วันเวลาปัจจุบัน 13 ต.ค. 2025, 04:50  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 1521 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 51, 52, 53, 54, 55, 56, 57 ... 102  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 พ.ค. 2010, 01:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เนื่องจากในการปล่อยสัตว์ เช่น ปลา หอยขม นก หรือ อื่น ๆ ตอนปล่อยเราตั้งใจปล่อย แล้วก็อธิษฐาน ตามปกติ อยากทราบว่าถ้าเราปล่อย สัตว์ชนิดนั้นไปแล้ว แล้วถ้าเราไปกินสัตว์ชนิดนั้นอีกอาจจะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตามจะเป็นบาป หรือเปล่าค่ะ คือว่าสงสัยมานานแล้วแต่ว่ายังหาคำตอบไม่ได้ค่ะ รบกวนท่านอาจารย์ได้โปรดได้ให้ความกระจ่างด้วยนะค่ะ

ขอให้ท่านอาจารย์มีสุขภาพที่แข็งแรง เพื่อเป็นกำลังใจให้กับผู้ที่ยังไม่รู้ ไปนาน ๆ น่ะค่ะ


คำตอบ
ปล่อยสัตว์เช่น ปลา หอยขม นก ตัวใดให้เป็นอิสระแล้ว อธิษฐานไม่กินสัตว์ตัวนั้นอีก ถ้าไปกินสัตว์ตัวที่ปล่อยไปถือว่าผิดคำอธิษฐานเป็นบาปที่เกิดจากการถูกจอง เวรด้วยสัตว์ที่ถูกกิน

หากปล่อยปลา หอยขม นก แล้วอธิษฐานไม่กินสัตว์ชนิดที่ปล่อยนั้นอีก หากไปกินภายหลัง เป็นบาปที่ผิดคำอธิษฐาน

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 พ.ค. 2010, 01:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รู้สึกดีใจและปลื้มปิติเป็นอย่างมาก จนน้ำตาแทบจะไหลหลั่งออกมา ข้าพเจ้าเพิ่งจะเข้ามาทำความรู้จักกับท่านอาจารย์เมื่อวานนี้ ศึกษาหัวข้อจาก "หมวดสนทนาธรรม" เป็นความจริง ทุกคำตอบ ใคร่เรียนปรึกษา ดังนี้ค่ะ :

ทุกข์ของมนุษย์ เกิดจากการปรุงแต่ง แท้จริงแล้วมันก็เป็นธรรมชาติ เพียงแค่ทำจิตอิสระ และพิจารณาไตรลักษณ์ "ทุกขณะจิต มันก็เป็นของมันเช่นนั้นแล" จะว่ายาก มันก็ยาก จะว่าง่าย มันก็ง่าย พิจารณาตามรู้ดูจิต จนจิตถึงพุทธะ ในระหว่างวัน จนจิตดับ กายดับ สาธุ สาธุ สาธุ อธิษฐานจิต ขอให้มีดวงตาเห็นธรรม สำเร็จมรรคผลนิพพานในปัจจุบันชาตินี้ด้วยเทอญ ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้เป็น "ไตรลักษณ์" จริงๆคะ ดั่งสิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านได้ตรัสรู้ไว้ "อริยสัจ 4"

ในฐานะที่เป็นมนุษย์ตนหนึ่ง ข้อปฏิบัติ คือ ศีล 5,มรรค 8, บุญกิริยาวัตถุ 10 ให้ถึงพร้อม ตามรู้ ดูจิต ให้ จิต สะอาด สว่าง สงบ จนอิสระ สาธุ สาธุ

ข้าพเจ้า มักชอบพิจารณาข้อธรรม จากครูบาอาจารย์ และนำมาพิจารณาเป็นสติ มหาสติ เพื่อให้เกิดปัญญา และมีสติอยู่กับปัจจุบันทุกขณะจิต ไม่ส่งจิตออกนอก หากรู้ก็ดึงกลับ ให้มีสติอยู่ อย่าให้จิตส่ายไปตามอารมณ์ที่มากระทบ ทางอายตนะ

ข้าพเจ้าใคร่ขอคำแนะนำ จากสิ่งที่ชี้แจงดังกล่าวแล้วนั้น ข้าพเจ้าพึงปฏิบัติจิตเช่นใด เพื่อการพัฒนาทางปัญญา

กราบขอบพระคุณมา ณ ที่นี้ด้วยเป็นอย่างสูง

คำตอบ
นำจิตที่เห็นถูกตรงตามที่บอกเล่า เอามาดูกิเลสที่ผูกมัดใจให้ต้องเวียนตาย-เวียนเกิดอยู่ในวัฏสงสาร (สังโยชน์ 10) ว่ายังมีกิเลสตัวใดหลงเหลือหรือมีอำนาจคุมใจ ต้องใช้ปัญญาเห็นถูกตรงกำจัดให้หมดไปจากใจ นั่นคืองานที่ผู้ปรารถนาอิสรภาพของใจต้องทำเพื่อนำจิตเข้าถึงธรรมสูงสุดของ พระศาสนา คือพระนิพพานนั่นเองเป็นเบื้องสุด

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 พ.ค. 2010, 01:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1. ถ้าหากว่าหนู สวดมนต์ นั่งสมาธิ อธิฐานขอพรทุกวัน จะทำให้สิ่งที่ต้องการเกิดผลหรือไม่คะ (ขอในทางที่ดี)
2. ในหนังสือคือต้องนึกภาพ จินตนาการให้ภาพชัดเจนอยู่ในจิตใต้สำนึก ยอมรับว่าทำยากคะเพราะเรานึกไม่ออกจริง ๆ แต่ก็นึกเท่าที่ทำได้ โดยไม่สนใจเลยว่า จะถูกต้องหรือไม่ อย่างนี้ใช้ได้ไหมคะ
3. ในระหว่างที่ตั้งใจนึกภาพ รู้สึกว่าจะมีความคิดที่เป็นลบแทรกเข้ามา ทำให้จินตภาพของเราไม่ต่อเนื่อง (อีกอย่างคือกลัวความคิดของตัวเองด้วยค่ะ บางอย่างก็ไม่ดีมาก ๆ แต่เราไม่ตั้งใจ มันคิดของมันเอง)จะทำอย่างไรดีคะ (กลัวว่าที่เราไม่ต้องการมันจะเกิดขึ้นแทน)


คำตอบ
(1) นอกจากอธิษฐานแล้วยังต้องทำเหตุให้ถูกตรงด้วย

(2) จะให้เทพปรากฏชัดเจน อยู่ในจิตสำนึกได้ต้องพัฒนาจิตให้ตั้งมั่นเป็นสมาธิแน่วแน่ให้ได้ก่อน ด้วยการปฏิบัติสมถภาวนา

(3) หากสติยังมีกำลังไม่กล้าแข็ง เมื่อความคิดติดลบเกิดขึ้นต้องกำหนดว่า “ คิดหนอๆๆๆ ” ไปเรื่อย ๆ จนกว่าความคิดที่ติดลบจะหายไป แต่หากพัฒนาวิปัสสนากรรมฐานจนเกิดปัญญาเห็นแจ้งได้แล้วให้ใช้ปัญญาเห็นแจ้ง พิจารณาความคิดที่ติดลบ ว่าดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์เมื่อความคิดที่ติดลบเข้าสู่ความเป็นอนัตตา ปัญหาดังกล่าวจะหมดไป

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 พ.ค. 2010, 01:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ตั้งแต่ดิฉันได้ย่างเข้าสู้เส้นทางธรรม ดิฉันได้พบความสุขสงบที่แท้จริงค่ะ จากเมื่อก่อนคิดว่าถ้าประสบความสำเร็จ หรือได้ในสิ่งที่ตัวเองหวังไว้ นั่นแหละความสุข แต่ปรากฎว่าการที่จิตใจกระเพื่อมขึ้นกระเพื่อมลงตามกระแสกิเลสมันไม่ใช่ความ สุขสงบที่แท้จริง แตกต่างกับจิตใจที่นิ่งๆไม่ทุกข์ไม่สุข ไม่รับสิ่งกระทบภายนอกมาปรุงแต่ง ซึ่งนั่นคือความสุขสงบที่แท้จริงค่ะ ดิฉันขอรบกวนเรียนถามในข้อสงสัยดังนี้ค่ะ
การที่บุคคลหนึ่งไม่ได้ตั้งใจมีลูกกับบุคคลหนึ่ง(ไม่ได้แต่งงาน) แล้วต้องจำใจให้เด็กเกิดมาและรับผิดชอบ ต้องอยู่ร่วมชีวิตกัน ดิฉันใคร่ขอเรียนถามว่า กรณีเช่นนี้ หมายถึงบุคคลทั้งสองเคยร่วมชีวิตกันในอดีตชาติ หรือเป็นกรรมใหม่ที่ทั้งสองได้ร่วมกันกระทำใหม่ขึ้นชาตินี้ แล้วดวงจิตวิญญาณของเด็กก็เกิดจากการกำหนดให้เกิดกับพ่อแม่แบบนี้หรือเปล่า เพราะท่านอาจารย์เคยกล่าวว่าศาสนาพุทธไม่มีคำว่าบังเอิญ

ขอกราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ในความกรุณาค่ะ

คำตอบ
การที่บุคคลทั้งสามต้องมาเกิดเป็นครอบครัวเดียวกัน เป็นเรื่องของกรรมเก่าที่เมื่อเหตุปัจจัยถึงพร้อม จึงบังเกิดผลให้มาความสัมพันธ์ในลักษณะเช่นนี้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 พ.ค. 2010, 01:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมเป็นคนที่พูดแบบขวานผ่าซาก พูดแบบมะนาวไม่มีน้ำ บางครั้งพูดตรงแต่ไม่ถนอมน้ำใจผู้อื่น แต่ไม่พูดโกหก ไม่พูดคำหยาบ พฤติกรรมการพูดแบบนี้ของผมมักเป็นสาเหตุให้ภรรยาไม่พอใจบ่อยๆ บางครั้งก็ทะเลาะเถียงกัน กระผมจึงอยากเรียนถามอาจารย์ว่าพฤติกรรมการพูดของผมผิดหลักสัมมาวาจาในมรรค๘ หรือไม่ครับ และผมต้องปรับปรุงตัวเองแล้วใช่ไหมครับ ต้องยึดหลักอะไรหากต้องการปรับปรุงตัวเองตรงนี้

กราบขอบพระคุณอาจารย์ที่กรุณาให้คำแนะนำ

คำตอบ
ผู้ถามปัญหามีสัมมาวาจาในมรรค 8 ได้แก่ วจีกรรมไม่เท็จ ไม่หยาบ ไม่ส่อเสียด ไม่เพ้อเจ้อ แต่คำพูดของผู้ถามไม่เป็นวาจาสุภาษิตตรงที่พูดไม่ถูกกาละเทสะ พูดไพเราะอ่อนหวานและพูดไม่มีจิตเมตตา

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 พ.ค. 2010, 01:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หนูมีคำถามหนึ่งที่เกิดขึ้นระหว่างนั่งสมาธิคือ หนูฝึกสมาธิกำหนดพองยุบมาเป็นระยะเวลา ประมาณ 2 ปี เมื่อเดินจงกรมกำหนดยืนหนอ ก็เกิดร้อนที่หน้าแข้ง หนูก็กำหนดให้ร้อนหายไปไม่ได้ เมื่อกลับจากวัดมาปฎิบัติที่บ้าน ทุกวันเวลาตรงกันประมาณ 1 ทุ่มไม่ว่าหนูจะอยู่ที่ทำงานหรือบ้าน หรือนั่งดูทีวี ที่ไหนก็ตามขาหนูจะต้องร้อนขึ้นมา ตอนแรกหนูนึกว่าเป็นอุปาทาน แต่ตอนหลังหนูพิสูจน์ แล้วว่าไม่ใช่ หนูไม่ได้เดินจงกรมหรือนั่งสมาธิทุกวัน บางทีหนูก็ขี้เกียจ เหนื่อยบ้าง อยากดูทีวีบ้าง แต่พอถึงเวลาถ้าหนูไม่ได้ปฎิบัติ ขาหนูก็จะร้อนจี้ดขึ้นมา จนหนูต้องไปสวดมนต์ ทำให้หนูต้องสวดมนต์และไปปฏิบัติจนถึงวันนี้ ถ้าไม่มีสัญญานความร้อนเกิดขึ้นกับตัวหนู หนูคงเลิกปฎิบัติเอาสบายไปแล้ว เพราะหนูเป็นคนไม่มีวินัยเท่าไร ประเด็นคือหนูมีความสงสัย ว่าทำไมถึงเป็นอย่างนี้

หนูพยายามถามคนที่สามารถตอบ หนูก็ไม่เข้าใจ ถามแม่ชีบอกให้กำหนด หนูก็ไม่เห็นหาย ถามในเน็ต หนูก็ไม่เข้าใจในภาษาธรรมมะเท่าไหร่ หนูก็เลยอยู่ร่วมกับสิ่งที่เกิดขึ้นเป็น ชีวิตประจำวันไป บางคนบอกหนูมีกรรม เจ้ากรรมนายเวรมาทวง หนูว่าตามหลักที่หนูศึกษาธรรมะก็ใช่ เพราะทุกคนก็มีกรรม แต่ถ้าเค้าเป็นสัญญาเจ้ากรรมนายเวร หนูก็อยากให้เค้าปรากฎหนูจะได้ขอ อโหสิกรรมตรงตัวไปเลย แต่หนูก็อฐิษฐานไม่ขึ้น ก็ไม่เห็นใครมาปรากฏ บางทีหนูก็คิดว่าหนูไปเผาใครหรือไม่ความร้อนจึงเกิดขึ้น บางเวลาถ้าหนูโกรธหรืออารมณ์ไม่คงที่ ความร้อนก็ขึ้นมาครึ่งตัว เหมือนหนูเดินอยู่ในกองไฟ แต่ที่สำคัญเหงื่อก็ไม่ออก หนูก็ไม่ได้ทุรนทุรายอะไร ก็รู้ว่าร้อนมากร้อนน้อยก็เท่านั้นเอง

ทุกครั้งที่หนูนั่งสมาธิที่วัดหนูมีเวทนามาก ปวดจนขาแทบแตก ร้อนจนขาเป็นไม้หนูก็เอาชนะเวทนาไม่ได้ทุกครั้ง บางทีเพื่อนหนูหรือคนอื่น นั่งเป็น ชั่วโมงได้สบาย บางทีหนูก็ได้ยินเค้าบอกว่านั่งสมาธิต้องเย็นสบาย แต่ของหนูร้อน ล่าสุดหนูอดทนต่อสู้กับเวทนาที่เกิดขึ้นปรากฎว่า ความร้อนท่วมสูงขึ้นมาครอบหนูตั้งแต่หัวจน ทั่วตัว หนูไม่เคยรู้สึกมากขนาดนี้ไม่ไช่ไฟลวกหนูแต่ความร้อนครอบร่างกายหนูเท่าส่ม ไก่ที่ครอบเรา พอหมดเวลาที่หน้าอกหนูก็เย็นแผ่ซ่าน ที่เท้าหนูก็มีไอเย็นเป็นแท่งเสียบเข้าที่เท้า พอกลับบ้านตั้งแต่นั่นมาหนูรู้สึกว่าตัวเองมีไอเย็นที่อุ้งมื่อตลอด บางทีหนูเห็นไอร้อนไอเย็นในตัวหนูพร้อมกัน

หนูอ่านหนังสือของอาจารย์หลายเล่ม อาจารย์ใช้ภาษาที่คนธรรมดาที่อยู่ในสังคมปัจจุบันเข้าใจง่าย อาจารย์บอกว่าการปฎิบัติจะก้าวหน้าต้องมีครูบาอาจารย์นำทาง หนูก็เชื่อว่าหนูเป็นศิษย์มีอาจารย์แต่ปัจจุบันท่านวางอุเบกขาหนูไม่สามารถ สนทนาสอบอารมณ์กับท่านได้ หนูเลยปฎิบัติไปเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเรื่องตึงที่หน้าผากซึ่งแรงมากและหนูก็กำหนดหายไม่ได้ เค้าหายก็หายไปเอง เค้าร้อนเค้าก็หายไปเอง หนูก็ทำไปเรื่อย ๆ แต่หนูก็อยากสอบอารมณ์เพื่อความสงสัยจะได้หายไป หนูลองค้นหาแล้วว่ามีใครเหมือนหนูมั่ง ก็มีคล้าย ๆ แต่น้อยมากไม่ตรงกับหนูซะทีเดียว หนูไม่อยากปรุงแต่งแต่หนูก็เป็นคนขี้สงสัย

อาจารย์เมตตาช่วยสอบอารมณ์หนูให้ด้วยได้มั้ยคะว่า ที่หนูปฎิบัติเป็นอย่างไร หนูให้สัจจะถวายลมหายใจกับพระพุทธเจ้าไปแล้วว่าหนูจะมีความเพียร มีพระองค์เป็นสรณะ ขอให้หนูเจอผู้มีบุญบารมี่มาเมตตาหนูทางธรรม


คำตอบ
คำว่าศีลบริสุทธิ์หมายถึงศีลที่ไม่ขาด ไม่ทะลุ ไม่ด่าง ไม่พร้อย ไม่มีมลทินเจือปน จึงเป็นศีลที่พระอริยเจ้าพอใจ ผู้ใดมีศีลบริสุทธิ์คุมใจและมีสัจจะอยู่กับใจทุกขณะตื่น เมื่อใจปรารถนาความสำเร็จในสิ่งใดย่อมเข้าถึงความสำเร็จในสิ่งนั้น ฉะนั้นอกุศลวิบากที่เกิดขึ้นกับผู้ถามปัญหาจะผ่านพ้นไปพ้นต้องประพฤติถูกตรง ด้วยการแก้ไขที่ใจตัวเอง

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 พ.ค. 2010, 01:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ข้าพเจ้าได้แสงสว่างแห่งธรรม จากท่านอาจารย์ ทำให้ชีวิตดีขึ้น อยู่ด้วยธรรม อยู่กับปัญหาต่างๆ ด้วยสติ ด้วยคำสอน เตือนสติ ให้แก้ปัญหาที่ตัวเองให้มองทุกอย่างเป็นเรื่องดี โดนด่าก็ดี จะได้มองตัวเองต้องปรับปรุง โดนโกงก็ดี จะได้ชดใช้กรรมใช้หนี้ ทำดีแล้วยังไม่ได้ดี เพราะยังดีไม่พอ ยังไม่ถึงเวลาต้องทำดีให้ยิ่งๆ ขึ้นไป กำจัดกิเลสให้ลดน้อยลงทุกวัน อยู่อย่างพอเพียง สงบ ทำตัวให้เป็นประโยชน์ต่อครอบครัว ที่ทำงาน และสังคม ทำโดยไม่หวังผลตอบแทน
ขอรบกวนอาจารย์ถามปัญหาดังนี้

ข้าพเจ้าเคยทำผิดพลาดพาลูกชายคนโตไปปลูกถ่ายไขกระดูก เนื่องจากเป็นโรคเลือด เชื่อคุณหมอซึ่งบอกแต่ผลดีว่าหาย 70 เปอร์เซ็นต์ ข้าพเจ้าเสียลูกชายจากการทำดังกล่าว ลูกชายทรมานมากจากการรักษา เราอยู่กันที่โรงพยาบาลนาน 6 เดือน ข้าพเจ้าทั้งเสียใจทั้งแค้นใจที่ตัวเองไม่น่าพาลูกไปทำ ทำให้ลูกต้องเจ็บ ต้องตาย ไม่ว่าเวลาจะผ่านมานานมาแค่ไหน สติที่เผลอคิดแวบไปถึงวันเวลาดังกล่าว ต้องเจ็บปวดทุกครั้ง สงสารลูก คิดถึงลูกข้าพเจ้ารู้ว่าไม่ถูกต้อง ไม่ควรคิดถึงสิ่งที่ผ่านมา ไม่ควรยึดติดกับลูก และเชื่อกับที่อาจารย์บอกว่า ทุกอย่างไม่มีคำว่าบังเอิญ ข้าพเจ้ารู้ว่าลูกต้องชดใช้กรรม ข้าพเจ้าก็ต้องชดใช้กรรมร่วมกับลูก อาจารย์ช่วยเตือนสติแรงๆ ให้ข้าพเจ้าหลุดจากโปรแกรมนี้ด้วยเถิด ข้าพเจ้าสวดมนต์ ปฏิบัติธรรม ทุกวัน เช้า และก่อนนอน ใส่บาตรทุกวันเสาร์อาทิตย์ หรือวันหยุด ทำสังฆทานทุกเดือน อุทิศบุญกุศลให้ลูกทุกวัน บริจาคให้เด็กยากจนมูลนิธิซี.ซี.เอฟ ทุกเดือน ให้ทาน ทำบุญกริยวัตถุ 10 สม่ำเสมอ ฟังธรรม พูดถึงธรรมเสมอๆ ระลึกถึงพระพุทธเจ้าเสมอ นึกถึงความตาย สักวันข้าพเจ้าต้องตาย ขอทำความดี แต่สิ่งที่เป็นตราบาปครั้งนี้ข้าพเจ้าปวดร้าวอยู่เสมอ แม้จะได้ธรรมะเยียวยาให้อยู่ได้ ข้าพเจ้ายอมรับว่าสติยังอ่อน จะต้องไม่เผลอแวบคิดถึงเรื่องดังกล่าว

ขอความเมตตาจากอาจารย์ช่วยสั่งสอนด้วยเถิด

คำตอบ
คนโง่เอาใจฝากไว้กับอดีต แม้เป็นอดีตที่หอมหวานก็ยังเรียกว่าโง่ หากเป็นอดีตที่ขมขื่น แล้วยังยินดีเอาใจเข้าผูกติดเป็นทาสเรียกว่าผู้นั้นโง่เง่า (โง่มาก)

ส่วนคนฉลาดเอาใจไว้กับปัจจุบัน เห็นคนอื่นทำไม่ดีไม่ทำตามเห็นคนอื่นทำดีย่อมทำตาม คนฉลาดจึงมีความดีคุ้มรักษาใจ จึงอยู่เป็นสุขผู้ถามปัญหาอยากเป็นคนประเภทไน เลือกเอาตามใจปรารถนา

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 พ.ค. 2010, 01:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1. การแผ่เมตตา และการแผ่ส่วนกุศล ต่างกันอย่างไรคะ และกระทำในวาระใดได้บ้างคะ
2. การกล่าวอนุโมทนาบุญ ผู้ทำบุญเป็นผู้กล่าว หรือผู้ที่รับทราบการทำบุญของผู้อื่นเป็นผู้กล่าวจึงจะถูกต้องคะ

กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์เป็นอย่างสูงค่ะ

คำตอบ
(1) ผู้ใดมีเมตตา ผู้นั้นมีใจไม่โกรธ ไม่หงุดหงิด ไม่รำคาญ ฯลฯ มีแต่ความสงบและเย็นเป็นน้ำหล่อเลี้ยงใจ ผู้มีเมตตาแล้วแผ่เมตตาให้กับสัตว์บุคคลผู้มีจิตคิดร้าย มิอาจเข้ากระทบกับผู้มีเมตตาได้

ส่วนคำว่ากุศลหรือบุญเป็นสิ่งเดียวกัน ผู้ประพฤติบุญกิริยาวัตถุ 10 เป็นผู้มีกุศลสั่งสมอยู่ในจิตวิญญาณ ผู้มีกุศลสามารถอุทิศให้กับสรรพสัตว์ได้ในทุกโอกาส สัตว์ใดมาอนุโมทนา สัตว์นั้นมีความสุขจากกุศลที่ตนเองได้รับ

(2) ผู้รับทราบการทำบุญของผู้อื่น เป็นผู้กล่าวคำอนุโมทนาบุญจึงเกิดขึ้นกับผู้อนุโมทนาได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 พ.ค. 2010, 01:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เวลาฝึกนั่งสมาธิดิฉันคิดว่าตัวเองเป็นคนที่มีลมหายใจสั้น และบางครั้งชอบกลั้นหายใจ จึงทำให้มีปัญหาใน การฝึกนั่งสมาธิมาก และก็ไม่รู้จะใช้วิธีใดในการกำหนด จิดในการฝึก ลองฝึกหายใจลึกๆดู มันก็เหมือนคนหอบ ทำให้ไม่มี สมาธิ ต้องนั่งอยู่เฉยๆ ก็พอจะนิ่งอยู่บ้าง พอนั่งไปได้สักพัก เหมือนคนที่ต้องกลืนน้ำลายอยู่ตลอดเวลา ปัญหาเหล่านี้ ทำให้จิตไม่ นิ่งเสียที

รบกวนท่านอาจารย์กรุณาช่วยคลี่คลายปัญหาให้ดิฉันด้วยน๊ะค่ะ และดิฉันอยากจะไปปฎิบัติธรรมที่วัดหรือ
สถานที่ปฎิธรรม แต่มีห่วงเรื่องทางบ้านห่วงลูกและแม่สามีเพราะจะต้องคอยดูแลเพราะแม่สามี ท่านแก่มากแล้ว จึงต้อง อาศัยจะฝึกที่บ้าน แต่ก็ไม่รู้วิธีที่ถูกต้อง

ท่านอาจารย์โปรดให้ความกรุณาช่วยแนะนำให้ดิฉันด้วยน๊ะค่ะ

กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์เป็นอย่างสูง

คำตอบ
ลิงป่าถูกจับมาฝึกให้ขึ้นเก็บผลมะพร้าวแทนคนยังฝึกได้ สุนัขที่เร่ร่อนอยู่ตามถนน (จรจัด) ถูกจับมาฝึกให้ค้นหายาบ้ายังฝึกได้ นับประสาอะไรกับคนผู้เกิดอยู่ในภพที่สูงกว่าสัตว์เดรัจฉานจะฝึกให้สูดลม หายใจเข้าลึกแล้วผ่อนออกยาวมิได้เล่า ขออภัยไม่อายลิงอายสุนัขหรือ

งานของชีวิตมีอยู่สองงาน คืองานภายนอกที่ทำให้กับสังคม กับงานภายในคือพัฒนาจิตตัวเองด้วยการสวดมนต์ก่อนนอน ฟังธรรมเมื่อมีโอกาส ต่อด้วยกำหนดลมหายใจเข้า-ออก (อานาปานสติ) เมื่อจิตตั้งมั่นจวนแน่วแน่ จึงต่อด้วยวิปัสสนาภาวนาด้วยการหาครูผู้รู้มาชี้แนะในภายหลังยังมีโอกาสทำ ได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 พ.ค. 2010, 01:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดิฉันเป็นลูกหลานวัดมหาธาตุฯ ค่ะ ติดตามคุณแม่ไปทำบุญ ฟังเทศน์ ตั้งแต่เด็กๆ และเคยมีโอกาสได้เคยมอบกายถวายตัวต่อ พระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณโชดกฯ แต่เสียดายเวลาที่ผ่านมา ไม่มีความเพียรเพียงพอ และติดอยู่ในวงล้อของกรรม เป็นคนติดสวยติดงาม ราคะจริตยังมีมาก มีปัญหาชีวิตครอบครัวแตกแยกหย่าร้าง จิตใจฟุ้งซ่าน จนทำให้ไม่ค่อยก้าวหน้าในธรรมเท่าไรค่ะ อาศัยว่าชอบทำบุญ สวดมนต์ไหว้พระ และยึดถือความกตัญญูต่อพ่อแม่ ครูบาอาจารย์ และผู้มีพระคุณ พอทำใจและเข้าใจได้ว่าทั้งหลายทั้งปวงนั้นเป็นเพราะกรรมไม่ดีที่เราเคยสร้าง ไว้ จึงทำให้จิตใจไม่จมอยู่ ในความทุกข์นานนัก แต่รู้ตัวดีว่าตลอดเวลาความรู้สึกถึงความทุกข์เหล่านั้น ยังถูกเก็บอยู่ในจิตลึกๆ เสมอ ถ้ามีอะไรมากระทบ ความเศร้าโศกเสียใจก็จะกระเพื่อมขึ้นมา ให้เห็นเป็นริ้วๆ

เมื่อต้นปีเพื่อนให้หนังสือ "ทางสายเอก" เป็นของขวัญปีใหม่ อันเป็นแรงจูงใจอย่างเข้มข้น ว่าจะตั้งใจเริ่มต้นประพฤติปฏิบัติใหม่อีกครั้ง เพื่อให้กิเลสทั้งหลายที่แบกอยู่ทุกวันนี้ บรรเทาเบาบางลงให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ (ตอนกลางคืนก่อนที่จะได้รับหนังสือ ฝันเห็นภาพพระเศียรพระพุทธเจ้ามีลักษณะรูปร่างอย่างเดียวกับภาพบนหน้าปก หนังสือเลยค่ะ พอเห็นหนังสือ ตกใจ และ ดีใจค่ะ)

ตอนนี้อายุ 45 แล้วค่ะ และจะเหมือนมีอะไรสักอย่างทำให้รู้สึกว่าจะอายุไม่ยืนนัก จึงไม่อยากหลงทางเสียเวลาอีกแล้วค่ะ ดิฉัน อยากกราบขอความเมตตา จาก ท่านอาจารย์ กรุณาชี้นำเส้นทางที่จะเดินต่อไปข้างหน้า และวิธีปฏิบัติที่เหมาะกับสภาวะจิตของดิฉันให้ด้วยเถอดค่ะ กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ล่วงหน้าค่ะ


คำตอบ
ผู้มีโอกาสอยู่ใกล้ครูผู้ทรงคุณธรรม แต่ไม่เห็นคุณค่าในตัวครู จึงไม่เอาความดีของครูมาไว้กับใจตน โบราณเรียกคนที่มีลักษณะเช่นนี้ว่า “ ไก่ได้พลอย ” หากผู้ใดระลึกได้แล้วพัฒนาจิตตัวเองให้มีคุณค่านับว่ายังไม่สายเกินแก้ ยังดีกว่าไก่ได้พลอยตัวอื่น ที่นอกจากจะไม่เห็นคุณค่าในตัวครูแล้วยังถ่ายมูล (ปรามาส) ให้กับครูผู้ทรงคุณธรรมเป็นการสร้างบาปติดตามข้ามภพชาติจึงน่าสงสารยิ่งกว่า

ดังนั้นหากผู้ถามปัญหายังศรัทธาในคุณธรรมที่มีอยู่ในตัว เองท่านเจ้าคุณฯ และหวังความเจริญในวันข้างหน้า หนังสือที่ได้รับมาจากเพื่อนนั่นแหละ คือความดีงามของท่านเจ้าคุณโชดกที่สามารถใช้เป็นโคมส่องสว่างให้ชีวิตเดิน อยู่บนทางสายเอก ตามที่เจ้าคุณโชดกได้ชี้ทางได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 พ.ค. 2010, 01:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1.เรื่องการให้ทาน รักษาศีลและภาวนา ถ้าหนูได้ทำสามอย่างนี้แล้วขอตั้งจิตอธิษฐานในสิ่งที่ดี เช่น ขอให้เกิดปัญญาทั้งทางโลกทางธรรม ขอให้เจออาจารย์ที่ดี พบกัลยาณมิตร หนูสามารถขอได้มั้ยคะ เพราะหนูเคยอ่านหนังสือมาว่าทานที่ให้จะได้บุญสูงสุดคือให้สละออกแบบไม่ได้ หวังผล แต่ทุกครั้งที่หนูทำความดี หนูก็หวังผลนะคะว่าจะช่วยให้หนูสมปรารถนาแล้วก็สังเกตทุกครั้งว่าที่ขอก็จะ ได้สมปรารถนาเหมือนกับว่าจิตเราตั้งโปรแกรมไว้แล้วค่ะ หนูมีความเข้าใจถูกผิดประการใดอาจารย์ช่วยแนะนำหน่อยนะคะ

2.ถ้าหนูสามารถเลี้ยงดูตัวเองได้แล้วและไม่ได้อาศัยอยู่กับพ่อแม่ แล้วถ้าหนูมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับแฟนโดยที่พ่อแม่ไม่รู้อย่างนี้จะผิดศีล ข้อที่สามมั้ยคะ

3.หนูอยากทราบผลของการอุทิศบุญกุศลค่ะ ถ้าเราอุทิศให้กับคนที่มีชีวิตอยู่เมื่อพบกันจะเป็นอย่างไรคะจะมีปฏิ สัมพันธ์ในทางที่ดีขึ้นรึเปล่าคะ

4.หนูเคยได้ยินเสียงผู้หญิงเย็นๆแต่เห็นเป็นแสงสีขาวค่ะ ไม่เห็นร่างกาย มาเรียกหนูว่าลูก แล้วปลุกจนหนูตื่น แล้วเค้าก็ให้หนูเห็นภาพในอนาคตเป็นช็อต ช็อตค่ะ เค้ามาเตือนเรื่องเจ้ากรรมนายเวรหนูค่ะว่าเค้าตามมาแล้วให้หนูเร่งทำความดี หนีให้ทัน ผู้หญิงคนนี้เค้าบอกว่าเป็นห่วงหนู แม่เป็นห่วงหนูมาก เค้าเรียกตัวเองว่าแม่ค่ะ ในขณะนั้นหนูมีสติตลอดนะคะและจำภาพได้ทุกอย่างจนถึงวันนี้ แต่ตอนนั้นหนูก็ตกใจร้องไห้ตลอดค่ะทั้งๆที่หลับตาเพราะหนูเข้าใจว่าเค้าเป็น แม่หนูที่เกิดหนูมาในชาตินี้ค่ะ หนูนึกว่าแม่หนูเสียชีวิตแล้วมาหาค่ะ หลังจากนั้นหนูก็ได้ยินเสียงผู้หญิงคนนี้ไม่กี่ครั้งค่ะทุกครั้งที่มาก็เห็น เป็นแสงขาว ส่วนใหญ่จะได้ยินตอนใกล้รุ่งเรียกลูก ลูก ประมาณปลุกให้ตื่นค่ะ สิ่งที่หนูเห็นและได้ยินคืออะไรคะ และผู้หญิงคนนี้เป็นใคร

กราบขอบพระคุณอาจารย์มากนะคะและขออนุโมทนาบุญกับอาจารย์ที่มีส่วนร่วมในการ สืบทอดพระพุทธศาสนามา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ

คำตอบ
(1) คำว่าอธิษฐาน หมายถึงตั้งจิตกำหนดเอาไว้เพื่อให้เข้าถึงสิ่งดีงาม เช่น เจ้าชายสุมนะ (อดีตของพระอานนท์) อธิษฐานเป็นพุทธอุปัฏฐากของพระพุทธะองค์ใดองค์หนึ่ง ฤาษีสรทะ(อดีตของพระสารีบุตรอธิษฐานเป็นอัครสาวก ของพระพุทธะองค์ใดองค์หนึ่ง ฯลฯ แล้วทำเหตุให้ถูกตรงคำอธิษฐานจึงศักดิ์สิทธิ์และเป็นจริงได้ ดังนั้นอธิษฐานจึงมิใช่การขอพระพุทธะมิได้สอนพุทธบริษัทให้ทำตัวเป็น “ ผู้ขอ ” แต่สอนให้ทำเหตุถูกตรงและปรากฏมีขึ้นด้วยตัวเอง

(2) ผิดครับ เมื่อใดที่อกุศลวิบากเกิดขึ้นโอกาสขึ้นปีนป่ายอยู่บนต้นงิ้วในนรกจึงมีได้

(3) หากผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ สามารถรับรู้แล้วอนุโมทนาบุญเมื่อผู้ให้และผู้อนุโมทนาโคจรมาพบกัน ความสัมพันธ์ที่ดีย่อมเกิดขึ้นได้เป็นธรรมดา

(4) สิ่งที่ถูกเห็นเป็นรูปนามในอีกมิติหนึ่งซึ่งในทางโลกหลงผิดว่าเคยเป็น แม่-ลูกกัน แต่ในทางธรรมเป็นจิตวิญญาณสองดวงที่มีความสัมพันธ์ข้องเกี่ยวกัน

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 พ.ค. 2010, 01:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ได้ศึกษาคำสอนและคำแนะนำต่างๆของอาจารย์จากการอ่านและฟังเทปการบรรยาย เมื่อไม่นานมานี้พยายามปฏิบัติตนโดยการสวดมนต์ ฝึกสติแต่ก็ยังมีจิตใจที่เคลื่อนไปมา และพอมีอาการชาหรือปวดกล้ามเนื้อส่วนใดส่วนหนึ่ง ก็จะแพ้ใจตัวเองและหยุดการฝึก ก็อ่านคำตอบจากที่มีหลายๆท่านได้ถามอาจารย์ในทำนองเดียวกันนี้แล้วแต่ตนเอง ก็ยังรู้ว่าจิตใจตนเองยังไม่มีพลังนัก ก็รู้ว่าต้องแก้ด้วยการมีศรัทรา วิริยะ แต่หลายๆช่วงเวลาที่ขาดการระลึกรู้ ความคิด อารมณ์จะออกไปสู่เรื่อง หรือนึกถึงผู้คน และเหตุการณ์ที่เป็นไปในทางลบ
หนูควรทำอย่างไรบ้างค่ะหรือฝึกปฏิบัติต่อไปเรื่อยๆ นอกจากนี้แล้วมีคำถามอีก 1 ประการค่ะที่เป็นสิ่งสำคัญต่อความรู้สึกนึกคิดของหนู

สมัยเป็นน.ศ.พยาบาลปี1 เรียนวิชาสรีรวิทยา ต้องมีการนำกบมาผ่าท้องดูอวัยวะ หนูเป็นคนหนึ่งที่ปฏิบัติการในครั้งนั้นและต้องทำให้เขาจบชีวิตลง หลังจากนั้นไม่เคยคิดอะไรเลย เพิ่งมาเมื่อไม่นานนี้หนูนึกถึงแต่ภาพนั้นอยู่บ่อยๆ จน2-3อาทิตย์มานี้แถบจะเป็นภาพที่ติดตาไม่ว่าจะเวลาใด แม้ว่าเวลาสวดมนต์จะอุทิศและขออโหสิกรรมแล้ว หนูควรจะทำอย่างไรดีค่ะเพื่อขออโหสิกรรมและเลิกแล้วต่อกันไม่นึกถึงภาพใน อดีตอีก


คำตอบ

หากยังรักที่จะมีชีวิตอยู่ในฝ่ายดีงาม ต้องฝึกต่อไปจนเข้าถึงมรรคผลของการปฏิบัติได้เมื่อใดจึงจะเป็นคุณของการชี้ แนะนี้ต้องสร้างบุญใหญ่แล้วอุทิศบุญให้กับกบ แล้วโอกาสที่ภาพนิมิตของกบจึงจะหายไปได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


แก้ไขล่าสุดโดย ธรรมบุตร เมื่อ 30 พ.ค. 2010, 01:37, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 พ.ค. 2010, 01:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หากผู้ถามปัญหาพัฒนาจิตจนเข้าถึงความตั้งมั่นในระดับที่เป็นฌานได้ เมื่อนำจิตออกจากฌานแล้วจะรู้ว่าภพชาติที่สัตว์บุคคลถือกำเนิดมามีอนันต์ ซึ่งแต่ละชาติมีทั้งการประพฤติที่เป็นกุศลและอกุศล แล้วเก็บสั่งสมผลกรรมไว้ในดวงจิตมีอนันต์เช่นกัน และหากผู้ถามปัญหาได้พัฒนาจิตของตนจนเกิดปัญญาเห็นแจ้งได้แล้ว จะรู้ว่ากฎแห่งกรรมมีจริง จึงไม่มีคำว่าบังเอิญหรือความน่าจะเป็นเกิดขึ้นผู้รู้จริงในพุทธศาสนา ดังนั้นเรื่องของบุคคลทั้งสองจึงมีสาเหตุมาจากได้เคยก่อนกรรมกันมาก่อน จึงไม่มีกรรมใหม่ใด ๆ ถูกก่อขึ้นเช่นการเกิดอุบัติเหตุ การเกิดอุบัติภัยที่เกิดจากธรรมชาติ ล้วนมีเหตุที่มาจากการกระทำกรรมเบียดเบียนกันมาก่อนทั้งสิ้น

ใคร่เรียนถามว่า
1.การที่ดิฉันเกิดความเลื่อมใสศรัทธาในคำสอนขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้า มีจิตใจฝักใฝ่เพียรจะปฏิบัติธรรมให้สำเร็จนั้น เกิดจากกรรมเก่ากำหนดว่าดิฉันจะต้องเกิดความรู้สึกเช่นนี้ ถ้าในกาลข้างหน้าดิฉันต้องได้รับผลกรรมเก่า การปฏิบัติธรรมจะทำให้ลดกรรมเก่าให้เบาบางหรือไม่ค่ะ

2.ตั้งแต่ที่ได้หันเข้าหาและศึกษา เพียรปฏิบัติธรรม พบว่าเหตุการณ์เลวร้ายเข้ามาชีวิตเพิ่มขึ้นเป็นเพราะว่าเราเริ่มปฏิบัติตัว ดีขึ้นแล้วผลกรรมเก่าเร่งเข้ามาเหมือนมารคอยขัดขวางให้เราท้อแท้ในการทำดี หรือเปล่าค่ะ

ขอขอบพระคุณค่ะ

คำตอบ
(1) คำว่ากรรมหมายถึงการกระทำ กรรมเป็นเหตุวิบากของกรรมเป็นผล กรรมดีส่งผลให้เกิดเป็นกุศลวิบาก ผู้ทำกรรมต้องเสวยความสุข กรรมไม่ดีส่งผลให้เกิดเป็นอกุศลวิบาก ผู้ทำกรรมต้องเสวยความทุกข์ การปฏิบัติธรรมเป็นกรรมดีให้ผลเป็นบุญสูงสุด เมื่ออุทิศให้เจ้ากรรมนายเวรจึงชดใช้หนี้เวรกรรมได้มาก และยังส่งผลให้เข้าสู่ความเป็นอริยบุคคลได้ด้วย อ่านคำตอบการบริหารกรรมาจากเว็บไซด์ข้อ 728

(2) ผู้ใดพัฒนาจิตให้มีบุญเป็นเรื่องปกติที่เจ้ากรรมนายเวรต้องตามทวงให้ใช้หนี้ เจ้าคุณโชดกจึงได้พูดกับผู้ตอบปัญหาว่าทุกครั้งที่ปฏิบัติธรรมแล้วเสร็จต้อง อุทศบุญกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวร

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 พ.ค. 2010, 01:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หนูกราบขออนุโมทนาในกุศลกรรมที่อาจารย์ได้ประพฤติปฏิบัติธรรม และถ่ายทอดพระธรรมคำสั่งสอนของพุทธองค์ในแนวทางที่ถูกตรง เป็น ” ทางสายเอก ” ที่เป็นของจริงเข้าถึงซึ่งสัจธรรม สาธุ สาธุ ปัจจุบันหนูกำลังเดินเข้าสู่เส้นทางธรรม สิ่งที่รับรู้ได้ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกนี้เป็นอนิจจัง สุขก็รู้ ทุกข์ก็รู้ และท้ายสุดมันก็เป็นอนัตตา รู้ด้วยความเป็นจริง ของจริง มนุษย์ขับเคลื่อนทุกอย่างด้วยกิเลส หากทุกชีวิตขับเคลื่อนทุกอย่างด้วยคุณธรรม จริยธรรม มีศีล5คุ้มครองใจและอื่นๆที่เป็นกุศลกรรม สังคมโลกปัจจุบันคงไม่เป็นเฉกเช่นนี้ พร้อมนี้หนูใคร่รบกวนถามอาจารย์ค่ะ

1. หลานของหนูปัจจุบันอายุ 3ขวบครึ่ง ยังพูดไม่ได้มีโลกส่วนตน คุณหมอบอกว่าเป็นออทิสติกแบบหนึ่ง สามารถรักษาหายได้ เป็นเพราะวิบากกรรมใดหรือค่ะ

2. หนูเป็นเสาหลักของครอบครัวปัจจุบัน มีภาระค่าใช้จ่ายทางโลกตามเหตุปัจจัย เช่น เงินเดือนประจำสำหรับคุณพ่อ-คุณแม่ , ค่าเทอมลูก และอื่นๆ ซึ่ง “ สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ” เนื่องด้วยมนุษย์เกิดมามีกรรมเป็นตัวกำหนด มีกรรมเป็นพวกพ้อง มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ฯลฯ เราจะอยู่เหนือโลกได้อย่างไร พระธรรมคำสั่งสอนของพุทธองค์ซิเป็นของจริง บางครั้งก็นึกท้อในวิบาก กรรมของตนเอง แต่ต้องนำสติปัญญา ประคองตนเอง และพิจารณาสามี ลูก เป็นครูบาอาจารย์ของตนเอง ว่าเราจะผ่านบททดสอบนี้ได้หรือไม่ ไม่ต้องไปเพ่งโทษใคร ตัวเราเองรู้จักตัวตนของเราแล้วหรือยัง (ปัจจัตตัง) คงจะต้องพิจารณาและรับกับบททดสอบทุกอย่างด้วยจิตที่สงบนิ่งยอมรับกับวิบาก กรรมนี้ไปตราบกายดับ แต่คงจิตที่เป็นจิตอิสระ จิตเป็นพุทธะไว้ เพราะการเกิดเป็นมนุษย์นี้เป็นความดีงาม เนื่องด้วยทำให้เราได้พบพระพุทธองค์ พบกัลยาณมิตรในทางธรรม พัฒนาตนเองจนเกิดดวงตาเห็นธรรม มีความสว่างทั้งทางโลก ทางธรรม ตราบเข้าสู่พระนิพพานในปัจุจุบันชาติ สาธุ

คำถาม ; ต้องทำตนอย่างไร ถึงจะมีเหตุที่ถูกตรง ให้สามีได้มีสัมมาอาชีพ ที่สามารถช่วยกันประคับประคองครอบครัวให้ถึงพร้อมซึ่งความดีอยู่กันอย่างร่ม เย็นเป็นสุข ปราศจากทุกข์โศก โรคภัย อุปสรรคใดๆ

ทุกวันนี้ หลังจากปฏิบัติธรรม นั่งสมาธิ 30 นาที หนูก็อุทิศบุญกุศลนี้แก่เทวดาที่ดูแลตน , แผ่เมตตาให้กับตนเอง และทุกสรรพสิ่งที่เป็นเพื่อนทุกข์เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น และ อธิษฐานจิตให้ตนถึงพร้อมด้วยอริยทรัพย์ ทรัพย์ภายใน พร้อมทั้งเกิดดวงตาเห็นธรรม ตราบเข้าสูพระนิพพานในปัจจุบันชาติ สาธุ

ตนเตือนตนคงจะเป็นสิ่งที่ดี คิดเห็นให้เป็นสัมมาทิฎฐิ เกิดดับ ตามกฎของ “ ไตรลักษณ์ ”

ท้ายนี้ ขออำนาจคุณ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ขอความปรารถนาของอาจารย์จงสำเร็จลุล่วงสมดังเจตนารมณ์กุศลกรรมใดที่อาจารย์ ได้สั่งสมมาขอเป็นพลวปัจจัยให้อาจารย์เข้าสู่เส้นทางพระนิพพานในปัจจุบัน ชาตินี้ด้วยเทอญ สาธุ


คำตอบ
(1) วิบากกรรมที่เกิดขึ้นกับหลานเป็นเพราะหลานได้ประกอบอกุศลกรรมไว้ก่อนด้วย ประพฤติทุศีลข้อแรก

(2) ต้องพัฒนาจิตของผู้ถามปัญหาให้มีศีลมีธรรมคุมใจและให้มีบุญ(บุญกิริยาวัตถุ 10) อยู่กับใจให้ได้ทุกขณะตื่น เมื่อใดแรงบุญส่งผลโอกาสที่สามีศรัทธาและหันมาประพฤติธรรมย่อมมีได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 พ.ค. 2010, 01:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สังฆทานเวียน หมายความว่า วัดที่จัดถังสังฆทานไว้ให้ญาติโยมร่วมทำบุญ โดยการหยอดเงินใส่ตู้ตามกำลังศรัทธา หรือบางวัดให้ซื้อคูปองกับเจ้าหน้าที่ โดยมีหลายราคา แล้วเอาคูปองไปแลกเอาถังสังฆทานพร้อมพระพุทธรูปกับเจ้าหน้าที่อีกพวกหนึ่ง เสร็จแล้วก็นำไปถวายพระสงฆ์ การกระทำแบบนี้ดิฉันฟังรายการวิทยุ มีคนถามอาจารย์ท่านนั้นว่าทำอย่างนี้จะได้บุญไหม สมควรทำไหม อาจารย์ท่านนั้นตอบว่าไม่แนะนำให้ทำ เพราะเป็นการส่งเสริมให้วัดนั้นๆ ทำผิดวัตถุประสงค์

ดิฉันศรัทธาท่านอาจารย์ดร.สนองมาก จึงอยากเรียนถามท่านอาจารย์ในคำถามเดียวกันข้างต้น โปรดเมตตาให้ปัญญากับดิฉันด้วย

คำตอบ
ผิดจุดประสงค์ของอาจารย์ท่านที่ตอบว่า “ ไม่แนะนำให้ทำ ” แต่ถูกจุดประสงค์ของพระที่อยู่ในวัดที่จัดให้มีการถวายสังฆทานตามที่บอกเล่า ไป

เมื่อยกปัญหานี้มาถามให้ผู้ตอบปัญหาได้เฉลย ผู้ถามปัญหาเฉลยว่า ผู้ใดไม่ศรัทธาประพฤติ “ สังฆทานเวียน ” ก็ไม่ต้องทำ แต่ให้ข้อคิดว่า ก่อนถวายสังฆทานต้องศรัทธา ขณะถวายสังฆทานต้องตั้งใจถวายสังฆทานแล้วสบายใจ หากปัจจัยทั้งสามเป็นไปในแนวทางเช่นนี้การถวายสังฆทานนั้นจะให้อานิสงส์ของ บุญเกิดขึ้นฝ่ายเดียวไม่มีบาปเจือปน

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1521 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 51, 52, 53, 54, 55, 56, 57 ... 102  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร