วันเวลาปัจจุบัน 13 ต.ค. 2025, 02:29  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 1521 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 54, 55, 56, 57, 58, 59, 60 ... 102  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 30 พ.ค. 2010, 18:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมเคยมีอาการร้องไห้ น้ำตาไหลพราก จนควบคุมไม่ได้ ขณะที่กำลังสวดมนต์ (ทั้งสวดมนต์ทำวัตร หรือ บทอื่นๆ) รวมทั้งในขณะที่ฟังธรรมบรรยาย
แต่ไม่มีอาการดีใจ หรือ เป็นสุขใจ...
รู้ตัวว่าในใจสงบและไม่ยินดียินร้ายในเรื่องใดๆ
อยากรบกวนสอบถามว่า อาการนี้ เป็นอาการอะไรครับ?
ควรจะแก้ไขอย่างไรดีครับ?


คำตอบ
อาการตามที่บอกเล่าไป ผู้รู้เรียกว่า “ ปีติ ” ซึ่งเมื่อเกิดขึ้นแล้วทำให้ขัดขวางการพัฒนาปัญญาเห็นแจ้ง ดังนั้นต้องกำจัดปีติให้หมดไปด้วยการบริกรรมคำว่า “ ร้องไห้หนอๆๆๆ ” ไปเรื่อย ๆ จนกว่าอาการร้องไห้หมดไป น้ำตาจะหยุดไหลได้เอง

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 30 พ.ค. 2010, 18:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1) เราจะใช้หลักของข้อธรรมใด ในการที่ภาระทางโลกนั้น อยู่กับมนุษย์ผู้หญิงคนหนึ่ง ต้องแบกค่าใช้จ่ายทุกอย่างบนบ่าของตนเองเลี้ยงดูพ่อ แม่ สามี ลูก ทุก วันนี้ปฏิบัติโดยการนั่งสมาธิทุกๆวันๆละ 30 นาที (เช้า - เย็น ; เมื่อได้เวลาก็จะถอนออกจากสมาธิเอง) และเดินจงกลมวันละ 30 นาที “ ทำบ้านให้เป็นวัด ” เพราะยังมีภาระอยู่เลยยังไม่มีโอกาสเข้าปฏิบัติธรรม รู้สึกเดินมาถูกทางแล้วที่ได้พบเจอกัลยาณธรรมอย่างอาจารย์ ที่มีความเห็นที่ถูกตรง สุขใจค่ะ

2) ช่วงปฏิบัติใหม่ๆก่อนนั้นหนูนั่งสมาธิ จะเห็นแสงสว่างจ้า , บางครั้งก็เหมือนกายไม่มี , รู้สึกปลื้มปิติมีความสุข , ตัวลอย , บางครั้งก็เหมือนไม่มีกายเรามันดับวูบลงไป , รับรู้ถึงกลิ่นหอม , เสียงนกร้อง แต่ปัจจุบันนี้อาการเหล่านี้ไม่มี มีแต่จิตนิ่ง สงบเย็น เป็น ธรรมดา เมื่อคิดฟุ้งก็กำหนด “ คิดหนอ ๆ ” ไปเรื่อยๆจนหยุดคิด เกิดอะไรก็กำหนดไปตามเหตุ เดินจงกลมก็กำหนดให้มีสติ หากฟุ้ง ก็ตามกำหนดภาวนา เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป รู้ว่าทุกข์ ก็ละทุกข์ไป พยายามให้จิตนิ่ง มีแต่ตัวรู้ มีสติ หนูกำลังฝึกมองว่า “ ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นอนัตตา ” คงจะได้สักวันหนึ่ง

3) มีสิ่งที่เป็นความดีงามในจิตที่สัมผัสรับรู้ได้ หลังจากปฏิบัติธรรมมานานเนื่องต่อกันทุกๆวัน อุปนิสัยที่เป็นกิเลส รัก โลภ โกรธ หลง ลดลงไปค่อนข้างเยอะ เปลี่ยนเป็นคนใหม่ มีความเห็นที่ถูกตรง รู้แจ้ง ตามพระธรรมคำสั่งสอนของพุทธองค์ สาธุ สาธุ สาธุ อะไรใช่ อะไรที่ไม่เป็นสาระประโยชน์ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เมื่อเจอบททดสอบ บางครั้งก็ผ่าน แต่หลากหลายครั้งก็ไม่ผ่าน ซึ่งก็ต้องหมั่นฝึกปฏิบัติจิตของตนไปเนืองๆ ตามแนวทางของผู้รู้ ของครูบาอาจารย์ โดยไม่ต้องลังเลสงสัย (ศรัทธาในคุณธรรม จริยธรรม)

ของอาจารย์ที่สุดเลยค่ะ ท้ายนี้ขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัย จงปกป้องคุ้มครองอาจารย์ให้มีร่างกายที่แข็งแรงค่ะ

คำตอบ
(1) ผู้ถามปัญหาเป็นผู้มีโชคดีที่เอาภาระของบุคคลอื่นมาเป็นภาระของตัว พระโพธิสัตว์เขาประพฤติกันอย่างนี้เพราะเห็นว่าเป็นโอกาสให้ตัวเองได้สร้าง บารมีอาทิ ทานบารมี วิริยบารมี ขันติบารมี ฯลฯ ผู้ถามปัญหากำลังดำเนินตามปฏิปทาของพระแม่กวนอิม ดูให้ออกแล้วเจริญอุเบกขามีให้มากยิ่งขึ้น...สาธุ

(2) แต่ก่อนสภาวะของจิตยังไม่ดี จึงได้ไปเห็น ไปได้ยิน ไปได้กลิ่น ฯลฯ แต่ปัจจุบันจิตได้รับการพัฒนาสูงขึ้น จึงเข้าถึงความสงบและเย็นได้ จงรักษาความดีเช่นนี้ให้ได้ตลอดไป แล้วความเป็นอนัตตาของสรรพสิ่ง รวมถึงรูปและนามของตัวเอง ก็จะเข้าสู่ความเป็นอนัตตาได้ในวันข้างหน้า

(3) ความโลภ ความโกรธ ความหลง ลดลงไปค่อนข้างเยอะแสดงว่ายังมีกิเลสใหญ่สามตัวนั้นหลงเหลืออยู่ในจิตวิญญาณ ของผู้ถามปัญหา จงอย่าประมาทเพราะกิเลสเหล่านี้ถ้ามีโอกาสฟื้นคืนมาให้ผลได้อีกเมื่อใด ยังมีอบายภูมิเป็นแดนเกิดได้อยู่ ดังนั้นต้องกำจัดความโลภ ความโกรธ ความหลงให้หมดไปจากใจ หรือปิดประตูอบายภูมิให้ได้ด้วยการพัฒนาจิตจนบรรลุความเป็นโสดาบันบุคคลได้ แล้ว จึงจะถือได้ว่ามีชีวิตปลอดภัย..แน่นอน

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 30 พ.ค. 2010, 18:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ตอนเด็ก ๆ เคยได้ยินเสียงเปรตร้อง และช่วงสมัยเรียนถูกผีอำบ่อยมาก ๆ บางครั้งตอนอ่านหนังสือ ขณะที่เรารู้สึกสงบ บางครั้งจะรู้สึกเหมือนมีคนเดินผ่าน อยากทราบว่าถ้าเจอเหตุการณ์แบบนี้อีก ขณะนั้นควรปฏิบัติตนอย่างไร และอาการผีอำเป็นผีจริง ๆ หรือไม่ หรือว่าเป็นอาการทางร่างกายที่เราพักผ่อนไม่เพียงพอตามทางหลักวิทยาศาสตร์

ตั้งแต่เล็กจนโต จวบจนเดี๋ยวนี้ มักจะฝันล่วงหน้าบ่อย ๆ แต่เป็นเหตุการณ์ไม่สำคัญอะไร คนในครอบครัวเป็นกันหลายคนค่ะ โดยเฉพาะดิฉันกับน้องชาย เป็นเพราะสาเหตุอะไรคะ และการฝันล่วงหน้ามีกันได้ทุกคนหรือไม่ ดิฉันไม่กล้าเอาไปเล่าให้เพื่อน ๆ ฟัง กลัวเค้าหาว่าเพ้อเจ้อ เลยคุยกันแต่ในครอบครัวเท่านั้น

ครอบครัวดิฉันทำธุรกิจค้าขายมานาน ดิฉันรู้ตั้งแต่เด็กแล้วว่าครอบครัวเราติดหนี้ธนาคารอยู่เยอะ แต่ไม่ทราบจำนวนที่แน่นอน จนเรียนจบถึงรู้ตัวเลข เป็นเงินเกือบ 100 ล้านบาท และตอนนี้ก็กำลังจะถูกธนาคารยึดทรัพย์สินแล้ว ตัวดิฉันเองรับได้ค่ะ เพราะอะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด ห่วงแต่แม่เท่านั้นเพราะท่านเป็นโรคหัวใจ และเป็นคนคิดมาก อยากทราบว่าการที่ดิฉันต้องมารับผลกรรมที่ไม่ได้สร้างหนี้สินเอาไว้ เกิดจากการกระทำกรรมใด และควรจะยุติกรรมนั้นด้วยวิธีไหน เจ้ากรรมนายเวรถึงจะเลิกจองเวรคะ

ดิฉันอยู่ที่ จ.พิษณุโลก ค่ะ อยากไปปฏิบัติธรรม คุณ ฐิติขวัญ (นิตยสารซีเคร็ท) ให้ชื่อเว็บไซด์สถานที่ปฏิบัติธรรม ในพิษณุโลกเป็นที่ศูนย์ปฏิบัติธรรมอาภา ที่นี่อาจารย์มีความเห็นอย่างไรคะ ถ้าดิฉันจะเลือกไปปฏิบัติ เพราะดิฉันไม่เคยปฏิบัติมาก่อนรู้สึกว่าที่นี่จะเคร่งครัดมาก แต่อยากไปเพราะอยู่ในจังหวัดบ้านของดิฉันเอง

ขอความกรุณาช่วยตอบด้วยนะคะอาจารย์
ด้วยความเคารพอย่างสูง

คำตอบ
ควรปฏิบัติจิตตภาวนา จนเข้าถึงความมีสติสัมปชัญญะสูงสุดได้แล้ว ก็จะสามารถรู้เท่าทันความเป็นจริงของเปรตของการเกิดผีอำ ที่นักวิทยาศาสตร์เข้าใจว่า เป็นอาการของร่างกายที่พักผ่อนไม่เพียงพอ นี่เป็นความเห็นถูกของนักวิทยาศาสตร์ แต่มิได้หมายความว่า เป็นความเห็นถูกของผู้รู้ทีเข้าถึงปัญญาสูงสุด (ภาวนามยปัญญา) นั่นคือจะบอกว่าผีมีจริง การที่พลังงานจิตของผี (อมนุษย์) เข้ามามีอำนาจเหนือกายหยาบของมนุษย์ แล้วทำให้กายหยาบแสดงอาการที่เรียกว่าผีอำจึงได้เกิดขึ้น

การฝันล่วงหน้า เป็นเพราะความถี่คลื่นจิตเริ่มคงที่ จึงมีโอกาสไปรับรู้สิ่งที่จะเกิดในกาลข้างหน้าได้

ครอบครัวเป็นหนี้ธนาคาร เป็นผลมาจากผู้ถามปัญหา เคยร่วมกระบวนการกับพ่อแม่ ที่ไปเอาทรัพย์ของผู้อื่นมาเป็นทรัพย์สินของตนโดยวิธีการที่ไม่ถูกต้องชอบ ธรรม ปัจจุบันผู้ถามปัญหามิได้ก่อเหตุตรงด้วยตัวเอง แต่มีส่วนร่วมในกระบวนกรรมของทรัพย์ที่ได้มาดังตัวอย่างเช่น นักเรียนได้รับเงินอุดหนุนทางการศึกษา เป็นเงินที่ไม่บริสุทธิ์เป็นเงินร้อน เช่นเงินรายได้จากการพนัน รายได้จากการขายล๊อตเตอรี่ (อบายมุข) เมื่อใดอกุศลกรรมให้ผลนักเรียนผู้รับทุนต้องเป็นผู้มีส่วนรับอกุศลวิบากนั้น ด้วย

ขออภัยชื่อของสถานปฏิบัติธรรมดังที่บอกเล่าไป ผู้ตอบปัญหาไม่มีประสบการณ์

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 30 พ.ค. 2010, 18:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมทราบมาว่าการทำสมถภาวนาให้สำเร็จนั้นผู้ปฏิบัติจะต้องมีศีล 5 ที่บริสุทธิ์ ผมได้ฝึกทำสมาธิมาช่วงหนึ่งแล้ว แต่ความเพียรยังไม่มากพอ ได้ทำบ้าง ไม่ได้ทำบ้าง แต่ผมมีศีล 5 ที่ไม่บริสุทธิ์ เนื่องจากผมเป็นสัตวแพทย์ ผมจึงยังต้องฉีดยาฆ่าเห็บให้สุนัขอยู่เป็นประจำ ส่วนศีลข้ออื่นรักษาได้บริสุทธิ์ ข้อปาณาก็ไม่ได้ฆ่าสัตว์อื่นนอกจากฉีดยาเห็บให้สุนัข
ผมจึงอยากเรียนถามอาจารย์ว่า ผมรักษาศีล 5 ได้ไม่บริสุทธิ์ในลักษณะอย่างนี้ผมมีโอกาสที่จะฝึกสมาธิจนเกิดฌานได้หรือไม่

กราบขอบพระคุณอาจารย์ที่กรุณาให้ความกระจ่าง

คำตอบ
ไม่ได้ครับ เพราะใจมีศีลไม่ครบ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 30 พ.ค. 2010, 18:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พ่อหนูเสียชีวิตไปเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม ด้วยโรคมะเร็ง และโรคไตวาย ก่อนจะสิ้นลมซึ่งไม่ทราบเวลาที่แน่นอน ท่านทานข้าวได้ดี พูดคุยด้วยอารมย์ดี และขอนอนพักก่อนที่จะกินยาก่อนนอน เมื่อถึงเวลากินยาไปเรียกท่านปรากฎว่าท่านเสียชีวิตแล้วค่ะ แต่ก็ยังนำไปโรงพยาบาล หมอพยายามปั๊มหัวใจแต่ท่านก็ไม่กลับมาแล้ว หนูมีคำถามถามอาจารย์ดังนี้ค่ะ

1. การที่หลับแล้วเสียชีวิต บ่งบอกถึงอะไรได้บ้างคะ หมายถึงท่านไปดีไปสบายเหมือนกับที่หลายๆ คนชอบพูกกันหรือเปล่าคะ
2. จนถึงวันนี้ท่านจากไป 1 เดือนกับอีก 16 วันแล้ว ท่านไม่เคยกลับมาหาใครเลย ไม่มีใครฝันถึง ไม่มาปรากฎตัวให้เห็น นี้เป็นสัญญาณว่าท่านไปอยู่ในที่สบายในที่สุคติใช่ไหมคะ
3. หนูได้ไปปฏิบัติธรรมที่คณะ 5 วัดมหาธาตุฯ ตามคำแนะนำในหนังสือของอาจารย์ ได้ประมาณ 10 ครั้งแล้ว แต่หนูก็ไม่สามารถเข้าถึงสมาธิได้สักครั้งเดียว แต่ในด้านของความรู้สึก หนูรู้สึกว่าเบาสบาย มองโลกในแง่ดีขึ้น การปฏิบัติได้ในระดับนี้ หนูจะสามารถอุทิศบุญกุศลนี้ไปให้พ่อหนูได้ไหมคะ
4. หนูควรทำบุญแบบใด จะได้ส่งถึงพ่อหนูโดยตรงคะ
5. ถ้าเกิดพ่อหนูไม่ได้อยู่ในที่สุคติจริง การทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ท่าน จะทำให้ท่านได้รับและได้ไปอยู่ในที่สุคติไหมคะ
6. มีวิธีไหนไหมคะที่จะทราบว่าตอนนี้พ่อหนูอยู่ที่ไหน หนูอยากทราบว่าท่านเป็นอยู่อย่างไร
7. การลอยอังคารเป็นการปฏิบัติที่ถูกต้องและควรทำไหมคะ ในครอบครัวตกลงกันว่าจะนำกระดูกท่านไปลอยอังคารในวันครบรอบ 100 วันค่ะ และต้องปฏิบัติอย่างไรบ้างคะ

กราบขอบพระคุณที่อาจารย์สละเวลาตอบคำถามนะคะ
ขอให้อาจารย์มีสุขภาพที่แข็งแรงและอายุยืนยาวเป็นที่พึ่งกับพวกเราชาวกัลยาณ ธรรมตลอดไปนะคะ

คำตอบ
(1) หลับเพียงเปลือกตา แต่ใจยังไม่หลับ ยังมีการเกิด-ดับอยู่ จึงเคลื่อนออกจากร่างปัจจุบัน ไปหาร่างใหม่อยู่อาศัยได้ในกรณีนี้ใจของท่านทิ้งร่างด้วยมีสติกำกับ สุคติภพจึงเปลี่ยนเป็นที่หมายที่ท่านไม่รู้

(2) หนึ่งเดือนกับอีกสิบหกวันเป็นเวลาที่ยาวนานสำหรับมนุษย์ผู้รอคอย แต่เป็นเวลาชั่วขณะเดียวในสุคติภพที่สูงกว่ามนุษย์ ฉะนั้นไม่ควรห่วงกังวลที่ท่านหายลับไป ควรห่วงแต่เพียงว่าผู้เป็นลูกได้ทำบุญอุทิศให้ท่านหรือเปล่า เพราะนั่นคือจริยธรรมที่ลูกผู้มีความกตัญญูต้องประพฤติให้เป็นปกติ

(3) ไม่ควรพะวงถึงการมีจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ ความรู้สึกว่าเบาสบาย และมองโลกในแง่ดี นั้นเป็นบุญที่ผู้ถาม ปัญญาได้ทำให้เกิดมีขึ้นและถูกเก็บสั่งสมอยู่ในใจแล้ว ฉะนั้นพึงอุทิศบุญกุศลที่ลูกมีให้แก่พ่อ เพราะทุกครั้งที่อุทิศ บุญอันเกิดจากการอุทิศส่วนบุญจะเกิดขึ้นเป็นอีกโสดหนึ่งด้วย

(4) ทำได้ทุกรูปแบบตามที่ระบุไว้ในบุญกิริยาวัตถุ 10 เมื่อทำสำเร็จแล้ว บุญจะเกิดขึ้นกับผู้กระทำ ผู้มีบุญอยู่กับใจควรตั้งใจมั่นเอาใจจดจ่ออยู่กับการอุทิศ ด้วยการกล่าวเป็นวาจาว่า “ บุญที่ข้าพเจ้ามีอยู่ ข้าพเจ้าอุทิศให้แก่พ่อ (เอ่ยชื่อ) ผู้ไปเกิดอยู่ในปรภพ จงเป็นสุขเถิด ” จะกรวดน้ำตามหลังหรือไม่กรวดน้ำทำได้ตามอัธยาศัย

(5) ความสงสัยเป็นสันดานของมนุษย์ผู้ไม่รู้จริง ฉะนั้นควรเชื่อและประพฤติตามที่ผู้รู้บอกกล่าว ความเห็นถูกในทางโลกก็จะเกิดขึ้น ความสงสัยจะหมดไปชั่วคราว

(6) ความอยากรู้คือตัณหา เป็นตัวกิเลสปิดบังใจไม่ให้รู้ไม่ให้เห็น ผู้ใดขัดข้องความอยากให้หมดไปจากใจได้ โอกาสไปรู้ไปเห็นย่อมเกิดขึ้นได้ มิน่าเล่า ผู้ถามปัญหาพัฒนาจิตแล้วไม่ตั้งมั่นเป็นสมาธิก็เนื่องด้วยเหตุแห่งตัณหานั่ง เอง

(7) การลอยอังคารเป็นประเพณีนิยมทางโลกของบางกลุ่มชนถือปฏิบัติสืบต่อกันมา ผู้รู้จริงไม่ลอยอังคารให้เสียเงินไปกับพิธีกรรมไม่เสียเวลาไปทำสิ่งดีน้อย กว่าให้กับชีวิต ฉะนั้นผู้ถามปัญหาจะปฏิบัติอย่างไรกับการลอยอังคาร ต้องไปถามวิธีการกับคนที่ยังมีจิตเป็นทาสของพิธีกรรมเช่นนี้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 30 พ.ค. 2010, 18:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


มีคำถามดังนี้ค่ะ
1. การที่เรายึดติดแม่มากเกินไปเป็นอย่างไรคะ เนื่องจากหนูได้มีโอกาสฟังธรรมเทศนา พระท่านได้กล่าวกับผู้มาปฏิบัติธรรมโดยสรุปดังนี้ค่ะ "การปฏิบัติเพื่อหลุดพ้นผู้ที่เป็นผู้ใหญ่ต้องละลูก หลาน ผู้ที่เป็นเด็กต้องละความเป็นพ่อ เป็นแม่" คือทุกวันนี้หนูยังไม่มีครอบครัว ทำธุรกิจกับที่บ้าน ก็จะมีปฏิสัมพันธ์เฉพาะกับพ่อแม่ พี่น้องซึ่งมากกว่าเพื่อนมาก โดยเฉพาะคุณแม่ เวลาจะตัดสินใจไปไหน ทำอะไรก็จะนึกถึงแต่คุณแม่ก่อน ซึ่งท่านอายุ 57 ปี สุขภาพท่านแข็งแรงดี แต่พักหลังท่านเริ่มเข้าวัยทอง เหมือนต้องการคนเอาใจ หนูเองก็พยามทำเท่าที่ทำได้ ซึ่งหนูเองก็สนใจในธรรมเป็นพื้นก็พยามให้คุณแม่เข้าใจในธรรมเช่นกัน ซึ่งก็ได้ในระดับหนึ่ง หนูจึงมาคิดถึงตนเองค่ะ ว่าสภาพปัจจุบันหนูมีความยึดติดท่านมากเกินไปหรือไม่ เท่าที่เข้าใจก็คือตอนนี้พยามทำหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุด แต่ก็ไม่แน่ใจว่าบางครั้งนั้นมากเกินไปหรือไม่

2. หนูได้มีนิมิตในฝันว่าตนเองถูกไล่ยิงโดยคนร้ายที่เราไม่รู้จัก หนูวิ่งหนีอย่างสุดชีวิต ปกติปฏิบัติธรรม ก็ทำความเข้าใจในธรรมว่าเกิดแก่เจ็บตายเป็นธรรมดา แต่พอระลึกถึงนิมิตในฝันก็รู้สึกว่าตนรักชีวิตตนเองอย่างที่สุด ในฝัน เหมือนจะเข้าใจอีกว่าคุณแม่ก็เป็นฝ่ายบอกทางให้ผู้ร้ายด้วย หนูยังวิ่งหนีคุณแม่และผลักท่านตกบันได เพราะเหมือนท่านจะสามารถเดินตามหลังมาติด ๆ แต่ก็หันกลับมาดูว่าท่านเป็นอะไรมากหรือไม่ จากในฝัน ยิ่งทำให้หนูเข้าใจว่าหนูรักตัวเองยิ่งกว่าสิ่งใดในโลก อาจารย์มีอุบายในการปฏิบัติอย่างไรบ้างคะ เพื่อความก้าวหน้าในธรรม

3. ขณะนี้หนูอายุ 26 ปี มีความหวังถึงพระนิพพานอย่างแน่วแน่ ขณะนี้แม้อายุยังไม่มาก และเป็นหญิง แต่ก็สนใจในธรรม และตั้งเป้าหมายไว้กับการบรรลุธรรมสูงสุดในโลกุตตรธรรม มีข้อสงสัยว่าฆราวาสอย่างหนูจะสามารถเข้าถึงเป้าหมายสูงสุดนั้นในฐานะฆราวาส ได้บ้างหรือไม่ ทำไมเท่าที่เคยฟังมาการเป็นอรหันตสาวกจึงไม่มีในฐานะของฆราวาสได้เลย พื้นฐานทางครอบครัวหนูมีอาชีพค้าขาย ทำธุรกิจส่วนตัว การงานภายในบ้านพร้อมสรรพ ถ้าหนูใช้จ่ายอย่างประมาณทรัพย์สินที่มีอยู่ก็อาจเลี้ยงดูตนเองไปจนตลอด และชีวิตไม่คิดจะมีสามี เพียงแต่ถ้ายังต้องอาศัยครอบครัวอยู่ก็จำเป็นจะต้องช่วยภาระกิจการทางครอบ ครัวไปตามหน้าที่บ้าง อ.มีความเห็นว่าอย่างไรบ้างคะ และควรประมาณตนอย่างไรบ้าง

กราบขอบพระคุณอาจารย์มากค่ะ

คำตอบ
(1) อะไรที่มากเกินไป มีเครื่องชี้วัดคือเป็นสิ่งที่ต้องแก้ไขปัญหา ตัวอย่างความผูกพันใกล้ชิดกับผู้เป็นแม่ หากไปทำให้แม่ต้องสูญเสียอิสรภาพ อึดอัดขัดข้อง รำคาญใจ ฯลฯ นั่นคือสิ่งที่ต้องแก้ไข นั่นคือปัญหาที่ผู้เป็นลูกได้ทำให้เกิดขึ้น ตรงกันข้ามหากปรากฏการณ์เช่นนี้ไม่เกิดขึ้น ไม่เรียกว่ามากเกินไป ไม่ต้องแก้ไข มีสิ่งที่ไม่ควรละเลยคือจริยธรรมของลูกที่มีต่อแม่ ต้องประพฤติให้เป็นปกติ เมื่อประพฤติแล้วจะเกิดเป็นความกตัญญูที่ผู้มีความจริงในหน้าที่การงานและ เจริญในชีวิตเขานิยมประพฤติกัน

(2) “ รักตัวเองยิ่งกว่าสิ่งใดในโลก ” เป็นเครื่องหมายบ่งบอกให้เห็นถึงความมีตัวตน (อัตตา) หรือคือความเห็นแก่ตัวนั่นเอง ผู้รู้ทำให้ชีวิตมีคุณค่า ด้วยการใช้ปัญญาเห็นแจ้งดับขันธ์ 5 (รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) ตามกฎไตรลักษณ์ เมื่อขันธ์ 5 ดับ (อนัตตา) ความเป็นตัวตนไม่มีตรงกันข้ามความเห็นแก่ผู้อื่นจะเกิดขึ้น ชีวิตจึงเหมือนต้นไม้ใหญ่ดำรงอยู่เพื่อทำประโยชน์ที่เป็นคุณแก่มวลชน คุณค่าของชีวิตเกิดด้วยวิธีการเช่นนี้

(3) ไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชาย สามารถพัฒนาจิตไปสู่การดับรูป ดับนาม (นิพพาน) ได้ การเข้าสู่พระนิพพาน มิได้เอาร่างกายที่เป็นตัว บ่งชี้ฐานะทางเพศเข้า แต่เอาจิตที่ปราศจากกิเลสที่ผูกมัดใจสัตว์ (สังโยชน์ 10)
เข้านิพพาน ดังตัวอย่างของเด็กชายโสปากะ นายพาหิยะ เจ้าหญิงเขมา ฯลฯ นำจิตเข้าสู่พระนิพพานได้ในขณะยังดำรงอยู่ในเพศของฆราวาส

ส่วนเรื่องที่บอกเล่าและถามไป ผู้ตอบปัญหาเห็นว่า ผู้ใดเกิดมาเป็นสมาชิกของสังคมครอบครัว หรือสังคมอื่นใด มีงานที่ต้องทำอยู่สองงาน คืองานภายนอกได้แก่งานที่ทำให้กับครอบครัว มีความรับผิดชอบในงานที่ทำ ทำงานได้ผลสำเร็จ งานเสร็จทันเวลา ผลงานเข้าตา เป็นที่เรียกหาเรียกใช้ หากทำได้เช่นนี้แล้วสมาชิกของครอบครัวอยู่สุขสบายและมีความสุข ส่วนงานภายในคือ งานพัฒนาจิตวิญญาณให้กับตนเอง พัฒนาจิตให้มีสติมีปัญญาเห็นถูกตามธรรม มีบุญมีบารมีสั่งสม เพื่อใช้ในการเดินทางสู่ปรโลกได้อย่างปลอดภัย ผู้หวังความสวัสดีในชีวิตหน้า นิยมปฏิบัติเช่นนี้ ทุกคนมีชีวิตเป็นของตัวเองฉะนั้นต้องบริหารจัดการชีวิตด้วยตัวเอง ผู้รู้เป็นได้เพียงผู้ชี้แนะเท่านั้น จะบอกให้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 30 พ.ค. 2010, 18:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1. หนูเรียนถามปัญหาของตนเองค่ะ สามีหนูไม่มีงานทำ เพราะ พิษเศรษฐกิจ , มีหนี้สินเยอะ , มีเพื่อนหญิงแยะ และเป็นคน มีอัตตาของตนเองสูง (คิดเป็นมิจฉาทิฏฐิ เช่น มองโลกในแง่ร้าย , ไม่เคยไว้วางใจใคร , ชอบตำหนิหนูและลูก (ข้อนี้ หนูคงมีความดีไม่พอเขาเลยยังไม่เกิดศรัทธา อาทิเช่น จิตที่เป็นเมตตา , อุเบกขารมณ์ของหนูเอง) โทสะเยอะชอบเพ่งโทษคนอื่น ชอบก่นด่า พูดจาไม่ไพเราะ และที่สำคัญคือ “ ธรรมารมณ์ ” ยังไม่ก่อเกิด

ข้อดี : สามี ไม่กินเหล้า , ไม่สูบบุหรี่ มีศีล คือ ไม่มักได้ ไม่อยากได้ พูดตรงกับใจ กินน้อย พูดน้อย แต่ นอนเยอะ การรับผิดชอบช่วยเหลืองานบ้านในครอบครัวผ่านที่เกือบ 80 % (มักน้อย , สันโดษ)

คำถาม จากข้อมูลดังกล่าว หนูต้องสร้าง เหตุแบบไหนค่ะ กับอนาคตที่จะก้าวเดินไปข้างหน้าทางโลก โดยประคับประคอง “ นาวาของครอบครัวตนเอง ; พ่อ-แม่-ลูก ” ให้ถึงฝั่งของ อริยบุคคล ขั้นต้น (ของหนูเองเพราะต้องฝึกตนให้ดีพร้อมก่อนค่ะ) ”

2. หนูต้องยอมรับกับชะตากรรมตนเอง ถูกต้องใช่ไหมค่ะ จะได้ใช้หนี้กรรมหนี้เวรให้จบกันไปในชาตินี้และเราจะ ขออโหสิกรรม ต่อสามี และมีบทเอ่ยอย่างไรค่ะ และสร้างเหตุให้ตรงอย่าง ไรค่ะ จาก การ “ ปฏิบัติธรรม ” นั่ง สมาธิ , เดินจงกลม ทุกๆวันเช้า-เย็น หลังจากว่างเว้นจากธุระการงาน มองทุกสิ่งทุกอย่างเป็นสัมมาทิฏฐิ จนเกิดปัญญาเห็นแจ้ง รู้จริง “ พัฒนาจิต ” ตนเองได้ระดับหนึ่ง (คิดไปเองน่ะค่ะ) อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด “ ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นอนัตตา ” แต่เมื่อเจอครูบาอาจารย์ที่บ้าน (สามี) สติกระเจิงเกือบจะทุกครั้งเลยค่ะ ก็เป็นข้อสรุปว่าสอบไม่ผ่าน เพราะเราไปเพ่งโทษเขา เนื่องจากขาดเมตตา และอื่นๆ สาระสำคัญคือ “ รู้จักตนเอง ” ยังไม่ถ่องแท้ค่ะ เลย ต้องแพ้จิตใจของตนเอง เฮ้อ ! เมื่อไรความดีงาม ของเราจะถึงพร้อม เมื่อนั้นศรัทธาจากตัวสามีและลูกก็คงจะก่อเกิด อธิษฐานไว้ และสร้างเหตุให้ตรง จำไว้ (ปฏิบัติให้ได้น่ะ เตือนตนเองอยู่เนืองๆค่ะ) เมื่อเจอบททดสอบ บางครั้งก็ผ่าน แต่หลากหลายครั้งก็ไม่ผ่าน (กับสามีเจ้าประจำ) อย่าติดสมมุติ เป็น อย่างนั้นใช่ไหมค่ะ ยากจังค่ะ หากรู้ใจตนเองชนะตนเองได้ คงผ่านทุกสิ่งใช่ไหมค่ะ

ท้ายนี้ขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัย จงปกป้องคุ้มครองอาจารย์ให้มีร่างกายที่แข็งแรงค่ะ

ด้วยความรักเคารพศรัทธายิ่ง

คำตอบ
(1) เหตุที่จะทำให้สังคมครอบครัวดำรงอยู่ได้และมีความสุขผู้เป็นสมาชิกของครอบ ครัว โดยเฉพาะผู้ทำหน้าที่เป็นผู้นำครอบครัว ต้องเป็นคนที่มีศีลแล้วครอบครัวถึงจะดำรงอยู่ได้ ส่วนครอบครัวจะสงบสุข สมาชิกของครอบครัวต้องบริโภคใช้สอยมักน้อย บริโภคใช้สอยแต่สิ่งอันเป็นสาระ และมีความสันโดษไม่นำตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่น พัฒนาตัวเองให้มีเมตตา และไม่เป็นทาสของอบายมุข

อนึ่ง การจะไปให้ถึงฝั่งของการเป็นอริยบุคคลในยุคสมัยนี้ ต้องปฏิบัติจิตตภาวนาจนเกิดปัญญาเห็นแจ้ง แล้วใช้ปัญญาเห็นแจ้งกำจัดสังโยชน์สามตัวแรก (สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส) ให้หมดไปจากใจ การเข้าถึงความเป็นอริยบุคคลขั้นต้นจึงจะเกิดขึ้นได้

(2) ผู้รู้ยอมรับความจริง ยอมชดใช้หนี้เวรกรรมให้หมดไปโดยดุษณี และไม่สร้างหนี้กรรมใหม่ให้เกิดขึ้น การปฏิบัติจิตตภาวนาเป็นบุญใหญ่สุด ทุกครั้งที่ปฏิบัติแล้วเสร็จต้องอุทิศบุญกุศลที่เกิดขึ้นให้กับเจ้ากรรมนาย เวร
เรื่อย ๆ ไป

อนึ่งผู้ถามปัญหาเป็นผู้มีโชคดี มีครูบาอาจารย์อยู่ใกล้ตัวไม่ต้องเดินทางไปหาครูบาอาจารย์ในที่ห่างไกลให้ เสียเวลา ปัญหาที่บอกเล่าไปต้องแก้ด้วยการ เจริญขันติบารมีและพรหมวิหาร 4 ให้มีกำลังกล้าแข็งได้เมื่อใดแล้ว ปัญหาจึงจะจมลงได้ เมื่อเจอบททดสอบแล้วบางครั้งผ่านได้นับว่าแก้ปัญหาได้ถูกตรง แต่ต้องทำให้ความถี่ของการสอบผ่านเพิ่มมากขึ้น ด้วยการเจริญคุณธรรมสองข้อดังที่กล่าวมาข้างต้นให้มีกำลังมากยิ่งขึ้น จนสามารถสอบผ่านได้ทุกครั้งจึงจะเรียกว่าแก้ปัญหาได้สำเร็จ หลังจากนั้น จึงไปขอขมากรรมต่อครูผู้อยู่ใกล้ พร้อมทั้งอุทิศบุญกุศลให้กับครูผู้มีพระคุณที่ทำให้ผู้ถามปัญหามีความเจริญ งอกงามในจิตวิญญาณ จนสามารถต้านกระแสของกิเลสได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 30 พ.ค. 2010, 18:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หนูเคยเจอท่านแล้วสองครั้งแต่ไม่กล้าเข้าไปสอบถาม ครั้งแรกที่บ้านท่านอาจรย์ ดร.สนอง
ครั้งที่สอง ที่ดอยเวียงแก้ว จ.เชียงราย
หนูกับแฟนวางแผนจะแต่งงานกันในปีหน้า แฟนดิฉันเค้าทำร้านแว่นตา และเค้าก็ถือศีล 5
หนูและแฟนที่เราคบกันได้เพราะว่าเราทั้งคู่ศึกษาธรรมมะ เหมือนกัน ในงานแต่งงานดิฉันจึงไม่
อยากเลี้ยง เหล้า แต่ทั้งทางญาติและพ่อ แม่ ของทั้งสองฝ่ายต้องการอยากให้เลี้ยงตามแบบสังคม
ทั่วไป ถ้าหนูและแฟน ไม่จัดงานเลี้ยง แต่พ่อแม่ของทั้งสองฝ่ายไม่พอใจ จะเป็นบาปมั้ยค่ะ

กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์เป็นอย่างสูง

คำตอบ
เป็นบาปกับคนที่ไม่พอใจ แต่เพื่อความเข้าใจในเรื่องของกรรมและการให้ผล ผู้ที่ริเริ่มให้มีการเลี้ยงสุราเกิดขึ้น ถือว่าเป็นจำเลยบาปที่หนึ่ง เมื่อกรรมให้ผลจะเป็นผู้ขาดสติสัมปชัญญะรุนแรงกว่าผู้อื่น ผู้มาร่วมงานแล้วดื่มสุราเป็นจำเลยบาปที่สอง ผู้ที่ไม่เห็นด้วยแต่จำใจต้องทำให้มีการเลี้ยงสุราเกิดขึ้น (กตัตตากรรม) เป็นกรรมที่มีเจตนาอ่อนหรือมิใช่มีเจตนาเช่นนั้นจะให้ผลต่อเมื่อไม่มีกรรม อื่นใดให้ผล ฉะนั้นต้องเลือกบริหารจัดการชีวิตเอาเองว่าจะรักษาสังคมครอบครัวหรือจะยอม รับบาปเพียงเล็กน้อย ก็เลือกปฏิบัติตามที่เห็นควรเถิด..

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 30 พ.ค. 2010, 18:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หนูจะมีเซนส์อย่างหนึ่งค่ะ จะเหมือนคนตายเวลาครึ่งหลับครึ่งตื่น บางทีเหมือนถูกเหวี่ยงแรงๆบางทีก็หมุนเคว้ง เหมือนถูกทุ่มบ้าง บางทีก็เห็นแขนตัวเองบ้าง ถ้ามีเรื่องหนักหน่อยก็เป็นนาน ถ้าไม่หนักมีปากเสียงธรรมดาก็แป็ปเดียว พอรู้สึกตัวจะหมดแรงเหนื่อยค่ะ เคยไปปฏิบัติธรรม สวดมนต์ก็ไม่หายไม่อยากเป็นเลยเป็นครั้งแรกประมาณ10กว่าปี หลังจากบวชชีพรามหมณ์แก้บนให้แม่ มีคนจะเอาปืนมายิงค่ะ พอจะมีเรื่องก็จะเตือนแบบนี้ทุกครั้งไม่รู้จะถามใคร

พอมาอ่านหนังสืออาจารณ์ดีใจมากค่ะ หนูเคยจุดธูป คนที่จะเอาปืนมายิงค่ะ(หลังเซนส์)มีอันเป็นไปหมดทุกคนเลย พวกนี้เป็นน้องเมียน้าค่ะ เว้นพี่สาวคนโตที่ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ ลูกของน้าขโมยของแม่ก็เลยให้เขาเอามาคืนแต่เด็กไม่ยอมรับน้องเมียน้าก็เลย เขามาทะเลาะกันตีกันพวกเขาอยู่กันหลายคน พอตอนเย็นแฟนเขาเลยจะเอาปืนมายิงอยู่2คนกับแม่กลัวมาก(น้าไม่อยู่)ตอนเช้า เลยย้ายห้อง(เช่า)หลังจากนั้นไม่ถึงเดือนมีอันเป็นไปหมด ป่วยตาย1 ติดคุก3ป่วย1และจำไม่ได้อีก2รู้สึกไม่มากเลยคะ

ตอนนั้นคิดว่าบังเอิญเวลานึกไม่ดีกับใคร จะเป็นจริงมีหมอดูเคยทักห้ามแช่งใครปาปค่ะ มาอ่านเจอในหนังสืออาจารณ์กลัวมาก จะถอนคำแช่งอย่างไรค่ะตอนนี้ผิดศีลไป 2 ข้อ 2-3กรรมตามทัน ผู้ชายฐานะดีมาก มีครอบครัวแล้ว(หนูไม่เคยมีครอบครัวหรืออยู่กินกับผู้ชาย) เขาไม่เคยรับผิดชอบ หนูไม่เคยรบกวนเขาเลย เป็นลูกจ้างเขา(มีร้าน12สาขาโรงเรียนด้วย) เป็นคนตะหนี่มากรวมถึงลูกจ้าง ไม่มีมีใครชอบปากจัด ชอบเหน็บแนม ชอบพูดแดกดัน ตอนนี้เขาเป็นความดันปากเบี้ยว(อายุ35) พูดเรื่องเวรกรรมให้ฟังก็ไม่สนใจ ให้ไปปฏิบัติธรรมก็ไม่ไปอยู่ที่ใจ สวัสดิการพนักงานไม่มี ถ้ามีประกันสังคมเขากลัวจ่ายภาษีเยอะ และเดือนหนึงเขาบอกว่าต้องจ่ายเยอะ (หยุดเกินวันหยุดวันละ300 บางที 5 เปอร์เซน ทั้งเดือนช่างซอยไม่มีเงินเดือน ช่างสระไดร์มีเงินเดือน) ตอนนี้เขาเรียนโทจบเขาทิ้งหนูแล้วค่ะ คบปีกว่าหนูต้องทนทำงานในร้านเขาอีกสักพัก ทรมานมากกรรมตามทันเร็วอ่านธรรมะตลอดคิดว่าเขาตามมาทวง

ขอโทษนะคะที่เขียนยาวมาก
1อกุศลวิบากกับ เวรกรรมเหมือนกันไหมคะ
2อาชีพเสริมสวยเป็นสัมมาชีวะหรือเปล่า
3เซนส์ของหนูทำอย่างไรหายคะ แล้วคืออะไร

ขอบคุณอาจารย์มากค่ะ

คำตอบ
(1) คำว่า “ อกุศลวิบาก ” หมายถึง ผลที่เกิดขึ้นจากกรรมไม่ดีที่เคยที่ไว้แต่ปางก่อน คำว่า “ เวรกรรม ” หมายถึงการกระทำที่เป็นการปองร้ายกัน ดังนั้นสองคำนี้จึงเป็นคนละอย่างกัน เวรกรรมเป็นเหตุอกุศลวิบากเป็นผล

(2) เป็นสัมมาอาชีวะในทางโลก เพราะเป็นอาชีพที่ไม่ผิดกฎหมาย หากมองในทางธรรม อาชีพเสริมสวย เป็นมิจฉาอาชีวะ เพราะเป็นเหตุทำให้คนหลงผิด มีจิตยึดติดในความงามที่ไม่เที่ยง (อนิจจตา) ของรูปร่าง ร่างกายเป็นสิ่งคงทนอยู่ไม่ได้ (ทุกขตา) เหตุเพราะร่างกายมีเกิด-มีดับ และในที่สุดร่างกายต้องตายไป (อนัตตา) ไม่มีตัวไม่มีตนแท้จริง ผู้ใดหลงยึดติดความสวยงามของรูปร่างต้องทนกับความทุกข์ในที่สุด

(3) เซนส์ที่บอกเล่าไป คือนิมิตของจิตที่มีความตั้งมั่นเป็นสมาธิระดับหนึ่งเท่านั้น เซนส์มิได้ทำให้เจ้าของพ้นไปจากความทุกข์ ผู้ใดประสงค์ให้เซนส์หมดไปต้องพัฒนาจิตให้มีกำลังของสติและกำลังของปัญญา เห็นแจ้งกล้าแข็ง แล้วใช้สติสัมปชัญญะที่พัฒนาได้ตามดูเซนส์ที่เกิดขึ้นดำเนินไปตามกฎ ไตรลักษณ์ จนกว่าเซนส์จะดับไปและไม่กลับมาเกิดขึ้นได้อีก

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 30 พ.ค. 2010, 18:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


วันนี้ผมได้ขับรถชนสุนัขตายที่ สี่แยกไฟแดง โดยไม่มีเจตนา ผมเองไม่เห็นสุนัขที่วิ่งผ่านตัดหน้ารถผม เพราะสายตาขณะนั้นจับจ้องมองที่สัญญาณไฟที่ลอยอยู่ด้านบนสลับกับมองกระจก หลัง ซึ่งขณะนั้นเป็นไฟเขียวอยู่จึงต้องรีบเหยียบคันเร่ง ผมเองเพิ่งได้เห็นสุนัขนั้มปรากฎอยู่หน้ารถ จึงพยายามเหยียบเบรกแต่ไม่สามารถหยุดรถได้ทัน ทำให้ชนและทับร่างของสุนัขนั้นตาย ผมรู้สึกไม่สบายใจมากเนื่องจาก มีความรู้สึกว่าทำไมผมถึงไม่เห็นสุนัขตัวนั้นที่กำลังวิ่งตัดหน้ารถ

คำถาม
1.ผมควรทำบุญอย่างไร เพื่อช่วยให้ไม่มีกรรรมกับสุนัขตัวนั้น
2.กรรมที่เกิดขึ้นในเหตุการณ์นี้โดยไม่เจตนา ผมมีความผิดในเรื่องใดบ้าง และต้องรับกรรมนั้น มากน้อยเพียงใด

กราบขอบคุณอาจารย์มากครับ


คำตอบ
(1) ต้องทำบุญอยู่เรื่อย ๆ (ดูบุญกิริยาวัตถุ 10) แล้วอุทิศบุญกุศลที่ตนมีให้กับสุนัขที่ตายไป อุทิศไปเรื่อย ๆจนกว่าจิตของผู้ถามปัญหาไม่กลับมาระลึกถึงเรื่องนี้ต่อไป

(2) กรรมที่ทำด้วยการไม่มีเจตนา ไม่ถือว่าเป็นกรรม แต่เป็นวิบากกรรมของสุนัขเองที่อกุศลกรรมส่งผลให้ต้องมาตายด้วยวิธีการเช่น นี้ ฉะนั้นผู้ขับรถชนสุนัขตายโดยไม่มีเจตนาในการทำกรรม จึงไม่มีความผิดในเรื่องใดเลย แต่หากเมื่อใดจิตระลึกถึงสุนัขที่ถูกชนแล้วทำให้จิตเศร้าหมองถือว่าเป็นบาป

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


แก้ไขล่าสุดโดย ธรรมบุตร เมื่อ 30 พ.ค. 2010, 18:54, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสต์ เมื่อ: 30 พ.ค. 2010, 18:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1. เมื่อนั่งสมาธิจนจิตตั้งมั่นจนสงบไประดับหนึ่งแล้ว กำหนดพุทธานุสติ “ อิติปิโส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธฯ. ” ในการกำหนดครับโดยระลึกถึงคุณของพระองค์ท่าน ระลึกถึงคุณของพระองค์ เมตตา กรุณา และพระบารมีที่ยังแผ่ถึงในปัจจุบันนี้ คำถาม มีบางครั้งจิตคิดไปอยากเป็น พระพุทธเจ้า ตอนนั้นนั่งสมาธิมีสติ กำหนดรู้ตลอด พบจิตที่คิดอย่างนี้ไป ก็ตกใจนะครับ เป็นเรื่องที่ไม่เคยอยู่ในความคิดมาก่อน และจิตเกิดปิติที่อยากจะอฐิษฐานไปตามนั้น แต่ไม่ได้อฐิษฐานไปตามจิต ควรแก้ไขยังไงครับ

2. ขอทราบวิธีปฏิบัติ ในการนั่งสมาธิ ให้เป็นเวลานานติดต่อกันครับ ให้ถึง 1 วัน 3 วัน 7 วัน ต้องหัดเริ่มจากที่ละน้อย หรือ ต้องมี องค์ประกอบการแน่วแน่ของจิต เช่น การมีสัจจะ การอฐิษฐานจิต สติ สถานที่ ใช่รึไม่ครับ ขออาจารย์แนะนำด้วยครับ

3. การมี ศีล 5 คุมใจทุกขณะตื่น ในการการปฏิบัติต้องรู้ กาย ใจ ทุกขณะ และมีการกำหนดรู้ตลอดเวลาที่เรายังตื่นอยู่ถูกต้องรึไม่ครับ และการที่เราจะให้ใจเรามีศีลโดยอัตโนมัติ เป็น ศีลที่สมบูรณ์ของใจเอง

ในการปฏิบัติต้องปฏิบัติอย่างไรครับ กรุณาแนะนำด้วยครับ

คำตอบ
(1) ความอยาก (ตัณหา) เป็นพระพุทธเจ้าเป็นกิเลสควรกำจัดให้หมดไปจากใจ ด้วยการบริกรรมว่า “ อยากหนอๆๆๆ ” ไปเรื่อยๆ จนความอยากฯหายไป

ผู้ใดมีจิตปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า ต้องสร้างมหาทานแล้วอธิษฐานปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าในกาลข้างหน้า หลังจากอธิษฐานแล้วต้องสร้างเหตุให้ถูกตรง คือดำเนินชีวิตตามแนวของพระโพธิสัตว์ อาทิ บูรณะหรือสร้างศาสนวัตถุ สร้างถนนหนทาง สร้างสะพานให้ประชาชนสัญจรได้สะดวก ช่วยเหลือมนุษย์และสัตว์ผู้ตกทุกข์ได้ยาก ผู้ประสบภัยพิบัติต่างๆ ฯลฯ ต้องใช้เวลาที่ยาวนานนับหลายสิบอสงไขยกัป ในการบำเพ็ญบารมีให้เต็มและครบถ้วน ทั้งบารมีขั้นต้นอุปบารมี และปรมัตถบารมีโดยไม่ลาพุทธภูมิไปกลางครัน โอกาสที่จะเป็นพระพุทธเจ้าในกาลข้างหน้าย่อมมีได้เมื่อเหตุปัจจัยถึงพร้อม

(2) ปรารถนานั่งสมาธิเป็นเวลายาวนนานติดต่อกันหนึ่งวันสามวันหรือเจ็ดวัน ต้องถามว่าผู้ปรารถนานั่งสมาธิให้ได้ยาวนานเช่นนั่นมีจุดประสงค์ใดเพราะการ นั่งบริกรรมให้จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิประเดี๋ยวประด๋าว (ขณิกสมาธิ) ตั้งมั่นเป็นสมาธิจวนแน่วแน่ (อุปจารสมาธิ) หรือตั้งมั่นเป็นสมาธิแน่วแน่ (อัปปนาสมาธิ) ไม่จำเป็นต้องใช้เวลานั่งบริกรรมที่ยาวนานเช่นนั้น

ผู้ใดมีสภาวะของจิตเป็นพระอนาคามี เป็นพระอรหันต์ หากปรารถนานั่งสมาธิเพื่อนำจิตเข้าสู่ภาวะนิโรธสมาบัติ (ดับสัญญา ดับเวทนา) สามารถทำได้ด้วยการอธิษฐานจิตว่า จะนำจิตเข้าสู่นิโรธสมาบัตินานกี่วัน หลังจากอธิษฐานแล้วจึงทำจิตตภาวนา จนเข้าถึงสภาวะที่อธิษฐานไว้ ดังตัวอย่างของพระอโนมทัสสีพุทธเจ้า เข้านิโรธสมาบัตินานเจ็ดวันแล้วนำจิตออกมาสู่ภาวะปกติ เพื่อรับทานจากฤาษีสรทะ (อดีตของพระสารีบุตร) หรือพรมหากัสสปะเข้านิโรธสมาบัตินานเจ็ดวันแล้วนำจิตออกมาสู่สภาวะปกติ เพื่อรับทานจากหญิงชรายากจน ทั้งนี้ด้วยมีจุดประสงค์ให้ผู้ถวายทานเป็นคนแรก ได้รับอานิสงส์มากนั่นเอง

(3) ต้องใช้จิตที่สงบส่องดูใจตัวเอง ว่าศีลทั้งห้าข้อมีอยู่กับใจทุกขณะตื่น มีศีลห้าข้ออยู่ครบถ้วน และเป็นศีลที่บริสุทธิ์ คือไม่มีกิเลสเจอปนให้ศีลเศร้าหมอง หากปรับปรุงแก้ไขจิตให้มีลักษณะเป็นดังเช่นนี้ได้เรียกว่าเป็นศีลที่พระอริย เจ้าพอใจ เป็นศีลที่นำไปสู่ความตั้งมั่นเป็นสมาธิของจิต

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 30 พ.ค. 2010, 18:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


แฟนของหนูยืมเงินแม่ของหนูไปใช้เป็นเงินสินสอดของน้องชาย แล้วฝ่ายเจ้าสาวไม่คืนเงินค่าสินสอด ส่วนแฟนหนูเล่นแชร์ผ่านมือหนู แล้วมีปัญหาเรื่องงาน เขาก็เลยไปบวชช่วงเข้าพรรษา ปล่อยให้หนูรับผิดชอบเรื่องเงิน หนูจึงมีปัญหาถามท่านดังนี้
1. หนูโทรไปทวงเงินแฟนที่บวชเป็นพระอยู่ จะบาปหรือไม่
2. แฟนที่บวชเป็นพระเขาโทรไปทวงเงินลูกหนี้ทั้งที่ตัวเขาเป็นพระอยู่ เขาจะบาปไหม
3.เงินส่วนที่เขายืมไปตอนแรก เราต้องทำใจหรือคะ ทั้งที่เงินเป็นของแม่หนูไม่ใช่เงินของหนู (อ่านที่อาจารย์เคยตอบ อาจารย์บอกว่า ''เวรต้องระงับด้วยการไม่จองเวร') ถ้าอย่างงั้นถ้าใครมายืมเงินแล้วไม่ยอมคืน เราก็ต้องปล่อยเขาไปหรือคะ
ทุกวันนี้ หนูพยายามมีสติให้มากขึ้น อ่านหนังสือธรรมะค่ะ ขอบพระคุณค่ะ

คำตอบ
(1) คำว่าบาปมีความหมายได้หลายอย่าง แต่หนึ่งในนั้นหมายถึง สิ่งที่ทำให้จิตเสื่อมลง ทำให้จิตเลวลง

คนที่บวชในพุทธศาสนาดังที่บอกเล่าไป ไม่ควรเรียกว่าพระ จะถูกต้องมากกว่าหากเรียกว่าเป็นนักบวชในพุทธศาสนา การโทรศัพท์ไปทวงเงินนักบวชหากทำให้จิตของผู้โทรศัพท์เสื่อมลง ทำให้จิตเลวลงถือว่าเป็นบาปได้

(2) จากที่ถามไป เขามิได้เป็นพระ เขาเป็นได้แค่นักบวชที่ยังมีกิเลสครอบงำจิต ถือว่าเป็นผู้มีบาปอยู่แล้ว และยังได้โทรศัพท์ไปทวงเงินลูกหนึ้ยิ่งทำให้มีบาปเพิ่มมากขึ้น

(3) เงินที่เขายืมไปเป็นเงินของแม่ มิใช่เป็นเงินของผู้ถามปัญหา ผู้ที่มิได้เป็นเจ้าของเงินรู้เรื่องแล้วเดือดร้อน ถือได้ว่าไปเอาบาปของคนอื่นมาเป็นบาปของตัว ผู้ฉลาดไม่ประพฤติเช่นนั้น ผู้ฉลาดจะเอาเขามาเป็นครูสอนใจตัวเองว่าอย่าทำอย่างเขา

อนึ่งสติของผู้ถามปัญหายังไม่กล้าแข็งพอ จึงรับเอาสิ่งกระทบเข้ามาปรุงแต่งใจให้เกิดเป็นอารมณ์ติดลบ หากประสงค์จะแก้ปัญหาให้หมดไปต้องแก้ที่ต้นเหตุคือพัฒนาตัวเองให้มีกำลังของ สติกล้าแข็งจนไม่รับเอาเรื่องของคนอื่นมาเป็นเรื่องของตน

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 30 พ.ค. 2010, 18:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1.ก่อนพ่อเสียประมาณ 3-4 ปี พ่อเคยบอกว่าพ่อจะป่วยและตาย ช่วงอายุ 80 ปี แต่ถ้ารอดก็จะอยู่ยาว พออายุ 79 ย่าง80 พ่อก็ป่วย นอนอยู่บนเตียงตลอด ประมาณ 3 เดือนก่อนจะเสีย แม่และหนูแอบดูพ่อตอนนอนบนเตียงคนเดียว จะเห็นพ่อพนมมือและคุยกับใครที่มองไม่เห็นอยู่ปลายเตียง ตอนแรกนึกว่าพ่อคงจะป่วยจนเบลอหรือสับสน แต่เมื่อมีคนมาปรึกษาปัญหากฎหมาย พ่อกลับตอบปัญหาได้เหมือนปกติ และช่วงก่อนพ่อจะเสีย หนูบอกพ่อว่าเรียนจบโทแล้ว พ่อดีใจและบอกว่าอีก 14 วันให้มาพาพ่อกลับบ้าน โดยให้หนูพาไปค่อยๆไป ตอนนั้นหนูไม่ทราบเลยว่าเป็นการบอกล่วงหน้า จากนั้นพ่อค่อยๆdrop ลงและก็จากไปในวันครบ 14 วันที่พ่อบอกพอดี

ถาม-พ่อรู้วันตายล่วงหน้าได้อย่างไร คนทั่วไปที่ไม่ใช่พระอริยสงฆ์จะรู้วันตายล่วงหน้าได้หรือไม่ อย่างไร และพ่อพนมมือพูดคุยกับใคร

2.หลังพ่อเสีย วันที่นำกระดูกใส่โกฎเข้าบ้าน ตอนกลางคืนหนูอยู่ในห้องนอนพบว่าห้องที่ไว้กระดูกพ่อมีแสงสีทองสว่างสบายตา แต่ไม่สว่างขนาดไฟนีออน ส่องเข้ามาถึงในห้องนอน และเมื่อนำกระดูกพ่อกลับมายังที่พักในจังหวัดที่ทำงาน หนูฝันเห็นพ่อเดินสำรวจชั้น 3 ที่หนูพักอาศัย เห็นเพียงเสี้ยววินาที ต่อมาฝันเห็นพ่อแบมือและหนูนำน้ำในภาชนะราดบนมือพ่อ เนื้อของพ่อค่อยเต็มขึ้น ปรากฎว่าวันรุ่งขึ้นเพื่อนหนูซึ่งไปปฏิบัติธรรมที่ยุวพุทธ ได้โทรมาบอกว่าอุทิศส่วนกุศลให้พ่อหนู
จากความสงสัยในข้อ 1 ทำให้หนูสนใจปฏิบัติธรรมที่ยุวพุทธ วัดอัมพวัน และเรียนสมาธิ ปกติเดินจงกรม วันละครึ่งชม. และนั่งสมาธิ วันละครึ่งชม. บางวันก็มากกว่านั้น และหนูฝันเห็นพ่อได้ถามพ่อว่าได้รับบุญที่อุทิศให้หรือไม่ พ่อบอกว่าได้รับ (แต่ปากพ่อไม่ขยับ) เป็นการรับรู้ หนูตื่นมาได้โทรหาแม่ แม่บอกว่าฝันเห็นพ่อเหมือนกัน แสดงว่าหนูกับแม่ฝันถึงพ่อในช่วงเวลาเดียวกัน

ถาม-พ่อที่หนูฝันเห็นเป็นเรื่องจริง หรือเป็นเรื่องของจิตปรุงแต่ง

3.หนูจะฝันช่วงก่อนจะตื่นในบางวันเป็นระยะเวลาเพียงวินาที เห็นเป็นภาพแล้วเป็นความนึกคิดขึ้นมา และวันรุ่งขึ้นก็เป็นไปอย่างที่ฝัน กำหนดอยากรู้ไม่ได้ เป็นความฝัน, ความรู้ที่เกิดขึ้นเอง บางครั้งเป็นคำพูดสอนบางเรื่องสั้นๆ

ถาม-อาจารย์เคยตอบว่าเป็นเพราะคลื่นจิตคงที่ หนูยังไม่ค่อยกระจ่างคำว่าคลื่นจิตคงที่ ช่วยอธิบาย อยากทราบว่าเกิดกับทุกคนที่มีจิตเป็นสมาธิใช่หรือไม่ และความรู้ตัวนี้บ่งบอกความก้าวหน้าหรือถอยหลังของสมาธิหรือไม่ อย่างไร

คำตอบ
(1) พ่อรู้วันตายล่วงหน้ามีเทวดามาบอก ปุถุชนผู้ใด พัฒนาจิตจนเข้าถึงความตั้งมั่นเป็นฌานได้ เมื่อนำจิตออกจากฌานแล้วจึงจะสามารถรู้วันตายล่วงหน้าได้ สุดท้ายที่พ่อพนมมือนั้นท่านพูดกับเทวดา

(2) พ่อที่หนูเห็นนั้นเป็นเรื่องจริง (สภาวะสัจจะ) มิใช่เป็นจินตนาการของจิต

(3) ผู้ใดพัฒนาจิตจนตั้งมั่นเป็นสมาธิระดับฌานได้แล้วคลื่นความถี่ของจิตจะคงที่ ซึ่งเป็นเหตุทำให้เข้าถึงอภิญญา ๕ (อิทธิวิธี ทิพพโสต เจโตปริยญาณ ปุพเพนิวาสานุสติญาณ และทิพพจักขุ) ได้

คำว่า “ คลื่นจิตคงที่ ” หมายถึงช่วงความถี่คลื่นของจิตถูกพลังสมาธิปรับให้มาอยู่ในระดับความถี่ เดียวกัน ส่วนความถี่คลื่นไม่คงที่ อนุโลมด้วยคล้ายกับคลื่นในทะเล แต่ละลูกมีขนาดใหญเล็กไม่เท่ากัน

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 30 พ.ค. 2010, 18:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขณะนี้ผมอยู่ ม.3 ครับ ผมสนใจเรื่องการปฎิบัติธรรมอะครับ ผมอยากได้ อภิญญาทำยังไงครับ แล้วพ้นทุกข์ด้วยครับ
ต้องนั่งสมาธิไปเรื่อยๆใช่ไหมครับ พอผมนั่งสัก 45 นาที มันปวดอะครับปวดขาอะครับ ควรทำยังไงดีครับ
ที่จะผ่านมันไปได้ แล้วผมควรไปงมงายกับอภิญญาไหมครับ ผมยังเด็กอยู่อะครับ ยังอยากได้ญาณโลกีย อยู่
ช่วยตอบคำถามทั้งหมดนี้ด้วยนะครับ ขอบพระคุณ ด.ร.สนองมากเลยครับ

คำตอบ
อภิญญาหมายถึงความรู้ยิ่งหรือความรู้สูงสุดอภิญญารมีอยู่หกอย่างคือ ความรู้ที่ทำให้แสดงฤทธิ์ได้ ทำให้มีหูทิพย์ ทำให้รู้ใจผู้อื่น ทำให้ระลึกชาติหนหลังได้ ทำให้มีตาทิพย์ และสุดท้ายความรู้ที่ทำให้กิเลสที่ครอบงำจิตหมดไป

การจะพ้นไปจากความทุกข์ได้อย่างแท้จริง ต้องพัฒนาจิตให้เข้าถึงอภิญญาตัวที่หก ด้วยการปฏิบัติวิปัสสนาภาวนาและจะเข้าถึงโลกิยอภิญญา (อภิญญาห้าตัวแรก) ซึ่งไม่ทำให้พ้นไปจากความทุกข์ได้ ต้องพัฒนาจิตให้เข้าถึงความเป็นฌาน ด้วยการปฏิบัติสมถภาวนา และบุคคลไม่ควรหลงงมงายอยู่กับความรู้ขั้นสูงระดับนี้

ขณะนั่งสมาธิแล้วเกิดการปวดที่ขา ต้องกำหนดว่า “ ปวดหนอๆๆๆ ” ไปเรื่อยๆจนกระทั่ง อาการปวดที่ขาหายไป ให้กำหนดทุกครั้งที่มีอาการปวดเกิดขึ้น

อนึ่งในการพัฒนาจิตให้มีคุณธรรม มิได้ขึ้นอยู่กับอายุของบุคคลแต่ขึ้นอยู่กับความมีมากหรือมีน้อยของบุญบารมี ที่ทำสั่งสมมาแต่อดีตชาติ เด็กชายทัพพะ เด็กชายโสปากะ ยังบรรลุอรหัตตผลได้ ขณะยังเป็นฆราวาสที่มีอายุได้เพียง 7 ขวบเท่านั้น

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 30 พ.ค. 2010, 18:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ข้าพเจ้าเคยเป็นผู้ส่งคำถามมาและได้อ่านคำตอบแล้ว ไม่เคยมีผู้ใดอธิบายแจ่มชัดในทุกขณะเกิดกับจิตเช่นนี้มาก่อนเลย นอกจากนั้นยังได้ส่งคำถามอีก 2 ครั้ง ซึ่งเป็นการฟุ่มเฟือยและเป็นภาระแก่ท่านอ.มาก จึงแล้วแต่ความเมตตาของท่านที่จะตอบให้ข้าพเจ้าหรือไม่ก็ได้ ขอกราบขอบพระคุณอย่างสูง แต่เนื่องจากข้าพเจ้ายังมีจุดติดในดวงจิตที่เป็นสาเหตุส่วนหนึ่งให้ไม่อาจ ก้าวล่วงข้ามผ่านไปได้ขอเรียนถามคำถามท่านอ.กรุณาเมตตาอีกสักครั้งดังนี้

1. เมื่อจิตก้าวไปจนถึงที่สุดแล้วติดไม่ว่าจะเป็นจากการพิจารณาทุกขเวทนา หรือตามดูจิตกรณีอื่น ๆ ขอท่านอ. ช่วยกรุณาเมตตาให้อุบายที่จะทำให้ข้าพเจ้า หากเมื่อเดินทางถึงจุดที่สุดที่ติดแล้ว สามารถยึดมาเป็นอุบายก้าวล่วงข้ามผ่าน ซึ่งถูกจริตกับข้าพเจ้า (จริตคือไม่โลภ ไม่เชื่อง่าย แต่วิตกจริต) เพื่อให้ได้ธรรมะขั้นต่อไปด้วย (เพราะเมื่อข้าพเจ้าพิจารณาดูเช่นทุกขเวทนาที่คนปกติทนไม่ได้จนเห็นเปรียบ เสมือนเป็นแค่แก่นแกนกลางของต้นไม้หรือเส้นกราฟชีวิตหรือดวงดวงหนึ่งหรือ เส้นเส้นหนึ่ง เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปข้ามผ่านไปได้แล้ว สักพักจิตก็สงบแล้วเข้าภวังค์แล้วดับวูบไปเองโดยอัตโนมัติ เมื่อจิตตื่นขึ้นมา ก็จะต้องเริ่มต้นนับหนึ่งต่อไปอีกแล้วก็เป็นอย่างเดิม วนเวียนเป็นวัฏจักรอย่างเดิมไม่รู้จักจบ ข้าพเจ้าจึงเกิดความเบื่อจิตไม่รู้จะพิจารณาไปทำไม จึงไม่มีแรงใจพิจารณาได้ตลอด ทุกข์เวทนาที่แรงกล้าเกินที่จะทนได้อยู่แล้วจึงได้เข้าครอบงำ ปรุงแต่ง และให้ดวงจิตเข้าไปยึดไว้ ไม่สามารถก้าวข้ามผ่านไปได้ แม้จะพยายามจนถึงที่สุดต่อสู้แต่ก็ไม่มีอุบายให้ก้าวข้ามผ่านจุดสำคัญที่สุด ไปได้ กลับทั้งเป็นสาเหตุให้ไม่อยากปฏิบัติอีก เพราะก็ต้องไปวนวัฏจักรเดิม)

2. จากข้อ 1 บางครั้งข้าพเจ้าใช้วิธีละวางทั้งทุกข์ทั้งสุขเพราะพิจารณาเห็นเส้นเส้น เดียวเหมือนกันเลย แต่เส้นที่ปรุงแต่งเป็นความสุข นั้นไม่ยึดและดับยากกว่า เพราะเผลอไปปรุงแต่งได้ง่ายแล้วก็เกิดความชอบแล้วยึดไว้ เมื่อกลับเป็นเส้นทุกข์ซึ่งรู้สึกมันอยู่คู่กันหรือติดกันมันจึง ปรุงแต่ง ยึดติด พิจารณาไม่ทัน เส้นท้งสองมันต้องดับทั้งคู่ใช่หรือไม่ ที่พิจารณาเช่นนี้ถูกหรือไม่ อย่างไร

3. หากข้าพเจ้าผ่านพ้นวาระเห็นเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปมาแล้ว จนจิตรวมกันแล้วดับให้เห็นอย่างที่เรียนท่านอ.แล้ว ข้าพเจ้าควรพิจารณาอย่างไรต่อไป (พิจารณาเพียงเป็นเส้นแล้วดับลง หรือใช้สติมองดูเฉย ๆ ให้ข้างในทำงานเองแล้วมองดูความดับเอง โดยใช้จิตตามรู้ดูเฉย ๆ ก็พอ ซึ่งข้าพเจ้าจะสามารถเลิกพ้นความวุ่นวายได้จริง ๆ ใช่หรือไม่ )

4. ข้าพเจ้ารับราชการเป็นนักกฏหมายที่มีอำนาจชี้ขาดคน จะมีผลกับการก้าวไปในธรรมหรือไม่ อย่างไรบ้าง และหากยังคงต้องทำงานด้านนี้ต่อไปโดยมิอาจหลีกเลี่ยงได้จะปฏิบัติเช่นไร เนื่องจากข้าพเจ้าอายุยังน้อย ยังขาดเขลาเบาปัญญา หากสิ่งที่ข้าพเจ้าได้เรียนถามท่าน อ.ทั้งหมดนั้น หากได้มีสิ่งใดล่วงเกินด้วยกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ต่อท่านอ.และบุคคลใด ๆก็ตามที่ได้อ่านข้อความของข้าพเจ้าทุกผู้ทุกนามขอท่านอ.และทุกผู้ทุกนาม กรุณาให้อภัยแก่ข้าพเจ้าด้วย

คำตอบ
(1) การจะก้าวข้ามทุกขเวทนาได้นั้น ผู้มีกำลังของสติยังไม่กล้าแข็ง เมื่อเกิดทุกขเวทนาขึ้นต้องกำหนดว่า
“ ทุกข์หนอๆๆๆ ” ไปเรื่อยๆ จนกว่า ทุกขเวทนาจะหายไป แล้วดึงจิตกลับมาสู่องค์บริกรรมเดิม ส่วนผู้ที่พัฒนาจิตจนมีกำลังของสติกล้าแข็งถึงระดับที่ทำให้จิตตั้งมั่นเป็น สมาธิจวนแน่วแน่ (อุปจารสมาธิ) ได้แล้ว เมื่อทุกขเวทนาเกิดขึ้น ให้ใช้จิตตามดูทุกขเวทนา ว่าดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์ คือทุกขเวทนาที่เกิดขึ้นไม่เที่ยง คงทนอยู่ไม่ได้ และดับสลายในที่สุด ทุกขเวทนาจึงไม่มีตัวตนแท้จริง ตามดูไปเรื่อยๆ จนทุกขเวทนาไม่หวลกลับมาเกิดขึ้นได้อีก ผู้ใดเข้าถึงความจริงเช่นนี้ได้ ปัญญาเห็นแจ้งในทุกขเวทนาจะเกิดขึ้น จะไม่เอาจิตไปยึดอยู่กับสิ่งที่ไม่มีตัวตนที่เรียกว่าทุกขเวทนาอีกต่อไป อนึ่งปัญญาเห็นแจ้งมิได้เกิดขึ้นจากการอ่านหนังสือหรือใช้สมองคิด แต่เกิดขึ้นได้ด้วยการนำตัวเองเข้าปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานเท่านั้น

(2) ที่บอกเล่าไปเป็นจินตนาการของจิต เป็นการพัฒนาจิตที่ผิดทางจึงสละทิ้งความสุขความทุกข์ไม่ได้ แต่หากจิตเห็นแจ้งว่าความสุขและความทุกข์ต้องเป็นไปตามกฎไตรลักษณ์ แล้วจิตจะไม่เอาสิ่งที่ไม่มีตัวตนมายึดไว้กับจิต จิตจะเป็นอิสระจากความสุขความทุกข์ จิตจะปล่อยวางความสุขความทุกข์ และจิตว่างเป็นอุเบกขา พร้อมกับปัญญาเห็นแจ้งในความสุข ความทุกข์เกิดขึ้น

(3) บุคคลจะพ้นไปจากความวุ่นวายได้ต่อเมื่อ ต้องพัฒนาจิตให้มีกำลังสติกล้าแข็ง และต้องพัฒนาจิตให้มีกำลังปัญญาเห็นแจ้งกล้าแข็งแล้วใช้สติสัมปชัญญะ (สติและปัญญาเห็นแจ้ง) ที่พัฒนาได้นี้ ตามระลึกให้ทันทุกสิ่งที่เข้ากระทบจิตและมีปัญญาเห็นความไม่มีตัวตนของทุก สิ่งกระทบได้แล้ว ความวุ่นวายจะไม่เกิดขึ้นกับบุคคลผู้มีจิตเป็นเช่นนี้

(4) อาชีพที่ผู้ถามปัญหาได้ปฏิบัติอยู่ จะเรียกว่าเป็นอาชีพที่ดีในทางโลกได้ต้องมีความเห็นถูก ชีวิตจึงจะดำเนินไปปลอดภัย ในสมัยที่ผู้ตอบปัญหาไปปฏิบัติธรรมอยู่กับท่านเจ้าโชดก (พ.ศ.2518) ท่านได้เล่าให้ฟังว่า มีผู้พิพากษาท่านหนึ่งมาปฏิบัติธรรมอยู่กับท่าน และสามารถพัฒนาจิตเข้าสู่สภาวะนิโรธสมาบัติได้ นั่นหมายความว่า ผู้พิพากษาท่านนั้นมีสภาวะจิตเป็นอริยบุคคลขั้นที่สาม ฉะนั้นหากผู้ถามปัญหา มีศีลห้าข้อครบถ้วนอยู่ในใจมีบุญบารมีแต่อดีตชาติสั่งสมมามากพอ และมีความเห็นถูกตามธรรมได้แล้วความก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรมจะสามารถดำเนิน ไปได้

หากผู้ถามปัญหายังมีความจำเป็นต้องทำอาชีพนี้ต่อไป โดยไม่ให้เกิดความวิบัติขึ้นกับชีวิตของตัวเอง ต้องทำอย่างเปาบุ้นจิ้น คือท่านมีเทวดาสัมมาทิฏฐิชั้นจาตุมหาราชิกาเป็นกัลยาณมิตร มีบุญบารมีสั่งสมมามาก และท่านใช้สติสัมปชัญญะในการตัดสินปัญหา ชีวิตมนุษย์ของท่านจึงอยู่รอดและปลอดจากภัยทั้งปวง ตายแล้วยังไปเกิดเป็นเทวดาทำหน้าที่เหมือนที่ยังเป็นมนุษย์

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1521 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 54, 55, 56, 57, 58, 59, 60 ... 102  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร