วันเวลาปัจจุบัน 27 ส.ค. 2025, 03:29  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 1521 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 29, 30, 31, 32, 33, 34, 35 ... 102  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 24 พ.ค. 2010, 02:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1.เรื่องการทำแท้ง ที่อาจารย์ได้เคยตอบคำถามทางวิทยุว่าให้ไปปฏิบัติธรรมและขอให้ผู้ปฏิบัติธรรมท่านอื่นๆ ช่วยอุทิศบุญกุศลให้เด็กที่ทำแท้งไป ดิฉันจะไปปฏิบัติได้ที่ไหนบ้างค่ะ และเด็กที่ทำแท้งเขาจะมาเกิดเป็นลูกดิฉันใหม่ได้ไหมค่ะ ดิฉันเคยไปปฏิบัติธรรมที่วัดแห่งหนึ่ง แต่ที่นั่นก็ ไม่ได้มีการให้ผู้อื่นช่วยกันอุทิศบุญกุศล ต่างคนต่างอุทิศบุญกุศลของตนเอง

คำตอบ
สถานปฏิบัติธรรมมีหลายแห่ง อาทิ ยุวพุทธฯ กรุงเทพ วัดอัมพวัน จ.สิงห์บุรี วัดมเหยงค์ จ.พระนครศรีอยุธยา วัดทับทิมแดง จ.ปทุมธานี ฯลฯ

ปฏิสนธิวิญญาณใดจะมาเกิดเป็นลูกได้ ต้องมีบุญ-มาประดับเดียวกันกับผู้ให้ท้องเขามาเกิด คุณจะได้จิตวิญญาณแบบไหนมาเกิดกับคุณอยู่ที่จิตคุณเองต้องการลูกมีจิตเป็นแบบไหน ถ้าผู้เป็นแม่มีจริตหนักไปทางด้านมีความโลภมีความโกรธความหลง โอกาสได้ลูกที่มีจิตวิญญาณมาจากสัตว์ในภพภูมิต่ำมาเกิดถ้าแม่ประพฤติตนอยู่แต่ในศีล 5 เป็นปรกติ โอกาสได้ลูกที่มีจิตวิญญาณจากภพมนุษย์มาเกิด ถ้าแม่เป็นผู้มีจิตใจมุ่งมั่นอยู่กับการให้ทานและรักษาศีล5 เป็นนิจ โอกาสได้ลูกที่มีจิตวิญญาณจากภพสวรรค์มาเกิด ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับฐานรองรับของผู้เป็นแม่ ว่ามีศีลมีธรรมอยู่ในระดับไหน ดังนั้นประสงค์จะให้ลูกที่ถูกทำแท้งมาเกิดกับตนเองใหม่ต้องอธิษฐานแล้วทำตัวเองให้มีจิตขุ่นมั่วเศร้าหมองเหมือนครั้งที่ลูกคนนั้นมาเกิดในท้องแล้วถูกทำแท้ง

ต่างคนต่างปฏิบัติธรรมต่างคนต่างได้บุญ ต่างคนต่างอุทิศบุญกุศลที่ตนมี มิได้ประพฤติผิดธรรมข้อไหน แต่ผู้มีปัญญาไม่ประมาณมีเมตตาไม่ประมาณ เขาพร้อมที่จะให้ความสงเคราะห์เมื่อถูกร้องขอให้ช่วย



2. ดิฉันจะต้องไปอยู่ต่างประเทศ มีความกังวลใจเรื่องการปรับตัว เรื่องความเป็นอยู่ เรื่องภาษา เรื่องหางานทำ ดิฉันจะต้องทำอย่างไรดีค่ะ เพราะว่าใจก็อยากปฏิบัติธรรม แต่จิตใจก็มีกังวลเรื่องปัญหาต่างๆ มี วิธีทำอย่างไรให้ปฏิบัติธรรรมกับการดำเนินชีวิตในต่างแดนควบคู่ไปด้วยกันบ้างค่ะ

คำตอบ
ฝึกจิตตนเองให้มีสติระลึกอยู่กับปัจจุบันแล้วทำให้ดีที่สุดด้วยการพัฒนาศักยภาพของตนเองให้มีความรู้ความสามารถจนสูงสุด และพัฒนาจิตตนเองให้มีคุณธรรมสูงสุดเท่าที่ตนสามารถทำได้ พระพุทธะชี้แนะให้พึ่งตนเอง ด้วยการพึ่งธรรมที่มีอยู่ในใจตนนั้นดีที่สุด ถ้าเชื่อและประพฤติตามคำสอนของพระพุทธะ แม้จะโคจรไปอยู่ ณ ที่สถานแห่งใด ในกาลเวลาไหน ๆ ชีวิตจะพบแต่ความสวัสดี


3. ดิฉันเป็นคน sensitive ต่อคนและสิ่งต่างรอบข้างมาก ๆ เลยค่ะ เวลามีปัญหา ก็พาลจะร้องไห้แต่จะเป็นแบบน้ำตาไหลออกมาเอง ยิ่งมาอยู่ต่างแดน เวลามีปัญหาอะไรเกิดขึ้น น้ำตาก็พาลจะไหลทุกที พยายามบังคับตัวเองไม่ให้ร้องไห้ แต่น้ำตามันก็ไหลมาเอง ดิฉันก็พยายามจะคิดเรื่องลมหายใจเข้าออก เพื่อลดความ sensitive ลง อาจารย์มีวิธีแนะนำไหมค่ะ

ขอบพระคุณอาจารย์เป็นอย่างสูง ขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย จงคุ้มครองอาจารย์และครอบครัวให้มีความสุข ความเจริญค่ะ

คำตอบ
การได้รับสัมผัสแล้วระลึกได้ถึงสิ่งกระทบที่อยู่รอบข้างได้เร็วนั้นเป็นเรื่องดี เป็นเรื่องของพลังงานจิตทำงานร่วมกับระบบประสาทของร่างกาย จิตใดมีกำลังสติกล้าแข็งมีกำลังปัญญาเห็นถูกกล้าแข็ง เมื่อรับกระทบแล้วจะไม่เกิดอารมณ์หวั่นไหว อันจะนำมาซึ่งพฤติกรรมที่ติดลบฉะนั้นต้องปรับแก้ไขตนเองให้มีกำลังของสติสัมปชัญญะกล้าแข็งได้เมื่อใดแล้ว ปัญหาที่บอกเล่าไปจะไม่เกิดขึ้นอีก

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 24 พ.ค. 2010, 02:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1. เพื่อนดิฉันส่งสัยว่าการการนั่งหลับตาเจริญวิปัสสนา เฉยๆ ได้บุญตรงไหน ตัวเขาไม่เคยเบียดเบียนใคร ไม่ทำให้ใครเดือนร้อนก็พอแล้ว จะได้บุญด้วยวิธีนั่งเฉยๆ ภาวนาพุทธโธ ได้บุญมาอย่างไร

คำตอบ
พระพุทธเจ้าทุกพระองค์มีความเป็นสัพพัญญูคือรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง คนที่รู้ทุกสิ่งทุกอย่างบอกว่าการกระทำที่ให้ผลเป็นบุญบุคคลสามารถทำได้ 10 อย่าง (บุญกิริยาวัตถุ 10)และหนึ่งในสิบอย่างนั้นได้แก่การภาวนา การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน เป็นการพัฒนาจิตให้เกิดปัญญาเห็นแจ้ง คือเห็นถูกตรงตามที่เป็นจริงแท้ (ปรมัตถสัจจะ) เห็นแจ้งคือเห็นความทุกข์ได้ถูกตรงจึงรู้ทันความทุกข์และสามารถกำจัดความทุกข์ให้หมดไปจากใจได้ ดังนั้นการนั่งหลับตาเจริญวิปัสสนาจึงเป็นการกระทำที่นำมาซึ่งบุญสูงสุด หากเพื่อนของผู้ถามปัญหาเกิดความทุกข์ขึ้นเมื่อใดแล้วหาทางออกไปให้พ้นจากทุกข์ไม่ได้ ถ้าบุญของเขาส่งผลเขาอาจมาพิสูจน์สัจจธรรมนี้ก็เป็นได้

2. ที่ทำงานดิฉัน เป็นองค์กรใหญ่ มีพนักงานกว่า 500 คน ป้จจุบันเกิดปัญหาความแตกแยกความสามัคคี เริ่มจากหัวหน้าฝ่ายจนถึงลูกน้อง ในแต่ละฝ่ายไม่ไว้วางใจกันและกัน ทะเลาะกัน คอยจับผิด กันและกัน ไม่มีความเมตตากันหรือช่วยเหลื่อกัน อยู่ด้วยความตรึงเครียด แบ่งพรรคแบ่งพวก ภรรยาเจ้าของบริษัทก็ไม่ไว้ใจพนักงาน จ้องคิดเพียงว่าพนักงานจะทุจริต ไม่ซื่อสัตย์ อาจารย์ขาดิฉัน ควรทำเช่นไร แต่ละคนล้วนเป็นพี่ เป็นเพื่อน เป็นน้อง ร่วมงานกันมานับ 10 ปี ใช้ธรรมะข้อใดดีค่ะ ที่จะอยู่ และทำงาน อย่างปกติสุข ทั้งทางโลก และทางธรรม

คำตอบ
เรื่องที่เกิดขึ้นมีเหตุมาจากสมาชิกขององค์กรจำนวนหนึ่ง ประพฤติทุกศีลคือมีศีลไม่ครบห้าข้ออยู่ในใจ และประพฤติตนเป็นผู้ไร้ธรรม โดยเฉพาะผู้เป็นหัวหน้าองค์กรหัวหน้างาน ต้องประพฤติจริยธรรมของการเป็นหัวหน้าที่ดี เช่น มีพรหมวิหาร มีกามสังวร มีปิยวาจา เว้นอคติ มีสติสัมปชัญญะ มีสัมมาอาชีวะ มีคุณสมบัติผู้นำที่ดีฯลฯ ผู้เป็นลูกน้องต้องประพฤติจริยธรรมของการเป็นลูกน้องที่ดี เช่น ขยัน อดทน สุจริต มาทำงานก่อนเจ้านาย เลิกงานที่หลังเจ้านาย เอาแต่ของที่นายให้ รับผิดชอบงานเว้นอบายมุขเอาความดีของนายไปเผยแพร่ฯลฯ

ดังนั้นหากผู้ถามปัญหา มีอำนาจบริหารจัดการพัฒนาบุคลากรต้องวางกติกาให้คนในองค์กรปฏิบัติ และให้โอกาสบุคลากรได้พัฒนาจิตวิญญาณของตัวเอง แต่ถ้าผู้ถามปัญหาไม่อยู่ในวิสัยที่จะทำเช่นที่แนะนำได้ ต้องพัฒนาตัวเองให้เป็นคนเก่งมีความรู้ความสามารถในงานที่ทำต้องพัฒนาตัวเองให้เป็นคนดีด้วยการประพฤติจริยธรรมและพัฒนาตัวเองให้เป็นคนเฮง ด้วยการประพฤติบุญกิริยาวัตถุ 10 อยู่เสมอ แล้วจะสามารถอยู่กับปัญหาได้ โดยปัญหาเหล่านั้นไม่สามารถมาทำให้ตัวเองวิบัติได้

3. ถ้าจะจัดให้มีการอบรมพนักงานให้มีจริยธรรมในองค์กร ขอเรียนขอคำแนะนำจากอาจารย์ว่า ควรเชิญอาจารย์ที่เป็นวิทยากรแบบไหน ใจดิฉันอยากเรียนเชิญอาจารย์เป็นอย่างยิ่งตรงจุดตรงใจและตรงจริง และหัวข้อที่เหมาะสม ขอเรียนขอคำแนะนำจากผู้มีประสพการณ์ทั้งทางโลก และทางธรรมค่ะ ขอบพระคุณในความเมตตาของอาจารย์


คำตอบ

การได้ฟังผู้รู้บอกกล่าวให้ประพฤติตนตามแนวจริยธรรมยังไม่ดีเท่ากับให้ผู้ฟังได้พัฒนาจิตวิญญาณของตัวเองด้วยปฏิบัติธรรมด้วยตัวเอง จนเกิดปัญญาเห็นถูกตามธรรมได้เมื่อใดแล้ว พฤติกรรมของบุคคลจะเปลี่ยนมาเป็น คิด พูด ทำ ล้วนแต่อยู่ในฝ่ายดี คือมีพฤติกรรมไม่ผิดกฎหมายไม่ผิดศีลและไม่เคลื่อนไปจากธรรม

หรือเพียงอบรมพนักงานให้มีสติให้เกิดปัญญาเห็นถูก และมีจิตสำนึกดีงามก็สามารถทำได้ด้วยการหาวิทยากรที่พูดได้ตรงจุดตรงประเด็นพูดแล้วเข้าถึงใจผู้ฟังได้ประโยชน์ผู้ฟัง และต้องเป็นวิทยากรที่มีความรู้มีประสบการณ์ประพฤติตนถูกตรงตามธรรม ซึ่งในสังคมบ้านเมืองของเรายังพอหากคนอย่างนี้ได้อยู่แต่มีไม่มาก

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 24 พ.ค. 2010, 12:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1) เมื่อคืนที่ผ่านมา ดิฉันนั่งสมาธิผ่านไปได้ประมาณ ชั่วโมงกว่าเวทนาเกิดขึ้น ดิฉัน ก็พยายามอยู่กับลมหายใจเข้าออก และพิจารณาแยกกายกับจิตเหมือนที่เคยพิจารณาได้คือจะนิ่งและมองเวทนาที่เกิดขึ้นว่าเป็นคนละส่วนกันกับจิต และในครั้งนี้ก็พิจารณาได้ว่ากายที่เกิดเวทนากล้า กับ จิตมันแยกออกจากกันและมีความรู้สึกว่าถ้าพ้นจากจุดนี้ คือ ถ้าเกิดความคมชัดของกายและจิตที่พิจารณาขาดจากกันโดยสิ้นเชิงแล้วจิตจะนิ่ง (มันรู้สึกเหมือนพยายามอีกนิดก็จะพ้นแล้ว คือ ใกล้จะนิ่งแต่ไปไม่ถึง ) ในขณะนั้น ก็ระลึกถึงคำสอนของท่านด้วย ว่า ต้องสละชีวิตจึงจะพบธรรม ดิฉัน ก็บอกกับตนเองว่าต้องทำให้ได้ ปรากฏผ่านไป 1 ชั่วโมง 40 กว่านาที ดิฉันแพ้ค่ะ เพราะรู้สึกตัวเองเร่งจนเครียดมากกว่า ซึ่งเมื่อออกจากสมาธิ ดิฉัน ก็อุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย และบอกกับตนเองว่าวันนี้ดิฉันแพ้แต่อย่างน้อยดิฉันก็ได้ขันติอดทนต่อสู้กับเวทนาตั้งนาน ออกจากสมาธิแล้ว รู้สึกเหนื่อยมากเหมือนคนไปออกแรงสู้กับอะไรสักอย่าง และผลที่ตามมาคือ พอดิฉันล้มตัวลงนอน ก็หมายว่าจะนอนภาวนาต่อ ปรากฎไม่นานดิฉันก็หลับไปและฝันร้ายตลอดทั้งคืน คือ เหมือนมีคนมาทำร้ายหมายเอาชีวิตทุกรูปแบบ แบบหนึ่งผ่านไป อีกแบบก็ผ่านเข้ามาอย่างรวดเร็ว
ดิฉัน จึงอยากเรียนถามท่านว่าดิฉันควรแก้ไขอย่างไร ซึ่งแน่นอนว่าดิฉันปฏิบัติผิดทางแน่แล้ว

คำตอบ
ปฏิบัติธรรมแล้วไม่สามารถเอาชนะเวทนาได้เหตุเป็นเพราะจิตมีกำลังของสติยังไม่กล้าแข็ง ผู้ที่เจริญสมถภาวนาจนสามารถนำจิตเข้าสู่ความตั้งมั่นระดับฌานได้ เมื่อถอยกำลังสมาธิลงมาตั้งมั่นอยู่ในระดับอุปจารสมาธิแล้วอธิษฐานยอมตายเพื่อให้สามารถเข้าถึงธรรมของพระพุทธะได้ง่ายจิตผ่านเวทนาเข้าสู่ความสงบเบาสบายได้

ส่วนเรื่องของการฝันร้ายเป็นการทำงานร่วมระหว่างจิตที่มีกำลังของสติยังไม่กล้าแข็งกับสัญญาเก่าที่ถูกเก็บฝังไว้ในดวงจิต ดังนั้นวิธีแก้ปัญหาทั้งสองเรื่องคือ รักษาศีล 5 ให้บริสุทธิ์เอาศีล 5 มาคุมใจเร่งความเพียรทำจิตตภาวนาให้มากต่อเนื่องยาวนานและสุดท้ายทุกครั้งเมื่อเลิกปฏิบัติต้องอุทิศบุญกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร


2) ดิฉัน สังเกตว่าเวลานั่งสมาธิทุกครั้ง เมื่อจิตเริ่มจะนิ่งลมหายใจจะค่อย ๆ อ่อนลง แล้วหยุดกลืนน้ำลาย ( ซึ่งโดยปกติคนเราต้องกลืนน้ำลายเป็นช่วง ๆ อยู่แล้ว ) แต่เมื่อไหร่ที่นั่งสมาธิแล้วจิตเริ่มนิ่ง หรือนิ่งแล้ว จะหยุดกลืนน้ำลายไปโดยอัตโนมัติ โดยรู้สึกได้จากเมื่อออกจากความนิ่งดิฉันจะกลืนน้ำลายทันที และเมื่อออกจากสมาธิแล้วจะรู้สึกคอแห้งมาก ๆ ดิฉัน จึงอยากเรียนถามว่าลักษณะอาการแบบนี้เป็นปกติของทุกคนที่นั่งสมาธิแล้วนิ่งหรือไม่ เพราะดิฉัน ปฏิบัติมา 10 กว่าปี ก็เป็นแบบนี้มาตลอดค่ะ ( ขณะนั่งสมาธิ ดิฉัน ไม่ได้กังวลตรงจุดนี้ เพียงแต่หลังออกจากสมาธิจะรู้สึกทุกครั้ง จึงอยากหาคำตอบ เพื่อว่าหากปฏิบัติผิดพลาดตรงไหน จะได้รีบแก้ไขให้ถูกต้องค่ะ )

คำตอบ
อาการกลืนน้ำลายหลังปฏิบัติธรรม เป็นเรื่องปรกติที่เกิดกับคุณแต่ไม่เกิดกับผู้ปฏิบัติธรรมอื่น วิธีแก้ปัญหาคือทำบุญด้วยน้ำดื่มบ่อยๆ แล้วอุทิศบุญให้กับเจ้ากรรมนายเวรไปเรื่อย ๆ จนกว่าอาการดังกล่าวจะหยุดไป

3) การทานอาหารเจ มีส่วนช่วยส่งเสริมการนั่งสมาธิให้ดีขึ้นหรือไม่ค่ะ

กราบขอบพระคุณที่ท่านสละเวลาตอบปัญหา....ด้วยความเคารพอย่างสูง

คำตอบ
ทานอาหารเจ ส่งเสริมการปฏิบัติสมาธิให้ดีขึ้นเพราะเป็นอาหารที่ย่อยง่าย แต่ต้องเลือกบริโภคอาหารเจที่ปราศจากสารพิษ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 24 พ.ค. 2010, 12:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หนูไม่ได้นับถือศาสนาพุทธ แต่ประมาณเกือบ 3 ปีมาแล้ว ได้ประสบกับเหตุการณ์ประหลาด โดยได้สัมผัสกับวิญญาณ 2 ดวงมาขออยู่ด้วย และได้สอบถามจากผู้ใหญ่ที่นับถือศาสนาพุทธ ท่านว่าเป็นกุมารทอง โดยน้องกุมารทั้ง2 เป็นดวงจิตที่ผูกพันกับหนูมาตั้งแต่อดีต แต่อย่างไรก็ตามทุกวันนี้ก็ยังดูแลพวกเขาอยู่ แต่เป็นการดูแลแบบเพื่อน และประมาณปี 2549 เพื่อนได้ประสบอุบัคิเหตุทางรถยนต์ และเสียชีวิต และภรรยาของเขาซึ่งเป็นเพื่อนของหนูด้วย ได้ขอให้หนูไปทำบุญกรวดน้ำให้สามีของเขาด้วย ซึ่งตัวเองก็ไม่ทราบว่าต้องทำอ่ย่างไรบ้าง จึงให้เพื่อนร่วมงานพาไปวัดของศาสนาพุทธ ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่ได้มีโอกาสเข้าไปเยี่ยมเยือน

หลังจากนั้นจึงได้มีความคิดที่จะเรียนรู้การนั่งสมาธิ และได้ศึกษาจากหนังสือต่าง ๆ โดยเฉพาะหนังสือของอาจารย์ทุกเล่มที่มีในท้องตลาด เพราะหนังสือของอาจารย์เข้าใจง่ายและคนต่างศาสนาอ่านก็เข้าใจ ถึงแม้ว่าจะไม่มีความรู้ทางศาสนาพุทธมาก่อนก็ตาม และตัวเองเคยตั่งมั่นอยู่วันหนึ่งว่าจะลุกขึ้นมานั่งสมาธิเวลาตี 3 และตัวเองได้ตื่นขึ้นมาเองโดยไมต้องใช้นาฬิการปลุกเวลาตี 2 ครึ่ง และเริ่มนั่งสมาธิโดยตังเองมีความสุขมากและมาเริ่มออกจากสมาธิอีกทีตอน ตี 4 ครึ่งโดยไม่มีความรู้สึกเป็นตะคริวแต่อย่างไร

ทุกวันนี้หนูนั่งสมาธิทุกคืน และทุกวันอาทิตย์จะไปนั่งสมาธิทีวัดพุทธ และก่อนนอนก็นั่งสมาธิเหมือนเช่นทุกวัน และประมาณวันที่ 25 กันยายน 2550 มีเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งมาเล่าให้ฟังว่า เขาฝันเห็นหนูในฝันด้วย โดยเขาฝันว่าเขาอยู่ในที่แห่งหนึ่งซึ่งมืดมาก ๆ เหมือนเป็นนรกเขากลัวมากจะออกก็ออกไม่ได้ เพราะเมื่อวิ่งออกมาประตูจะปิด และเสียงที่ประตูปิดเหมือนกับเสียงใบมีดกระทบกัน ดังนั้นเขาจึงคิดถึงหนู และเขาบอกว่าในฝันหนูพูดกับเขาว่า หนู่จะไปพูดกับยมฑูตให้ และ หนูให้เขาทำสมาธิ และ สักพักหนึ่งเขาก็เดินออกไปจากห้องนั้นได้ ตัวหนูเองยังงงอยู่ว่าหนูสามารถช่วยเขาได้ถึงเพียงนี้เลยหรือ

นอกจากนี้บางครั้งในขณะที่นั่งสมาธิหนู่เห็นงูแผ่แม่เบี้ยอยู๋ติดหน้าหนูเลย กลัวมากหลังจากนั้นทำใจให้สงบไม่ให้กลัว และบอกว่าแบ่งส่วนบุญกุศลของการนั้งสมาธินี้ไปให้เขาด้วย สักพักเข้าก็ไป และ บางครั้งขณะนั่งสมาธิก็เห็นว่ามีเงาเดินผ่านประตูห้องนอนเข้ามา แต่ลืมตาก็ไม่เห็นอะไร เมื่อหลับตาก็ยังรู้สึกว่าเขายังอยู่ จึงเข้าสมาธิ และแบ่งบุญให้เขาไป มีบางคนบอกว่า ชาติก่อนหนูอาจเคยนั่งสมาธิมาก่อน เพราะหนูสามารถปฏฺบัตได้โดยไม่เคยถูกสอนมาก่อน

ที่เขียนมาทั้งหมด ถ้าอาจารย์พอจะมีเวลาบ้าง รบกวนให้อาจารย์แสดงความคิดเห็นมาด้วยค่ะ เพราะตัวเองก็ไม่ทราบจะไปถามผู้รู้คนไหน และเป็นการยากที่จะหาคนอธิบายให้เข้าใจได้ง่ายสำหรับคนต่างศาสนาจะเข้าใจได้

สุดท้ายนี้กราบขอขอบพระคุณอาจารย์มากค่ะ


คำตอบ
ความดีความชั่วเป็นสากล ทำดีต้องได้ดีแน่นอน คนทำกรรมชั่วต้องรับผลกรรมชั่วแน่นอน มิได้ขึ้นอยู่กับความแตกต่างในเรื่องของศาสนา ศาสนิกใดทำผิดกฎหมายบ้านเมือง เช่นค้ายาบ้า ฆ่าคนตาย แล้วถูกจับได้ ต้องได้รับโทษด้วยการถูกพิพากษาให้รับผลของกรรมชั่วทุกคน ด้วยเหตุนี้การที่ผู้ถามปัญหาได้ทำความดีแล้วอุทิศบุญที่เกิดขึ้นจากการกระทำ ให้กับผู้ที่ตายล่วงลับไปแล้วเป็นเรื่องของความมีเมตตามีจิตสงเคราะห์มีใจเอื้อเฟื้อแผ่ ฯลฯ ของผู้อุทิศบุญ นี่คือความจริงที่พิสูจน์ได้ ผู้ตอบปัญหาขอแสดงความยินดีในความดีที่คุณได้ทำแล้ว

พัฒนาจิตด้วยการนั่งสมาธิแล้วมีความสุข นั่นเป็นผลที่เกิดจากมีจิตตั้งมั่น การพัฒนาจิต (จิตตภาวนา) เป็นบุญสูงสุด เพราะสามารถนำจิตวิญญาณเข้าถึงแก่นของความดี (ธรรมะ) สามารถอยู่กับทุกข์อย่างรู้ทันแล้วไม่ทุกข์และที่สุดสามารถปลดจิตให้เป็นอิสระจากทุกข์ทั้งปวงได้ นี่เป็นความจริงที่บุคคลในศาสนาใดก็สามารถพิสูจน์ได้ ดังนั้นเรื่องความฝันของเพื่อนเป็นเรื่องจริงที่เพื่อนได้เก็บบันทึกข้อมูลความจำที่จะเป็นเหตุนำเขาไปเกิดเป็นสัตว์ในภพต่ำในวันข้างหน้าได้ สิ่งที่คุณแนะนำเขา (ในฝันของเพื่อน) ให้ปฏิบัติสมาธินั้นแนะนำได้ถูกต้อง ถ้าเพื่อนเชื่อแล้วหยุดทำกรรมชั่วหันมาปฏิบัติธรรมเขาจะไม่ต้องลงไปเกิดเป็นสัตว์ในภพต่ำในวันข้างหน้า ด้วยเหตุนี้คนที่ว่ายน้ำเป็นแล้วจึงสามารถช่วยคนที่กำลังจะจมน้ำได้ คนที่มีบุญสั่งสมอยู่ในดวงจิต จึงสามารถช่วยคนที่มีบาปให้ลงไปเกิดในภพภูมิที่ต่ำได้ ด้วยการชี้ให้เขาเห็นและต้องปฏิบัติตามคำชี้แนะ

สุดท้าย การอุทิศบุญให้กับงูที่แผ่แม่เบี้ย อุทิศบุญให้กับอมนุษย์ที่มาปรากฏให้เห็นด้วยจิตที่ตั้งมั่น (ลืมตาไม่เห็น) นั้นทำถูกต้องแล้ว จงทำต่อไปแล้วคุณจะมีสรรพสัตว์กายหยาบสรพสัตว์กายทิพย์มาเป็นเพื่อนดีกับคุณ..สาธุ ความดีที่เป็นสากลทั้งปวงจงคุ้มรักษาผู้ถามปัญหาให้มีความเจริญทั้งในชีวิตนี้ชีวิตหน้าพร้อมทั้งส่งผลผลักดันชีวิตให้เป็นอิสระจากสิ่งเศร้าหมองทั้งปวงได้เป็นเบื้องสุด

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 24 พ.ค. 2010, 12:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หนูปฏิบัติมาได้ระยะหนึ่งแล้วค่ะ โดย หายใจเข้า "พุทธ" หายใจออก "โธ" หนูรู้สึกว่าจิตนิ่งง่ายขึ้นกว่าแต่ก่อน เวลาที่จิดฟุ้งไป หนูก็จะ รู้หนอ เห็นหนอ ...ฯ.ล.ฯ จิตก็จะกลับมานิ่ง และรู้สึกว่ามันว่างๆ หนูก็จะภาวนาคำว่า "ว่าง" อยู่อย่างนั้นไปเรื่อยๆ พอมีฟุ้งไปบ้างไม่นานก็จะกลับมานิ่งได้เหมือนเดิม มีอยู่ครั้งหนึ่งหนูรู้สึกว่ามันว่างจนใจหาย!! เป็นเพราะอะไรคะ? แต่แป๊บเดียวสติก็กลับมานิ่งได้เหมือนเดิม ทุกครั้งที่จิดนิ่ง-ว่าง จะรู้สึกว่าโล่ง เบา สบาย สิ่งที่หนูปฏิบัติอยู่นี้ถูกต้องหรือยังคะ ? หนูยังนั่งได้ไม่นานมาก ส่วนใหญ่จะประมาณ 30 นาที เพราะขาจะแข็งมาก แต่หนูตั้งใจไว้ว่าจะค่อยๆ เพิ่มเวลาขึ้นไปเรื่อยๆค่ะ


คำตอบ

ที่ฝึกมานั้นถูกทางแล้ว อาการที่ผิดว่าง โล่ง เบา สบาย เป็นเรื่องของการมีจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิลึก (อัปปาสมาธิ) หรือสมาธิระดับฌานแต่เป็นแค่สมถกรรมฐานยังไม่เกิดปัญญาเห็นแจ้งจึงไม่รู้เท่าทันอาการว่างจึงทำให้ใจหายได้ ฉะนั้นขั้นต่อไปจึงควรลดกำลังของสมาธิ ลงมาตั้งมั่นอยู่ในระดับกลาง (อุปจารสมาธิ) คือจิตยังดิ่งไม่ถึงที่สุด ซึ่งจะรู้ได้ด้วยการที่จิตไม่มีนิวรณ์ธรรมเข้ามารบกวน ให้เกิดเป็นอารมณ์ขึ้นกับใจ แล้วใช้สมาธิระดับนี้เป็นฐานให้ใจได้ตามดูกาย (กายคตาสติ) จนเห็นว่าร่างกายดับไป (อนัตตา) ตามกฎไตรลักษณ์ ปัญญาเห็นถูกตรงตามที่เป็นจริง (เห็นแจ้ง)ในเรื่องของกายก็จะเกิดขึ้น ว่าแท้จริงแล้วร่างกายไม่มีตัวตน จิตจะปล่อยวางร่างกาย แล้วจิตว่างเข้าสู่ความเป็นอุเบกขา เช่นเดียวกับ หากเวทนา (สุขเวทนา ทุกขเวทนา อทุกขมสุขเวทนา) เกิดขึ้นแล้วใช้จิตที่นิ่งตามดู เวทนา จนเห็นว่าดับไป (อนัตตา) ตามกฎไตรลักษณ์ เวทนาไม่มีตัวตนแท้จริงจิตปล่อยวางเวทนา แล้วจิตว่างเข้าสู่ความเป็นอุเบกขา ส่วนเรื่องของจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน ธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐานในพิจารณาเช่นเดียวกันกับสอบฐานแรกที่กล่าวถึง แล้วปัญญาเห็นแจ้งเกิดขึ้นพร้อมจิตว่างเป็นอุเบกขา นี้คือผลที่เกิดจากวิปัสสนากรรมฐาน

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 24 พ.ค. 2010, 13:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ในเรื่องของการบำเพ็ญบารมีตามที่ท่านอาจารย์ได้สอนนั้น อาจารย์กล่าวถึงการบำเพ็ญ 3 ขั้น คือ บารมีธรรมดา อุปบารมี และปรมัตถบารมี นั้น ขอเรียนสอบถามเพื่อความเข้าใจเนื่องจากความรู้น้อย

การแยกแยะว่าบำเพ็ญบารมีแต่ละครั้งที่ลงมือทำว่าเป็นขั้นไหน ผู้ลงมือกระทำจะใช้อะไรวัดคะ กำลังของจิตใจขณะลงมือกระทำใช่ไหมคะ

สมมุติลูกคนหนึ่งที่พ่อแม่เลี้ยงมาอย่างดี พ่อแม่มีทรัพย์มาก เมื่อลูกโตขึ้นได้ตั้งสัจจอธิษฐานว่า ขอใช้ชีวิตของตัวเองที่เหลือเพื่อเลี้ยงดูพ่อแม่และเพื่อให้พ่อแม่ได้ปฏิบัติธรรม จากนั้นลูกคนนี้ทำอยู่เพียง 2 อย่าง คือ 1.สร้ างทานบารมีกับพระอรหันต์อยู่เสมอและพากเพียรทำอาชีพการงานให้เจริญก้าวหน้า เพื่อให้พ่อแม่ได้ปล่อยวางภาระทางโลกได้ง่ายและได้อยู่สุขกายสุขใจตามสมควร และ 2.พากเพียรปฏิบัติบัติธรรมกับผู้รู้นำตนเองเข้าสู่มรรคผล และทำการบริจาคเพื่อสนับสนุนการปฎิบัติธรรมแก่สาธารณชนอยู่เสมอ เพื่อตนเองพ้นทุกข์และเพื่อเปิดทางธรรมแก่พ่อแม่ เช่นนี้ลูกคนนี้ได้บำเพ็ญบารมีหลายขั้นพร้อมๆกันใช่หรือไม่คะ เพียงแต่อาจจะยังแยกแยะไม่ออกว่าทำอะไรและทำขั้นไหนบ้าง


คำตอบ
บารมีทั้งสามระดับให้ดูที่ความยาก-ง่ายในการบำเพ็ญ ยกตัวอย่างเช่นการบำเพ็ญทานบารมี

ทานบารมีระดับธรรมดาได้แก่การให้ การสละ การบริจาคสิ่งของ นอกกายเป็นทาน ตัวอย่างปรุงอาหารใส่บาตร ซื้อยารักษาโรคถวายพระให้ทรัพย์แก่ผู้เดินทาง ฯลฯ

ทานอุปบารมี เป็นทานที่ประพฤติยากขึ้นอีก เช่น บริจาคเลือด บริจาคไต บริจาคอวัยวะเป็นทาน เช่น พระเวสันดร บริจาคบุตร-ภรรยาให้กับผู้มาขอเป็นทานระดับกลาง

ทานปรมัตถบารมี ได้แก่การให้ชีวิตเป็นทาน เช่นสมัยที่พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นกระต่าย ได้สละชีวิตให้แก่พราหมณ์ที่ประสงค์อยากกินเนื้อกระต่าย ด้วยการกระโดดเข้ากองเพลิง เพื่อเผาย่างตัวเองให้เนื้อเป็นทานแก่พราหมณ์ผู้ขอ

สร้างบารมีกับพระอรหันต์อยู่เสมอ รวมถึงสนับสนุนการปฏิบัติธรรมผู้ถามมิได้บอกว่าทำโดยวิธีใด หากบำเพ็ญตนต้องดูว่าเป็นทานระดับไหน ให้สิ่งของนอกกายเป็นทาน ก็เป็นการบำเพ็ญทานบารมีระดับธรรมดา

ส่วนในเรื่องของความเพียรที่ให้กับการปฏิบัติธรรมถือว่าเป็นวิริยบารมี และต้องดูด้วยว่าเพียรระดับไหน พระนางปชาบดี (โคตมี) เดินเท้าเปล่าจากกรุงกบิลพัสดุ์ ไปจนถึงเมืองเวสาลีแคว้นวัชชีทำให้เท้าแตกเจ็บระบมเจตนาเพื่อไปขอบวชเป็นภิกษุณี ความเพียรเช่นนี้เป็นวิริยาอุปบารมี อดีตของพาหิยะกุมารกัสสปะ สภิยปริพาชก ฯลฯ ในปลายพุทธกาลของพระพุทธกัสสปะ ได้บวชเป็นพระสงฆ์เพียรปฏิบัติธรรมโดยเอาชีวิตเขาแลก และตายในที่สุด ความเพียรเช่นนี้เป็นวิริยปรมัตถบารมี

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 24 พ.ค. 2010, 13:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

โหลดอ่าน"ทางสายเอก"ฉบับพิมพ์ใหม่

คลิก http://www.kanlayanatam.com/Mybookneana ... h_thai.pdf




หนูเริ่มติดตามผลงานของอาจารย์หลังจากที่ได้อ่าน "ทางสายเอก" ที่คุณพ่อหนูเอามาให้อ่าน ท่านสนใจธรรมมะและเริ่มปฏิบัติสมาธิหลังจากที่เกษียณแล้ว ตอนนี้ก็ประมาณสามปีได้ค่ะ ก่อนหน้านี้ก็สวดมนต์อย่างเดียว เริ่มแรกท่านบริกรรมพุธโธ แรกๆ ก็ได้ยินเสียงข้างๆ หูบอกว่าอย่านั่งถ้านั่งแล้วจะตาย แต่ท่านก็นั่ง มีอยู่ช่วงหนึ่งท่านรู้สึกเหมือนจิตจะออกจากร่าง เห็นเหมือนว่าจะตายและท่านพยายามฝืนไม่ยอม ครั้งแรกตอนนังสมาธิและอีกครั้งก่อนจะเอนตัวลงนอน(หลังจากนั่งสมาธิ) หนูเลยหาวัดชวนท่านไปเพื่อให้ท่านได้แนวทางและครูบาอาจารย์ (ท่านไม่มีใครสอนแต่นั่งเองและอ่านหนังสืออย่างเดียว) ก็ไปที่วัดที่สิงห์บุรีแต่คนเยอะมาก เริ่มไปเมื่อปีที่แล้วประมาณสองครั้งและฝึกเองต่อที่บ้าน ท่านก็เดินจงกรมนั่งสมาธิทุกวันวันละหนึ่งชม. และก็ยังอ่านหนังสือเป็นแนวทางต่อ โดยที่ไม่ได้มีโอกาสถามครูอาจารย์เพื่อรายงานและปรับปรุงผลการปฏิบัติ จึงอยากขอคำแนะนำอาจารย์ว่าแล้วเราจะทราบได้อย่างไรว่าที่เราทำนั้นถูกต้องแล้วหรือไม่ และอยากให้ช่วยแนะนำครูอาจารย์ที่สามารถชี้แนวทางหากต้องการจะปรึกษาค่ะ

ส่วนตัวหนูเองยังถือว่าปฏิบัติลุ่มๆ ดอนๆ บางวันเดินนั่งอย่างละครึ่งชั่วโมงบ้าง ชั่วโมงนึงบ้าง แล้วแต่ความเพลียและนานๆ ทีก็เบี้ยวบ้างค่ะ นานๆ ครั้งก็ได้กลิ่นหอมเหมือนน้ำอบ (โดยเฉพาะเวลานั่งในห้องพระ) ครั้งล่าสุดเมื่อไปที่วัดมา จิตก็พยายามกำหนดรู้ว่ากลิ่นหนอ สักพักรู้สึกว่าลมหายใจละเอียดขึ้นแต่การหายใจเข้าออกสั้น อยากสูดลมหายใจให้ยาวก็เกรงว่าจะกลายเป็นไปบังคับตะเบ็งลมหายใจและลมหายใจที่ละเอียดจะหายไป (ขอคำแนะนำจากอาจารย์ด้วยค่ะ) และเมื่อปฏิบัติเสร็จแล้วก็มานั่งคิด ไม่แน่ใจว่าจะเป็นคุณย่าที่เสียไปนานแล้วหรือเปล่า เพราะท่านก็กินเจ ใส่บาตรและนั่งสมาธิทุกวันจนเสีย เราควรปฏิบัติอย่างไรเมื่อพบกับสิ่งนี้คะ

สุดท้ายคือ เนื่องจากลูกสุนัข (ที่บ้านมีสุนัขหลายตัว) ป่วยด้วยพยาธิเม็ดเลือดที่เกิดจากเห็บจนเกือบเอาชีวิตไม่รอดแต่ก็รอดในที่สุด ที่บ้านจึงซื้อยามาฉีดกำจัดเห็บให้ทุกเดือน แต่ยังมีเห็บอยู่บ้าง ทั้งคุณพ่อคุณแม่ก็เลยนั่งหาเห็บมาใส่น้ำมันทุกวัน (บางวันก็เผาด้วย) แม้ว่าเราต้องการช่วยสุนัขแต่การฆ่าเห็บถือว่าบาปเช่นกันใช่ไหมคะ มีวิธีไหนที่จะสามารถให้ท่านทั้งสองเลิกการฆ่าเห็บได้คะ หนูไม่คิดว่าหนูจะพูดได้ค่ะ กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์และขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัยอวยพรให้ท่านอาจารย์มีสุขภาพแข็งแรงและอยู่เป็นกระจกส่องใจพวกเราผู้(เริ่ม)ใฝ่ธรรมนานๆ นะคะ


คำตอบ
หากบารมีของผู้ปฏิบัติธรรมยังมีไม่มากพอ การปฏิบัติควรต้องมีครูบาอาจารย์ที่มีประสบการณ์เป็นผู้ชี้แนะทาง เพราะการปฏิบัติด้วยตนเอง อาจหลงทางและทำให้เนิ่นช้าในการเข้าถึงธรรมครูบาอาจารย์ที่สามารถชี้แนะแนวทางมีอยู่หลายองค์อาทิ พระมหาบุญชิต วัดมหาธาตุฯ กรุงเทพฯ พระมหาสมัย วัดทับทิมแดง ปทุมธานี พระครูเกษมธรรมทัต วัดมเหยงคณ์อยุธยา พระอาจารย์เทวัญ วัดดอยพระเกิด เชียงใหม่ ฯลฯ

การจะเข้าถึงมรรคผลของการปฏิบัติธรรมง่ายต้องมีศีล 5 คุมใจ มีสัจจะ ลดพฤติกรรม กิน ดู ฟัง พูด อ่าน ฯลฯ ให้น้อยลง เร่งความเพียรและมีกัลยาณมิตรเป็นครูชี้นำ หลังเสร็จปฏิบัติในรอบวันต้องอุทิศบุญให้แก่เจ้ากรรมนายเวรแก่ญาติครูอาจารย์สรรพสัตว์ ฯลฯ พร้อมทั้งปล่อยวางความคิดทุกอย่าง ก่อนนอนกำหนดลมหายใจจนกระทั่งหลับไป

ปฏิบัติธรรมและยังฆ่าเห็บให้สุนัขสามารถทำได้แต่เข้าไม่ถึงธรรมของพระพุทธะ เพราะจิตไม่สามารถตั้งมั่นได้ด้วยศีลไม่บริสุทธิ์

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


แก้ไขล่าสุดโดย ธรรมบุตร เมื่อ 24 พ.ค. 2010, 13:23, แก้ไขแล้ว 3 ครั้ง.

โพสต์ เมื่อ: 24 พ.ค. 2010, 13:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กระผมมีข้อสงสัยในคำสอนของบางสำนักที่สอนเกี่ยวกับการอุทิศบญให้แก่ญาติ เทวดา เจ้ากรรมนายเวรและเชื้อโรค และห้ามมิให้มีเครื่องลางของขลังใด ๆ และพระพุทธรูป/พระธาตุ/ ทั้งห้ามมิให้ทำการสวดมนต์และมิให้นั่งสมาธิภาวนา ด้วยเหตุผลว่า การสวดมนต์นั้นแม้แต่บทพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ เป็นการสวดพระปริต เป็นการทำร้ายวิญญาณและภูตผีปีศาจต่าง ๆ ท่านจึงห้ามมิให้สวดมนต์ แต่ท่านให้ยึดถือแต่พระรัตนตรัยแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น

ผมจึงขอเรียนถามเป็นข้อๆ ดังนี้

1.คำสอนของท่านถูกต้องตามหลักธรรมหรือไม่ ปกติท่านจะยกเอาพระไตรปิฎกมายืนยันคำสอนของพระพุทธเจ้า และที่สำคัญจะยึดถือหรือเชื่อมั่นนำไปปฎิบัติ ได้หรือไม่

คำตอบ
การห้ามมิให้สวดมนต์ เพราะจะเป็นการทำร้ายจิตวิญญาณและภูตผีปีศาจต่าง ๆ เป็นความเห็นถูกของพระสงฆ์รูปนั้น แต่มิใช่เป็นการเห็นถูกของพระพุทธะ
ในครั้งพุทธกาลพระสมาณโคดมสอนภิกษุที่ถูกงูกัดให้นำเอาบทสวดมนต์ขันธปริตรไปสวดก่อนนอนเพื่อแผ่เมตตาให้แก่พญางู ทั้ง 4 ตระกูล นำเอาบทสวดมนต์อาฏานาฏิยปริตรไปสวดก่อนนอนเพื่อคุ้มครองตนให้พ้นจากภัยของอมนุษย์ไม่ให้มารบกวน และเมื่อครั้งที่เมืองเวสาลีแคว้นวัชชี เกิดทุพภิกขภัย อมนุสสภัย พระพุทธะได้สอนรัตนปริตรแก่พระอานนท์ให้นำไปสาธยายรอบเมืองเวสาลีภัยจากสองเหตุนั้นจึงได้สงบลง ฯลฯ ส่วนปัญหาว่าจะยึดถือหรือเชื่อมั่นนำไปปฏิบัติได้หรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับสติปัญญาและความศรัทธาของบุคคลเป็นเครื่องตัดสิน

2.ท่านห้ามมิให้ปฎิบัติสมาธิภาวนา โดยท่านว่า จะต้องถือศีลให้ยาวนานเสียก่อน และจะต้องตัดปลิโพธ 10 ประการก่อน จึงจะทำสมาธิได้ ท่านว่ามิฉะนั้นจะเป็นมิจฉาสมาธิ และอาจทำให้เกิดอาการวิปลาสได้

คำตอบ
ข้อนี้มิได้เป็นคำถามเป็นเพียงเรื่องที่บอกเล่าไป ถึงถามกลับไปว่า การถือศีลยาวนานนับเริ่มต้นจากไหน หากย้อนดูอดีตอันยาวไกลของพระโพธิสัตว์ ก่อนที่จะมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ได้เคยละเมิดศีลมาก่อน ต่อมาจึงได้บำเพ็ญศีลบารมีระดับต่าง ๆ มาแต่ครั้งที่ยังเสวยพระชาติเป็นพญาช้างฉันทันต์เป็นจัมเปรยยกนาคราช เป็นสังขปาลนาคราช ฯลฯ เมื่อมาปฏิสนธิเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ ออกบวชยังต้องใช้เวลายาวนานถึง 6 ปีกว่าจะสำเร็จอรหัตตผลตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าและในอีกตัวอย่างได้แก่อัมพปาลี สิริมา พระเจ้าพิมพิสาร ฯลฯ ได้เลิกประพฤติทุศีลแล้วหันมาปฏิบัติธรรมจนสำเร็จเป็นอริยบุคคลได้

ส่วนคำว่าปลิโพธ หมายถึง เหตุทำให้จิตกังวล หากตัดให้พ้นไปจากใจได้ จะทำให้การพัฒนาจิตใจบรรลุมรรคผลของการปฏิบัติได้ง่าย ผู้ที่ตัดปลิโพธไม่ได้ เมื่อฝึกสมาธิแล้วมีโอกาสทำให้จิตปรุงอารมณ์ผิดไปจากคนปรกติได้



3.ปกติผมจะถือศึล 5 เป็นประจำ และนั่งสมาธิภาวนาตามแบบพุทโธ(บางครั้งก็กำหนดลมหายใจ/บางครั้งก็ภาวนาพุธโธ อย่างเดียว) แต่ไม่ค่อยเข้าถึงสมาธินักไม่ทราบว่าเป็นเพราะเหตุใด (ผมนั่งประมาณ 1 ชั่วโมง บางครั้งนาน ๆจะรู้สึกวูปสักครั้งหนึ่ง รู้สึกว่าสติตัวเองจะมั่นคงมาก เวลามีเสียงใด ๆ เกิดขึ้นก็จะรู้สึกสะเทือนเข้าไปถึงสมองหรือดวงจิตเลย
บางครั้งก็รู้สึกวูปเหมือนเคลิ้มไป แต่ไม่หลับ แต่ก็ไม่มีแสงสว่างปรากฎเบื่องหน้า ถ้าปรากฎภาพก็จะเป็นภาพลางๆ เท่านั้น ขอถามว่า สมาธิที่ผมทำถูกต้องหรือไม่

คำตอบ
เหตุที่ยังเข้าไม่ถึงสมาธิลึก เพราะความเพียรในการปฏิบัติมีกำลังไม่มากพอสมาธิเป็นความตั้งมั่นของจิต ผลที่เกิดตามมาเป็นได้หลายอย่าง อาทิอาการรวม เสียงดับลึกถึงใจ นิมิตปรากฎ ฯลฯ สิ่งที่เข่าถึงนั้นเป็นผลที่เกิดจากสมากรรมฐาน เป็นสิ่งถูกต้อง แต่ยังไม่เป็นเหตุให้เกิดปัญญาเห็นแจ้ง ที่จะทำให้พ้นไปจากความทุกข์เพราะยังมิได้ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน

4.เรื่องการยึดถือพระรัตนตรัยเป็นสรณะนั้น การกราบไหว้สักการระอื่นๆ เช่น ไหว้เจ้า ไหว้ศาล อีกทั้ง การยึดถือเครื่องลางของขลังเช่น จตุคาม เหรียญหลวงพ่อ ตะกรุด ผ้ายันต์
เป็นการกระทำผิดหรือไม่

คำตอบ
คำว่าสรณะ หมายถึง ที่พึ่ง ที่ระลึก การยึดเอาพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งนั้นดีที่สุด โดยเฉพาะพระธรรมหากเข้าไปอยู่ในจิตใจของผู้ใดได้แล้ว ชีวิตมีแต่ความเจริญและนำตนให้พ้นไปจากความทุกข์ได้

การยึดถือเครื่องลางของขลัง ตะกรุด ผ้ายันต์ ฯลฯ เป็นเหตุเกิดจากความหลง (โมหะ) ที่มีอยู่ในดวงจิตนำพาชีวิตหลวงตายหลงเกิดอยู่ในวัฏสงสารไม่สามารถนำตนให้พ้นไปจากความทุกข์ได้ดังนั้นการยึดถือเครื่องรางของขลังในรูปแบบต่าง ๆ จึงเป็นความเห็นถูกของผู้มีโมหะครอบงำจิตใจ ตรงกันข้ามการยึดถือพระรัตนตรัยเป็นความเห็นถูกของผู้รู้ ของผู้ที่มีโอกาสพ้นไปจากความทุกข์ได้



5.การสวดมนต์(พระปริต)เป็นการทำร้ายวิญญาณในโลกทิพย์จริงหรือไม่ และทำให้วิญญาณในโลกทิพย์อาฆาตแค้นเราจริงหรือ การสวดมนต์แทนที่จะได้บุญกลับกลายเป็นบาป
เป็นจริงหรือ เมื่อก่อนผมสวดมนต์เช้า-เย็น ทั้งอิติปิโส-พาหุง ธรรมจักร ชินบัญชร แม้กระทั่งบทอุปปาตสันติ(มหาสันติหลวง) แต่ทุกวันนี้ไม่กล้าสวดเลยกลัวเป็นความผิด พระท่านว่าการสวดมนต์จะทำให้วิญญาณต่าง ๆ ได้รับทุกข์/ทำให้เจ้ากรรมนายเวรยิ่งแค้นเคืองเรา

การที่ผมกราบเรียนท่านในเรื่องนี้ ไม่มีความประสงค์ที่จะกล่าวอ้างผู้ใดให้เสียหาย เป็นความบริสุทธ์ใจจริงๆ และผมก็เชื่อมั่นในท่านอาจารย์ว่าเป็นผู้มีความสามารถที่จะให้ความกระจ่างแก่ผมได้จึงรบกวนเรียนถามมา สำหรับผมนั้นไม่มี่ปัญญามากพอที่จะใช้วิจารณญานที่จะตัดสินได้ อนึ่ง ทุกวันนี้พุทธศาสนาในยุคกึ่งพุทธกาล มีสิ่งที่แปลกๆเกิดขึ้นมากมายทั้งคำสอนและวิธีการ ทุกๆ สำนักก็มีเหตุผลถูกต้องทั้งสิ้น ผมไม่อยากเดินผิดทาง/หลงทาง เพราะทุกวันนี้ผมเดินผิดทาง/หลงทางมามากแล้ว ไม่อยากเสียเวลาอีก และกระผมก็ปรารถนาเกิดเป็นชาติสุดท้าย (หรือน้อยที่สุด) ขอความกรุณาให้ความกระจ่างด้วยเถิด



คำตอบ
คำว่า “ ปริตร ” หมายถึง คุ้มครอง ป้องกัน สิ่งต่าง ๆ ที่เป็นอันตราย เช่นภัยจากสัตว์ร้าย ภัยจากโจร ภัยจากอมนุษย์ ภัยจากการเจ็บป่วย ฯลฯ ซึ่งพระพุทธะแนะนำพุทธบริษัทให้เจริญอยู่เสมอแต่พระพุทธะมิได้แนะนำให้เบียดเบียนผู้อื่น ด้วยการสวดมนต์ขับไล่สวดมนต์ทำร้ายแก่สรรพสัตว์ ฉะนั้นจึงต้องพิจารณาว่า บทสวดมนต์นั้นแต่งเรียบเรียงขึ้นด้วยมีจุดประสงค์ใด การสวดมนต์บทที่ยกตัวอย่างมาให้ดูมิได้มีจุดประสงค์ร้ายต่อผู้ใด สามารถนำไปเจริญภาวนาได้โดยไม่มีภัยอันตรายใดเกิดขึ้นจากเหตุแห่งการสวดมนต์บทที่กล่าวถึงเว้นไว้แต่ว่า ผู้สวดได้สร้างอกุศลกรรมเก่าไว้แล้วเวรกรรมให้ผลผู้ทำกรรมต้องยอมชดใช้หนี้กรรมให้หมดสิ้นไป หนี้เวรกรรมจึงจะยุติลงได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 24 พ.ค. 2010, 13:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ที่มีอันตรายต่อหญิงมีครรภ์ เมื่อประจำเดือนขาด ได้กลับไปหาหมออีกครั้ง จึงรู้ว่าตัวเองตั้งครรภ์ คุณหมอไม่รับประกันว่าเด็กจะเกิดมาสมบูณย์ เรา สามี ภรรยาเสียใจมาก และตัดสินใจเอาเด็กออก ทุกวันนี้ได้สวดมนต์ ทำสมาธิ ทำทาน ถือศีล5 ติดต่อกันไม่หยุดได้ 4เดือนเต็มแล้ว พยายามทำทุกอย่าง เพื่อใช้กรรมนี้ ทำให้สบายใจขึ้นมาบ้าง ปัญหาคือ ระหว่างที่นอนทำสมาธิและเผลอหลับไป ฝันว่าได้ไปวัดเพื่อบวชเนกขัมมะ ขณะนอนที่วัดได้มีเด็กมาดึงเท้าให้ตื่น เป็นเด็กขวบกว่า ไม่ได้รู้สึกกลัวและไม่รู้สึกผูกพัน จากนั้นดิฉันได้ออกจากนอนสมาธิ ในวันเดียวกัน ตอนกลางคืนอ่านสนทนาธรรม 5 เกี่ยวกับแนะนำคนทำแท้งเป็นบาปจึงนึกขึ้นได้ว่า เมื่อ10ปีที่แล้วมีเพื่อนมาขอเบอร์ติดต่อสถานที่ที่ดิฉันเคยทำแท้ง เพราะเธอต้องการไปทำ ดิฉันไม่ได้ปิดบังสถานที่และให้เบอร์ติดต่อ จากนั้นได้พยายามเกลี้ยกล่อมไม่ให้เธอไปทำและจะรับเลี้ยงเด็กในท้องเธอถ้าเธอไม่ต้องการ ดิฉันไม่สามารถเปลียนใจเธอได้ ดิฉันได้ลืมเรื่องนี้ไปสนิทถึง10ปี เป็นเพราะอ่านสนธนาธรรมจึงนึกได้ ส่วนเด็กในความฝัน ความรู้สึกบอกว่าเป็นลูกของเพื่อน วันรุ่งขึ้นดิฉันรีบโทรหาเพื่อน อยากให้เพื่อนไปบวชหรือทำบุญให้เด็ก และที่แปลกคือ เพื่อนมีแผนที่จะไปทำบุญ 9 วัดใน1วัน ที่อยุธยา ดิฉันจึงร่วมอนุโมธนาบุญและจะฝากเงินทำบุญไปด้วย อยากถามว่า

1) บาปมากมั้ยคะกับการที่เราให้เบอร์ที่ทำแท้งกับเพื่อนเพราะเพื่อนรู้อยู่แล้วว่าเรารู้ แม้เราจะไม่มีเจตนาให้เค้าไปทำแท้ง
2) เป็นไปได้มั้ยที่ลูกที่ทำแท้งไปครั้งแรกจะกลับมาเกิดเป็นลูกของดิฉันอีกครั้ง

สุดท้ายกราบขอบพระคุณอาจารย์และผู้จัดทำเวบกัลยาฯ มากค่ะ ที่มีเมตตาชี้แนะ ทางสว่างให้แก่ปุถุชนเช่นดิฉันและคนอื่นๆ ทุกวันนี้ดิฉันมีความมุ่งมั่นที่จะทำแต่ความดีและเกรงกลัวบาปมากค่ะ

คำตอบ
(1) ชี้ทางให้คนอื่นประพฤติทุศีล ถือได้ว่าผู้ชี้ทางเป็นจำเลยบาปคนที่หนึ่ง

(2) เป็นไปได้ เมื่อมีเหตุปัจจัยถึงพร้อม

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 24 พ.ค. 2010, 13:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หนูขอขอบคุณอาจารย์มากๆคะ ที่กรุณาตอบคำถามหนู ในเรื่องของ สัมภะเวส แต่หนูลืมถามอาจารย์ไป หนึ่ง ข้อ ค่ะ ว่า .... การจะทำบุญอุทิศให้กับสัมภะเวสี ต้องทำแบบไหนคะ เพื่อที่เขาจะได้บุญเยอะๆ อย่างเช่น น้องชายหนูที่เกิดอุบัติเหตุรถชนเสียชีวิต และหนูสามารถทำบุญให้กับคุณย่า และคุณปู่ พร้อมกันในคราวเดียวได้เลยมั้ยค่ะ (คุณย่าหนูตายแบบหมดอายุขัย เคยมีคนบอกว่า ตอนนี้คุณย่าหนูอยู่ สวรรค์ชั้นจาตุมมหาราชิกา ค่ะ)

กราบขอบพระคุณอาจารย์มากๆน่ะคะ รักษาสุขภาพนะคะอาจารย์

คำตอบ
ปรารถนาให้สัมภเวสีได้บุญมาก ผู้อุทิศบุญต้องทำบุญใหญ่ด้วยการเจริญจิตตภาวนาให้ได้ด้วยตนเองก่อนแล้วจึงอุทิศบุญที่ทำให้กับผู้ที่ต้องการอุทิศให้รวมถึงคุณปู่ คุณย่า ด้วยในคราวเดียวกันได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 24 พ.ค. 2010, 13:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดิฉันถูกส่งตัวเข้าไปเรียนหนังสือที่กรุงเทพตั้งแต่เด็ก เมื่อเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น เนื่องจากกำลังสติปัญญายังอ่อนจึงหลงผิด พ่อแม่ร่ำรวยทรัพย์ ใช้เงินของพ่อแม่อย่างฟุ่มเฟือย ในบางครั้งแอบหยิบของท่านไปใช้ทีละมากๆก็มี บางครั้งใช้เพื่อสนองกิเลส บางครั้งก็นำไปช่วยคนที่กำลังเดือดร้อน มารู้ตัวอีกทีว่าทำผิดศีลข้อที่ 1 ไปมากก็อายุเกือบ 30 ปี ที่รู้ตัวเพราะเกิดใฝ่ดี หันมาฝึกสติสัมปชัญญะจนเข้าใจเรื่องราวของทุกข์บ้างตามสมควร พอรู้ตัวก็รักษาศีล 5 อย่างเคร่งครัด ตั้งใจว่าชีวิตนี้จะไม่เบียดเบียนใครอีก รวมทั้งพ่อแม่ ต่อมาได้ขอขมาพ่อแม่โดยไม่ได้ระบุเจาะจงว่าทำอะไรผิดมา พูดรวมๆว่าหากได้ล่วงเกินท่านไม่ว่าทางกาย วาจา หรือใจ ลูกขอให้พ่อแม่อโหสิกรรมให้ลูกด้วย พ่อแม่ก็กล่าวอโหสิกรรมให้

1. ดิฉันพ้นผิดแล้วหรือยังคะ แต่ดิฉันยังรู้สึกว่าไม่หมดสิ้นอย่างไรไม่ทราบ ก็เลยตั้งใจว่าจะใช้เงินเดือนของตัวเองค่อยๆแอบเอาไปให้ท่านใช้แม้ว่ามันจะแทบไม่มีความหมายอะไรสำหรับท่านเลย เพราะท่านร่ำรวยกว่าดิฉันมากมาย และดิฉันก็คำนวนจำนวนเงินคร่าวๆที่เคยแอบหยิบไปใช้ กะเกณฑ์ดูแล้วคิดว่าคงใช้เวลาเกือบ 10 ปีทีเดียวกว่าจะใช้หมด (แต่ก็ไม่ได้ทำให้ย่อท้ออะไรนะคะ กะว่าสู้ตายอยู่แล้วค่ะ)

คำตอบ
เมื่อพ่อแม่กล่าววาจายกโทษให้ถือได้ว่าพ้นจากกรรมผิดกับพ่อแม่ แต่ยังไม่พ้นกรรมผิดกับบุคคลอื่น สัตว์อื่น ที่คุณเคยได้ล่วงเกินไว้

อย่าเพิ่งคิดสู้ตายดีกว่า ตายไปแล้วหมดโอกาสทำความดี เอาอย่างนี้ดีไหม ถ้าคุณมีศรัทธาเต็มร้อยในคำแนะนำของผู้รู้ให้พิสูจน์ด้วยตัวเอง ด้วยการเชิญพ่อแม่นั่งบนเก้าอี้ห้อยเท้าทั้งสองลงในกะละมังใหญ่ แล้วคุณใช้น้ำสะอาดล้างเท้าทั้งสองข้างของพ่อแม่ให้สะอาดหมดจด เอาผ้าที่สะอาดเช็ดเท้าของท่านจนแห้ง แล้วเอาเท้าของท่านทั้งสองวางลงบนศีรษะของคุณ พร้อมกับกล่าวคำขอขมาลาโทษทั้งหลายที่มีกับพ่อแม่และให้พ่อแม่กล่าวยกโทษให้ แล้วจึงอธิษฐานขณะที่เท้าของท่านยังวางอยู่บนศีรษะว่า “ ด้วยผลแห่งการกระทำนี้ความไม่ดีทั้งปวงของข้าพเจ้าจงปาสนาการสิ้นไปและให้ข้าพเจ้าได้เข้าถึงความเจริญสูงสุดของชีวิต ” หลังจากนั้นนำน้ำล้างเท้ามาดื่มมาอาบชำระล้างร่างกายของคุณให้สะอาด พร้อมทั้งรักษาใจให้มีศีล 5 คุมอยู่เป็นนิจ ปัญหามีอยู่ว่า คนที่บอกว่าสู้ตายจะทำตามคำแนะนำนี้ได้จริงหรือ



2. ปัญหาที่ตามมาคือว่า ดิฉันจะยังไม่สามารถเป็นผู้มั่งมีในทรัพย์ได้ใช่ไหมคะ จนกว่าจะใช้หนี้เก่าหมด คือดิฉันเข้ามารับช่วงงานต่อจากพ่อแม่น่ะค่ะ ตั้งใจว่าจะอยากจะยกภูเขาออกจากอกท่าน อยากให้ท่านได้ไปปฏิบัติธรรม ก็เลยอยากจะประสบความสำเร็จในอาชีพการงานโดยเร็ว และอยากจะประสบความสำเร็จให้มากกว่าท่านด้วย ท่านจะได้หมดห่วงจริงๆ มันเลยเหมือนถูกขัดเส้นทางกันอยู่น่ะค่ะ อาจารย์โปรดเมตตาชี้แนะแนวทางให้ดิฉันได้ทำใหสำเร็จดังปรารถนาด้วยนะคะ

ขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูงค่ะ

คำตอบ
ปรารถนาประสบความสำเร็จในอาชีพการงาน ต้องใช้อิทธิบาท 4 เป็นฐานของการทำงาน คือทำงานด้วยใจรัก ทำงานด้วยความพากเพียร ทำงานด้วยใจจดจ่อ ใช้ปัญญาไต่สวนงานที่ทำพร้อมทั้งประพฤติตนให้มีขันติ มีศีล มีการให้ทาน มีเมตตา คบหาแต่กัลยาณมิตรเว้นจากอบายมุข และอุทิศบุญกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรและสรรพสัตว์อยู่เสมอ คุณธรรมทั้งหมดนี้มาประชุมพร้อมกันในตัวคุณได้เมื่อใดความสำเร็จในอาชีพการงานย่อมเกิดขึ้นเมื่อนั้น

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 24 พ.ค. 2010, 13:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ปัญหาในการทำสมาธิ

ผมนั่งสมาธิเป็นประจำและนั่งประมาณ 1 ชั่วโมง ทำโดยการกำหนดลมหายใจ+พุทโธ แรกๆ ก็รู้สึกปล่อยวาง และสบาย แต่พอนั่งไประยะหนึ่ง
ประมาณ ครึ่งชั่วโมงจะมีอาการคอแข็ง ตัวแข็งและเหมือนมีก้อนอะไรที่ศรีษะและจะปวดคอ/ไหล่มาก(เคยได้ยินอาจารย์บางท่านบอกว่า ต้องอดทนต่อความเจ็บปวด แต่ผมทนแล้วทนอีกก็ไม่ไปไหน) ไม่หายปวดเลย จึงต้องเลิกทำช่วยชื้ทางให้หน่อยครับ ทำอย่างไรดี (เหมือนหัวสมองมันตึง คล้ายเส้นประสาทจะเครียดมากเลยครับ กลัวว่าเส้นเลือดในสมองจะแตก)


คำตอบ

คนที่มีกำลังของสติยังไม่กล้าแข็ง ทำให้จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิไม่มากนัก จึงอดทนต่อความเจ็บได้ไม่มาก ดังนั้นถ้ามีอาการตัวแข็งหรือคอแข็ง ต้องกำหนดจิตว่า “ แข็งหนอๆๆ ” ไปเรื่อย ๆ จนอาการดังกล่าวหายไปแล้วดึงจิตกลับมาบริกรรม “ พุทโธ ” ดังเดิม

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 24 พ.ค. 2010, 13:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดิฉันได้เลื่อมใสในพระพุทธศาสนามากได้ปฏิบัติกรรมฐาน พองหนอ ยุบหนอ ของหลวงพ่อ จรัญ และได้ปฎิบัตเองที่บ้านถือศีล 8 ช่วงแรก เกิดน้ำตาไหล และเกิดตัวโยก พอปฎิบัติได้ เกือบ2 อาทิตย์ก็เกิดอาการหูอื้อและมีอาการเหมือนน้ำในหูไม่เท่ากันคือ เกิดอาการเวียนหัว เดินไปไหน นั่งที่ไหน หรือว่านอนก็รู้สึกเหมือนอยู่บนเรือคือโคลงเคลงตลอดจึงไปหาหมอรักษาด้วยยาพอหมดฤทธิ์ยาก็เกิดอาการใหม่ ก่อนที่จะเกิดอาการไม่สบายในใจคิดว่าอยากไปปฎิบัติที่วัดอัมพวันมาก

พอวันที่คิดว่าพรุ่งนี้จะไปวัดอาการก็หนักขึ้นเวียนหัวมากทรงตัวแทบไม่อยู่ จึงรักษาอาการอยู่2สัปดาห์ แล้วจึงไปปฏิบัติที่วัดอัมพวัน เป็นเวลา 7 วัน(แต่อาการเดินแล้วโคลงเครงยังมีอยู่)2วันแรกเดินจงกลมแล้วรู้สึกหน้ามืดแต่ก็พยายมฝืนจนอาการหน้ามืดหายไป แต่ก็มีอาการโคลงเคลงตลอด นั่งสมาธิแล้ว 2วันแรกยังมีเวทนาอยู่บ้างโดยปวดขา

แต่พอวันที่ 3 เป็นต้นไปไม่มีเวทนาที่ขาเลยขากลับชาจนไม่มีความรู้สึก และหายใจสั้นๆลิ้นชา ตึงที่ศรีษะมากจนเข้าสมาธิไปแล้วจะมีความรู้สึกว่าหายใจยาวขึ้นได้ แต่มีความรู้สึกว่าเครียดมากตั้งแต่เดินจงกลม เวลานั่งสมาธิไม่ว่ายุงจะกัด ก็ไม่มีความรู้สึก นั่งสมาธิบางครั้งตัวก็โยก

พอวันที่5 มีอยู่ครั้งหนึ่งรู้สึกว่าศรีษะหมุนเร็วมากจนตกใจ ลืมตา ศรีษะหายหมุน แต่สมาธิยังไม่คลาย พอนอนลงแล้วกำลังเคลิ้มหลับก็มีความรู้สึกว่าตัวเองหายใจยาวและเหมือนอยู่ในสมาธิ

วันที่6พอนั่งสมาธิพอรู้ว่าเข้าสมาธิแล้วตัวโยก ก็ได้สอบอารมณ์กับแม่ชี แม่ชีบอกว่า สมาธิมันหลอกเราเพราะเราวิตก กังวล และสงสัยอยู่ตลอด แม่ชีบอกว่าบางอาการเป็นอารมณ์ของสมาธิจริง แต่บางอาการสมาธิมันหลอกเพราะหนูอ่านตำราเรื่องของการเกิดฌาณมา และหนูคิดสงสัยตลอด แม่ชีบอกว่าต้นจิตของหนูคิดอยู่ตลอด

ตั้งแต่คืนนั้นตัวหนูเองจึงคิดว่าอะไรคือจริงอะไรคือไม่จริง มันรู้สึกสับสนมาก ว่าทำไม่ตัวเราเองจึงต้องหลอกตัวเอง และทุกคนต้องมีเวทนา แต่หนูไม่มีเวทนาเลย คืนของวันที่6 พอนอน อาการของสมาธิก็เข้า คือ ลิ้นชาแข็ง ไม่สบายตัว ตัวร้อน ทั้งๆที่พัดลมพัดอยู่ตลอดเวลาก็ไม่รู้สึกว่ามีลมพัด

พอเช้าวันที่7 ทำวัดเช้าเสร็จพอเดินจงกลมแล้วรู้สึกว่าตัวตึงมากกำหนดยืนหนอจิตก็ไม่ลงพอนั่งสมาธิหลับตาปุ๊ปอาการของสมาธิก็มาคือขาชาไม่มีความรู้สึก เสียงกระทบก็ไม่กวนสมาธิเลย แต่มันรุ้สึกเครียด แม่ชีจึงให้ยาคลายเครียดมากินและนอนพัก พอกลางคืนเข้านอนหลับตาปุ๊ปอาการของสมาธิแบบนั้นก็เข้า จึงนอนไม่หลับและไปขอยาแม่ชีกิน จึงหลับ แต่พอรู้สึกตัวก็รู้สึกว่าตัวเองนอนอยู่ในสมาธิคือรุ้สึกไม่สบายตัว เหมือนมีอะไรไต่ตามตัว ไม่รู้สึกถึงพัดลมที่พัดมาจึงรู้สึกว่าร่างกายไม่ได้พักผ่อนและมีความรู้สึกว่าไม่อยากนั่งสมาธิเลย

หลังทำวัดเสร็จจึงกลับบ้าน ก่อนกลับได้ถามพระครูฏีกา ใบชูเกียรติ ท่านบอกว่าอย่าไปยึดตึดจิตไม่มีตัวตน และอย่าสงสัย ถ้าเกิดอาการอย่างไรก็ให้กำหนด แล้วหนูก็ได้ลากลับบ้าน พอนอนพักแค่หลับตา อาการของสมาธิแบบนั้นก็เข้า ตอนนี้รู้สึกไม่มีความสุขเลยนอกจากอาการป่วยที่ยังไม่หาย พอหลับตานอนยังไม่ได้นอนอีก แต่หนูก็พยายามกำหนดรู้หนอ รู้หนอ เมื่อมันเข้าสู่อาการนั้น หนูเข้าใจว่าตัวเราเครียดมากจริง ๆ ไม่มีสติเลย อาการของจิตประสาทคงเริ่มเกิดขึ้น ร่างกายสั่งงานเอง ขออาจารย์

โปรดเมตตาให้คำแนะนำให้หนูหายจากอาการนี้ด้วยค่ะรู้สึกว่าตัวเองแย่มากแต่หนูรู้อย่างเดียวว่าต้องเดินจงกลมเพื่อเพิ่มสติ

หนูไปทำกรรมอะไรไว้ค่ะถึงได้ทำกรรมฐานแล้วเป็นอย่างนี้แต่หนูศรัทธาในพระพุทธเจ้า ชีวิตหนูขอถวายพระพุทธเจ้า นึกถึงพระพุทธเจ้าตลอด คิดอยู่ทุกวันว่าเราจะต้องตาย หมั่นสวดมนต์ รักษาศีล 5 ยึดถือพรหมวิหาร 4 ไม่ยึดติดในรูป รส กลิ่น เสียง ไม่ยึดติดกับขันธ์ 5 ขันธ์ 5 เป็นอุปทาน ตอนหนูป่วยหนักหนูคิดว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา ตัวตนนี้ไม่ใช่ของของเรา ถ้าจะตายก็ตายเถิดพระชีวิตนี้หนูยกถวายพระพุทธเจ้า ทุกอย่างเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา


คำตอบ
ฝึกสมาธิแล้วให้ผลผิดทาง คือเกิดอาการเครียดและยิ่งกินยาคลายเครียดยิ่งเป็นการแก้ปัญหาที่ผิดทางธรรม แต่แก้ปัญหาถูกทางโลก พระพุทธะมิได้แก้ปัญหาความเครียดด้วยวิธีกินยาตามที่แม่ชีแนะนำ แต่พระพุทธะแก้ปัญหาอย่างที่พระครูใบฏีกา ฯ แนะนำ ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาถูกทางธรรม หากคุณเชื่อคำบอกของพระครูใบฏีกาฯให้เต็มร้อยแล้วทำให้ได้ตามที่ท่านแนะนำ ปัญหาที่บอกเล่าไปจะไม่เกิดขึ้นอีกที่สำคัญอยู่ที่ตัวคุณเองปฏิบัติได้ถูกตรงตามคำแนะนำของท่านได้หรือไม่

กรรมที่ทำคือ เอากุศลกรรมบถ 10 มาคุมใจได้ไม่เต็มร้อยผลการปฏิบัติธรรมจึงแสดงออกมาผิดเพี้ยน

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 24 พ.ค. 2010, 13:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดิฉันมีข้อสงสัยขอเรียนถามดังนี้ค่ะ ลูกที่ดูแลมารดายามแก่เฒ่า หมั่นไปเยี่ยมเยียนท่านสม่ำเสมอ หาซื้ออาหารดี ๆ ให้ท่านทาน หาหนังสือ ซีดีธรรมะให้ท่านอ่านและฟัง สวดมนต์ภาวนาทำบุญก็อุทิศบุญกุศลให้ท่าน (ขณะที่ท่านมีชีวิตอยู่) และบอกกล่าวบุญกุศลให้ท่านได้รับทราบด้วย ทำหน้าที่ลูกให้ดีที่สุดในชาตินี้ แต่ลึก ๆ ไม่อยากเป็นแม่ลูกกันอีก จะถือว่าเป็นลูกอกตัญญูหรือไม่


คำตอบ
ผู้ใดประพฤติจริยธรรมของการเป็นลูกที่ดีต่อแม่ได้ครบถ้วน ถือได้ว่าเป็นลูกกตัญญูฯ ส่วนความปรารถนาไม่ประสงค์เป็นแม่ลูกกันอีกเป็นเรื่องของจิตอธิษฐาน ไม่ถือว่าผิดธรรมของพระพุทธะบุคคลสามารถตั้งจิตปรารถนาแบบนี้ได้ ดังตัวอย่างอดีตชาติของอัมพปาลีอธิษฐานไม่ขอเกิดในท้องมาตุคามในครั้งพุทธกาลจึงเกิดแบบโอปปาติกะอยู่ที่โคนต้นมะม่วงในอุทยานของเจ้าวัชชี ต่อมาได้เลิกอาชีพโสเภณีแล้วปฏิบัติธรรมจนบรรลุอรหัตผลได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 24 พ.ค. 2010, 13:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หลังจากที่ดิฉันพยามเจริญสติ ตามรู้ตามดูอารมณ์ และพิจารณาตามหลักปฏิจจสมุปบาท อยู่เกือบ 2 ปี อยู่ๆวันหนึ่ง ก็เกิดปัญญาสว่างแจ้ง เกิดความเข้าใจว่า ไม่มีอะไรที่มีตัวตนแท้จริงเลย อย่างนี้เรียกว่าได้ตวงตาเห็นธรรมรึปล่าวคะ หลังจากนั้นมาสิ่งที่เปลี่ยนไปก็คือ เวลาฟังธรรมรู้สึกได้ว่าเข้าใจอย่างที่ไม่เคยเข้าใจมาก่อน รู้สึกได้ว่ามีศีลอยู่กับตัวอย่างที่ไม่ต้องบังคับ แต่ที่สงสัยก็คือว่า ก่อนหน้านั้น เข้าใจว่าผู้ที่ได้ดวงตาเห็นธรรม แทบจะดูเป็นผู้วิเศษไปเลย ในขณะที่ตัวเองนั้นไม่ได้มีความวิเศษอะไรเลย อีกทั้งตอนที่เกิดปัญญานั้น ก็ไม่ได้เกิดในระหว่างนั่งสมาธิแต่อย่างใด แต่เกิดตอนทำงานบ้าน (ล้างถ้วยล้างชาม) ต่างหาก ตรงกันข้าม ดิฉันนั่งสมาธิยังไม่ค่อยจะถูกเลย ถ้าเป็นการเห็นธรรมจริง ดิฉันก็อยากจะเจริญให้ได้ถึงขั้นนิพพานเลย แต่ถ้าวาสนามีน้อย อาการเห็นธรรมนี้ จะยังคงติดเราไปในชาติภพอื่นหรือไม่คะ แต่ที่แน่ๆตอนนี้ หน่ายการใช้ชีวิตอย่างโลกๆมากค่ะ รู้สึกว่าจะอย่างไรการใช้ชีวิตอย่างโลกๆนี้มันก็ยังมีการเบียดเบียนอยู่ดี อยากจะบวชแล้ว แต่เหตุปัจจัยยังไม่พร้อม อธิษฐานอย่างไรดีคะจึงจะได้บวช อีกเรื่องนึงเลยนะคะ เรื่องฆ่าปลวก ดิฉันทำทั้งที่มีสติเต็มที่ ไม่อยากทำก็ต้องทำ เพราะปล่อยไว้จนบ้านเป็นรูหมดแล้ว ทำทั้งที่รู้ว่าบาป ดิฉันทำเพื่อคนทั้งบ้าน แต่ดิฉันก็คิดว่า ถ้าจะมีกรรมเพราะการกระทำนี้ ก็ขอรับไว้คนเดียว ไม่ทราบว่ากรรมที่เกิดจะหนักกว่าตอนทำอย่างไม่มีสติรึปล่าวคะ ถามมาซะเยอะเลย รบกวนอาจารย์สนองช่วยตอบเป็นทานด้วยนะคะ


คำตอบ
ผู้ที่มีจิตเข้าถึงดวงตาเห็นธรรมคือผู้ที่เห็นถูกตรงตามความเป็นจริงว่า “ สรรพสิ่งเกิดขึ้นด้วยมีเหตุทำให้เกิด เมื่อเหตุดับสรรพสิ่งย่อมดับลงด้วย ” ผลที่เกิดตามมาของผู้มีดวงตาเห็นธรรมคือจิตปล่อยวางสรรพสิ่งโลกธรรมและวัตถุใด ๆ ไม่อาจเข้ามามีอำนาจเหนือใจ ไม่สามารถทำใจให้หวั่นไหวสั่นคลอนได้ จิตจึงเป็นอิสระเข้าถึงความสุขละเอียดประณีตอยู่ทุกขณะตื่น การมีดวงตาเห็นธรรมเกิดขึ้นที่จิตและติดตามข้ามภพข้ามชาติได้ตราบที่ยังไม่ทิ้งขันธ์ลาโลกเข้าสู่พระนิพพาน

การบวชกายไม่สำคัญเท่ากับการบวชใจ ผู้ใดประพฤติถูกตรงตามธรรมวินัยของพระพุทธะได้ถือได้ว่าผู้นั้นบวชใจแล้ว ส่วนผู้ใดคิดฆ่าคิดกำจัดปลวก เป็นความคิดที่ผิด (มิจฉาสังกัปปะ) หากนำความคิดที่ผิดไปปฏิบัติแล้วจะทำให้บาปเกิดขึ้นและถูกเก็บสั่งสมอยู่ในจิตของผู้กระทำ คนที่มีดวงตาเห็นธรรมเขาไม่มีความคิดเช่นนี้แต่คนที่ยังเดินอยู่ในทางมรรคแห่งการเข้าถึงดวงตาเห็นธรรมยังประพฤติทุจริตได้อยู่

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1521 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 29, 30, 31, 32, 33, 34, 35 ... 102  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร