วันเวลาปัจจุบัน 27 ส.ค. 2025, 06:16  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 1521 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 34, 35, 36, 37, 38, 39, 40 ... 102  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 26 พ.ค. 2010, 04:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กระผมรู้สึกดีใจที่มีโอกาสได้อ่านงานเขียนของท่านอาจารย์ และอยู่ระหว่างการฝึกหัดตาม ที่อาจารย์แนะนำ กระผมจะขอกทราบเรียนถามอาจารย์ว่า

1.) เวลานั้งสมาธิประมาณ 30 นาทีแรก จะเมื่อยมาก และบางครั้งจิตจะเริ่มไม่อยู่กับคำภาวนา กระผมควรทำอย่างไรดี

2.) บางครั้งนั้งสมาธิ หูมีเสียงดัง "วิง" อยู่ภายในหูเบาๆ แม้จะออกมาจากสมาธิแล้วบางครั้งก็ยังมีเสียงอยู่ สาเหตุเกิดจากอะไรครับ

3.) อาจารย์พอจะแนะนำสถานที่ฝึกนั้งสมาธิ ในกรุงเทพ ให้ด้วยครับ



คำตอบ
(1) เมื่อนั่งปฏิบัติธรรมแล้วเมื่อย ควรลุกขึ้นเดินจงกรมทำสลับกันไปเรื่อย ๆ

(2) เกิดจากร่างกายปรับสมดุลตามการปรับสมดุลของจิต

(3) คณะ 5 วัดมหาธาตุฯ ท่าพระจันทร์ ยุวพุทธิกสมาคม วัดอินทรวิหาร บางขุนพรหม
วัดปทุมวนาราม (วัดสระปทุม) ใกล้สี่แยกราชประสงค์ฯลฯ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 26 พ.ค. 2010, 04:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1. ดิฉันเคยทำงานเป็นหัวหน้าคน และต้องทำการประเมินการผ่านการทดลองงานของลูกน้อง ดิฉันเคยประเมินพนักงานไม่ผ่านการทดลองงานจำนวนทั้งสิ้น 3 คน รู้สึกอึดอัดใจมาก แต่จากการทำงานของลูกน้องที่ดิฉันพิจารณาแล้ว คือ ชอบมาสาย ชอบขาดงาน บางคนก็ไม่เคยขาดงานแต่เรียนรู้งานช้า และอู้งานบ้าง จนเพื่อนร่วมงานหน่าย บางคนดิฉันให้โอกาสทดลองงานต่อแต่ก็ยังขาดงานอยู่ ดิฉันอึดอัดใจและเครียดกับการเป็นหัวหน้ามาก ปัจจุบันดิฉันลาออกจากงาน หางานใหม่ และได้งานที่ไม่ต้องมีลูกน้อง

คำถาม
ดิฉันจะบาปกรรมไหมคะที่ทำให้คนตกงาน ไม่มีงานทำ และถ้าบาปจะไถ่บาปได้อย่างไร

2. การที่เราจะแต่งงานหรือใช้ชีวิตอยู่กับใครคนหนึ่ง มันเป็นชะตาชีวิตที่ฟ้ากำหนดมา หรือเป็นจากเวรกรรมที่เคยทำร่วมกันมา หรือเป็นจากที่เรากำหนดเองในชาติปัจจุบัน

3. จากข้อ 2 ไม่ว่าจะเป็นจากอะไรก็ตามที่ทำให้ต้องมาอยู่หรือแต่งงานใช้ชีวิตอยู่กับใครคนหนึ่ง เราสามารถเปลี่ยนแปลงมันได้หรือไม่ โดยจากการกระทำของเรา จากกุศลกรรมที่เราตั้งใจสร้างขึ้นมาใหม่ในปัจจุบันและตั้งอธิษฐานจิตให้ได้อยู่กับคนที่เราอยากจะอยู่ด้วยได้หรือไม่

4. ถ้าเรายังเป็นคนที่หลงยึดติดอยู่กับความทุกข์ จะทำให้เราไม่สามารถหลุดจากวัฏสงสารนี้ได้ใช่หรือไม่ และเกี่ยวไหมคะอาจารย์ว่าต้องเป็นพระเท่านั้นที่จะหลุดได้ ยังงี้ผู้หญิงก็ไม่สามารถหลุดได้ใช่หรือไม่ ดิฉันจะได้อธิฐานให้ชาติหน้าเกิดเป็นผู้ชาย (เพราะคิดว่าชาติหน้าคงต้องเกิดมาอีกเป็นแน่แท้ เพราะกิเลสยังเยอะอยู่

ขอขอบพระคุณอาจารย์เป็นอย่างสูง
ขอให้อาจารย์ได้หลุดจากวัฏสงสารนี้คะ

คำตอบ
(1) สัตว์โลกเป็นไปตามกรรมเขาทำกรรมให้ตัวเองด้วยในศักยภาพจึงไม่สามารถแข่งขันสู้ผู้อื่นที่มีศักยภาพสูงกว่าได้จึงต้องได้รับประเมินให้ออกจากงาน คุณอยู่ในฐานะหัวหน้าผู้ประเมินผลงานซึ่งเข้าไปมีส่วนร่วมในวงจรกรรมกับเขา จะได้รับอานิสงส์บาปในกรณีที่ปฏิบัติหน้าที่ผิดพลาดไม่เป็นไปตามธรรม ถ้าปฏิบัติได้ถูกต้องแล้วบาปจะตามให้ผลไม่ได้

(2) ฟ้ามิเคยกำหนดชะตาของผู้ใด ดังนั้นเรื่องนี้จึงเกิดจากกรรมที่เคยร่วมทำกันมาแต่อดีตชาติและปัจจุบันชาติ ส่วนคำว่าเวรกรรม หมายถึง การกระทำที่เป็นการแก้เผ็ด แค้นเคืองปองร้ายฯลฯ

(3) สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ต้องอธิษฐานเอาแต่สิ่งที่เป็นกุศล หลังอธิษฐานแล้วต้องทำเหตุให้ถูกตรงคือทำเหตุให้เหมือนกับคนที่คุณประสงค์จะอยู่ร่วมคือ ทั้งสองต้องทำกรรมให้เหมือนกันนั่นเองแล้วโอกาสเกิดมาอยู่ร่วมในวันข้างหน้าจึงจะเป็นไปได้

(4) ใช่ ฆราวาสสามารถพัฒนาจิตให้พ้นไปจากวัฏสงสารได้แต่ส่วนใหญ่บรรพชิตพัฒนาจิตได้มากกว่า
ไม่ใช่ ผู้หญิงสามารถพัฒนาจิตให้หลุดพ้นได้เช่นกันดังตัวอย่างพระโคตรมีภิกษุณีอัมพปาลีภิกษุณีปฏาจาราภิกษุณี ฯลฯ ได้ทำให้ดูเป็นตัวอย่าง

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 26 พ.ค. 2010, 04:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1. ระบบทุนนิยม ที่มุ่งการผลิตเพื่อการตลาดและแสวงหากำไรสูงสุดนั้น บุคคลที่อยู่ในกระบวนการความคิดแนวนี้ มีบาปแค่ไหน อย่างไร
อาจารย์มีข้อคิดทางธรรมเพื่อจะสอนบุคคลที่แสวงหาผลกำไรอยู่ตลอดเวลาอย่างไรค่ะ

2. หากการแสวงหากำไร กระทำด้วยการทำลายทรัพยากรไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงเวลาโลกเสื่อมสลาย คนบนโลก(ที่มีบุญสามารถเกิดเป็นมนุษย์)จะเกิดใหม่ที่ใดค่ะ

3.บทธรรมะที่สอนเกี่ยวกับความโลภ มีอะไรบ้างค่ะ ขอความหมายด้วยค่ะ


คำตอบ
(1) พฤติกรรมใดประพฤติแล้วทุศีล หรือไร้ธรรมถือว่าเป็นบาป ถามว่ามีบาปแค่ไหนตอบว่ามีบาปเท่าที่ทำทำแล้วเป็นเหตุให้ผิดศีลข้อปาณาติบาตโอกาสไปเกิดเป็นสัตว์นรกมีได้ ทำแล้วผิดศีลข้ออทินนทานโอกาสไปเกิดเป็นเปรตมีได้ฯลฯ

ผู้ตอบปัญหามีแนวคิดตามรอยพระเจ้าอยู่หัวคือเศรษฐกิจพอเพียงแล้วควบคุมตัวเองให้อยู่ในศีลในธรรม

(2) ในยุคสมัยนี้คนส่วนใหญ่ที่มีบุญจะไม่ลงมาเกิดเป็นมนุษย์ ในครั้งพุทธกาลคนมีบุญลงมาเกิดกันมาก

เมื่อเวลาที่โลกสลายมนุษย์ที่มีบุญมีโอกาสไปเกิดเป็นมนุษย์อีกครั้งในดาวดวงอื่น หรือไปเกิดเป็นชาวฟ้าชาวสวรรค์รวมถึงพรหมหรือไม่เกิดอีกเลย(นิพพาน)

(3) คนที่มีจิตใจตกเป็นทาสของความโลภ ตายแล้วมีโอกาสไปได้รูปนามเป็นเปรตในอบายภูมิได้

บทธรรมที่สอนใจเกี่ยวกับความโลภ คือทำจิตให้นิ่งแล้วหยุดคิดว่าคนที่ตายไปแล้วเขานำอะไรติดตัวไปได้บ้าง แล้วเมื่อถึงคิวตายของตัวเองตัวเองจะเอาอะไรไปเกิดใหม่ในปรโลก

บุคคลสำคัญที่คนส่วนใหญ่ไม่ปรารถนาพบแต่จำเป็นต้องพบคือพญายม ท่านจะถามว่า “ ตอนที่เกิดเป็นมนุษย์ทำความดีอะไรไว้บ้าง ” ถ้ายังนึกไม่ออกตอบไม่ได้ท่านจะถามต่อไปว่า “ แล้วความชั่วล่ะทำอะไรไว้บ้าง ” ถ้าระลึกได้ถึงการคอรัปชั่น และตอบให้ท่านทราบจะถูกตัดสินพิพากษาให้ลงไปเกิดเป็นสัตว์อยู่ในอบายภูมิ พญายมลงโทษคนทำความผิดด้วยการใช้กรรมที่ถูกบันทึกไว้ในดวงจิตเป็นหลักฐาน และใช้กฎแห่งกรรมคือทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่วเป็นกฎหมายด้วยเหตุนี้มนุษย์ผู้ประพฤติทุจริตคอรัปชั่นทุศีล ฯลฯ ที่เคยรอดพ้นจากอำนาจของศาลในเมืองมนุษย์จึงไม่สามารถรอดพ้นจากอำนาจของพญายมได้นี่คือเรื่องจริง ลองตามไปดูสิเห็นแล้วจะหนาว

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 26 พ.ค. 2010, 04:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เพิ่งเริ่มฝึกปฏิบัติโดยใช้การดูกายดูจิต เมื่อเคลื่อนไหวก็ดูการเคลื่อนไหวของกาย เมื่อคิดก็จะเห็นว่าความคิดมันไหลไปเอง เมื่อเริ่มฝึกปฏิบัติแล้วเกิดปฏิกิริยาดังนี้ค่ะ
1. ขณะที่กำลังล้างหน้าอยู่แล้วมองหน้าตัวเอง เหมือนไม่ใช่ตัวเรา พอลองจ้องเหมือนกับว่าหน้าเราค่อยๆเปลี่ยนไป(แก่ขึ้น)แต่เป็นแป๊บเดียวค่ะ แล้วขณะที่ล้างมืออยู่แขนกำลังแกว่งไป-มา เหมือนไปใช่แขนของเรา รู้สึกว่าเรากำลังมองสิ่งๆนึงแกว่งอยู่ เลยเกิดความรู้สึกกลัวจึงหยุด เหตุการณ์นี้คืออะไรคะ
2. เวลานั่งสมาธิช่วงแรกจะฟุ้งมาก พอนั่งไปซักพักเหมือนกับวูบไปแต่ยังรู้ตัว รู้ว่าไม่ได้หลับ ควรปฏิบัติอย่างไรต่อคะ
3. ปกติเป็นคนกลัวผี แล้วช่วงนี้ฝันเห็นผีบ่อยขึ้น ควรทำอย่างไรคะ การฝันบ่อยแปลว่าจิตเรายังมีกำลังอ่อนใช่ไหมคะ


คำตอบ
(1) เมื่อใดจิตนิ่งคือตั้งมั่นเป็นสมาธิความจริงที่อยู่เหนือประสาทสัมผัส จะปรากฏสิ่งที่เห็นด้วยใจเป็นเรื่องจริงของร่างกายจะเห็นได้ชัดแจ้งว่า เมื่อวันข้างหน้ามาถึงร่างกายต้องเป็นเช่นที่เห็นแล้วในที่สุดหายไปจากโลกเป็นธรรมดาของทุกรูปนาม
จึงไม่จำเป็นต้องหนีความจริงให้เกิดเป็นความกลัวเพราะทุกชีวิตจะต้องเป็นเช่นนี้

(2) ให้กำหนดว่า “ วูบหนอๆๆ ” จนอาการดังกล่าวหายไปแล้วดึงจิตกลับมาสู่องค์บริกรรมเดิม

(3) สติสัมปชัญญะของผู้ถามปัญหามีกำลังอ่อนจึงกลัวผี ประสงค์จะแก้ปัญหากลัวผีต้องไปอ่านหนังสือ “ ทางสายเอก ” แล้วทำตามให้ได้ เมื่อใดเข้าถึงความจริงเรื่องของผีแล้ว จากนั้นไปเจอผีดุอย่างไรจะไม่กลัวผีอีกต่อไป

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 26 พ.ค. 2010, 04:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1)ผมเคยไปปฎิบัติที่วัดอัมพวัน มา7วัน ก็ได้พยายามระดับหนึ่ง พอนั่งไปได้วันที่4ที่5(ไม่แน่ใจ) อยู่ๆมันวุบไป รู้สึกว่าตัวหาย เหมือนไม่มีร่างกาย มีแต่จิตใจ เวทนาก็หายไปด้วย อาการง่วงก็หายไป แต่มีความรู้สึกดีใจมากๆอย่างบอกไม่ถูก เหมือนปิติรึป่าวผมไม่แน่ใจ กลัว วิตก มากไปหน่อย เลยอยู่สภาวะนั้นได้เพียง1-2นาทีได้มั้งครับ รู้สึกว่าก่อนจะเกิดอาการนี้ผมได้เพ่งไปที่หน้าผาก อาการอย่างนี้เรียกว่าอะไรครับ ดีหรือไม่ครับ และสามารถบอกได้รึป่าวครับว่าผมควรฝึกตามแนวไหน

2)อีกเรื่องผมสงสัยมาก อยากรู้มาก เพราะว่าทำให้การปฎิบัติผมต้องหยุดไป อยากทราบว่าเราจะรู้ได้อย่างไรว่าเราควรปฏิบัติแนวไหน ระหว่างสติปัฏฐาน4 ยุบพอง หรือว่า พุทธโธ จะต้องไปหาหลวงพ่อที่มีญาณสามารถดูว่าจริตเราตรงกับแบบไหนดี หรือว่าลองสติปัฏฐาน4ไปเลย

3)เรื่องสุดท้ายครับ อาจารย์มีวิธีหาคำตอบไหมครับ เรื่องมีอยู่ว่า ผมอายุ23 ใจหวังหลุดพ้นไปจากโลกนี้เต็มทนแล้ว เบื่อมาก แต่อีกใจคือต้องทำหน้าที่เลี้ยงดูแม่และน้องๆ เพราะพ่อเสีย เราก็เป็นพี่ใหญ่ ใจนึงก็ฟังคำพูดพระท่านและอาจารย็หลายๆท่าน บอกว่า ภัยกำลังจะเกิด ไม่เกิน5ปี ผมเลยไม่รู้จะเอาอะไรดี จะเรียนต่อก็ไม่รู้เรียนไปทำไมเพราะว่าเรียนไปก็ไม่ได้ใช้ จะไปทางธรรมเลยก็ไม่ได้ ต้องเลี้ยงดูแม่ เวลาที่เหลือก็น้องไปแค่5ปี คงไปได้ไม่ถึงไหน อยากให้อาจารย์ช่วยหาทางออกให้หน่อยครับ ว่าจะเรียนต่อให้จบถึงที่เราหวังไว้ก่อนดีไหม หรือว่า ออกมาปฏิบัติธรรมเลย แต่ระหว่างเรียนก็คงปฎิบัติได้ด้วย แต่คงได้ไม่เต็มที่

ขอบพระคุณมากครับ

คำตอบ
(1) อารมณ์ที่บอกเล่าไปเป็นเรื่องดีในระดับหนึ่งและจะดียิ่งขึ้นหากเอาจิตไปตามดูอารมณ์ที่เกิดขึ้นจนเห็นว่าดับไป (อนัตตา) ตามกฎไตรลักษณ์แล้วทำให้จิตปลอดจากอารมณ์วิตกกลัวดีใจฯลฯได้แล้ว จะเกิดปัญญาเห็นแจ้งต่อสิ่งที่ปรากฏขึ้นในจิตถือว่าดีที่สุด

(2) การปฏิบัติกรรมฐานตามแนวพอง-ยุบ หรือตามแนวพุท-โธ เมื่อนำมาใช้เป็นองค์ภาวนาแล้วทำให้จิตสงบตั้งมั่นเป็นสมาธิถือว่าปฏิบัติได้ถูกทาง หลังจากจิตสงบเป็นอุปจารสมาธิแล้วต้องปฏิบัติต่อไปด้วยพิจารณาสติปัฏฐาน 4 (กาย เวทนา จิต ธรรม) ให้เห็นว่าแต่ละฐานดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์แล้วปัญญาเห็นแจ้งในผัสสะจะเกิดขึ้นทุกครั้งที่กายหรือเวทนาหรือจิตหรือธรรมปรากฏขึ้นเป็นอารมณ์ของใจ ต้องพิจารณาแบบนี้จิตจะปล่อยวางผัสสะจิตเป็นอิสระจากผัสสะนี่คือวิธีพัฒนาปัญญาเห็นแจ้งเห็นสิ่งต่าง ๆ ถูกตรงตามเป็นจริง

(3) ทางชีวิตต้องเลือกด้วยตัวเอง ผู้รู้เป็นได้เพียงผู้ชี้ทางว่าผู้ใดยังมีหน้าทางโลกต้องทำหน้าที่ทางโลกให้ดีที่สุด แต่ขณะเดียวกันงานภายในคือพัฒนาจิตวิญญาณของตัวเองต้องไม่ลืมที่จะปฏิบัติเหตุ เพราะชีวิตยังต้องดำเนินข้ามภพชาติอีกยาวไกลเมื่อใดที่เหตุปัจจัยลงตัวทางออกของชีวิตย่อมเกิดขึ้น และเคยเกิดขึ้นแล้วนับครั้งไม่ถ้วนที่ตัวเองทิ้งรูปเดิมและไปได้รูปใหม่ให้จิตอยู่อาศัย ฉะนั้นหน้าที่ปัจจุบันต้องทำให้ดีที่สุดแล้วทางชีวิตที่ถูกต้องจะเกิดจากกรรมดีที่ทำนั่นเอง

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 26 พ.ค. 2010, 04:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1. ถ้าเราเป็นลูกเขยซึ่งมีพ่อตาชอบเล่นไก่ชนเป็นประจำ เรียนถามท่านอาจารย์ว่ากระผมและภรรยาจะบาปด้วยหรือไม่ครับ และจะมีผลกระทบหรือเศษกรรมกับกระผม, ภรรยาหรือลูกที่อาจจะมีในอนาคตบ้างโดยส่วนตัวกระผมและภรรยาไม่เห็นชอบกับสิ่งที่พ่อตาทำเลย

2. จากคำถามข้อแรกครับถ้ากระผมต้องทำธุรกิจส่วนตัวร่วมกับพ่อตา กระผมจะมีส่วนร่วมในการทำบาปของพ่อตาหรือไม่ครับ เพราะเงินที่ได้จากการทำธุรกิจก็จะเป็นค่าใช้จ่ายในการดูแลไก่ชนและนำไปเล่นพนันชนไก่

3. กระผมควรทำอย่างไรดีครับซึ่งทางออกที่ผมคิดได้ตอนนี้คือ
3.1 ตัดใจไม่แต่งงานกับผู้หญิงที่ผมรักเพราะกระผมรับไม่ได้ที่พ่อตาเป็นแบบนี้
3.2 แต่งงานกันตามปรกติแต่แยกครอบครัวออกมาทำธุรกิจของตัวเอง

4. ถามว่าอาชีพนักแต่งเพลง,นักร้องนั้นบาปมากน้อยแค่ไหนครับ



คำตอบ
(1) กาย วาจา ใจ ไม่เข้าไปมีส่วนร่วมในอกุศลกรรมของผู้อื่นก็ไม่บาป แต่เศษกรรมยังส่งผลกระทบได้ด้วยการเข้าไปมีส่วนร่วมในทางลบ(ไม่เห็นด้วย) กับคนที่มีบาป แล้วทำให้ตัวเองต้องมีจิตเศร้าหมองเมื่อนึกถึงการพนันชนไก่ของเขา ฉะนั้นผู้รู้จึงพัฒนาจิตให้มีกำลังของสติสัมปชัญญะกล้าแข็ง แล้วปล่อยวางพฤติกรรมของผู้อื่นบาปจะเข้ารบกวนจิตใจไม่ได้

(2) มีบาปในฐานะเข้าไปมีส่วนร่วมในกระบวนอกุศลกรรม

(3) ผู้รู้เป็นได้เพียงผู้ชี้ทาง ชีวิตของคุณต้องเลือกทางชีวิตด้วยตัวคุณเอง

(4) บาปในฐานะเป็นเหตุให้คนหลง เอากิเลสเข้าไปปรุงแต่งใจความหลง (โมหะ) เป็นเหตุนำเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานเมื่อเทียบกับสัตว์นรกแล้วยังบาปไม่มากเท่า

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 26 พ.ค. 2010, 04:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1. คนที่มีเชื้อสายจีนบางคนจะไหว้เจ้า และติดต่อร่างทรงเพื่อให้เทพเจ้าช่วยเหลือสิ่งต่าง ๆ เช่น ช่วยให้แก้ไขปัญหาชีวิต ติดต่อกับคนตาย การช่วยส่งวิญญาณไปสวรรค์ ฯลฯ (ซึ่งผมไม่ทราบว่าเรื่องไหนเป็นเรื่องจริงหรือไม่) ตัวผมจะไม่ชอบยุ่งเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ แต่ไม่ได้ปฏิเสธว่าไม่เป็นความจริง เมื่อพิจารณาแล้วการขอความช่วยเหลือจากเทพเจ้าก็เป็นโอกาสช่วยให้ท่านได้สร้างบารมี จึงทำให้สงสัยว่าควรปฏิบัติอย่างไร เมื่อไปกราบไหว้เคารพบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ บางครั้งจึงเพียงแต่น้อมจิตบูชาในคุณงามความดีของเทพเจ้าหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์แต่ละองค์ (ด้วยความดีที่ท่านสั่งสมไว้จึงทำให้ท่านได้ไปเกิดเป็นเทวดา) ไม่ได้บนหรือขออะไร เพราะคิดว่าคนที่เป็นชาวพุทธอย่างแท้จริงไม่ควรพึ่งพาผู้อื่นมากจนเกินไป (ทั้งที่เป็นมนุษย์และอมนุษย์ก็ตาม) จึงขอเรียนอาจารย์เพื่อขอคำแนะนำในการปฏิบัติสำหรับตัวผมและแนะนำให้กับผู้อื่นสำหรับเรื่องนี้ด้วยครับ

2. ได้อ่านคำตอบจากอาจารย์ครับว่า "จิตมีดวงเดียว" ดังนั้นเรื่องการแบ่งจิตของเทพองค์ต่าง ๆ ลงมาสร้างบารมีจึงไม่ถูกต้องใช่ไหมครับ

3. การเซ่นไหว้ด้วยอาหาร และสิ่งจำลองต่าง ๆ เช่น กระดาษเงิน กระดาษทอง รถยนต์และบ้านกระดาษจำลอง เป็นต้น เป็นแค่เพียงพิธีกรรม เพื่อบูชาบุคคลที่ตายไปแล้ว ไม่สามารถส่งให้ถึงผู้ตายได้จริงใช่ไหมครับ

ขอขอบพระคุณอาจารย์เป็นอย่างสูงครับ

ด้วยบุญกุศลที่ผมได้ทำมาในทุกกาลขอส่งผลให้อาจารย์มีอายุยืนนานและสุขภาพดีเพื่อสร้างบารมีช่วยเหลือสรรพสัตว์ทั้งหลายต่อไปครับ

คำตอบ
(1) การช่วยให้เทพเจ้าสร้างบารมีต้องขอให้เทพช่วยทำในเรื่องของคุณธรรมที่เป็นบ่อเกิดแห่งบารมีอันได้แก่ ทาน ศีล เนกขัมมะ ปัญญา วิริยะ ขันติ สัจจะ อธิษฐาน เมตตา อุเบกขา หากเทพเจ้าทำดังที่ยกตัวอย่างมาให้ดูนี้ได้ ก็ถือว่าเป็นการสร้างบารมีของเทพเจ้า

อนึ่งการระลึกถึงความดีที่ทำให้ไปเกิดเป็นเทพเจ้า (เทวดานุสติ) เป็นสิ่งดีเป็นหนึ่งในอนุสติ 10 ควรระลึกบ่อย ๆ

พระพุทธะมิได้สอนให้พุทธบริษัทพึ่งสิ่งอื่นใดที่อยู่นอกตัวแต่สอนให้พึ่งตนเองคือพึ่งธรรมะที่มีอยู่ในใจตัวเองเป็นสิ่งดีที่สุด

(2) จิตมีดวงเดียวแต่ด้วยเหตุที่จิตเป็นพลังงานเกิดดับเร็ว จึงทำให้จิตเคลื่อนที่ได้เร็วทำงานได้เร็ว ดังนั้นในแต่ละขณะจิตที่มีการเกิด-ดับ จึงไปทำหน้าที่ได้หลายอย่างประกอบกับความต่างกันอย่างมากในมิติแห่งกาลเวลาของภพมนุษย์และภพสวรรค์ จึงทำให้มนุษย์คิดเอาเองตามประสบการณ์ที่เกิดจากประสาทสัมผัส ว่าเทพเจ้าแบ่งจิตลงมาสร้างบารมีซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องของผู้รู้จริง ดังตัวอย่างของพระจูฬปันถกผู้เข้าฌานได้และชำนาญด้านฤทธิ์สามารถเนรมิตตัวเองได้ถึง 1,000 ร่างแต่เวลาเหาะไปเฝ้าพระพุทธเจ้ามีเพียงรูปนามเดียวหรือเวลาที่พระจูฬปันถกดับรูปนามเข้านิพพานก็มีเพียงรูปนามเดียวที่ต้องดับ

(3) ผู้ที่เป็นชาวพุทธและเข้าถึงธรรมขั้นสูงของพุทธศาสนาได้แล้วจะรู้ว่าการกระทำที่บอกเล่าไปไม่สามารถส่งเงิน ส่งของ ส่งรถยนต์ ส่งบ้านไปให้ผู้ตายได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 26 พ.ค. 2010, 04:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ทำอย่างไรถึงจะขจัดความเกียจคร้านออกไปจากตัวได้คะ บางครั้งเวลาจะสวดมนต์หรือนั่งสมาธิ ความรู้สึกขี้เกียจก็เกิดขึ้น แต่โดยปกติหนูจะสวดมนต์ทุกคืนอยู่แล้ว เพียงแต่ไม่ได้นั่งทำสมาธิทุกว้น จะขยันตั้งใจปฎิบัติเป็นบางช่วงเท่านั้น เวลาตั้งใจปฎิบัติก็เหมือนกับต้องมีสิ่งมากระตุ้น เช่นเวลาที่หนูฟังธรรมมะบรรยายของอาจารย์ หรือเวลาที่หนูได้อ่านหนังสือธรรมมะ มันทำให้หนูรู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างมากและไม่พอใจตัวเองที่ทำไมเป็นคนไม่มีความพยายามและไม่มีความเพียรอย่างจริงจัง หนูไม่อยากเป็นคนที่ประมาทในชีวิต ไม่ทราบว่าอาจารย์พอจะมีข้อคิด หรือข้อเตือนใจที่จะให้หนูได้นำไปปฎิบัติเพื่อขจัดความรู้สึกนี้ได้ไหมคะ
รบกวนอาจารย์ช่วงชี้แนะให้ชีวิตหนูได้พบแสงสว่างด้วยนะคะ


คำตอบ
เมื่อใดที่ผู้ถามสามารถคุมวาจาให้เป็นสัมมาวาจาคือพูดไม่เท็จ ไม่หยาบ ไม่ส่อเสียด และไม่เพ้อเจ้อไร้สาระกับชีวิต ลดแบกภาระของผู้อื่น คือลดการเอาเรื่องของคนอื่นมาเป็นเรื่องของตน ทำเป็นไม่เห็นเสียบ้าง ฯลฯ แล้วความขี้เกียจจะลดลง จะประพฤติเช่นนี้ได้ต้องเจริญสติให้มีกำลังมากยิ่งขึ้นด้วยการเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งในกรรมฐาน 40 ที่เหมาะกับจริต มาเป็นองค์บริกรรมทุกขณะที่จิตนึกได้ทุกขณะที่ว่างจากงานภายนอกที่ทำให้กับสังคมจนจิตเข้าถึงความตั้งมั่นได้แล้วความขี้เกียจจะหายไป

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 26 พ.ค. 2010, 04:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดิฉันเคยไปปฏิบัติธรรมที่สำนักปฏิบัติธรรม (จำชื่อไม่ได้อยู่ จ.ฉะเชิงเทรา) 2 คืน 3 วัน และได้มาปฏิบัติต่อที่บ้านแต่ไม่ได้ทำทุกวัน นาน ๆ จะนั่งสมาธิ และเดินจงกรม แต่ดิฉันจะสวดมนต์คาถาชินบัญชรทุกคืน มีอยู่วันหนึ่งดิฉันได้นั่งสมาธิพอนั่งได้ซักพักเริ่มรู้สึกว่าในขณะที่นั่งสมาธิอยู่นั้นร่างกายค่อย ๆ หมุน และเริ่มหมุนเร็วมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่ดิฉันพยามตั้งสติดูการหมุน และนึกในใจว่า หมุนหนอ หมุนหนอ แต่ก็ไม่หยุดหมุน ดิฉันจึงได้มาดูลมหายใจโดยใช้ภาวนาว่า พอง ยุบ ๆ ไปเรื่อย ๆ แต่ร่างที่นั่งสมาธิอยู่นั้นก็ยังหมุนอยู่เรื่อย ๆ ประมาณ 10 กว่านาที จนกระทั่งดิฉันคิดว่าจะถอนสมาธิแล้ว ดิฉันจึงอุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร และคนที่ดิฉันเคารพรัก แล้วค่อย ๆ ถอนสมาธิออก ร่างก็ค่อย ๆ เริ่มหมุนช้าลง ๆ และหยุดหมุน ตอนที่ไปปฏิบัติที่สำนักปฏิบัติธรรมก็ไม่เคยเป็นแบบนี้เลย แต่เคยเป็นครั้งหนึ่งตอนที่ดิฉันสวดมนต์บทอิติปิโสเทาอายุแต่ตอนนั้นรู้สึกกลัว แต่ครั้งนี้ไม่ค่อยกลัวเท่าไหร่ อาจเป็นเพราะเคยเป็นแบบนี้ครั้งหนึ่งแล้วประกอบกับที่ดิฉันไปไปปฏิบัติธรรมมาเลยพอควบคุมสติได้บ้าง

ดิฉันอยากเรียนถามท่านอาจารย์ว่า
1.การที่ร่างหมุนขณะนั่งสมาธินั้น (ไม่ได้มองเห็นแต่รู้สึกได้ว่าร่างหมุนเร็วมาก) คืออะไร ดีหรือไม่ดีค่ะ
2.ดิฉันต้องปฏิบัติอย่างไรต่อไป ถ้าหากว่านั่งสมาธิแล้วร่างหมุนอีก

ขอบพระคุณท่านอาจารย์อย่างสูงค่ะ

คำตอบ
(1) ขณะนั่งเจริญสติเพื่อให้จิตเข้าสู่ความตั้งมั่นเป็นสมาธิ แล้วเกิดอาการหมุนของร่างกายแสดงว่าสติเคลื่อนออกจากองค์ภาวนาแล้วไประลึกรู้อาการหมุนของร่างเป็นสิ่งที่ไม่ดี

(2) เมื่อใดจิตระลึกได้ในอาการหมุนของร่างต้องกำหนด “ หมุนหนอ ๆๆๆ ” ไปเรื่อยๆ แม้จะเป็นจำนวนร้อยหรือหลายร้อยครั้งจนกว่าอาการหมุนจะหยุด แล้วดึงจิตกลับมาสู่องค์ภาวนาเดิม

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 26 พ.ค. 2010, 04:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หนูขอเรียนถามว่า หากเจอเงินหรือเหรียญเงินที่ตกอยู่ในที่สาธารณธะ สามารถที่จะเก็บมาเพื่อนำไปทำบุญ เช่นให้ต่อขอทาน หรือหย่อนในตู้บริจาคต่อได้หรือไม่ หนูไม่มีเจตนาที่จะเก็บมาเป็นของตน อย่างนี้จะผิดศีลและธรรมหรือไม่ อย่างไร ขออาจารย์ได้โปรดให้ความกระจ่างเพื่อป้องกันภัยเวรที่เกิดจากการู้เท่าไม่ถึงการณ์ด้วยค่ะ

หนูกราบขอบพระคุณในความเมตตาของอาจารย์ที่สละเวลามาตอบคำถาม และหากมีสิ่งใดที่ได้ล่วงเกินท่านอาจารย์ไปด้วยกายวาจาใจก็ดี ด้วยความไม่ตั้งใจก็ดี ขออาจารย์ได้โปรดให้อภัยและอโหสิกรรมให้หนูด้วยค่ะ

ด้วยความเคารพอย่างสูง

คำตอบ
ที่ถามไปเป็นการกระทำที่ไม่ผิดศีลไม่ผิดธรรมทำแล้วควรอุทิศบุญกุศลที่เกิดขึ้นส่งไปให้กับเจ้าของทรัพย์ที่ตกหล่นไว้

หากเป็นทรัพย์มีค่าและมีจำนวนมากต้องประกาศหาเจ้าของเพื่อส่งคืนเมื่อถึงเวลาที่สมควรแล้วยังไม่มีเจ้าของมาขอรับคืนจึงนำไปทำบุญดังที่บอกเล่าไปได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 26 พ.ค. 2010, 04:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอเรียนถามปัญหาดังนี้ค่ะ
การพิจารณาการเกิด-ดับ
สามารถเริ่มพิจารณาเห็นการเกิด-ดับได้ในชีวิตประจำวันหรือไม่
หรือต้องเริ่มจากการปฏิบัติกรรมฐานก่อนแล้วจึงจะเห็นการเกิดดับ

กราบขอบพระคุณอาจารย์ด้วยความเคารพค่ะ

คำตอบ
ทุกอิริยาบถที่เป็นปัจจุบันของชีวิตประจำวันสามารถนำมาพิจารณาให้เห็นถึงการเกิด-ดับได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 26 พ.ค. 2010, 04:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1. พอดีดิฉันสวดมนต์บทมหาเมตตาใหญ่แล้วเจอคำบาลีบางคำที่เมื่ออ่านคำแปลแล้วก็ยังไม่เข้าใจความหมายรบกวนถามอ.ดังนี้คะ
- ปาณะ บทสวดแปลว่าปาณา แล้วมันหมายความว่าอะไรคะ
- อัตตะภาวะประริยาปันนา บทสวดแปลว่า อัตภาพ แล้วมันหมายความว่าอะไรคะ
- วินิปาติกะ บทสวดแปลว่า วินิปาติกา แล้วมันหมายความว่าอะไรคะ

2. เรียนถามเรื่องการนั่งวิปัสสนากรรมฐาน
- การนั่งกรรมฐานจริงๆแล้วเราต้องการผลลัพธ์คืออะไรคะ ฝึกจิตใจให้เราสงบ / เพื่อให้ได้บุญกุศล / หลุดจากวัฎสงสาร หรืออะไรกันแน่คะ ดิฉันเคยได้ยินว่าสามารถแก้กรรมหรือผ่อนกรรมได้ใช่ไหมคะ

- การนั่งวิปัสสนากรรมฐานจำเป็นต้องเดินจงกรมหรือไม่ ดิฉันเคยไปฝึกที่วัด ท่านจะสอนให้เดินควบคู่กับการนั่ง แล้วดิฉันมาปฏิบัติเองที่บ้าน นั่งอย่างเดียว ไม่ได้เดินคะจะถือว่าไม่ครบสมบูรณ์หรือเปล่า

- การเข้ากรรมฐาน 7 วัน จำเป็นต้องเข้าที่วัดอย่างเดียวหรือไม่ ถ้าทำที่บ้านจะได้หรือไม่

- ดิฉันนั่งสมาธิมาประมาณ 1 เดือน มาระยะหลังๆรู้สึกว่าพอจิตเริ่มนิ่งแล้ว (แต่จิตยังไม่ว่างถึงขั้นเป็นสมาธิ) บริเวณหน้าผากมันจะหน่วงๆ ระยิบระยับบนหน้าผาก เหมือนมีพลังงานอะไรมารวมอยู่บริเวณหน้าผาก รบกวนอาจารย์ช่วยชี้แนะด้วยว่าปรากฎการณ์นี้คืออะไร

3. ศีลอุโบสถกับศีล 8 ต่างกันอย่างไรคะ และข้อเรื่องการประพฤติผิดในกามในศีล 5 และศีล 8 ต่างกันอย่างไรคะ

ขอบคุณอาจารย์คะ

คำตอบ
(1) คำว่าปาณาหมายถึง สัตว์ที่มีลมปราณมีลมหายใจ มีชีวิต
คำว่า อัตภาพ หมายถึงลักษณะความเป็นตัวตนหรือหมายถึงตน
คำว่า วินิปาติกา หมายถึง สัตว์ที่ถูกทรมานหรือสัตว์ที่ตกอยู่ในที่ที่ปราศจากความเจริญ (อบาย)

(2) การนั่งเป็นอิริยาบถหนึ่งของการฝึกกรรมฐานคือฝึกจิตให้มีความพร้อมที่จะทำงานระดับสูง ได้แก่ ฝึกจิตให้มีความตั้งมั่นเป็นสมาธิและฝึกจิตให้เกิดปัญญาเห็นแจ้ง นั่นคือเป้าหมายของการนั่งกรรมฐาน

การฝึกกรรมฐาน (จิตตภาวนา) เป็นหนึ่งในบุญกิริยาวัตถุ 10และเป็นบุญสูงสุด เพราะเมื่อจิตเห็นแจ้งและเข้าถึงธรรมที่ทำให้พ้นไปจากการเวียนตาย-เวียนเกิดได้แล้ว ผู้มีสภาวะของจิตเช่นนั้นสามารถนำพาชีวิตพ้นไปจากความทุกข์ได้

บุญที่เกิดจากการฝึกกรรมฐานมีอานิสงส์มากสามารถอุทิศใช้หนี้เวรกรรมได้ดีกว่าบุญอย่างอื่น และเมื่อใดดับรูปดับนามเข้าสู่ภาวะนิพพานไปแล้วหนี้เวรกรรมที่เหลือเป็นอันยกเลิก

การฝึกกรรรมฐานสามารถทำได้ในทุกอิริยาบถของมนุษย์ เช่น ยืน เดิน นั่ง นอน กิน ดื่ม พูด ฟัง ฯลฯ ฉะนั้นฝึกนั่งกรรมฐานเพียงอย่างเดียวแต่อิริยาบถอื่นไม่นำมาใช้ในการฝึก เท่ากับปล่อยโอกาสของการฝึกจิตให้ผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์

การฝึกกรรมฐาน 7 วัน จะทำที่ไหนก็ได้ แต่สถานที่ใดมีความเหมาะสม (สัปปายะ) มากกว่า สถานที่นั้นให้ประโยชน์ในการฝึกจิตได้มากกว่า

คำว่า สมาธิ มิได้หมายถึงจิตมีความว่าง แต่หมายถึงจิตที่มีความสงบตั้งมั่นอยู่กับอารมณ์ปัจจุบัน อาการที่เกิดขึ้นกับหน้าผากเป็นผลมาจาก จิตมีความตั้งมั่นเป็นสมาธิระดับหนึ่งควรกำหนดว่า “ รู้หนอ ๆๆๆ ” กับอาการที่เกิดขึ้นกำหนดไปเรื่อย ๆ จนกว่า อาการระยิบ ระยับบนหน้าผากจะหายไป แล้วดึงจิตกลับมาสู่องค์บริกรรมเดิม

(3) ศีลอุโบสถหมายถึงศีล 8 ที่รักษาเป็นพิเศษในวันพระส่วนศีล 8 เป็นศีลที่ใช้ฝึกตนให้ยิ่งขึ้น

ศีล 5 ข้อที่สาม เว้นจากการประพฤติผิดในกามหมายถึงเว้นจากการร่วมประเวณีกับหญิงหรือชาย ที่เจ้าของยังมิได้อนุญาตซึ่งในเรื่องอย่างเดียวกันนี้ มีปรากฏอยู่ในศีล 8 ให้เว้นจากการประพฤติผิดพรหมจรรย์หมายถึงเว้นจากการร่วมประเวณีกับหญิงหรือชายที่เจ้าของอนุญาตแล้วหรือที่เป็นของตนตามนิตินัย

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 26 พ.ค. 2010, 04:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ถ้าในชาตินี้ทั้งตัวดิฉันเองและสามีตั้งใจจะไม่มีลูก (คุมกำเนิด) จะเป็นบุญหรือเป็นบาป และ/หรือจะส่งผลต่อชีวิตในภพภูมิข้างหน้าหรือไม่ อย่างไรคะ



คำตอบ
ในกรณีที่ผู้ถามเป็นฆราวาสนับถือพุทธศาสนาหากมิได้ประพฤติตามบุญกิริยาวัตถุ 10 ไม่ถือว่าเป็นบุญ และหากมิได้ละเมิดศีล 5 ไม่ถือว่าเป็นบาป

ทั้งสามีและภรรยาเห็นพ้องต้องกันที่จะไม่มีลูก ถึงใช้วิธีคุมกำเนิดในกรณีที่ 1 สเปริมกับไข่ไม่สามารถผสมกันได้ ตัวอ่อนยังไม่เกิดยังไม่มีจิตวิญญาณจับจองเข้าอยู่อาศัย กรณีที่ 2 สเปริมเข้าผสมกับไข่แล้ว ตัวอ่อนเกิดขึ้นแล้วมีจิตวิญญาณจับจองแล้ว และกรณีที่ 3 สเปริมเข้าผสมกับไข่แล้วตัวอ่อนเกิดขึ้นแล้วมีจิตวิญญาณเข้าอยู่อาศัยแล้ว

การคุมกำเนิดในกรณีที่ 2 เป็นการทำลายบ้านที่มีจิตวิญญาณจับจองแล้วเกิดการจองเวรขึ้นถือว่าเป็นบาป การคุมกำเนิดในกรณีที่ 3 เป็นบาปด้วยผิดศีล ข้อปาณาติบาต

การกระทำที่เข้าข่ายกรณีที่ 2 และ 3 จึงมีผลสืบต่อในวันข้างหน้าเมื่อกรรมถึงวาระให้ผลความเจ็บป่วยของร่างกายความวิบัติของชีวิตคือผลที่ผู้ทำต้องรับ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 26 พ.ค. 2010, 04:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอเรียนถามปัญหาดังนี้ค่ะ
คนท้องสามารถนั่งสมาธิเดินจงกรมได้ไหมค่ะ และถ้านั่งจะมีอันตรายหรือผลข้างเคียงต่อเด็กในครรภ์ไหมค่ะ ถ้าไม่ได้ควรจะทำอย่างไรทดแทนการนั่งสมาธิได้บ้างค่ะ

กราบขอบพระคุณอาจารย์ด้วยความเคารพค่ะ

คำตอบ
เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับขนาดของทารกในครรภ์ถ้ายังนั่งสมาธิได้สะดวก เดินจงกรมไม่สะดวกก็จงปฏิบัติต่อไป เมื่อใดที่นั่งขัดสมาธิไม่สะดวกให้เปลี่ยนไปนั่งบนเก้าอี้แทน หรือเดินจงกรมหรือนอนกำหนดลมหายใจ หรือใช้อิริยาบถย่อยอื่น กิน ดื่ม พูด ฟัง ฯลฯ ด้วยการมีจิตจดจ่อ ก็ถือว่าเป็นการปฏิบัติธรรมได้ดังนั้นต้องเลือกอิริยาบถเองตามความเหมาะสม

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 26 พ.ค. 2010, 04:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1. เวลาที่เราต้องการแผ่เมตตาโดยที่ขณะนั้นไม่ได้เป็นช่วงที่พึ่งประกอบสิ่งที่มีบุญเสร็จ เช่น เดินอยู่แล้วรู้สึกว่าบริเวณนี้น่าจะมีอมนุษย์อยู่แล้วอยากจะแผ่เมตตาให้ เราควรมีจิตตั้งมั่นเพียงแค่เมตตาจิตแล้วแผ่ให้อย่างเดียว หรือควรจะระลึกถึงความดีที่เคยประกอบมาเพื่อจะได้มีบุญมากขึ้นแล้วค่อยอุทิศให้ ถ้าเราฟุ้งระหว่างที่กำลังคิดถึงความดีเพื่อจะเอามาแผ่เมตตาจะยิ่งเป็นบาปหรือมิจฉาทิฏฐิหรือไม่คะ แล้วถ้าเรากำลังอยู่ในอารมณ์กำหนดอิริยาบทย่อยอยู่ถือว่ามีกุศลมากพอที่จะใช้แผ่เมตตาได้เลยหรือไม่คะ

2. ทุกครั้งที่ไม่ว่าอาจารย์เองหรือพระอาจารย์ครูบาอาจารย์ท่านอื่นๆสอน ให้ความรู้ หรือกล่าวเลยว่าถึงต้องการบรรลุซึ่งธรรมสูงสุด หนูก็จะกราบขอบพระคุณทุกครั้ง ร่วมอนุโมทนาการให้ธรรมทานของทุกท่าน รวมทั้งส่งปรารถนาจิตว่าให้ทุกท่านนั้นได้บรรลุมรรคผลนิพพานโดยเร็ว การขอเช่นนี้เป็นการเหมาะสมหรือไม่คะ เพราะจริงๆแล้วก็อาจเป็นคล้ายๆกับเด็กไปอวยพรให้ผู้ใหญ่

3. พยายามที่จะประพฤติตนให้ศีล5ถึงพร้อมตามที่ครูบาอาจารย์ทุกท่านแนะนำ โดยเฉพาะข้อ1.มีความมั่นใจมากและตั้งใจว่าจะไม่ให้พร่องเลยเพื่อจะได้ใช้เป็นเหตุไว้แผ่เมตตาให้ผู้ป่วยที่ดูแลอยู่ได้ พึ่งรู้สึกตัวเมื่อไม่กี่วันนี้ว่าได้สั่งยาฆ่าพยาธิไปหลายครั้งโดยไม่ได้รู้สึกตัวว่าตั้งใจจะฆ่า(ใบสั่งยาเป็นแบบสำเร็จรูปว่าผู้ป่วยที่จะได้ยากดภูมิคุ้มกันทุกครั้งจะต้องได้ยาถ่ายพยาธิก่อน ไม่เช่นนั้นอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต) วันก่อนสั่งยาด้วยเจตนาที่จะ"ฆ่า"จริงๆจึงระลึกถึงคำอาจารย์ได้ว่าพยาธิก็เป็นสัตว์ที่มีจิต ย่อมผิดศีลข้อปาณาติปาตแน่นอน พยาธิเป็นสัตว์ที่มีจิตจริงใช่หรือไม่คะ ถ้าเช่นนี้ครั้งก่อนๆที่หนูฆ่าเค้าไปโดยไม่มีเจตนาก็ถือว่าเป็นศีลพร่องอยู่หรือไม่ สำหรับครั้งนี้พิจารณาแล้วว่ามีความจำเป็น ได้แต่ขออโหสิกรรมให้เขารับทราบและไปเกิดในภพภูมิที่ดีขึ้นจะพอช่วยได้หรือไม่ อาจารย์มีคำแนะนำอย่างไรบ้างคะเพราะหนูคงต้องสั่งยาเช่นนี้อีกตลอดอาชีพแพทย์และยังหาทางหลีกเลี่ยงไม่ออก

กราบขอบพระคุณอาจารย์เป็นอย่างสูงค่ะ

คำตอบ
(1) ผู้ใดมีจิตเมตตาอยู่แล้ว สามารถแผ่เมตตาให้กับสรรพสัตว์ได้ทุกเวลาที่ปรารถนาจะแผ่ให้ เมตตากับบุญเป็นคนละเรื่องกันโปรดอ่านรายละเอียดในเว็บไซด์ ข้อ 518 (2)

อนึ่งการแผ่เมตตาหรืออุทิศบุญกุศลให้สรรพสัตว์ ขณะจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิจะแผ่หรือส่งผลบุญไปได้ไกลกว่าจิตที่ไม่ตั้งมั่น

(2) การอนุโมทนาในความดีของผู้อื่น ผู้อนุโมทนาได้บุญส่วนการส่งจิตปรารถนาให้ผู้อื่นบรรลุถึงความดี (นิพพาน) เป็นการเจริญเมตตาของผู้ส่ง

(3) ใช่ ศีลยังพร่อง พยาธิเป็นสัตว์ที่มีรูปนาม เมื่อจำเป็นต้องใช้ยาฆ่าพยาธิ ก่อนใช้ยาต้องขออโหสิกรรม ถ้าเขายกโทษให้จะไม่มีการจองเวรเกิดขึ้น การสั่งยาให้คนไข้รับประทานไม่ถือเป็นบาปแต่ถ้าพยาธิไม่ยกโทษให้ถือว่าเป็นบาป ฉะนั้นหากยังมีความจำเป็นต้องประกอบอาชีพนี้จะได้ทั้งบุญและบาป จึงควรทำบุญอยู่เสมอแล้วอุทิศบุญใช้หนี้เวรกรรมไปเรื่อย ๆ ตราบที่ยังประกอบอาชีพนี้อยู่ เพื่อให้เจ้าหนี้เวรกรรมตามทวงหนี้ไม่ทัน

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1521 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 34, 35, 36, 37, 38, 39, 40 ... 102  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร