วันเวลาปัจจุบัน 27 ส.ค. 2025, 03:29  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 1521 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 28, 29, 30, 31, 32, 33, 34 ... 102  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 24 พ.ค. 2010, 01:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


จากการถามและท่านตอบปัญหาธรรมะ รวมทั้งได้อ่านหนังสือธรรมะของท่าน ทำให้ดิฉันสามารถทราบถึงปัญหาและทางแก้ไขที่ทำให้ดิฉันนั่งสมาธินิ่งได้ยากไม่เหมือนเมื่อก่อน จนปัจจุบันดิฉันได้ปฏิบัติตามที่ท่านชี้แนะ สังเกตได้ว่าดิฉันสามารถนั่งสมาธินิ่งได้เร็วขึ้น (ท่านสอนแก้ได้ถูกจุดมาก) ถึงแม้ดิฉันยังไม่เคยมีโอกาสได้ไปกราบท่านด้วยตนเอง แต่ดิฉันก็คิดเสมอว่าดิฉันขอนับถือท่านเป็นครูบาอาจารย์ เนื่องจากสมัยก่อนดิฉันได้รับการสอนธรรมะจากหลวงปู่มหาปราโมทย์ (วัดป่านิโครธาราม) แต่ปัจจุบันท่านละสังขารไปแล้ว ดิฉัน จึงไม่ทราบจะถามธรรมะจากท่านไหนได้ วันนี้ ดิฉันมีคำถามเพิ่มเติมจากที่ท่านได้สอนไว้

1) เราจะทราบได้อย่างไรว่าสมาธิของเราเข้าไปในขั้น อุปจารสมาธิ มีอะไรเป็นสัญญาณบอกหรือไม่ และตามที่ท่านสอนว่าสมาธิที่จะนำไปเจริญวิปัสสนาได้ต้องเป็นสมาธิระดับกลาง (อุปจารสมาธิ) เราสามารถนำสมาธินั้นไปเจริญ สติปัฏฐานสี่ ได้นั้น นำไปใช้อย่างไรค่ะ ขอท่านกรุณาอธิบายและยกตัวอย่างให้ละเอียดขึ้นอีกสักนิด

คำตอบ
สมาธิเป็นความตั้งมั่นของจิต สมาธิจะเกิดขึ้นได้ต้องพัฒนาสติให้เกิดขึ้นได้ก่อน จิตที่ตั้งอยู่ในความดีงามคืออย่างน้อยมีศีล 5 คุมใจอยู่ทุกขณะตื่นเมื่อนำจิตมาพัฒนาแล้วจะเข้าถึงความตั้งมั่นเป็นสมาธิได้ง่ายและยิ่งมีกุศลกรรมบท 10 คุมใจ จะทำให้จิตเข้าเป็นสมาธิไดง่ายยิ่งขึ้น ความตั้งมั่นของจิตระดับต้น (ขณิกสมาธิ) มีปีติเป็นเครื่องบ่งบอก เช่นอาการขนลุกตั้งชัน น้ำตาไหล คันตามแขนตามหน้าเหมือนมีแมลงตัวเล็ก ๆ ไต่ รู้สึกแปลบ ๆตัวฟูตัวเบา โยกเยกวุบคล้ายตกจากหน้าผา ฯลฯ เมื่อจิตมีความตั้งมั่นสูงยิ่งขึ้นเป็นอุปจารสมาธิอาการดังกล่าวจะหายไปแต่ปรากฏมีผัสสะเกิดขึ้นสิ่งที่ส่งเข้ากระทบจิตเป็นผัสสะ เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับกายเกี่ยวกับเวทนาเกี่ยวกับจิตปรุงอารมณ์ หรือเกี่ยวกับธรรมโดยเฉพาะนิวรณ์ธรรม (ความพอใจในกามคุณ คิดร้ายผู้อื่น ความหดหู่ซึมเซา ความฟุ้งซ่านรำคาญและความลังเลสงสัย) ต้องตามดูผัสสะเหล่านี้ด้วยจิตที่มีความตั้งมั่นว่า ผัสสะที่เกิดขึ้นเป็นไปตามกฎไตรลักษณ์ (อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา) เมื่อใดที่ผัสสะเข้าสู่ความเป็นอนัตตา จิตจะเห็นแจ้งในสิ่งที่เข้ากระทบจิต ว่าไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนคือไม่มีตัวตนแท้จริง จิตจะปล่อยวางแล้วเกิดความอิสระ หากตามดูจนเห็นแจ้งได้อย่างนี้ในทุกผัสสะแล้วมีอุเบกขารมณ์เกิดขึ้น นี่เป็นวิธีนำสติในระดับอุปจารสมาธิไปพิจารณาสิ่งทั้งหลาย (กาย เวทนา จิต ธรรม) ให้รู้เห็นเท่าทันตามที่เป็นจริงได้แล้ว จิตจะไม่ถูกครอบงำด้วยความยินดียินร้าย ที่ทำให้เห็นผิดเห็นเพี้ยนไปจากความเป็นจริงตามอำนาจของกิเลสบงการ

2) เวลาของการนั่งสมาธิ มีเวลาที่ถูกกำหนดหรือไม่ เพราะเคยมีคนสอนว่าอย่านั่งสมาธิเกิน 2 ทุ่ม และถ้าจะนั่งตอนเช้าให้นั่งเมื่อพระอาทิตย์เริ่มขึ้นแล้ว เนื่องจากถ้านั่งสมาธิเกินสองทุ่ม หรือดึกมาก ๆ เทพเทวดาที่เขาจะอนุโมทนาจะไม่อยู่แต่จะเป็นพวกสัมภเวสีอยู่แทน ดิฉัน ก็สงสัยว่าทำไมต้องจำกัดเวลา สมัยหลวงปู่มั่นท่านนั่งสมาธิท่านก็ยังนั่งหลังเที่ยงคืนได้ ( หรือยกเว้นเฉพาะพระ ) คำสอนนี้เชื่อได้หรือไม่ ขอคำสอนที่ถูกต้องด้วยค่ะ

คำตอบ
คนที่สอนว่าอย่านั่งสมาธิเกินสองทุ่มนั้นเป็นความเห็นถูกเฉพาะตัวของเขาไม่ใช่เป็นความเห็นถูกตามธรรมคนที่มีความเห็นถูกตามธรรมเห็นว่า “ การทำความดีไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา ” ขณะใดมีความพร้อมสามารถปฏิบัติธรรมได้ทุกเมื่อ และทำไมยังต้องเลือกให้ทาน (อุทิศบุญ) ให้เฉพาะเทวดาไม่ให้แก่สัมภเวสี ผู้ใดมีเมตตาไม่ประมาณสามารถอุทิศบุญกุศล ให้กับสรรพสัตว์ที่สามารถมาอนุโมทนาบุญได้ ทั่วสังสารวัฏ

3) จากที่ท่านสอนเรื่องการอุทิศส่วนบุญส่วนกุศล ปัจจุบัน แฟนดิฉันเป็นโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ (คุณหมอเรียกแบบนี้) นานๆ หลายเดือน จึงจะเกิดอาการ ดิฉัน ได้ใช้วิธีหลังจากสวดมนต์นั่งสมาธิ อุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวรที่ทำให้เขาต้องเจ็บป่วยด้วยโรค ดังกล่าว แล้วดิฉันก็บอกกับแฟนทุกครั้งหลังอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรของเขา ว่าอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรของเขาแล้วนะ เขาก็จะบอกอนุโมทนา ดิฉัน ก็บอกเขาว่าหลังจากอนุโมทนาแล้วขอให้เขาทำจิตให้นิ่งแล้วระลึกถึงเจ้ากรรมนายเวรของเขาว่ากุศลที่ดิฉันทำให้ขอให้เจ้ากรรมนายเวรได้รับ ขอให้เจ้ากรรมนายเวรมีความสุข พ้นจากความทุกข์ พ้นจากความทรมาน หากต้องไปเกิดขอให้ไปเกิดในที่ที่ดี พบพระพุทธศาสนามีสัมมาทิฐิ แล้วขอให้อโหสิกรรมให้เขาด้วย ( วิธีนี้ ดิฉันเลี่ยงที่จะไม่อุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้กับตัวแฟน เนื่องจากท่านดร.สนอง สอนว่าถ้าให้ผู้ที่เจ็บป่วยแล้วเขาอาการดีขึ้น เจ้ากรรมนายเวรจะโกรธเรา แล้วเราจะได้รับบาปจากการอาฆาตของเจ้ากรรมนายเวรนั้นด้วย) วิธีนี้ดิฉันทำถูกต้องแล้วหรือไม่ เพราะดิฉันสงสัยว่าทำไมจากที่อาการหัวใจเต้นผิดจังหวะนานหลาย ๆ เดือน จะเป็นสักครั้ง แต่ปัจจุบัน เป็นอาทิตย์ละครั้ง ( จากที่ดิฉัน หาคำตอบเองจึงคิดไปว่า วิธีอาจจะถูก แต่เนื่องจากที่เกิดอาการถี่ขึ้นเนื่องจากเจ้ากรรมนายเวรของเขา เตือนว่าให้ส่งกุศลให้อีกเยอะ ๆ หรือไม่ ) ที่ดิฉัน คิดเช่นนี้เพราะไปเปรียบเทียบกับ เจ้าหนี้ ตามทวงหนี้ หากลูกหนี้ไม่มีเงินจะใช้หนี้ มาทวงก็เสียเปล่า พอตอนนี้ลูกหนี้เริ่มมีเงิน
ก็รีบ ๆ เร่งทวงหนี้ (เจ้ากรรมนายเวรของเขา ดิฉัน คิดว่าเป็น "กบ" เนื่องจากดิฉันสอบถามเขาว่าตั้งแต่เด็กเกิดมาพอจะจำได้ไหมว่าไปทำร้ายสัตว์อะไรไว้บ้าง เขาบอกว่าตอนเรียนมหาวิทยาลัย มีการทดลองผ่ากบเป็นๆ แล้วเมื่อเขาผ่ากบ เขาก็เอาอะไรสักอย่างไปจี้ๆ ตรงหัวใจกบ ) ดิฉัน จึงมีความมั่นใจมากว่าเจ้ากรรมนายเวรในชาตินี้เกี่ยวกับโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ ต้องเป็นกบแน่นอน ดิฉัน จึงคิดเพิ่มเติมนอกเหนือจากอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร (กบ) แล้ว ดิฉันจะชวนให้เขาไปปล่อยชีวิตสัตว์ โดยจะไปซื้อกบที่จะถูกฆ่าไปปล่อยอีกด้วย



คำตอบ
จิตของผู้ใดระลึกได้ถึงการเบียดเบียน ที่เป็นต้นเหตุให้เกิดเป็นความเจ็บป่วย แสดงว่าเขาผู้นั้นมีบุญจึงถูกเจ้าหนี้เวรกรรมตามทวงใช้หนี้ ผู้ที่เจ็บป่วยหากมีศรัทธาในปัญญาของผู้รู้และมีความไม่ประมาทในชีวิตของตนเองควรสร้างบุญใหญ่ให้เกิดมีขึ้นกับตัวเอง แล้วอุทิศบุญที่ตนมีใช้หนี้ให้กับเจ้ากรรมนายเวรที่เขาตามมาทันบุญใหญ่สุดที่บุคคลสามารถทำได้คือบุญที่เกิดจากการปฏิบัติจิตตภาวนา บุญประเภทนี้มีพลังอำนาจมากสามารถส่งผลผลักดันผู้มีบุญให้เข้าถึงพระนิพพานได้ ดังนั้นผู้มีเชื้อของนิพพานสมบัติอยู่ในจิตวิญญาณเมื่อส่งอุทิศบุญกุศลให้แก่เจ้ากรรมนายเวรเมื่อเขามาอนุโมทนาบุญเขาจะได้รับอานิสงส์ของบุญมาก แล้วการใช้หนี้เวรกรรมที่เคยผูกกันไว้จะจบลงได้ง่าย ซึ่งผู้รู้และมีความไม่ประมาทในชีวิตเขานิยมประพฤติปฏิบัติกัน จึงได้นำเสนอมาให้พิจารณาตามกำลังสติปัญญาของผู้อ่านซึ่งจะบริหารจัดการแก้ไขปัญหาแบบนี้อย่างใดเป็นเรื่องที่ต้องกระทำด้วยตัวเอง

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 24 พ.ค. 2010, 01:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1. ปัจจุบันปฏิบัติธรรมและรู้สึกว่ากิเลสเบาบางลงเรื่อยๆ สังเกตตนเองเป็นคนชอบแผ่เมตตาและอุทิศบุญที่เกิดทั้งจากทาน ศีล และภาวนา อุทิศไปทั่วทุกภพทุกภูมิ และมักระลึกหลังจากอุทิศบุญกุศลไปแล้วว่าขอให้ข้าพเจ้าเป็นผู้ที่พรั่งพร้อมไปด้วยกำลังกาย กำลังวาจา กำลังใจ กำลังสติปัญญา และกำลังทรัพย์ โดยไม่มีประมาณ ขอให้ข้าพเจ้าได้เกื้อกูลดูแลพ่อแม่ให้ท่านได้ถึงมรรคผลในชาตินี้ ขอให้ได้ดูแลพ่อแม่ ครูบาอาจารย์ ให้มีความสุขกายสุขใจตราบจนสิ้นชีวิตไป และให้ได้ใช้กำลังทุกชนิดทั้งหมดที่มีเพื่อเกื้อกูลชาวโลกและชาวสังสารวัฏทั้งในทางโลกและทางธรรมได้ตามปรารถนาทุกประการจนกว่าตนเองจะสิ้นชาติขาดภพไป ขณะที่ระลึกอธิษฐานนั้นจิตใจเป็นเช่นนั้นจริงๆ อาจารย์กรุณาแนะนำด้วยค่ะว่าเป็นการอธิษฐานที่ดีพอหรือยัง หรือควรแก้ไขตรงจุดใดค่ะ รวมทั้งจะส่งเสริมกำลังทุกชนิดให้ได้ทีละมากๆอย่างไรบ้างคะ โปรดชี้ทางค่ะ

คำตอบ
อธิษฐานหมายถึงความตั้งจิตปรารถนาในสิ่งเป็นกุศล บุคคลสามารถตั้งจิตอธิษฐานได้ เมื่ออธิษฐานแล้วต้องประพฤติเหตุให้ถูกตรงกับคำอธิษฐาน ผลสัมฤทธิ์จึงจะเกิดขึ้นได้ตัวอย่างเช่น พระพากุละ อธิษฐานไม่อาพาธ เพียงอย่างเดียวยังต้องใช้เวลาสร้างเหตุให้ถูกตรง ยาวนานถึง 4 พุทธันดร คือ นับแต่พระอโนมทัสสี พระปทุมตตระ พระวิปัสสี พระกัสสปะ และมาสัมฤทธิ์ผลได้อาพาธได้ในสมัยของพระพุทธโคดม ฉะนั้นการอธิษฐานเพื่อให้เกิดผลสำเร็จสมความปรารถนาในหลายด้านสามารถทำไม่เมื่อผู้อธิษฐานไม่มีเวลาเป็นเครื่องจำกัด

ที่ถามไปว่าการอธิษฐานนั้นดีพอหรือยัง ต้องตอบด้วยคำถามที่ว่า ดีพอสำหรับใคร ซึ่งแต่ละคนมีปรารถนาไม่เหมือนกันและมีไม่เท่ากัน จึงไม่อาจนำมาเทียบกันได้

ปรารถนามีกำลังกายโดยไม่มีประมาณ ต้องรักษาศีลข้อแรกไว้ให้ได้ทุกภพชาติ แล้วให้อาหารหลากหลายเป็นทานบารมีธรรมดา เป็นทานอุปบารมี เป็นทานปรมัตถบารมีแก่สรรพสัตว์โดยไม่มีประมาณ เมื่อเหตุปัจจัยลงตัวแล้ว ความปรารถนามีกำลังกายโดยไม่มีประมาณจึงจะเกิดขึ้นได้

ปรารถนามีกำลังวาจาโดยไม่มีประมาณต้องบำเพ็ญศีลขั้นศีลบารมีธรรมดา ขั้นศีลอุปบารมี ขั้นศีลปรมัตถบารมี บำเพ็ญสัจจขั้นสัจจบารมีธรรมดา สัจจอุปบารมี สัจจะปรมัตถบารมี เมื่อเหตุปัจจัยลงตัวแล้วความปรารถนามีกำลังวาจาโดยไม่มีประมาณจะเกิดขึ้นได้

ปรารถนากำลังใจโดยไม่มีประมาณ ต้องบำเพ็ญพละ 5 คือมีศรัทธาเต็มร้อย บำเพ็ญวิริยาขั้นวิริยบารมีธรรมดา วิริยอุปบารมี วิริยปรมัตถบารมีและต้องบำเพ็ญสติจนเป็นมหาสติ ระลึกได้ทุกลมหายใจเข้าระลึกได้ทุกลมหายใจเข้า-ออก บำเพ็ญสมาธิให้จิตมีความตั้งมั่น ได้จนถึงระดับสมาบัติ 9 (รูปฌาน 4 + อรูปฌาน 4 + นิโรธสมาบัติ) และสุดท้ายบำเพ็ญขั้นปัญญาบารมีธรรมดา ปัญญาอุปบารมีปัญญาปรมัตถบารมี เมื่อกำลัง 5 อย่างนี้มีเหตุปัจจัยลงตัวแล้วผู้ประพฤติจะมีกำลังใจได้ไม่มีประมาณ

ปรารถนามีกำลังทรัพย์โดยไม่มีประมาณ ต้องให้ทรัพย์เป็นทานขั้นทานบารมีธรรมดา ทานอุปบารมี ทานปรมัตถบารมี เมื่อเหตุปัจจัยลงตัวการมีทรัพย์โดยไม่มีประมาณจึงจะเกิดขึ้นได้

ที่กล่าวมาข้างต้นทั้งหมดเป็นมนุษย์สมบัติที่สามารถนำมาใช้ได้เท่าที่ยังมีรูปนามอยู่ในภพมนุษย์เป็นทรัพย์กำพร้าตายแล้วนำติดตัวไปเกิดใหม่ไม่ได้ ผู้รู้จึงปฏิเสธโลกิยสมบัติ (มนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ พรหมสมบัติ) แล้วแสวงหานิพพานสมบัตินั้นประเสริฐสุด เพราะกำจัดความหลงอันมีต้นเหตุมาจากอวิชชาลงเสียได้

2. มีเรื่องยังแก้ไม่สำเร็จ เวลาได้พบกับบุคคลที่เคารพ เช่นครูบาอาจารย์ ใจเลื่อมใสท่านและสอบถามธรรมจากท่านเสมอ แต่บางครั้งจิตแว่บไปคิดเรื่องลามกกับท่าน ซึ่งพอรู้ทันมันหายไปทันทีและขอขมาครูอาจารย์ทันทีในใจ แต่มันยังเกิดอยู่ เกิดจากกรรมเก่าใช่หรือไม่คะ มีความคิดว่าจะไปกราบขอขมาต่อหน้าพระพุทธรูปว่าหากเคยคิดล่วงเกินครูบาอาจารย์ไว้ ณ เมื่อใดก็ตาม ก็ขอขมาลาโทษ ขอให้ท่านอโหสิกรรมให้ เช่นนี้อาจารย์มีข้อแนะนำเพิ่มเติอย่างไรคะ ขอบคุณอาจารย์มากค่ะ

หนูชอบมากเวลาอาจารย์สอนให้คนใช้ขันติธรรมในการแก้ปัญหาที่กำลังประสบอยู่
ขออนุโมทนากับท่านอาจารย์และขอให้ได้ร่วมทำบุญใหญ่กับอาจารย์ในกาลอันใกล้นี้ค่ะ

คำตอบ
หากไปขอขมากับผู้ที่ถูกล่วงเกินได้และเขายกโทษให้ จะเกิดเป็นความมั่นใจได้มากกว่า หากขอขมาโดยตรงไม่ได้ ต้องขอขมาทางอ้อมด้วยการกล่าววาจาต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เช่นพระพุทธรูป พระธาตุเจดีย์ พระธรรมเจดีย์ฯลฯ อ้างเอาสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นหลักฐานการสารภาพผิดและตั้งความปรารถนาว่าจะไม่ทำผิดกับครูบาอาจารย์อีกต่อไป แล้วต้องสร้างเหตุให้ถูกตรงด้วยการทำจิตให้มีสติ มีศีล 5 มีสัจจะ คุมใจให้ได้ทุกขณะตื่น

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 24 พ.ค. 2010, 01:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1. การถือศีลแปดนั้นต้องทำตัวอย่างไรครับ? เพราะผมก็ยังทำงานอยู่ คงต้องแต่งตัวทำงานปกติ มันรู้สึกว่าขัดกับข้อ มาลาคันธะ วิเลปานะฯ. เพราะของที่ใช้ก็ยังสวยงามอยู่ครับ
แต่ผมก็พยายามเลี่ยงใส่อะไรที่เรียบร้อยที่สุด อย่างนี้ถือว่าผิดศีลหรือไม่ครับ?

2. ขณะถือศีล หากเดินทางจุดที่เขาเปิดเพลงเสียงดัง ถ้าเรากำหนดรู้ทันแบบนี้ถือว่าศีลไม่ขาด ผมเข้าใจถูกหรือไม่ครับ?

3. ผมถือศีลแปด ในวันพระ ทำมาได้หลายครั้งแล้ว แต่ทุกครั้งที่ทำ กลางคืนก็จะรู้สึกหิวแต่ก็กำหนดหิวหนอ ในเช้าวันรุ่งขึ้น ผมมักพบว่าถ่ายอุจจาระเป็นสีดำปนเขียว
ผมเกรงว่าทำต่อไปจะทำให้ร่างกายเจ็บป่วย ขอรบกวนท่านอาจารย์แนะนำด้วยครับ

ผมซาบซึ้งในบุญคุณของอาจารย์มากครับ

ขอบพระคุณครับ

คำตอบ
(1) ถือศีล 8 ในวันที่ไม่ต้องออกไปทำงานจะได้ไม่ประพฤติผิดศีลข้อ “ มาลาคนฺธ วิเลปนฯ ” ส่วนวันไหนที่ต้องออกไปทำงานถือศีล 5 ข้อน่าจะพอแล้ว หากทำได้ตลอดชีวิตจะมีโอกาสไม่ต้องลงไปเกิดเป็นสัตว์ในทุคติภพ

หากยังต้องสวมใส่เครื่องประดับตกต่าง เช่น สวมแหวนเรียบๆ สวมนาฬิการาคาถูกแต่บอกเวลาได้ถูกตรง สวมเชือกห้อยเพราะไว้ที่คอ ฯลฯ ยังถือว่าประพฤติผิดศีล 8 ได้

(2) หากรู้ทันแล้วจิตไม่เอาเสียงเพลง เข้ามาปรุงแต่งจิตให้เกิดเป็นอารมณ์อย่างนี้ถือว่าศีล 8 ไม่บกพร่อง

(3) ถือศีล 8 แล้วรู้สึกหิวในตอนกลางคืนความรู้สึกหิวเป็นทุกขเวทนาเป็นบาป ที่เกิดจากการประพฤติไม่เหมาะกับร่างกาย ฉะนั้นเดินสายกลางดีที่สุด

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 24 พ.ค. 2010, 02:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดิฉันอยากรบกวนถามเกี่ยวกับแนวความคิดเรื่องของการพ้นจากความทุกข์ที่ได้ประสบดังนี้คะ

ดิฉันคบกับแฟนมาประมาณ 6 ปี มีแผนว่าจะแต่งงานกันปลายปีนี้ ดิฉันรักเค้ามากและจะยึดติดกับเค้าตลอด คิดเสมอว่าอยากอยู่กับเค้าจนแก่จนเฒ่า แต่อยู่ๆแฟนก็ได้หนีไปอยู่ต่างประเทศ และบอกว่าอยู่กับดิฉันไม่ได้แล้ว เหตุเป็นเพราะดิฉันเป็นคนเจ้าอารมรมณ์ เอาแต่ใจตัวเอง ไม่ยอมรับฟังความคิดเห็นจากเค้า ทำให้เค้าเก็บกดและทนดิฉันไม่ไหวแล้วได้หนีไป

ดิฉันยอมรับว่าดิฉันเป็นเช่นนั้นจริง และพยายามขอกลับมาคืนดีแต่ไม่เป็นผล

พี่เขยจึงแนะทางพระพุทธศาสนาว่าให้มองว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาของสัตว์โลกนี้ ไม่มีใครอยู่กับใครได้ตลอดชีวิต และให้ดิฉันยอมรับสภาพว่าตอนนี้ได้เลิกกับเค้าแล้ว แต่ในใจยังรับสภาพไม่ได้ เพราะไม่คิดว่ามันจะเกิดขึ้นกับตัวเอง (ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าเค้าจะทำอย่างนี้) แต่เรา 2 คนจากกันโดยไม่ได้โกรธกัน

ช่วงนี้พยายามนั่งสมาธิและสวดมนต์ (คาถาชินบัญชร) บางวันสามารถนั่งได้จนจิตมันว่างและมีความสุขมาก แต่บางวันนั่งเท่าไหร่ก็ไม่เกิดสมาธิ เพราะมีเรื่องของเค้าเข้ามาในจิตใจ จิตใจมันก็แว๊บคิดถึงแต่เค้า และเสียใจที่เหตุการณ์เป็นอย่างนี้ เสียดายที่ต้องจากเค้าไป (เค้าเป็นคนดี) และรู้สึกเหงาเมื่อต้องอยู่คนเดียว

จึงอยากรบกวนขอแนวความคิดที่จะทำให้ดิฉันพ้นทุกข์ และไม่ยึดติดกับเค้า ดิฉันอยากมีชีวิตที่อยู่ได้อย่างมีความสุข (พยายามใช้หลักอริยสัจ 4 แต่ไม่เข้าใจหลักการของนิโรธ มรรค)

ป.ล.บางครั้งที่พี่เขยให้คำแนะนำเกี่ยวกับเรื่องนี้โดยใช้หลักพระพุทธศาสนา ดิฉันจะเข้าใจที่พี่เขยพูด และทำได้อยู่ระยะหนึ่ง แต่ทำไมความรู้สึกเข้าใจ ถึงไม่ได้อยู่กับดิฉันตลอดคะ อารมณ์ยังขึ้นๆลงอยู่

ขอขอบพระคุณคะ

คำตอบ
สิ่งที่พี่เขยแนะนำ แล้วยังเกิดอารมณ์ขึ้น ๆ ลง ๆ นั่นแสดงว่า ความศรัทธาในคำแนะนำยังไม่เต็มร้อย สติยังมีกำลังอ่อน ต้องปรับแก้ไขสองเหตุนี้ให้ได้ แล้วอารมณ์ทุกข์เกี่ยวกับเรื่องนี้จะหมดไป

ส่วนการพิจารณาจิตให้พ้นไปจากความทุกข์ และไม่ยึดติดกับเขาคนนั้น คุณต้องไปพิจารณาดูซากศพเพศชาย ที่นอนขึ้นอืดบวมพองมีสีเขียวคล้ำมีกลิ่นเหม็นเน่าเหม็นเขียวมีน้ำเหลืองไหลออกทางปากทางจมูกทางรูหู มีหนอนไต่ยั้วเยี้ยดูจนเห็นสัจจธรรมของร่างกายว่าแท้จริงประกอบขึ้นด้วยสิ่งปฏิกูลที่มีหนังห่อหุ้มปิดบังไว้ เมื่อเห็นแจ้งชัดดังนี้ จิตจะหลุดเป็นอิสระจากราคะตัณหา แล้วความทุกข์จากการเห็นผิดในเรื่องดังกล่าวจะหมดไป

เรื่องลักษณะนี้ได้เกิดขึ้นในครั้งพุทธกาล ที่พระพุทธโคดมได้นำสงฆ์สาวกไปดูศพขึ้นอืดมีกลิ่นเหม็นมีสีเขียวคล้ำของอดีตสาวงามสิริมา จนพระสงฆ์ที่เคยมีจิตเป็นทาสของราคะมีจิตหลุดเป็นอิสระหลังจากที่ได้เห็นความจริงแท้ของร่างกายของสาวงามที่ตัวเองหลงรักจนไม่เป็นอันได้ปฏิบัติธรรม แล้วกลับมาสู่การพัฒนาจิตได้เป็นปรกติ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 24 พ.ค. 2010, 02:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1. น้องชายทำอัตวินิบาต ทางบ้านเคยทำพิธีเชิญวิญญาณ ซึ่งผู้ทำพิธีแจ้งว่า ไปเกิดแล้ว แต่อ่านคำตอบของคนอื่นเทียบเคียงแล้ว น้องชายยังเป็นสัมภเวสี ใช่ไหมค่ะ

2. น้องชายมีทรัพย์สินพอสมควร ดิฉันจะทำอย่างไรเขาถึงจะได้บุญใหญ่ที่พอจะทำให้บาปที่เกิดจากการกระทำของเขา หรือบุญใหญ่ที่นำหน้าบาปที่เขาทำได้ จะใช้ทรัพย์สินของเขาร่วมสร้างสถานที่ปฏิบัติธรรม หรือใช้เงินของดิฉันทำให้เขาในชื่อของเขา หรือดิฉัน หรือคุณแม่ นั่งวิปัสสนาแล้วแผ่อุทิศส่วนกุศลให้เขา และตอนนี้เขายังอยู่รับบุญกุศล หรือลงอบายเพื่อรับกรรมแล้วค่ะ อาจารย์ชี้แนะให้ด้วยค่ะ



คำตอบ
(1) มิได้เป็นสัมภเวสีแต่ไปเกิดแล้วเป็นสัตว์อยู่ในภพนรก

(2) สัตว์นรกเสวยอกุศลวิบากที่เป็นความทุกข์ล้วน ๆ ไม่มีโอกาสมาอนุโมทนาบุญที่มีผู้อุทิศส่งไปให้ได้ เขาเป็นครูสอนใจให้ผู้อยู่หลังอย่าประพฤติเช่นเขา เพราะเมื่อประพฤติแล้วเป็นการปิดโอกาสทำความดีอีกยาวนาน จนกว่าจะพ้นจากทุคติภพ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 24 พ.ค. 2010, 02:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1. ถ้าหากเราเคยอาฆาตแค้นผู้ที่เคยทำไม่ดีต่อเรา โดยการใช้คำพูดในทางสาบแช่ง ปัจจุบันรู้สึกผิดไม่ทราบว่าจะแก้ไขได้อย่างไรครับ เนื่องจากกลัวบาปที่เขาตกต่ำลงอย่างที่เราเคยว่าไว้

2. เนื่องจากเทคโนโลยีในปัจจุบันที่พัฒนามากขึ้น แต่คนเรากลับใช้ในทางไม่ถูกต้องเช่น อินเตอร์เนต ที่มีการใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์พูดคุยกับคนอื่นๆและสามารถเห็นหน้าตาของคู่สนทนาได้ (ชื่อโปรแกรม Camfrog) ซึ่งจะมีการอวดรูปร่างของตนเอง โชว์ของสงวนต่างๆ ผ่านกล้องที่ติดตั้งที่คอมพิวเตอร์ของตนเอง ทำให้คนที่เข้าไปดูมีอารมณ์ร่วมเกิดอารมณ์ทางเพศ อย่างนี้คนที่โชว์และคนที่ดูจะมีบาปและได้รับบาปกรรมอย่างไรครับ และถ้าเราได้เข้าไปดูแล้วจะเป็นการผูกกรรมกับคนๆนั้นหรือไม่ครับ

ด้วยความเคารพและขอบพระคุณอย่างสูงครับ

คำตอบ
(1) ความคิดอาฆาตแค้นเป็นอกุศลมโนกรรมการพูดสาปแช่งเป็นอกุศลวจีกรรม ผู้ใดประพฤติแล้วถือได้ว่าเป็นการสร้างทางสู่การเกิดเป็นสัตว์ในภพนรก เมื่อเห็นว่าผิดแล้วประสงค์จะแก้ไขต้องไปกล่าววาจายกเลิกต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์เช่นพระรัตนตรัย แล้วต้องประพฤติกุศลกรรมบท 10ให้มีอยู่กับใจให้ได้ทุกขณะตื่น

(2) คนที่โชว์และคนที่ดูมีจิตเป็นทาสของกามราคะ ถือได้ว่าประพฤติอกุศลกรรมร่วมกันเมื่อเหตุปัจจัยลงตัวและได้ประพฤติผิดทางกายร่วมกัน ตายแล้วมีภพนรกเป็นที่หมาย

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 24 พ.ค. 2010, 02:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พองยุบเห็นไม่ชัด
กระผมมีข้อขัดข้องในการปฏิบัติที่อยากจะกราบเรียนข้อส่งสัยจากท่าน
คือ เวลานั่ง กำหนดพองหนอ ยุบหนอ ไม่ค่อยเห็นชัดครับ พอได้สักพักก็งุบลืมกำหนดเผลอไป
จะมีวิธีแก้ไขอย่างไรดีครับ ผมเดินจงกรมและนั่งอย่างละเท่าๆกันแต่ติดขัดการนั่ง บางที่ได้ยินหลายคนนั่งแล้วมีอาการอย่างโน้น อย่างนี้
เห็นโน่น เห็นนี่ แต่ผมไม่เคยเห็นอะไรเลยครับ กำหนดไปสักพักก็งูบลืมกำหนดทุกที

ขอให้ อ.มีสุขภาพพลานามัยที่แข็งแรง...

คำตอบ
นั่งภาวนาพองยุบแล้วไม่ค่อยเห็นอาการพองยุบได้ชัด นั่นเป็นเครื่องแสดงว่าสติยังมีกำลังไม่กล้าแข็ง วิธีแก้คือต้องหายใจเข้าให้ลึก แล้วค่อย ๆ ปล่อยลมออก วิธีนี้เป็นการสร้างอิริยาบถพอง-ยุบของผนังหน้าท้องให้ใหญ่ขึ้น สติจึงตามระลึกได้ถูก ต้องปฏิบัติซ้ำบ่อย ๆ จนจิตมีกำลังของสติกล้าแข็งได้เมื่อใดแล้ว การระลึกรู้อาการพอง-ยุบ การไม่เห็นอะไรเลยเป็นสิ่งดี ทำให้ไม่ต้องเสียเวลากับการกำจัดสิ่งที่ถูกเห็นให้หมดไปและการไม่เห็นอะไรเลยนั้นหากปฏิบัติได้ถูกทาง สามารถเข้าถึงมรรคผลของการปฏิบัติได้ เข้าถึงอรหัตผลได้เหมือนกัน

ส่วนการนั่งกรรมฐานแล้วลืมกำหนด นั่นแสดงว่าจิตขาดสติได้เกิดขึ้นกับผู้นั่งปฏิบัติ แก้ไขด้วยการสร้างอิริยาบถใหญ่อย่างที่ได้กล่าวไว้ข้างต้น

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 24 พ.ค. 2010, 02:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อยู่บ้านมักมีปัญหาเวลาแม่เรียกใช้งานมักหงุดหงิดเพราะแม่จะฟุ้งง่ายหน่อยน่ะค่ะ อะไรมานิดนึงจะปรุงแต่งไปไกล และเรียกให้คนนั้นคนนี้ทำโน่นทำนี่มากมาย หนูเลยไม่ค่อยศรัทธาแม่ทั้งที่ก็รักแม่ อยากให้แม่มีใจที่สบาย ขออาจารย์เมตตาตอบคำถาม

1. ระหว่างที่ก้มหน้าทำตามคำสั่งอยู่นั้นรู้สึกกดดัน เกิดความคิดว่า "ฉันคือคนโง่ที่ยอมทำตามคำสั่งคนอื่นอย่างไม่มีเหตุผล คนโง่เท่านั้นที่จะยอมทำได้ ถ้ายอมก็ต้องยอมกันไปทั้งชาติ ให้ลุกขึ้นบอกแม่ว่าแม่ไม่ควรใช้เราอย่างนี้" ความคิดนี้คือกิเลสมาหลอกใช่หรือไม่คะ

2. เป็นกรรมใช่หรือไม่ หนูอาจจะเคยทำแบบที่แม่กำลังทำกับหนูมาก่อน เลยโดนกรรมเล่นงาน

3. หนูกำลังตัดสินใจว่าจะยอมเป็นคนโง่ ทั้งเพื่อใช้กรรมและเพื่อสะสมขันติบารมี หนูตัดสินใจถูกต้องใช่หรือไม่คะ

4. ถ้าหนูอยากเปิดทางธรรมให้แม่ หนูควรใช้หลัก "สงบสยบเคลื่อนไหว" ใช่หรือไม่ หนูควรพูดให้แม่เข้าใจไหม หรือเงียบแล้วก้มหน้าก้มตาทำอย่างเดียวคะ

ขอบพระคุณอาจารย์อย่างสูงค่ะ ถ้ามีบุญพอขอให้ได้พบกับอาจารย์และได้สร้างกุศลกับอาจารย์ค่ะ

คำตอบ
(1) แม่สั่งให้ทำในสิ่งที่ถูกต้องชอบธรรมแล้วลูกไม่ปฏิบัติตามคำสั่ง ถือได้ว่าเป็นลูกที่ไม่ฉลาด ด้วยเหตุไม่ประพฤติจริยธรรมของลูกดีที่มีต่อแม่ ฉะนั้นหากต้องการเป็นคนดีเป็นลูกที่ดีมีความเจริญในชีวิตมีความเจริญในหน้าที่การงาน ลูกต้องประพฤติตามคำสั่งของแม่ยิ่งประพฤติได้ยาวนานตลอดชีวิตได้ยิ่งดีกับตัวลูกเอง

หากแม่สั่งให้ลูกทำในสิ่งไม่ดีคือผิดกฎหมาย ทุศีล ไร้ธรรมแล้วลูกไม่ปฏิบัติตามไม่ถือว่าไม่ฉลาด และไม่ผิดจริยธรรมของลูกที่ดีไม่ประพฤติแล้วยังโต้แย้งเถียงกับแม่อีกนั่นคือตัวกิเลสที่มีอยู่ในใจของลูกจึงไม่ควรทำให้กิเลสมีกำลังมาก ควรสงบปากสงบคำจะเป็นเรื่องดีและดีที่สุดต้องสงบใจให้ได้

(2) กรรมคือการกระทำเมื่อบุคคลทำกรรมแล้วจะถูกเก็บสั่งสมอยู่ในจิตวิญญาณเมื่อใดถึงวาระที่กรรมให้ผล ผู้สั่งสมกรรมย่อมต้องรับผลนั้น

(3) คนฉลาดยอมรับความจริงไม่ปฏิเสธผลกรรมและยอมชดใช้หนี้เวรกรรม ที่ตนเองได้ทำไว้ก่อนแล้ว และไม่สร้างหนี้เวรกรรมใหม่ให้เกิดขึ้นวิธีนี้พระพุทธะแนะนำให้ผู้หวังความเจริญในชีวิต นำไปปฏิบัติปฏิบัติได้แล้วเกิดเป็นผลดีตรงที่หนี้เวรกรรมจะได้จบสิ้นกันไปและยังเป็นการสร้างขันติบารมีสัจจบารมีให้เกิดขึ้นอีกด้วย

(4) สงบได้เป็นสิ่งดี เมื่อมีพฤติกรรมสงบแล้วต้องพัฒนาตัวเองให้เป็นคนดี ดีจนไม่มีที่ติ ดีจนแม่หันกลับมาศรัทธาในตัวลูกได้นั่นดีที่สุด เพราะเป็นการเปิดทางธรรมให้กับแม่ ดังตัวอย่างของโสเภณีสาวงามแห่งแคว้นวัชชีที่ชื่ออัมพปาลี มีความศรัทธาในตัวลูกชายที่ชื่อวิมลโกณฑัญญะองค์อรหันต์ ได้ฟังธรรมจากพระลูกชายจึงได้เลิกอาชีพที่คนดีรังเกียจ และออกบวชเป็นภิกษุณี ปฏิบัติธรรมจนบรรลุอรหัตตผลได้ในที่สุด

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 24 พ.ค. 2010, 02:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เรื่องของเวรกรรม: ดิฉันมีข้อสงสัยเกี่ยวกับเวรกรรมที่ได้ประสบว่าเป็นของใครกันแน่ เพราะดิฉันเป็นผู้กระทำและเป็นผู้ถูกกระทำในเวลาเดียวกัน

รายละเอียด
ดิฉันกับแฟนคบกันมานาน เค้าเป็นคนดี ดิฉันก็รักเค้ามาก แต่เนื่องจากดิฉันจะหึงและหวงเค้ามาก ทำให้เค้ารู้สึกอึดอัดใจหลายอย่าง เช่น ไม่ให้ออกไปสังคมกับเพื่อนฝูง ขู่ให้เค้ากลัว (เพราะกลัวเค้าจะทิ้งเราไป) ชอบดุตะคอกเค้าเวลาเค้าทำให้เราขัดใจ ทำให้เค้ารู้สึกว่าตัวเค้าเองไม่เป็นอิสระ สุดท้ายเค้าก็บอกเลิก เค้าบอกว่าเค้าอยากอยู่คนเดียว ดิฉันก็ดีกับเค้าหลายอย่าง แต่เรื่องไม่ดีของดิฉันเค้าบอกเค้ารับไม่ได้ (ดิฉันทุกข์ใจมาก)

1. ดิฉันอยากเรียนถามว่าในกรณีที่ดิฉันถูกแฟนทิ้งไป โดยที่เราก็เป็นสาเหตุส่วนหนึ่ง กรรมที่ดิฉันได้รับนี้เป็นของชาติก่อนหรือปัจจุบันคะ และการที่เค้าทิ้งดิฉันไปถือว่าเค้าทำเวรกรรมกับดิฉันหรือไม่คะ

2. ถ้าเป็นผลกรรมของดิฉัน ดิฉันจะแก้ไขอย่างไรให้หมดเวรกรรมอันนี้ (ยอมเลิกกับเค้าโดยดี หรือ พยายามหาวิธีให้กลับมาคืนดีกันแล้วแก้ไขตัวเองใหม่)

3. ในกรณีนี้ดิฉันกับแฟนเราถือว่าเป็นคู่เวรคู่กรรมกันหรือยังคะ (ยังไม่ได้แต่งงานแต่เคยทดลองใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน)


คำตอบ

(1) เมื่อรู้ตัวเองวาได้ทำเหตุให้สามีทอดทิ้งเมื่อใดกรรมให้ผล ผู้กระทำเหตุ ต้องได้รับผลของกรรมนั้นเหตุที่เกิดกับคุณเป็นเหตุที่ก่อขึ้นในชาติปัจจุบันด้วยตัวคุณเองสามีจึงต้องจากไปตามแรงของอกุศลกรรมผลักดัน ดังตัวอย่างที่เกิดขึ้นกับอิสิทาสี แต่รายนี้ได้ก่ออกุศลกรรมไว้ก่อนในอดีตชาติเมื่อเหตุปัจจัยลงตัวจึงได้แต่งงานถึงสามครั้ง และถูกสามีถึงสามคนปฏิเสธที่จะอยู่ร่วม

(2) ปรับปรุงตัวเองจากการทุศีล ไร้ธรรม ให้กลับมาเป็นผู้มีศีล มีธรรมนั้นดีที่สุด ส่วนจะไปของให้สามีกลับคืนมาอยู่ร่วมใหม่ไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาที่ถูกตรงตามธรรม เขาจะกลับคืนมาก็ด้วยแรงของกุศลกรรมที่ทั้งสองได้ทำร่วมกันไว้เขาจะจากไปและไม่กลับคืนมาก็ด้วยแรงของกรรมที่บุคคลทั้งสองทำไว้ต่างกัน

(3) เวรหมายถึงความปองร้ายกัน หรือความแก้เผ็ดคู่เวรหมายถึงคู่ที่ปองร้ายกันและกันหรือหมายถึงการแก้เผ็ดกันและกันส่วนคำว่ากรรมหมายถึงการกระทำ คู่กรรมหมายถึง คู่ที่ร่วมกระทำด้วยกัน

ฉะนั้นคุณและคู่ทดลอง จึงเป็นคู่เวรคู่กรรมกันแล้วเพราะเคยได้กระทำร่วมกันแล้ว กรรมให้ผลแล้วและทั้งสองต่างได้รับผลของกรรมแล้ว

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 24 พ.ค. 2010, 02:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กระผมมีปัญหาที่ข้องใจมานานแล้วอยากเรียนถามอาจารย์ว่า
กระผมมีความรู้สึกว่าตัวเองปรารถนาโพธิญาณมานานแล้ว สมัยเป็นเด็กๆ เวลาคุณครูถามว่าอยากเป็นอะไร กระผมก็มักตอบว่าอยากเป็นพระพุทธเจ้า คุณครูก็บอกว่าพระพุทธเจ้ามีองค์เดียว กระทั่ง ปัจจุบันนี้ กระผมก็ยังคิดเช่น นั้น อยู่ตลอด ไม่ทราบว่ากระผมปรารถนามาแต่ อดีตชาติรึเปล่าทำไมถึงฝังใจ ส่วนตัวกระผมนั้นสนใจและศึกษาทางพุทธศาสนามาโดยตลอด หากว่า ข้าพเจ้า ได้ เป็นพระโพธิสัตว์จริง จะต้องปฏิบัติตัวเช่นไร จึงจะ เป็น ผลดี ที่สุด ขอ ความกรุณาอาจารย์ช่วยคลายข้อสงสัยของกระผมด้วย

กราบขอบคุณอาจารย์มา ณ โอกาสนี้ด้วยครับ

คำตอบ
การตั้งความปรารถนาไว้ในใจ เพื่อให้บรรลุผลที่ตนต้องการ คือการอธิษฐานนั่นเอง ซึ่งเมื่อทำแล้วจะถูกเก็บสั่งสมเป็นความจำ (สัญญา) อยู่ในจิตวิญญาณจากอดีตอันยาวไกลเมื่อใดที่สติมีกำลังกล้าแข็งขึ้นจึงสามารถระลึกได้ถึงการอธิษฐาน และจะส่งผลให้บุคคลประพฤติถูกตรงตามแรงอธิษฐาน คือปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์ต้องประพฤติตนเป็นผู้ให้สิ่งดีงามแก่มวลชนเป็นผู้ช่วยเหลือคนตกทุกข์ได้ยาก ประพฤติเป็นผู้สร้าง เป็นผู้ปฏิสังขรณ์ศาสนวัตถุ อุปถัมภ์ค้ำชูพระศาสนา ประพฤติชอบถูกตรงตามธรรมวินัย ฯลฯ ดังที่พญาลิไท พระนั่งเกล้าฯ ครูบาศรีวิชัย ฯลฯ ได้ทำให้ดูเป็นตัวอย่าง

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 24 พ.ค. 2010, 02:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1) ในเรื่องของการค้าขาย การที่คนค้าขาย ทำการค้าขายใกล้ ๆ กัน นอกจากรสชาด การบริการ ราคา แล้วเราสามารถใช้ธรรมะข้อใด หรือการปฏิบัติธรรมอย่างไรที่จะช่วยส่งเสริมให้ค้าขายดีหรือไม่ บางรายค้าขายสินค้าประเภทเดียวกัน อยู่ใกล้ๆ กัน แต่ทำไมบางรายขายได้ดี อีกรายขายได้น้อย เป็นด้วยเหตุอะไร หรือ เป็นเหมือนกับคำที่คนชอบพูดว่า "ไม่มีดวงค้าขาย" และการที่คนค้าขายนำวัตถุมงคลมาวางบูชาเพื่อเรียกลูกค้า หรือสวดมนต์บทที่เพื่อการค้าขายทุกวัน เช่น คาถาเงินล้าน , คาถาค้าขายดี เป็นต้น สิ่งเหล่านี้ช่วยให้ค้าขายดีขึ้นจริง ๆ หรือค่ะ ขอท่านช่วยชี้แนะแนวทางที่ทำให้ค้าขายดี ด้วยค่ะ

คำตอบ
หวังความเจริญในด้านค้าขาย ต้องทำดวงของตนเองให้ดี ด้วยการประพฤติตนให้เป็นผู้มีศีล มีธรรมคุ้มครองใจให้ได้ทุกขณะตื่น แล้วดวงจะดีเอง

ในฐานะที่เป็นฆราวาสต้องประพฤติศีล 5 ข้อ ให้มีอยู่กับใจก็พอเพียงแล้ว ส่วนธรรมะควรประพฤติเบญจธรรม (มีเมตตา กรุณา มีสัมมาอาชีวะ มีกามสังวร มีสัจจะ มีสติสัมปชัญญะ) มีวาจาไพเราะประสานใจ มีการให้ทานอยู่เสมอ และงดเว้นอบายมุข ฯลฯ เท่านั้นก็พอที่จะทำให้ตัวเองมีดวงค้าขายได้แล้ว ค้าขายแล้วไม่วิบัติ


2) ผู้ปฏิบัติธรรม ย่อมละความยึดติดในความสวยงามและวัตถุ แต่ในทางโลกผู้ปฏิบัติธรรม มีอาชีพขายเสื้อผ้าแฟชั่น เครื่องประดับ และสิ่งสวยงามต่าง ๆ ในทางการค้าผู้ขายย่อมต้องเรียกลูกค้าแนะนำว่าสิ่งนั้นๆ ดี สวยงามเหมาะกับลูกค้าแต่ละท่าน เมื่อลูกค้าซื้อไปแล้วย่อมทำให้สวยงามขึ้น เช่นนี้แล้วไม่เป็นการกระทำที่สวนทางของผู้ปฏิบัติธรรมหรือค่ะ เพราะเหมือนเป็นการส่งเสริมให้คนยึดติดความสวยงามและวัตถุ ดังนั้น หากผู้ปฏิบัติธรรมต้องทำอาชีพ ดังกล่าว จะมีวิธีการใดที่เหมาะสมและถูกต้อง ขอท่านโปรดแนะแนวทาง

คำตอบ
ผู้ถามต้องเลือกทางชีวิตด้วยตัวเองว่า จะนำพาชีวิตไปตามกระแสโลก ที่มากมีด้วยความทุกข์ หรือจะนำพาชีวิตไปทางธรรมที่อยู่กับความทุกข์อย่างรู้ทันและพ้นไปจากทุกข์ได้ในที่สุด

หากจำเป็นต้องพึ่งพาปัจจัยทางโลก มาเกื้อหนุนให้ชีวิตดำรงอยู่ได้ ก็ต้องหางานทำแล้วบริโภคใช้สอยมักน้อย บริโภคใช้สอยแต่สิ่งที่เป็นสาระกับการดำรงชีวิตเท่าที่จำเป็น และต้องไม่ลืมว่าต้องสั่งสมทรัพย์ภายในคือบุญ (ดูบุญกิริยาวัตถุ 10) ให้กับตัวเอง เพื่อใช้เป็นปัจจัยนำพาชีวิตเดินทางไปเกิดใหม่ในปรโลก


3) ดิฉัน รู้จักสตรีท่านหนึ่งอยู่ต่างประเทศ แต่แฟนของเขาอยู่เมืองไทย ดิฉันเพิ่งรู้จักกับสตรีท่านนั้นไม่กี่เดือนที่ผ่านมา แต่เขาคบกับแฟนเขาประมาณ 3 ปีกว่า เขามักจะถามดิฉันเสมอว่าแฟนของเขามีแฟนอยู่ที่เมืองไทยหรือไม่ ดิฉัน ตอบว่า "ไม่ทราบ" ( ทั้งที่ ดิฉันทราบจากคนอื่นว่าแฟนของเขามีแฟนอยู่แล้ว ) สตรีท่านนั้น บอกดิฉันว่าถ้าเขารู้ว่าแฟนเขามีแฟนอยู่แล้วเขาก็จะเลิกกับแฟนเขา เพราะเขาไม่อยากทำบาปโดยไม่รู้ตัว ดิฉัน ไม่อยากพูดเท็จ และก็ไม่ได้เห็นดีเห็นงามด้วยกับพฤติกรรมของแฟนเขาที่หลอกผู้หญิงทั้งสองฝ่าย แต่ดิฉันก็ไม่สามารถจะบอกความจริงกับสตรีท่านนั้นได้ ดิฉัน ได้แต่แนะนำให้เขาสวดมนต์นั่งสมาธิ ทำจิตใจให้สบาย ( เพราะดิฉัน เชื่อมั่นว่าผู้ใดปฏิบัติธรรมแล้วสักวันจะมีเหตุส่งผลให้ผู้นั้นทราบความจริงด้วยตัวของเขาเอง ) ดิฉัน รู้สึกลำบากใจและอึดอัด เนื่องจากทุกครั้งที่เขาโทร.จากต่างประเทศมาหาดิฉัน เขาก็ได้แต่ปรับทุกข์เรื่องแฟนของเขา และถามซ้ำๆ กับดิฉันว่าแฟนเขามีผู้หญิงอื่นหรือไม่ ดิฉัน ก็ตอบว่าไม่ทราบทุกครั้ง เขาจะให้ดิฉันช่วยเป็นหูเป็นตาให้แล้วส่งข่าวให้เขาทราบ ดิฉัน ก็ตอบว่าดิฉันไม่ค่อยได้เจอแฟนเขา ( ซึ่งในความเป็นจริงดิฉันก็ไม่ค่อยได้เจอแฟนเขาจริง ๆ ) อีกทั้งดิฉันไม่อยากเข้าไปก้าวก่ายเรื่องชีวิตคู่ของใคร จนปัจจุบัน ดิฉันไม่กล้ารับโทรศัพท์ของสตรีท่านนั้น เพราะไม่อยากพูดเท็จ ดิฉันจะทำอย่างไร และดิฉันพูดเท็จกับสตรีท่านนั้นก็เป็นบาปที่ดิฉันไม่อยากจะทำค่ะ ขอท่านช่วยแนะนำว่าดิฉันควรปฏิบัติอย่างไร และแนะนำสตรีท่านนั้นอย่างไร

กราบขอบพระคุณท่านที่สละเวลาตอบปัญหา...ด้วยความเคารพอย่างสูง

คำตอบ
ลำพังกรรมทั้งดีและไม่ดีของตัวเองก็มีมาก จึงต้องใช้เวลาดูจิตของตัวเองกำจัดสิ่งไม่ดีให้หมดไปจากใจซึ่งยังทำได้ไม่หมดหากผู้ถามมีความเห็นถูก และประพฤติอยู่กับใจตัวเองอย่างนี้จนไม่มีเวลาไปร่วมกระบวนกรรมของผู้อื่นได้ ก็บอกเขาไปตรง ๆ ก็ไม่เห็นว่าจะผิดศีลข้อไหน

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 24 พ.ค. 2010, 02:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ร่วมปีแล้วค่ะที่หนูล้มลุกคลุกคลานกับความหวาดระแวงว่าสามีจะยังนอกใจอยู่อีกหรือเปล่า ทั้งๆ ที่เราทั้งคู่ก็รักกันมาก คำสัญญาที่เขาเคยให้ก็หลายครั้งว่าเลิกกับชู้แล้ว มันก็ไม่เคยเป็นจริงสักที สรุปที่ผ่านมา ไม่ว่าเขาจะทำเพื่อหนูหรือเพื่อตัวเองก็มีแต่คำโป้ปดมดเท็จ จนดูเหมือนว่าคำพูดเหล่านั้นมันได้กลั่นกรองออกมาจากจิตใต้สำนึกของเขาโดยแท้

หนูรู้สึกเจ็บปวดมากกับการโกหก เพราะหนูเป็นคนจริงจังกับคำพูดและชีวิตมาก มันคงเป็นกรรมที่หนูต้องชดใช้ เพราะชีวิตที่ผ่านมาหนูมักพูดเสียดแทงความรู้สึกให้คนอื่นเจ็บอยู่บ่อยๆ โดยเฉพาะสามี

หนูเป็นคนเจ้าโทสะค่ะ (พยายามอย่างยิ่งยวดที่จะลด ละ เลิกค่ะ แต่มักแพ้กิเลสตัวเองบ่อยๆ) พยายามปฏิบัติธรรม ดูจิต ตามอารมณ์ ก็ได้แค่งั้นๆ ค่ะ บางคราวถึงกับทำร้ายร่างกายสามี ที่ผ่านมาไม่เคยทำค่ะ ก็เพิ่งทำคราวที่เขานอกใจนี่แหละ หนูรู้สึกว่าตัวเองบาปมากเลยค่ะ ก็ได้แค่เอาดอกไม้ธูปเทียนไปกราบขอขมาและอโหสิกรรมกับเขาค่ะ และตั้งใจที่จะไม่ทำอีก แต่....ก็ทำอีกจนได้

หนูทุกข์กับความอาฆาตแค้นของตัวเองค่ะ มันหายไป และมันก็กลับมา ทั้งๆ ที่สวดมนต์ และ (พยายาม) นั่งสมาธิ แผ่เมตตาให้เขา (เกือบ) ทุกวัน

ทุกข์ที่ใจหนึ่งก็อยากจะหย่า แต่อีกใจก็ยังอยากจะอยู่เพราะยังต้องพึ่งเขาอยู่

ทุกข์เพราะตัวเองอยากหายทุกข์

ส่วนเขาเป็นคนใจอ่อนอย่างสุดขั้ว ปฏิเสธคนไม่เป็น ไม่มีสภาวะความเป็นผู้นำ มักทำในสิ่งที่ไม่ควรทำทั้งๆ ที่เพิ่งมีชนักติดหลังมา

แม้แต่ตอนนี้ เขาตั้งใจเลิกมีชู้อย่างเด็ดขาด แต่มันก็มีเหตุปัจจัยที่ทำให้เขาต้องไปเกี่ยวข้องกับผู้หญิงอื่นอีก ทั้งๆ ที่เขาจะเลือกการกระทำอย่างอื่นเพื่อเป็นการป้องกันตัวเองก็ได้ แต่เขาก็เลือกในฝั่งตรงข้าม แค่เพียงเพราะเขาเป็นคนมีน้ำใจ

เขาเพิ่งมารู้ว่าสิ่งที่เขาทำเป็นสิ่งที่ไม่สมควร ก็ตอนที่หนูบอกเขา ก็ตอนที่หนูร้องไห้เสียใจ

เขาเลือกที่จะไปวิปัสสนา 7 วันในเดือนตุลานี้ เพียงแค่เขาบอกว่าตัวเองต้องได้รับการบำบัด

ไม่ทราบว่าจะมีกุศโลบายอันใดที่จะทำให้หนูปล่อยวาง และยอมรับในสภาพที่เขาเป็นได้บ้างไหมคะ?

ขอขอบพระคุณค่ะ

คำตอบ
ประสงค์จะปล่อยวางสามีผู้ทุศีลและมีกำลังของสติอ่อน สามารถทำได้ด้วยการเจริญอสุภกรรมฐาน จากซากศพจริงเพศชายพิจารณาจนเกิดปัญญาเห็นแจ้งขึ้นกับตัวเองได้แล้ว จิตจะหลุดเป็นอิสระจากราคะและโมหะได้เป็นอัตโนมัติแล้วความสงบสุขในใจของผู้พิจารณาเห็นสัจจธรรมก็จะเกิดขึ้น

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 24 พ.ค. 2010, 02:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เมื่อหลายปีก่อนสมัยเรียนมัธยมปลาย หนูเคยเกิดอาการประหลาดอย่างหนึ่ง ที่ทำให้หนูสงสัยมาตลอดและกลัวว่าตัวเองจะเป็นโรคประสาทหรือไม่ อาการที่ว่าคือ ตอนเช้าเดินแถวเข้าโรงเรียน ไหว้คุณครู ไหว้ศาล เดินไปที่ห้อง จะเกิดความรู้สึกว่า ร่างกายมันทำอะไรเองไปโดยอัตโมมัต ใจมันแยกออกมาต่างหาก รู้ว่าตัวเองทำอะไรเหมือนหุ่นยนต์ รู้ว่าต้องทำ แต่เกิดความสงสัยว่า เหมือนตัวเราไม่ใช่เรา พอเข้าใจไหมคะ เหมือนร่างกายมันไม่ใช่ของเรา เหมือนมันเป็นสิ่งแปลกปลอม แล้วเราเป็นใคร เราชื่อนี้ นามสกุลนี้แน่เหรอ สักพักก็จะหายไปกลับสู่สภาพปกติ ซึ่งอาการแบบนี้เคยเกิดขึ้นบ่อยๆในช่วงเวลาหนึ่ง

ที่น่าตกใจคือ บางครั้งอ่านหนังสือในห้องสมุดจนปิดตอนเย็น พอลุกขึ้น อาการเดิมเริ่มเกิด ร่างกายเหมือนไม่ใช่ของเรา มันทำงานไปเองเหมือนกับมันเคยทำตามปกติ เช่น เก็บเก้าอี้ เก็บหนังสือ หิ้วกระเป๋ากลับบ้าน แต่ใจมันแยกออกมา ลืมไปเลยว่า เราคือใคร ชื่ออะไร ทำไมต้องทำอะไรอย่างนี้ เท้าก็ก้าวเดินไปตามปกตินี่แหละ เกิดตกใจกลัวอย่างมาก รีบนึกๆใหญ่เลย ว่าจริงๆแล้ว เราชื่ออะไร เป็นใคร สักพักก็หาย ซึ่งอาการแบบลืมตัวไปเลยนี้เกิดน้อยกว่าอาการข้างบนค่ะ แต่เกิดขึ้นครั้งใดทำให้หนูขวัญเสียมากค่ะ แล้วไม่กล้าปรึกษาใครหรือบอกใครด้วยค่ะ กลัวเขาว่าบ้า ทั้งที่หนูเป็นเด็กเรียนเก่ง ความประพฤติดีของโรงเรียนค่ะ

ขอเรียนถามดังนี้ค่ะ
-อาการนี้ใช่อาการของโรคทางจิตประสาทหรือเปล่าคะ เกิดขึ้นได้อย่างไร พอพ้นช่วงม.ปลายมาแล้วก็ไม่เคยเป็นอีกเลยค่ะ ช่วงนั้นไม่มีปัญหาอะไรเลยค่ะ มีความสุขกับชีวิตดีค่ะ

-ตอนนี้หนูปฏิบัติธรรมแบบพอง ยุบ บางครั้งก็เกิดความสงสัยเวลาส่องกระจกว่า เราชื่อนี้ นามสกุลนี้หรือ เราเป็นคนที่อยู่ในกระจกหรือ บางครั้งก็เกิดความรู้สึกเหมือนเห็นคนอื่น เหมือนมองวัตถุสิ่งของอื่น เหมือนไม่ใช่ตัวเรา แต่ไม่ค่อยเกิดหรอกค่ะ

-เคยปฏิบัติติดต่อกันไม่ขาดเลย เวลาแผ่เมตตารู้สึกกลางหน้าอกเย็นเยือกแข็งมาก เย็นเหมือนอยู่ในน้ำแข็ง เหมือนกินฮอลสักหลายร้อยเม็ดน่ะค่ะ อาการนี้เกิดจากอะไรคะ แล้วต้องแก้ไขอย่างไรคะ

ขอกราบขอบพระคุณอาจารย์สนอง ผู้มีความเสียสละช่วยเหลือเพื่อนร่วมสังสารวัฏ และขออนุโมทาบุญทั้งหลายของท่านด้วยค่ะ

คำตอบ
ความรู้ทางโลกคือใช้ปัญญาไอคิว วินิจฉัยว่าเป็นอาการของโรคจิต สั่งงานผิดปกติ อ่านระบบประสาทให้แสดงออกเป็นพฤติกรรมที่ผิดไปจากพฤติกรรมของคนปกติ แต่ถ้าใช้ความรู้ทางธรรมคือใช้ปัญญาญาณวิเคราะห์ก็รู้ว่าเป็นผลงานที่เกิดขึ้นกับจิตที่ยังระลึกได้ในความจำเก่า หรือสัญญาเดิมที่ถูกเก็บฝังไว้ในดวงจิตที่เพิ่งทิ้งภพเก่าอันเป็นสุคติภพมา ครั้งใดที่จิตระลึกถึงสัญญาเดิมได้และจิตใช้ความจำเช่นนั้นสั่งงาน พฤติกรรมดีที่บอกเล่าไปจึงแสดงออก เมื่ออายุมากขึ้นกาลเวลาทำให้กิเลสในโลกมนุษย์เข้าครอบงำดวงจิตมากขึ้น สัญญาเดิมจึงถูกกลบฝังไว้ลึกในจิตใต้สำนึก ทำให้ระลึกไม่ได้พฤติกรรมแบบที่เคยเกิดขึ้นในสมัยที่ยังเป็นเด็กจึงหายไปชั่วคราว เมื่อใดฝึกจิตให้มีกำลังของสติมาขึ้น จนตั้งมั่นเป็นสมาธิและเข้าให้ถึงสมาธิสูงสุด (สมาธิในฌาน) ได้แล้วอภิญญาที่เรียกว่าทิพพจักขุจะเกิดขึ้นกับผู้เข้าถึงและจะรู้ว่าตัวเองเป็นใคร ส่วนเรื่องแผ่เมตตาแล้วเกิดเป็นความเย็นเยือกในอกเป็นผลงานร่วมระหว่างชีวิตปีติที่เกิดขึ้นในดวงจิต กับระบบประสาทของร่างกายที่โยงไปสู่ทรวงอก

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 24 พ.ค. 2010, 02:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อาจารย์มีหลักหรือวิธีเลือก วัดที่จะบวชยังไงบ้างครับ
บางทีความรู้ของผมอาจคิดไม่ถึงในบางเรื่องบางมุม เลยมาถามอาจารย์ดีกว่า

ผมเคยบวชมาแล้วแต่รู้สึกว่าบวชแบบนี้มันไม่ใช้ บวช14วัน ไม่ได้อะไรเลย กรรมฐานก็ไม่มีให้เรียนครับ ไม่มีใครสอน ทำวัตร อย่างเดียว

ผมอยากฝึกสติ ฝึกสมาธิ มากๆ เพื่อนิพพาน อยากบวชซัก6-7เดือน

วันไหนมีพระสอนกรรมฐาน หลวงพ่อดีๆ วันสงบๆ เหมาะแก่การฝึกอย่างเต็มที่ มีไหมครับแนะนำผมที

ผมเคยได้ยินมาว่าคนบวช3วัดไม่ดีหรือไม่มงคล ไม่ควรบวช3วัด จริงหรือไม่ครับ

ผมบวชมาแล้ว1ครั้ง ตอนนี้คิดจะบวชครั้งที่2 สัก6-7เดือน และครั้งที่3 จะบวชตอนแก่ๆสัก50-60 ตั้งใจไว้แบบนี้ครับ จะดีหรือเป่ล่า

ช่วยแนะนำหน่อยนะครับ

คำตอบ
เลือกวัดที่มีการฝึกกรรมฐานและมีผู้สอนประพฤติถูกตรงตามธรรมวินัย หากมีปัญญาเห็นแจ้งได้จะดีที่สุด มงคลมิได้อยู่กับจำนวนครั้งที่บวชแต่บวชแล้วประพฤติได้ถูกตรงตามคุณธรรมในมงคลสูตรถือว่าการบวชนั้นเป็นมงคล และจะเข้าถึงมงคลสูงสุดได้ต้องมีจิตเป็นเกษมคือเป็นพระอริยะนั่นเองผู้ที่บวชแล้วประพฤติตนทุศีลไร้ธรรม ประพฤตินอกธรรมนอกวินัยถือว่าเป็นอัปปมงคลฉะนั้นจะบวชกี่ครั้งไม่สำคัญเท่ากับว่าประพฤติได้ถูกตรงตามธรรมวินัยหรือไม่

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 24 พ.ค. 2010, 02:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1) เนื่องด้วยในปัจจุบัน การแสวงหาพระอรหันต์กลางกรุง เพื่อจะทำบุญค่อนข้างยาก ที่ดิฉันเคยไปกราบก็จะอยู่ต่างจังหวัดใกล้บ้าง ไกลบ้าง ซึ่งปัจจุบันแต่ละรูปก็มรณะกันไปหมดแล้ว หรือไม่ก็อาพาธอยู่ที่โรงพยาบาล ดิฉัน จึงขอเรียนถามท่าน ดร.สนอง ให้ช่วยแนะนำด้วยค่ะ ( เช่น วัดมหาธาตุ ดิฉันได้ข่าวว่ามีในปัจจุบัน แต่ไม่ทราบ.ท่านใดค่ะ) ต้องกราบขออภัยด้วยนะค่ะ สำหรับคำถามนี้ ดิฉันไม่ทราบว่าสมควรถามหรือไม่

คำตอบ
ปัจจุบันอาศัยอยู่ต่างจังหวัด จึงแทบไม่มีประสบการณ์กับนักบวชที่อาศัยอยู่ในวัดต่าง ๆ กลางกรุง ประกอบกับการที่ผู้ตอบปัญหามิใช่อริยบุคคลขั้นสูงสุดจึงมิอาจให้คำชี้แนะได้


2) ดิฉัน ชอบปล่อยชีวิตสัตว์ มักจะไปซื้อชีวิตสัตว์ที่กำลังจะถูกฆ่าแล้วนำไปปล่อย มีครั้งหนึ่ง ดิฉัน ไปซื้อปลาช่อน ปลาดุก ที่กำลังจะถูกฆ่า แล้วนำไปปล่อยกับคุณแม่ ในระหว่างทางเมื่อดิฉันปล่อยชีวิตสัตว์ลงน้ำไปเรียบร้อยแล้ว ดิฉันกับคุณแม่เดินผ่านผู้ชาย 2 คน ในขณะที่ดิฉันเดินผ่านดิฉันก็เห็นจากปลายหางตาของดิฉันว่า 2 คน ดังกล่าวพยักหน้ากันแล้วค่อย ๆ เดินตามดิฉันกับคุณแม่ ดิฉัน มีความรู้สึกขึ้นมาในใจว่า ต้องระวัง 2 คนนั้นให้ดี ๆ ดิฉัน ตั้งสตินิ่งขณะเดิน ระวังตัวมาก และเนื่องจากข้างหน้าเป็นทางสามแยกซึ่งดิฉันบอกกับตัวเองว่าดิฉันจะเดินให้ช้าที่สุด เพื่อให้ผู้ชาย 2 คนนั้นเดินนำหน้ามิใช่เดินข้างหลัง ก็สังเกตุได้ว่าผู้ชาย 2 คน นั้น ก็จำต้องเดินผ่านดิฉันขึ้นไป ดิฉัน ก็บอกกับตนเองอีกว่าข้างหน้าเป็น 3 แยกถ้าดิฉันเลี้ยวกลับทางเก่าซึ่งเป็นข้าง ๆ วัด มันเป็นที่โล่งไม่มีคน หากเกิดอะไรขึ้นย่อมไม่มีใครช่วยดิฉันกับคุณแม่ได้แน่ ดิฉัน จึงคิดหาทางออกและบอกกับตัวเองว่า ตนเองคิดมากไปหรือเปล่า แต่ก็พิสูจน์ด้วยตัวเองว่า ถ้าผู้ชาย 2 คนนั้นไม่คิดอะไร เมื่อถึงทางแยกเขาต้องเลี้ยวขวาไปไม่หยุด แต่ถ้าหยุดแสดงว่าเขาคิดจะปล้นดิฉันกับคุณแม่แน่นอน แล้วในที่สุดผู้ชาย 2 คนนั้นก็หยุดเดินจริง ๆ ดิฉัน ไม่รู้จะทำยังไง เพราะทางซ้ายมือดิฉันไม่แน่ใจว่าเป็นทางตันหรือไม่ จึงกระซิบบอกคุณแม่ว่าอย่าไปมองผู้ชาย 2 คนดังกล่าว ถึงทางแยกให้รีบเดินเลี้ยวซ้ายทันทีแล้วเดี๋ยวดิฉันจะบอกว่าเกิดอะไรขึ้น พอเลี้ยวซ้ายได้ดิฉันรีบจูงมือคุณแม่เดิน ปรากฎไปพบทางออกตรงประตูวัดข้างโบสถ์ ก็ชำเลืองไปเห็นผู้ชาย 2 คนนั้น เดินเข้าตามมาอีกประตู ดิฉัน เร่งฝีเท้าจนไปถึงถนนใหญ่รีบพาคุณแม่ขึ้นแท็กซี่กลับบ้าน ที่ดิฉันเล่ามา เนื่องจากจากเหตุการณ์นี้ ดิฉันมีความคิดขึ้นมาว่าการที่ดิฉันคิดจะสร้างกุศลปล่อยชึวิตสัตว์ที่กำลังจะถูกฆ่า ทำไมดิฉันจึงต้องไปเจอเหตุการณ์ร้าย ๆ กับตนเอง แต่ขณะเดียวกันก็คิดบอกกับตนเองว่าการที่ดิฉันปล่อยชีวิตสัตว์กุศลนั้นได้ย้อนกลับมาช่วยชีวิตดิฉันทันทีแล้วเหมือนกัน แต่เนื่องจากมีคนที่เขาก็ปฏิบัติธรรมเขาทราบเรื่องราวดังกล่าว เขาบอกว่ามันคนละส่วนกัน ดิฉันไม่เข้าใจ แต่เพราะในชีวิตดิฉันก็เคยเจอเหตุการณ์ถูกโจรอ้วนผอมปล้นมาแล้ว และเห็นผลจากการไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต เพราะคนอื่นถูกโจรทำร้ายหมดทั้งทุบตีด้วยปืน ฉุดกระชากปลดทรัพย์ให้ช้าก็โดนตบ มีดิฉันคนเดียวที่โจรเข้ามาจะปลดทรัพย์เป็นคนสุดท้าย แล้วดิฉันบอกให้ยืนรอ เดี๋ยวดิฉันปลดทรัพย์ให้เองแล้วโจรไม่ทำร้ายดิฉันเลยสักนิด ไม่มาแตะต้องเนื้อตัวดิฉันเลย ดิฉัน จึงเชื่อมั่นในผลของการรักษาศีล ข้อที่ 1 มาก ๆ ดิฉัน จึงอยากให้ท่านช่วยชี้แจงถึงเหตุและผลของการปล่อยชีวิตสัตว์แล้วเจอเหตุการณ์จะถูกปล้น ( ตัวอย่างอื่นๆ เช่น จำได้ว่าตอนเด็กๆ มีคนจำนวนมากนั่งรถไปทอดกฐินแต่ปรากฎรถคว่ำเสียชีวิตทั้งคันรถ หรือไม่ก็ไปทำบุญที่วัดกลับมาบ้านถูกไฟไหม้หมด) ทั้งนี้ เพราะมีคนจำนวนมากนึกน้อยใจว่าไปทำบุญสร้างกุศลแท้ ๆ ทำไมจึงเจอเหตุการณ์เลวร้ายในชีวิต จึงส่งผลให้เขาเหล่านั้นท้อที่จะทำบุญ แล้วเลิกทำบุญไปในที่สุดค่ะ

คำตอบ
ฟังเรื่องที่บอกเล่าไปแล้วเหมือนได้อ่านนิยายชีวิตการปล่อยสัตว์ให้เป็นอิสระ เป็นการให้ชีวิตเป็นทานเมื่อใดที่กรรมดีให้ผลตัวเองจะมีชีวิตปลอดจากภัยและเป็นอิสระ ส่วนการถูกปล้นเป็นเรื่องของกรรมเก่าให้ผลจึงต้องสูญเสียทรัพย์ ด้วยผู้ที่พบประสบการณ์ติดลบเช่นนี้เคยประพฤติอทินนาทานจึงต้องเป็นไปตามกฎแห่งกรรม

การทำบุญเป็นสิ่งดี ผู้ใดประพฤติบุญกิริยาวัตถุ 10 อยู่เสมอผู้นั้นมีบุญสั่งสมอยู่ในจิตวิญญาณ และปัจจุบันชาติยังได้ประพฤติตนเป็นผู้มีศีล 5 ครองใจอยู่เสมอเป็นการตอกย้ำบุญที่ทำให้มีกำลังกล้าแข็งยิ่งขึ้นชีวิตจะพบแต่ประสบการณ์ที่ดีบุคคลประเภทนี้จะไม่เลิกทำบุญ ตรงกันข้ามกับคนที่ทำดีบ้างทำชั่วบ้าง เมื่อกรรมชั่วให้ผลจึงคิดท้อใจว่าทำดีแล้วไม่ได้ดีเหตุเพราะความดียังมีไม่มากพอที่จะให้ผลจึงเลิกทำบุญไปในที่สุด ความสำคัญของเรื่องนี้อยู่ที่ว่า ผู้ถามปัญหาเป็นคนประเภทไหนยังหนักแน่นมั่นคงอยู่กับการทำบุญ หรือคิดจะล้มเลิกการทำบุญ


3) ดิฉัน เคยพบครูบาอาจารย์ท่านหนึ่ง ท่านสอนให้ดิฉันสวดอิติปิโส แบบสวดถอยย้อนกลับทั้งบท และดิฉันก็ฝึกจนสวดได้ ซึ่งท่านบอกสวดแล้วดี ไม่ค่อยมีใครสวดเพราะยาก ( เช่น สวดปกติว่า "อิติปิโส....พุธโธ ภควาติ" ในตอนขึ้นต้น 1 จบ แล้วก็สวดถอยย้อนกลับ 1 จบ ว่า "ติวาคภ โธพุธ....โสปิติอิ" มีผู้ที่ปฏิบัติธรรมทราบว่าดิฉันเคยสวดแบบนี้ เขาก็บอกว่าการสวดแบบนี้จะทำให้ชีวิตเดินถอยหลังไม่เจริญก้าวหน้า ดิฉัน ก็เลยอยากจะเรียนถามท่านว่าเคยทราบเรื่องการสวดอิติปิโสถอยย้อนกลับหรือไม่ ผลที่เกิดขึ้นเป็นเช่นไร และสมควรสวดหรือไม่ค่ะ

คำตอบ
ผู้ตอบปัญหาไม่เคยทราบเรื่องการสวดมนต์บทอิติปิโสถอยย้อนกลับ แต่เคยมีประสบการณ์ก่อนฝึกกรรมฐานครูบาอาจารย์ให้ท่องคำว่า เกสา โลมา นขา ทนฺตา ตาโจ แล้วให้พูดย้อนกลับ ผู้ใดระลึกย้อนกลับได้ผลที่เกิดตามมาคือจิตมีกำลังของสติเพิ่มขึ้น ทำให้จิตมีความตั้งมั่นเป็นสมาธิ จิตเช่นนี้บางคนนำมาพิจารณาคำที่ครูบาอาจารย์สอน สามารถเข้าถึงดวงตาเห็นธรรมได้

ดังนี้การสวดมนต์บทอิติปิโสฯ ย้อนกลับจึงเป็นสิ่งดีสมควรประพฤติต่อไป และจะให้ดียิ่งขึ้นต้องใช้จิต โยนิโสมนสิการให้เข้าใจความหมายของบทสวดมนต์ จะทำให้ความศรัทธาในคุณของพระพุทธะมีกำลังมากขึ้น

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1521 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 28, 29, 30, 31, 32, 33, 34 ... 102  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร