วันเวลาปัจจุบัน 26 ส.ค. 2025, 02:52  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 1521 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 26, 27, 28, 29, 30, 31, 32 ... 102  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 23 พ.ค. 2010, 19:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ลูกของดิฉันอายุ 2 ขวบเป็นดาวน์ซินโดรม เคยพาไปกราบหลวงปู่ที่นับถือ ซึ่งเป็นพระสายวิปัสสนากรรมฐาน ท่านบอกว่า ที่ลูกเป็นเช่นนี้เพราะ เศษกรรม จึงขอเรียนถามว่าความหมายของ "เศษกรรม" คืออะไรคะ และผู้เป็นแม่อย่างดิฉันจะช่วยลูกอย่างไรได้บ้าง เพื่อให้กรรมของลูกบรรเทาเบาบางลง เพราะตอนนี้ลูกมีปัญหาเรื่องโรคภัยไข้เจ็บอีก โดยหมอแจ้งว่า เขาอาจจะเป็นลูคีเมีย ซึ่งหมอจะวินิจฉัยให้แน่นอนอีก 2 สัปดาห์ข้างหน้า ดิฉันสงสารลูกมากและเป็นทุกข์กันทั้งครอบครัว สามีและดิฉันสวดมนต์ภาวนาและแผ่ส่วนบุญกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรแทนลูกทุกคืนเลยค่ะ และสามียังไปนั่งวิปัสสนากรรมฐานที่วัดอัมพวันเพื่ออุทิศบุญกุศลให้ลูกด้วย จะเป็นหนทางที่ช่วยแก้กรรมให้เขาได้ไหมคะ

รบกวนถามอีกข้อว่าผู้เป็นพ่อและแม่จะช่วยตัดกรรมให้ลูกได้ด้วยวิธีใดบ้าง

ขอขอบพระคุณล่วงหน้าสำหรับความเมตตาในการตอบคำถาม เพื่อช่วยบรรเทาทุกข์ในใจของครอบครัวดิฉันค่ะ

คำตอบ
“ เศษกรรม ” หมายถึงกรรมในส่วนที่ยังหลงเหลืออยู่หลังจากชดใช้กรรมไปแล้วแต่ยังไม่หมด ต้องมาชดใช้กรรมต่อกรรมที่เหลือจึงถูกเรียกว่า เศษกรรม

กรรมเป็นของเฉพาะตน ใครทำกรรมทั้งดีและไม่ดีไว้ ผู้ทำต้องเป็นผู้รับผลของกรรมการช่วยเหลือในทางโลก ผู้เป็นพ่อแม่ควรนำลูกไปหาหมอผู้มีความรู้มีความสามารถมีประสบการณ์เกี่ยวกับโรคนั้น ถูกต้องแล้ว แต่ในทางธรรมโรคที่มีสาเหตุมาจากอกุศลกรรมจะหมดไปได้ด้วยเหตุ 4 อย่าง
ส่วนเรื่องการแก้ไขวิบากกรรมแทนลูก สามารถทำได้ในกรณีที่เจ้ากรรมนายเวรของลูก ยอมรับข้อเสนอของผู้เป็นพ่อแม่ดังมีเรื่องที่จะเล่าให้ฟังระหว่างครูกับศิษย์คู่หนึ่ง ครูบาใหญ่ผู้สอนกรรมฐานให้กับลูกศิษย์เกิดอาพาธหนักจนไม่สามารถรับสัมผัสใด ๆ ได้จึงต้องถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลส่วนลูกศิษย์ผู้มากด้วยความกตัญญูรู้คุณ เกรงว่าครูบาใหญ่จะต้องมาจบชีวิตลงในครั้งนี้ จึงได้อธิษฐานปฏิบัติจิตตภาวนาด้วยการเข้านิโรธสมาบัตินาน 3 วัน เพื่อเอาบุญกุศลที่เกิดขึ้นอุทิศใช้หนี้ให้กับเจ้ากรรมนายเวรของครูบาใหญ่ ผลปรากฏว่าหลังจากลูกศิษย์เข้านิโรธสมาบัติได้ 1 วันครูบาใหญ่ที่นอนไม่รู้สึกตัวอยู่ในโรงพยาบาลเกิดรับรู้สัมผัสได้เข้านิโรธสมาบัติได้ 2 วันครูบาใหญ่ลุกขึ้นเดินเข้าห้องน้ำในโรงพยาบาลได้เข้านิโรธสมาบัติได้ 3 วัน ครูบาใหญ่ออกจากโรงพยาบาลเดินทางกลับวัดได้และยังมีชีวิตอยู่จนทุกวันนี้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 23 พ.ค. 2010, 19:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1.อยากทราบว่าเวลานั่งกรรมฐาน(นั่งสมาธิ)เวลาเราหายใจ จะสามารถหายใจให้ลึกๆยาวๆขึ้น เพื่อให้เห็นว่าท้องพองหรือยุบ อย่างชัดเจน ควรมั้ยครับ หรือ ควรหายใจเป็นปกติเหมือนใช้ชีวิตประจำวันดีกว่าครับ(บางทีผมรู้สึกท้องมันไม่ค่อยพองหรือยุบมาก เลยใช้พุธ โท แทน ครับ)

คำตอบ
สติที่มีกำลังน้อยไม่สามารถจับอาการพองยุบของผนังหน้าท้องที่มีขนาดเล็กได้ วิธีแก้ต้องหายใจเข้าลึก ๆ แล้วหายใจออกยาวเพื่อให้เกิดอิริยาบถใหญ่ ของท้องพอง ท้องยุบได้ชัดเจน จากนั้นปล่อยให้ลมหายใจเข้า ลมหายใจออกดำเนินไปตามปกติ จิตจะตามระลึกเข้าถึงอาการท้องพองท้องยุบละเอียดลงไปอีกและหากการะลึกรู้หายไปอีกต้องหายใจเข้าหายใจออกลึก ๆ ซ้ำอีก เพื่อให้เกิดอิริยาบถใหญ่ซ้ำอีกแล้วปล่อยให้ลมหายใจเข้าลมหายใจออกดำเนินไปตามปกติ วิธีนี้เป็นการเจริญสติให้มีกำลังกล้าแข็งยิ่งขึ้นและไม่ควรเปลี่ยนไปใช้องค์บริกรรมอื่นแทน


2.ตอนนั่งสมาธิผมใช้เบาะผ้ารองนั่ง ผมรู้สึกว่าจะไม่ค่อยปวดขาครับเวลานั่ง ถามว่า ควรมั้ยครับที่จะหนีความเจ็บปวดด้วยวิธีนี้ หรือควรนั่งที่พื้นธรรมดาดีกว่าครับ

คำตอบ
หากมีน้ำหนักตัวไม่มากและเพื่อลดอาการกดทับสามารถใช้เบาะรองนั่งได้ขณะนั่งบริกรรม


3.ถ้าจิตผมยังไม่เกิดสมาธิมาก(ยังไม่นิ่งมาก)แล้วเกิดอาการปวดขา แล้วผมจะอธิฐานว่าจะยอมตาย ยอมทนปวดขาไปจนหาย หรือ จนกว่าจะครบเวลาที่กำหนด (เหมือนท่านอาจารย์ ตอนบวช ปี2518) ถามว่าผมจะได้มรรคผลมั้ยครับ

คำตอบ
หากจิตมีกำลังตั้งมั่นเป็นสมาธิไม่มากพอ เมื่อเกิดทุกขเวทนาปวดแข้งปวดขา แล้วอธิษฐานยอมตาย โดยไม่เปลี่ยนอิริยาบถย่อมเป็นไปไม่ได้ ตรงกันข้ามจิตที่ได้รับการพัฒนาจนมีกำลังของสมาธิกล้าแข็งแล้วสามารถอธิษฐานยอมตายเพื่อนำจิตเข้าถึงธรรมะของพระพุทธะได้


4.ผมอยากทราบตารางฝึกของท่านอาจารย์ตอนที่ท่านบวช ปี2518 ครับว่าท่านนั่งสมาธิกี่นาทีแล้วเดินจงกรมกี่นาที (อยากทราบว่าในตอนที่นั่งและเดินแต่ละครั้ง ได้กำหนดเวลามั้ยครับ)และอยากทราบว่าปัจจุบันนี้ท่านปฎิบัติ ที่บ้านอย่างไรบ้างครับ
ว่านั่งครั้งละเท่าไหรและเดินเท่าไร

คำตอบ
ในการปฏิบัติจิตตภาวนาจะนั่งนานกี่นาที และจะเดินจงกรมนานกี่นาที ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ของผู้ปฏิบัติแต่ละคนที่มีมาไม่เหมือนกัน ผู้รู้จึงไม่กำหนดให้ทุกคนนั่งบริกรรมหรือบริกรรมด้วยการเดินจงกรมในห้วงเวลาที่เท่ากันแต่ผู้รู้กำหนดว่า ผู้ใดนั่งบริกรรมแล้วจิตมีความตั้งมั่นเกิดขึ้นเรื่อย ๆ จนสูงสุดของเขาแล้วความตั้งมั่นของจิตเริ่มลดน้อยถอยลง ให้เปลี่ยนอิริยาบถจากการนั่งภาวนาไปเป็นการดินจงกรมแทน จนกว่าจิตตั้งมั่นสูงสุดแล้วเริ่มลดน้อยถอยลง ให้เปลี่ยนอิริยาบถจากการเดินจงกรมกลับไปนั่งบริกรรมแทนสลับกันไปอย่างนี้แล้วกำลังของสมาธิจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ


5.ท่านบอกว่าหลังจาก30วัน ที่ท่านตั้งอธิฐานในตอนบวงปี2518 ท่านนั่งอย่างไรก็ไม่เกิดสมาธิ อยากทราบว่าปัจจุบันนี้ท่านนั่งเกิดสมาธิมั้ยครับแล้วเกิดถึงระดับไหน
ขอขอบพระคุณท่านอาจารย์มากครับ ถ้าผมถามหรือพูดอะไรที่ล่วงเกินหรือผิดพลาดอะไร ขอได้โปรดอภัยให้ผมด้วยนะครับ

ขอบคุณครับ

คำตอบ
ปัจจุบันผู้ตอบปัญหาไม่ได้นั่งสมาธิเหมือนกับตอนที่เริ่มปฏิบัติเมื่อปี พ.ศ. 2518 แต่เจริญพละ 5 อยู่เสมอ จนกระทั่งมีสติจดจ่ออยู่กับสิ่งเข้ากระทบจิต จนเห็นสิ่งที่เข้ากระทบดับไปเป็นอนัตตาจึงปล่อยวางและว่างเป็นอุเบกขาอยู่ทุกขณะตื่น

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 23 พ.ค. 2010, 19:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดิฉันเป็นทุกข์มาหลายสิบปีนี้ ด้วยเรื่องสามีไปนอนกับหญิงอื่น ทั้งที่โสด หม้าย เท่าที่รู้ได้จากจม หรือเบอร์โทร เป็นสิบคน ทบทวนมานานว่าปัญหาคงไม่ได้อยู่ที่ตัวเรา เพราะการงานก็ก้าวหน้า มีการศึกษา ดูแลอบรมรับส่งลูกอย่างดีแต่เล็กจนโต งานบ้านงานเรือนดูแลไม่มีขาดตกบกพร่อง เขาเสียอีกที่ดุดัน ขี้โมโหโกรธา แรกก็เคยคิดว่า ตามธรรมดาที่อยู่ด้วยกันมานานก็เบื่อ ภายหลังคิดว่า เขามีทุสมบัติ ดิฉันเสียเองที่มีกรรมไปเลือกเขามาไม่ดูว่าเหมาะสม ตามภาษาคนหนุ่มสาวที่บูชารัก แต่ก็ไม่เชื่อว่าเพราะดิฉันเคยผิดศีลข้อ3 กับเขาแต่ชาติก่อน เพราะชาตินี้เป็นไปไม่ได้ที่ดิฉันจะทำเช่นนั้นได้ ไม่ใช่เพราะรักเขาแต่กลัวทำผิด ปัจจุบันเชื่อแล้วว่า คงเพราะเราคงผิดศีลข้อ3 เป็นแน่ และเขามาเอาคืนหลายเท่าพูนทวี คิดได้ดังนี้เลยทำให้ใจสงบ และมองเขาเหมือนดวงจิตดวงหนึ่งที่โคจรมาพบเพราะกรรมที่ทำกันมา มาชำระกัน เมือเราสองคนตายจากกันไปก็ไม่รู้จักกันแล้ว ไฉนจะเอาเขามามัดติดตัวเรา ตัวเขาตัวเราก็สมมติมาเจอกันเท่านั้นเอง ความรู้สีกสะเทือนใจที่มีต่อพฤติกรรมเขา ก็ไม่เอามาใส่ในใจเรา วางไว้ที่เขา ก้รู้สึกว่าดีจังสบายใจไม่เห็นทุกข์ร้อนไปกับการกระทำของเขา แต่บางครั้งความรู้สึกสะทือนใจ เศร้าใจก็เข้ามารบกวน จึงต้องทำสมาธิ สวดมนต์ไม่ให้ขาด ขาดเมื่อไรนานเข้า ความรู้สึกก็มารบกวนอีก ตั้งใจมั่นว่าชาติไหนๆจะไม่ขอเจอสามีคนนี้ ที่นำทุกข์โศกมาให้ คิดเช่นนี้ถูกหรือไม่คะ

ดิฉันอยากได้ยินอาจารย์ วิจารณ์สักเล็กน้อย ในเรื่องที่ดิฉันเล่ามานี้ และขออนุโทนาในเรื่องที่อาจารย์บรรยายธรรม ตอบปัญหา คำถาม ช่วยผู้คนให้คลายทุกข์โศก และข้อแนะนำในการปฏิบัติตน คะ

คำตอบ

เมื่อใดมีจิตระลึกได้ (สติ) ปัญญาเห็นถูก (สัมมาทิฏฐิ) ก็เกิดขึ้น เมื่อสมมติกับสมมติที่มีหนี้เวรมาเจอกันและกรรมให้ผลต้องใช้หนี้เวรกรรมตามกฎธรรมชาติที่มีความจริงแท้แน่นอน และเมื่อมีปัญญาเห็นถูกจึงคิดได้ถูก (สัมมาสังกัปปะ) เมื่อคิดได้ถูกก็สามารถปล่อยวางสมมติได้ถูก อุปสรรคปัญหาก็หมดไป จิตจึงเป็นอิสระจากเวรกรรมที่ผูกกันไว้

ปัญหาเรื่องนี้มีอยู่ว่า คุณไม่ดีตรงที่ไม่พยายามรักษาสิ่งอันมีค่าคือความเห็นถูกนี้ให้คงอยู่ในจิตวิญญาณได้ตลอดไป เรื่องสมมติที่ถามไปจึงวกกลับมากวนใจให้ขุ่นมัวได้อีก จะโทษใครได้ เพราะเหตุอยู่ที่ตัวคุณหากคุณดับเหตุด้วยตัวเองได้ เรื่องทั้งหลายที่เนื่องด้วยเขาคนนี้ก็จะจบลงทันทีและจบลงด้วยดี

คำถามต่อไปมีอยู่ว่า ด้วยการเวียนตายเวียนเกิดในอดีตชาติอันยาวไกล ยังมีรายอื่นอีกไหมที่คุณไปก่อหนี้เวรกรรมแบบนี้ไว้ คงตอบไม่ได้ แต่หากเมื่อใดเวรกรรมตามทัน ปัญหาซ้ำรอยเดิมแบบนี้มีโอกาสเกิดขึ้นได้อีก ฉะนั้นทางที่ดีควรพัฒนาจิตวิญญาณให้ห่างไกลจากกามได้เมื่อใด นั่นจึงเป็นสิ่งที่จะมั่นใจได้ว่าเรื่องแบบนี้จะไม่กลับมาเกิดขึ้นได้อีกจริงแท้แน่นอน

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 23 พ.ค. 2010, 19:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1. หากเราเป็นผู้นำในการสร้างสาธารณประโยชน์ เช่น สร้างทางเดินสำหรับคนไปกราบไหว้พระ ถวายผ้าไตรจีวรแก่พระอริยสงฆ์ หรือร่วมถวายกฐินผ้าป่า โดยชวนบุคคลใกล้ชิดร่วมทำบุญด้วย อานิสงฆ์ของผลบุญจะนำให้เราไปเกิดเป็นพ่อแม่พี่น้องกันในภพชาติต่อไปหรือไม่ หากเราเป็นผู้นำในการทำบุญดังกล่าว เรามุ่งหวังให้เขาได้บุญกุศลและช่วยเหลือเกื้อกูลกันในภพชาติต่อไป แต่ไม่ปรารถนาจะเกิดเป็นพี่น้องกัน จะใช้การอธิษฐานขอทำบุญกุศลไม่ผูกพันกรรมเป็นพี่น้องกับบุคคลที่ร่วมบุญดังกล่าวได้หรือไม่ หรือว่าถ้าเราได้ทำบุพพกรรมร่วมกับใครไว้จะต้องเกิดร่วมชาติเป้นญาติใกล้ชิดกันต่อไป

คำตอบ
ในอดีตอันยาวไกล ครั้งที่พระปทุมุตตระได้อุบัติขึ้นพระเจ้ากิกีแห่งกรุงพาราณสีมีธิดาอยู่ 7 องค์ทุกองค์ประพฤติพรจรรย์และได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์ในตระกูลต่าง ๆ อีกในครั้งที่พระพุทธโคดมได้อุบัติขึ้น ฉะนั้นแม้ว่าจะประพฤติพรหมจรรย์มาเหมือนกัน แต่ยังมีเหตุปัจจัยอื่นที่ต่างคนต่างทำเมื่อกรรมให้ผล จึงไม่เหมือนกันจึงมิได้กลับมาเกิดอยู่ในตระกูลเดียวกัน และยิ่งอธิษฐานไม่ผูกพันกรรมเป็นพี่น้องกันกับบุคคลที่ร่วมทำบุญด้วยกันมา จะไม่มีโอกาสเกิดเป็นญาติใกล้ชิดได้


2. อานิสงฆ์ของการทำบุญกุศลร่วมกันแบบใดจะส่งผลให้เกิดเป็นสามีภรรยาบิดามารดาพี่น้องกัน ระหว่างการทำบุญใหญ่ร่วมกันในกลุ่มย่อย เช่น ร่วมกันเป็นเจ้าภาพกฐินผ้าป่า 10--15 คน, ถวายสังฆทานร่วมกัน 5-7 คน กับการทำบุญร่วมกันบ่อย ๆ เนือง ๆ

คำตอบ
เมื่อใดทำบุญร่วมกันแล้ว ทั้งสองคนต้องอธิษฐานให้ตรงกัน คือขอให้เกิดมาเป็นสามีภรรยากันอีกหรือได้ทำบุญร่วมกันเป็นกลุ่มแล้วอธิษฐานให้ได้เป็นพ่อแม่พี่น้องที่ดีต่อกันอีก แล้วสุดท้ายต้องทำเหตุให้ถูกตรง คือให้มีศรัทธาเหมือนกัน ให้มีศีลเหมือนกัน ให้มีการสละบริจาคเหมือนกัน และให้มีปัญญาเหมือนกัน หากประพฤติได้ถูกตรงครบถ้วนอย่างนี้ โอกาสเข้าถึงความปรารถนาที่ตั้งไว้จะเกิดขึ้นได้ในวันข้างหน้า


3. ผู้ที่มีญาณอภิญญาสามารถมองเห็นดวงจิตของบุคคลอื่นได้และสามารถรับคลื่นจิตของผู้อื่นรู้ว่าผู้อื่นคิดอะไร ขอถามว่า ผู้ที่มีความสามารถเช่นนี้สามารถเห็นดวงจิตของพระอริยสงฆ์ จำแนกได้หรือไม่ว่า ใครคือ โสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต์

ขอขอบพระคุณในความกรุณาตอบข้อสงสัยค่ะ

คำตอบ
ฆราวาสปุถุชนผู้ปฏิบัติสมถกรรมฐานจนจิตตั้งมั่นระดับเป็นฌานได้ จะสามารถเข้าถึงโลกิยญาณหรือโลกิยอภิญญาได้ แต่ไม่สามารถรู้เห็นเข้าใจสภาวะจิตของพระโสดาบันพระสกิทาคามี พระอนาคามีและพระอรหันต์ได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 23 พ.ค. 2010, 19:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ถ้าเราต้องอาศัยอยู่ร่วมบ้านเดี่ยวกันกับคนที่เราไม่ชอบมากๆ ไม่อยากใช้ห้องน้ำเดี่ยวกันเลย แต่ไม่สามารถแยกบ้านไปได้ รู้สึกแย่มากๆ ไม่มีชีวิต ชีวาแช่มชื่นเหลือเลย กราบเรียนถามอาจารย์ ดิฉันควรจะทำอย่างไรเพื่อหนีจากความเป็นอยู่นี้ และความรู้สึกนี้

ด้วยความเคารพอาจารย์อย่างสูง

คำตอบ

คนที่ใช้ปัญญาทางโลกและมีเหตุปัจจัยเอื้ออำนวยใช้วิธีหนีปัญหาด้วยการแยกกันอยู่คนละบ้าน เมื่อไปเจอปัญหาแบบเดียวกันนี้อีกในบ้านอื่น ต้องหนีปัญหาแบบนี้อยู่เรื่อยไปไม่มีวันจบสิ้น เพราะเขาหนีใจตัวเองไม่พ้น

ฉะนั้นเมื่อไม่สามารถแยกบ้านได้ ต้องยอมรับความจริงชดใช้หนี้กรรมเก่าให้หมดไป สร้างบุญกุศลไปเรื่อย ๆ แล้วอุทิศบุญให้หนี้เวรกรรมแทนทำบุญใหญ่ ๆ อยู่เรื่อย ๆ จนความไม่ชอบตามให้ผลไม่ทันและสุดท้ายพัฒนาจิตให้เป็นอิสระจากสิ่งที่เข้ากระทบทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ การแก้ปัญหาแบบสุดท้ายนี้เป็นการแก้ปัญหาได้ถูกตรงที่สุด ซึ่งผู้รู้แนะนำให้กระทำ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 23 พ.ค. 2010, 19:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หนูได้อ่านหนังสือธรรมะของท่านแล้ว รู้สึกดีใจมากที่ในปัจจุบันได้มีโอกาสอ่านธรรมะจากบุคคลที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบในเพศฆราวาส หนูเริ่มปฏิบัติธรรมตั้งแต่อายุ 19 ปี เมื่อปี 2534 และเมื่อปี 2537 หนูเคยเร่งปฏิบัติธรรมและไปบวชชีพราหมณ์ ณ วัดป่านิโครธาราม ( วัดหลวงปู่อ่อน ) จ.อุดรธานี
คืนวันแรกที่บวชหนูฝันเห็นพระอรหันต์สมัยพุทธกาลกำลังกวาดตาดอยู่หน้ากุฎิ ในฝันจิตหนูก็ถามว่าท่านสำเร็จได้ด้วยพิจารณาสิ่งใด พระอรหันต์รูปนั้นก็วางไม้กวาดลง และพนมมือสวดเป็นภาษาบาลี และตอบว่า "กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน" แล้วก็เปลี่ยนไปเป็นภาพต้นไม้มีผลไม้ใหญ่ จิตหนูก็ถามไปว่าผลไม้พวกนี้ผลใหญ่โตมากไม่เคยเห็น ก็มีเสียงผู้หญิงตอบมาว่าผลไม้เหล่านี้อยู่รอบวัดแต่มนุษย์ไม่เห็นเพราะเทวดาดูแลอยู่ แล้วหนูก็ตื่นขึ้นมา

หลังกลับมากรุงเทพฯ ก็รีบไปค้นหนังสือธรรมะก็พบว่า เป็นข้อแรกของ สติปัฏฐาน 4 คือ "กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน" จึงทำให้หนูรู้สึกว่าสิ่งที่หนูฝันนั้นไม่ใช่อุปาทาน หนูจึงเร่งปฏิบัติมากขึ้น โดยให้จิตอยู่กับพุธโธแทบจะตลอด 24 ชั่วโมง ไม่ว่าจะยืน เดิน นั่ง นอน มีสติระลึกรู้อยู่ จำได้ว่าใช้เวลาเพียง 2 วันที่ปฏิบัติมีสติอยู่กับพุธโธ ตอนกลางคืนหลังจากสวดมนต์นั่งสมาธิก็นอนภาวนาต่อ จากที่ดูนาฟิกาก่อนนอน เพียงเวลาแค่ 5 นาที ที่หลับตาแต่เปลี่ยนจากภาวนาพุธโธมาเป็น ดูการยุบพองของท้องเมื่อหายใจเข้าออก ก็ปรากฎว่าจิตค่อย ๆ นิ่งลงจนเห็นเป็นเหมือนลำแสงสีขาวพุ่ง
กระจายออกจากกลางหน้าผากกระจายขาวสว่างไปไม่มีขอบเขต แต่ขณะนั้นมีพี่สาวเปิดประตูเข้ามาในห้องนอน หนูก็รับรู้ได้แต่เหมือนกับจิตแค่เพียงรู้อยู่แค่นั้น จนสักพักก็กลับเข้าสู่อาการปกติออกจากสมาธิ พอตอนเช้าทำวัตรเช้าเสร็จหนูก็เลยลองนอนภาวนาลงอีกครั้งก็เกิดอาการเช่นเดิมเพียงแต่ต่างจากเดิมคือ ทั้งๆ ที่ร่างหนูนอนหลับตาอยู่แต่เหมือนหนูตื่นยกแขนขึ้นมาลูบหน้าได้แต่กายเนื้อยังอยู่ที่เดิม แต่มีความรู้สึกขณะยกมือขึ้นมาลูบหน้าจะรู้สึกเหมือนมีอะไรเย็น ๆ มาลูบหน้า พอจะลองลุกออกจากร่างที่นอนอยู่กลับลุกไม่ได้เหมือนมีแรงดึงดูดไม่ให้ออกไปจากร่าง
ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ 10 กว่าปีแล้ว หนูก็หาคำตอบไม่ได้ว่าเป็นเพราะอะไร จิตก็ยึดติดอยู่อยากจะปฏิบัติให้ได้แบบเดิมอีกก็ทำไม่ได้ นั่งสมาธิกี่ครั้งก็อยากจะเป็นอย่างเดิมจึงทำให้ไม่สามารถนั่งสมาธิทำให้จิตนิ่งได้อีก เมื่อนั่งไม่ได้ดีก็รู้สึกท้อและละทิ้งการปฏิบัติ ทำบ้างไม่ทำบ้าง จนมาได้อ่านหนังสือธรรมะของท่าน
จึงคิดว่าท่านคงจะให้คำเฉลยที่ติดอยู่ในใจหนูได้ค่ะ สิ่งที่หนูจะขอความเมตตาจากท่าน คือคำเฉลยจากคำถามดังกล่าว ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับหนูคืออะไร เป็นสิ่งดีหรือไม่ เพราะถ้าเป็นสิ่งที่ไม่ดีไม่ควรยึดติด ควรแก้อย่างไร

คำตอบ
สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นนิมิต ปรากฎกับจิตของผู้มีความตั้งมั่นเป็นสมาธิ เป็นเรื่องดีแบบโลกๆ ไม่ควรยึดติดในนิมิตนั้น เพราะไม่เป็นเหตุให้พ้นไปจากความทุกข์ได้

ส่วนเรื่องที่อยาก (ตัณหา) ปฏิบัติให้ได้เหมือนเดิมอีก รับรองว่าปฏิบัติอย่างไรก็ไม่สามารถเข้าถึงผลที่ได้เคยเกิดขึ้นในครั้งแรก ๆ เว้นไว้แต่ว่าถ้าทำให้ความอยากหมดไปได้เมื่อใดแล้ว การปฏิบัติจิตตภาวนาเพื่อให้เข้าถึงมรรคผลที่เคยเกิดขึ้นย่อมเป็นไปได้



คำถามที่ 2 ด้วยการไม่ปฏิบัติธรรมอย่างสม่ำเสมอจึงทำให้หนูไปหลงยึดติดกับการใช้ชีวิตทางโลก จึงทำให้ปัจจุบันปฏิบัติได้ไม่ดี แต่ปัจจุบันนี้ได้หวนกลับมาปฏิบัติธรรมอีกครั้ง หนูไม่ปรารถนากลับมาเกิดอีก หนูเจอครูบาอาจารย์กี่คนก็บอกว่าหนูสร้างบารมีในอดีตชาติมามาก ทำไมไม่สานต่อ อย่าให้เสียเวลาที่เกิดมา หนูอยากให้ท่านช่วยแนะนำหนูด้วยว่าควรปฏิบัติอย่างไรจึงตรงตามทางที่ครูบาอาจารย์ปฏิบัติกันมาค่ะ

คำตอบ
คำที่ครูบาอาจารย์แนะนำนั้นถูกต้องแล้ว หากประสงค์นำพาชีวิตให้เป็นอิสระจากโลกธรรมและวัตถุ ซึ่งเป็นสิ่งลวงตาลวงใจทางโลก ต้องเจริญพละ 5 (ศรัทธา วิริยา สติ สมาธิ ปัญญา) ให้มีกำลังกล้าแข็งอยู่ทุกขณะตื่น แล้วปรับสมดุลระหว่างศรัทธากับปัญญาและวิริยากับสมาธิให้มีกำลังใกล้เคียงกัน ส่วนสติต้องเจริญให้มีกำลังมากสุดแล้วมีโอกาสนำพาชีวิตให้พ้นไปจากโลก พ้นไปจากการเวียนตายเวียนเกิด ในวัฏฏสงสารจึงจะมีความเป็นไปได้


คำถามที่ 3 ทำไมเวลาหนูกลับมาปฏิบัติธรรมสวดมนต์นั่งสมาธิ เวลาหนูนอนหลับมักฝั่นร้าย และจะเกิดอาการหายใจไม่ออก บางครั้งเป็น 5-6 ครั้งต่อคืน สมัยก่อนเป็น 20 ครั้งต่อคืน มันทรมานมาก ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่หนูไม่อยากนั่งสมาธิ เพราะคิดว่าปฏิบัติดีแล้ว แผ่เมตตาแล้ว ทำไมชีวิตต้องเป็นแบบนี้ จึงหาคำตอบให้กับตัวเองไม่ได้ว่าอาการที่เกิดขึ้นกับตนเองมีสาเหตุมาจากอะไร ปฏิบัติธรรมหรือนั่งสมาธิผิดพลาดตรงไหนหรือเปล่า

3 คำถาม ดังกล่าวไม่มีใครตอบหนูได้ หนูได้แต่หวังว่าท่านคงชี้แนวทางให้หนูหลุดพ้นไปได้ และสามารถสานต่อในการปฏิบัติในอดีตชาติ ที่หนูก็ไม่รู้ว่าหนูปฏิบัติถึงแค่ไหน หนูไม่อยากเสียชาติเกิดที่มาพบพระพุทธศาสนาจึงได้แต่ขอความเมตตาจากท่าน

ด้วยความเคารพค่ะ

คำตอบ
ผู้ใดมีสติ ผู้นั้นนอนหลับได้สนิทและไม่ฝัน ผู้ใดมีเมตตาสั่งสมในดวงจิตหลับแล้วไม่ฝันร้าย สองเหตุดังกล่าวเกิดขึ้นในดวงจิตของผู้ใดได้แล้ว ปัญหาที่ถามไปจะไม่เกิดขึ้น

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 23 พ.ค. 2010, 19:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1.ที่บ้านเปิดธุรกิจร้านผ้าม่าน มีช่างติดตั้งผ้าม่าน1คน ปัญหาคือช่างติดตั้งผ้าม่าน เค้าชอบเล่นพนันฟุตบอล เล่นไพ่ จนเงินเดือนหมดไม่พอใช้แล้วก็มายืมแม่ของผม(แม่กับพ่อเป็นเจ้าของร้าน) ถ้าไม่ให้วันรุ่งขึ้นเค้าก็จะแกล้งมาทำงานสาย แต่ที่ร้านไม่มีคนช่วยงานจึงต้องพึ่งเค้า จะหาใหม่คนที่มาก็ไม่เก่ง เพราะติดตั้งผ้าม่านมันต้องเป็นช่างเฉพาะทาง แม่ผมฝากให้มาถามอาจาร์ว่า เป็นเพราะทำกรรมอะไรมาจึงมาเจอลูกน้องแบบนี้ แล้วจะแก้ไขยังไงดี โดยการแจกธรรมทานหรือถวายอาหาร หรืออะไรถึงจะตรงจุดในการแก้ที่สุดครับ แล้วถ้าให้เงินเค้าแล้วเค้าเอาไปเล่นการพนัน เราจะบาปมั้ยครับ (ทั้งเงินเดือนและที่เค้ายืมนอกเหนือเงินเดือน)

คำตอบ
กรรมที่เป็นเหตุให้มีลูกน้องไม่ดีเพราะเจ้าของธุรกิจไม่มีสัจจะ คือไม่จริงกาย ไม่จริงวาจา ไม่จริงใจ ต่อผู้ที่เข้าไปมีปฏิสัมพันธ์ด้วย วิธีแก้ปัญหานี้ในทางโลก เขาเปลี่ยนเอาคนดีมีศีลมีธรรมมาเป็นลูกน้อง มาเข้าร่วมในธุรกิจ แล้วฝึกคนดีให้มีทักษะในงานที่ทำซึ่งทำให้ง่ายกว่าฝึกจนไม่ดี (ทุศีล ไร้ธรรม) ให้เป็นคนดีซึ่งทำได้ยากกว่า

ส่วนการแก้ปัญหาในทางธรรมต้องยอมรับความจริงยอมชดใช้หนี้กรรมอันเนื่องมากจากการประพฤติไม่มีสัจจะ หยุดสร้างหนี้ใหม่ด้วยการประพฤติจริงกาย จริงวาจา จริงใจต่อผู้อื่น และทำบุญ (ดูบุญวิริยาวัตถุ 10)

การเอาเงินให้ลูกน้องแล้วรู้ว่าเขานำไปเล่นพนันทั้ง ๆที่รู้แต่หยุดให้เงินไม่ได้เป็นเพราะแรงกรรมไม่ดียังให้ผลอยู่ ผู้ให้เงินคือผู้เป็นต้นเหตุให้มีการเล่นพนันซึ่งเป็นอบายมุขชนิดหนึ่ง ชีวิตของผู้ให้เงินต้องได้รับผลแห่งความเสื่อมนี้ด้วย


2. ผมจะเปิดธุรกิจซื้อรถแท๊กซี่มาให้เค้าเช่าขับ ถามอาจารย์ว่าถ้าคนขับ ขับรถแท็กซี่ของเราไปชนคนตายหรือขับไปทำผิดอะไรต่างๆ เราจะบาปมั้ยครับ

คำตอบ
บาปในฐานะเป็นต้นเหตุให้มีการประพฤติอกุศลกรรมให้เกิดขึ้น


3. แล้วผมว่าจะเปิดร้าน Internet and Game ให้คนมาเล่น ถ้าเด็กมาเล่นเกมส์เราจะบาปมั้ยครับ แล้วถ้าคนมาเล่นinternet แล้วเค้ามาเปิดดูพวกสิ่งลามก เราจะบาปมั้ยครับ
ขอบพระคุณท่านอาจารย์มากครับ

คำตอบ
เมื่อใดที่จิตของเด็กที่มาเล่นเกมส์ เกิดความเห็นผิดและตกเป็นทาสของเกมส์ที่เล่นผู้เป็นต้นเหตุต้องได้รับอานิสงส์กับบาปในธุรกิจนี้ด้วย

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 23 พ.ค. 2010, 19:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ตอนนี้จิตใจผมย่ำแย่เพราะ ผมจับได้ว่าภรรยามีชายอื่นซึ่งเค้าคือเพื่อนรักของผมและคิดว่าเพื่อนคนนี้คือญาติพี่น้อง ผมปล่อยให้เพื่อนกับภรรยาสนิทกันนานถึง 3 ปีเพราะก่อนหน้าผมได้พูดอย่างชัดเจนไปว่า เป็นไปไม่ได้ที่เพื่อนรักจะทำกันแบบนี้ ตรงนี้ทำให้ผมชะล่าใจและ เพิ่งจะมารู้ว่าเค้ามีใจให้แก่กัน ก่อนหน้านั้นคิดว่าเพื่อนผมคนนี้คงไม่ทำผม เพราะเป็นผู้ชายมีเกียรติ มีชาติกระกูล คงไม่ทำกับผมแบบนี้แน่ ขณะนี้ผมกับภรรยามีลูกเล็กๆด้วยกันสองคน ผมอยากจะถามว่า จะต้องรับมือกับการสูญเสียนี้อย่างไร จึงให้ใจของผมและคนที่มีความหมายกับชีวิตผมจริงๆคือลูกๆนั้นไม่เป็นทุกข์ เพราะผมยังโง่อยู่เช่น ไปทำงานไม่ได้ กินก็ไม่ได้ ทุกอย่างเหมือนดับลงตรงหน้า คิดไม่ออกว่าจะทำอย่างไรกับลูก ปล่อยเค้าไปดีไหม ? เค้ารู้ตัวแล้วว่าผมรู้ เค้าก็สารภาพกับผมแล้ว (อันนี้เค้าก็ดีกับผมที่เค้าไม่โกหกและยังให้เกียรติผม) และที่โชคดีคือไม่มีอะไรมากไปกว่ากลายเป็นคนรู้ใจกันคนหนึ่งเท่านั้นมันเรียกอะไรกันครับ (กิ๊กหรือชู้) อะไรกันนะที่ดลจิตใจผมให้แอบฟังโทรศัพย์ของเค้าทั้งสองคนในวันนั้นจนทำให้เรารู้ว่าเค้าพัฒนากันมาเป็นปีแล้ว การให้อภัยต้องทำอย่างไรครับ และต้องเริ่มอย่างไร ตอนนี้เริ่มสนใจเข้าปฎิบัติธรรมแต่ไม่รู้ว่าจะไปที่ไหนดี



คำตอบ

ที่บอกเล่าไปเป็นเรื่องของกรรมเก่าแต่อดีตที่ยังถูกบันทึกไว้เป็นข้อมูล (สัญญา) อยู่ในดวงจิต เมื่อใดที่กรรมให้ผลจะมีอำนาจผู้มัดใจสัตว์ให้ต้องเวียนตายเวียนเกิดอยู่ในกามภพมิรู้จบ หากปรารถนาจะปลดจิตให้เป็นอิสระ จากสิ่งที่ถูกเห็นด้วยตาเป็นอิสระจากสิ่งที่ถูกรู้ด้วยใจเป็นอิสระจากสิ่งที่ได้ยินด้วยหู ต้องนำตัวเองเข้าปฏิบัติจิตตภาวนา โดยใช้อสุภกรรมฐานมาเป็นบทพิจารณา เมื่อใดจิตเข้าถึงมรรคแก่งการปฏิบัติได้แล้วจะเกิดปัญญาเห็นแจ้งถูกตามเป็นจริง แล้วความเห็นผิดและยึดติดในรูปนามจะหมดไปปัญหาจะถูกแก้ไขได้ด้วยตัวเองของผู้เข้าถึงความจริงแท้ของชีวิตนั่นเอง

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 23 พ.ค. 2010, 19:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1. ผมมีอาชีพเล่นดนตรีในร้านอาหาร ซึ่งขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ด้วย ถือว่าเป็นสัมมาอาชีพหรือป่าวครับ เพราะผมเองก็ไม่ได้ดื่มแล้ว และก็ไม่ได้ยินดีกับการดื่มของคนอื่นๆ

คำตอบ
การเล่นดนตรีเป็นสัมมาอาชีวะในทางโลก หากทำให้มีศีล 5 คุมใจได้แล้ว การเข้าถึงมนุษย์สมบัติย่อมเกิดขึ้นได้ หากประพฤติคุณธรรมเพิ่มเติมด้วยการให้ทานอยู่เสมอ สวรรค์สมบัติเป็นสิ่งที่เข้าถึงได้เมื่อใดหมดความจำเป็นในการหาเลี้ยงชีพด้วยการเล่นดนตรี วางเครื่องมือลงหันมาปฏิบัติจิตตภาวนา จนเข้าถึงมรรคผลของธรรมได้แล้วนิพพานสมบัติที่มนุษย์แสวงหาการหลุดพ้นไปจากความทุกข์ทั้งปวง ย่อมเกิดกับคุณได้


2. การหยิบยื่นแนะนำ ธรรมะให้ผู้อื่นแล้ว เค้าไม่เห็นด้วย หรืออาจมีการล่วงเกินปรามาสพระรัตนตรัยนั้น เท่ากับเราสร้างโอกาสให้เค้าทำกรรมหรือป่าวครับ ถ้าเป็นเช่นนั้นเราควรหรือไม่ควรแนะนำพวกเขา

คำตอบ
ควรแนะนำเมื่อเขาศรัทธาเปิดใจยอมรับธรรมะให้เข้ามาสถิตอยู่ในใจ ไม่ควรแนะนำเมื่อเขายังไม่พร้อมที่จะเปิดหงายภาชนะขึ้นรองรับ น้ำทิพย์ (ธรรมะ) ที่กัลยาณมิตรรินเติมให้


3. ผมเรียนปริญญาโทอยู่ แต่ทำปริญญานิพนธ์มาเป็นปีไม่สำเร็จซักที ตอนนี้ให้พี่สาวช่วยด้วย อย่างนี้ถือว่าเป็นอกุศลกรรมหรือไม่ครับ

คำตอบ
ปรารถนาทำวิทยานิพนธ์ให้สำเร็จลุล่วงด้วยดีต้องมีอิทธิบาท 4 เป็นฐานรองรับ คือทำวิทยานิพนธ์ด้วยใจรัก ทำด้วยความพากเพียร ทำด้วยใจจดจ่อและใช้ปัญญาไต่สวนในวิทยานิพนธ์ที่ทำ

การที่พี่สาวมาช่วยทำวิทยานิพนธ์ ประสบการเรียนรู้และทักษะของงานได้เกิดขึ้นกับพี่สาว มิใช้เป็นการเรียนรู้และการเพิ่มทักษะให้กับตัวคุณเอง และหากนำไปลวงคนอื่นให้เข้าใจผิดว่าเป็นผลงานที่เกิดขึ้นด้วยความรู้ความสามารถจากตัวคุณเอง ถือว่าผิดศีลข้อ 2 เป็นบาปครับ



4. การที่มีแฟนอยู่ด้วยกันแล้ว ทั้งผู้ใหญ่ของแฟนกับพ่อแม่เราเรารับทราบแล้ว แต่ยังไม่ได้แต่งงานกัน นี่ถือว่าผิดศีลข้อสามหรือไม่ครับ

คำตอบ
การแต่งงานเป็นพิธีกรรมที่มนุษย์อุปโลกน์ขึ้นมาและยึดถือเป็นประเพณี ยังไม่สำคัญเท่ากับว่าพ่อแม่ของทั้งสองฝ่ายเอ่ยปากและยินดีให้ทั้งสองอยู่กินกันเป็นครอบครัวแล้วหรือยัง หากเจ้าของชีวิตยังไม่ยินดียกให้ เหตุที่บุคคลทั้งสองได้กระทำลงไป ถือได้ว่าผิดศีลข้อ 3 และผลที่จะตามมาในวันข้างหน้า หลังจากทิ้งขันธ์ลาโลกไปแล้วไม่แคล้วต้องไปปีนขึ้นปีนลงต้นไม้มีหนามแหลมในนรก


5. พ่อแม่ผมอยากให้ผมเลิกกับแฟนเพราะเธออายุมากกว่าผม ตัวท่านยังไม่เคยได้เจอหน้าแฟนผมเลย แต่ท่านก็อยากให้เลิก อย่างนี้ผมควรจะ ทำตามความสบายใจของพ่อแม่จึงจะได้เป็นลูกที่กตัญญู หรือรอเวลาให้ท่านได้พบกับแฟนของผมก่อนแล้วค่อยตัดสินใจเพราะผมคิดว่าคนเราไม่ควรตัดสินกันแค่ภายนอก


คำตอบ
ผู้รู้จะไม่ก้าวล่วงไปบงการให้ชีวิตของใครต้องเป็นอะไร ชีวิตเป็นของเจ้าของชีวิต ต้องบริหารจัดการด้วยตัวคุณเอง

ส่วนเรื่องความกตัญญูต่อบุพการีเป็นเรื่องของการประพฤติจริยธรรมที่ลูกที่ดีควรมีต่อพ่อแม่ ประพฤติด้วยเหตุและผลที่ถูกต้องชอบธรรม จึงจะนับเข้าเป็นคุณธรรมเกิดขึ้นในจิตใจของผู้กระทำ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 23 พ.ค. 2010, 19:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คือดิฉันได้ตามพวกพี่ๆไปดูดวงชะตาของพี่คนหนึ่งกับพระองค์หนึ่งที่ต่างจังหวัด ระหว่างที่ท่านพยากรณ์ว่าจะรำรวยนั้น พวกเราทุกคนรู้ว่าเขาตอนนี้กำลังลำบากเรื่องเงินทองมาก ก็ถามท่านว่ารวยอะไร รวยหนี้หรือเปล่าว ไม่ได้ตั้งใจดูถูก คือถ้ารวยได้ก็ดีเขาจะได้ใช้หนี้ให้หมดไป พระองค์นั้นท่านโกรธขึ้นมาทันที ดุว่า อยู่หลายคำ เรียกว่าถึงแก่โมหะ หน้าตาดุดันขึ้นมาทันที ดิฉันไม่ยอมพยายามอธิบายว่าไม่ได้ตั้งใจเพียงแต่สงสัยเท่านั้น ระหว่างที่โต้ไปมาดิฉันนึกขึ้นได้ว่า เอเราจะบ้าหรือเปล่าวนี่มาเถียงอะไรกับพระ ก็เลยหยุดพูด แรกๆก็ไม่ได้คิดว่าจะบาป เพราะพระท่านก็ไม่สำรวม ให้โมหะเข้าครอบครอบง่ายจัง แถมยังพูดอีกว่า ท่านนะเป็นถึงรองเจ้าคณะนะ ท่าน คงเคยเจอแต่ชาวบ้าน ที่คะ ขา ตลอด พอเจอคนที่ซักถาม ก็โกรธขึ้นมาง่ายจัง แต่ตอนนี้รู้สึกกังวลใจว่าได้ทำบาปไว้กับพระหรือไม่ และจะขอขมา โดยไม่ต้องไปหาท่านถึงวัดได้หรือไม่

คำตอบ

การโต้แย้งเถียงเป็นเรื่องของกิเลสที่บุคคลทั้งสองนำมาแสดงให้กันและกันทั้งพระและฆราวาสจึงมีบาปอยู่ในใจ เหตุที่บอกเล่าไปจึงได้เกิดขึ้น

ส่วนเรื่องการขอขมากรรม สามารถทำได้ในทุกสถานที่ แต่ปัญหามีอยู่ว่า คู่เวรกรรมเขายินดีอโหสิกรรมให้ผู้ขอขมาหรือไม่ นั่นเป็นสิทธิ์ของเขาเมื่อรู้ว่าการโต้เถียงเป็นสิ่งไม่ดี เป็นเหตุนำพาชีวิตลงไปเกิดเป็นสัตว์ในอบายภูมิ ต้องหยุดพฤติกรรมที่เป็นอกุศลนี้ให้ได้ และต้องไม่ประพฤติซ้ำให้เกิดกิเลสสั่งสมอยู่ในใจอีกต่อไป นี่เป็นวิธีที่พระพุทธะแนะนำพุทธบริษัทให้กระทำ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 23 พ.ค. 2010, 19:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


๑. ตามที่หลวงปู่เหรียญ ได้เล่าว่า ขณะที่เดินจงกรมร่วมกับหลวงปู่ชอบ ปรากฎว่าได้เกิดแสงสว่าง และปราฎนาค ชื่อว่า เทพนาคาม มารับอนิสงฆ์จากหลวงปู่ชอบ แสดงว่านาคต่าง ๆ รวมทั้งสัตว์ที่ได้กล่าวถึงสมัยก่อน/พุทธกาล ยังมีอยู่ในโลกนี้ แต่รอเวลาที่จะปรากฏขึ้นอีกในภายภาคหน้าใช่หรือไม่ ถ้าใช่อาจารย์พอจะทราบว่าจะปรากฏขึ้นในสมัยของพระพุทธเจ้าองค์ใด

คำตอบ
พญานาคเป็นสัตว์ที่กำเนิดอยู่ในภพเดรัจฉานแต่เป็นสัตว์ที่มีรูปร่างละเอียดเป็นทิพย์ ตาเนื้อตาหนังไม่สามารถสัมผัสได้แต่หากใครผู้ใด เจริญสมถภาวนาจนจิตสามารถเข้าสู่ความตั้งมั่นเป็นฌานได้ โอกาสเห็นพญานาคด้วยทิพพจักษุย่อมเกิดขึ้นได้ เป็นมิติละเอียดที่ซ้อนอยู่ในมิติหยาบบนโลกที่มนุษย์อยู่อาศัยใบนี้


๒. ภาษาที่ใช้ในการสื่อสารระหว่างหลวงปู่ชอบกับนาคเทพนาคาโดยวิธีใด

คำตอบ
สื่อสารกันด้วยพลังงานจิตที่มีขนาดความถี่คลื่นเดียวกัน พระอริยบุคคลผู้มีนิรุตติปฏิบัติปฏิสัมภิทาเกิดขึ้นในดวงจิตสามารถสื่อสารกับสัตว์ที่อยู่ในภพภูมิต่าง ๆ ได้


๓. ในสมัยก่อน/พุทธกาล ก็ได้กล่าวถึงสัตว์ต่าง ๆ มากมาย ใช้วิธีใดในการสื่อสารระหว่างมนุษย์กับสัตว์ต่าง ๆ และสัตว์ต่าง ๆ ด้วยกัน
จึงเรียนมาเพื่อขอคำแนะนำจากอาจารย์ด้วยครับ

คำตอบ
ใช้พลังงานจิตที่พัฒนาดีแล้วเป็นเครื่องมือในการสื่อความหมายกับสัตว์ต่าง ๆ ได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 23 พ.ค. 2010, 19:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดิฉันมีปัญหาที่อยากจะเรียนถามดังนี้ค่ะ
คือมีคนจำนวนไม่น้อยที่มองว่าการนั่งสมาธิ ทำให้กลายเป็นคนไม่มีสติ หรือวิปลาส ดิฉันเคยอ่านคำตอบของท่านอาจารย์เกี่ยวกับเรื่องนี้มาบ้างแล้วค่ะ แต่อยากทราบว่าการที่นั่งสมาธิแล้ววิปลาส เป็นเพราะกรรมเก่าในอดีตส่งผล หรือเป็นเพราะกรรมปัจจุบันคะ



คำตอบ

เหตุที่ทำให้จิตวิปลาส เป็นเพราะจิตขาดสติไปรับสิ่งกระทบไม่ดีมาปรุงเป็นอารมณ์ไม่ดีแล้วจิตยึดมั่น (อุปาทาน) เอาอารมณ์ไม่ดีนั้นมาเป็นของตัวเพราะคิดว่าอารมณ์ไม่ดีเป็นของที่มีอยู่แท้จริงความวิปลาสของจิตจึงเกิดขึ้น สิ่งกระทบไม่ดีเป็นเรื่องของกรรมเก่า การขาดสติเป็นกรรมปัจจุบันทั้งสองทำงานร่วมกันผลไม่ดีจึงเกิดขึ้นครูบาอาจารย์ผู้มีประสบการณ์และฝึกจิตได้ผลมาแล้ว สามารถแก้ปัญหาความเห็นผิดของผู้ปฏิบัติธรรมแบบนี้ได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 23 พ.ค. 2010, 19:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
คำถามที่ 2 ด้วยการไม่ปฏิบัติธรรมอย่างสม่ำเสมอจึงทำให้หนูไปหลงยึดติดกับการใช้ชีวิตทางโลก จึงทำให้ปัจจุบันปฏิบัติได้ไม่ดี แต่ปัจจุบันนี้ได้หวนกลับมาปฏิบัติธรรมอีกครั้ง หนูไม่ปรารถนากลับมาเกิดอีก หนูเจอครูบาอาจารย์กี่คนก็บอกว่าหนูสร้างบารมีในอดีตชาติมามาก ทำไมไม่สานต่อ อย่าให้เสียเวลาที่เกิดมา หนูอยากให้ท่านช่วยแนะนำหนูด้วยว่าควรปฏิบัติอย่างไรจึงตรงตามทางที่ครูบาอาจารย์ปฏิบัติกันมาค่ะ

คำตอบ
คำที่ครูบาอาจารย์แนะนำนั้นถูกต้องแล้ว หากประสงค์นำพาชีวิตให้เป็นอิสระจากโลกธรรมและวัตถุ ซึ่งเป็นสิ่งลวงตาลวงใจทางโลก ต้องเจริญพละ 5 (ศรัทธา วิริยา สติ สมาธิ ปัญญา) ให้มีกำลังกล้าแข็งอยู่ทุกขณะตื่น แล้วปรับสมดุลระหว่างศรัทธากับปัญญาและวิริยากับสมาธิให้มีกำลังใกล้เคียงกัน ส่วนสติต้องเจริญให้มีกำลังมากสุดแล้วมีโอกาสนำพาชีวิตให้พ้นไปจากโลก พ้นไปจากการเวียนตายเวียนเกิด ในวัฏฏสงสารจึงจะมีความเป็นไปได้


1. จากคำถามที่ 537 ข้อ 2 นั้น ท่านตอบว่า ให้เจริญพละ 5 ให้กล้าแข็งทุกขณะตื่น หนูพอจะเข้าใจ แต่ที่ให้ปรับสมดุลระหว่างศรัทธากับปัญญา และปรับวิริยะกับสมาธิ ให้มีกำลังใกล้เคียงกันนั้น ขอความเมตตาจากท่านสอนหนูเพิ่มเติมด้วยนะค่ะ ต้องปฏิบัติอย่างไรบ้างค่ะ

คำตอบ
หากศรัทธามีกำลังมากกว่าปัญญาความอยากรู้อยากเห็นอยากได้อยากเข้าถึงธรรมระดับนั้นระดับนี้จะเกิดขึ้น แก้ไขด้วยการพัฒนาจิตให้มีกำลังของสติให้มาก แล้วพิจารณาความอยากให้เห็นว่าดับไปตามกฎไตรลักษณ์ ปัญญาเห็นแจ้งในความอยากเกิดขึ้น ความอยากจะหมดไปนี่เป็นวิธีการเพิ่มพลังของปัญญาให้เข้ามาใกล้เคียงกับพลังศรัทธา หากมีปัญญามากกว่าศรัทธาความสงสัยในสิ่งต่าง ๆ จะเกิดขึ้น ต้องทำตัวให้เหมือนเป็นคนโง่ไม่ทำตัวให้เหมือนน้ำชาล้นถ้วย ครูบาอาจารย์ชี้แนะให้ปฏิบัติอย่างไรต้องปฏิบัติตามคำชี้แนะให้ได้ทุกเรื่อง มรรคผลของการปฏิบัติธรรมจะเพิ่มขึ้นแล้วความสงสัยจะหมดไป

ถ้ามีกำลังความเพียรมากกว่ากำลังของสมาธิจิตจะคิดฟุ้งไปในเรื่องต่างๆ ต้องเจริญสติให้มากและยาวนานจนจิตมีความตั้งมั่นเป็นสมาธิมาขึ้นความฟุ้งซ่านจากการปรุงอารมณ์ของจิตจะลดลงหรือหากมีสมาธิมากกว่าความเพียรอาการง่วง (ถีนะมิทธะ) จะเกิดขึ้น จึงต้องเร่งความเพียรเช่นเดินจงกรมให้มากและยาวนานขึ้นและกำลังความเพียรกับกำลังสมาธิจึงจะเข้ามาใกล้ ๆ กัน แล้วอาการง่วงเหงาหาวนอนจะหมดไป

ส่วนสติเป็นตัวเดียว ๆ ที่ต้องเจริญให้มากจนเป็นมหาสติได้เมื่อใดแล้ว พละ 5 คือ ธรรมะที่ทำให้เกิดเป็นกำลังของใจจะกล้าแข็งจิตไม่ตกเป็นเบี้ยล่างของมารจากนั้นใช้สติกับปัญญาเห็นแจ้ง (สติสัมปชัญญะ) ส่องนำทางให้กับชีวิต อุปสรรคปัญหาของชีวิตจะลดน้อยถอยลงและหมดไปได้ในที่สุด


2. การเจริญสติให้มีกำลังมากที่สุด คือ การระลึกรู้ในสิ่งที่เป็นปัจจุบัน (อย่างที่หนูเคยปฏิบัติคือระลึกรู้อยู่ที่พุธโธตลอดเวลา หากทำอะไรก็ระลึกอยู่เฉพาะสิ่งที่ทำอยู่ มีอะไรมากระทบที่จิตก็ระลึกรู้ให้เท่าทันถ้าเป็นอารมณ์โกรธก็รู้เท่าทันและดับลงทันที) หนูเคยปฏิบัติอย่างนี้ถูกต้องหรือไม่ หรือท่านมีอะไรแนะนำหนูเพิ่มเติมอีกหรือไม่ค่ะ

คำตอบ
ปฏิบัติถูกแล้ว จงปฏิบัติต่อไปให้เกิดเป็นมหาสติระลึกได้ทันในทุกสิ่งกระทบที่เข้าสัมผัสจิตจะเห็นว่าสิ่งกระทบทั้งหลายดับไปตามกฎไตรลักษณ์จิตจะปล่อยวาง และว่างเป็นอุเบกขาเกิดปัญญาเห็นแจ้งเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนเป็นปภัสสร ต่อไปต้องรักษาความดีที่พัฒนาได้แล้วให้คงอยู่ ด้วยการเจริญพละ 5 อยู่ทุกขณะตื่น


3. วันก่อนหนูนั่งสมาธิ อธิฐานถึงพระพุทธองค์ ว่าทำอย่างไรหนูถึงจะปฏิบัติสานต่อในอดีตชาติได้ สักพักหนูก็รู้สึกขึ้นมาเป็นคำตอบที่ใจว่า "ให้ปฏิบัติแบบสละเป็นสละตายจึงจะพบธรรมะอันเป็นหนทาง" สิ่งที่หนูรู้สึกขึ้นมาที่ใจนี้เป็นหนทางที่ถูกต้องแล้วใช่ไหมค่ะ ขอคำแนะนำวิธีปฏิบัติด้วยค่ะ จะได้ไม่หลงทางอีก

ด้วยความเคารพอย่างสูง...กราบสวัสดีค่ะ

คำตอบ
การอยากไปรู้เรื่องในอดีต ไม่ใช่วิสัยของผู้รู้จริงแต่ผู้รู้จริงสามารถอธิษฐานยอมตายเพื่อให้เข้าถึงธรรมะของพระพุทธะได้ฉะนั้นควรปรับความเห็นที่ผิดให้เปลี่ยนมาเป็นเห็นถูกตามธรรม

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 23 พ.ค. 2010, 19:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เป็นบาปไหม

การที่แพทย์ บางครั้งเจอคนไข้ที่สิ้นหวัง(ได้ให้การรักษาเต็มที่แล้ว) ถ้ารักษาต่อไปก็อาจจะรอดอย่างพิการ หรือ ตาย จึงลดอุปกรณ์หรือยาช่วยเหลือออก และคนไข้เสียชีวิตไป ถือว่าเป็นบาปหรือไม่

คำตอบ

ลดความช่วยเหลือคนไข้ด้วยการลดอุปกรณ์ลดยา เป็นสัมมาทิฏฐิทางโลก คนไข้ตายด้วยกรรมของเขาเองผู้ช่วยเหลือมิได้ประพฤติผิดศีล ไม่ถือว่าเป็นบาป แต่ผู้ที่นำตัวเข้าไปมีส่วนร่วมในกระบวนกรรมของคนไข้ จะได้รับผลต่อเมื่อเจ้าหนี้เวรกรรมของคนไข้ผูกพยาบาทกับผู้ให้การช่วยเหลือ ฉะนั้นวิธีดีที่สุดผู้ให้การช่วยเหลือต้องประพฤติบุญกิริยาวัตถุ 10 อยู่เสมอแล้วอุทิศบุญกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวรเรื่อยไปเพื่อให้เวรกรรมตามไม่ทัน

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 23 พ.ค. 2010, 19:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หนูมีขอสอบถาม อ.ค่ะ อ.บอกว่า ถ้าอย่างเจอพระดีให้อธิษฐานเอา เช่น ก่อนใส่บาตรให้อธิษฐานเอาว่าขอให้เจอพระสุปันฏิปันโน หนูก็ทำตามที่อ.บอกนะคะ แต่มีคนบอกหนูว่า อธิษฐานอย่างไรก็ไม่ถึงหรอกแรงอธิฐานของเรามันน้อย เราต้องไปแสวงหาพระดี ถ้าเราทำบุญกับพระที่ไม่ดี เราจะไม่ได้บุญหรือว่าได้น้อยมากหนูทราบค่ะว่าการทำบุญถ้าทำกับเนื้อนาบุญที่ดีเราก็จะได้บุญเยอะกว่า แต่หนูคิดว่า หนูทำบุญหรือทำดี อะไรก็แล้วแต่หนูไม่เคยคิดว่าจะได้บุญเยอะหรือได้น้อยเท่าไรหนูคิดว่าหนูทำบุญหรือทำดี เพราะต้องการและมันก็เป็นความดี เป็นสิ่งที่ต้องทำ สมควรจะทำ ทำแล้วเราไม่เดือดร้อน เราสะดวกที่จะทำ มีโอกาสทำ ทำแล้วสบายใจ ไม่เคยคิดว่าจะได้รับผลตอบแทนอย่างไร แรงอธิษฐานของหนูมีโอกาสเป็นไปได้หรือเปล่าคะ หนูก้เลยสับสนกับสิ่งที่คิดและก็กระทำอยู่

ขอบพระคุณ อ.อย่างสูง ขอให้คุณพระศรีรัตนตรัยคุ้มครองท่าน อ.ให้มีสุขภาพพลานามัยที่แข็งแรงนะคะ

คำตอบ

ผู้ที่บอกว่า “ อธิษฐานอย่างไรก็ไม่ถึงหรอก ” เป็นความเห็นถูกของคนที่บอก แต่ไม่ถูกของคนที่ดำเนินตามแนวทางของพระพุทธะ ผู้อธิษฐานหากมีศีลและสัจจะคุมใจได้แล้วคำอธิษฐานจะศักดิ์สิทธิ์ และได้สมดังที่อธิษฐานไว้ ดังตัวอย่างของพระอานนท์ อดีตได้อธิษฐานเป็นพุทธปัฏฐากของพระพุทธะองค์ใดองค์หนึ่ง จึงได้เป็นพุทธอุปัฏฐากของพระสมณโคดม ยโสธรา (พิมพา) อดีตได้อธิษฐานเป็นบาทบริจาริกาและอธิษฐานบรรลุธรรม ผลได้เป็นพระชายาของเจ้าชายสิทสัตถะและได้บรรลุธรรมเป็นภิกษุณีอรหันต์ อุบลวรรณาอดีตเคยอธิษฐานขอมีฤทธิ์จึงได้เป็นภิกษุณีอรหันต์ที่มีฤทธิ์สมดังคำอธิษฐาน ฯลฯ

ฉะนั้นหากคุณได้ตั้งอธิษฐานไว้แล้วเมื่อใดที่เหตุปัจจัยถึงพร้อมความสมปรารถนาตามคำอธิษฐานย่อมเกิดขึ้นได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1521 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 26, 27, 28, 29, 30, 31, 32 ... 102  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร