วันเวลาปัจจุบัน 28 ส.ค. 2025, 01:31  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 1521 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 40, 41, 42, 43, 44, 45, 46 ... 102  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 27 พ.ค. 2010, 13:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1. ดิฉันแอบชอบเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งแต่เค้ามีแฟนแล้ว ดิฉันอยากทราบว่าการที่ดิฉันเพียงแต่คิดแต่ไม่ได้แสดงออก และไม่ได้มีการกระทำทางกาย วาจา แต่ดิฉันคิด ดิฉันจะเป็นบาปไหมคะ ดิฉันไม่เคยมีความคิดว่าจะแย่งของรักของคนอื่นมา ดิฉันกลัวว่าจะเป็นเศษกรรมติดไปในชาติหน้าคะ และถ้าความคิดที่ดิฉันคิดเป็นบาปจะทำอย่างไรดีคะ มันห้ามความคิดยากมากเลยคะ
2. คนที่แต่งงานมีคู่ชีวิตแล้วก็ไม่สามารถหลุดพ้นได้ใช่หรือไม่ เพราะยังมีกิจกรรมที่ต้องเกี่ยวข้องกับกามคุณอยู่ ใช่ไหมคะอาจารย์
3. การทานมังสวิรัติจะได้บุญไหมคะอาจารย์

ขอบคุณคะ

คำตอบ
(1) ความคิดเป็นมโนกรรม คิดแล้วทำให้ไม่สบายใจถือว่าเป็นบาป ผู้ใดพัฒนาจิตให้มีสติสัมปชัญญะได้แล้วความคิดดังกล่าวจึงจะดับไปได้

(2) ใช่ ยังไม่สามารถหลุดพ้นไปจากความทุกข์ได้

(3) รับประทานมังสวิรัติ แล้วมีกาย วาจา ใจ ดำเนินอยู่ในกุศลกรรมบถ 10 จึงจะถือว๋าได้บุญ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 27 พ.ค. 2010, 13:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ลูกรู้สึกไม่ชอบคนๆนึง หรือจนถึงขั้นเกลียดก็ว่าได้ค่ะ เพราะว่าเค้าไม่มีเหตุผล มีทิฐิ ยึดมั่นถือมั่นมากๆ แต่ว่าที่เค้าเป็นแบบนั้นอาจจะเพราะเหตุผลบางอย่างจากพื่นฐานครอบครัวเค้าเอง เค้าน่าสงสารมากๆ ลูกจะทำอย่างไรให้เค้า รู้สึกรักตัวเองมากขึ้นและมีใจเป็นอิสระ รักผู้อื่นอย่างเมตตา เค้าก็ศึกษาธรรมะบ้างแต่ลูกเห็นเค้ายังควบคุมสติได้ไม่ดีนัก เค้ายังมีความโกรธและอารมณ์รุนแรงอยู่มากค่ะ ถ้าเค้ามีโรคทางประสาทอ่อนๆ(คือเวลาอารมรณ์ดีก็คุยรู้เรื่อง แต่พอร้ายก็สติแตกทำร้ายร่างกายตัวเองเพื่อให้คนอื่นสนใจ)เราจะแนะเค้าได้ใหมคะคุณพ่อ ...

คุณพ่อคะ คนๆนึงที่เค้ามัวแต่นั่งคิดเรื่องที่เป็นปัญหาอยู่ในขณะนั้นซึ่งปัญหาไม่ใช่แค่ปัญหาเดี่ยวแต่ว่าเยอะแยะมากมายที่รอทางออกอยู่ เค้ามัวแต่นั่งคิดจะแก้ปัญหาแต่คิดหาทางลงมือทำไมได้สักที เพราะว่าเค้ามัวแต่นั่งคิดถึงผลกระทบที่จะตามมา บางปัญหาคิดหาทางออกได้แล้วแต่ว่าไม่สามารถลงมือทำให้มันบรรลุไปได้ พอไม่นานปัญหานั้นก็ต้องกลับมาหาเราให้เริ่มต้นคิดอีก ทำไมเค้าจึงลงมือแก้ปัญหาไม่ได้ค่ะ บางทีเราเห็นว่าเป็นปัญหาเล็กน้อย แต่ทำไมเค้ายังทำไม่ได้อีก คือลูกสงสารเค้า อยากให้เค้ามีสติและปัญหาแก้ปัญหาได้ ... ลูกอยากทราบค่ะ ว่าเรื่องบางเรื่องถ้าเราตัดสินใจทำไปแล้ว และมีผลกระทบกับคนอื่นซึ่งบางทีผลที่ออกมาแย่กว่าที่เราคิด อย่างนี้เราผิดไหมค่ะ หรือเราจะแก้ไขยังงัยคะ



คำตอบ
แนะนำได้แต่เขาจะเชื่อแล้วทำตามคำแนะนำหรือไม่เชื่อแล้วไม่ทำตามคำแนะนำนั่นเป็นสิทธิ์ของเขา ไม่มีใครสามารถเข้าไปก้าวล่วงได้ เว้นไว้แต่ว่าเขาจะเป็นทิฏฐิ (ความเห็นผิด) ด้วยตัวของเขาเอง

อนึ่งที่เขายังแก้ปัญหาไม่ได้เป็นเพราะปัญญาเห็นถูกยังไม่เกิดขึ้นกับเขา ผู้ใดคิดปรับแก้ไขคนอื่นเป็นความคิดเห็นถูกทางโลก แต่ผิดในทางธรรม แนะนำชี้ทางออกของปัญญาให้แล้ว หากเขาไม่ทำตามผู้รู้ทำได้เพียงปล่อยให้สัตว์โลกดำเนินไปตามแรงกรรม ที่เขาได้ทำไว้ก่อนแล้วด้วยตัวของเขาเอง

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 27 พ.ค. 2010, 13:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขณะที่หนูนอนหลับตา ประมาณสี่ทุ่มเศษ ยังได้ยินเสียงภายนอกที่มากระทบอยู่ ฉับพลันก็รู้สึกจิตรวมกันนิ่งอยู่ ก็นอนดูจิตไปเรื่อย ๆ ขณะนั้นยังรับสัมผัสจากเสียงภายนอกที่มากระทบได้ แล้วก็รู้สึกมีอะไรเข้ามาใกล้ ๆ ที่หน้า ตอนแรกนึกว่าลูกเข้ามาหา แต่ที่นอนไม่เคลื่อนไหว ยังนอนหลับตาดูจิตต่อไป รู้สึกว่าจิตน่าจะออกจากกายได้จึงพยายามออกไปจากร่าง แต่ออกไม่ได้ติดอยู่ที่ศรีษะ พยายามอยู่สองสามครั้งก็เลิก เพราะถ้าพยายามต่อจะปวดศรีษะเพราะรู้สึกติดอยู่ที่ศรีษะ จึงดูจิตเฉย ๆ สักพักจิตก็ค่อย ๆ กลับมาสู่ภาวะปกติเอง ลูกก็ไม่ได้เข้ามาหาด้วย นานมาแล้วเคยรู้สึกคล้าย ๆ แบบนี้ เกิดตอนกำลังนอนเหมือนกันตอนนั้นไม่แน่ใจว่าหลับหรือเปล่าแต่ขณะเกิดรู้สึกตัวดี มีอาการดังนี้ค่ะ คืออยู่ ๆ จิตก็รวมกันลึกลงไป ๆ เรื่อย ๆ เหมือนลงไปใต้น้ำแต่ไม่มีน้ำนะคะ มันดิ่งลงไปจนกลัวและตกใจ กลัวว่าถ้าลงต่อไปจะตาย ไม่แน่ใจว่ารู้สึกเหมือนคนตกจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำหรือเปล่า พอกลับสู่ภาวะปกติหัวใจยังเต้นแรงตึก ๆ อยู่เลย ขอเรียนถามอาจารย์ดังนี้ค่ะ

1. ที่รู้สึกเหมือนมีใครมาใกล้ ๆ จนหน้าสัมผัสได้ อาจารย์คิดว่าเป็นอะไรหรือกระแสจิตใครส่งมา เป็นไปได้หรือไม่คะ

2. สิ่งที่เกิดขึ้นเกิดจากสมอง หรือจากจิตเรา หรือจากผู้ที่มาทำให้รู้สึกคะ ปกติหนูจะนั่งสมาธิตอนกลางวันวันละ
ประมาณ 1 ชั่วโมง ไม่เคยเป็นแบบนี้เลย อาการเหล่านี้เกิดจากอะไรคะ
(อาการนี้เกิดเมื่อคืนพอเช้ามาก็เขียนมาเรีนยถามอาจารย์เลยค่ะ )

3. อาการที่เคยเป็นนานแล้วที่เล่าข้างต้น เป็นอาการของอะไร และเกิดจากอะไรคะ

กราบขอบพระคุณอย่างสูงค่ะ


คำตอบ
(1) เป็นไปได้ที่จิตไปรับสัมผัสเอาพลังงานอื่นมาปรุงเป็นอารมณ์ให้เป็นเช่นนั้น

(2) เรื่องนี้เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นกับจิต มิได้เกิดขึ้นที่สมอง

(3) เหมือนที่ได้ตอบไว้ในข้อ (1) แล้ว

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 27 พ.ค. 2010, 13:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กระผมได้มีโอกาสทำบุญกับพระอริยสงฆ์องค์หนึ่ง และระหว่างที่อยู่ในสถานที่นั้น ชั่วขณะหนึ่งจิตของผมได้คิดสิ่งที่เป็นอกุศลกับพระองค์นั้น ซึ่งกระผมไม่ได้อยากคิดแบบนั้นเลยจึงพยายามดึงจิตกลับมาไม่ให้คิดต่อและพยายามเจริญสติไม่ให้วอกแวก แต่ด้วยความที่กลัวต่อบาปมากและตกใจด้วยตอนนั้นจึงได้อุทานออกมาเบาๆ(ซึ่งคำนั้นเป็นถ้อยคำที่หยาบคาย) แต่ความหมายและคำที่อุทานนั้นเป็นการต่อว่าตนเองทั้งสิ้น ดังเรื่องที่เล่ามาข้างต้นนี้อยากเรียนถามท่านอาจารย์ดังนี้ครับ

1. กระผมรู้ว่าสิ่งที่เล่าไปข้างต้นนั้นกระผมบาปอย่างแน่นอน ถึงแม้จะเพียงแค่คิดก็ตามดังนั้นจะมีวิธีการแก้ไขอย่างไรได้บ้างครับ ให้บาปลดน้อยลงหรือหมดไป
2. การที่กระผมกล่าวอุทานไปแบบนั้นถือว่าเป็นการปรามาสพระอริยสงฆ์ด้วยวาจาหรือไม่ ดังตัวอย่างที่ท่านอาจารย์เคยเล่าเรื่อง วัสสการพราหมณ์ ที่พูดลบหลู่พระมหากัจจายนะองค์อรหันต์
3. การขออโหสิกรรมต่อบุคคลอื่นที่เราได้ล่วงเกินไปด้วยกาย วาจา ใจ ซึ่งในกรณีที่บุคคลนั้นๆไม่ได้มีชีวิตอยู่แล้วเราจะสามารถทำได้อย่างไรบ้างครับ
4. การอโหสิกรรมจำเป็นหรือไม่ที่บุคคลนั้นต้องกล่าววาจาอโหสิกรรมให้เรา

ขอบพระคุณอย่างสูงในความเมตตาครับ

คำตอบ
(1) ต้องไปขอขมากรรมต่อพระอริยสงฆ์องค์ที่ผู้ถามปัญหาไปคิดอกุศลกับท่าน

(2) ผู้ถามปัญหากล่าวคำอุทานที่ไม่ดีออกมา ด้วยมีเจตนาต่อว่าตนเอง มิได้ถือว่าเป็นการกล่าววาจาปรามาสต่อพระอรหันต์

(3) ประพฤติตนให้เป็นผู้มีบุญ (ดูบุญกิริยาวัตถุ 10) แล้วอุทิศบุญให้เจ้ากรรมนายเวร พร้อมทั้งขออโหสิกรรมต่อสรรพสัตว์ที่ผู้ถามปัญหาเคยไปกระทำไม่ต่อเขา ให้เขาเหล่านั้นยกโทษให้

(4) ขึ้นอยู่กับเจ้ากรรมนายเวรว่าจะยกโทษให้หรือไม่แต่การกล่าวคำขออโหสิกรรมเป็นธรรมของผู้เจริญ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 27 พ.ค. 2010, 13:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1. ได้ยินมาว่าสมัยปัจจุบันนี้มีพระปัจเจกพุทธเจ้าอยู่ด้วย แต่ที่เคยทราบมาว่าพระปัจเจกพุทธเจ้าจะเกิดมีเฉพาะในช่วงสมัยที่โลกเว้นว่างจากศาสนา ไม่มีพระพุทธเจ้ามาประสูติ แล้วทำไมปัจจุบันถึงมีได้ล่ะค่ะ ทั้งๆ ที่ก็ยังอยู่ในช่วงศาสนาของพระพุทธเจ้าของเรา ข้อมูลความรู้เกี่ยวกับพระปัจเจกฯ ค่อนข้างจะหายากค่ะ

2. อยากมีโอกาสได้ทำบุญกับพระปัจเจกฯ สักครั้งในชีวิตนี้จะมีทางไหนที่จะมีโอกาสได้ทำบ้างไหมคะ

3.ท่านอาจารย์เคยตอบหลายคำถามเกี่ยวกับการบรรลุธรรมในชาตินี้ของพวกเพศที่ 3 ซึ่งคำตอบคือ "ไม่สามารถเป็นได้ในชาติปัจจุบัน" น่าเศร้านะคะ แล้วถ้าในเรื่องการพัฒนาทางจิตจากการปฏิบัติสมถะ หรือวิปัสสนาแค่ในชั้นโลกียะละค่ะ จะเป็นไปได้ไหม จะก้าวหน้าได้หรือเปล่า

ขอบคุณท่านอาจารย์ที่สละเวลามาช่วยตอบคำถามค่ะ ขออนุโมทนาในบุญและขอให้บุญของดิฉันที่อาจจะน้อยนิดนี้ช่วยเป็นแรงหนุนให้อาจารย์สำเร็จทุกอย่างที่ปรารถนาได้โดยง่ายมีสุขภาพแข็งแรงค่ะ ขอบคุณค่ะ

คำตอบ
(1) ฟังด้วยหู ยังไม่แจ่มแจ้งเท่ากับสัมผัสด้วยตา ฉะนั้นพระพุทธะจึงตรัสสอนชาวกาลามะ ไม่ให้เชื่องมงายไร้เหตุผลตามหลักกาลามสูตร 10 ข้อ หากผู้ถามปัญหาปรารถนาสัมผัสได้ด้วยตา ต้องสร้างเหตุให้ถูกตรง ด้วยการพัฒนาจิตให้มีคุณธรรมสูงจนถึงระดับที่พลังบุญพลังบารมี ผลักดันตัวเองให้ไปพบพระปัจเจกพุทธเจ้าได้แล้ว หลักกาลามสูตรที่พระพุทธตรัสสอนไว้จึงจะเป็นจริง

(2) ความอยากคือตัณหา พระปัจเจกพุทธเจ้าเป็นผู้มีจิตเป็นอิสระจากตัณหา ดังนั้นผู้ถามปัญหาพัฒนาจิตวิญญาณตนเองให้หมดจากตัณหาได้เมื่อใด โอกาสได้ทำบุญกับพระปัจเจกพุทธเจ้าจึงจะเกิดขึ้นได้

(3) การปฏิบัติธรรมของเพศที่สาม ไม่สามารถบรรลุธรรมนั้นหมายความว่า ไม่สามารถบรรลุธรรมขั้นสูงที่ทำให้เข้าถึงโลกุตตรสมบัติได้ ตรงกันข้าม การปฏิบัติธรมของเพศที่สามสามารถเข้าถึงได้เพียงโลกิยสมบัติเท่านั้น

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 27 พ.ค. 2010, 13:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1. การรักษาศีล 8 ในวันธรรมดา กับการรักษาศีลอุโบสถวันพระ กุศลจะแตกต่างกันไหมคะ

2. ลูกชายของพี่สาวดื้อและซนมาก เป็นไปได้ไหมคะว่าเป็นลูกที่ขอมาจากพระ พอดีพี่สาวดิฉันอยากมีลูกผู้ชายเลยไปขอกับหลวงพ่อโสธร ปรากฎว่าเลี้ยงยากมาก ลูกพระจะเลี้ยงอย่างไรให้เลี้ยงง่ายคะ

3. คนที่มีสามี ภรรยา แล้วถ้าปรารถนาจะไม่เกิดอีกในชาติต่อไป แปลว่าต้องตัดกิเลสและแยกกันอยู่หรือเปล่าคะ

ขอบพระคุณอาจารย์เป็นอย่างสูงคะ

คำตอบ
(1) วันธรรมดามีจำนวนวันมากกว่าวันพระ ผู้ใดรักษาศีล 8 ในวันธรรมดาได้ทุกวัน จะได้กุศลมากกว่ารักษาศีล 8 เฉพาะในวันพระ ซึ่งมีจำนวนวันน้อยกว่า

(2) เป็นไปได้ จะเลี้ยงลูกประเภทนี้ไม่ให้ดื้อแม่ แม่ต้องพัฒนาจิตตัวเองให้มีคุณธรรมสูงเท่าเขาหรือมากกว่าเขาแล้วเขาจะไม่ดื้อ

(3) คำว่าไม่เกิดอีกในชาติต่อไป หากหมายถึงไม่เกิดในภพใด ๆ ในวัฏสงสาร ต้องพัฒนาจิตตนเองจนละสังโยชน์ทั้ง 10 ได้ แล้วโอกาสไม่กลับมาเกิดอีกจึงเป็นได้ หากยังไม่ทิ้งขันธ์ลาโลก จำเป็นต้องแยกกันอยู่เพราะเข้ากันไม่ได้ด้วยธรรม ดูพระนางเขมามเหสีรองของพระเจ้าพิมพิสารเป็นตัวอย่าง

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 27 พ.ค. 2010, 13:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1 ดิฉันอธิษฐานจิตว่าถ้าดิฉันได้โบนัส ดิฉันจะนำเงินมาให้อดีตแฟน เพื่อใช้ในการศึกษาต่อเมืองนอก ปรากฎว่าดิฉันได้โบนัสจริงๆทั้งๆที่เพิ่งทำงานมาได้ 4 เดือน ดิฉันจึงนำเงินโบนัสที่ได้นี้ไปให้พ่อและแม่อดีตแฟน แต่ปรากฎว่าท่านทั้ง 2 ไม่รับเงินดังกล่าว ดิฉันไม่สบายใจมาก เพราะเหมือนดิฉันผิดคำสัญญา ที่เคยอธิษฐานไว้ ดิฉันควรทำอย่างไรดีคะ

2 ดิฉันเคยเอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้อนุญาตไป แต่ตอนหลังกลัวบาปและละอายใจเลยคิดจะนำไปคืน ถ้าดิฉันคืนแล้ว ดิฉันยังมีบาปติดตัวอยู่หรือไม่คะอาจารย์

3 การที่เราได้งานทำแล้วคิดจะลาออกไปทำงานที่ใหม่ ที่ได้เงินเดือนเยอะกว่า จะถือว่าเราเนรคุณเจ้านายเก่าไหมคะ เพราะเค้ามีบุญคุณที่รับเราเค้าทำงาน
ชอบพระคุณอาจารย์เป็นอย่างสูงคะ

คำตอบ
(1) เหตุด้วยไม่รักษาสัจจะจึงให้ผิดคน อธิษฐานให้อดีตแฟนแต่กลับไปให้พ่อแม่ของเขาจึงไม่ประสบผล ลองทำดูใหม่ด้วยการให้ที่ถูกตรงกับคำอธิษฐาน ถ้าเหตุปัจจัยลงตัว คำอธิษฐานมีโอกาสเป็นจริงได้

(2) ถ้าเจ้าของเขายกโทษให้ คุณก็ไม่มีบาปติดตัว

(3) ควรบอกระยะเวลาที่คุณจะทำงานให้กับเจ้านายว่าจะอยู่ทำงานให้เขานานเท่าไร พอครบกำหนดคุณก็ลาออกไปหางานทำใหม่ทำอย่างนี้ไม่ถือว่าเป็นการเนรคุณ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 27 พ.ค. 2010, 13:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1 เขาเข้าใจผิดหรือเปล่าว ว่าแม้หญิงนั้นจะเต็มใจ พ่อแม่เขาจะเต็มใจ และดิฉันไม่รู้เรื่องดังกล่าว ไม่ บาป ตกลงจริงๆเป็นยังไงคะ

2.ตกลงไม่มีวันรู้ได้ใช่ไหมคะ ว่าทุกข์ที่ดิฉันได้นี้มาจากกรรมใครเริ่มก่อน อาจะเป็นเขามาเริ่มก่อกรรมกับดิฉันก่อนได้หรือไม่ เพราะไม่เชื่อว่าตนเองจะสามารถทำผิดศีลข้อสามได้ในอดีตชาติ

3.เขาคงคิดว่าหากดิฉันทราบ เข้า ก็เป็นบาป ไหนๆเป็นบาปแล้วก็กระทำต่อไป บาปคงไม่เพิ่มไปกว่านี้แล้ว คิดอย่างนี้ถูกหรือเปล่าคะ หากมีอีกคน ถึงจะมีบาปมากขึ้น อะไรทำนองนี้คะ

4 เขาเองก็หันทาทางบุญ เหตุเพราะฟังเทปอาจารย์ ปัจจุบันก็ยังฟังอยู่ เคยพูดกับเขาว่า ทำผิดศีลข้อสาม อย่างนี้ แล้วจะสวดมนต์สมาธิต่อไปทำไม ก็ทำนองต่อว่า แต่ก็รู้คะว่าพุทธศาสนาเป็นของดีของจริงแน่แท้คะ

กราบขอบพระคุณคะ

คำตอบ
(1) ถ้าเจ้าของ (ภรรยา) ไม่อนุญาต ถือว่าการกระทำเช่นนั้นเป็นบาปด้วยการผิดศีลข้อ 3

(2) ผู้ถามปัญหาประสงค์จะรู้สาเหตุที่ทำให้เกิดเรื่องเช่นนี้ ต้องพัฒนาจิตตนเองจนเข้าฌานให้ได้ แล้วโอกาสรู้ต้นเหตุด้วยตนเองจึงเป็นไปได้

(3) คิดผิดปัญหาทุกข์ใจจึงเกิด เมื่อใดความเห็นถูกเกิดขึ้นกับผู้ถามปัญหา ความคิดฟุ้งซ่านเช่นนี้จะไม่เกิดขึ้น

(4) รู้ว่าพุทธศาสนาเป็นของดีของจริง แต่ผู้ถามปัญหาไม่สามารถเอาธรรมะในพุทธศาสนา มาประดับไว้ในใจของตนเองได้การบ่นเพ้อรำพันจึงได้เกิดขึ้น

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


แก้ไขล่าสุดโดย ธรรมบุตร เมื่อ 27 พ.ค. 2010, 13:31, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสต์ เมื่อ: 27 พ.ค. 2010, 13:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1. การปิดทองลูกนิมิต ที่ทางวัดจัดไว้ไห้ญาติโยมได้ร่วมปิดทองก่อนที่จะนำไปฝัง จะเป็นเหตุปัจจัยใดๆ และมีอานิสงค์อะไรบ้างครับ เทียบเท่ากับการปิดทององค์พระพุทธรูปหรือไม่ครับ

2. กราบขอคำแนะนำจากอาจารย์ช่วยแนะนำครูบาอาจารย์ที่ผมสามารถเรียนรู้การฝึกวิปัสสนากรรมฐานได้อย่างดีและเกิดผลสูงสุดครับ (ผมเข้าใจว่าครูบาอาจารย์แต่ละท่านจะมีแนวทางการสอนที่เหมาะกับบางท่านแต่อาจจะไม่เหมาะกับบางท่าน เนื่องจากพื้นฐานจิตใจของผู้เรียนต่างกัน และกรรมของผู้เรียนที่เคยทำมาร่วมกันกับผู้สอนต่างกัน ผมเข้าใจถูกไหมครับ)

3. การทำบุญใหญ่ นอกจากการตักบาตรพระที่ออกจากนิโรทกรรม แล้วยังมีอย่างอื่นอีกไหมครับ (พึ่งไปตักบาตรท่านครูบาที่วัดศรีดอนมูลมาครับ และอยากจะทำบุญใหญ่อื่นๆอีกครับ)

4. การเลี้ยงพระ 7 วัน ที่เป็นมหาทานนั้น สามารถทำโดยการตักบาตร 7 วันต่อกัน จะได้อานิสงค์เดียวกันไหมครับ ถ้าได้ต้องตักบาตรพระกี่รูปครับ ถ้าไม่ได้การเลี้ยงพระ 7 วันนั้นควรทำโดยวิธีไหนครับ

ขอกราบขอบพระคุณอย่างสูงครับ

คำตอบ
(1) ลูกนิมิตใช้สำหรับฝังให้เป็นเครื่องหมายบ่งเขตของโบสถ์ซึ่งเป็นสถานที่สำหรับพระสงฆ์ใช้ประชุมทำสังฆกรรมต่าง ๆ อาทิใช้ตรวจสอบความบริสุทธิ์ทางวินัย (สวดปาฏิโมกข์) ใช้สำหรับบวชฆราวาสให้เป็นเณร บวชเณรให้เป็นพระสงฆ์ใช้สำหรับวัตรปฏิบัติ (สวดมนต์เช้า-สวดมนต์เย็น) ของหมู่สงฆ์ฯลฯ

การปิดทองลูกนิมิต เป็นเพียงพิธีกรรมที่ทำให้เกิดเป็นความสมบูรณ์ของสถานที่ดังกล่าว อานิสงส์ที่จะเกิดขึ้นกับผู้ร่วมกระทำกรรมเป็นมหากุสลที่นำสู่ความมีใจผูกอยู่กับพุทธศาสนา นำสู่การได้สมบัติของสวรรค์นำสู่ความสำเร็จในสิ่งปรารถนาที่ชอบธรรม ฯลฯ และมีอานิสงส์มากกว่าปิดทองพระพุทธรูปซึ่งเป็นเพียงสวรรค์สมบัติ

(2) การปฏิบัติธรรมและเข้าถึงธรรมได้ มิได้ขึ้นอยู่กับครูบาอาจารย์เพียงส่วนเดียว แต่ยังขึ้นอยู่กับบุญบารมีของตัวเองที่ทำสั่งสมมาแต่อดีตชาติ ร่วมกับศีลสัจจะและความเพียรในการสร้างบุญบารมีในชาติปัจจุบัน

ฉะนั้นครูบาอาจารย์เป็นเพียงปัจจัยหนึ่งเท่านั้นเอง ที่จะทำให้ผู้ถามปัญหาประสบความสำเร็จในการปฏิบัติธรรม ผู้ตอบปัญหาแนะนำให้ไปฝากตัวเป็นศิษย์กับพระอาจารย์มานพ อุปสโม สำนักปฏิบัติธรรมกิ่งอำเภอหางแมว จังหวัดจันทบุรี

(3) ทำบุญกับหมู่สงฆ์ที่เป็นพระอริยบุคคล เป็นเจ้าภาพหรือร่วมเป็นเจ้าภาพเผยแผ่ธรรม เป็นเจ้าภาพฯปฏิบัติธรรม เป็นเจ้าภาพฯสร้างสถานปฏิบัติธรรม เป็นเจ้าภาพสร้างทางเดินจงกรม ฯลฯ เหล่านี้เป็นบุญใหญ่

(4) การเลี้ยงพระ 7 วัน หรือตักบาตรหมู่พระสงฆ์ 7 วันจะได้อานิสงส์เท่ากันหรือไม่ขึ้นอยู่กับ คุณธรรมของพระสงฆ์ที่ร่วมในการเลี้ยงพระหรือพระสงฆ์ที่มารับบิณฑบาตหากเป็นพระอริยสงฆ์จะได้บุญมากกว่าสมมุติสงฆ์ และยังขึ้นอยู่กับความตั้งใจในการทำบุญตั้งใจมากจะได้บุญมาก และยังขึ้นอยู่กับความอิ่มใจหลังจากทำบุญแล้วอิ่มใจมากได้บุญมากกว่าฯลฯ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 27 พ.ค. 2010, 13:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เดิมทีน้องคนนี้มีอาชีพขายประกันชีวิตปัจจุบันเลิกแล้วเพราะเป็นอาชีพที่สร้างวิบากกรรมตามที่เธอเข้าใจ กระผมเองก็เป็นตัวแทนประกันชีวิตมานานหลายปี แต่โดยความรู้สึกลึกๆก็อยากจะหาอาชีพอื่นทำและได้พยายามหลายครั้งแต่ก็เหมือนกับว่าถูกดึงกลับมาวนเวียนอยู่ในอาชีพนี้ด้วยต้องรับผิดชอบลูกค้าเก่า และรายได้จากการไปทำงานใหม่ไม่สามารถจุนเจือครอบครัวได้ แต่พอมาฟังความคิดเห็นของน้องคนนี้แล้วกระผมเองไม่อยากสร้างวิบากกรรมกับอาชีพที่ต้องทำเพื่อเลี้ยงครอบครัวครับ ตอนนี้ก็เลยทุกข์ใจจะมุ่งมั่นในอาชีพก็ตะขิดตะขวงใจ ถ้าไม่ทุ่มเทรายได้ก็ไม่พอเลี้ยงครอบครัว

อยากเรียนถามท่านอาจารย์ว่า การขายประกันชีวิต เป็นงานที่สร้างวิบากกรรมอย่างที่น้องเขาพูดให้ฟังหรือไม่ ถ้าใช่แต่ยังจำเป็นต้องทำจะทำอย่างไรถึงจะหลุดพ้นได้เพราะไม่มีเงินสำรองพอจะหยุดทำงานนี้แล้วไปศึกษาเริ่มงานใหม่ได้ทันที

กระผมอาจจะถามสับสนไปบ้าง เพราะตอนนี้ก็รู้สึกเช่นนั้น กราบรบกวนท่านอารย์ช่วยชี้แนะด้วยครับ


คำตอบ
จริงอย่าที่น้องพูดให้คุณฟัง ถ้ายังมีความาจำเป็นต้องทำงานประเภทนี้อยู่ควรไปทำบุญใหญ่ (ปฏิบัติธรรม) อยู่เนืองนิตย์เพื่อให้พลังบุญถูกเก็บสั่งสมอยู่ในจิตวิญญาณมากกว่าพลังบาป แล้วชีวิตจะยังคงดำเนินต่อไปได้ ต้องอุทิศบุญให้กับเจ้ากรรมนายเวรอยู่เสมอ เพื่อให้บาปตามส่งผลไม่ทัน

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 27 พ.ค. 2010, 13:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เนื่องจากคุณยายของดิฉันมีความชราท่านอายุ 80 ปี ตอนนี้เป็นโรคพากินสันซึ่งเป็นโรคที่เป็นอาการทางระบบประสาท ในช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมาคุณยายมีอาการพูดคนเดียวในช่วงเวลาที่ไม่ได้หลับ ซึ่งดิฉันไม่แน่ใจ ว่าเป็นอาการของโรคทางสมองใช่หรือไม่ เพราะโดยปกติคุณยายเวลาหลับจะมีอาการละเมอพูคคนเดียวเป็นเรื่องเป็นราวอยู่แล้ว และเล่าว่าได้พูคุยกับคนที่เสียชีวิตไปแล้วบ้าง ทำให้คนรอบข้างที่อยู่ด้วยมีความกลัว แต่อย่างไรก็ตาม ดิฉันเชื่อเนื่องจาก คิดว่าคุณยายเป็นคนที่หมั่น ทำบุญ ฟังธรรมะ สวดมนต์อยู่อย่างสม่ำเสมอ และยังเป็นคนมีสัมมาฐิฑิอีกด้วย

เรียนถามท่านอาจารย์ค่ะ

1. จริงหรือไม่สิ่งที่คุณยายพูดคุยด้วยมีอยู่จริง

2. ถ้ามีอยู่จริงจะทำอย่างไรให้คุณยายมองไม่เห็นสิ่งเหล่านั้นหรือวิธีการใดที่จะทำให้ทุกอย่างเป็นปกติ



คำตอบ
(1) จริง

(2) เป็นการไม่ฉลาดที่จะไปปิดบังหรือบิดเบือนความจริงของคุณยายที่มีตาทิพย์ ให้ผิดไปจากความปกติของธรรมชาติ แต่เป็นการฉลาดที่ควรร่วมมือกับคุณยายทำบุญ แล้วอุทิศบุญกุศลให้กับรูปนามที่อยู่ต่างมิติ แล้วการเป็นเพื่อนกับอมนุษย์ในต่างภพย่อมเกิดขึ้นได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 27 พ.ค. 2010, 13:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1. ผมมักจะมีปัญหา
- ตื่นเต้นง่าย
- มักกังวลเกินเหตุ
- ขาดความมั่นใจในตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการใช้ชีวิตและการทำงาน

ท่านอาจารย์ครับ เหตุของปัจจัยเหล่านี้มาจากอะไรครับ? ผมต้องการขจัดสิ่งเหล่านี้ออกไปจากดวงจิต ผมเคยกังวลเกินเหตุ และได้ตั้งสมาธิ และพิจารณาตามดูเห็นมันดับไปกับตา แล้วก็พบว่า ปัญหานั้นมันไม่กลับมาอีก ก็พอจะเห็นทางสว่างรำไรว่าเราจะสามารถแก้ปัญหากังวลเกินเหตุได้

แต่การตื่นเต้นง่าย หากมีคนมาเร่งให้ทำงาน จะรนรานจิตใจปั่นป่วน และขาดความมั่นใจไปโดยปริยาย ขอความกรุณาท่านอาจารย์ โปรดชี้แนะทางสว่างด้วยครับ

2.ท่านอาจารย์ครับ ผมทำงานกับคนที่มีปัญญาทางโลกสูงมาก ความจำความคิดความอ่านแบบโลกๆ เฉียบแหลม มองทะลุปรุโปร่ง ตัวผมเองก็พยายามที่จะไล่ตามคนเหล่านั้น เพราะต้องร่วมงานกับเขา วิธีการแบบใด จึงจะเป็นการพัฒนาความจำได้ในระยะสั้นครับ?

3. ท่านอาจารย์ครับ ผมมีข้อสงสัยในเรื่องศีลข้อสาม ที่กล่าวถึงการผิดประเวณีกับบุคคลต้องห้าม เช่น คนที่อยู่ในการปกครองของพ่อแม่ คือเป็นผู้ที่มีเจ้าของในสังคมที่ความสัมพันธ์ของพ่อแม่ลูกไม่สนิทกัน เช่นสังคมตะวันตก หนุ่มสาวบางคนก็อยู่กินกัน โดยที่ไม่บอกกล่าวพ่อแม่ด้วยซ้ำ อย่างนี้ การกระทำแบบนี้ ถือว่าเป็นการละเมิดศีลข้อสามด้วยหรือเปล่าครับ ท่าน?

ขอความกรุณาท่านอาจารย์ ด้วยครับ และหากได้เคยล่วงเกินท่านอาจารย์ด้วย กายวาจาใจ ขอขมากราบแทบเท้าอาจารย์ครับ

คำตอบ
(1) ตื่นเต้นง่ายเป็นเพราะกำลังของจิตอ่อน กังวลเกินเหตุและขาดความมั่นใจในชีวิตและการทำงาน เหตุเป็นเพราะไม่รู้จริงในชีวิตและงาน ฉะนั้นวิธีแก้ปัญหาที่ถูกตรงคือนำตัวเองไปพัฒนาจิตเพื่อให้มีกำลังของสติเพิ่ม และพัฒนาจิตเพื่อให้เกิดปัญญาเห็นถูกตามธรรมแล้วปัญหาจะหมดไป

(2) อยากให้มีปัญญาทางโลกสูงต้องแสวงหาความรู้ทางโลกให้มากด้วยการเข้าร่วมประชุม อบรม สัมมนา ศึกษาอยู่บ่อย ๆ เพื่อให้เกิดเป็นความรู้ความสามารถสูงเท่าเขาหรือสูงกว่าเขาแล้วจะร่วมทำงานได้อย่างไม่มีปัญหา

อนึ่งประสงค์จะพัฒนาความจำให้มีศักยภาพเพิ่มมากขึ้นในระยะเวลาอันสั้น ต้องเปลี่ยนความถี่คลื่นสมองด้วยการพัฒนาจิตให้ตั้งมั่นเป็นสมาธิได้เมื่อใดแล้ว ความจำจะเพิ่มได้เป็นอัตโนมัติ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 27 พ.ค. 2010, 13:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หนูได้ไปดูดวงกับอาจารย์ท่านหนึ่งเพื่อจะสอบถามเรื่องฤกษ์แต่งงานกับแฟน ซึ่งเราได้พูดกันว่าจะแต่งปีนี้ เขาเตรียมสินสอดและเราได้เตรียมของชำร่วยไว้แล้ว เขาบอกพ่อแม่เขาแล้วแต่ยังไม่ได้ให้ผู้ใหญ่มาขอเท่านั้น อาจารย์ท่านนั้นได้หลับตาสักครู่แล้วจะบอกว่าหนูแต่งงานไม่ได้ เพราะหนูโดนสาบแช่งและมีกรรมที่ทำไว้จากชาติที่แล้วที่หนูเกิดเป็นชายแล้วขณะเข้าพิธีบวชมีผู้หญิงอุ้มท้องมาร้องไห้ก็เลยหนีบวช ทำให้บรรพบุรุษเสียใจแล้วหนูก็อายุไม่ยืนนัก เมื่อตายไปก็ถูกทำโทษให้ไปเฝ้าบันไดหอระฆังในวัดแล้วเหลืออีก ๒ ปีจะได้ไปเกิดก็หนีเขามาเกิดกับผู้หญิงคนที่เราหนีไปอยู่กับเขา (ซึ่งพอดูดวงของน้องสาวหนูก็บอกว่าคือน้องคนนี้ที่เกิดห่างกัน ๑ ปีนั่นเอง) หากหนูแต่งไปสุขภาพจะไม่แข็งแรง จะป่วยบ่อย ส่วนน้องของหนูก็ไม่มีดวงเรื่องนี้เพราะถูกแช่งไว้เช่นกัน ส่วนแฟนหนูนั้น (ไม่ได้มาด้วยตัวเอง) หากแต่งงานธุรกิจจะไม่ดี ไม่ก็ผู้หญิงสวมเขาให้เนื่องจากเขาเคยทำกับผู้หญิงไว้มาก ไม่ควรแต่งงานเช่นกัน แต่หนูและน้องก็ได้รับคำแนะนำให้ไปถือศีล ไปปฏิบัติกรรมฐานบ่อยๆ อย่างน้อยสัก ๓ วัน (ซึ่งหนูก็พยายามปฏิบัติมาได้ประมาณปีเศษๆ ก่อนนอนในห้องนอนและก็ไปปฏิบัติธรรมที่วัดในวันศุกร์เสาร์อาทิตย์ ๒ ครั้ง)

หนูจึงขออนุญาตรบกวนถามท่านอาจารย์ดังนี้ค่ะ
๑) หนูควรจะเชื่อสิ่งที่ได้ฟังมาและยกเลิกการแต่งงานเพื่อหลีกเลี่ยงสิ่งร้ายๆ หรือไม่คะ (หนูไม่ทราบว่าจะบอกแฟนอย่างไรเนื่องจากเขาไม่เชื่อเรื่องดวงเท่าไรและเขาก็เป็นคนดีมีศีลธรรมในจุดหนึ่งเว้นบางเรื่องคือโมโหง่าย ปากร้ายและมีความคิดเข้าข้างตัวเองเป็นใหญ่ค่ะ)

๒) หากหนูรับเป็นเจ้าภาพบวชพระแล้วอุทิศให้บรรพบุรุษและพยายามปฏิบัติธรรมบ่อยๆ แล้วหนูสามารถเอาชนะคำทำนายนี้ได้ไหมคะ

๓) ขอคำแนะนำจากผู้รู้เช่นอาจารย์ว่าหนูควรจัดการกับชีวิตเช่นไรดี เนื่องจากช่วงหลังทำงานกลับบ้านดึก ทำให้ไม่มีความเพียรที่จะเดินจงกรมนั่งสมาธิทุกวันอย่างเคย (บางทีก็นั่งสมาธิอย่างเดียว) และพักหลังจิตก็ไม่ค่อยสงบ คิดนู่นนี่ฟุ้งซ่านมากค่ะ

สุดท้ายนี้ต้องขอบพระคุณท่านอาจารย์มากค่ะสำหรับคำแนะนำที่มีประโยชน์
ขอกราบท่านอาจารย์ด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ

คำตอบ
(1) จะเชื่อหรือไม่เชื่อคำพูดของหมอดูเป็นเรื่องของผู้ถามปัญหา ในพุทธศาสนามิได้สอนให้เชื่อคำพูดของผู้อื่น (ดูกาลามสูตร) แต่สอนให้เชื่อเรื่องกฎแห่งกรรม สอนให้ประพฤติตนให้เป็นผู้มีศีลมีธรรมทำไมผู้ถามปัญหาไม่ประพฤตตนให้มีศีล มีธรรม ประพฤติตนให้เป็นผู้มีดวงดีหรืออยู่เหนือดวงล่ะ แล้วสิ่งต่าง ๆ ที่หมอดูพยากรณ์ไว้จะไม่เป็นจริงตามที่เขาพูด

(2) คำตอบเรื่องนี้มีอยู่แล้วในหนังสือ “ วิธีอยู่เหนือดวง ” ที่ชมรมกัลยาณธรรมได้จัดพิมพ์ไว้ ควรไปหามาอ่านดู แล้วจะรู้วิธีบริหารชีวิตตนเองได้อย่างถูกต้อง

(3) แบ่งเวลาในรอบวันให้เหมาะกับสุขภาพของตน ว่าจะอุทิศเวลาให้กับงานภายนอกที่ทำให้กับสังคม เวลาที่อุทิศให้กับงานภายในคือบริหารจัดการดูแลกายใจตัวเองนานเท่าไรและเวลาที่อุทิศให้กับการพักผ่อนหลับนอนนานเท่าไร หากงานใหญ่ทั้งสามนี้มีเวลาเหมาะสมกับสุขภาพร่างกายแล้ว ความสำเร็จในทางโลก ความสำเร็จในทางธรรมความสำเร็จของชีวิตย่อมเกิดขึ้นได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 27 พ.ค. 2010, 13:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กระผมสงสัยถึงคำว่า วิกลจริต, จิต และ สติ ครับ

ผมได้อ่านเจอมาว่าบุคคลที่วิกลจริตในทางพุทธนั้น เนื่องด้วยจิตของบุคคลนั้นขาดสติ
มากกว่าบุคคลปกติทั่วไปจนทำให้บุคคลนั้นวิกลจริต

ปํญหาของผมคือว่า ทางวิทยาศาสตร์สามารถทำให้บุคคลวิกลจริตกลับมาเป็นปกติได้
หรือ ทำให้บุคคลปกติเป็นวิกลจริต โดยใช้ยาบางตัว ผมจึงสงสัยว่า

1. สตินี่เราสามารถเพิ่มหรือลดจากจิตของเราด้วยสารเคมีได้หรือไม่ครับ
2. จากข้อ 1 (ถ้า ไม่ได้) เราควรจะอธิบายเรื่องยาสามารถทำให้บุคคลวิกลจริตกลับ
มาเป็นปกติได้ หรือ ทำให้บุคคลปกติเป็นวิกลจริต ว่าอย่างไรดีครับ
3. กรรมทางต่างๆที่บุคคลกระทำตอนที่เค้าวิกลจริต เค้าต้องรับผลกรรมหรือไม่ครับ

ขอบพระคุณท่านอาจารย์อย่างสูงครับ

คำตอบ
(1) ได้ เพราะสารเคมีเป็นสิ่งกระทบภายนอกเมื่อนำเข้าสู่ร่างกายแล้ว พลังงานเคมีส่งผลกระทบพลังงานจิตที่อาศัยอยู่ในร่างกายได้ จิตมีหน้าที่คิด นึก เพียงแต่อยู่ในห้องปรับอากาศที่มีอุณหภูมิต่ำ พลังงานของมวลอากาศส่งผลกระทบถึงพลังงานร่างกายและพลังงานจิต ทำให้รู้สึกหนาว ซึ่งเป็นอาการของจิตทำหน้าที่ได้ถูกตรงความรู้ทางวิทยาศาสตร์ รู้ไม่จริงว่า อาการหนาวเกิดขึ้นที่ร่างกายซึ่งเป็นความเห็นถูกที่มีความรู้ระดับนั้น แต่เป็นการเห็นผิดของผู้ที่เข้าถึงความรู้สูงสุด (ภาวนามยปัญญา)

(2) ในข้อ (1)ตอบแล้วว่าได้ ฉะนั้นข้อ (2) จึงไม่ต้องตอบ

(3) บุคคลปกติ สามารถทำกรรมได้สามทาง คือทำกรรมทางกาย ทำกรรมทางวาจา ทำกรรมทางใจ บุคคลที่วิกลจริตคือบุคคลที่มีกำลังสติอ่อน รับเอาสิ่งกระทบไม่ดีเข้าปรุงเป็นอารมณ์ไม่ดี ผิดเพี้ยนไปจากอารมณ์ของคนปกติ เมื่อจิตสั่งร่างกายให้ทำตามอารมณ์ที่ผิดเพี้ยนแล้วแสดงออกเป็นพฤติกรมที่ผิดเพี้ยน ผลของพฤติกรรมที่ผิดเพี้ยนจะถูกเก็บสั่งสมไว้ในดวงจิต เมื่อใดที่กรรให้ผลเป็นวิบากจะเป็นอกุศลวิบากซึ่งผู้ทำกรรมต้องเป็นผู้รับผลกรรมที่ผิดเพี้ยน (อกุศลวิบาก) นั้น

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 27 พ.ค. 2010, 13:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หนูได้มีโอกาสอ่านหนังสือของท่านอาจารย์ เรื่อง อีคิวกับผู้สูงอายุ มีความสนใจเรื่องการตั้งโปรแกรมจิตให้เป็นบวก โดยเฉพาะในเรื่องที่ท่านอาจารย์ยกตัวอย่างว่า มีอยู่ท่านหนึ่งเป็นเนื้องอกที่รังไข่ และท่านอาจารย์ได้แนะนำให้ตั้งโปรแกรมจิตให้เป็นบวก จนเนื้องอกนั้นค่อย ๆ หายไปได้เอง ตัวหนูเองตอนนี้มีปัญหาคือ ไปตรวจพบเนื้องอกขนาด 3 ซม. ที่ต่อมไทรอยด์ แต่ยังโชคดีว่าตรวจดูเซลส์แล้วปรากฎว่าไม่เป็นมะเร็งค่ะ

- จึงอยากกราบรบกวนปรึกษาท่านอาจารย์ว่า หนูควรจะมีวิธีการตั้งโปรแกรมทางจิตอย่างไรบ้าง เพื่อช่วยให้อาการที่เป็นอยู่ดีขึ้นบ้างค่ะ
- และการสวดมนต์ และนั่งสมาธิที่หนูพยายามปฏิบัติอยู่ทุกวัน จะเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยให้พลังจิดเข้มแข็ง เพื่อช่วยให้สุขภาพกายดีขึ้นหรือไม่คะ

กราบขอบพระคุณอย่างสูงค่ะ

คำตอบ
ต้องมีศรัทธาเต็มร้อยและมีความเห็นถูกว่าเนื้องอกเกิดขึ้นได้เนื้องอกต้องหายไปได้ แล้วตั้งโปรแกรมจิตให้ได้ทุกขณะตื่นโดยระลึกอยู่เสมอว่า ต่อมไธรอยด์ของข้าพเจ้าดีเป็นปกติ หลังจากนั้นทำใจให้มีศีล 5 คุม สวดมนต์ก่อนนอน ต่อด้วยทำจิตตภาวนาประมาณ 15 นาทีทุกวันแล้วอุทิศบุญกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร เมื่อรักษาสัจจะให้เป็นดังนี้ได้แล้ว โรคที่เป็นอยู่หายได้แน่นอน

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1521 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 40, 41, 42, 43, 44, 45, 46 ... 102  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร