตรงที่มีจิตจดจ่อ (สติ) และจะได้บาปตรงที่มีจิตฟุ้ง (กิเลส) เพิ่มมากขึ้นฉะนั้นควรปรับแก้ไขใจให้มีกุศลกรรมบถ 10 คุมใจให้ได้ก่อนปฏิบัติธรรมแล้วจิตจะมีกำลังของสติเพิ่มมากขึ้นอารมณ์ฟุ้ง (บาป) จะลดลงและหมดไปในที่สุดเมื่อสติมีกำลังมากเป็นมหาสติ


2. ขณะนั่งสมาธิไปได้สักพักเริ่มเกิดอาการปวดขาและเริ่มปวดมากขึ้นเรื่อยจนกระทั่งออกจากสมาธิ
- ถามว่า เมื่อเกิดอาการปวดขาต้องเอาจิตไปกำหนดว่า "ปวดหนอ ปวดหนอ" แล้วกลับมาที่ลมหายใจต่อ(อาการปวดยังไม่หายไป) หรือว่ากำหนดว่า "ปวดหนอ ปวดหนอ" ไปเรื่อยๆจนกว่าอาการปวดจะหายไป?

คำตอบ
ขณะนั่งสมาธิแล้วเกิดอาการปวดที่ขา นั่นแสดงว่าจิตขาดสติไปรับเอาสิ่งกระทบไม่ดีจากขามาปรุงเป็นอารมณ์ปวดวิธีแก้ไขต้องกำหนดว่า “ ปวดหนอ ๆ ๆ ๆ ” ไปเรื่อย ๆ จนกว่าอาการปวดที่ขาจะหายไปและเมื่อใดที่อาการปวดขาวกกลับมาให้สัมผัสได้ว่า ต้องกำหนดเหมือนเดิมจะเป็นร้อยครั้งพันครั้งต้องกำหนด จนกว่าอาการปวดหายไปแล้วไม่กลับมาเกิดอีกเลย นั่นแสดงว่าจิตมีกำลังของสติกล้าแข็ง สามารถระลึกได้ทันสิ่งกระทบแล้วอนัตตาในที่สุดกำลังของสติเช่นนี้เป็นเป้าหมายของนักปฏิบัติธรรมต้องการเข้าถึง


3. การนั่งแต่ละครั้งผมได้ตั้งนาฬิกาปลุก(แบบสั่น)เตือนไว้1ชม.ในแต่ละครั้ง อยากรู้ว่าควรกำหนดเวลาในการนั่งหรือไม่ หรือนั่งไปเรื่อยๆจนกว่าจะเลิกเอง และถ้าชาติก่อนๆไม่เคยสั่งสมบุญเรื่องของการภาวนามาก่อน และชาตินี้จะสามารถนั่งกรรมฐานให้มีสมาธิได้มากที่สุดถึงขั้นไหน (ตอนนี้เป็นนักศึกษา)


คำตอบ
การปฏิบัติธรรมไม่ควรใช้นาฬิกาปลุก ให้รู้ว่าหมดเวลาเพราะจะทำให้จิตกังวลอยู่กับนาฬิกาบอกเวลา ควรกำหนดห้วงเวลาปฏิบัติแล้วดูนาฬิกาตอนเริ่มต้นปฏิบัติ เมื่อครบกำหนดตามที่ตั้งเป้าหมายไว้ (อธิษฐาน)จิตจะรู้เอง จิตที่มีความตั้งมั่นเป็นสมาธิ เมื่อเลิกปฏิบัติแล้วจึงกลับมาดูนาฬิกา จะพบว่าใกล้เคียงกับห้วงเวลาที่กำหนดไว้

คนที่นำตัวเข้าปฏิบัติธรรมต้องมีของเก่าสะสมมาก่อน ปฏิบัติธรรมแต่ละครั้งมรรคผลของการปฏิบัติจะเพิ่มขึ้นและถูกเก็บสั่งสมไว้ในดวงจิตและไม่ควรกำหนดว่าจะปฏิบัติให้ถึงขั้นนั้นขั้นนี้ เพราะนั่นเป็นเหตุให้เกิดตัณหาและจิตยึดไว้เป็นอุปาทานซึ่งเป็นตัวขัดขวางการปฏิบัติธรรมจึงไม่ควรกระทำอย่างยิ่ง

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ค. 2010, 18:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1. เมื่อคนได้ล่วงลับแล้ว ดวงจิต หรือวิญญาณจะเกิดในทันทีในร่างเดิมหรือไม่ค่ะ หรือรูปร่างจะเปลื่ยนไปตามกระแสแห่งบุญกรรมที่นำไปเกิดของแต่ละสถานที่ หรือดวงวิญญานจะได้รับการพิพากษา บุญและกรรม ที่แต่ละคนได้ทำไว้ อยากทราบว่าอันไหนเกิดก่อน และเกิดหลังค่ะ

คำตอบ
คนที่ตายล่วงลับไปแล้วศพขึ้นอืดแล้วดวงจิตไม่สามารถวกกลับเข้ามาอยู่อาศัยในร่างเดิมได้อีกยกเว้นจิตที่มีพลังบุญสั่งสมไว้มากพอ และร่างเดิมยังสามารถใช้งานได้จิตที่ถูกทำให้หลุดออกจากร่างเดิมยังมีอยู่ดัวยวิธีใดก็ตาม โอกาสที่จิตหวนกลับเข้ามาอยู่อาศัยในร่างเดิม ยังมีอยู่ดังเช่นคนที่ตายแล้วฟื้นคืนชีพที่มาบอกเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ที่จิตโคจรไปพบไปเห็น

จิตวิญญาณที่ถูกพิพากษาจากพญายมราชแล้ว ต้องไปเกิดในร่างใหม่ในภพใดภพหนึ่งตามแรงกรรม ถ้าแรงกรรมเป็นกุศลมากก็ไปได้ร่างใหม่ในสุคติภพ ถ้าแรงกรรมเป็นฝ่ายอกุศลมีมากก็ไปได้ร่างใหม่ในทุคติภพกรรมประเภทใดให้ผลรุนแรงกว่า ต้องไปเสวยวิบากในภพนั้นก่อน


2. ถ้าดวงจิตของเราปฏิบัติธรรม จนสามารถเห็นชาติภพก่อน ซึ่งเกี่ยวนำมาถึงวิบากกรรมในชาตินี้ได้ของผู้อื่นได้ อยากเรียนถามว่า เกิดได้ด้วยสาเหตุใด และถ้าเราอยากช่วยเหลือเขาเหล่านั้นด้วยจิตกุศลอย่างแท้จริง มิหวังชื่อเสียงเงินทองแต่อย่างไร เพื่อการดำเนินชิวิตทางธรรมที่ถูก และที่ควร เหมาะที่จะทำหรือไม่

คำตอบ
เกิดด้วยผลของกรรมที่ถูกเก็บสั่งสมไว้ในดวงจิตของผู้ที่ถูกเห็นเรื่องคิดจะช่วยเหลือผู้อื่นให้หันกลับมาดำเนินชีวิตในทางธรรมสามารถคิดได้ แต่หากเขายังไม่ศรัทธาคิดไปก็เปล่าประโยชน์ ผู้รู้จริงจึงไม่คิดและปล่อยวางความคิดที่ไร้สาระเช่นนี้ หากเมื่อใดเขาเกิดศรัทธาจะนำพาชีวิตให้ดำเนินชีวิตไปตามแนวธรรม คุณสามารถชี้แนวทางให้เขาได้แต่ไม่มีสิทธิ์จะไปบังคับให้เขาทำเพื่อคุณ เพราะชีวิตเป็นของเราเขาต้องบริหารจัดการชีวิตด้วยตัวของเขาเอง


3. การที่ดวงจิตของเราสามารถสื่อสารกับองค์เทพได้ โดยโทรจิต ( ไม่ใช่การเข้าทรงนะค่ะ) นั้นหมายถึงเราพัฒนาจิตของเราจนเราสามารถ ปรับความถี่ของเรา ให้ตรงกับองค์เทพ จนสามารถสื่อสารผ่านจิตกันได้ เกิดจากบุญบารมีเก่าที่เคยสร้าง+กับสิ่งที่เราปฏิบัติและพัฒนาจิตเราในชาตินี้ ด้วยใช่หรือไม่


คำตอบ
การสื่อสารโทรจิตกับใครผู้ใดก็ตาม เป็นเรื่องที่ปุถุชนผู้มีจิตทรงฌานสามารถทำได้ ความถี่คลื่นจิตของผู้มีจิตทรงฌานจะคงที่ และหากผู้ถูกกสื่อถึงมีระดับความถี่คลื่นจิตเดียวกันก็สามารถสื่อถึงกันได้เรื่องที่บอกเล่าไปเป็นผลงานเก่า ผลงานใหม่ของผู้ภาวนาจิตจนถึงความเป็นฌานซึ่งผู้ตอบปัญหาไม่แนะนำให้เอาจิตเข้าไปเป็นทาสของโลกิยอภิญญา เพราะเป็นการสูญเวลาของชีวิตและไม่ใช่วิถีของการพ้นไปจากทุกข์

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ค. 2010, 18:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ทำอย่างไรจึงจะนั่ง "สมาธิ" ได้สำเร็จผลมากที่สุด

ขออนุโมทนา...

คำตอบ
ต้องทำตามขั้นตอนดังนี้
1. ต้องมีกุศลกรรมบถ 10 คุมใจให้ได้ทุกขณะตื่น
2. มีกัลยาณมิตรทางธรรมเป็นครูผู้ให้คำแนะนำแนวทางการฝึก
3. ศรัทธาในคำสอนของครูให้เต็มร้อย แล้วทำตามให้ถูกตรงตามคำสอน
4. เร่งความเพียรในการปฏิบัติให้มาก
5. ไม่พูด (เว้นกับครูผู้สอน) ไม่ฟัง ไม่ดู ไม่อ่าน ด้วยการปลีกตัวไปปฏิบัติโดดเดี่ยว
6. มีบุญเก่าสั่งสมมาก่อน

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ค. 2010, 19:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เพื่อนของดิฉันนั่งสมาธิได้ดี นอนก็จะทำสมาธิด้วย ทุกอริยาบทเขาจะกำหนดหมดและสามารถนั่งสมาธิได้ทุกที่และจิตรวมเร็วมาก แต่หน้าที่ทางโลกไม่บกพร่องเลย ช่วงหลังนี้เหมือนมีผู้รู้มาสอนการดำรงชีวิต สอนทุกเรื่องในการดำรงชีวิตหรือแก้ไขปัญหาชีวิตให้ แต่เป็นบทกลอน เขาต้องลุกขึ้นมาจด และมานั่งแปลความหมายเอง หากไม่ลุกขึ้นมาจดก็จะลืมหมด ซึ่งปกติเขาเป็นคนแต่งกลอนไม่ได้เลย และคำแปลกๆเขาจะไม่รู้จักเลย เช่น มรณานุสติ เขาบอกว่าไม่รู้แต่งขึ้นมาได้อย่างไร มีอยู่ครั้งหนึ่งเป็นบทกลอนปรากฎขึ้นมาเหมือนการกล่าวอำลาของพี่เขยและภายใน 7 วันนั้น พี่เขยก็เสียชีวิต
สิ่งเหล่านี้คืออะไรค่ะอาจารย์


คำตอบ
คือนิมิตที่ปรากฏขึ้นกับผู้มีจิตตั้งมั่น

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1521 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 25, 26, 27, 28, 29, 30, 31 ... 102  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร