วันเวลาปัจจุบัน 27 ส.ค. 2025, 00:29  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 1521 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 30, 31, 32, 33, 34, 35, 36 ... 102  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 24 พ.ค. 2010, 13:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1. ผมมีจิตศัทธาพระพุทธศาสนามาก ต้องการบวชเป็นภิกษุ และต้องการเดินทางสายเอกนี้ให้ถึงเป้าหมายสูงสุด แต่ว่าติดอยู่ที่ทางพ่อผมคงยังไม่เข้าใจถ่องแท้ถึงการที่ทำไมเราถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ไม่อยากให้ผมไปบวช อยากให้อยู่ช่วยงานที่บ้านที่มีภาระอยู่มาก (ยังมีหนี้เงินหมุนเวียนเยอะ) เพราะผมเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการทำงานที่บ้าน (ผมค้าขายเสื้อผ้าที่ประตูน้ำ) แต่เขาก็บอกว่าเขาไม่ได้ห้ามนะ (กลัวเขาจะบาปที่มาขัดทางบุญ) ผมจะผิดมั้ยที่จะต้องขัดใจพระอรหันต์ที่บ้าน และเขาต้องเสียใจที่ผมจะไป (แต่ทางบ้านยังมีพี่น้องอยู่ช่วยได้แต่ยังไม่ค่อยเก่งงานเหมือนผม) คือผมต้องการไปเพราะต้องการมีศีลเป็นกำแพงกั้นในการที่จะกระทำผิด คือถ้าผมอยู่ในผ้าเหลืองแล้วคงพยายามรักษาศีลสุดชีวิต แต่ถ้าเป็นฆราวาส ผมมักจะห้ามใจตัวเองไม่ได้ในกระแสทางโลกที่ดึงดูดอยู่ (เพื่อนฝูงเยอะ ชอบกินเหล้า) เพราะผมดำเนินชีวิตทางโลกมาจนติด เพิ่งมารู้ถึงแก่นแท้ของชีวิตนี้เมื่อวันที่ผมได้ไปปฎิบัติที่วัดอัมพวันเมื่อ 4 ธ.ค. 49 (เพื่อนแนะนำให้ไปช่วยแม่ที่เป็นมะเร็ง) ก่อนแม่เสียเมื่อ 29 ธ.ค. 49 ผมจึงได้รู้สัทธรรม ผมอยากให้อาจารย์ช่วยแนะนำผมหน่อยครับว่าควรทำอย่างไรให้พ่อผมเสียใจน้อยที่สุด และผมจะบาปมากมั้ยครับ ผมเหมือนหนีปัญหาหรือป่าว เพราะอยู่ไปผมก็เบื่อทางโลกที่ใช้ชีวิตจำเจนี้มากพอแล้ว

2. ผมดูในวัฎสงสารทั้ง 31 ภูมิ ที่พวกเราต้องเวียนว่ายตายเกิดกันอยู่นี้ แต่ไม่เห็นมีพวกนี้อยู่เลย อาทิเช่น นาค ครุฑ ยักษ์ กินรี ฯลฯ ผมเคยฟังหลวงพ่อจรัญเทศน์เรื่องป่าหิมพานว่ามีจริง แล้วพวกเขาเหล่านี้ไปอยู่ที่ภพภูมิไหนครับ

3. เรื่องมนุษย์ต่างดาวมีจริงมั้ยครับ แล้วเค้าใช้จิตสื่อสารกันจริงมั้ยครับ ถ้ามีจริงแล้วเขาอยู่ในภพภูมิไหนครับ แล้วมาที่โลกเราทำไมครับ

คำถามสองข้อหลังนี้อาจไร้สาระไปหน่อยไม่สำคัญเท่าไหร่ แต่ขอรบกวนหน่อยนะครับ เผื่อไว้ตอบพวกเพื่อน ๆ ที่มาถาม

สุดท้ายนี้ขอขอบพระคุณอาจารย์มาก ๆ เลยครับ ผมเคารพอาจารย์มาก ๆ เพราะอาจารย์เหมือนคนจุดประกายไฟให้ผม เพราะผมบังเอิญไปหยิบหนังสือ "ทางสายเอก" ของอาจารย์มาอ่านตอนที่แม่รักษาตัวที่โรงพยาบาล ขอบพระคุณอย่างสูงครับ

คำตอบ

(1) เกิดมาเป็นมนุษย์ มีงานใหญ่ทีต้องทำอยู่ 2 อย่าง คือ งานภายนอกได้แก่งานที่ทำให้กับสังคมงานที่ทำให้กับครอบครัว เมื่อยังมีภาวะเป็นสมาชิกของครอบครัว ต้องทำงานภายนอกให้ดีที่สุดขณะเดียวกัน ต้องไม่ลืมทำงานภายในคืองานพัฒนาจิตวิญญาณของตัวเองให้ดีที่สุดเมื่อใดที่สุดเมื่อใดที่เหตุปัจจัยลงตัวโอกาสทิ้งงานภายนอกไปสู่งานภายในล้วน ๆ ย่อมมีได้ ดังตัวอย่างของพาหิยะผสะกุลบุตรปิปผลิมาณพ (พระมหากัสสปะ) ฯลฯได้ทำให้ดูเป็นตัวอย่างให้โลกได้ศึกษา

(2) นาค ครุฑ ยักษ์ กินรี ฯลฯ มีจริง ขออภัยที่ไม่ตอบตามที่ถามเพราะจะทำให้ผู้อ่านและผู้ถามมีกิเลส (โมหะ) เพิ่มขึ้น

(3) มนุษย์ต่างดาวมีจริงสื่อสารด้วยพลังงานจิต เขามาสู่โลกของเราด้วยจุดประสงค์ใด ผู้ตอบปัญหามิได้ถามจึงไม่ทราบ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 24 พ.ค. 2010, 13:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สวัสดีค่ะอาจารย์ เนื่องจากดิฉันและเพื่อนๆตั้งใจว่าจะไปปฏิบัติธรรมวิปัสสนากรรมฐานที่จังหวัดเชียงใหม่ในช่วงฤดูหนาวปลายปีนี้ จึงขอความกรุณาอาจารย์แนะนำสถานที่ปฏิบัติธรรมในจังหวัดเชียงใหม่ค่ะ

ทั้งนี้เมื่อปฏิบัติธรรมและอุทิศบุญกุศลร่วมกันแล้ว อยากทราบว่าเจ้ากรรมนายเวรที่มีชีวิตอยู่ เช่น เป็นมนุษย์หรือเดรัจฉาน จะได้รับบุญกุศลที่อุทิศให้ไปหรือไม่ เพราะดิฉันไม่มีโอกาสเจอและให้เขาอนุโมทนาบุญด้วยตัวเองค่ะ
แต่โดยปกติทุกวันจะนั่งสมาธิ สวดมนต์บทอิติปิโส พาหุงมหากาและชินบัญชร
หลังจากนั้นกล่าวอุทิศบุญกุศลด้วยบท อิทัง เม แผ่เมตตา และกล่าวขออโหสิกรรมกับเจ้ากรรมนายเวรไม่ว่าจะอยู่ในภพหรือภูมิใดก็ตามขอให้ท่านทั้งหลายยกโทษให้ดิฉันด้วย
สุดท้ายจึงกรวดน้ำลงดินกล่าวอิมินา ปุญญะกัมเมนะ

ถ้าดิฉันปฏิบัติดังนี้แล้วตั้งจิตอธิษฐานขอยกบุญกุศลที่ทำมาตั้งแต่อดีตชาติจนถึงปัจจุบันชาติให้สรรพสัตว์ในทุกภพทุกภูมิที่ยังเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏ
อยากทราบว่าจะได้รับถึงกันหรือไม่คะ เพราะที่ดิฉันตั้งใจปฏิบัติมากเนื่องด้วยในชาตินี้ดิฉันได้เคยล่วงเกินหรือทำให้ผู้อื่นต้องเจ็บช้ำน้ำใจ จึงไม่อยากให้เวรกรรมส่งผลหรือเป็นโมฆะและที่สำคัญคือไม่กล้าขออโหสิกรรมกับเจ้าตัวค่ะ จึงอาศัยเลิกสร้างกรรมชั่ว ทำบุญกุศล และปฏิบัติธรรมให้มากที่สุด อย่างนี้แล้วกรรมชั่วจะตามทันมั้ยคะ (ส่วนใหญ่ดิฉันผิดศีลข้อ ๔ ค่ะ คือ ละเมิดทางวาจา นินทา ว่าร้าย โกหกบ้าง ส่วนอีก4ข้ออื่น ไม่ผิดค่ะ เคยบีบมด ตบยุงบ้าง แต่ปัจจุบันไม่ทำแล้ว)

สุดท้ายกราบขอบพระคุณอาจารย์ที่สละเวลาตอบข้อสงสัยทางธรรมมา ณ ที่นี้ไว้ด้วยค่ะ

คำตอบ
สถานปฏิบัติธรรมในจังหวัดเชียงใหม่อาทิสำนักชีดอยสะเก็ด อ.ดอยสะเก็ด สำนักปฏิบัติธรรมดานัง เลนัง อ.ดอยสะเก็ด สำนักปฏิบัติธรรมนิโรธาราม อ.จอมทอง สำนักปฏิบัติธรรมวัดห้วยส้ม อ.หางดง สำนักปฏิบัติธรรมวัดร่ำเปิง อ.เมือง ฯลฯ

มนุษย์และเดรัจฉานที่ยังมีชีวิต ถ้าเขาทราบและมาร่วมอนุโมทนาบุญได้เขาก็ได้รับบุญกุศลที่มีผู้อุทิศให้ได้ ส่วนสัตว์ในภพอื่นที่ยังต้องเวียนตายเวียนเกิดอยู่ในวัฏสงสารจะได้รับบุญที่มีผู้อุทิศให้ได้ต้องเข้าถึงเงื่อนไข 2 ข้อดังที่กล่าวไว้ข้างต้น

หากปฏิบัติตนให้มีศีลทั้งห้าข้อ คุมใจได้ทุกขณะตื่นแล้วหันมาปฏิบัติธรรมคนเข้าถึงปัญญาเห็นแจ้งได้เอาปัญญาเห็นแจ้งไปกำจัดกิเลส (สังโยชน์10) จนหมดไปจากใจได้ แล้วทิ้งขันธ์ลาโลกเข้านิพพานได้แล้วกรรมชั่วที่ทำไว้ทั้งหมดที่ยังเหลืออยู่ไม่สามารถตามให้ผลได้ และหากยังไม่ทิ้งขันธ์ดังเช่นพระมหาโมคคัลลานะองค์อรหันต์สะอุปาทิเลสนิพพานยังถูกโจรทุบได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 24 พ.ค. 2010, 13:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1. หนูเพิ่งเริ่มต้นรักษาศีล 5 พอเริ่มต้นก็พบว่าตัวเองมักผิดศีลข้อวาจาเป็นประจำ จึงตั้งใจรักษาเป็นพิเศษ ทำให้พูดน้อยลง แต่พอเปิดปากพูดนิสัยเก่าก็ออกมาอีก คือตามนิสัยเก่าจะพูดไม่ค่อยเพราะและโผงผางหน่อย ท่านอาจารย์โปรดเมตตาแนะวิธีเปลี่ยนแปลงให้ตนเองเป็นคนมีวาจาไพเราะด้วยนะคะ

คำตอบ
วิธีแก้ปัญหาชั่วคราวไปไหนมาไหนให้อมน้ำไว้ในปาก ถ้าจำเป็นต้องพูดให้มีสติระลึกว่า จะพูดดี พูดเป็นสัมมาวาจา คือพูดไม่เท็จพูดไม่หยาบ พูดไม่ส่อเสียด พูดไม่เพ้อเจ้อเมื่อระลึกได้เช่นนี้ แล้วให้บ้วนน้ำในปากทิ้งหรือกลืนลงไปในลำคอแล้วจึงพูดตามที่ตั้งใจไว้

ส่วนวิธีการแก้ปัญหาเรื่องการพูดไม่ดีให้หมดไปอย่างถาวร ต้องปฏิบัติธรรมจนเกิดปัญญาเห็นแจ้งใช้ปัญญาเห็นแจ้งกำจัดโปรแกรมจิตที่ติดลงให้หมดไป ด้วยการพิจารณาทุกความคิดที่ติดลบทุกความคิดที่ไม่ดีให้ดับไป (อนัตตา) ตามกฎไตรลักษณ์เหลือไว้แต่ความคิดดีความคิดที่เป็นบวกอยู่ในจิตสำนึก เมื่อจิตสำนึกสั่งให้ปากพูด จะมีแต่คำพูดดี ๆ ออกมาจากปากตามโปรแกรมจิตดีที่มีอยู่

2. เวลาที่พยายามทำสมาธิ(นั่งนิ่งๆแต่ยังลืมตา) จะรู้สึกเหมือนมีแสงสว่าง เหมือนโลกสว่างกว่าเดิม แต่ภายในร่างกายมีอาการสั่นเหมือนกับมีระลอกคลื่นเคลื่อนไหวไปมาภายในร่างกาย เป็นเพราะอะไรคะ เกี่ยวกับกิเลสเก่าหรือเปล่าคะ

คำตอบ
เป็นกิเลสที่เกิดขึ้นกับจิตที่เริ่มตั้งมั่นเป็นสมาธิ

3. การที่ทุกคนมีเจ้ากรรมนายเวรหลายคน และเจ้ากรรมนายเวรแต่ละคนถูดเบียดเบียนด้วยการกระทำที่แตกต่างกัน เจ้ากรรมนายเวรแต่ละคนต้องการการชดใช้ที่แตกต่างกันหรือไม่คะ หมายถึงว่าบางคนอาจจะต้องการให้ปฏิบัติธรรมให้ บางคนต้องการให้ทำทานให้ อย่างนั้นหรือเปล่าคะ หรือว่าการปฏิบัติธรรมซึ่งเป็นกุศลสูงสุดนั้นได้ครอบคลุมทุกอย่างไว้ทั้งหมดแล้ว หนูไม่ค่อยเข้าใจเรื่องสมบัติทิพย์ที่จะอุทิศให้เจ้ากรรมนายเวรจึงขอเรียนรบกวนถามท่านอาจารย์


คำตอบ
กรรมที่บุคคลกระทำเบียดเบียนผู้อื่นสัตว์อื่นมีหลายชนิดที่แตกต่างกันบุคคลสามารถบริหารจัดการหนี้เวรกรรมได้ 4 วิธีคือ
- ยอมรับความจริงแล้วใช้หนี้เวรกรรมจนหมดไป
- ทำกรรมที่เป็นบ่อเกิดแห่งบุญแล้วอุทิศบุญให้เจ้ากรรมนายเวร
- ทำความดีให้ยิ่งใหญ่เพื่อให้หนี้เวรกรรมตามไม่ทัน และสุดท้าย
- พัฒนาจิตจนเข้าถึงอรหัตผลทิ้งรูปทิ้งนามเข้านิพพานหนี้เวรกรรมที่เหลือทั้งหมดเป็นอันยกเลิก

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 24 พ.ค. 2010, 13:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ในภพภูมิปัจจุบันนี้ ดิฉันรู้สึกดีใจและปิติมากที่ได้มาพบเจอท่านในชาตินี้เพราะแต่ก่อนนี้ดิฉันไม่ได้เดินทางสายธรรมเท่าไร แต่พอได้อ่านหนังสือของท่านและฟังเสียงของท่านเกือบทุกวันทำให้จิตใจหันเข้าหาธรรมะมากยิ่งขึ้น

ทุกวันนี้ดิฉันได้นำทางให้ลูกๆสร้างสมบารมีโดยให้ตื่นเช้าใส่บาตรทุกวัน (คนโต อายุ 10 ขวบ,คนเล็กเพิ่งอายุ 5 ขวบค่ะ) และฝึกต้องให้มีศีล 5 คุมจิตใจ เพราะดิฉันรู้ว่าถ้าเค้าเดินทางสายทางธรรมแล้วจะนำพาชีวิตและดวงจิตของเค้าไปสู่ภพภูมิที่ดี เพราะดิฉันกว่าจะค้นพบทางเดินนี้ก็อายุมากแต่ก็คิดว่ายังพอมีบุญที่ได้มาพบท่านอาจารย์ดร.สนอง

ดิฉันเพิ่งไปฝึกกรรมฐานที่วัดแห่งหนึ่งค่ะ และมาเริ่มฝึกเองที่บ้าน แต่จะต้องไปฝึกปฏิธรรมอีกตามสถานที่ที่ท่านอาจารย์แนะนำเพิ่มให้มากขึ้นอีกค่ะ

ปัจจุบันครอบครัวทำธุรกิจเกี่ยวกับ 5 อาชีพที่ท่านอาจารย์บอกกว่าตกอยู่ในอบายภูมิมาก ดิฉันกับสามีมีแนวคิดเดียวกันพยายามเก็บเงินใช้หนี้ให้ลดน้อยลง และจะทำอาชีพที่ไม่ต้องเสี่ยงกับอบายภูมคือปลูกต้นไม้ขาย ,ขายสมุนไพร(รวมทั้งแจกหนังสือธรรมะด้วย) คือใช้ชีวิตให้พอเพียงที่สุด และต้องนำพาครอบครัวปฏิบัติธรรมให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ในภพภูมินี้ (ซึ่งมันยากมากในการปฏิบัติธรรมแต่ถึงยากอย่างไร ชีวิตที่เหลือนี้ก็ ขออธิษฐานให้ได้สร้างบุญกุศลและปฏิบัติธรรมให้ถึงที่สุด) เพราะชาตินี้ทำกรรมหนักไว้ ทุกวันนี้ดิฉันระลึกถึงคำสอนของท่านอาจารย์อยู่เสมอ และเสียงของท่านก็ดังอยู่ในจิตของดิฉัน (ถึงแม้ดิฉันจะไม่ได้ไปกราบท่านอาจารย์ใกล้ๆ แต่ท่านอาจารย์เคยบรรยายว่าไม่ต้องเจอผมก็ได้ แต่ปฏิบัติตามที่ผมแนะนำ ไม่ต้องเชื่อผม แต่พิสูจน์ด้วยตนเองแล้วธรรมะจะนำทางไปสู่ภพภูมิที่ดี)

ท่านอาจารย์ไม่ต้องตอบหรอกน่ะค่ะ เพียงแต่ดิฉันอยากจะเขียนถึงความรู้สึกที่ปิติที่ได้มาพบเจอท่านอาจารย์ในภพนี้ ถ้าการเขียนนี้ไม่ถูกไม่ควร ก็ขออนุญาตกราบท่านอาจารย์ขออโหสิกรรมให้ดิฉันด้วยน่ะค่ะ


คำตอบ
สาธุ...ที่เริ่มเห็นทางสว่างของชีวิต ผู้ใดเอาธรรมะของพระพุทธะบรรจุไว้ในใจได้แล้ว ชีวิตมีแต่ความเจริญ กรรมไม่ดีมีกับผู้ตอบปัญหายกเลิกต่อกันพร้อมนี้บุญบารมีของผู้ตอบปัญหาจงมีแต่ท่านจงทุกประการเทอญ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 24 พ.ค. 2010, 13:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดิฉันมีความคิดอยากบวชเป็นแม่ชีคะ อยากเรียนถามดังนี้

1. การบวชชีในปัจจุบันกับการบวชเป็นภิกษุณีในอดีต เหมือนกันไหมคะ และการเป็นแม่ชี มีข้อปฏิบัติเหมือนพระสงฆ์ไหมคะ

2. อ.มีวัดที่ไหนพอจะแนะนำไหมคะ ดิฉันอยากบวชในวัดที่สงบ มีการฝึกในสายวิปัสสนากรรมฐาน ไม่อยากบวชในวัดที่มีแต่การแก่งแย่งแข่งขัน ที่มองทุกอย่างเป็นตัวเงินไปหมด

3. มีคนเคยบอกว่าการเป็นแม่ชี ถ้าจะบวชได้ต้องมีเงิน ไม่งั้นจะอยู่ไม่ได้ เพราะต้องซื้ออาหารทานเอง จริงหรือเปล่าคะ แล้วอย่างงี้เราจะละทางโลกได้อย่างไร เพราะต้องขวนขวายหาแต่เงินมาเลี้ยงตัว


คำตอบ

(1) ชี คือ อุบาสิกา ที่นุ่งขาวห่มขาว โกนผม โกนคิ้วสมาทานศีล 8 และรักษาศีล 8

การบวชเป็นชีต่างจาการบวชเป็นภิกษุณีในครั้งพุทธกาล ซึ่งต้องถือปฏิบัติคุณธรรม 8 ประการ อย่างเคร่งครัดตลอดชีวิต เมื่อบวชเป็นภิกษุณีแล้วต้องประพฤติคุณธรรมขั้นพื้นฐาน เช่นไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักขโมยไม่มีเพศสัมพันธ์ไม่อวดคุณวิเศษที่ตนไม่มี และยังต้องประพฤติธรรมเพื่อนำคนให้หลุดพ้นไปจากการเวียนตายเวียนเกิดในวัฏสงสาร

ส่วนการบวชเป็นพระสงฆ์ต้องสมาทานและรักษาศีลถึง 227 ข้อ จึงต่างจากชีซึ่งรักษาศีลเพียง 8 ข้อ ชีต้องประพฤติฆราวาสธรรมหรือประสงค์ประพฤติธรรมของนักบวชเช่น ภิกษุณีสงฆ์หรือภิกษุสงฆ์ก็สามารถประพฤติได้

(2) วัดที่มีความสงบคงหาไม่ได้เพราะมีชีจำนวนมากยังเห็นผิดไปจากธรรมของพระพุทธะ ยังมีภาวะของจิตเป็นปุถุชนยังหวั่นไหวสั่นคลอนด้วยโลกธรรมและวัตถุจึงยังมีพฤติกรรมเข่งขัน แก่งแย่งชิงดียังเอากิเลสออกแสดงให้กันและกัน ฉะนั้นการเฟ้นหาวัดเพื่อไปบวชเป็นชีไม่สำคัญเท่ากับการพัฒนาจิตวิญญาณของตัวเองให้มีกำลังของสติสัมปชัญญะกล้าแข็งรู้ทันกิเลสใช้กิเลสเป็นได้ประโยชน์จากกิเลส และจิตไม่ตกเป็นทาสของกิเลสนี่คือสิ่งที่ผู้รู้เสนอแนะให้ผู้ถามปัญหานำไปคิดพิจารณาและตัดสินใจบริหารจัดการชีวิตด้วยตัวเอง

(3) จริงกับคนที่ได้บอกเล่าให้คุณได้ยินได้ฟังแต่ไม่จริงสำหรับผู้รู้ เพราะเคยได้ยินอยู่บ่อย ๆจากปากของภิกษุสงฆ์ที่ได้รับสมมติให้เป็นผู้จัดแจกอาหาร (ภตตุทเทสกะ) ว่าหลังจากภิกษุสงฆ์และสามเณรจัดอาหารลงในบาตรเรียบร้อยแล้วอนุญาตให้อุบาสก อุบาสิกาผู้ประพฤติศีล 8 นำไปรับประทานได้ฯลฯ จึงไม่มีความจำเป็นสำหรับชีที่ต้องใช้เงินซื้ออาหารมาเพื่อรับประทานเอง เพราะยังมีอาการเหลือจนรับประทานได้ไม่หมด

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 24 พ.ค. 2010, 13:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


บางครั้งเราก็รู้สึกเหมือนภาวะนิพพาน(หมายถึงความสงบ ความว่าง ความที่รู้สึกว่าไม่มีอะไรน่าเอาน่าเป็น อะไรทำนองนั้นน่ะค่ะ ไม่ได้หมายถึงนิพพานแบบพระอรหันต์นะคะ) อยู่ตรงหน้าเรานี่เอง แต่บางครั้งก็เหมือนหาไม่เจอซักที อาจารย์คะ ถ้าเราก็ไม่รู้ว่าเรามีบุญบารมีเก่ามากน้อยเพียงไร เราอาจจะจัดอยู่ในประเภท ไม่สามารถเข้าถึงธรรมได้ในชาตินี้ อย่างนี้ก็เป็นไปได้ว่า แม้เราจะพรากเพียรทั้งชีวิต เราก็ไม่อาจบรรลุธรรมได้เลยใช่มั้ยคะ แค่คิดถึงชีวิตที่จะต้องเกิดอีกมันก็ทุกข์แล้วล่ะค่ะ แต่จะน้อมรับในสิ่งที่อาจารย์สอนนะคะ ว่าให้ยอมรับในผลของกรรมแล้วก็ยินดีที่จะชดใช้

อาจารย์คะ ถ้าปกติงานของหนู มันอยู่แต่หน้าคอมพิวเตอร์ (ทำสื่อการเรียนการสอน) แทบจะไม่ได้เจอใครเลย แทบจะเหมือนการจำศีลเลยล่ะค่ะ ตอนทำงานหนูก็ไม่ได้คิดร้ายใคร อย่างนี้มันเกิดบุญที่จะเอาไปอุทิศได้มั้ยคะ หรือถ้าบางครั้งเรามีโอกาสได้ตอบคำถามที่มีคนปรึกษามา (ปัญหาทางโลกบ้างทางธรรมบ้าง ตอบไม่มากหรอกค่ะเท่าที่ปัญญาจะตอบได้) แต่เราก็มีความสุขกับการที่ได้ช่วยเหลือตรงนั้น อย่างนี้มันเกิดบุญที่จะเอาไปอุทิศได้มั้ยคะ อย่างนี้ในแต่ละวัน ถ้าก่อนนอนเราละลึกถึงความสุขที่เกิดจากความดีที่เราทำในแต่ละวัน (เล็กบ้างใหญ่บ้าง) แล้วเราก็อุทิศทุกวันเลยได้มั้ยคะ เราจะอุทิศบุญให้ประเทศจะได้ด้วยหรือเปล่าคะ


คำตอบ
ความรู้สึกที่บอกเล่าไปยังไม่ใช่ผลที่เกิดจากปัญญาเห็นแจ้ง มันเป็นเพียงความสงบที่เป็นผลมาจาก การมีจิตเข้าสู่ความตั้งมั่น (สมาธิ) ระดับสูง ยังมีความเห็นผิดในผู้รู้ตรวจวัดได้ ผู้เห็นผิดยังมีโอกาสส่งจิตออกไปรับสิ่งกระทบที่จะเกิดในอนาคตมาปรุงเป็นอารมณ์ แล้วทำให้ใจเป็นทุกข์

ฉะนั้นความเห็นที่วา “ แม้จะพากเพียรปฏิบัติธรรมให้มากเพียงไร ก็ไม่สามารถบรรลุธรรมในชาตินี้ ” ยังเป็นความเห็นผิดอยู่ผู้เห็นถูกเห็นว่า “ ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม มรรคผลแห่งธรรมย่อมเกิดตามมาให้ผู้ปฏิบัติเข้าถึงได้ ”

คนที่ชอบคิดเปรียบเทียบกับผู้อื่น เปรียบเทียบกับสิ่งที่อื่นที่เป็นสมมติของโลก ปฏิบัติธรรมได้ผลยาก เพราะทำตัวเองให้เป็นคนช่างสงสัย (น้ำชาล้นถ้วย) ส่วนการช่วยเหลือคนอื่น เป็นบุญกิริยาวัตถุ 10 ผู้ใดทำแล้วให้ผลเป็นบุญ ผู้มีบุญสามารถอุทิศบุญได้ทุกวัน อุทิศให้มนุษย์และอมนุษย์ที่อยู่ในประเทศนั้นได้แต่ไม่สามารถอุทิศและเกิดผลได้กับสิ่งที่ถูกสมมติว่าประเทศได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 24 พ.ค. 2010, 13:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ควรเริ่มจากสมาธิไปหาสติ หรือควรเริ่มจากฝึกสติไปหาสมาธิ ดิฉันเคยนั่งสมาธิแล้วเกิดเป็นมิจฉาสมาธิ โชคดีที่ได้พบกัลยาณมิตร จึงมีวันนี้ ท่านแนะนำให้สวดมนต์ ดิฉันก็ทำตามและได้ผลดี วิธีคือให้ปากกับใจตรงกันในทุกคำบริกรรม ตอนนี้ดิฉันไม่ได้อยู่ใกล้ชิดท่าน ก็พยายามสวดมนต์เป็นประจำและปรับมาเป็นสวดในใจบ้าง แต่สวดแล้วรู้สึกหนักสมองข้างซ้ายมาก รู้สึกขาดสติ ตอนที่สวดก็รู้จิตฟุ้ง มีเพียงบางขณะที่จิตเกิด สงบเป็นสมาธิ ดิฉันอยู่ต่างประเทศ สังเกตว่าฝรั่งเค้าเรื่มจากสติไปหาสมาธิ ซึ่งเป็นวิธีที่ไม่ไปบีบจิตมากนัก

ดิฉันเคยฝึกจากสมาธิไปหาสติ แต่จากเหตุและผลข้างต้น


คำตอบ
สมาธิฝึกไม่ได้ ฝึกจิตให้มีสติได้เมื่อใดแล้วสมาธิคือความตั้งมั่นของจิต จะเกิดตามมาเป็นอัตโนมัติ

เมื่อระลึกได้ว่า จิตขาดสติ ควรตั้งใจนำจิตมาจดจ่อ (สติ) อยู่กับบทสวดมนต์ให้มากสวดมนต์ให้มีเสียงดัง กล่าวคำสวดได้ชัดเจนและไม่เร็วจนเกินไป แล้วสมาธิในการสวดมนต์จะเกิดขึ้นที่ผู้ถามสังเกตเห็นฝรั่งเขาเริ่มจากสติไปหาสมาธิ นั้นทำได้ถูกต้องแล้วควรเอาเป็นเยี่ยงอย่าง

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 24 พ.ค. 2010, 13:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หนูมีความตั้งใจอยากจะซื้อที่ดินเป็นที่ทำกินแก่ผู้มีพระคุณ คือหนูปฏิบัติธรรมกับท่าน ทีผ่านมาหนูพยายามเกื้อกูลท่านมาตลอด ท่านก็อนุโมทนาบุญมาตลอดและอวยพรให้ประสบผลสำเร็จทั้งทางโลกและทางธรรม

แต่ก็ไม่ทราบว่าทำไมภายในจิตใจกลับไม่เต็ม รู้สึกหิวโหยเสียด้วยซ้ำไปในบางเวลา บางครั้งนอนหลับอยู่ก็สะดุ้งตื่นขึ้นมาเหมือนมีใครมาบอกว่าอย่ามัวแต่นอน ตื่นขึ้นมาพัฒนาพลังชีวิตเดี๋ยวนี้ แล้วหนูก็สะดุ้งตื่นขึ้นมาฝึกสติต่อทันที และบางครั้งหลับๆอยู่ก็รู้สึกกลายๆว่าตัวเองเหมือนเปรตอย่างงั้น คือรู้สึกว่าจิตใจหิวกระหาย อยากทำบุญใหญ่อยู่ตลอดเวลา ทุกวันนี้เงินทองเก็บไว้เพื่อสร้างกุศลเพียงอย่างเดียว ไม่อยากจะเอาไปทำอย่างอื่นเลย ใจมันหิวบุญมาก แต่ถึงกระนั้นเวลานึกจะทำบุญใหญ่จิตใจก็ยังกังวลอะไรบางอย่างซึ่งก็ไม่ทราบว่าเป็นอะไร ส่วนใหญ่หนูจะพยายามตั้งสติ และดูว่าเกิดอะไรขึ้นที่จิตใจ ทำไมจะทำบุญแต่จิตใจกลับอึมครึม พยายามจะพิจารณาว่านี่สัญญาเก่าหรือเปล่า หนูอาจจะเคยไปเบียดเบียนใครมาก็ได้ ทำให้จิตใจพร่อง ก็คิดเอาเองว่าเราไม่ควรย่อท้อ ยิ่งต้องเร่งทำให้มากขึ้นอีกด้วย

ขอเรียนถามท่านอาจารย์หนูเป็นอย่างนี้เพราะอะไรคะ หนูเคยทำผิดอะไรมาหรือเปล่าคะ หรือเป็นเพราะมีใครต้องการให้พัฒนาจิตใจให้มากก็เลยมาเตือน หรือเป็นเพราะใครต้องการรับบุญกุศลจากหนูหรือเปล่า จึงเป็นเช่นนี้

ท่านอาจารย์โปรดเมตตาชี้แนะสิ่งที่เป็นอยู่ และโปรดบอกทางด้วยค่ะ หนูอยากพัฒนาชีวิตให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ค่ะ

คำตอบ

เหตุเพราะจิตยังพร่องจากบุญกุศล ฉะนั้นจึงแนะนำให้ผู้ถามปัญหา ประพฤติบุญกิริยาวัตถุ10 อยู่เสมอ โดยเฉพาะบุญที่เกิดจากการปฏิบัติจิตตภาวนา ซึ่งให้ผลเป็นบุญใหญ่สุด ควรปฏิบัติให้มาก

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 24 พ.ค. 2010, 18:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1. การบรรลุมรรคผลนิพพานนั้นเป็นเรื่องที่ต้องสร้างบารมียาวนานหลายกัลป์ เลยหรือปล่าวคะ เพราะได้อ่านหนังสือของพระในสมัยปัจจุบัน บางรูปได้บอกว่า เรื่องของการบรรลุมรรคผลนิพพานเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ในชีวิตนี้ เป็นเรื่องจริงหรือไม่คะ

2. การได้พบพระอริยบุคคลเป็นเรื่องที่ต้องมีบุญกุศลมาก่อนหรือไม่คะ



คำตอบ
(1) ใช่ คนที่จะบรรลุธรรมสูงสุดได้ต้องสร้างและสั่งสมบารมีมายาวนานเป็นกัลป์

ที่พระสงฆ์บางรูปกล่าวไว้ในหนังสือที่ผู้ถามปัญหาไปอ่านเจอว่า “ การบรรลุมรรคผลนิพพาน เป็นเรื่องที่เป็นไปได้ในชีวิตนี้ ” เป็นเรื่องจริงกับคนที่มีบารมีสั่งสมมาจากอดีตชาติอันยาวไกลและมีมากพอจนแสดงผลได้

(2) ต้องมีบุญกุศลสั่งสมมาก่อน จึงสามารถพบและได้สนทนาธรรมกับอริยบุคคลได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 24 พ.ค. 2010, 18:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1.ทุกครั้งที่มีการสอบเพื่อน ๆของหนูจะนำโน๊ตย่อติดตัวเข้าไปด้วยทุกครั้งเลยค่ะ และหากได้โอกาสที่อาจารย์คุมสอบไม่เห็นเห็นก็จะหยิบขึ้นมาดู เพื่อนๆเค้าทำแบบนี้เกือบหมดทุกคนในห้องเลยค่ะ ส่วนอาจารย์ที่คุมสอบบางทีก็จงใจทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้นั่งหันหน้าเข้าข้างฝาปล่อยให้นักศึกษาลอกกันค่ะ หรือบางคนก็แอบเอาโน๊ตย่อเขึ้นมาดูค่ะ ตัวหนูเองไม่เคยทุจริตในการสอบค่ะและหนูเองเป็นคนเรียนไม่เก่งหัวไม่ดีและหนูยอมรับเลยค่ะว่าตัวเองก็เป็นคนไม่ได้ตั้งใจเรียนอะไรมากมาย ทำได้แค่ไหนก็แค่นั้น แล้วทุกๆ ครั้งที่ผลการสอบออมาหนูจะได้คะแนนน้อยที่สุดในห้องเรยค่ะ ประมาณว่าเป็นฐานเวลาตัด curveคะแนนของห้องค่ะ แต่หนูก็ไม่สนใจ เพียงแต่ก็ยังสับสนในตัวเองว่าที่จริงแล้วเราควรจะทุจริตเหมือนที่เพื่อน ๆทำหรือป่าว เพราะมีเพื่อนหลาย ๆ คนที่ทำแบบนี้จนได้เกรดเฉลี่ยสูงๆอาจารย์ในคณะก็รักใคร่ จบด้วยเกียรตินิยม สร้างความภาคภูมิใจให้พ่อแม่ หนูจึงอยากถามอาจารย์ว่าการที่อารจารย์จงใจยอมให้นักศึกษาทุจริตในการสอบนั้นถึงแม้ว่าจะเป็นความหวังดีที่อยากจะช่วยนักศึกษา นั่นเป็นบุญหรือบาปคะ และการที่ทุจริตในการสอบเพื่อให้ได้เกรดสูง ๆ หวังจะให้พ่อแม่ภูมิใจในตัวเราและมีการงานที่ดีทำได้เงินเดือนสูง ๆ แล้วเอาเงินเดืนั้นมาเลี้ยงพ่อแม่ นั้นถือว่าเป็นการกระทำที่ถูกต้องหรือไม่ ?

คำตอบ
นักศึกษาประพฤติทุจริตในการสอบ ถือว่าเป็นบาปอาจารย์ผู้คุมสอบหวังช่วยเหลือลูกศิษย์ ด้วยการทำเป็นไม่เห็นศิษย์ประพฤติทุจริตเป็นอาจารย์ที่ไร้คุณธรรม และยังเป็นการส่งเสริมศิษย์ให้ชั่วมากขึ้นอาจารย์จึงบาปมากกว่า การกระทำของอาจารย์แบบนี้ ไม่ต่างไปจากความหวังดีของลูกที่คิดตอบแทนคุณของพ่อ ด้วยการสืบทอดเจตนาธรรมทุจริตค้ายาเพื่อนำเงินมาเลี้ยงดูครอบครัว จนในที่สุดถูกจับได้พร้อมยาบ้าจึงต้องถูกพิพากษา นำพาชีวิตตนเองเข้าไปอยู่ในเรือนจำตามรอยบิดาผู้มาชีวิตวิบัติ ที่ถูกฆาตกรรมจากผู้ร่วมกระบวนกรรม


2. มีอยู่ครั้งหนึ่ง เพื่อนสนิทของหนูเค้าไม่ยอมส่งงานอาจารย์ อาจารย์ก็โทรมาตามงานจากเค้า แต่เค้าโกหกอาจารย์ไปว่าเค้าได้ส่งไปแล้วและเพื่อนคนนั้นก็หนีไปเที่ยวต่างจังหวัด และระหว่างที่เค้าอยู่ต่างจังหวัดนั้นเองอาจารย์ได้โทรไปบอกให้เค้ามาส่งงานอีกในวันรุ่งขึ้น เพราะอาจารย์บอกว่าได้กลับไปหางานของเค้าแล้วแต่หาไม่พบ ถ้าหากไม่มีงานชิ้นนั้นส่งอาจารย์ๆ ก็ตัดเกรดให้เพื่อนหนูไม่ได้ เพื่อนคนนั้นจึงได้โทรมาขอร้องให้หนูทำงานให้เค้าแล้วเอาไปส่งที่อาจารย์ท่านนั้น แต่หนูไม่ยอมทำให้เพื่อนเพราะหนูไม่อยากมีส่วนในการโกหกอาจารย์เพราะอาจารย์ท่านนั้นเป็นคนดีมีศีลธรรม เพื่อนของหนูเค้าเลยไปไหว้วานให้เพื่อนอีกคนนึงทำส่งให้ หลังจากนั้นไม่นานก็มีเพื่อนอีกคนนึงมาต่อว่าหนูว่าเป็นเพื่อนสนิทกันอะไรที่ช่วยกันได้ก็น่าจะช่วยหากไม่เหลือบ่ากว่าแรง หนูก็เรยรู้สึกผิดและสับสนว่าตัวหนูเป็นคนแล้งน้ำใจกับเพื่อนสนิทเกินไปหรือเปล่าคะอาจารย์ ?

คำตอบ
การคบเพื่อนเป็นเรื่องสำคัญและจำเป็นกับชีวิต ต้องคบทุกคนเป็นเพื่อน แต่เพื่อนใกล้ชิดเพื่อนสนิทต้องเป็นคนดีที่เรียกว่า กัลยาณมิตร เพื่อนดีไม่นำพาชีวิตไม่ตกต่ำ เพื่อนดีจะป้องกันขัดขวางไม่ให้เราทำชั่วและชักชวนให้เราทำดี ทำแล้วต้องไม่ผิดกฎหมายไม่ผิดศีลและไม่ผิดไปจากธรรม

เป็นสิ่งที่น่าเสียดายที่ผู้ถามปัญหามีเพื่อนสนิทเป็นคนพาลหากยังคบหาใกล้ชิด โอกาสที่เพื่อนพาลจะพาประพฤติผิดย่อมเกิดขึ้นได้ฉะนั้นการไม่ร่วมมือกระทำความชั่วกับเพื่อนที่เป็นคนไม่ดี ไม่ถือว่าเป็นการกระทำที่แล้งน้ำใจสำหรับคนดี แต่ถ้าคนชั่วทำตามคนพาลที่ขอร้องให้กระทำความผิดถือว่าผู้ให้ความร่วมมือเป็นคนมีน้ำใจชั่วแล้วในที่สุดตัวเองก็จะกลายเป็นคนชั่วคนพาลตามไปด้วย ด้วยเหตุนี้ในมงคลสูตรข้อแรก พระพุทธะจึงได้ตรัสกับเทวดา ที่มาขอให้บอกความเป็นมงคลว่า “ อเสวนา จะพาลานัง บัณฑิตตานัญจะ เสวนาฯ ” ผู้ใดทำได้แล้วความเป็นมงคลจะเกิดขึ้นกับชีวิต


3.หากหนูทำการปฎิบัติธรรมถือศีล สวดมนต์และนั่งวิปัสสนาอานิสงค์ของการปฎิบัตินั้นจะสามารถ ทำให้หนูอธิฐานจิตโน้มน้าวให้พ่อแม่ของหนูหันมาสนใจการปฎิบัติธรรมฝักใฝ่ในพุทธศาสนา นั่งวิปัสสนากรรมฐาน และสามารถบรรลุธรรมในชาตินี้ได้หรือไม่คะ
และหากหนูสนใจแต่การปฎิบัติธรรมจนละเลยเรื่องความก้าวหน้าของชีวิตการงาน แต่ก็ไม่ได้ละทิ้งหน้าที่ทางโลกโดยซะทีเดียว และอาจทำให้พ่อแม่เป็นห่วง อย่างนี้ถือว่าหนูทำบาปต่อบุพการีหรือเปล่าวคะ ?


คำตอบ
เพียงแค่การสวดมนต์ และปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานยังไม่ถือว่ามีพลังบุญกล้าแข็งพอ ที่จะทำให้พ่อแม่บางคนศรัทธาแล้วหันมาสนใจปฏิบัติธรรมได้ หากเมื่อใดผู้เป็นลูกปฏิบัติธรรมจนจิตเข้าถึงธรรมบรรลุความเป็นอริยบุคคลได้แล้วโอกาสที่พ่อแม่จะหันมาสนใจและฝักใฝ่อยู่ในธรรมย่อมเกิดขึ้นได้ ดังตัวอย่างของพระสารีบุตรเปลี่ยนความเห็นผิดของนางสารีผู้เป็นแม่ให้กลับมาเห็นถูกและนับถือพระพุทธศาสนา

ผู้ที่สนใจพุทธศาสนาและนำตัวเองเข้าประพฤติได้ถูกตรงตามธรรมย่อมเข้าถึงธรรมได้ในชาตินี้ ตามระดับของธรรมทีตัวเองปฏิบัติได้อาทิ ประพฤติจริยธรรมพ่อแม่ได้ถูกตรงครบถ้วน คุณธรรมของการเป็นพ่อแม่ที่ดีย่อมเกิดขึ้น ประพฤติตนมีงานดีทำมีเงินใช้ ใช้เงินอย่างประหยัดแต่พอดี และไม่ทำตัวเป็นหนี้ เขาย่อมเข้าถึงธรรมที่นำสู่ความสุขแบบฆราวาสได้ ประพฤติสมถภาวนาจนจิตเข้าสู่ความตั้งมั่นเป็นสมาธิจิตย่อมเกิดความสงบสุขประพฤติวิปัสสนาภาวนา จนเกิดปัญญาเห็นแจ้งได้ โอกาสเป็นอริยบุคคลย่อมเกิดขึ้นได้ฯลฯ

ผู้ใดประพฤติงานภายนอกที่ทำให้กับสังคมได้ถูกตรง ไม่ทำให้เกิดเป็นความเสียหาย ไม่ถือว่าเป็นการละทิ้งหน้าที่ในทางโลก ส่วนงานภายในคืองานบริหารจัดการชีวิตตัวเองให้ดี ไม่ถือว่าทำชีวิตให้เสียหายส่วนเรื่องที่บุพการีเป็นห่วงนั้นเป็นเรื่องของเขา พระพุทธะมิได้สอนให้ไปแก้ไขผู้อื่น แต่สอนให้ดูตัวเอง ปรับแก้ไขตัวเองให้ดี ฉะนั้นผู้ถามปัญหาจึงต้องพิจารณาคำชี้แนะจากผู้รู้ แล้วตัดสินใจนำพาชีวิตไปด้วยตัวเอง

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


แก้ไขล่าสุดโดย ธรรมบุตร เมื่อ 24 พ.ค. 2010, 18:49, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสต์ เมื่อ: 24 พ.ค. 2010, 18:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดิฉันได้รับการตอบปัญญาของอาจารย์ ขอบพระคุณอย่างที่สุด ทุกคำถามและทุกคำตอบเป็นครูสอนได้อย่างดี ดิฉันอ่านทุกข้อ และปฏิบัติตามคำชี้แนะ

ก่อนนี้ปฏิบัติธรรมจริง แต่ไม่เห็นธรรม ยังหลงอยู่ ปัจจุบัน ทำตามคำสอน คำชี้แนะได้ผลจริงๆ ถือศีล 5 ครองใจ ปฎิบัติตามพละธรรม 5 และทำบุญกริยา10 เจริญพรหมวิหาร4 อยู่ทุกขณะจิตให้ได้ เปลี่ยนเลยค่ะ ชีวิตเปลี่ยน ความคิดเปลี่ยน การกระทำแบบเคยชินถูกเปลี่ยน

ขอกราบท่านให้เป็นผู้รู้ เป็นอาจารย์ทางธรรม ด้วยความเคารพ และศรัทธายิ่ง

ขออนุญาตคัดลอกคำถาม-คำตอบ จำนวน กว่า 600 ข้อ และธรรมบรรยาย ของอาจารย์ทุกตอนที่มีอยู่ในเว็บไซร์ เพื่อเก็บไว้ฟัง และ อ่านทุกๆวัน จะได้มีสติระลึกรู้ ใส่ของดีๆให้จิตทุกๆวัน

กราบมาเพื่อขออนุญาติจากครูอาจารย์ และ หนูจะไปกราบอาจารย์ในวันอาทิตย์ที่ 25พฤศจิกายน นี้ค่ะ ในงานบรรยายธรรม

คำตอบ
ผู้ถามขออนุญาตคัดลอก คำถาม-คำตอบในเว็บไซด์ เพื่อเก็บไว้ดูเป็นส่วนตัว ไม่ขัดข้อง อนุญาต

พร้อมกันนี้ขออนุโมทนาความเห็นถูกที่ได้เกิดขึ้นกับผู้ถามแล้วนำคำชี้แนะไปปรับแก้ไขสิ่งผิดพลาดให้กลับมามีชีวิตที่ดีงามได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 24 พ.ค. 2010, 18:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พ่อของผมนั้นเขาสวดมนต์เช้าเย็นอยู่เป็นประจำนั้นเป็นสิ่งที่ดี แต่ว่าพอสวดเสร็จอุทิศส่วนกุศลเสร็จ เขามักจะขอโน้นขอนี่ (ขอทรัพย์สินเงินทองอย่างมาก) และยังยึดติดกราบไหว้ของขลังที่เขาบูชามา อย่างเช่น ถังเงินถังทอง แหดักเงิน ฯลฯ ที่มีอยู่ (แต่ไม่ได้มีมากมายนักหรอกครับ) ทั้งนี้เขาต้องการให้ได้เงินมาหมุนเวียน ไม่อยากลำบากไม่อยากไม่สบายใจ ต้องหาเงินจวนเจียนเข้าเช็คตลอด และเขามักมีอารมณ์เร็วต่อสิ่งมากระทบโดยเฉพาะความโกรธ เป็นคนโกรธง่าย เห็นใครดีก็ชอบ เห็นใครไม่ดีก็บ่นก็ว่า โกรธเคือง พอเดี๋ยวอีกวันนึงเห็นไอ้คนที่ไม่ดีมาทำสิ่งที่ดีให้ตนก็ชอบอีก พอไอ้คนที่ดีมาทำไม่ดีกับตนก็โกรธเคืองอีก เป็นอยู่อย่างนี้ประจำ (พอใจก็ชอบไม่พอใจก็โกรธ แต่มักจะมองคนในด้านลบแล้วโกรธ) แล้วทุกวันพระ เขาจะถวายข้าวพระพุทธรูป ศาลพระภูมิ ศาลตายาย ตลอดจนอาม่า อากงและแม่ของผมที่ล่วงลับไปแล้ว ซึ่งยังเป็นการเห็นผิดอยู่ เขายังไม่รู้ในการที่ต้องดูที่ตัวเอง กำหนดดูอารมณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นแล้วดับ เขาเป็นคนที่สอนยากมาก บอกให้ไปเข้ากรรฐานก็ไม่ไป เขาบอกว่า "เตี่ยสวดมนต์ทุกวันนี่ก็พอแล้ว เตี่ยรู้อะไรต่ออะไรดี ไม่ต้องไปหรอก" ผมควรบอกยังไงกับพ่อของผมดีครับในเรื่องทั้งหมดนี้ เรื่องของขลังกับเรื่องถวายข้าวควรบอกมั้ยครับ ผมขออาจารย์สนองโปรดชี้แนะสนองปัญหาผมด้วยครับ
สุดท้ายนี้ผมขอพรคุณพระรัตนตรัยได้โปรดดลบันดาลให้อาจารย์มีสุขภาพแข็งแรง ได้อยู่สอนมวลมนุษย์ให้พ้นทุกข์ตลอดรอดฝั่งด้วยเถิด

ขอขอบคุณอาจารย์ด้วยความเคารพครับ

คำตอบ
ความรู้ไม่จริง (โมหะ) เป็นกิเลสที่แก้ไขได้ยาก แต่สามารถแก้ไขได้ ด้วยการเจริญจิตตภาวนาจนเกิดปัญญาเห็นแจ้ง แล้วความเห็นผิดดังที่บอกเล่าไปก็จะถูกกำจัดให้หมดไปด้วยปัญญาเห็นแจ้งนั่นเอง

ชีวิตของใครจะเป็นอย่างไร ต้องบริหารจัดการด้วยตัวเจ้าของชีวิต โดยเฉพาะลูกไม่มีสิทธิ์ที่จะไปสั่งสอนพ่อแม่ หากเมื่อใดผู้เป็นลูกปรับแก้ไขชีวิตตัวเองให้มีศีลมีธรรมคุ้มครองใจให้มีความเห็นถูกมีพฤติกรรมในการคิด พูด ทำ ดีทุกเรื่อง จนทำให้เกิดความศรัทธาขึ้นกับพ่อแม่ แล้วมาเอ่ยปากขอคำแนะนำจากผู้เป็นลูก เมื่อนั้นลูกจึงจะมีสิทธิ์ชี้แนะพ่อแม่ได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 24 พ.ค. 2010, 18:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หนูมีอาการคือ ในชีวิตประจำวันเมื่อรับการกระทบจากภายนอกแล้วจะปรุงแต่งเป็นอารมณ์ตลอดเวลา ทำให้ร่างกายเหนื่อยง่าย ทำงานได้ครึ่งวันจะง่วงนอน และเพลีย

เมื่อพยายามตั้งสติไม่ให้ไปตามอารมณ์จะเกิดความสว่าง ถ้าการกระทบภายนอกแรงและตั้งใจทำที่ใจจะยิ่งสว่างมากและยาวนาน พอใจมันสว่างจะรู้สึกเหมือนหลับไม่ลง เพราะใจไม่อยากนอน แต่ขณะเดียวกันร่างกายก็สู้ไม่ไหว เกิดเป็นความไม่ลงตัวระหว่างกายกับใจ หลายๆวันเข้าก็ป่วย และกลายเป็นคนป่วยง่ายมาก หนูควรปฏิบัติอย่างไรคะ จึงจะแข็งแรงทั้งกายและใจไปพร้อมกัน

ขอบพระคุณท่านอาจารย์ค่ะ

คำตอบ
ปรับแก้ไขตัวเองให้มีศีล 5 คุมใจให้ได้ตั้งแต่ตื่นนอนตอนเช้า จนกระทั่งหลักไปในตอนกลางคืน ก่อนนอนสวดมนต์ทำจิตตภาวนา อุทิศบุญให้กับเจ้ากรรมนายเวร แล้วเข้านอนด้วยการปล่อยวางความคิดทุกอ่างให้หมดสิ้นไปจากใจ ผู้ใดปฏิบัติได้อย่างที่ชี้แนะแล้วความลงตัวระหว่างกายกับใจก็จะเกิดขึ้น

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 24 พ.ค. 2010, 18:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ท่านอาจารย์คะ หนูมีกิจการส่วนตัว คือเรียนจบแล้วมาช่วยพ่อแม่ทำงาน พี่น้องก็มาทำด้วยกันครบทุกคน หนูนำเงินของส่วนกลางไปทำบุญ เช่นบริจาคพิมพ์หนังสือธรรมะ สร้างสถานปฏิบัติธรรม และช่วยเกื้อกูลครูบาอาจารย์ ฯลฯ ใจหวังว่าขอให้ผลบุญเกื้อกูลคนในครอบครัวให้อยู่เย็นเป็นสุขและให้ได้เข้าทางธรรม หนูเคยพูดกับพ่อแม่ว่าขออนุญาติเอาเงินไปทำบุญโดยไม่ต้องบอกกล่าว (เพราะเคยบอกแล้วถูกขัดขวาง) พ่อแม่ก็ไม่ว่าอะไร ใจหนึ่งก็คิดว่ากำลังทำดีอยู่ แต่ใจหนึ่งก็ไม่ค่อยสบายใจเพราะเหมือนปิดบัง และคล้ายๆจะเจือด้วยโทสะด้วยเพราะกลัวว่าจะถูกขัดขวางการทำบุญ

อาจารย์โปรดแนะนำด้วยค่ะว่าควรทำต่อไปอย่างเดิมหรือควรแก้ไขอย่างไร ขอบคุณท่านอาจารย์ค่ะ

คำตอบ
ควรแก้ไข ด้วยการขออนุญาตใช้เงินส่วนกลาง กับผู้มีส่วนร่วมทุกคน หากเขาไม่เห็นด้วย ต้องใช้เงินส่วนตัวของคุณเองไป

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 24 พ.ค. 2010, 19:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดิฉัน อยากเรียนถาม อาจารย์สนองเรื่องเกี่ยวกับกฐิน ดิฉันเองไม่เคย เป็นเจ้าภาพหรือกรรมงานกฐิน ผ้าป่าใดๆมาก่อน ดิฉันได้พบเจ้าอาวาสวัดป่าปิยราช ที่อ.น้ำพอง จ.ขอนแก่ง อาจารย์ท่านว่าที่วัดยังไม่ได้กฐินเลย ที่ศาลาหลังคารั่ว บริเวณพระประทานพอดีดิฉันจึงว่า จะลองปรึษากับคนสนิท รักใคร่ดู เผื่อจะได้เรื่อง แต่ยังไม่รับปากท่าน เมือ่ดิฉันปรึษา พ่อ แม่ และเพื่อน ๆ ไม่มีใครเห็นด้วย ให้เหตุผลว่า กฐินเป็นบุญใหญ่ ทำยาก เพื่อน ๆดิฉันเองก้อคงไม่มีเงินพอ หากจะใช้เงินของตนเองทั้งหมดไม่มีใครเค้าทำกัน ดิฉันโลภมาก อยากได้บุญ การทำกฐินเป็นสิ่งที่ดิฉันปรารถนา ว่าจะทำสักครั้งในชีวิต

ดิฉันขอคำแนะนำจากท่านอาจารย์ในเรื่องนี้ด้วยค่ะ

คำตอบ
การทอดกฐินเป็นมหากุศล เป็นเจ้าภาพทอดกฐินร้อยครั้งได้แค่สวรรค์สมบัติ แต่หากนำตัวเข้าปฏิบัติธรรมจนเข้าถึงธรรมของพระพุทธะได้ จะเป็นบุญใหญ่สุดสามารถผลักดันชีวิต ไปสู่ความเป็นอริยบุคคลได้เข้าถึงนิพพานสมบัติได้

ฉะนั้นการเป็นเจ้าภาพทอดกฐินหากมีบารมีมากพอ เป็นเจ้าภาพแล้วไม่เบียดเบียนตัวเองและผู้อื่น รับเป็นเจ้าภาพทอดกฐินดีกว่าไม่รับ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1521 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 30, 31, 32, 33, 34, 35, 36 ... 102  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร