วันเวลาปัจจุบัน 27 ส.ค. 2025, 03:29  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 1521 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 33, 34, 35, 36, 37, 38, 39 ... 102  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 26 พ.ค. 2010, 03:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1. ผมเคยไปปฏิบัติธรรมที่วัด พระท่านสอนว่า จิตของคนเรามี 121 ดวง หมายความว่าอย่างไรครับ และดวงจิตทั้ง 121 นั้น มีการดำเนินไปอย่างไร เกิดแล้วดับตลอดเวลาหรือไม่ครับ และเมื่อจิตคิด เรื่อง 1 เรื่องต้องใช้จิตทั้ง 121 ดวงคิด 1 เรื่อง หรือใช้จิต 1 ดวงคิด 1 เรื่องครับ การที่จิตเราไม่นิ่งต้องคิดตลอดเวลาทั้ง ๆ ที่ไม่อยากคิดเพราะอะไร

2. จำนวนภพภูมิทั้งหมด 31 ภพภูมินั้นรวมทุก ๆ galaxy และทุก ๆ ระบบสุริยะจักรวาลด้วยหรือไม่ครับ ไม่ใช่เฉพาะสุริยะจักรวาลที่มีโลกเราเป็นบริวารเท่านั้นใช่ไหมครับ

3. คนที่อยู่ในสภาพเป็นเจ้าชายนิทรานั้น มีเวทนา สัญญา สังขาระ หรือไม่ครับ ร้อน หนาว เจ็บ ไม่มีใช่หรือไม่ครับ แล้วทุกข์เวทนา สุขเวทนามีได้หรือไม่ ต่างจากคนที่เป็นโรคอัลไซเมอร์อย่างไรครับ ส่วนที่เหมือนกันคือมีจิตวิญญาณ จะสามารถพัฒนาจิตที่มีอยู่ให้สงบเพื่อให้เกิดปัญญาเข้าถึงธรรมได้หรือไม่ อย่างไรครับ ใช้วิธีกำหนดจิตอย่างไรครับ ปัญหานี้อาจารย์เคยตอบแต่ว่าจิตยังทำงานอยู่เพียงแต่สมองใช้การไม่ได้จึงสั่งให้อวัยวะอื่น ๆ ทำงานไม่ได้จึงไม่มีการตอบสนอง แต่เวทนาขันธ์สัญญาขันธ์สังขาระขันธ์ยังมีอยู่หรือไม่ครับ
กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ที่ให้ความรู้ครับ


คำตอบ
(1) มิได้เรียนปริยัติ ต้องขออภัยไม่ตอบ

(2) ภพที่สัตว์ต้องไปเวียนตาย-เวียนเกิดในวัฏสงสารมิได้มีแต่เพียงสุริยจักรวาลเท่านั้น ยังมีภพอื่นที่อยู่ในจักรวาลอื่นเช่นภพยามาอันเป็นที่อยู่ของเทวดาประเภทหนึ่ง ภพนั้นอยู่ไกลเกินกว่าที่แสงแห่งดวงอาทิตย์จะสาดไปถึง

(3) ตราบใดที่จิตยังไม่จุติ จิตจะยังคงอยู่ในร่างกาย ที่รับกระทบได้แต่ไม่สามารถส่งออกให้ประสาทรับรู้ได้ การมีเวทนา สัญญา สังขาร ปรากฏอยู่ในดวงจิตจึงมีได้เป็นธรรมดา ส่วนคนที่อยู่ในสภาวะที่เรียกว่าอัลไซเมอร์ ขณะใดจิตระลึกได้ถึงสิ่งที่เข้ากระทบ เช่น เสียงเพลงสวดมนต์ สุภสัญญาที่เป็นบุญย่อมเกิดขึ้นและสั่งสมอยู่ในจิต

คนที่ถูกสมมุติเรียกว่า เจ้าชายนินทรา หากเครื่องมือ (ร่างกาย) ชำรุดมาก จนไม่สามารถรับกระทบจากภายนอกได้ จะไม่สามารถพัฒนาจิตให้เข้าถึงธรรมได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 26 พ.ค. 2010, 03:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อยากสอบถามคือว่า บุคคลเพศที่ 3 เช่น เกย์ ตุ๊ด กระเทย ทอม ดี้ เลสเบี้ยน ที่ต้องการและสนใจในธรรมะ แต่เพศไม่สมบูรณ์ซึ่งมีคนเคยบอกว่าจะปฏิบัติธรรมไม่ได้ เพราะมีกรรมผิดศีลข้อที่ 3 แต่พวกเขาเหล่านั้นสนใจกับธรรมะและสนใจปฏิบัติธรรมควรทำอย่างไรดีค่ะที่สามารถหาวิถีแก้ไขได้
1. บุคคลเพศที่ 3 สามารถฝึกฝนธรรมมะได้หรือไม่
2. ควรฝึกสมาธิ วิปัสนากรรมฐานได้อย่างไรที่ถูกต้อง
3. อยากให้อาจารย์แนะนำวิธีทางที่ถูกต้องสำหรับบุคคลเหล่านี้จะได้เป็นทางสว่างต่อค่ะ

กราบขอบพระคุณอาจารย์ที่ได้อ่านและตอบคำถามค่ะ

คำตอบ
(1) สามารถฝึกฝนธรรมะได้ แต่ไม่สามารถเข้าถึงธรรมขั้นสูงที่จะนำพาไปสู่ความเป็นอริยบุคคลได้ เหตุเพราะยังต้องชดใช้หนี้กรรม ด้วยการเสวยอกุศลเป็นบุคคลประเภทสามอยู่

(2) ควรฝึกตนเองให้ประพฤติอยู่ในกุศลกรรมบถ 10 ให้ได้ก่อน แล้วจากนั้นค่อยเริ่มปฏิบัติสมถกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐาน

(3) สำหรับบุคคลผู้ยังจำเป็นต้องชดใช้หนี้เวรกรรมประเภทนี้ แนะนำให้ประพฤติบุญกิริยาวัตถุ 10 ในข้อที่สามารถทำได้ ทำไปเรื่อย ๆ ตลอดชีวิต พ้นวิบากกรรมได้เมื่อใด บุญที่ทำไว้แล้วนี้จะส่งผลให้การบำเพ็ญจิตตภาวนาจะบรรลุผลสำเร็จดังที่ตนปรารถนา

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 26 พ.ค. 2010, 03:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


การที่เราใช่ชีวิตในปัจุบันมีสิ่งรอบข้างเรามากมายหรือคนพูดกับเราแล้วมากระทบจิตของเราจะรู้ และรู้สึกเสียวแป๊ปๆๆที่หน้าอก และความรุ้สึกเสียวแบบนี้จะค่อยกะตุ้นเราตลอกเวลาทั้งเรื่องเล็กหรือใหญ่ จนต้องระลึกรุ้ถึงอารมณ์นั้นๆๆตลอดจนอาการหายหรือความรุ้สึกนั้นหาย สิ่งที่จะจับได้ อย่างเช่น คือความรุ้สึกโกรธก็จะรู้ตาม จะตามรู้ไปจนหาย แต่บางครั้งใช่เวลานานมากเพราะอารมณ์โกรธรุนแรง เมื่อมาเปรียบเทียบการที่นั้งปฎิบัติจะเห็นเวทนา เกิดดับที่ชัดเจนมาก แต่อาการโกรธที่เราอยู่กับปัจุบันนี้ตามรุ้ว่าเกิดโกรธดับคือหายโกรธ แต่บางครั้งจะนานมาก อย่างนี้ถูกหรือเปล่าครับการที่เราตามดูอาการโกรธทำให้เกิดทุกที่ใจครับหายโกรธ(ดับที่ใจ)

ถามอาจารย์ว่า
อาการเสียวที่หน้าอกเวลามีอะไรมากะทบที่จิตเราจะรุ้ทันที่ว่าต้องตามรู้ทันที่ ว่าเกิดสภาวะไดครับหรือผมเป็นอะไรแน่ครับ
การที่ใช่ชีวิตปกติทุกวันเราจะตามดู สิ่งที่มากะทบจิต ว่ามีสภาวะใด แต่จะมองดูการเกิดดับ ระหว่างที่เกิดและกำลังจะดับไม่ชัดหรือไม่เห็นเลย ต้องฝึกอย่างไรครับ

ขอขอบคุณอาจารย์อย่างสูงครับ

คำตอบ
อาการเสียวที่หน้าอก เหตุเกิดเพราะจิตมีกำลังของสติยังไม่กล้าแข็ง และจิตยังมีอัตตาอยู่ ประสงค์จะแก้ปัญหาต้องดับเหตุทั้งสองลงให้ได้ ด้วยการปฏิบัติสมถภาวนา แล้วต่อด้วยวิปัสสนาภาวนาใช้ปัญญาเห็นแจ้งดับอัตตาด้วยการพิจารณาขันธ์ 5 ให้เห็นว่าดับไปตามกฎของไตรลักษณ์

วิธีการที่ผู้ถามปัญหานำมาใช้ ยังเป็นการแก้ปัญหาที่ไม่ถูกทางต้องแก้ปัญหาด้วยการปรับแก้ไขต้นเหตุที่สองให้ถูกตรงตามที่บอกกล่าวไว้ข้างต้นให้ได้ก่อน แล้วจึงจะเห็นการเกิด-ดับของสิ่งที่เข้ากระทบจิตได้ชัดเจน

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 26 พ.ค. 2010, 03:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ที่ร้านเป็นร้านหนังสือ มีลูกค้าเข้าออกทั้งวัน สังเกตุดูว่า
- ลูกค้า 75 % เป็นพวกมีเป้าหมาย มาเลือกดู แล้วซื้อหาไปตามที่ต้องการ
- ส่วนลูกค้า อีก 10 % เป็นพวกรสนิยม สูงในการเลือกดู คือดู แต่หนังสือ แพง ๆ เท่านั้น แต่ไม่เคยซื้อ พอดูจนพอใจ( หนังสือ เยินได้ที่แล้ว) วาง หันไปซื้อ นสพ 10 บาท กลับบ้าน
- อีก 15 % เป็นพวกไม่ซื้อเลย ขอให้ข้าอ่าน อ่าน อ่าน บางที มายืนกางหนังสือพิมพ์ อ่านเสมือนอยู่บ้าน ก็มี ต้องเตือน
แม่ค้า "พี่ค่ะ หนังสือพิมพ์ อย่ากางอ่านนะคะ"
ลูกค้า " ทำไม ดูก่อนไม่ได้เหรอ"
แล้วส่วนมาก พวกที่กาง อ่านนี่ไม่ซื้อซะด้วย

ในความคิดของดิฉัน ว่าร้านเรานี่ก็ใจดี สุด ๆ แล้ว เพราะไม่ได้เย็บ หรือติดไม่ให้อ่าน แต่ก็เห็นบางรายอย่างที่ว่า อ่านเอาเป็นเอาตาย อ่านทุกเล่มเปิดทีละหน้าเลยยืนอ่าน เลยทั้งที่ไม่ใช่ พ็อคเก็ตบุ๊ค

ขอถามว่า
- จะวางใจ ของเรา เองตรงไหนดี ค่ะ เพราะถ้าไปเปลี่ยนพวกนี้คงไม่เปลี่ยน ตัวเราเองก็ไม่อยาก จะโมโห ให้มันเดือดในใจ

โปรดแนะนำ ด้วยเถอะค่ะ - อาจารย์ ค่ะ ปฏิบัติสม่ำเสมอ ทุกวันมากบ้างน้อยบ้าง แต่รู้สึกว่าไม่พัฒนาขึ้นเคยฟังที่อาจารย์ บอกว่า ต้องพิจารณาดูว่า ทำไม ถึงไม่พัฒนา ก็เรียนตามตรงค่ะว่า ไม่มั่นใจ ต้องใส่ความเพียรมากกว่า นี้ หรือหันมา ดูตัวเองให้ดี ๆ ว่าขณะนี้ มีสติประกอบอยู่ตลอดหรือไม่ อันเนื่องมาจากการงาน ทำให้ จิตไม่ตั้งมั่นเลยค่ะ ในเมื่อตอนนี้ยัง ปฏิบัติได้ไม่ดี ก็หมั่น ทำบุญทุกวัน ตักบาตร พยายามควบคุมจิตให้มี ศีล 5 ตลอด (รวมทั้งปฏิบัติด้วย) ชวนผู้คนที่มืดบอดมีปัญหามาปรึกษา ให้ศึกษาพระธรรมชวนไปวัด ทำบุญ พิมพ์หนังสือสวดมนต์ ให้ความรู้ในทางธรรม ด้วยกุศลพวกนี้ จะทำให้พบทางสว่าง ในการปฏิบัติได้บ้างไหมค่ะ - ในกรณีที่ เราพบเจอ พระปลอม มาบังคับให้ทำบุญ ควรจะปฏิบัติ อย่างไร แจ้งตำรวจ หรือต่อว่าตรง ๆ หรือว่า ทำเฉย ค่ะ อาจารย์ (ที่รู้ว่า ปลอม เพราะต้องการ แต่เงินค่ะ เปิดบาตรมี แต่แบงค์ 20 ในบาตรค่ะ) ขอแสดงความนับถืออย่างสูง


คำตอบ
ลูกค้าร้อยละ 75 รวมกับลูกค้าร้อยละ 10 เป็นเหตุสนับสนุนให้ธุรกิจดำเนินอยู่ได้เป็นบุญ ส่วนลูกค้าอีกร้อยละ 15 ถือว่าเป็นการชดใช้หนี้เวรกรรม (บาป) ที่คุณเคยก่อไว้ในอดีตเอาส่วนที่เป็นบุญรวมกับส่วนที่เป็นบาป แล้วยังเหลือส่วนที่เป็นบุญให้คุณและบริวารได้เสวย ก็น่าจะพอใจแล้วเพราะตายแล้วมีบุญกับบาปเท่านั้นที่จะนำติดตัวได้ วางใจให้ได้อย่างนี้จะได้ไม่ต้องโมโหให้มันเดือดอยู่ในใจ แล้วการไปเกิดใหม่ในภพต่ำ จะได้ไม่เกิดกับคุณในวันข้างหน้า

หากประสงค์จะมีความมั่นใจให้เกิดขึ้นกับตัวเอง ต้องทำใจให้เป็นผู้มีศีลและสัจจะ เป็นพื้นฐานรองรับใจให้ได้ก่อน แล้วความเพียรจึงจะเกิดเป็นความจริงได้ หมั่นทำบุญทุกวันเป็นเรื่องดี เพราะบุญจะเกิดและถูกเก็บสั่งสมอยู่ในใจทุกวันจะให้ดียิ่งขึ้นก่อนทำบุญต้องใช้ปัญญาเป็นฐานรองรับใจ แล้วอานิสงส์ที่เกิดขึ้นจากการทำบุญจะมีมากและหากประสงค์พบทางสว่างของชีวิต ต้องทำบุญด้วยการปฏิบัติจิตตภาวนา

ส่วนเรื่องเจอพระปลอมหากไม่ศรัทธาไม่เอากายวาจาใจเข้าไปร่วมกระบวนอกุศลกรรมผู้ถามปัญหาจะปลอดจากการเก็บบาปของคนอื่นมาสั่งสมเป็นสมบัติของตัว

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 26 พ.ค. 2010, 03:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หนูนั่งสมาธิเกือบทุกวัน แต่หนูก็มีปัญหาขอเรียนถามท่านดังนี้ค่ะ
1. ตอนที่หนูกำลังน้งภาวนาอยู่และกำหนดพุทโธ ไปเรื่อยๆ หนูรู้สึกปวดตีงที่ขมับ แต่ภาวนาไปเรื่อยก็หายไปเอง อยากเรียนถามว่าอาการอย่านี้ควรทำอย่างไรต่อค่ะ

2. เวลาที่กำหนดพุทโธอยู่นั้นโดยกำหนดที่ลมหายใจเข้า หายใจออก นั้นพยายามที่ให้จิดอยู่ที่ลมหายใจแต่ปรากฏว่าจิตกลับออกไปคิดเรื่องอื่นๆ โดยที่ไม่ไต้ตั้งใจคิด เหมือนจิตออกไปเอง และเหมือนจิตอีกดวงก็กำลังภาวนาพุทโธอยู่ อยากเรียนถามว่าต้องแก้ไขอย่างไรค่ะ

คำตอบ
(1) หลังจากอาการปวดตึงที่ขมับหายไปให้ดึงจิต (สติ) กลับมาสู่องค์บริกรรมเดิม ทำอย่างนี้ทุกครั้งที่มีอารมณ์อื่นปรากฏแล้วดับไป

(2) ให้เปลี่ยนอิริยาบถจากนั่งภาวนา มาเป็นอิริยาบถเดินจงกรมสลับกันไปเรื่อยๆ จะทำให้สติมีกำลังมากยิ่งขึ้นจิตจะไม่หนีออกไปจากร่างกายได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 26 พ.ค. 2010, 03:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หากกระผมทราบว่าตนเองเคยปรารถนาพุทธภูมิมาและชาตินี้ต้องการที่จะลงมาเป็นสาวกภูมิจะต้องปฏิบัติอย่างไรครับ

คำตอบ
ให้ไปกล่าววาจาขอโทษต่อหน้าพระพุทธรูปแล้วแจ้งความประสงค์ขอลาพุทธภูมิพร้อมยกเหตุแห่งการลา แล้วจึงอธิษฐานใหม่ขอนำพาชีวิตมาดำเนินอยู่ในสายของพุทธสาวก

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 26 พ.ค. 2010, 04:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กระผมเพิ่งเรียนจบ ป ตรี ในคณะวิศวกรรมศาสตร์ ได้ 3-4 ปี ขณะนี้กำลังทำงานช่วยเหลือธุรกิจของครอบครัวซึ่งทำกำไรได้ปีหนึ่งๆ มากมายพอจนใช้ชีวิตอย่างสุขสบายไปได้หลายชีวิต ตั้งแต่เด็กจนโต ผมสนใจและชอบศึกษาวิชาทางวิทยาศาตร์มาตลอด จนจบการศึกษาทางวิศวฯ จิตใจเชื่อมั่นในวิทยาศาสตร์เท่านั้น ไม่เคยสนใจเรื่องของศาสนาต่างๆแม้แต่น้อย ตั้งแต่อายุ 20 ปี ก็ได้ถูกปลูกฝังให้สนใจแต่เรื่องธุรกิจและการแข่งขันมาตลอด ได้อ่านหนังสือทางธุรกิจและการค้าหลักๆ มาเกือบหมดเมื่อเทียบกับเพื่อนรุ่นเดียวกัน

แต่ในช่วงที่เติบโตมานั้น ก็สนใจอ่านในเรื่องของปรัชญาด้วย มีหลายครั้งที่ความสงสัยทั้งในเชิงวิทยาศาสตร์และปรัชญามาบรรจบกัน เช่น จักรวาลนี้จริงๆแล้วคืออะไรกันแน่ เกิดมาจากไหน ก่อนเหตุการณ์ big bang นั้นมีอะไรเกิดก่อน และ ชีวิตคนคืออะไร วิญญาณคืออะไร ทำงานในเชิงวิทยาศาตร์อย่างไรบ้าง ฯลฯ

จนเมื่อเร็วๆมานี้ได้พบกับธรรมะของพุทธศาสนาโดยบังเอิญจึงเกิดความซาบซึ้งในพระธรรมเนื่องจากทุกสิ่งนั้นล้วนตรงกับจริตของผมในแง่หลักการและเหตุผลของสิ่งต่างๆ โดยเฉพาะหลักของปฏิจสมุปปบาทและอริยสัจจสี่ ซึ่งเป็นทางแห่งการพ้นทุกข์ ในจักรวาลนี้ ไม่มีอะไรเป็นพระเจ้า ไม่มีใครเป็นเจ้าของอะไรสักอย่าง ทุกสิ่งล้วนเป็นเหตุปัจจัยสืบเนื่องมาตามลำดับ และมีความเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ทั้งสิ้น ไม่น่ายึดถืออะไรสักอย่าง ตั้งแต่นั้นมาผมได้ทำการศึกษาค้นคว้าครั้งใหญ่จากหนังสือ เวปไซต์ และการบรรยายธรรมของอาจารย์ท่านต่างๆ และนำมาปฏิบัติธรรมด้วยตนเอง

คำถามที่อยากเรียนถามท่านอาจารย์เพื่อให้กรุณาชี้แนะมี ดังนี้

1. ผมอายุได้ 26 ปีแล้วยังไม่เคยบวชมาก่อนเพราะทางครอบครัวไม่มีศรัทธาในเรื่องนี้เลย ผมสนใจที่จะบวชเพื่อจะได้มีโอกาสเรียนรู้และปฏิบัติธรรมได้เต็มที่ ไม่ต้องมัววุ่นวายกับเรื่องราวทางธุรกิจตั้งแต่ลืมตาตื่นนอนจนดึกดื่น กว่าจะได้ปฏิบัติธรรม ขอให้ท่านอาจารย์ช่วยชี้แนะ วัด และพระอาจารย์ที่ท่านสอนอย่างเคร่งครัดและถูกต้องในด้านวิปัสสนา และ สติปัฐาน 4 ด้วยครับ ผมเข้าใจว่ามีมายมายหลายวัดที่ทำการสอนอยู่ดีเท่าเทียมกัน แต่ขอให้ท่านอาจารย์ช่วยชี้แนะสัก 2 - 3 ที่ที่ท่านอาจารย์คิดว่าเหมาะสมที่สุดด้วยครับ ผมตั้งใจว่าจะบวชสัก 2 - 3 สัปดาห์

2. ผมมีความเชื่อมั่นในพระธรรมว่าเป็นหลักวิชาสูงสุดที่จะทำให้สัตว์ทั้งหลายพ้นทุกข์ และเชื่อว่าตัวผมเองสามารถช่วยเผยแพร่พระศาสนาและช่วยเหลือผู้คนได้มากมายกว่าการที่ผมจะมัวแต่ทำธุรกิจเพื่อผลประโยชน์ของตัวเองและพวกพ้องไม่กี่คน แต่ก็ยังไม่มีกำลังใจเข้มแข็งพอที่จะสามารถสลัดบ่วงทางโลก ไม่ว่าจะเป็น ธุรกิจการงาน ครอบครัว เพื่อนพ้อง และคนรัก ไปบวชแบบถาวรได้ ซึ่งอาจยังเป็นกรรมเก่าของผมอยู่ในขณะนี้ แต่ก็มีความตั้งใจว่าจะทำเพื่อพุทธศาสนาเต็มที่ในฐานะของฆราวาส

กราบขอบคุณท่านอาจารย์อย่างสูงครับ

คำตอบ
ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในธรรมชาติหรือเกิดขึ้นกับชีวิตหากเข้าถึงความจริงแท้ (ปรมัตถสัจจะ) ในพุทธศาสนาได้แล้วจะรู้ว่า ไม่มีปรากฏการณ์ใดเกิดขึ้นโดยบังเอิญ ทุกปรากฏการณ์ต้องมีเหตุที่ทำให้เกิด ที่คุณมีความสนใจในหลักของปฏิจสมุปปบาทและอริยสัจ 4 เมื่อเหตุปัจจัยของบุญบารมีที่ถูกเก็บสั่งสมในจิตลงตัว จะเป็นแรงผลักดันให้บุคคลได้เข้าถึงความจริงแท้ (เหตุผล) ในระดับที่อยู่เหนือประสาทและเครื่องมือสัมผัส ดังที่นักวิทยาศาสตร์นอกกรอบหลายคนรวมถึงคุณได้เข้าถึง

(1) คนที่มีบุญบารมีส่งผลต้องเจอกับครูที่เข้าถึงความจริงแท้ในพุทธศาสนา จึงขอแนะนำให้ไปฝากตัวเป็นศิษย์เพื่อพิสูจน์ความจริงในพุทธศาสนากับพระอาจารย์มนตรี สำนักสงฆ์ป่าละอู จ.กาญจนบุรี พระอาจารย์มานพ จ.จันทุบรี พระอาจารย์ประสิทธิ์ วัดป่าหมู่ใหม่ จ.เชียงใหม่ ฯลฯ

(2) ความเชื่อมั่นในพระธรรมจะเกิดขึ้นเต็มร้อยได้ ต้องปฏิบัติและเข้าถึงธรรมของพระพุทธะด้วยตัวเอง ดังเช่นวิศวกรผู้เปลี่ยนวิถีชีวิตตนเองมาเป็นเจ้าอาวาสวัดพระบาทน้ำพุ วิศวกรผู้อุทิศตนทำหน้าที่เป็นเว็บมาสเตอร์ในเว็บกัลยาณธรรม ฯลฯ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 26 พ.ค. 2010, 04:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1.คุณแม่ของดิฉันอยากทราบว่าหากเราติดเงินผู้อื่นอยู่อยากใช้คืนแต่ตอนนี้หาตัวเขาไม่พบจะทำอย่างไรดีคะ
2.ดิฉันมักจะไปบวชเนกขัมมะอยู่ที่สำนักแห่งหนึ่งบ่อยๆ พระอาจารย์บอกว่าเราจะบริกรรมว่าอะไรก็ได้เพราะเป็นแค่บัญญัติ แต่เวลาท่านนำเจริญสติท่านจะใช้ พุทโธ อยากทราบว่าเราควรใช้เหมือนท่านหรือไม่คะ
3.ดิฉันเป็นคนชอบพูดเล่น พูดตลก พูดประชดเล่นๆ และพูดแซวผู้อื่น อยากทราบว่าผิดศีลข้อ 4 หรือไม่คะ

กราบขอบพระคุณค่ะ

คำตอบ
(1) เอาเงินเท่าจำนวนที่เป็นหนี้ไปสร้างบุญใหญ่เช่น สร้างกุฏิสงฆ์ สร้างทางเดินจงกรม เป็นเจ้าภาพปฏิบัติฯลฯ แล้วอุทิศบุญกุศลที่เกิดขึ้นให้กับผู้เป็นเจ้าหนี้ของเงินที่คุณไปเอามา

(2) พระอาจารย์แนะนำนั้นถูกต้องแล้ว จะให้องค์บริกรรมพุท-โธ ให้เหมือนท่านหรือบริกรรมต่างไปจากท่าน ยังไม่สำคัญเท่ากับว่าองค์บริกรรมใดเมื่อนำมาใช้แล้ว ทำให้จิตเกิดความตั้งมั่น (สมาธิ) ได้เร็วองค์บริกรรมเช่นนั้นเหมาะกับจริตของคุณ จงใช้เพียงอย่างเดียวและตลอดไปสมถภาวนาจึงจะสัมฤทธิ์ผล

(3) ไม่ผิดศีลข้อ 4 แต่ผิดกุศลกรรมบถในเรื่องของวจีกรรม 4 หากยังประพฤติอกุศลวจีกรรมอยู่เรื่อย ๆ จะไม่สามารถนำจิตเข้าถึงธรรมขั้นสูงของพระพุทธะได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 26 พ.ค. 2010, 04:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คำถามที่1
อยากทราบว่าเป็นโรคกรรมใช่ไม๊ค่ะ คนที่เป็นไปทำกรรมอะไรมา มีวิธีแก้ยังไรบ้างค่ะ?

ดิฉันเป็นโรคเกี่ยวกับมดลูก2โรคคือ เนื้องอก ได้ผ่าตัดออกไปแล้ว แต่มีโอกาสกลับมาเป็นใหม่ค่ะ โรคที่สองคือ เยื่อบุมดลูกเจริญผิดที่เป็นโรคที่รักษาไม่หายยกเว้นต้องมีลูกซึ่งยากเพราะดิฉันยังโสดและอายุมากแล้ว ดิฉันเชื่อว่ามีคนเป็นกันมาก มีคนแนะนำให้ทานเจ ต้องเจเท่านั้นถึงจะช่วยให้ทุเลากินมังสวิรัติก็ยังไม่พอ จริงไม๊ค่ะ ช่วยแนะนำด้วยค่ะ

คำตอบ
เป็นโรคที่เกิดจากประพฤติละเมิดศีลข้อ ปาณาติบาต วิธีแก้ปัญหาในเรื่องการชดใช้หนี้เวรกรมให้ดูคำตอบในเว็บข้อ 621 (1)-(4) และที่มีคนแนะนำให้กินเจ เขาแนะนำถูกแต่โรคที่เกิดขึ้นจะหายหรือไม่เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

คำถามที่2
อยากทราบว่าคนที่ทำอาชีพที่ต้องคอยลุ้นวันต่อวันเดือนต่อเดือนว่าจะทำยอดได้ไม๊ แถมยังมีความเสี่ยงสูงด้วยหากทำพลาด ทำกรรมอะไรมาถึงไม่มีความมั่นคงเลย ต้องแก้ไขอย่างไรค่ะ

อาชีพที่ทำอยู่คือเจ้าหน้าที่โบรกเกอร์ตลาดหุ้น ทำมานานกว่าสิบปี โดยจุดเริ่มต้นดูเหมือนงานอาชีพอื่นที่มีอนาคตเติบโตได้ มีความมั่นคง แต่ด้วยระบบธุรกิจที่เปลี่ยนไปทำให้มีกฏเกณฑ์ออกมาคนที่ตกในอาชีพนี้คือ มีความเสี่ยงสูงถ้าทำพลาด มีรายได้ไม่แน่นอนขึ้นกับภาวะตลาด อนาคตอาจอยู่ไม่ได้เพราะมีซื้อขายผ่านระบบอินเตอร์เน็ต ถ้าจะให้เปลี่ยนอาชีพตอนนี้คงยากเพราะทำมานานแล้ว อายุเยอะแล้ว อาชีพนี้บาปไม๊เพราะต้องเรียนตามตรงว่าไม่มีใครรู้แน่นอนว่าหุ้นจะขึ้นลงเท่าไหร่ แต่เราต้องคอยแนะนำลูกค้าตามข้อมูลที่มี

ขอกราบขอบพระคุณค่ะ

คำตอบ
คนหลงโลกยังจำเป็นต้องดำเนินชีวิตอยู่ด้วยการเอาจิตไปผูกติดเป็นทาสกับวัตถุ จึงถูกกิเลสหลอกใช้ให้เกิดอารมณ์วูบวาบ หวั่นไหว เครียด ซึ่งให้อานิสงส์เป็นบาป และยังถูกเก็บสั่งสมไว้ในจิตวิญญาณของผู้หลงอีกด้วย ตายแล้วบาปนำไปเกิดในที่ไม่ดีดังตัวอย่างของโตเทยยพราหมณ์ หลงมนุษย์สมบัติจึงต้องไปเกิดเป็นลูกสุนัข เฝ้าสมบัติตัวเองที่ถูกฝังดินไว้ในบ้านของลูกชาย และเช่นเดียวกันในครั้งพุทธกาล ยังมีคนตาสว่าง เช่น ปิปผลิมาณพ เจ้าชายอนุรุทธ ผสะกุลบุตร ฯลฯ เห็นทุกข์โทษที่เกิดจากการมีจิตเป็นทาสของวัตถุ ด้วยรู้แจ้งชัดว่า ตายแล้วไม่สามารถแบกขนเอามนุษย์สมบัติข้ามภพข้ามชาติไปได้สักอย่าง เพราะเป็นสมบัติของโลก เป็นสมบัติที่ต้องทิ้งไว้เป็นกำพร้า มีแต่บุญและบาปเท่านั้นที่ตนเองสามารถนำพาไปได้จึงได้สละสมบัติมนุษย์ให้ผู้อื่นครอบครองแล้วตัวเองไปแสวงหาสมบัติที่ดีกว่า ปลดจิตให้เป็นอิสระจากสิ่งเศร้าหมอง คือกิเลสทั้งปวงให้ได้ แล้วจึงจะสามารถเข้าถึงอริยสมบัติซึ่งเป็นสมบัติที่สุดยอดและบุคคลสามารถเข้าถึง แสวงหามาไว้เป็นของตนได้

ด้วยเหตุนี้ผู้ถามปัญหาต้องพัฒนาจิตตนเองให้เลิกหลงทำตัวเองให้เข้าถึงความจริงของชีวิต ปัญหาที่ถามไปจึงจะสามารถแก้ไขได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 26 พ.ค. 2010, 04:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2550 แม้ได้มีโอกาสได้พบปะกับอาจารย์ แต่ก็ไม่มีความกล้าและเกรงใจในการ จะเข้าไปสอบถามหรือคุยปัญหากับอาจารย์อย่างใกล้ชิด ปลายปีนี้หากไม่มีอะไรผิดพลาดตั้งใจจะไปปฏิบัติธรรม ที่วัดป่าอรัญวิเวกเป็นเวลา หนึ่งอาทิตย์ หากบุญบารมีถึงจริง ขอให้ได้สัมผัสธรรมที่ครูบาอาจารย์ทั้งหลายได้ประสบ พบมาแล้ว หากไม่พบเจอก็ถือเป็นการสั่งสมบุญบารมีไปในตัว

ขอเรียนถามอาจารย์ดังนี้ครับ

หากปราถนาภพแห่งอริยบุคคล สิ่งที่ทำต่อไปนี้ ถือ เป็น ศีลพรตปรามาส หรือเปล่าครับ

1. มุขเยอะ ถือว่า ผิดศีลข้อ 4 หรือเปล่าครับ คงจะลำบากเหมือนกันนะครับหากปฏิสัมพันธ์ของเราตัดขาดออกไปมากขึ้น จากสังคมหรือเปล่า
2. การเผลอกระทำพลาดศีลข้อปาณาติบาต เพราะไม่ได้ตั้งใจ อาทิเช่น เดินเหยียบหมด,เผลอตบยุงโดยปฏิกิริยาอัตโนมัติ หรือ เอามือลูบออกหรือผ้าปัด แต่ปรากฏยุงตัวนั้น กลับตาย ถือเป็น ศีลพรตปรามาส หรือเปล่า เพราะในใจคิดว่าหากไม่ เจตนาก็คงไม่ผิด

สุดท้ายผมต้องกราบขออภัย อาจารย์ด้วยครับหาก อาการแห่งจิตใดๆ ของผมไปทำความรำคาญหรือทำใหจิตของอาจารย์ ต้องขุ่นมัว


คำตอบ
ปรารถนาภพแห่งอริยบุคคลหมายถึงโลกอันเป็นที่อยู่ของอริยบุคคล มีตั้งแต่ภพมนุษย์ ภพสวรรค์ทั้งหกชั้น และภพพรหมสุทธาวาสทั้งห้าชั้น

(1) คำว่า “ มีมุขเยอะ ” หมายถึงมีลูกเล่นตลกมาก ผู้ใดคิดพูดทำ เพื่อให้เกิดเป็นความตลก ถ้าการพูดนั้นไม่เคลื่อนไปจากความจริงถือว่าไม่ผิดศีลข้อ 4 หรือพูดแล้วไม่เท็จ ไม่หยาบ ไม่ส่อเสียด ไม่เพ้อเจ้อ ถือว่าไม่ผิดกุศลกรรมบถข้อวจีกรรม 4

ฉะนั้นผู้แสดงมุขตลกที่เคลื่อนไปจากที่กล่าวนี้เป็นพฤติกรรมของมนุษย์ที่นำพาชีวิตให้ไหลเวียนไปตามกระแสโลก แต่หากมีพฤติกรรมถูกตรงตามศีลตามกุศลกรรมบถเป็นการทวนกระแสโลก ซึ่งผู้ถามปัญหาต้องเลือกนำพาชีวิตด้วยตนเอง

(2) ในสมัยที่หลวงปู่ธรรมชัยยังมีชีวิตอยู่ ท่านได้เล่าให้ผู้ตอบปัญหาฟังว่า มีหญิงคนหนึ่งในหมู่บ้าน ได้รักษาศีล 5 มาเกือบตลอดชีวิต มีอยู่วันหนึ่งลงอาบน้ำในลำคลอง ขณะถูตัวได้เอามือไปลูบถูกลูกกุ้งตัวหนึ่งตายโดยไม่เจตนา จิตเกิดความเศร้าหมอง ด้วยเหตุที่พยายามรักษาศีลให้บริสุทธิ์มาเกือบตลอดชีวิต แต่มาพลาดทำให้ลูกกุ้งต้องตายลงด้วยมือของตัวเอง ตายแล้วไปพบพญายมและถูกตัดสินโทษให้ไปเกิดเป็นสัตว์ในนรก เรื่องนี้จริงเท็จอย่างไร ถ้าผู้ถามปัญหาอยากรู้ต้องตามไปดูด้วยตนเอง แต่ผู้ตอบปัญหาเชื่ออย่างสนิทใจว่าหลวงปู่ธรรมชัยไม่กล่าววาจาที่เป็นเท็จ ฉะนั้นที่ถามไปจึงเป็นสีลัพพตปรามาส

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 26 พ.ค. 2010, 04:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กระผมได้อ่านพระไตรปิฎกมาบ้างบางตอน กระผมมีความสงสัยเกี่ยวกับพระพุทธเจ้าในอดีตว่า พระพุทธเจ้าในอดีตนั้นเกิดขึ้นเฉพาะบนโลกใบเดียวกับที่มนุษย์เราอยู่ปัจจุบันนี้เท่านั้น หรือเกิดขึ้นที่โลกใบอื่นที่มีมนุษย์ต่างดาวอยู่ด้วย เพราะในพระไตรปิฎกที่กล่าวถึงพุทธวงศ์ต่างๆ นั้น พระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์มีร่างกายที่สูงใหญ่มาก ( สูง 40 ศอกบ้าง 60 ศอกบ้าง 80 ศอกบ้าง ) และอายุยืนเป็นหมื่นเป็นแสนปี ก็เลยสงสัยว่ามนุษย์สมัยนั้นมีร่างกายสูงใหญ่และอายุยืนขนาดนั้น โลกใบนี้น่าจะไม่พอที่จะอาศัยอยู่

คำตอบ


เป็นเรื่องปกติธรรมดา ของผู้ที่พัฒนาปัญญาด้วยการอ่านจากตำราคัมภีร์ ผู้ตอบปัญหาเคยได้สนทนาธรรมกับพระป่าองค์หนึ่งท่านเล่าให้ฟังว่า ท่านนั่งเข้าฌานในโบสถ์มีอยู่คืนหนึ่งได้พบพระพุทธเจ้าพร้อมด้วยอัครสาวกทั้งสอง ท่านบอกว่า พระสมณโคดมมีพระวรกายสูงใหญ่กว่ามนุษย์สมัยนี้ เช่นเดียวกับผู้ที่เคยพบหลวงปู่โลกอุดรก็พูดว่ามีร่างกายสูงใหญ่กว่าคนสมัยนี้ ผู้ที่เคยไปนมัสการพระพุทธบาทสี่รอย ที่อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ จะเห็นว่ารอยประทับบนแผ่นหิน พระพุทธบาทของพระกุกสันธะพุทธเจ้า พระโกนาดมพุทธเจ้า พระกัสสปะพุทธเจ้า พระโคดมพุทธเจ้า มีพระพุทธบาทตั้งแต่ใหญ่สุดและใหญ่รองลงมาตามลำดับ จนถึงพระพุทธบาทของพระสมณโคดมที่มีขนาดเล็กสุด ยังมีความยาวัดได้ถึง 1 เมตร 80 เซนติเมตร ลองไปคิดดูเองว่า เป็นไปได้หรือไม่ที่คนในยุคอดีตมีร่างกายสูงใหญ่ดังที่ถามไป เช่นเดียวกันคนในอดีตมีอายุยืนยาวเป็นหมื่นเป็นแสนปียังไม่ยืนยาวเท่ากับมนุษย์ที่เกิดมาในต้นยุคซึ่งมีอายุยืนยาวถึงหนึ่งอสงไขยปี

ส่วนเรื่องที่พระมหาโพธิสัตว์ ต้องมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าที่โลกใบนี้หรือไปตรัสรู้ที่โลกอื่นได้ ตอบว่ามาตรัสรู้ที่โลกใบนี้เพราะมีเหตุปัจจัยถึงพร้อม เทวดาที่เป็นสันดุสิตเทพบุตร ก่อนตอบรับคำเชิญจุติของหมู่เทวดาและพรหม เพื่อลงมาเกิดเป็นมนุษย์แล้วตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ได้พิจารณาเรื่องสำคัญอยู่ 5 เรื่องใหญ่คือพิจารณาโลกที่จะลงไปเกิด อายุขัยของมนุษย์ ทวีป ประเทศ ตระกูล และพุทธมารดา เหล่านี้ต้องเหมาะสม ซึ่งมีอยู่ที่โลกใบนี้เท่านั้น จึงตัดสินใจรับคำเชิญจุติ แล้วลงมาเกิดเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ ซึ่งต่อมาได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 26 พ.ค. 2010, 04:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กระผมปฏิบัติธรรม โดยการเดินจงกรม และนั่งสมาธิมาต่อเนื่องมาซักช่วงเวลาหนึ่งแล้วมีเรื่องอยากเรียนถามท่านอาจารย์ฯ ดังนี้ครับ

1. การที่เราเกิดการเจ็บป่วยขึ้นมาจะเป็นเพราะว่าเจ้ากรรมนายเวรเขามาเอาคืนหรือเปล่าครับ เพราะปกติไม่เคยเป็นแล้วก็ดูแลตัวเองดีครับ หากใช่เราต้องทำไงครับ และในช่วงที่ป่วยต้องนอนให้น้ำเกลือที่โรงพยาบาล เราจะสามารถปฏิบัติธรรมได้อย่างไรบ้างครับ เพื่อรักษาธรรมที่มีอยู่ไม่ให้ขาด

2. สืบเนื่องมาจากเรื่องเจ็บป่วย ตอนที่ผมป่วยมีเลือดออกในลำไส้ทำให้เสียเลือดมาก จึงทำให้หน้ามืด หายใจไม่ออก และหูดับไม่ได้ยินเสียง ช่วงวินาทีแบบนี้เราจะมีวิธีการเตรียมจิตอย่างไรเพราะอยู่ในช่วงนั้นมาแล้วรู้สึกว่าชีวิตคนเรามันเปราะบางมากเหลือเกิน แล้วการที่เราขอในใจว่าขอลูกอยู่เพื่อปฏิบัติพระธรรม-กรรมฐานก่อน จะผิดไหม เพราะช่วงนั้นรู้สึกถึงเรื่องนี้มากที่สุด หรือมีวิธีการเตรียมจิต และกำหนดให้มีสติตลอดได้อย่างไรบ้างครับ

3. เรามีการรักษาจิตเราอย่างไรไม่ให้ออกไป คิดไม่ดีกับคนอื่น หรือลบหลู่คนอื่นให้เป็นบาป เพราะทุกครั้งก็จะกำหนดรู้ทุกครั้งเพื่อไม่ให้เกิดเลยมาก แต่บางทีมันคิดไปแล้วมันก็เลยเกิดอกุศลในจิต แบบนี้เรามีวิธีสกัดกั้นยังไงเพื่อไม่ให้อกุศลแบบนี้เกิดขึ้นครับ

ปล. ปัจจุบันนี้เพิ่งหายแล้ว และตอบตัวเองได้ว่าหากพรุ้งนี้ต้องตายสิ่งที่จะเสียดายมากที่สุดก็คือการปฏิบัติธรรม การปฏิบัติธรรมช่วยได้มากแม้ในยามที่ชีวิตวิกฤตทำให้เรามีสติ หรือแม้ยามที่เราหลงขาดสติไปบ้างจากการเจ็บป่วย ก็รู้สึกเหมือนมีสิ่งที่ดีคอยปกป้องตัวเราอยู่ข้างๆ เพื่อไม่ให้หนักขึ้นไปกว่าที่เป็นอยู่ ท้ายนี้ขอขอบคุณล่วงหน้าในคำตอบของท่านอาจารย์ ดร.สนอง วรอุไร มา ณ โอกาสนี้ด้วยครับ


คำตอบ
(1) การเจ็บป่วยของมนุษย์สมัยนี้ พระพุทธเจ้าตรัสว่า มนุษย์อาพาธด้วยเหตุ 4 อย่าง และหนึ่งใน 4 เหตุนั้นคือโรคที่เกิดจากกรรม ดังตัวอย่างเช่น อุตริมนุษย์ที่เอากาวแห้งเร็วไปหยดใส่ก้นไก่ แล้วเอามือบีบให้รูเปิดที่ก้นไก่ติดกัน ผลปรากฏว่าไก่ไม่สามารถถ่านมูลได้ ไก่อยู่ได้หลายวันแล้วตายลงในที่สุด อยู่มาไม่นานกรรมนี้ให้ผล มนุษย์ผู้ทำกรรมถ่ายอุจจาระไม่ออกหลายวันแล้วตายตามไก่ไปในที่สุด นี่คือตัวอย่างจริงของโรคที่เกิดจากรรมเป็นเหตุ

ฉะนั้นหากคิดว่าการเจ็บป่วยของคุณเกิดจากกรรมเป็นเหตุต้องทำบุญให้ยิ่งใหญ่ เช่น ปฏิบัติกรรมฐานแล้วอุทิศผลบุญให้หนี้ให้กับเจ้ากรรมนายเวร จนกว่าเขาจะเลิกจองเวร อาการเจ็บป่วยก็จะหาย

ขณะเจ็บป่วยสามารถปฏิบัติธรรมได้ ด้วยการสวดมนต์ฟังธรรมเป็นการปฏิบัติธรรมเบื้องต้น กำหนดอาณาปานสติ ดูลมหายใจเข้าออกว่า พุท-โธ ๆ ๆ ไปเรื่อย ๆ ถือได้ว่าเป็นการปฏิบัติธรรมขั้นกลางและหากมีกำลังสมาธิมากพอ สามารถพิจารราการเจ็บป่วยให้เห็นว่าเป็นไปตามกฎไตรลักษณ์ถือว่าเป็นการปฏิบัติธรรมขั้นสูงสุดได้

(2) การเจ็บป่วยของคุณในครั้งนี้ถือว่าโชคดี ที่ทำให้เห็นชัดว่า ชีวิตของคนเราเปราะบาง และเป็นเช่นนั้นจริง เมื่อใดที่ลมหายใจหยุดเข้าร่างกาย หยุดออกจากร่างกาย ชีวิตจะดำเนินอยู่ไม่ได้เหมือนที่คนตายทั้งหลายได้ทำให้ดูเป็นตัวอย่าง ฉะนั้นไม่ควรประมาทกับชีวิตเพราะเมื่อใดที่จิตปฏิเสธร่างกายแล้ว จิตต้องไปแสวงหาร่างใหม่เข้าอยู่อาศัยร่างนี้จะถูกทอดทิ้งไว้ให้เน่าเปื่อยผุพังไป จึงควรอย่างยิ่งต้องเตรียมตัวไปเกิดใหม่ในภพที่ดีด้วยการประพฤติแต่สิ่งที่เป็นบุญเป็นบารมีให้ยิ่ง ๆ ขึ้น จึงจะไม่เสียชาติเกิด

การตั้งจิตปรารถนา (อธิษฐาน) ขอมีชีวิตอยู่เพื่อปฏิบัติธรรมสามารถตั้งจิตปรารถนาได้แต่เมื่อตั้งปรารถนาแล้วต้องมีสัจจะและปฏิบัติให้เป็นเหตุถูกตรงตามที่ปรารถนา ทำได้อย่างนี้และจะไม่ผิดอธิษฐาน ส่วนเรื่องการเตรียมจิตด้วยการกำหนดให้บริกรรมคำว่า พุท-โธ ๆ ๆ อยู่กับลมหายใจเข้า-ออก กำหนดทุกครั้งที่นึกได้ กำหนดทุกครั้งที่ว่างจากงานภายนอก แล้วสติจะมีกำลังมากขึ้น

(3) ต้องพัฒนาจิตให้เกิดปัญญาเห็นแจ้งแล้วใช้ปัญญาเห็นแจ้งกำจัดสิ่งเศร้าหมอง (กิเลส) ที่มีอยู่ในใจให้หมดไป ด้วยการพิจารณาสิ่งเศร้าหมองหมดไปจากใจ การระลึกได้ในสิ่งเศร้าหมองจะไม่มีความคิดที่เป็นอกุศลอื่ต้องพิจาณาในทำนองเดียวกันนี้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 26 พ.ค. 2010, 04:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1. ทำกรรมอะไรถึงใส่เสื้อผ้าแล้วกลายเป็นโป๊หรืออุจาดตาคะ ทั้งที่เสื้อผ้าเหล่านั้นเคยใส่แล้วก็ไม่เคยเกิดเหตุอะไร แต่ช่วงนี้ใส่อะไรก็ดูไม่เหมาะสมไปหมด ตัวเองดูแล้วดูอีกก็ไม่เห็นอะไรผิดปกติ หรือคนในบ้านคนที่ไปด้วยก็ไม่เห็นอะไร แต่คนอื่นกลับเห็น หัวเราะเยาะดูถูก มันเป็นทุกครั้งเลยค่ะในช่วงนี้ จนไม่อยากออกไปไหน แต่ก็มีเหตุให้ต้องออกจนได้ วันไหนขับรถไปก็ไม่เกิดอะไร วันไหนนั่งรถเมล์ไปก็เป็นเรื่องเลยค่ะ จนคนแถวบ้านหรือคนพบเห็นอาจคิดว่าหนูเป็นผู้หญิงไม่ดี ชอบแต่งตัวยั่วยวนหรือเป็นโรคจิตชอบให้คนดูร่างกายตัวเอง

2. หนูจะแก้ปัญหานี้ได้อย่างไรคะ ครั้งล่าสุดนี่พอรู้ตัวหนูก็ให้คนในห้องน้ำช่วยดูให้ เขาก็บอกไม่เห็นอะไร เรียบร้อยดี หนูไปสมัครงานเลยพลาดงานไปเลยค่ะ ทั้งที่เปอร์เซนต์ที่จะได้มีถึง80เปอร์เซนต์ มันเกี่ยวกับเรื่องงานสองหนแล้วค่ะ หนูกลุ้มใจมาก

3. ครั้งสุดท้ายนี่ จิตเตือนว่า อย่าๆ สองครั้ง ไม่ให้หนูไปยืมกระโปรงน้าสาวมาใส่ ทั้งที่กระโปรงนั้นก็เป็นสีน้ำตาล ผ้าไม่บาง ใส่ครั้งแรกไม่เป็นไร ขับรถไปแล้วก็ไปเดินห้างด้วย ไม่มีใครว่าอะไร แต่ครั้งที่สองนี่นั่งรถเมล์ไปเลยเกิดเรื่องเลยค่ะ ถ้าหนูไม่ทำตามที่จิตห้าม หนูก็ไม่ต้องเกิดเรื่องใช่ไหมคะ แสดงว่า กรรมใกล้หมด หรือยังไงก็ต้องรับกรรมนี้อยู่แล้วคะ

ทุกวันนี้หนูกลุ้มใจมาก กว่าจะออกจากบ้านก็ดูแล้วดูอีก เกือบจะประสาท หนูถูกนินทาว่าร้ายซ้ำแล้วซ้ำอีก คิดว่า ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย มันก็ยังไม่จบซักที หนูท้อมากค่ะ ท้อจริงๆ แทบไม่ได้ทำกรรมฐานเลยหลังจากออกพรรษา เพราะคิดว่าผลบุญจะช่วยได้ แต่นี่โดนเล่นงานทุกครั้งเลยค่ะ นอกจากจะอับอายแล้ว งานก็ไม่ได้ค่ะ


คำตอบ
(1) เหตุเกิดเพราะจิตขาดสติดสัมปชัญญะ จึงทำให้จิตตกเป็นทาสของกามราคะคือมีจิตยินดีพอใจ หมกมุ่นสาละวน อยู่กับสรีระว่าเป็นของสวยงามควรแก่การทะนุบำรุงรักษาเมื่อใดที่กรรมให้ผล สิ่งที่บอกเล่าไปจึงได้เกิดขึ้น

(2) ต้องแก้ปัญหาที่ต้นเหตุด้วยการพัฒนาจิตให้เกิดสติสัมปชัญญะ แล้วพิจารณาว่าสรีระของตนเองเป็นไปตามกฎไตรลักษณ์ แล้วพฤติกรรมที่แสดงออกจะดีงามเป็นอิสระต่อสิ่งเย้ายวนทางประสาทสัมผัสโอกาสที่ได้งานทำจึงจะเกิดขึ้นได้

(3) ตราบใดที่กรรมยังไม่หมด ผู้ทำกรรมยังต้องรับผลวิบากของกรรมนั้น

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 26 พ.ค. 2010, 04:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1. กรณีที่สัตว์ป่วยหนักและได้ทำการตรวจวินิจฉัยแล้วว่า ต้องไม่รอดแน่ๆ อยู่ต่อไปได้ไม่นานก็ต้องตาย แต่ในขณะที่ยังไม่ตายสัตว์จะอยู่อย่างทรมาณมาก เช่น เป็นมะเร็งเจ็บปวดร้องทรมาณตลอดเวลา หรือโดนรถทับบั้นท้ายรวมทั้งเชิงกรานแหลกละเอียด จะรักษาอย่างไรก็ไม่รอด แต่ไม่ตายในขณะนี้ อาจอยู่ต่อได้อีก 2 - 3 วันหากให้ยารักษาไว้ แต่ในทางด้านสัตวแพทย์ที่เรียนมา เขาสอนว่าหากเป็นกรณีแบบนี้ควรฉีดยาให้หลับตายไปเลย ( put to sleep ) เพื่อสัตว์จะได้พ้นจากความทรมาณ อยากทราบว่าในกรณีแบบนี้เป็นความหวังดีของหมอ แต่ก็ผิดศีลข้อ 1 จะบาปมากไหม ในความเห็นของอาจารย์ควรทำหรือไม่

2. ในอีกกรณีหนึ่งถ้าหากว่าสัตว์เป็นอัมพาตช่วงหลัง เดินไม่ได้ แต่ขาหน้ายังใช้งานได้เดินลากบั้นท้ายไปกับพื้น ไม่สามารถควบคุมการขับถ่ายได้ มีแผลหลุมที่เกิดจากการลากตัวเองและการกดทับ ทำให้มีความทรมาณในการใช้ชีวิต แต่ถ้าดูแลอย่างดีสัตว์ก็ยังสามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อีกนาน แต่ถ้ามนุษย์ไม่ช่วยสัตว์ก็จะช่วยตัวเองไม่ได้และคงอยู่ได้ไม่นาน แต่เจ้าของไม่อยากดูแลแล้ว ต้องการให้สัตวแพทย์ฉีดยาให้หลับตายไปเลยจะได้พ้นจากความทรมาณ กรณีนี้ควรทำหรือไม่ครับ


คำตอบ
(1) ผู้ที่ยังต้องเดินตามกระแสโลกจะใช้ความรู้ทางโลกแก้ปัญหาเห็นสัตว์ได้รับความทุกข์ทรมานแล้วฉีดยาให้สัตว์หลับตายไม่ถือว่าเป็นสิ่งที่ผิด แต่หากนำวิธีเดียวกันนี้มาใช้กับคนเจ็บป่วยเป็นทุกข์ทรมานอยู่ในโรงพยาบาลถือว่าผิดกฎหมาย นักโทษที่ถูกตัดสินประหารชีวิตแล้วถูกฉีดยาให้ตายถือว่าเป็นการกระทำที่ถูกต้องตามกฎหมายที่มนุษย์สร้างขึ้น ในทางตรงกันข้ามผู้ปรารถนานำชีวิตทวนกระแสโลก เขาใช้ความรู้ทางธรรม (ญาณ) แก้ปัญหา ญาณเป็นความรู้ขั้นสูงสุดที่มนุษย์สามารถเข้าถึงได้ใครเข้าถึงได้ถือว่าเป็นผู้รู้จริง ผู้รู้จริงรู้ว่าสัตว์มีกรรมเป็นของตน ประพฤติกรรมไม่ดี เมื่อกรรมให้ผลเป็นอกุศลวิบากผู้ทำกรรมต้องเป็นผู้รับอกุศลวิบากนั้นจนกว่าจะชดใช้ผลของกรรมได้หมดสิ้น

ในกรณีที่ถามไปหมดช่วยสัตว์ไม่ให้ต้องได้รับทุกข์ทรมานหมดได้บุญจากสัตว์ในกรณีที่สัตว์เห็นดีด้วย แต่ได้บาปตรงที่ถูกเจ้ากรรมนายเวรของสัตว์ผูกพยาบาทจองเวร

อนึ่งผู้ตอบปัญหานำพาชีวิตตนเองและชี้ทางให้ผู้อื่นไม่ทำตัวเองให้ลงไปเกิดเป็นสัตว์ในอบายภูมิ จึงเห็นว่าควรปล่อยวางสัตว์ให้เป็นไปตามกรรมสัตว์ต้องเสวยอกุศลวิบากที่ตัวเองได้กระทำ ชาวโลกมองว่าคนที่มีพฤติกรรมเช่นนี้เป็นคนใจดำซึ่งเป็นความเห็นถูกของชาวโลกที่ยังพัฒนาตนเองเข้าไม่ถึงความรู้สูงสุดจึงคิดเห็นเป็นเช่นนั้น

(2) ผู้ตอบปัญหาเคยช่วยสุนัขขาหน้าหักสองข้างด้วยการนำสุนัขไปหาสัตวแพทย์ช่วยดามขาให ้แล้วใช้ปัญญาของตัวเองคิดประดิษฐ์ล้อเลื่อนให้สุนัขได้ใช้ขาหลังที่ไม่หักเดินไปในที่ต่าง ๆ ได้ตามต้องการใช้เวลาดูแลอยู่ครบเดือนจนหายเจ็บป่วยกลับมาเดินได้เป็นปกติ

เรื่องที่บอกเล่าไปว่าสุนัขได้รับความทุกข์ทรมานเจ้าของสุนัขไม่ประสงค์เลี้ยงดูสุนัขที่เคยให้ความสุขกับตัวเองอีกต่อไป จึงคิดกำจัดสุนัขด้วยการขอความร่วมมือจากสัตวแพทย์ให้ฉีดยาหลับตายเพียงแค่คิดกำจัด (มโนกรรม) ไปให้พ้นก็บาปแล้ว หากความคิดถูกกระทำให้สำเร็จอานิสงส์บาปที่จะเกิดขึ้นกับผู้กระทำกรรมต้องได้รับคือการเจ็บป่วยทุกข์ทรมานจะเกิดขึ้นกับจำเลยกรรมที่หนึ่งคือเจ้าของสุนัข และจำเลยที่สองคือหมอผู้ร่วมกระทำกรรม

ที่ถามว่าควรทำตามที่เจ้าของสุนัขต้องการหรือไม่ ผู้ตอบปัญหาไม่เคยคิดที่จะเข้าร่วมกระบวนอกุศลกรรมที่ให้ผลเป็นบาป จึงไม่มีความเห็น

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 26 พ.ค. 2010, 04:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หนูปลีกตัวออกมาอยู่ต่างจังหวัดหลายปี ก่อนที่จะออกมาอยู่ต่างจังหวัดหนูเป็นคนเจ้าอารมณ์ เอาแต่ใจตัวเอง ตอนนี้ออกมาอยู่อำเภอเล็กๆ ไม่ค่อยเจอคนเท่าไหร่ใจก็สงบขึ้น และฝึกวิปัสสนาได้ เมื่อต้องอยู่กับผู้คน จิตมักระลึกถึงการกระทำของตนเองในอดีต ซึ่งทำให้ละอายใจและอายที่จะเผชิญหน้ากับผู้คน นอกจากนี้ยังรู้สึกกลัวคนอยู่ลึกๆในใจ และกลัวการถูกตำหนิติเตียนจากคนอื่นด้วยค่ะ เวลาที่ถูกตำหนิแม้เพียงเล็กน้อยก็สะเทือนใจมาก ตอนนี้หนูต้องทำงานแทนพ่อแม่ ซึ่งจำเป็นต้องพบปะพูดคุยกับลูกค้า ทำให้ทรมานใจมากเพราะกลัวคน เวลาลูกค้าต่อว่าหรือปฏิเสธก็มีผลกระทบกับใจ

หนูควรแก้ไขอย่างไรคะ

คำตอบ
ความละอายชั่วและเกรงกลัวต่อบาป เป็นคุณสมบัติของชาวฟ้าชาวสวรรค์ผู้ใดรักษาสภาวะของจิตให้เป็นอยู่แบบนี้ตลอดไป ตายแล้วมีโอกาสไปร่วมสังสรรค์เป็นสมาชิกกับชาวสวรรค์ที่ไม่สับสนวุ่นวายแบบสังคมมนุษย์

วิธีแก้ปัญหาเรื่องกลัวคนต่อว่าหรือปฏิเสธทำได้ไม่ยาก ต้องเจริญสมถะและวิปัสสนากรรมฐานจนเกิดเป็นสติสัมปชัญญะได้แล้ว จะเห็นว่าการแก้ปัญหาต้องแก้ที่ตัวเอง คือใช้สติสัมปชัญญะที่พัฒนาได้ปล่อยวางพฤติกรรมของคนที่อยู่แวดล้อมได้ ความเป็นอิสระของจิตจะเกิดขึ้นแล้วปัญหาจะหมดไปเอง

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1521 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 33, 34, 35, 36, 37, 38, 39 ... 102  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร