วันเวลาปัจจุบัน 13 ต.ค. 2025, 16:55  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 1521 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 36, 37, 38, 39, 40, 41, 42 ... 102  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 พ.ค. 2010, 04:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดิฉันได้ปฏิบัติสวดมนต์ นั่งสมาธิ (5-10 นาที ทุกวัน) และได้แนวของหลวงพ่อปราโมทย์มาปฏิบัติ สิ่งที่ทำให้
ดิฉันรู้สึกมากในระยะหลังคือ จิตดวงนี้ แข็ง กระด้าง และมีการแสดงพฤติกรรมออกไปโดยบางครั้งแสดงออกไปแล้ว
สติทันขึ้นมาก็หยุด พอหยุดจิตก็จะมีอาการ แข็ง กระด้าง จะเรียนถามอาการของจิตที่มีลักษณะนี้มีแนวทางอย่างไรที่ทำ
ให้ดิฉันจะเข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้น


คำตอบ
จะเข้าให้ถึงต้นเหตุแห่งความแข็งกระด้างของจิตได้ มีอยู่ทางเดียงคือใช้ปัญญาสูงสุด(ญาณ) ส่องดูใจตัวเองปัญญาสูงสุดที่ว่านี้จะเกิดขึ้นได้ ต้องนำตัวเองเข้าปฏิบัติสมถวิปัสสนากรรมฐาน จนบรรลุมรรคผลแห่งธรรมของผู้รู้ แล้วจึงนำปัญญาเห็นแจ้งนั้นไปดับต้นเหตุที่ทำให้จิตแข็งกระด้าง ปัญหาที่ถามก็จะถูกกำจัดไป

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 พ.ค. 2010, 04:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หากได้ทราบข่าวว่าใครจะตายเพราะโรคร้าย และได้แนะนำให้เขาไปปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน อย่างนี้จะถือว่าได้ไปร่วมขบวนกรรมกับเขาไหมคะ เราจะติดบ่วงไปด้วยหรือเปล่า เช่นเจ้ากรรมนายเวรของเขามาจองเวรกับเรา

ขออาจารย์ได้โปรดไขข้อข้องใจ และชี้แนะวิธีป้องกันภัยเวรทั้งหลายที่จะตามมาด้วย


คำตอบ
หากเจ้ากรรมนายเวรของคนไข้ไม่รู้หรือรู้แต่ไม่ติดใจจองเวรกับผู้แนะนำ ยังถือว่าเข้าไปร่วมในกระบวนธรรมของคนไข้อยู่ ด้วยเหตุที่ผู้แนะนำไม่ทราบว่ามีการจองเวรเกิดขึ้นหรือไม่ดังนั้นควรป้องกันตัวเองไว้ก่อน ด้วยการประกอบบุญให้หลากหลายประกอบบุญอยู่เรื่อย ๆ แล้วอุทิศผลบุญให้กับเจ้ากรรมนายเวรของตัวเองไปเรื่อย ๆ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 พ.ค. 2010, 04:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


การทำความดี มีศีลธรรม รักษาศีล ทำทานอยู่เสมอทำให้ไปเกิดเป็นเทวดา หรือการทำสมาธิภาวนาจนมีฌานทำให้ไปเกิดเป็นพรหม อยากเรียนถามอาจารย์ว่าหากเราไม่อยากเกิดเป็นเทวดาหรือพรหม แต่อยากเกิดเป็นมนุษย์อีกสามารถอธิษฐานขอเกิดเป็นมนุษย์ในชาติต่อไปจากผลของการทำบุญนั้นได้หรือไม่

ขอขอบพระคุณอาจารย์มากครับ

คำตอบ
ผู้มีบุญมากสามารถเลือกทางชีวิตของตนเองได้มากกว่าผู้มีบุญน้อยกว่า ดังเช่น อนาถบิณฑิกเศรษฐีโสดาบันผู้สร้างและถวายวัดเชตวันไว้ในพุทธศาสนา เมื่อถึงกาลเวลาที่ได้ทิ้งขันธ์ลาโลกไปแล้ว แทนที่จะไปโอปปาติกะเป็นเทวดาโสดาบันอยู่ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ตามบุญบารมีที่ทำสั่งสมไว้ในครั้งที่ถือกำเนิดเป็นมนุษย์ แต่ตัวเองเลือกไปโอปปาติกะเป็นยักษ์โสดาบัน(ชนวสรายักษ์) อยู่กับท้าวเวสสุวัณเพื่อนเก่าที่เป็นจอมยักษ์ อยู่ในสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกาซึ่งเป็นแดนสุขาวดีชั้นแรกนั่นเอง

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 พ.ค. 2010, 04:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดิฉันมีปัญหากับแม่มาก คือแม่ไม่ชอบหน้าดิฉันเลย ดิฉันทราบดีว่าเป็นกรรมเก่า ก็ทำใจยอมรับ แต่สิ่งที่แม่ปฏิบัติต่อดิฉัน คือ พยายามเป็นปฏิปักษ์กับดิฉันตลอดเวลา เช่น ซื้อของมาให้ทานก็ไม่ทาน คุยด้วยก็ไม่ตอบ คือพยายามจะยัดเยียดความอกตัญญูให้ดิฉันตลอดเวลา สิ่งเหล่านี้จะเป็นการขัดขวางให้ดิฉันปฏิบัติธรรมไม่ก้าวหน้าหรือไม่ ดิฉันควรทำอย่างไร จึงจะปฏิบัติธรรมก้าวหน้า เพราะจิตฟุ้งซ่านมากในขณะเดินจงกรม และนั่งสมาธิ ไม่สงบเลยสักนาที

ขอความกรุณาอาจารย์ช่วยให้คำตอบดิฉันด้วยค่ะ

คำตอบ
ปฏิบัติธรรมไม่ก้าวหน้าเพราะยังมีความเห็นผิดลูกซื้อของให้แต่แม่ไม่รับประทานก็เป็นเรื่องของแม่ ลูกพูดคุยกับแม่แล้วแม่ไม่พูดโต้ตอบก็เป็นเรื่องของแม่ การกระทำของลูกทั้งสองอย่างผู้เป็นแม่รับรู้ได้แต่โปรแกรมจิตของท่านเป็นลบ อาหารจึงไม่ถูกรับประทานการโต้ตอบจึงไม่เกิดขึ้น ผู้มีโปรแกรมจิตเช่นนี้ เป็นผู้ที่ทำตัวเองให้เปล่าประโยชน์อันพึงได้รับ ดูให้ออกว่าแม่เป็นครูที่ดีสอนลูกไม่ให้มีทิฏฐิวิบัติอย่างแม่ การจะอยู่ร่วมสังคมกับคนที่มีความเห็นผิดเช่นนี้คุณต้องพัฒนาจิตตนเองให้มีขันติและพรหมวิหาร 4 คุ้มใจ หากพัฒนาได้เมื่อใดแล้วปัญหาเรื่องจิตฟุ้งซ่าน ปัญหาปฏิบัติธรรมไม่ก้าวหน้าจะหมดไป แล้วจะเห็นบุญคุณของแม่แสดงพฤติกรรมที่เป็นเหตุให้ลูกได้เจริญในขันติธรรม เมตตาธรรมและอุเบกขาธรรม

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 พ.ค. 2010, 04:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เราจะมีวิธีอย่างไรที่จะทำให้ พ่อ แม่ ญาติพี่น้อง มีสัมมาทิฐิมากขึ้น ที่ทำอยู่ทุกวันนี้คือ เปิด ซีดี วีซีดี ธรรมะให้ฟังเป็นประจำก็ทำให้ดีขึ้นแต่น้อยมาก ยกตัวอย่างเช่น หวยก็ยังคงเล่นอยู่จนเป็นนิจเวลาเราเตือนท่านก็จะบอกว่าการเล่นหวยคือความสุขของท่าน

การนินทาพ่อแม่นินทาผู้อื่นเป็นประจำท่านก็จะบอกว่าเลิกไม่ได้เลิกก็ไม่รู้จะคุยเรื่องอะไร อุปสรรคในการที่เราจะเตือนท่านคือ เราเป็นเด็กเป็นเล็กจะมาสั่งมาสอนท่านได้อย่างไร ฉันอาบน้ำร้อนมาก่อนแกตั้งหลายสิบปี เพราะฉนั้นเราจะมีวิธีหรือกลอุบายอย่างไรครับ

คำตอบ
ธรรมชาติของจิตมนุษย์หรือสัตว์ จะเลือกรักในสิ่งที่ดีกว่า หรือศรัทธาในสิ่งที่ความสุขความอบอุ่นใจ ที่ตัวของเราเองสามารถสัมผัสหรือเข้าถึงได้

ฉะนั้นการเปิดซีดี วีซีดีธรรมะให้ญาติฟัง ยังไม่ศักดิ์สิทธิ์เท่ากับทำตัวของผู้ถามปัญหาให้มีธรรมบรรจุอยู่ในใจให้ได้ทุกขณะตื่น แล้วโอกาสที่พ่อแม่ญาติพี่น้องจะศรัทธาในตัวคุณย่อมเกิดขึ้นได้ เมื่อใดที่เขาเหล่านั้นเปิดใจยอมรับสิ่งดีงาม (ธรรมะ) ที่มีอยู่ในใจของคุณได้แล้วเมื่อนั้นคุณจึงจะสามารถตักเตือน หรือชี้ทางชีวิตที่ดีกว่า เขาจึงจะพร้อมและทำตามที่คุณชี้แนะได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 พ.ค. 2010, 04:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1. ดิฉันเคยไปฝึกมโนมยิทธิที่วัดท่าซุง โดยมีครูผู้สอนพูดแนะนำขณะนั่งสมาธิ (แบบครึ่งกำลัง) ดิฉันได้เห็นพระพุทธเจ้าซึ่งองค์ท่านใหญ่มากเท่าพระพุทธชินราชในวัดได้ค่ะ ในนิมิตท่านมีชีวิตนะค่ะ แล้วตัวดิฉันเป็นผู้ชายค่ะไม่ได้สวมเสื้อนุ่งแต่โสร่งสีขาวค่ะ กำลังทำท่าไหว้ท่านเหมือนนักมวยไหว้ครูน่ะค่ะ แล้วก็มีคนอื่นๆนั่งอยู่หน้าท่านด้วยค่ะ แต่ไม่มากคล้ายๆนั่งฟังธรรมน่ะค่ะ เหตุการณ์นี้หมายถึงอะไรค่ะ ใช่บุพเพนิวาสานุสติญาณรึเปล่าค่ะ?

2.ดิฉันฝึกมโนมยิทธิเต็มกำลังที่วัดท่าซุงเช่นกันค่ะแต่คนละครั้งกับข้อ1 นะคะ ดิฉันเห็นภาพสว่างจ้าแล้วก็เห็นเป็นตัวดิฉันนั่งอยู่แล้วมีพระพุทธเจ้าท่านชวนดิฉันไปเที่ยวชมสวรรค์ แต่ดิฉันไม่ไป(ลักษณะดื้อเหมือนเด็กๆที่ไม่อยากไป)ท่านชวนแต่ดิฉันก็ไม่ไปท่าเดียวค่ะ ดิฉันในขณะนั้นไม่อยากไปเที่ยวชมเลยมีความรู้สึกว่าขี้เกียจไปทั้งๆที่ไม่เคยไปนะค่ะ ในใจคิดว่าไว้ค่อยไปวันหลังก็ได้ค่ะ ที่เกิดเหตุการณ์อย่างนี้ขึ้นกับดิฉันคืออะไรค่ะ แล้วทำไมจึงเกิดขึ้นได้ค่ะ

กราบขอบพระคุณมากค่ะ

คำตอบ
(1) สิ่งที่เห็นเป็นผลมาจากฤทธิ์ทางใจของคุณเป็นเพียงแค่ปัญญาสูงสุดขั้นโลกิยะ ที่ยังไม่สามารถทำให้ผู้เห็นพ้นไปจากความทุกข์ได้ และไม่ใช่ปุพเพนิวาสานุสติญาณ

(2) ความขี้เกียจเป็นกิเลสที่ทำให้ชีวิตเสื่อมจนที่มีธรรมะคุ้มใจได้ทุกขณะตื่นจะไม่มีความขี้เกียจ เหตุที่เกิดขึ้นนั้น เป็นเพราะยังไม่รู้จริงแท้ จิตยังถูกครอบงำด้วยอวิชชา จิตยังเป็นทาสของกามจึงได้คิดว่าค่อยไปเที่ยวสวรรค์ในวันหลังก็ได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 พ.ค. 2010, 04:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขออนุญาตถามคำถามอาจารย์ค่ะว่า ถ้านั่งกรรมฐานอยู่ในขณะที่กำลังไล่ดูส่วนต่าง ๆ ของกายอยู่นั้น ปรากฎว่าเกิดความเงียบสงัดขึ้นมาในจิต แต่ยังได้ยินเสียงภายนอก ทั้งเสียงนกร้อง และรู้สึกถึงความเย็นของอากาศในห้องอยู่ตลอดเวลา เพียงแต่จิตเงียบจริง ๆ เงียบสงัดอย่างที่สุด สักพักก็มีอาการรู้ก็เข้าไปจับว่า สุขหนอ สุขหนอ หลังจากนั้นจิตก็คลายออกมา กลับมามีกระแสความคิดอ่อน ๆ เข้ามาอีก อยากทราบว่าภาวะที่เกิดขึ้นนั้น คืออะไร และควรปฏิบัติอย่างไรต่อ

กราบขอบพระคุณอย่างสูงค่ะ

คำตอบ
ภาวะที่เกิดขึ้นเป็นความตั้งมั่นของจิตจวนแน่วแน่(อุปจารสมาธิ) ยังไม่ใช่เป็นความเงียบสงัดอย่างที่สุด เพราะยังได้ยินเสียงนกร้อง ยังระลึกได้ในความเย็นของอากาศ สิ่งที่ควรปฏิบัติต่อไปคือใช้จิตที่มีความตั้งมั่นระดับนี้ตามดูผัสสะ (เสียงนกร้อง ความเย็นของอากาศกระแสความคิด ฯลฯ) ที่เกิดขึ้นกับจิตว่าดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์เมื่อใดผัสสะเข้าสู่ความเป็นอนัตตาจะเกิดปัญญาเห็นแจ้งว่าผัสสะไม่ใช่ตัวตน จิตจะปล่อยวางผัสสะจิตว่างจากผัสสะเข้าสู่อุเบกขารมณ์

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


แก้ไขล่าสุดโดย ธรรมบุตร เมื่อ 26 พ.ค. 2010, 04:54, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 พ.ค. 2010, 04:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1.ฉันเป็นผู้หนึ่งที่สนใจการปฏิบัติธรรมเพื่อเข้าถึงสัจจะของธรรมชาติ เพื่อความไม่หลงในวัฏฏสงสารเวียนว่ายตายเกิดไม่รู้จักจบสิ้น ดิฉันขออนุโมทนาบุญกับท่านอาจารย์ และผู้เข้าถึงธรรมทุกๆท่านด้วยค่ะ
ตอนนี้ดิฉันอายุ 37 ปี สนใจในเรื่องการถือศีล 8 แต่ติดปัญหาตรงที่ดิฉันยังยึดติดในความสวยอยู่ค่ะ คือถ้าถือศีล 8 (ระยะเวลานานๆ) ดิฉันก็ไม่สามารถทาครีมบำรุงผิวหน้าได้ (ดิฉันก็ทราบค่ะว่าร่างการเราต้องมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา ถ้าหวังบรรลุธรรมควรปล่อยวางได้)แต่ถ้าดิฉันไม่ทาผิวหน้าก็จะเสื่อมเร็วนะค่ะ ทำอย่างไรดีค่ะ ถ้าเราปฎิบัติจิตดีๆ ผิวพรรณเราก็จะดีได้โดยไม่ต้องอาศัยครีมบำรุงได้ใช่หรือไม่ค่ะ?

2.ดิฉันเป็นคนไม่สนใจอะไรๆทางโลกมากเท่าไหร่ งานทางโลกดิฉันก็ไม่ค่อยประสบความสำเร็จ ดิฉันปรารถนาอยู่กับสังคมทางธรรมะมากกว่า (รู้สึกว่าคุยในเรื่องเดียวกัน) ตอนนี้ดิฉันว่างงานดิฉันอยากหาสถานที่ที่ให้ดิฉันทำงานในด้านนี้ได้(ดิฉันจบปริญญาตรี ไม่เกี่ยงหน้าที่และรายได้ค่ะ ขอให้ได้ทำงานและได้ศึกษา สนทนา ปฏิบัติธรรม ทำประโยชน์ให้ส่วนรวมไปด้วยค่ะ) อาจารย์พอแนะนำได้บ้างไหมค่ะ?

สุดท้ายนี้ขออาราธนาบุญบารมีของท่านผู้ทรงบารมีธรรม โปรดส่งผลดลบันดาลให้ท่านอาจารย์และครอบครัวและผู้เสียสละแรงกายแรงใจสร้างประโยชน์สุขเพื่อมวลชนทุกท่านจงมีความร่มเย็น สุขกาย สุขใจ บรรลุถึงสิ่งดีๆที่ทุกท่านปรารถนาโดยฉับพลันด้วยเทอญ

ขออนุโมทนาและกราบขอบพระคุณอย่างสูง

คำตอบ
ผู้รู้เข้าใช้สมมุติเขาได้ประโยชน์จากสมมุติแต่เขามีจิตเป็นอิสระจากสมมุติ ฉะนั้นผู้ถามปัญหาต้องถามใจตัวเองว่าเมื่อใช้ครีมทาผิวหน้าแล้วมีสภาวะของจิตเป็นเช่นนี้หรือไม่ หากเป็นเช่นนี้สามารถทำได้ต่อไปหรือจะเปลี่ยนไปเจริญเมตตาให้เกิดขึ้นกับจิตยิ่ง ๆ ขึ้น หรือทำจิตให้เป็นอิสระจากผัสสะทั้งปวงได้ ก็เป็นวิธีธรรมชาติที่ช่วยบำบัดปัญหาความชราของผิวหน้าให้ช้าลงได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 พ.ค. 2010, 04:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กระผมเป็นผู้นั่งสมาธิสม่ำเสมอและสนใจเรื่องทางจิตตามหลักศาสนาพุทธครับได้พยามยามมีสติตลอดเวลาครับ
1. ช่วงเวลาที่นอนหลับแล้ว รู้สึกว่าจิตออกไปจากร่าง มีควาบรู้สึกวูบขึ้นลูบลงเห็นตัวเองนอนอยู่บ้าง เมื่อได้เห็นตัวเองนอนอยู่ได้พยามยามกลับเข้าร่างเกิดความกลัวว่าจะมีวิญญาณอื่นมาเอาร่างเรา เห็นหลังคาบ้านตัวเองบ้าง แต่เมื่อรู้ได้ว่ามีการการดังกล่าวอย่างนี้ได้พยามยามกำหนดตรงบริเวณหน้าผาก ให้ไปสวรรค์บ้าง ไปดูนรกบ้าง แต่ไม่เคยเห็นครับ แต่รู้สึกว่าเราได้ออกจากร่างจริงๆ พักหลังมีสติมากขึ้นเมื่อเกิดอาการอย่างนี้ พยายามกำหนดให้จิตอยู่กับตัว
ท่านอาจารย์ครับอาจารย์ว่าเป็นอาการทางร่างกายหรือสมองหรือป่าวครับที่ส่งผลอย่างนี้ หรือเป็นเรื่องจิตครับ แต่เท่าที่สังเกตุดูว่าก่อนที่จิตจะออกไปจะมีการอาการทางร่างกายที่เสียวแปลบที่ศรีษะ ตามร่างกายจะชาแข็งขยับไม่ได้ตามคิด

2. พยายามนั่งสมาธิให้ได้อารมณ์อัปปนาสนาธิครับ แต่รู้สึกยากแต่กระนั้นก็ได้พยายามอยู่ เคยมีครั้งหนึ่งครับมีความรู้สึกว่าจิตใสเป็นแก้วแล้วเป็นรูปที่ซ้อนกับร่างกายตัวเองอยู่ชั้นหนึ่ง แล้วสติดีมากอะไรมากระทบก็รู้สึกเฉยๆใช่อาการอัปปนาสนาธิมั้ยครับ
ท่านอาจารย์มีแนวปฏิบัติเพื่อได้อัปปนาสนาธิไว ๆ มั้ยครับ

3. มีการแก้ขอถอนคำอฐิษฐานมั้ยครับ

ขออำนาจคุณพระรัตนตรัยให้ท่านอาจารย์มีสุขภาพแข็งแรงตลอดไปนะครับ
ขอกราบขอบพระคุณท่านอาจารย์อย่างสูง

คำตอบ
(1) การนอนหลับหมายถึงพลังงานจิตไม่มีการเกิด-ดับ (ภวังคจิต) จิตทำงานไม่ได้ ปรุงแต่งอารมณ์ให้ปรากฏไม่ได้ ฉะนั้นที่นอนหลับตา แล้วรู้สึกวูบขึ้นวูบลง ยังเห็นตัวเองนอนแสดงว่าจิตไม่ได้เข้าสู่ภวังค์จิตยังทำงานได้ จิตยังเคลื่อนออกจากร่างกายได้จึงเป็นเรื่องของจิตมิใช่เป็นเรื่องของร่างกายและสมอง

(2) ไม่ใช่อัปปนาสมาธิ ผู้ถามปัญหาประสงค์จะเข้าให้ถึงอัปปนาสมาธิไว ๆ ต้องกำจัดความอยาก (ตัณหา) ให้หมดไปจากใจให้ได้ก่อน แล้วจึงทำให้ให้มีศีลและสัจจะคุ้มใจให้ได้ทุกขณะตื่นปิดปาก ปิดหู ปิดตา กินน้อย นอนน้อย แต่เร่งความเพียงในการปฏิบัติสมถภาวนาให้มาก ความปรารถนาเข้าถึงสมาธิสูงสุดจึงจะมีโอกาสเป็นไปได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 พ.ค. 2010, 05:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1. ผมเคยไปกราบหลวงพ่อจรัญ วัดอัมพวัล ครับ ได้ทราบมาก่อนหน้านี้ว่าท่านรู้วาระจิต แล้วผมก็เคยมีประสบการณ์สนใจด้านนี้มาก่อน พอท่านรู้ผมก็ทราบว่าท่านรู้ แล้วผมรู้สึกกลัวครับ กลัวบารมีหลวงพ่อท่าน กลัวการทำชั่วละอายใจอะไรที่ทำผิดคิดผิด ก็ไม่กล้าทำ อะไรที่เคยทำในชีวิตประจำวันปกติบางอย่างก็ไม่กล้าทำ แต่ยอมรับว่ารู้สึกดีกว่าแต่ก่อนเพราะมีการควบคุมตัวเองโดยใช้สติ แต่บางครั้งกำหนดที่ลิ้นปี่มาก ๆ ก็อึดอัด บางที่มีความฟุ้งซ้านมาก ควรทำไงดีครับ แล้ว อาจารย์ดร.สนอง เราควรทำอย่างไรเมื่อเจอท่านเหล่านี้ ผู้เป็นอริยบุคคล รู้วาระจิตเราได้ มีวิธีป้องกันการให้คนอื่นอ่านใจมั้ยครับ

2. การที่เราจะพัฒนา พละ 5, อินทรีย์ 5 หรือ อิทธิบาท 4 นี่นะครับ เราต้องระลึกตลอด คือมีความเพียรกำหนด เจริญพละ 5 อยู่ทุกขณะตื่น ควรปฏิบัติอย่างไรครับ ถ้าตอนนี้มีสติระดับหนึ่งแล้ว

3. เวลาเราให้อภัยใครไปแล้ว อโหสิกรรมให้ไปแล้ว แต่ยังรู้สึกว่ายังมีผลของกรรมเวรยังมาตามอยู่ ในกรณีที่เราเป็นคนมาตามจองเวรเขาเราควรทำอย่างไรดีครับ

ขอให้ท่านอาจารย์มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงตลอดกาล

ขอขอบพระคุณอย่างสูงนะครับ

คำตอบ
(1) ปฏิบัติธรรมแล้วอึดอัด เป็นตัวบ่งชี้ให้เห็นว่าการปฏิบัติธรรมแบบนั้นผิดทาง ควรหันไปใช้วิธีอื่นที่เหมาะกับจริตของผู้ถามปัญหา

คนที่คิดป้องกันคนอื่นมิให้รู้ใจตัวเอง ในทางธรรมถือว่าเป็นความคิดที่ผิด(มิจฉาสังกัปปะ) ผู้ที่หวังความเจริญในธรรมทางพระพุทธะ ไม่คิดปกปิดความจริงแต่ยอมรับความจริงแล้วกำจัดสิ่งที่เศร้าหมอง (ขยะ) ที่มีอยู่ในใจให้หมดไป ผู้ตอบปัญหาได้ผ่านประสบการณ์เช่นนี้มาแล้ว ได้แก้ปัญหาถูกตรงตามที่แนะนำมาจึงมีโอกาสเป็นเหมือนกระจกส่องใจมวลชนอยู่ในทุกวันนี้

(2) เมื่อระลึกได้แล้วต้องปฏิบัติหรือมีความประพฤติถูกตรงตามคุณธรรมเหล่านั้นอยู่ทุกขณะตื่น จึงจะได้ชื่อว่าเป็นผู้ปฏิบัติตรง (อุชุปฏิปนฺโน)

(3) ผู้ถามปัญหาให้อภัยผู้อื่นได้เป็นสิ่งดีที่ควรกระทำอยู่เสมอแต่ผู้อื่น (เจ้าหนี้เวรกรรม) ที่เขายังผูกพยาบาลอยู่กับผู้ถามปัญหา เขาจะให้อภัยหรือไม่ให้อภัยมันเป็นเรื่องของเขา ถ้าเขายังไม่เลิกจองเวรยังไม่ให้อภัย ผู้ถามปัญหายังจะต้องมีหนี้เวรกรรมให้ต้องชดใช้อยู่และต้องใช้หนี้ไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งสามารถพัฒนาจิตเข้านิพพานไปได้แล้วนั่นแหละหนี้เวรกรรมที่เหลือทั้งหมดจึงจะเป็นอโหสิกรรมได้หมดสิ้น

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 พ.ค. 2010, 05:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เคยมีบางครั้งที่ใจนึกคิดไม่ดีหรือลบหลู่บุคคลที่ไม่ควรคิดลบหลู่ พอเกิดความนึกคิดอย่างนั้นก็จะรีบว่าตัวเองเพราะไม่อยากบาปและลงนรก มันเป็นความคิดที่ไม่อยากให้เกิดขึ้นเลย แต่บางทีมันก็แวบเข้ามา ต้องคอยเตือนตัวเองอยู่ตลอดไม่ให้คิดต่อไปมากกว่านั้น อยากทราบว่าความคิดแบบนี้มันเกิดขึ้นได้อย่างไร เพราะเราก็ไม่ได้อยากคิดที่จะลบหลู่เพราะรู้ว่าจะบาปมหันต์ และบุคคลเหล่านั้นก็เป็นบุคคลที่เราเคารพนับถือ ทำอย่างไรจะไม่ให้ความคิดเหล่านี้มันเกิดขึ้นในจิตใจเราได้ และจะบาปไหมถ้าความคิดไม่ดีเหล่านี้มันเกิดขึ้นมา

รบกวนท่านอาจารย์ ดร.สนองกรุณาตอบคำถามนี้ด้วยนะคะ เพราะไม่สบายใจมากเลยค่ะ ไม่อยากให้มันเกิดขึ้นอีก

กราบขอบพระคุณอาจารย์เป็นอย่างสูงค่ะ

คำตอบ

เหตุที่ใจยังคิดติดลบเพราะโปรแกรมจิตที่คิดลบหลู่ยังไม่ถูกกำจัดให้หมดไปจากใจ ครั้งใดที่ความคิดลบหลู่เกิดขึ้นครั้งนั้นบาปเกิดขึ้นและถูกเก็บสั่งสมไว้ในจิต

วิธีกำจัดโปรแกรมจิตที่ติดลบหลู่ให้หมดไป ทุกครั้งเมื่อจิตคิดลบหลู่ต้องใช้จิตตามดู ความคิดที่ไม่ดีนั้นดับไป (อนัตตา) ตามกฎไตรลักษณ์ต้องตามดูเช่นนี้เรื่อยไปจนจิตไม่ระลึกถึงเรื่องนี้อีกเลย

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 พ.ค. 2010, 05:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


การกินข้าวก่อนผู้มีพระคุณเมื่อวัยเด็ก ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ได้เคยตักบาตร โดยคุณแม่เป็นผู้สั่งจัดอาหารให้โดยนำอาหารที่เหลือไปใส่บาตรพระ
ผ่านมาหลายปี แต่เรื่องนี้ก็ยังแวบมาให้คิดเล็กๆ น้อย
ผมเคยขอขมาต่อหน้า พระบรมสารีริกธาตุ ว่าหากได้เคยล่วงเกินพระรัตนตรัย ด้วยกาย วาจา ใจ

ผมขอความกรุณา
1. รบกวนท่านอาจารย์ช่วยแนะนำวิธีแก้ด้วยครับ

2. คุณแม่เป็นคนค่อนข้างยึดมั่นในความคิดของตน และผมเองก็ยังคุณธรรมไม่สูงพอ
ยังไม่สามารถทำให้ท่าน สัมผัสถึงความดีแบบสุด จนทำให้ท่านหันมาสนใจธรรมะได้อย่างเต็มที่
และก็ไม่ค่อยกล้าจะพูดถึงธรรมมากเท่าไหร่ เพราะจะทำให้ท่านไม่สบายใจผมควรทำอย่างไร
อย่างน้อย ก็อยากให้แม่ทราบว่า ที่เคยนำอาหารเก่าไปถวายพระนั่น เป็นเรื่องที่ผิด หรือทำได้แค่ปล่อยวางครับท่าน?

ขอกราบแทบเท้าท่านอาจารย์เพื่อแสดงความเคารพครับ

คำตอบ
(1 ) นำดอกไม้ ธูป เทียน ไปบูชาและกล่าวคำสรรเสริญคุณของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ต่อหน้าพระประธานในโบสถ์หรือต่อองค์เจดีย์ที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ เมื่อกล่าวคำบูชาแล้วเสร็จให้กล่าวคำขอขมาต่อพระรัตนตรัยว่า “ ที่ข้าพเจ้าเคยนำอาหารเหลือจากรับประทานไปใส่ลงในบาตรพระสงฆ์ ข้าพเจ้าได้สำนึกผิดต่อการกระทำอันเป็นบาปนั้นแล้วขอพระรัตนตรัยจงโปรดงดโทษใด ๆ อย่าให้เกิดขึ้นกับข้าพเจ้าข้าพเจ้าให้สัตยาธิษฐานว่า ต่อไปนี้ข้าพเจ้าจักไม่กระทำกรรมอันเป็นบาปเช่นนั้นให้เกิดขึ้นอีก ”

(2) ปล่อยวางชีวิตของผู้เป็นแม่ไปตามกรรม แล้วผู้เป็นลูกหันมาประพฤติตนเองให้งามพร้อมด้วยธรรม แม่เกิดศรัทธาลูกเมื่อใดแล้วมาขอคำแนะนำลูก จึงสามารถใช้โอกาสนี้บอกกล่าวถึงอกุศลกรรมเกี่ยวกับเรื่องนี้ที่แม่เคยทำไว้พร้อมทั้งชี้โทษให้เห็นและชี้ทางแก้ไขปัญหาให้ท่านด้วย

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 พ.ค. 2010, 23:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


การนั่งสมาธิในระยะเริ่มต้น ได้ใช้การภาวนาพุทธโธ โดยกำหนดลมหายใจเข้า"พุทธ" และหายใจออก "โธ" กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกได้เท่านั้น ไม่สามารถรู้จุดกระทบของลมหายใจออกต่ออวัยวะภายนอก และตามรู้ลมหายใจเข้าว่าผ่านไปตรงจุดใดบ้าง เคยได้อ่านในหนังสือธรรมะว่าการนั่งสมาธิถ้าเรานั่งหายใจเข้า "พุทธ" หายใจออก "โธ" เท่านั้น มันไม่มีประโยชน์ จะต้องตามดูลมหายใจว่าผ่านหรือกระทบกับอวัยวะใด เช่น หายใจออก ลมก็จะกระทบปลายจมูก หรือหายใจสั้น-ยาว เร็ว-ช้า อย่างไร แต่สิ่งเหล่านี้ดิฉันพิจารณาไม่ได้เลย แล้วเวลาภาวนาจิตก็ไม่สงบด้วยค่ะ รบกวนอาจารย์ช่วยชี้แนะวิธีการนั่งสมาธิที่ถูกต้องให้ได้ไหมคะ โดยการใช้คำภาวนาพุทธโธ เพราะตัวเองจะชินกับคำภาวนานี้ค่ะ

ขอบพระคุณอาจารย์ที่ช่วยชี้แนะแนวทางปฎิบัติค่ะ

คำตอบ
ก่อนนั่งภาวนาคำว่า พุท-โธ ต้องทำใจให้มีศีล 5 คุมใจให้ได้ก่อน แล้วจึงเอาใจไปจดจ่ออยู่กับลมที่กระทบปลายจมูกเมื่อลมผ่านเข้าก็รู้ว่าลม กระทบปลายจมูก เมื่อลมผ่านออกก็รู้ว่าลมกระทบปลายจมูก บริกรรมลมเข้าว่า “ พุท ” ลมออกว่า “ โธ ” พุทโธ ๆๆๆ ไปเรื่อย ๆ เมื่อใดที่จิตเคลื่อนหายไปจากลมเข้า-ลมออก ต้องหายใจลึก ๆ แล้วปล่อยออกเบา ๆ โดยบริกรรมคำว่า พุท-โธ ๆๆๆเหมือนเดิม ปฏิบัติจนกระทั่งจิตไม่เคลื่อนออกไปจากลมเข้า-ลมออก นาน 45 ถึง 60 นาทีก็ได้ นี่เป็นเครื่องแสดงว่าจิตมีกำลังของสติเพิ่มขึ้น แล้วจิตจะตั้งมั่นเป็นสมาธิแล้วผลถูกตรงของการบริกรรมก็จะเกิดขึ้น

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 พ.ค. 2010, 23:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1.การสวดมนต์จะสวดอย่างไรให้ได้ผลตามที่ปรารถนาคะ ดิฉันเป็นคนสวดมนต์เร็วมาก การสวดมนต์มนต์เร็วจะทำให้ไม่ได้ผลใช่หรือไม่คะ

2.เวลานั่งสมาธิแล้วเกิดเวทนา เกิดจากที่เราทำกรรมไว้แล้วมีเจ้ากรรมนายเวรมาทวงใช่หรือไม่ แล้วบางคนที่สามารถนั่งสมาธิได้นานๆโดยไม่มีเวทนาเกิด หรือเกิดขึ้นน้อยมากแสดงว่าเค้าทำกรรมไว้น้อยเลยไม่มีเจ้ากรรมนายเวรมาทวงใช่หรือไม่

3.ดิฉันเป็นคนนั่งสมาธิแล้วไม่ค่อยมีเวทนาเกิดขึ้น บางครั้งก็นั่งได้นานเป็น ชั่วโมง, 2 ชั่วโมงก็ไม่รู้สึกทรมานอะไรแค่รู้สึกชาเล็กน้อย แต่บางครั้งที่นั่งแค่ 40 นาทีก็รู้สึกปวดทรมานมากเกือบทนไม่ได้ ทำไมถึงเป็นเช่นนี้คะ มันขึ้นอยู่กับอะไร (สถานที่, สภาพร่างกาย, การอธิษฐาน ณ ขณะนั้น, ฯลฯ)

4.นั่งสมาธิเสร็จดิฉันจะแผ่เมตตาและอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร แล้วเราจะรู้ได้ยังไงคะว่าเจ้ากรรมนายเวรเค้าได้รับ และเราสามารถแผ่เมตตาและอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรของคนอื่นได้หรือไม่คะ

ขอบพระคุณอาจารย์เป็นอย่างสูง

คำตอบ
(1) สวดมนต์เร็วหรือสวดมนต์ช้าอย่างไร ยังไม่สำคัญเท่ากับขณะสวดมนต์จิตระลึกทันคำสวดนั้นหรือไม่ คำว่าระลึกได้ทันหมายความว่า สวดมนต์ไม่ผิด สวดมนต์แล้วรู้ความหมายของบทสวดสวดมนต์แล้วเสร็จ จิตสดชื่นเบิกบานเป็นบุญ นั่นจึงนับว่าเป็นการสวดที่ได้อานิสงส์มาก

(2) ไม่ใช่เจ้ากรรมนายเวรมาตามทวงหนี้ แต่เป็นเรื่องของขันธมารคือร่างกายเป็นมารคอยขัดขวางไม่ให้บรรลุความดี

(3) สภาพสมดุลของร่างกยในการนั่งสมาธิแต่ละครั้งไม่เท่ากันและหรือมีเทวปุตตมารมาทดสอบกำลังใจ

(4) บุญเกิดจากการประพฤติบุญกิริยาวัตถุ 10 ผู้ใดประพฤติแล้วบุญจะถูกเก็บสั่งสมอยู่ในใจ ผู้มีบุญอยู่ในใจสามารถอุทิศบุญให้ผู้อื่นได้เจ้ากรรมนายเวรจะได้รับบุญที่อุทิศให้หรือไม่ ให้ดูที่หนี้เวรกรรมลดลงหรือหมดไป

ส่วนการอุทิศบุญให้กับเจ้ากรรมนายเวรของคนอื่น สามารถอุทิศให้ได้ แต่เขาจะเลิกจองเวรคนอื่นหรือไม่นั้นมันเป็นสิทธิ์ของเขาไม่มีใครสามารถไปบังคับเขาได้

ผู้ใดมีเมตตาอยู่ในใจ ผู้นั้นสามารถแผ่เมตตาให้กับเจ้ากรรมนายเวรของคนอื่นได้ เมื่อเขาได้รับเมตตาแล้วเขาจะเลิกจองเวรผู้อื่นหรือไม่นั้นมันเป็นสิทธิ์ของเขา

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 พ.ค. 2010, 23:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


การที่เราเรียนรู้วิชาต่างๆก็เหมือนการสั่งสมสัญญาในจิต (ความจำได้หมายรู้) เมื่อสัญญามีมาก จิตก็มีการปรุงแต่งมาก
ขอเรียนถามว่า ในขณะที่เราต้องศึกษาเล่าเรียนวิชาต่างๆในโลก เราควรทำอย่างไร หากต้องการชำระจิตใจให้บริสุทธิ์

ขออาจารย์ได้โปรดชี้แนะด้วยค่ะ
กราบขอบพระคุณอย่างสูง

คำตอบ
หากต้องการชำระจิตให้บริสุทธิ์ ต้องใช้สติสัมปชัญญะที่กล้าแข็ง เป็นเครื่องมือชำระจิต คนที่เรียนวิชาการทางโลกมามากเรียนมาสูง เมื่อมาพัฒนาจิตตนเองให้เข้าถึงเครื่องมือดังกล่าวต้องทำตัวเองให้เหมือนคนโง่ ครูบาอาจารย์ผู้มีประสบการณ์ผู้เป็นกัลยาณมิตรในทางธรรมแม้จะเรียนวิชาการทางโลกมาเล็กน้อย ชี้แนะให้ศิษย์ทำอย่างไรศิษย์ต้องทำตามคำชี้แนะให้ถูกต้องโดยไม่นำความเห็นของตนมาวิเคราะห์คำสอนคำชี้แนะของอาจารย์

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1521 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 36, 37, 38, 39, 40, 41, 42 ... 102  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร