วันเวลาปัจจุบัน 13 ต.ค. 2025, 04:40  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 1521 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 55, 56, 57, 58, 59, 60, 61 ... 102  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 พ.ค. 2010, 19:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ซึ่งอาจารย์แนะนำให้ไปขอขมากรรมต่อครูผู้อยู่ใกล้ (คือตัวอาจารย์น่ะค่ะ) เป็นเหตุที่ถูกต้องดีงาม ในวันอาทิตย์ มี “ งานแสดงปฏิบัติธรรม ” หนูได้ลงทะเบียนทางไปรษณีย์เป็นที่เรียบร้อยแล้วด้วยเหตุนี้ หนูจักต้องปฏิบัติตนอย่างไรในวันนั้น เพื่อจะได้ทำตามคำแนะนำของครูบาอาจารย์ อาทิ เช่น พวงมาลัย เพื่อขอขมากรรม และ จะมีบทเอ่ยอย่างไรกับท่านบ้างค่ะ จะได้มีความเจริญงอกงามทางจิตวิญญานยิ่งๆขึ้นไปน่ะค่ะ

ท้ายนี้ขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัย จงปกป้องคุ้มครองอาจารย์ให้มีร่างกายที่แข็งแรงค่ะ

ด้วยความรักเคารพศรัทธายิ่ง

คำตอบ
นำพวงมาลัยดอกมะลิสดไปกราบครูบาอาจารย์ แล้วขอขมาต่อหน้าท่านว่า ด้วยกายกรรม วจีกรรมและมโนกรรม ที่หนูเคยมีต่อครูบาอาจารย์ ทั้งที่ตั้งใจและมิได้ตั้งใจ ไม่ว่าตั้งแต่ภพไหนๆ หากเป็นกรรมที่ล่วงเกินลบหลู่ดูหมิ่น อันเป็นเหตุนำมาซึ่งโทษภัยใดๆ ทั้งปวง หนูกราบขอขมาอาจารย์ ได้โปรดยกโทษให้หนูด้วย

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 พ.ค. 2010, 19:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมเปิดคลีนิกรักษาสัตว์ ในวันหนึ่งๆ งานของผมต้องเกี่ยวกับการกำจัดเห็บหมัดถึงประมาณ 30% เป็นต้นว่า ฉีดยาป้องกันและกำจัดเห็บหมัดให้ตัวสุนัขที่มาบริการ, การรักษาโรคบางโรคที่มีเห็บเป็นตัวนำโรคต้องกำจัดเห็บซะก่อนจึงทำการรักษา, กำจัดเห็บหมัดภายในคลีนิกและบริเวณที่พักสัตว์ป่วย รวมถึงการจำหน่ายยากำจัดเห็บหมัดให้ลูกค้า แต่ผมมีใจมุ่งหวังที่จะปฏิบัติธรรมให้ประสบความสำเร็จ ซึ่งต้องมีศีล 5 ครองใจให้ได้ก่อน ดังนั้นผมจึงมีคำถามที่จะถามอาจารย์ดังนี้

1. ถ้าผมเลิกการกระทำดังกล่าวข้างต้นเกี่ยวกับการกำจัดเห็บหมัด แต่ยังให้คำปรึกษาลูกค้าเกี่ยวกับวิธีการกำจัดเห็บหมัด และแนะนำสถานที่ที่จะซื้อยากำจัดเห็บหมัดได้ ผมยังมีความบกพร่องเกี่ยวกับการรักษาศีลหรือไม่ครับ

2. ถ้าผมเลิกการกระทำดังกล่าวข้างต้นเกี่ยวกับการกำจัดเห็บหมัด ก็คงต้องเสียลูกค้าไปพอสมควร เพราะเขาคงไปใช้บริการกำจัดเห็บหมัดที่คลีนิกอื่น และย้ายไปรักษาโรคอื่นๆ ที่คลีนิกอื่นด้วยตามที่เขาย้ายไปรักษาเห็บ ซึ่งสัตว์ที่เคยมารักษาโรคกับผมเป็นสัตว์ที่เคยมีปัญหาเรื่องเห็บหมัด มากกว่า 50% จึงอยากจะถามความคิดเห็นของอาจารย์ว่า ถ้าผมเลิกการกำจัดเห็บหมัดก็ถือว่าสามารถรักษาศีล5 ได้ ผลบุญตรงนี้พอจะช่วยหนุนให้ผมมีลูกค้าด้านอื่นที่ไม่เกี่ยวกับเห็บหมัดเพิ่ม ขึ้นได้ไหมครับ หรือผลบุญตรงนี้จะช่วยประคองไม่ให้กิจการของผมต้องล้มลงเพราะการเสียลูกค้า ตรงนี้ไปได้หรือไม่ครับ

ขอบพระคุณอาจารย์มากครับ
ขอแสดงความเคารพ

คำตอบ
(1) การให้คำปรึกษาหรือแนะนำดังที่บอกเล่าไปถือว่ายังมีส่วนร่วมในกระบวนการ ทุศีลข้อปาณาติบาต สามารถปฏิบัติธรรมได้ แต่จะนำจิตเข้าถึงความตั้งมั่นเป็นสมาธิจวนแน่วแน่ (อุปจารสมาธิ) อันเป็นฐานนำไปสู่การพัฒนาจิตให้เกิดปัญญาเห็นแจ้งจะยังเกิดขึ้นไม่ได้

(2) การเลิกอาชีพกำจัดเห็บหมัด รวมถึงเข้าไปมีส่วนร่วมในการทำให้จิตวิญญาณของสัตว์อื่นๆ ต้องพรากออกจากร่าง ไม่ถือว่าผิดศีลข้อปาณาติบาต รวมถึงไม่ประพฤติทุศีลอีกสี่ข้อที่เหลือ จึงจะเรียกได้ว่าสามารถรักษาศีล 5 ได้

ผู้ใดมีศีล 5 อยู่กับใจได้แล้ว ความมีอายุยืนปราศจากโรคความมีทรัพย์ปลอดภัย ความเป็นที่รักของมนุษย์และเทวดา ความมีสติตั้งมั่น ฯลฯ ย่อมเกิดขึ้นกับผู้มีคุณสมบัติเช่นนี้ และเช่นเดียวกันผู้ใดประพฤติตนเป็นผู้ให้ทานอยู่เสมอ มีศีล 5 คุมใจอยู่เสมอ และมีการปฏิบัติจิตตภาวนาอยู่เสมอ ทั้งสามนี้เป็นคุณธรรมที่นำสู่การมีชะตาดี (ดวงดี) ผู้มีชะตาดีย่อมมีความเจริญในกิจการงานและการดำเนินชีวิต

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 พ.ค. 2010, 19:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1. หนูเกิดและโตที่บ้านยายซึ่งติดริมนำ มีศาลปึงเท้ากง และศาลพระภูมิตั้งไว้ เมื่อยังเล็กเป็นเด็กที่ไม่กลัวอะไรแต่ มักจะเห็นอะไรแปลก ๆ เช่นเห็นดวงวิญญาณพี่ชายที่ตกน้ำเสียชีวิต เป็นดวงไฟลอยมาเข้าในรูปปั้นจำลองรูปพี่ชายซึ่งตั้งไว้ด้วยตาเปล่า เมื่อหนูทำอะไรผิดก็จะมีดวงวิญญาณในรูปของสิ่งต่าง ๆ มาสอน มาคอยให้กำล้งใจ ตอนตู๊กตาที่ตั้งไว้ศาลพระภูมิล้มหนูก็บังเอิญฝันว่าเทวดาในศาลล้มอยู่ในทิศ ทางเดียวกันและท่านทรมาณอยู่เมื่อตืนขึ้นมาดูต๊กตาก็ล้มเช่นนั้นจริง หนูก็จับตั้งขึ้น ต่อมาเมื่ออายุ 15 ปี ได้ย้ายมาอยู่กับมารดา มีคืนหนึ่งฝันถึงปึงเท้ากงว่านำท่วมท่านลำบากอยู่และท่านบอกว่าท่านจะติดตาม คอยช่วยหนูไปตลอด หนูเลยโทรศัพท์มาที่บ้านยายปรากฏว่านำท่วมมิดบ้านท่านจริง ๆ ศาลพระภูมิเองรู้สึกหนูก็ฝันเช่นเดียวกัน หนูจึงบอกให้ทางบ้านยายอันเชิญท่านขึ้นไปไว้ในบ้าน แล้วหนูก็ตั้งใจและบอกท่านไปว่าถ้าหนูได้ทำงานแล้วจะมาสร้างให้ท่านใหม่ ต่อมาหนูได้ทำงานแต่เมื่อดูจากสภาพแล้วหนูคงไม่สามารถสร้างบ้านให้ท่านใหม่ ตามที่ตั้งใจไว้ได้เนื่องจากบ้านติดริมแม่นำในช่วงที่ถูกนำกัดเซาะมาก แม้บ้านก็ถูกนำกัดแซะจนเห็นเสาเข็มยังไม่รู้จะแก้อย่างไร ถามผู้รู้บอกว่าจะต้องใช้เงินมากประมาณศาลละ 200,000 บาท เพราะต้องลงเสาเข็มและสร้างปูนก่อขึ้นมาแล้วจึงตั้งศาลและก็คงไม่ทนเพราะนำ ก็ต้องท่วมและกัดเซาะอีก
- หนูคงไม่สามารถสร้างศาลให้ท่านทั้งสองจุดได้หนู่จะทำเช่นไรจึงจะเป็นการชด เชยสัจวาจาที่กล่าวไปแล้วไม่สามารถจะทำได้ ชดเชยให้ท่านอย่างไรได้บ้างคะถึงจะเลิกความรู้สึกติดที่ใจไปได้สักที

2. ก่อนที่หนูจะได้ทำงานหนูได้บอกกล่าวบนบานไว้แต่ไม่ทราบว่าบนไว้กับผู้ใดบ้าง โดยบนบวชเนกขัมมะเป็นเวลา 90 วัน ต่อมาหนูก็ได้งานจริง ๆ แต่หนูไม่สามารถไปบวชได้พร้อมกันทั้ง 90 วัน และไม่รู้ว่าบนไว้กับผู้ใดบ้าง อีกทั้งก็ไม่รู้ว่าหากนับเวลาที่ไปทยอยบวชแล้วจะเกิน 90 วันหรือยัง และเวลาหนู่ไปบวชบางทีหนูก็บวชกับพระประธานเอาเองมิได้บวชกับพระที่รับบวช เนกขัมะโดยตรงไม่รู้จะใช้ได้หรือไม่
- หนูจะแก้ไขอย่างไรถึงจะไม่รู้สึกติดในใจว่าหนูยังติดการบวชแก้บนไว้ดังกล่าว
- บางทีหนูฝันเห็นจรเข้ แม่บอกว่าหนูบนไว้แล้วเขามาทวง จริงหรือไม่และจะมีวิธีแก้ไขอย่างไร


3. เวลาจะเกิดเหตุการณ์ใดๆ ที่รุนแรงหรือป่วยเจ็บของคนใกล้ชิดหรือของตนเองมักจะมีนิมิตเป็นความฝันก่อน ล่วงหน้า หนูมักจะรู้ล่วงหน้าเสมอ เป็นเพราะอะไรคะ

ขอกราบขอบพระคุณท่านอ.อย่างสูงค่ะ

คำตอบ
(1) หากสร้างศาลไว้ที่เดิมไม่ได้ ก็ย้ายไปสร้างในที่แห่งใหม่ที่น้ำท่วมไม่ถึง เมื่อสร้างแล้วเสร็จให้จุดธูปเชิญเจ้าที่เข้าไปอยู่ในศาลใหม่ หากมีปัจจัยไม่พอสร้างศาลใหม่ได้ ให้จุดธูปบอก “ ปึงเท้ากง ” ให้ช่วยหาวิธีหรือชี้ช่องทางให้ได้มาซึ่งทรัพย์บริสุทธิ์เพื่อจะนำมาสร้าง ศาลใหม่ในที่เหมาะสมให้

(2) การ “ บนบาน ” ในศาสนาพุทธไม่มี ผู้ใดปรารถนาความสำเร็จในสิ่งใดต้องสร้างมหาทาน อธิษฐานและทำเหตุให้ถูกตรงผู้ใดกล่าววาจาใดออกไปแล้ว ไม่ประพฤติตามที่พูด ถือว่าผู้นั้นไม่มีสัจจะ

เนกขัมมะ เป็นการประพฤตินำตัวออกห่างจากสิ่งเย้ายวนใจการบวชเนกขัมมะ (ปกตินิยมแต่งชุดขาว) เป็นการประพฤติกายใจให้มีศีล ผู้บวชเนกขัมมะนิยมนำตัวเข้าไปปฏิบัติที่วัดหรือสำนักปฏิบัติธรรม เพราะเป็นสถานที่เหมาะสม (สัปปายะ) กว่าประพฤติอยู่ที่บ้านซึ่งไม่สัปปายะ

ตั้งใจบวชเนกขัมมะ 90 วัน หมายถึงตั้งใจบวชฯ ต่อเนื่องนาน 90 วัน จึงต้องประพฤติให้ได้ตามที่ตั้งใจไว้ หากมีสัจจะและประพฤติได้ถูกตรงตามที่ตั้งใจ ความรู้สึกผิดในจิตจึงจะหมดไปได้

อนึ่งการฝันเห็นจระเข้ ทั้งความฝันและจระเข้ที่ถูกเห็นเป็นเพียงสิ่งสมมุติ ผู้ใดปฏิบัติจิตตภาวนา แล้วอุทิศบุญกุศลให้กับสัตว์ที่เห็นปัญหาที่เกิดจากความฝันก็จะหมดไป

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 พ.ค. 2010, 19:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขออนุโมทนาบุญกับทุกๆ บุญ ที่อาจารย์ได้สั่งสมไว้แล้วตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันวันนี้ และธรรมใดที่ท่านอาจารย์ได้พบแล้ว บรรลุแล้ว ขอให้หนูได้พบธรรมนั้น บรรลุธรรมนั้นด้วยค่ะ

ขอกราบเรียนถามดังนี้ค่ะ
1. เมื่อปิดเปลือกตาเพื่อจะนอน (ไม่ได้ฝันค่ะ) เห็นเป็นแสงสีขาวกระพริบในลูกตา เหมือนเราเห็นดาวกระพริบในท้องฟ้าเต็มไปหมด มีอาการแบบนี้ติดต่อกันหลายครั้ง จนคิดว่าอาจมีปัญหาที่ประสาทตา กำลังคิดจะไปพบจักษุแพทย์ แล้ววันหนึ่งพอหลับตาเลยใช้วิธีจ้องไปที่แสงสีขาวจุดๆ หนึ่ง อยู่ๆ แสงสีขาวนั้นก็วิ่งเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว และ รู้สึกว่าแสงนั้นสว่างโพลงเต็มตา เต็มหน้า จากนั้นแป๊บเดียวก็ดับมืดทันที เหมือนคนปิดสวิตไฟ หลังจากนั้นก็ไม่พบอีก
รบกวนสอบถามอาจารย์ค่ะ ปรากฎการณ์นี้คืออะไรคะ สำหรับหนูในใจขณะนั้นคิดว่านี่คือการเกิดดับของอะไรสักอย่างค่ะ

2. การขายเครื่องสำอาง อาชีพเสริมสวย เป็นอาชีพอันตรายไหมคะ พึ่งจะได้งานใหม่ค่ะ ในใจก็กังวลว่าจะก่อให้เกิดโมหะ แล้วอาจสร้างบาปหรือไม่ค่ะ ตอนนี้ก็ภาวนาขอพรจากพระพุทธเจ้าให้หนูได้มีอาชีพที่ถูกต้องตามธรรม ไม่อยากให้มีบาปติดตัวไป



คำตอบ
(1) ภาพที่ปรากฏเป็นผลที่เกิดขึ้นจาก จิตมีความตั้งมั่นเป็นขณิกสมาธิ ผู้ใดประสงค์พัฒนาจิตให้มีความตั้งมั่นที่สูงขึ้น ต้องกำหนดว่า “ เห็นหนอๆๆๆ ” ไปเรื่อยๆ จนกว่าภาพที่ปรากฏจะหายไป และไม่กลับมาเกิดขึ้นอีก

(2) ในทางโลกถือว่าเป็นอาชีพที่ไม่ผิดกฎหมายแต่หากผู้ใดปรารถนา นำพาชีวิตไปสู่ความพ้นทุกข์ ต้องไม่นำตัวเองเข้าไปมีส่วนร่วมมิจฉาอาชีวะ ตามที่ระบุไว้ในมรรค 8 เพราะการประกอบอาชีพดังกล่าว เป็นการส่งเสริมให้จิตมีโมหะเพิ่มมากขึ้น

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 พ.ค. 2010, 19:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กระผมได้ปฏิบัติธรรมโดยการเจริญอานาปานสติ กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก ผมไปติดตรงที่นั่งแล้วไปจับอารมณ์ที่ไม่มีตัวตนคือ รู้สึกว่าตัวหายไปและไม่รู้สึกว่าตัวเองหายใจอยู่ ผลคือทำให้นั่งสมาธิได้นานสบายและยังมีความรู้สึกว่านั่งแป๊ปเดียวแต่เวลา ผ่านไปนานแล้ว ไม่ทราบว่าจะแก้อย่างไรครับ? ติดปัญหานี้มาหลายปีแล้วครับ..


คำตอบ
ปรากฏการณ์ที่ผู้ถามปัญหาบอกเล่าไปเคยเกิดกับผู้ตอบปัญหาในครั้งที่ไป ปฏิบัติธรรม เมื่อปี พ.ศ. 2518 โดยท่านเจ้าคุณโชดก ทราบสภาวะจิตของผู้ตอบปัญหาด้วยเจโตปริยญาณท่านบอกให้ถอนจิตออกมาจากการเสวย อารมณ์ฌาน ดังที่ผู้ถามปัญหาบอกเล่าไปให้ถอยจิตลงมาตั้งมั่นในระดับอุปจารสมาธิ แล้วใช้จิตพิจารณา สติปัฏฐาน 4 ตามกฎไตรลักษณ์ แล้ววิปัสสนาญาณจึงจะมีโอกาสเกิดขึ้นได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 พ.ค. 2010, 19:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดิฉันมีปัญหาสงสัยว่า กรณีดิฉัน ถือว่าบาปหรือไม่
ด้วยดิฉันเคยนำเค้กที่เหลือจากคืนวันเกิด ซึ่งเหลืออยู่ในกล่องเค้ก (ทานไปชิ้นเดียว) นำมาแบ่งได้อีก 4 ชิ้นใส่บาตรในตอนเช้า ถ้าบาปต้องแก้อย่างไร

ขอบคุณมากค่ะ

คำตอบ
เมื่อใดที่จิตยังระลึกได้ว่า ขนมเค้กที่ตัวเองกินเหลือไว้ แล้วนำไปใส่บาตร ถือการกระทำเช่นนั้นว่าเป็นเดนทานเมื่อใดระลึกถึงบาปก็จะเกิดขึ้น หากปรารถนามิให้บาปนั้นหวนกลับมาสู่จิตสำนึกได้อีก ต้องไปสารภาพผิดและขอขมากรรมต่อหน้าพระรัตนตรัยแล้วต้องไม่ประพฤติเช่นนั้น ให้เกิดขึ้นอีก พร้อมทั้งปฏิบัติทาน ศีล ภาวนาอยู่เสมอ แล้วโอกาสพ้นไปจากบาปที่เคยทำย่อมเกิดขึ้นได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 พ.ค. 2010, 19:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1.ดิฉันอยากทราบว่าการบนบานต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้สิ่งที่เราปรารถนานั้น สำเร็จ มีอยู่จริงหรือไม่คะ เพราะตัวดิฉันเองก็เคยบนค่ะ แต่ไม่เคยสำเร็จ

คำบนบานที่ดิฉันเคยขอไว้กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ทั้งพระพุทธ หรือศาลพระภูมิ ที่ไม่สำเร็จดิฉันเลยไม่ได้นำสิ่งของมาแก้บน แต่รู้สึกไม่สบายใจเลย แต่ก็จำไม่ได้ด้วยว่าบนด้วยอะไร จึงอยากจะขอยกเลิกคำบนบานดังกล่าวต่อพระพุทธ และศาลพระภูมิ ควรจะทำอย่างไรคะ

2. การนั่งวิปัสสนากรรมฐาน เวลาที่เรารู้สึกคัน เราก็ต้องคิดว่าคันหนอ คันหนอ จนกระทั่งความรู้สึกคัน นั้นหายไป แต่จะคิดอย่างไรให้การคันเกิดเป็นไปตามกฎไตรลักษณ์ อยากให้อาจารย์ช่วยอธิบายด้วยค่ะ และอยากให้ยกตัวอย่างการพิจารณาตามกฎไตรลักษณ์ใหด้วย เช่น การเดิน , การอดทนต่อความโกรธที่มีคนมาด่าว่า ตำหนิ , ความเจ็ดปวดทรมานจากบาดแผล ,

ขอรบกวนอาจารย์ด้วยนะคะ เพราะดิฉันฝึกวิปัสสนาฯ จากการอ่านหนังสือค่ะ ไปวัดไม่ได้ เพราะต้องทำงานหนักทุก ๆ วัน ภาระเยอะเหลือเกิน

คำตอบ
(1) สิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริง ผู้ใดพัฒนาใจตัวเองให้มีศีลและมีธรรมคุ้มครองใจอยู่ทุกขณะตื่นผู้นั้น ศักดิ์สิทธิ์มีเทวดาคุ้มรักษาแล้ะถ้าจะให้ตัวเองมีความศักดิ์สิทธิ์มากยิ่ง ขึ้น ต้องพัฒนาใจให้เข้าถึงความเป็นอริยบุคคลในพุทธศาสนา แล้วไม่จำเป็นต้องไปแสวงหาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ภายนอกอื่นใดมาบันดาลให้ตัวเอง ประสบความสำเร็จในสิ่งที่ตนปรารถนา

(2) ผู้ใดพัฒนาจิตได้เพียงสมาธิขั้นต้น (ขณิกสมาธิ) เมื่อเกิดอาการคัน ต้องกำหนดว่า “ คันหนอๆๆๆ ” จนกว่าอาการคันหายไป แต่หากผู้ใดพัฒนาจิตจนเข้าถึงอุปจารสมาธิได้แล้วต้องใช้จิตตามดูอาการคันตาม กฎไตรลักษณ์ เมื่ออาการคันเข้าสู่ความเป็นอนัตตาคืออาการคันไม่มีตัวตนแท้จริง อาการคันจะหายไปแล้วปัญญาเห็นแจ้งในอาการคันก็จะเกิดขึ้น

การเดินดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์เช่นกัน เมื่อใดจิตเห็นการก้าวเดินของขาหยุดลง (อนัตตา) การเดินจะไม่มีแล้วปัญญาเห็นแจ้งในการเดินจะเกิดขึ้น ส่วนการอดทนต่อความโกรธ เกิดขึ้นได้กับผู้มีจิตตั้งมั่นเป็นขณิกสมาธิ ผู้ใดพัฒนาขันติให้มีอยู่กับใจจนมีมากเป็นขันติบารมีได้แล้วจึงจะสามารถอดทน ต่อความโกรธได้แต่ผู้มีปัญญาเห็นแจ้ง จิตเห็นความโกรธดับไป (อนัตตา) ตามกฎตของไตรลักษณ์ ความโกรธจึงไม่ใช่ตัวตน จิตปล่อยวางความโกรธ จิตเป็นอิสระต่อความโกรธ แล้วจิตว่างเข้าสู่อุเบกขารมณ์ ผู้มีปัญญาเห็นแจ้งเช่นนี้ จึงไม่จำเป็นต้องใช้ขันติบารมีมาต้านความโกรธอันเป็นบ่อเกิดของพฤติกรรมติด ลบ ส่วนการเจ็บปวดทรมานเป็นทุกขเวทนาก็ดับไปตามกฎไตรลักษณ์เช่นกัน จิตปล่อยวางทุกขเวทนาเพราะไม่มีตัวตนและว่างเข้าสู่อุเบกขารมณ์ได้เช่นเดียว กัน

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 พ.ค. 2010, 19:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดิฉันมีคำถามจะกราบเรียนถามดังนี้ค่ะ
1) การที่จะบรรลุธรรมในระดับโสดาบันนั้น ศีล 5 ต้องบริสุทธิ์ไม่ด่างพร้อยเลยใช่หรือไม่คะ

2) การที่เราใช้ซอฟต์แวร์เถื่อนโดยซื้อเท่าที่จำเป็นและไม่ได้ยินดีในการซื้อ และมีความรู้สึกว่าศีลไม่บริสุทธิ์เสมอจากการที่ยังใช้ซอฟต์แวร์เถื่อนอยู่ เทียบกับผู้อื่นที่ถือศีล 5 แต่ไม่ได้ซีเรียสเท่าโดยถือว่าซื้อเพราะความจำเป็น จากผู้ขายที่ไรท์แผ่นไว้ขายอยู่แล้วไม่ได้ลักขโมยจากผู้ขาย ดังนั้นศีลด่างพร้อยเล็กน้อยเท่านั้น ซื้อแล้วก็แล้วกัน ไม่คิดมาก ว่าศีลยังด่างพร้อยอยู่ ใครจะบาปกว่ากันคะ

3) กรณีเครื่องคอมพิวเตอร์ของบริษัทลงซอฟต์แวร์เถื่อนให้พนักงานใช้ พนักงานด่างพร้อยในศีลข้อ 2 หรือไม่คะ กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์มากๆ ค่ะ ด้วยความนับถืออย่างสูง


คำตอบ
(1) ตอบว่าใช่ ศีลห้าด่างพร้อยหมายถึง ศีลที่มีกิเลสเจือปน ตัวอย่างเช่น พระภิกุที่ไปรับอาหารบิณฑบาตที่บ้านของนางสิริมาโสเภณีสาวงามแห่งแคว้นมคธ เมื่อภิกษุได้เห็นหน้าของสิริมาแล้วตกตะลึงมีจิตเป็นทาสของรูปที่เห็นจนไม่ เป็นอันปฏิบัติธรรม อย่างนี้ถือว่ามีศีลด่างพร้อยเพราะกิเลสเข้าครอบงำใจ แม้กาย วาจา จะมิได้ละเมิดศีลก็ตาม

(2) ผู้ที่ไร้ท์แผ่นซีดีขายประพฤติทุศีลข้ออทินนาทานอันดับแรก ผู้ที่ไปซื้อแผ่นซีดีเถื่อนมาใช้ถือว่าได้ร่วมอกุศลกรรมทุศีล กับผู้ไรท์แผ่นซีดีมาขาย เมื่อใดที่อกุศลกรรมให้ผล ผู้ไรท์แผ่นซีดีได้รับผู้ของบาปมากกว่าผู้ไปซื้อแผ่นซีดีมาใช้

(3) พนักงานผู้ใดใช้คอมพิวเตอร์ของบริษัทฯ ถือว่าได้ร่วมในอกุศลกรรมกับบริษัทฯจึงมีศีลด่างพร้อย แต่ด่างพร้อยน้อยกว่า

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 พ.ค. 2010, 19:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กระผมเป็นคนที่ติดสุรา และ บุหรี่ คือดื่มทุกวันสูบทุกวัน จะมาวันนึงกระผมคิดอยากจะเลิก(ด้วยสุขภาพแย่ลงทุกวัน) แต่พยายามยังไงก้อเลิกไม่ได้สักที ครั้งนึงก้อเลยไปจุดธูปสาบานว่า ข้าพเจ้าจะเลิกให้ได้ ถ้าเลิกไม่ได้ ขอให้ข้าพเจ้า มีชีวิตที่แย่ลง..... แล้วกระผมก้อเลิกไปได้ไม่กี่วันเอง ก้อกลับมาสูบมาดื่มใหม่อีก โดยไม่มีสติระลึกนึกถึง ตอนที่ผมได้จุดธูปสาบานไว้เลย ขอสารภาพตามตรงว่ากระผมได้สาบานไว้หลายครั้งอยู่ที่เดียว แต่พอมีปัญหาเข้ามากระทบ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องครอบครัว เงินทอง หรือ อะไรก้อแล้วแต่ กระผมก้อ จะไม่มีสติ แวะไปดื่มสุราอีก เพราะคิดว่าเมาหลับพรุ่งนี้ตื่นมาก้อ เริ่มต้นใหม่ เป็นอย่างนี้เรื่อยๆมา จนมากระทั้งปัจจุบันนี้ ชีวิตกระผมเริ่มแย่ลงเรื่อยๆๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านฐานะทางด้านเงินทอง คนรอบข้างก้อไม่ค่อยจะยุ่งด้วยมากเท่าไหร่ แล้วอีกหลายๆ อย่าง ...... เดี่ยวนี้มีความเครียดมาก ไม่สามารถอดทนได้แม้กระทั่งสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ( ที่เคยอดทนได้ ) มีอารมณ์ฉุนเฉียว

เรียนถาม อาจารย์ครับว่า กระผมจะแก้ปัญหาชีวิตอย่างไรดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ผมเคยจุดธูปสาบานเอาไว้ แล้วจะทำอย่างไรให้ชีวิตมาดีได้เหมือนเดิม

ผมหมดปัญญาจริงๆ เลยครับอาจารย์ กระผมอยากจะขอคำแนะนำจากอาจารย์ เพราะว่าผมเชื่อเสมอว่า อาจารย์คือพูดที่รู้จริง .......

กราบขอบพระคุณอาจารย์อย่างสูงครับ

คำตอบ
จากเรื่องบอกเล่าไป ผู้ถามปัญหามีความประสงค์จะทำจิตให้เป็นอิสระจากเหล้า บุหรี่ และทำตามคำสาบานที่พูดไว้ไม่ได้ ผู้รู้ไม่เคยบอกให้ใครผู้ใดตามที่ตัวเองต้องการผู้รู้ทำได้เพียงแต่ชี้ทาง ส่วนปัญหาจะหมดไปได้ต้องแก้ด้วยตัวเองปัญหาดังกล่าวจะหมดไปได้ ต้องทำใจให้มีศีลห้าคุม แล้วนำตัวเองเข้าปฏิบัติธรรมโดยมีความเพียรและสัจจะเป็นเครื่องสนับสนุน แล้วปัญหาที่บอกเล่าไปจึงจะหมดไปได้ ดังตัวอย่างที่จะเล่าให้ฟังว่า เมื่อปี พ.ศ. 2518 ได้มีนักศึกษาอาชีวะท่านหนึ่ง ได้ติดยาเสพติดที่เรียกว่าเฮโรอิน ได้ไปบวชเป็นภิกษุปฏิบัติธรรมอยู่กับท่านเจ้าคุณโชดกปฏิบัติได้ไม่นานผล ปรากฏว่า ภิกษุองค์นั้นมีจิตเป็นอิสระจากยาเสพติดเฮโรอินได้ แล้วยังมีจิตบรรลุธรรมของพระพุทธะอีกด้วย..สาธุ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 พ.ค. 2010, 19:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หนูขออนุโมทนาบุญกับท่านอาจารย์ที่เมตตาเหล่าญาติธรรม ยอมสละเวลาของท่านอาจารย์ที่จะช่วยให้ความกระจ่างแก่ผู้สนใจปฏิบัติธรรม และหนูยินดีมีความสุขที่ได้อ่านคำถาม-คำตอบ ของญาติธรรมทั้งหลายที่ได้เขียนถามท่านอาจารย์ เพราะยิ่งมากข้อคำถาม ก็หมายความว่ามีผู้สนใจปฏิบัติธรรมมากขึ้น ขออนุโมทนาบุญกับญาติธรรมทุกท่านด้วยค่ะ

หนูมีข้อสงสัยเกี่ยวกับอาการของสมาธิ ไม่แน่ใจว่าตัวเองจะเข้าใจถูกต้องหรือไม่

1 เมื่อเดือน มีนาคม 51 หนูไปปฏิบัติธรรมของยุวพุทธ ปทุมธานี คลอง 3 ภาวนายุบหนอ-พองหนอ อยู่ๆ คำบริกรรมหายไป ตัวหายไป ปรากฎดวงกลมสีขาวสว่าง เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 12 นิ้ ประมาณ2-3 วินาที เมื่อรู้ว่าคำบริกรรมหายและตัวหาย จึงได้บริกรรมยุบหนอ-พองหนอ และดวงกลมดังกล่าวก็หายไป

ถาม อาการดังกล่าวเป็นเรื่องของสมาธิที่มากแต่สติตามไม่ทันใช่ไหมคะ หนูจึงไม่รู้ว่าคำบริกรรมหายไปตอนไหน และเมื่อรู้ตัวว่าตัวเองเห็นอะไร ตัวหายไป ก็กลับมาบริกรรมยุบหนอ-พองหนอต่อ ถูกต้องหรือไม่ หรือต้องบริกรรมเห็นหนอๆ จนกว่าดวงกลมสีขาวหายไป แล้วค่อยพิจารณาสิ่งที่เกิดขึ้นลำดับต่อไปคะ การเห็นดวงกลมสีขาว กำลังอยู่ในขั้นอุปจารสมาธิหรือเปล่าคะ

2 ต่อมา 5 สิงหาคม 51 หนูได้พบหลวงตา วัดอโศการาม สมุทรปราการ หนูได้พูดคุยกับท่านเป็นเวลา 1 ชม. ท่านเมตตาเทศน์เกี่ยวกับเรื่องไม่ให้ยึดกับอดีต การวางใจกับปัจจุบัน การวางใจในการปฏิบัติงาน และความคิดไม่ดีที่อยู่ในใจ(ท่านเทศน์ตรงจุดจี้ใจดำ จนหนูสงสัยว่าเป็นเรื่องบังเอิญ หรือว่าหลวงตาใช้วิธีแบบที่ท่านอาจารย์ใช้เวลาไปบรรยายธรรม) และได้ถามท่านเกี่ยวกับข้อ 1 ท่านว่า ดวงกลมก็เป็นการบริกรรม หากทำแล้วเกิดขึ้นอีก ท่านให้ถามว่า "ผู้รู้อยู่ไหน" หลังจากที่พูดคุยกับหลวงตาแล้ว หนูมีความสุข และมีอาการซู่ๆซ่าๆในตัว อารมณ์สงบ และทรงอารมณ์นั้นต่อมานานประมาณ 3 วัน

ถาม ที่หลวงตาให้ถามว่า "ผู้รู้อยู่ไหน" หมายความว่าอย่างไรคะ เป็นวิธีการแตกต่างจากที่ท่านอาจารย์ให้ใช้การพิจารณา กาย เวทนา จิต ธรรม อย่างไร และที่เกิดอาการซู่ๆ ซ่าๆ มีความสุข นั่นเป็นอาการของปิติใช่ไหมคะ เหตุใดอาการปิติทรงอยู่ได้นานถึง 3 วัน

ด้วยความเคารพอย่างสูง

คำตอบ
(1) ตอบว่าใช่ คำบริกรรมหายไปขณะที่จิตขาดสติ จึงไม่สามารถระลึกในคำที่นำมาใช้บริกรรมได้ เมื่อตัวหายไปแล้วทำให้จิตกลับมาสู่การมีสติเหมือนเดิม จึงระลึกได้ในคำบริกรรม พองหนอ-ยุบหนอ ได้อีก นั่นเป็นอีกตัวบ่งชี้จิตยังมีกำลังสติไม่กล้าแข็งนัก ต้องกำหนดว่า “ เห็นหนอๆๆๆ ” ไปจนกว่าสิ่งที่ถูกเห็นหายไป แล้วดึงจิตกลับมาสู่องค์บริกรรมเดิม และหากจิตตั้งมั่นจวนแน่วแน่ (อุปจารสมาธิ) ได้เมื่อใดต้องใช้จิตพิจารณาดวงกลมสีขาวที่เกิดขึ้นว่า ดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์เมื่อสิ่งที่ถูกเห็นผันเข้าสู่ความเป็นอนัตตา ปัญญาเห็นแจ้งในการปรากฏของดวงกลมสีขาวก็จะเกิดขึ้น

(2) “ ผู้รู้อยู่ไหน ” ตามที่หลวงตาถามนั้น มีจุดประสงค์ให้ใช้จิตตามดูสิ่งที่ปรากฎจนเห็นว่าดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์ แล้วปัญญาเห็นแจ้งในสิ่งที่ถูกเห็นก็จะเกิดขึ้น นั่นคือผู้รู้อยู่ไหน ก็อยู่ที่ปัญญาเห็นแจ้งนั่นเองและไม่ต่างจากที่ผู้ตอบปัญหาเคยชี้แนะไว้

อนึ่งอาการซู่ซ่ามีความสุข คือปีติที่เกิดขึ้นกับผู้ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน เป็นวิปัสสนูปกิเลสที่คอยขัดขวางผู้ปฏิบัติมิให้เข้าถึงปัญญาเห็นแจ้ง ผู้รู้ฟังแล้วก็ให้สงสารผู้ถามปัญหา ที่รู้ไม่ทันกิเลสมาร จึงเอาจิตไปชื่นชมยินดีกับกิเลสตัวร้ายนานถึงสามวัน

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 พ.ค. 2010, 19:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


จิตอิสระ มีความแตกต่างกับ จิตว่างอย่างไรคะ ผู้มีปัญญาเห็นแจ้ง คืออะไร และเห็นเป็นอย่างไรจึงเรียกว่าเห็นแจ้ง

ฌาน คือ อะไร

อยากให้อาจารย์ช่วยเรียงลำดับขั้นในการฝึกปฏิบัติธรรม ตั้งแต่เริ่มขั้นแรก จนถึงขั้นสุดท้ายให้ด้วยค่ะ

หลังจากหนูสวดมนต์สั้น ๆ เสร็จแล้ว แผ่เมตตา แล้วจะทำสมาธิ การทำสมาธิจะต้องบอกหรือกล่าวคำอะไรก่อนหรือไม่ และหลังจากออกสมาธิ ต้องแผ่ส่วนกุศลอีกครั้งไหมคะ เพราะตอนแรกเราแผ่เมตตาไปแล้ว

ถ้าหากหนูเริ่มนั่งสมาธิด้วยการภาวนา พุธโธ ตลอดระยะเวลา 15 นาที แล้วก็พอ ถือว่าเป็นการทำสมาธิที่ถูกต้องไหม จะได้บุญไหมคะ

พระพุทธเจ้าเคยเสด็จมาประเทศไทยไหมคะ

การที่พระพุทธเจ้าทรงปรินิพพาน ท่านต้องการจากไปเอง หรือเป็นเพราะร่างกายถึงแก่เวลาอันควร จึงจากไป

คำสวดมนต์ต่าง ๆ ใครเป็นผู้คิดค้น

2 - 3 เดือนก่อน หนูออกหัดค่ะ เกือบตายอยู่ 4 - 5 ครั้ง ในช่วงไม่ถึงเดือน เพราะหายใจไม่ได้ ตอนที่หายใจไม่ได้รู้สึกกลัว คิดแต่ว่าจะทำยังไงถึงจะสามารถหายใจให้ได้ ไม่ได้คิดอย่างอื่นเลย เพราะมันตกใจมาก ๆ อยากทราบว่าถ้าเกิดในช่วงเวลานั้นหนูตายขึ้นมาจริง ๆ หนูจะตกนรกใช่ไหมคะอาจารย์ เพราะจิตไม่ได้คิดถึงสิ่งที่ดี ๆ

คราวต่อไปถ้าหนูเกิดเฉียดตายขึ้นมาอีก หนูควรจะปฏิบัติตนอย่างไรดีคะ

รบกวนด้วยค่ะ

คำตอบ
จิตอิสระ หมายถึงจิตที่เป็นอิสระจากสิ่งที่เข้ากระทบจิต จิตรู้ทันจึงไม่รับเอาสิ่งกระทบใดๆ เข้าปรุงอารมณ์และจิตอิสระสูงสุดก็คือ จิตที่ปราศจากกิเลสที่ผูกมัดใจ (สังโยชน์10) ให้ต้องเวียนตาย-เวียนเกิดในวัฏสงสาร

จิตว่าง หมายถึงว่างจากการปรุงอารมณ์ เช่นการมีจิตตั้งมั่นแน่วแน่เป็นฌาน สิ่งกระทบภายนอกใดๆ ไม่สามารถทำให้จิตของผู้ทรงฌานเกิดอารมณ์ขึ้นได้ บุคคลประเภทนี้จึงถูกเรียกว่ามีจิตว่าง

ปัญญาเห็นแจ้งคือเห็นสิ่งต่างๆ ถูกตรงตามที่เป็นจริงแท้ คือเห็นสรรพสิ่งเกิดขึ้น แล้วมีการดับไปเป็นธรรมดา หรือหมายถึงเห็นสรรพสิ่งไม่มีตัวตนแท้จริงเพราะมีการดับสลายในที่สุด หรือเห็นแจ้งว่าความไม่รู้จริง(อวิชชา) หมดไปจากใจได้เมื่อใด การเวียนตายเวียนเกิดในวัฏสงสารจะไม่เกิดขึ้นได้อีกฯลฯ

ฌานคือ สภาวะของจิตที่มีความตั้งมั่นเป็นสมาธิแน่วแน่ (อัปปนาสมาธิ) หรือคือสภาวะของจิตที่มีความสงบประณีตนั่นเอง

การปฏิบัติธรรมมีสองอย่างคือ การพัฒนาจิตให้สงบเป็นสมาธิ (สมถภาวนา) และพัฒนาจิตให้เกิดปัญญาเห็นแจ้ง (วิปัสสนาภาวนา) การสวดมนต์เป็นการฝึกจิตให้มีสติ การฝึกจิตให้ตั้งมั่นเป็นสมาธิ ต้องนำเอากรรมฐานที่เหมาะกับจริตอย่างใดอย่างหนึ่งในกรรมฐาน 40 มาเป็นองค์บริกรรมให้จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ แล้วต่อด้วยการพัฒนาจิตให้เกิดปัญญาเห็นแจ้งด้วยการพิจารณาสติปัฏฐาน 4 (กาย เวทนา จิต ธรรม) ให้เห็นว่าดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์ การพัฒนาปัญญาเห็นแจ้งในปัจจุบันนิยมไปปฏิบัติตามสำนักปฏิบัติธรรมที่เหมาะ สม

บุญกุศลที่มีอยู่ในจิตของผู้ใดแล้ว สามารถอุทิศให้กับผู้อื่นได้ทุกเวลาตามจิตปรารถนา

การทำสมาธิที่ถูกต้องปฏิบัติได้หลายวิธี แต่ทุกวิธีต้องเข้าถึงความมีจิตตั้งมั่นอยู่กับอิริยาบถที่เป็นปัจจุบัน ถ้าไม่ได้ผลตามนี้เรียกว่าปฏิบัติไม่ถูกต้อง ผู้ใดมีจิตตั้งมั่นได้แล้วเรียกว่าเป็นผู้มีบุญได้

ที่ถามว่าพระพุทธเจ้าเคยเสด็จมาประเทศไทยไหมคะตอบว่าไม่ เคยเสด็จมาประเทศไทยเพราะสมัยนั้นยังไม่มีประเทศไทย

คำว่านิพพาน ตามความรู้แจ้งของพระพุทธโคดม หมายถึงการดับรู้ดับนามจึงไม่มีรูปนามต้องเวียนตาย-เวียนเกิดในวัฏสงสารได้ อีกส่วนการตายนั้นดับได้แต่รูปเพียงอย่างเดียวไม่ถือว่านิพพาน

คำสวดมนต์ต่าง ๆ คิดขึ้นโดย พระโพธิสัตว์ พระพุทธเจ้า เทวดา สงฆ์สาวก ฯลฯ

เป็นไปได้หากจิตคิดชั่ว ตายแล้วมีโอกาสไปเกิดเป็นสัตว์อยู่ในอบายภูมิ ส่วนจะถึงนรกหรือไม่ขึ้นอยู่ประเภทของความชั่วที่จิตระลึกได้ก่อนตาย หากประสงค์ไปเกิดในภพที่ดี ควรพัฒนาจิตให้มีสติอยู่เสมอ แล้วสุคติภพย่อมเป็นที่หวังได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 พ.ค. 2010, 19:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ช่วงนี้พยายามทำดี ทำใจให้มีเมตตา พยายามถือศีล ให้ได้ 8 ข้อ แต่จะผิดข้อพูดทุกครั้ง ช่วงก่อนๆ อดทนทำกับครอบครัวดี วันนี้เกือบทำครอบครัวแตก ทะเลาะค่ะ กับพ่อแม่น้อง พ่อก็ให้อภัยมา ท่านบอกว่างี้ค่ะ ส่วนแม่ไม่คุยด้วยเลย ขอโทษทั้ง 3 คนแล้ว หนูจะทำยังไงให้เลิกทำบาปนี่ได้ซะทีค่ะ หนูบาปมากเลยใช่มั๊ยค่ะ

กรุณาตอบด้วยค่ะ

คำตอบ
ต้องหมั่นให้อภัยบ่อยๆ ให้อภัยกับทุกสิ่งที่เป็นเหตุขัดใจใหม่ๆ ทำได้ยากไม่เป็นไร แต่เมื่อให้อภัยบ่อยๆ จนมีกำลังของเมตตาเพิ่มขึ้นโทสะก็จะลดลงไปได้เอง และหากเมื่อใดใจเมตตามีเต็มร้อย โทสะก็ไม่สามารถแสดงตัวให้ปรากฏได้อีกต่อไป ... พิสูจน์ดูสิแล้วจะประจักษ์แจ้งด้วยตัวเอง

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 พ.ค. 2010, 19:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดิฉันขอความกรุณาจากท่านโปรดแนะนำวัดในจังหวัดเชียงใหม่ ที่สอนการเจริญสติ แนวสติปัฏฐาน 4 ตามแนวทางที่ถูกต้องด้วยค่ะ ดิฉันคาดว่าจะไปหัดแบบเริ่มต้นอย่างถูกต้องในช่วงปลายปีนี้ ถึงต้นปีหน้า ขอให้ท่านโปรดให้ความอนุเคราะห์ด้วยค่ะ จริงๆ แล้วดิฉันก็อยากที่จะไปวัดอัมพวันของท่านหลวงพ่อจรัล แต่ที่นั่นคนเยอะมากค่ะ ดิฉันอยากได้วัดที่สงบและคนไม่พลุกพล่านค่ะ

ขอขอบพระคุณท่านมากค่ะ


คำตอบ
แนะนำวัดพันหลัง สำนักปฏิบัติธรรม ตาณัง เลณัง อำเภอ ดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ ต้องติดต่อด้วยตัวเองกับอาจารย์พระมหาประจาก

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 พ.ค. 2010, 19:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เราจะทราบได้อย่างไรว่าเราปฏิบัติธรรมได้ก้าวหน้า และถูกต้องตามแนวทางของพระพุทธเจ้า จะสังเกตุได้จากอะไร

เคยได้ยินว่า ผู้ที่จะปฏิบัติธรรมให้บรรลุ จะต้องเคยปฏิบัติมาแล้วหลายภพ หลายชาติ อย่างนี้หากหนูเพิ่งเคยเริ่มปฏิบัติธรรมในชาตินี้เป็นชาติแรก หนูก็คงไม่บรรลุธรรมได้ใช่ไหมคะอาจารย์

การใช้ชีวิตตามปกติ โดยถือศีล 5 อย่างเดียว จะไม่มีโอกาสบรรลุธรรมได้ใช่ไหมคะ

ทุกวันนี้อาจารย์ใช้ชีวิตประจำวันอย่างไรคะ ที่จะควบคู่ไปกับการทำตามหลักคำสั่งสอนของพระพุทธศาสนา

คำตอบ
ผู้ใดปฏิบัติสมถภาวนา ด้วยวิธีการใดก็ตามแล้วทำให้จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ หรือมีอารมณ์ปรุงแต่งของจิตระงับลงได้การปฏิบัติสมถภาวนานั้นถูกต้อง และผู้ใดใช้จิตที่ตั้งมั่นเป็นสมาธิจวนแน่วแน่ (อุปจารสมาธิ) ไปตามดู กาย เวทนา จิต ธรรม จนเห็นว่าดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์ คือเห็นทุกสิ่งไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน (อนัตตา) แล้วปัญญาเห็นแจ้งในสิ่งที่ถูกเห็นก็จะเกิดขึ้น อย่างนี้จึงจะถือได้ว่าปฏิบัติธรรมได้ถูกตรงตามแนวของพระพุทธ

ผู้ถามปัญหาน้อมนำตัวเองมาปฏิบัติธรรม มิได้หมายความว่าตัวเองได้เริ่มปฏิบัติเป็นชาติแรก แท้จริงเคยปฏิบัติมาแล้วหลายชาติที่ผ่านมาในอดีต ฉะนั้นสมมุติฐานที่ตั้งไว้ว่า “ หากเพิ่งเคยปฏิบัติธรรมในชาตินี้เป็นชาติแรก ” จึงเป็นสมมิตฐานที่เกิดขึ้นจากการมีปัญญาเห็นผิด

การรักษาศีลห้าเพียงอย่างเดียวไม่สามารถทำให้จิตเข้าถึง การบรรลุธรรมขั้นมีดวงตาเห็นธรรมได้ คือยังไม่เกิดปัญญาเห็นแจ้งว่าสรรพสิ่งมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา และสรรพสิ่งย่อมมีการดับไปเป็นธรรมเช่นกัน

ผู้ตอบปัญหาใช้สติกับสัมปชัญญะขั้นโลกุตตระส่องนำทางให้ กับชีวิตัวเอง ดำเนินไปถูกตรงตามธรรมและวินัยที่พระพุทธโคดมบัญญัติไว้ โดยมีจิตเป็นอิสระจากโลกธรรม เป็นอิสระจากวัตถุและเป็นอิสระจากกิเลสที่จะนำไปสู่การเกิดเป็นสัตว์ใน อบายภูมิ จึงได้นำธรรมที่เข้าถึงแล้วออกเผยแผ่สู่ใจมวลชน

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 พ.ค. 2010, 19:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1. การเลือกที่จะทำงานในชีวิตต่อไปเพื่อเลี้ยงดูบิดามารดา กับการเลือกที่จะไปหาที่สงบเพื่อเร่งความเพียรพัฒนาจิตและสติเพื่อให้หลุด พ้น ด้วยเห็นว่าเวลานาทีทองในการเป็นมนุษย์นั้นสั้นนัก ควรเลือกอย่างไรดีคะ
(ที่ผ่านมาใช้วิธีระลึกสติรู้ตามการเคลื่อนไหว หรือรู้ตามใจที่วิ่งไปมา ซึ่งจะทำได้เวลาสั้นๆ ในทุกครั้งที่ว่างๆ แต่รู้สึกว่าจิตไม่ได้ทำต่อเนื่องนานพอจะตั้งมั่นเป็นสมาธิขั้นสูงได้ จึงเกิดคำถามข้อนี้น่ะค่ะว่าจะหยุดงานทางโลกดีไหม)

2.เคยไปทำสังฆทาน เห็นว่าทางวัดใช้วิธีเวียนถังสังฆทานที่เราถวายแล้วไปตั้งขายใหม่ เช่นนี้ผิดหรือถูกตามข้อธรรม หรือพระวินัยอย่างไร และเราควรทำบุญกับวัดแบบนี้หรือไม่คะ

3.ได้อ่านประวัติพระสาวกเช่นพระสารีบุตร ได้รับการพยากรณ์ล่วงหน้าว่าอีก 1แสนกัปป์จะได้เป็นสาวกของพระสมณโคดม ลักษณะนี้แสดงว่ากาลข้างหน้าของบุคคลใดถูกกำหนดไว้แล้วหรือ ไม่ใช่ถูกกำหนดด้วยกรรมเก่า + กรรมใหม่หรอกหรือคะ



คำตอบ
(1) ผู้ใดเลี้ยงดูพ่อแม่(กตัญญูกตเวที ผู้นั้นมีความเป็นอยู่ราบรื่นมีความสุข และกิจการงานในทางโลกรุ่งเรือง แต่ในทางธรรมผู้ใดพัฒนาจิตตนเองจนเป็นอิสระจากโลกธรรม อิสระจากวัตถุ อิสระจากกิเลส ตัณหา อุปาทาน ฯลฯ ได้ ผู้นั้นมีชีวิตสงบมีชีวิตเป็นอิสระ และหากทำได้อย่างพระพุทธะ คือช่วยผู้อื่นให้พ้นไปจากความทุกข์ได้ นั่นคือคุณค่าสุดยอดของชีวิตที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ฉะนั้นผู้ถามปัญหามีชีวิตเป็นของตัวเอง จึงต้องเลือกทางเดินของชีวิตด้วยตัวเองผู้รู้รวมถึงผู้ตอบปัญหาเป็นได้เพียง ผู้ชี้ทางเท่านั้น

(2) ผู้ฉลาดในการบำเพ็ญทาน เมื่อถวายสังฆทานแล้วเสร็จได้บุญเต็มร้อย ผู้ไม่ฉลาดในการบำเพ็ญทานเมื่อถวายสังฆทานแล้วเสร็จถือว่าได้บุญ เมื่อตามดูทานที่ได้ถวายไปแล้วเกิดมีอกุศลจิตขึ้นถือว่าได้บาป ฉะนั้นผู้ไม่ฉลาดในการบำเพ็ญทานจึงได้ทั้งบุญ ได้ทั้งบาป

ด้วยเหตุนี้ ผู้ถามปัญหาต้องดูใจตัวเองให้ออก หากยังมีความเห็นผิดต้องแก้ไขที่ใจตัวเอง แล้วจึงตัดสินใจว่าจะถวายสังฆทานเป็นแบบไหน

(3) ผู้ที่จะพยากรณ์ชีวิตของผู้อื่นได้ล่วงหน้ายาวนานเป็นแสนกัป และพยากรณ์ได้ถูกตรง มีแต่ผู้ที่เป็นสัพพัญญูเท่านั้นที่จะพยากรณ์เช่นนี้ได้ เหตุเพราะผู้มีความเป็นสัพพัญญูต้องสร้างและสั่งสมบารมีมาครบทั้งสามระดับ คือบารมีธรรม อุปบารมีและปรมัตถบารมีสั่งสมบารมีมามากถึง 30 ทัศ และสั่งสมบารมีมายาวนานอย่างน้อยยี่สิบอสงไขยกับอีกหนึ่งแสนกัปเท่านั้นที่ จะทำเช่นนี้ได้ เพราะผู้มีความเป็นสัพพัญญูสามารถรู้ถึงกรรมเก่าที่บุคคลผู้ถูกพยากรณ์ได้ทำ สั่งสมมาและรู้ความแน่วแน่มั่นคงในการทำกรรมใหญ่ ที่ให้ผลได้ถูกตรงตามคำอธิษฐาน จึงพยากรณ์ได้ถูกตรงเป็นระยะเวลายาวนานล่วงหน้าเช่นนี้

สรุปแล้ว ผู้ใดได้รับพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าองค์ไหนก็ตามผลแห่งการพยากรณ์จะเป็นเช่น นั้นได้ ต้องเนื่องด้วยเหตุแห่งกรรมเก่าที่ทำสั่งสมมายาวนาน และยังเนื่องด้วยเหตุแห่งกรรมใหม่ที่ต้องทำต่ออีกยาวไกล และทำเหตุได้ถูกตรงกับคำพยากรณ์

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1521 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 55, 56, 57, 58, 59, 60, 61 ... 102  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร