วันเวลาปัจจุบัน 13 ต.ค. 2025, 00:01  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 1521 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 56, 57, 58, 59, 60, 61, 62 ... 102  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 30 พ.ค. 2010, 19:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ที่บ้านผมมีอาชีพเป็นตัวแทนจำหน่ายเบียร์ยี่ห้อหนึ่ง เมื่อก่อนผมเป็นคนรับภาระดูแลกิจการทั้งหมด จนเมื่อต้นปีนี้ที่ผ่านมาผมตัดสินใจเลิกเป็นตัวเทนจำหน่าย แต่ที่บ้านผม(พ่อและแม่) เขายังขายกันอยู่แต่เปลี่ยนสถานะจากตัวแทนเป็นร้านค้าส่งทั่วไปแต่ยังขาย เบียร์ขายเหล้าเหมือนเดิม ส่วนตัวผมเริ่มอาช๊พ ใหม่ที่ผมคิดว่าผมชอบมากตอนนี้คือ รับเช่าและให้เช่าพระ(ส่วนมากเป็นพระสายอีสาน กรรมฐาน เพราะว่าเคารพครูบาอาจารย์สายนี้มากครับ บางครั้งผมก็คิดว่าเป็นการขายครูบาอาจารย์กินแต่บางทีก็คิดว่า เราทำเพราะเราเคารพศรัทธาท่าน) ผมได้ให้สัจจะไว้กับหลวงปู่คำพัน วัดธาตุมหาชัย นครพนมว่าเงินที่ได้จากอาชีพขายพระนี้จะนำมาทำบุญทำกุศลตลอด โดยไม่นำเงินนี้ไปใช้ส่วนตัวแม้แต่บาทเดียว
ปัจจุบันผมไม่ได้ดูแลกิจการที่บ้านผมก็เลยไม่มีเงินที่จะมาใช้จ่ายพอดี เพื่อนโทรมาชวนให้ไปช่วยขายเครื่องสำอางค์ที่ต่างจังหวัดผมก็เลยตอบรับไป เพราะคิดว่าตอนนี้อยู่ว่างๆ ไปทำงานหารายได้ก่อนดีกว่า ส่วนธุรกิจขายพระก็ยังทำอยู่ด้วยเพราะชอบแต่เงินกำไรที่ได้ผมยังไม่กล้านำไป ใช้ ผมเลยอยากขอปรึกษาอาจารย์ดังนี้ครับ

1) อาชีพที่ผมทำอยู่ตอนนี้(ขายพระ) และที่กำลังจะทำ(ขายเครื่องสำอางค์) จะผิดศีลเป็นบาปอย้างไรบ้างครับ
2) ถ้าผมจะนำเงินกำไรที่ขายพระมาใช้ส่วนตัวเป็นค่าใช้จ่ายในแต่ละวัน ผมคิดว่ามันเป็นการผิดคำพูดที่ให้ไว้กับหลวงปู่ ผมจะทำอย่างไรดีครับ
3) อยากให้อาจารย์แนะนำเรื่องการทำบุญ จากเงินที่ได้จากการขายพระครับว่าควรทำแบบใด
สุดท้ายผมขอกราบขอบพระคุณอาจารย์มากครับ ผมได้อ่านและได้ฟังสิ่งต่างๆที่อาจารย์ได้สอน อบรมตามสถานที่ต่าง ซึ่งปัจจุบันผมก็ได้นำไปปฎิบัติ ซึ่งเป็นประโยชน์กับตัวเองและผู้อื่นมากครับ


คำตอบ
(1) ทั้งสองอาชีพที่บอกเล่าไปไม่ผิดศีล แต่ทั้งสองอาชีพผิดธรรม ตรงที่เป็นเหตุชักนำให้คนหลง(โมหะ) เกิดกับผู้ที่เข้ามาใช้บริการ

(2) ผู้ใดปรารถนาชีวิตที่เจริญ ต้องหยุดความคิด ที่จะนำเงินกำไรจากการขายพระมาใช้เป็นการส่วนตัว

(3) นำเงินที่ได้กำไรจากการขายพระไปทำบุญตามข้อแรกที่ระบุไว้ในบุญกิริยาวัตถุ 10 คือประพฤติทานได้แล้วเป็นบุญ หากประสงค์จะให้ทานมีอานิสงส์มากต้องให้ทานแก่คนหมู่มาก (มหาทาน) ต้องให้ทานกับผู้มีคุณธรรมสูงต้องให้ทานที่มีอานิสงส์สูงสุด (ธรรมทาน) ฯลฯ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 30 พ.ค. 2010, 19:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมกับเพื่อนๆ ได้ร่วมกันจัดฝึกสติเบื้องต้น ให้กับเด็กๆ ในชุมชนแออัดใกล้ๆ บ้านผม
มีเด็กๆมาร่วมประมาณ สิบกว่าคน อายุตั้งแต่ 5 – 12 ปี
โดยจัดอบรมเฉพาะวันอาทิตย์ช่วงเช้า ประมาณ 2 -3 ชั่วโมง
เริ่มจาก สวดมนต์ไหว้พระ อบรมธรรมะ ในหัวข้อง่ายๆ เช่น ศีลห้า ความกตัญญู
แล้วจึงเริ่มฝึกเดินจงกรม นั่งสมาธิ นานประมาณ ห้านาที ต่อรอบ
ผมมีความรู้สึกว่า เด็กๆมีโอกาสได้ฝึกปฏิบัติน้อยมาก
เพราะกลับไปบ้าน ก็คงไม่ค่อยได้ฝึก เพราะสภาพแวดล้อมไม่อำนวย

ผมใคร่ขอคำแนะนำว่า ควรจะเข้มงวดในการปฏิบัติหรือไม่ครับ?
เพราะกลัวเด็กๆ จะเบื่อ ไม่อยากมาฝึกต่อไป
หรือว่า จะฝึกไปเรื่อยๆ ก่อน แล้วหาโอกาสส่งเด็กๆ ไปอบรมครั้งละ 7 วัน เป็นรายคนไป


คำตอบ
อนุโมทนาด้วยกับการทำสิ่งดีงามให้กับเด็กๆ ในสังคมที่ทำนั้นดีแล้ว ควรนำเด็กๆทำกิจกรรมหลัก เช่น ไหว้พระ สวดมนต์ ต่อด้วยการเจริญสติภาวนาไม่เกิน 10 นาที และต้องรู้ว่า นิสัยเด็กมีสมาธิสั้นไม่ชอบอยู่นิ่งแต่ชอบเล่นสนุก ดังนั้นควรหากิจกรรมที่สุนกมาให้เด็กทำเช่นการเล่านิทานให้เด็กฟัง แล้วเอาธรรมะเข้าเสริมการนำเด็กทำกิจกรรมที่เกิดประโยชน์ เมื่อทำแล้วเสร็จต้องให้เหตุผลว่าทำแล้วดีอย่างไร ชักนำเด็กให้ประพฤติจริยธรรมของลูกที่มีต่อพ่อแม่ ต่อครู ต่อเพื่อน แล้วบอกให้เด็กทราบประพฤติได้แล้วดีอย่างไร

ฉะนั้นไม่ควรเข้มงวดกับเด็กอย่างยิ่ง แต่ควรหากิจกรรมมาเสริมธรรมะที่สนุกๆ ให้เด็กได้ทำและไม่ควรซ้ำซาก

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 30 พ.ค. 2010, 19:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ในวันคล้ายวันเกิด เราควรทำบุญแบบไหนดีนอกจากใส่บาตรพระสงฆ์ในตอนเช้า

เคยได้ยินว่า ใส่บาตรพระสงฆ์ 4 รูป ก็เหมือนกับการทำสังฆทานแล้ว จริงหรือไม่

ชีวิตของหนูมักเจอแต่คนที่ไม่มีความรับผิดชอบ หนูไม่อยากพบเจอคนประเภทนี้อีก หนูควรจะปฏิบัติตนอย่างไรดีคะ แผ่เมตตาหรือทำอย่างไรดี ถึงจะไม่ต้องเจอคนพวกนี้

บางทีเราก็รู้สึกเจ็บปวดกับความรู้สึก คนที่ทำร้ายเรา แต่เราไม่อยากจองเวรเค้า ควรทำอย่างไรดี ถึงจะไม่มีเวรต่อกัน

ขอบพระคุณอาจารย์ค่ะ

คำตอบ
คำว่าสังฆทานหมายถึงทานที่ทายก ถวายแก่หมู่สงฆ์โดยไม่เจาะจงสงฆ์องค์ใด ดังนั้นพระสงฆ์เพียงหนึ่งองค์มารับอาหารบิณฑบาตเมื่อกลับไปถึงอาวาสแล้ว จัดอาหารรวมไว้เป็นส่วนกลางของสงฆ์ทั้งอาวาสนำไปบริโภคได้ อย่างนี้ถือว่าเป็นสังฆทาน

หากพระสงฆ์จำนวน 4 รูป มารับอาหารบิณฑบาต เมื่อกลับไปถึงอาวาสแล้ว ต่างนำอาหารที่ได้จากการบิณฑบาตไปขบฉันเป็นการส่วนตัว แม้จะดูเห็นเป็นหมู่สงฆ์ 4 รูป มารับอาหารบิณฑบาตก็ตามที่ อย่างนี้ไม่เรียกว่าสังฆทาน

ดังนั้นจึงตอบว่าสิ่งที่ได้ยินมา ว่าการใส่บาตรพระสงฆ์ 4 รูป เหมือนกับการทำสังฆทาน จริงหรือไม่จริงขึ้นอยู่กับเงื่อนไขที่บอกมาข้างต้น

ส่วนเรื่องไม่อยากพบเจอคนที่ไม่รับผิดชอบ เป็นความคิดเห็นที่ผิดธรรม เพราะมนุษย์ไม่สามารถหนีใจตัวเองได้พ้น พระพุทธะมิได้สอนให้หนีปัญหา แต่สอนให้อยู่กับปัญหา ด้วยการใช้ปัญญาเห็นแจ้งแก้ปัญหาที่ใจของตัวเอง พัฒนาใจให้เป็นมหาสติ-มหาปัญญา แล้วใช้สติสัมปชัญญะที่พัฒนาได้ ดูความไม่รับผิดชอบว่าเป็นสิ่งไม่ดี มันเป็นเรื่องของเขาและเราจะไม่ประพฤติเช่นเขา ผู้ใดมีสติสัมปชัญญะรู้ทันเช่นนี้แล้ว จะรู้ว่าคนที่ไม่รับผิดชอบเป็นครูสอนใจเราเขามีคุณต่อเรา เขาทำให้เราได้พัฒนาจิตตัวเองให้มีปัญญาบารมีมากขึ้น

สุดท้ายประสงค์ไม่มีเวรกับคนที่ไม่รับผิดชอบ ต้องให้อภัยเป็นทานอยู่เสมอ ด้วยการกำหนดวา “ ช่างมันเถอะๆๆๆ ” ไปเรื่อยๆ แล้วเมตตาก็จะเกิดขึ้นเป็นเมตตาบารมี สั่งสมอยู่ในจิตวิญญาณของผู้ให้อภัย

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 31 พ.ค. 2010, 02:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ข้อหนึ่ง หนูอยากทราบว่า กรรมอันใดที่ทำให้เป็นโรค ไมเกรน หนูต้องทุกข์ทรมานจากการปวดหัวนี้ หนูมีทุกข์ทางกาย เช่น รู้สึกใจจะขาด หายใจจะไม่ออก เวลาสวดมนต์ก็ปวดหัวมาก และหายใจจะไม่ออก หนูรู้ว่าผลเกิดแต่เหตุ จึงอยากเรียนถามเพื่อหนูจะได้ไม่ทำเหตุนั้นอีกค่ะ

ข้อสอง การที่หนูศึกษาคัมภีร์ในศาสนาอื่น เช่นไบเบิ้ล จะเป็นการไม่มั่นคงในพระรัตนตรัยรึเปล่า

ข้อสาม เคยมีอยู่ช่วงหนึ่งที่หนูได้ใกล้ชิดกัลยาณมิตร และปฏิบัติตนอย่างเคร่งครัด ซึ่งช่วงนั้นหนูได้รู้สึกถึงพลังแห่งจิตที่ดี ตอนนั้นหนูรู้สึกว่าทุกอย่างมันเที่ยงตรงมาก เมื่อใจหนูคิดอะไร ก็จะมีการตอบสนองที่ค่อนข้างแม่นยำ แต่ ในช่วงที่ผ่านมานี้หนูรู้สึกว่าหนูขาดความแม่นยำเที่ยงตรงตรงนั้นไป เวลาหนูสวดมนต์ก็มีที่หนูไปขอสิ่งต่างๆมากมาย หนูไปกล่าววาจาที่มันอาจไม่เป็นอย่างนั้น สามถึงสี่ครั้ง หนูควรจะทำอย่างไรดีคะ ?

หนูขอขอบพระคุณในความเมตตาของท่านอาจารย์ที่มีต่อสัตว์โลกที่ ยังมีทุกข์ ขอให้ท่านอาจารย์เป็นแสงสว่างชี้แนะทางที่ถูกต้องให้แก่ชาวโลกไปนานๆนะคะ หนูเองอยากพัฒนาตัวให้ได้อย่างท่านอาจารย์ค่ะ หนูทราบดีว่าหนูยังต้องสั่งสมบารมีอีกมาก แต่หนูก็จะเพียรพยายามค่ะ หนูรู้จักเจ้าความทุกข์ดี แต่มันก็ยังประมาทอยู่เรื่อย สุดท้ายนี้หากหนูได้ล่วงเกินหรือลบหลู่ท่านอาจารย์ไป ไม่ว่าด้วยกายวาจาหรือใจ รู้ไม่รู้ก็ดี ตั้งใจไม่ตั้งใจก็ดี จำได้จำไม่ได้ก็ดี หนูขอขมาต่อท่านอาจารย์มา ณ ที่นี้ และขอท่านอาจารย์โปรดงดโทษนั้นแก่หนูด้วยค่ะ

ด้วยความเคารพอย่างสูง

คำตอบ
(1) เคยเบียดเบียนชีวิตของผู้อื่น ด้วยการประพฤติทุศีลข้อแรก (บีบหัว) มาก่อนเมื่ออกุศลวิบากให้ผล โรคไมเกรนจึงได้เกิดขึ้น

(2) ศึกษาคำสอนในศาสนาอื่นได้ แต่หากนำจิตเข้าไปเลื่อมใสศรัทธาในคำสอนของศาสนาอื่นทำให้จิตเคลื่อนห่างจาก ไตรสรณคมณ์ คือ ไม่มั่นคงในพระรัตนตรัย

(3) พระพุทธะไม่เคยสอนพุทธบริษัทให้ทำตัวเป็นผู้ขอ แต่สอนให้ตั้งปรารถนา(อธิษฐาน) แล้วทำเหตุให้ถูกตรงเป้าที่ตั้งปรารถนาไว้ ความสำเร็จจึงจะเกิดขึ้นได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 31 พ.ค. 2010, 02:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หนูมีปัญหาถามอาจารย์ดังนี้ค่ะ
1 ทำไมคนดีผีคุ้มคะ คนปกติผีไม่คุ้มหรือคะ แล้วผีรู้ได้อย่างไรว่า ใครดีใครไม่ดี แล้วผีที่มาคุ้มคนดีก็ต้องเป็นผีดีด้วยใช่ไหมคะ แล้วอย่างเช่น ถ้าเราไปตามสถานที่ต่างๆมีผีมาขอส่วนบุญส่วนกุศล เขารู้ได้อย่างไรว่า คนๆนั้นเป็นคนมีบุญกุศล ทั้งๆที่เจอกันเป็นครั้งแรก ทำไมคนด้วยกันไม่รู้ แต่ผีกลับรู้คะ

2 หนูเคยท้อแท้กับการถูกคนนินทาใส่ร้ายอย่างหนัก หนูรู้สึกไม่มีใครเลยที่เข้าใจและอยู่เคียงข้างหนู จนหนูต้องอธิษฐานต่อหน้าหิ้งพระว่า หากสิ่งที่หนูทำ ถูกต้อง (หนูถือศีล ทำทาน ปฏิบัติธรรม) ดีแล้วถูกแล้ว กฏแห่งกรรมมีจริง บุญบาปมีจริง ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ขอให้มีพระบรมสารีริกธาตุเสด็จมา หนูรออยู่หลายวันท่านก็ไม่เสด็จมา แต่หนึ่งเดือนให้หลัง พระบนหิ้งเกิดตกลงมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ ทำให้ได้รู้ว่า มีพระบรมสารีริกธาตุเพิ่มขึ้นอีกสามองค์จากเดิมที่เคยมีเพียงหนึ่งองค์ องค์เดิมนั้นเป็นเหมือนเศษวัสดุหักๆเป็นแผ่นบางๆสีหม่นๆ บูชามาหลายปีแล้วค่ะก็ยังคงลักษณะเดิม แต่ปัจจุบันกลายเป็นลักษณะรีๆออกใสๆ ทุกวันนี้หากหนูท้อมากๆ หนูคิดถึงเหตุการณ์ที่พระบรมสารีริกธาตุเพิ่มขึ้นมา หนูไม่รู้ว่าท่านเสด็จมา หรือท่านเพิ่มชึ้นมาเอง อาจารย์มีความเห็นว่าอย่างไรบ้างคะ นับว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้องหรือเปล่าคะ

3 หนูเป็นคนที่มีลักษณะอย่างหนึ่งคือ หนูเป็นคนทุกข์ไม่จริง ทุกข์ไม่นาน ทุกครั้งที่หนูประสบปัญหา มีความเดือดร้อนทุกข์กายทุกข์ใจ หนูรู้สึกอยู่เสมอว่า กลางหน้าอกนั้นมีเปลวเทียนแห่งความสุขสว่างอยู่เสมอ หนูไม่รู้จะอธิบายอย่างไรให้ท่านอาจารย์เข้าใจ คือเหมือนมันมีพลังแห่งความสุขที่ยังคงอยู่ ถ้าหนูไม่ลืมที่จะกลับไปสำรวจมัน ตั้งแต่หนูเป็นเด็กถ้าหนูมีความทุกข์หนูก็เพียงตามความรู้สึกที่มีสุขนั้นไป ความทุกข์มันก็จะเลือนหายไปหรือน้อยลง บางครั้งทุกข์มากๆก็กลับเป็นสุขมากๆได้ในทันที ซึ่งหนูคิดว่าเป็นเรื่องแปลกดี ใครๆก็บอกว่า ทำไมหนูดูไม่ทุกข์ไม่ร้อนอะไรกับใครบ้างเลย ไม่เคยวิตกกังวลมีความทุกข์อะไรเลย ทั้งๆที่จริงหนูก็มีความทุกข์เหมือนคนอื่นเขานั่นแหละค่ะ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้หนุดูเหมือนเป็นคนเอื่อยเฉื่อย ไม่แอคทีฟ ไม่กระตือรือร้น ยิ่งหลังๆมาปฏิบัติธรรมคนยิ่งว่าเลยว่า พวกนี้ขี้เกียจไม่ขยัน จึงไม่ก้าวหน้าอะไร แต่หนูว่าการปฏิบัติธรรมยิ่งทำให้หนูจริงจังกับทุกสิ่งที่ทำมากขึ้น ละเอียดปราณีตมากขึ้น หนูรู้เลยว่า หนูทุ่มเทให้กับทุกสิ่งทุกอย่างมากขึ้นและทำโดยไม่หวังผลด้วย แต่ความพยายามของหนูเหมือนกับมันสูญเปล่า เหมือนมันมีวิบากกรรมที่หนูต้องชดใช้ หนูแก้ปัญหาถูกทางหรือยังคะ ถ้ายัง หนูจะต้องทำอย่างไรคะ

สุดท้ายนี้ขอกราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ที่กรุณาตอบคำถาม และขออนุโมทนาบุญกุศลทุกสิ่งที่อาจารย์ได้สั่งสมมา หนูหวังว่าหนูจะเป็นได้อย่างอาจารย์สักวันวันใดวันหนึ่งค่ะ

คำตอบ
(1) ผู้ใดมีอย่างน้อยศีล 5 และธรรม 5 คุ้มครองใจให้ได้ทุกขณะตื่น จะมีเทวดาคุ้มรักษา เพราะคุณธรรมของเทวดาคือคุ้มครองรักษามนุษย์ผู้มีคุณธรรมหรือมีความดีงาม

คำว่าผีมีความหมายได้สองนัยคือ หมายถึงซากศพ(รูปที่ปราศจากวิญญาณครอง) จึงไม่สามารถมาทำดีหรือมาทำร้ายหลอกหลอนมนุษย์ได้ และคำว่าผีหากหมายถึงสัตว์รอเกิด (สัมภเวสี) ชนิดต่างๆ ที่มีรูปนามเป็นทิพย์ เช่นคนที่ตายด้วยถูกรถชนก่อนถึงอายุขัย คนที่ตายด้วยการถูกฆาตกรรมฯ คนที่ตายด้วยถูกควายขวิด เมื่อตายแล้วจะไปโอปาติกะเป็นสัมภเวสี เป็นสัตว์รอเกิดที่มีรูปนามเป็นทิพย์ ในสมัยที่เขายังได้อัตภาพเป็นมนุษย์ ไม่มีความดีมาคุ้มรักษาตัวเองให้พ้นจากภัยได้ และเช่นเดียวกันเมื่อตายไปเป็นสัมภเวสีแล้วก็ไม่มีความดีใดไปคุ้มรักษา มนุษย์ได้ แต่สัมภเวสีมีความชั่วไปกลั่นแกล้งผู้อื่นให้เข้าถึงความวิบัติได้เช่นผลัก รถตกคลอง ปิดตาคนขับไม่ให้เห็นรถที่สวนทางมาข้างหน้า ดลใจผู้ขาดสติให้ขับรถไปชนรถคันอื่นฯลฯ

ผีรู้ด้วยจิตสัมผัสว่ามนุษย์คนใดป็นผู้มีบุญ เช่นเดียวกับมนุษย์ผู้พัฒนาจิตให้เข้าถึงความทรงฌานได้ เมื่อออกจากฌานแล้วพลังจิตสามารถไปรู้วาระจิตของผู้อื่น (เจโตปริยญาณ) ได้ สรุปแล้วรู้ได้ด้วยการทำงานของพลังจิตนั่นเอง

(2) เป็นเรื่องปกติธรรมดาของพลังงาน ที่ใดมีพลังงานที่นั่นมีการทำงานได้ พลังงานและสสารมีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน จึงสามารถทำสิ่งมหัศจรรย์ให้เกิดขึ้นได้ ที่ใดมีพระบรมสารีริกธาตุสถิตอยู่ที่นั้นมีเทวดาคุ้มรักษา ความคิด(จิตคิด) ของมนุษย์ เทวดาสามารถหยั่งรู้ได้เป็นปรกติ ฉะนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นจึงเป็นเรื่องของเทวบันดาล ร่วมกับการทำงานของพระบรมสารีริกธาตุเอง

ผู้ใดมีปัญญาแล้วร้องขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ (พระบรมสารีริกธาตุ) มาช่วยไม่ใช่วิถีแห่งพุทธะ ผู้รู้กล่าวว่า “ อัตตาหิอัตโนนาโถ ” หมายถึงตนเป็นที่พึ่งเห็นตน คือพึ่งธรรมะพึ่งความดีงามที่มีอยู่ในใจตนนั่นเองการไปเอาสิ่งอื่นนอกจาก ธรรมะมาเป็นที่พึ่ง จึงเป็นการไม่ถูกต้องตามแนวของผู้รู้ในพุทธศาสนา

(3) ความสุข-ความทุกข์ เป็นเรื่องปกติของธรรมชาติคือต้องเป็นตามกฎไตรลักษณ์ เมื่อความสุขเกิดขึ้น ย่อมมีความเกิดดับไปเป็นธรรมดา เมื่อความสุขดับความทุกข์ย่อมเกิดขึ้นแทนที่ ผู้ใดยังต้องหาความสุขจากกาม ผู้นั้นต้องเสวยความทุกข์จากกามด้วย เพราะเวทนาทั้งสองเป็นของคู่กัน เลือกรับแต่เพียงอย่างเดียวย่อมเป็นไปไม่ได้ ผู้รู้จึงไม่หาความสุขจากาม แต่แสวงหาความสุขจากจิตสงบและจิตเป็นอิสระ

ส่วนคำว่า “ ขี้เกียจ ” หมายถึงไม่อยากทำงาน มนุษย์ที่ยังมีชีวิตมีงานต้องทำสองงานคือ งานภายนอกที่ทำให้กับสังคมที่ทำเพื่อให้ได้ปัจจัยมาเลี้ยงปากท้อง กับงานภายใน คืองานพัฒนาจิตให้มีบุญบารมีสั่งสมเพื่อจะได้ไปเกิดใหม่ในภพภูมิที่เป็น สุคติ มนุษย์มีชีวิตเป็นของตัวเองจึงมีสิทธิ์ที่จะเลือกทำงานให้กับชีวิตของตัว คนที่มีปัญญาเห็นถูกตามธรรมจึงไม่ก้าวล่วงเข้าไปในชีวิตของผู้อื่น ไม่ไปบงการชีวิตของใครให้เป็นไปตามที่ตัวเองต้องการ ฉะนั้นเจ้าของชีวิต จึงต้องเลือกทางให้กับชีวิตของตัวนั่นแหละดีที่สุดใครจะพูดติฉินนินทาหรือ สรรเสริญอย่างไร สามารถพูได้ทั้งนั้นเพราะเขาไม่มีธรรมคุ้มใจ จึงพูดดีพูดไม่ดีได้ส่วนตัวเองผู้เป็นเจ้าของชีวิต หากมีธรรมคุ้มใจแล้วคำพูดเหล่านั้นไม่สามารถทำให้เราดีหรือเลวได้ เพราะชีวิตดำเนินไปตามธรรมที่ตัวเองมีอยู่

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 31 พ.ค. 2010, 02:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


๑. มีผู้ร่วมงานคนหนึ่งซึ่งดิฉันมีปัญหาในการติดต่องานเกือบแทบจะทุกครั้ง และถ้านอกเหนือจากเวลางานแล้วบังเอิญนึกถึงผู้ร่วมงานคนนี้ทีไรจะทำให้จิตใจ ขุ่นมัวหรือมีความโกรธขึ้นมาทุกที อยากทราบว่า ถ้าดิฉันรีบหยุดคิดหรือนึกถึงเรื่องอื่นเพื่อรักษาไม่ให้มีอารมณ์โกรธเป็น ทางที่ถูกต้องหรือเปล่าคะ หรือควรจะรีบแผ่เมตตาโดยคิดว่า ขอให้ใจทั้งปวงเป็นสุขเถิด อย่าได้เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลยจะดีกว่าหรือไม่คะ

๒. ดิฉันได้ปฎิบัติธรรมที่บ้านโดยใช้หลักพุธโธมาระยะหนึ่ง ช่วงหลังๆ ถ้าอ่านหนังสือธรรมะ ประวัติครูบาอาจารย์จบแล้วหลับตา หรือบางครั้งหลับตาในขณะที่สวดมนต์ จะมีความรู้สึกเหมือนว่ามีวงกลมดำๆ ขยายใกล้เข้ามาที่ใบหน้าและใหญ่ขึ้นๆจนถึงระดับหนึ่งแล้วก็จะรู้สึกเหมือน นิ่งๆ ว่างๆ ไม่เหมือนเวลาที่หลับตาปกติ ไม่ทราบว่าอาการแบบนี้คืออะไรคะ และควรปฎิบัติอย่างไรต่อไปเนื่องจากถ้านั่งเฉยๆ อาการนี้ก็จะคงอยู่สักครู่หนึ่งแล้วก็หายไปค่ะ


คำตอบ
(1) คำว่า “ เมตตา ” หมายถึงความรักความปรารถนาให้ผู้อื่นได้รับประโยชน์และมีความสุข เมตตาจะเกิดขึ้นกับใครผู้ใดได้ผู้นั้นต้องมีการให้อภัยเป็นทาน ทุกครั้งที่มีเหตุขัดใจเกิดขึ้น ต้องกำหนดว่า “ ช่างมันเถอะๆๆๆๆ ” จนความขัดใจดับไป ความโกรธจะไม่เกิดขึ้นต้องกำหนดให้ได้เช่นนี้เรื่อยไป แล้วเมตตาจึงจะเกิดขึ้นได้ให้ผลเป็นอารมณ์ที่สงบเย็นผู้ใดมีเมตตาเกิดขึ้น กับใจแล้ว จึงสามารถแผ่เมตตาให้กับผู้อื่นสัตว์อื่นที่คิดทำร้ายเราได้การจองเวรจะไม่ เกิดขึ้น

(2) สิ่งที่บอกเล่าไปคือนิมิตที่มาเป็นตัวขัดขวางความก้าวหน้าในการพัฒนาจิตให้ เกิดปัญญาเห็นแจ้ง เมื่อนิมิตเกิดขึ้นต้องกำหนดว่า “ เห็นหนอๆๆๆ ” จนกระทั่งวงกลมสีดำที่ปรากฏหายไป แล้วจึงดึงจิตกลับมาสู่องค์ภาวนาเดิมวิธีการเช่นนี้ ทำให้จิตเข้าถึงความตั้งมั่นแน่วแน่ (อุปจารสมาธิ) ได้ หลังจากนั้นจึงนำจิตไปพัฒนาปัญญาเห็นแจ้ง ตามแนวของสติปัฏฐาน 4 ต่อไป

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 31 พ.ค. 2010, 02:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมได้ฟังคำอธิบายจากบุคคลท่านหนึ่งว่า การเกิดและดับของจิตนั้นเกิดขึ้นเร็วมาก เมื่อมีจุติจิตก็จะมีปฏิสนธิจิตเกิดขึ้นตามมาในทันที ดังนั้นเมื่อคนเราตายในภพนี้ก็จะไปเกิดในภพอื่นในทันที ดังนั้นคำว่าผีหรือวิญญานที่กลับมาหาญาติหลังตายจะไม่มี เช่นเกี่ยวกับเรื่องแม่นาคพระโขนง เรื่องทำนองนี้ไม่มีทางเป็นจริงได้
แต่ในอีกด้านหนึ่งที่ผมได้รับรู้มาและเชื่อมาระยะหนึ่งแล้ว คือหลังตายมีบางคนเป็นสัมภเวสี มีเสื้อผ้าและหน้าตาเหมือนก่อนตาย และบุคคลที่ยังมีชีวิตอยู่บางคนมองเห็นสัมภเวสีเหล่านั้นได้

เรื่องใน 2 ประเด็นข้างต้น ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร อาจารย์กรุณาให้ความกระจ่างด้วยครับ

ขอบพระคุณอาจารย์มากครับ
ขอแสดงความเคารพ

คำตอบ
คนที่บอกว่าตาย (จุติ) แล้วไปเกิดใหม่ (ปฏิสนธิ) ทันที เป็นความเห็นถูกของคนที่บอก อาทิ ม้ากัณฐกะตายจากสัตว์เดรัจฉานแล้วโอปปาติกะทันทีเป็นกัณฐกะเทพบุตรอยู่ใน สวรรค์ชั้นดาวดึงส์พระเจ้าพิมพิสารโสดาบัน สวรรคตแล้วโอปปาติกะทันทีเป็นชนวสภยักษ์โสดาบันอยู่ในสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิ กา สิริมาโสดาบันตายแล้วโอปปาติกะเป็นสิริมาเทพนารีโสดาบันทันที อยู่ในสวรรค์ชั้นปรนิมิตวสวตี ฯลฯ

คนที่มีประสบการณ์ตรงเรื่องสัมภเวสีคือตายแล้วยังไม่ไป เกิดอยู่ในภพภูมิใดในวัฏสงสาร ยังเป็นสัตว์รอเกิดที่มีรูปลักษณ์เหมือนเดิมก่อนตาย จึงเป็นความเห็นถูกของผู้มีประสบการณ์ตรงเช่นนั้น

ส่วนผู้ถามปัญหาอยากทราบว่า เท็จจริงเป็นอย่างไร ขอให้ชี้แจงเหตุผลในเรื่องของการตายในลักษณะนี้ด้วย ผู้ตอบปัญหาบอกว่าที่ยกตัวอย่างแสดงและที่อธิบายมาข้างต้นเป็นสิ่งถูกต้อง และมีเรื่องเล่าเสริมให้ฟังว่าในสมัยที่ผู้ตอบปัญหายังเป็นนิสิตอยู่ใน มหาวิทยาลัยปรากฏว่ามีนักศึกษารุ่นน้องปีที่หนึ่งได้ไปร่วมดื่มเหล้ากับ เพื่อนฝูง แล้วกลับมาหอพักหลังเที่ยงคืนไปแล้วได้พบชายสูงอายุผู้หนึ่ง มาชวนโขลกหมากรุกไทย ซึ่งเป็นกีฬาที่นักศึกษาผู้นี้ชอบเล่นอยู่เป็นประจำ ผลปรากฏว่าการเล่นหมากรุกในคืนวันนั้นนักศึกษาเล่นแพ้ชายสูงอายุ แล้วต่างคนจึงได้แยกย้ายไปนอน อีกสามถึงสี่วันถัดมา นักศึกษาผู้นี้ได้เดินเข้าไปในห้องรับแขกของหอพัก ได้ไปเห็นรูปของชายสูงอายุผู้มาชวยเล่นหมากรุกในคืนกลางดึก แขวนอยู่ที่ผนังห้องรับแขกนักศึกษาจึงได้ไปถามหัวหน้าหอพัก ซึ่งเป็นนักศึกษาปีสุดท้าย ว่ารูปที่แขวนอยู่เป็นใคร หัวหน้าหอพักตอบว่า “ เป็นรูปของลุงมากที่เคยเป็นภารโรงหอได้ตายไปเมื่อไม่กี่ปีมานี่เอง เมื่อนักศึกษารุ่น้องกับหัวหน้าฯ ได้พูดคุยกันถึงเรื่องที่เล่าให้ฟังข้างต้น จึงรู้ว่าลุงมาในสมัยที่เป็นมนุษย์ชอบเล่นหมากรุกจึงได้มาชวนลูกหอเล่นหมาก รุกด้วย หลังจากนั้นทางหอพักจึงได้จั ดให้มีการทำบุญใหญ่ และอุทิศบุญกุศลให้กับลุงมาก ที่ไปเกิดเป็นสัมภเวสีคือสัตว์รอเกิดที่มีรูปร่างหน้าตาเหมือนเดิมก่อนตาย ทุกประการ

ส่วนเรื่องตายแล้วไปเกิดทันที ขอเล่าเรื่องพระป่าที่เข้าฌานแล้วถอดจิตไปสู่สวรรค์ชั้นยามาได้มีนางฟ้าแต่ง ชุดสีเขียงเข้ามากราบพระสงฆ์ท่านจึงถามว่า “ นางฟ้าเธอเป็นใครจึงได้มากราบอาตมา ” นางฟ้าตอบว่า “ ท่านจำอิฉันไม่ได้หรือเจ้าคะ อิฉันคือ.....เป็นโยมอุปัฏฐากอยู่ที่วัดท่านนั่นไง ” พอพระป่าได้ยินชื่อและนามสกุลที่นางฟ้าบอกจึงจำได้ชัดเจนว่า อุ๊ย (หญิงชรา) คือ .... นี่เองนึกว่าใคร ผู้ใดอยากรู้ว่านางฟ้าองค์นี้เป็นใคร ไปดูได้ที่วัดอริญญวิเวก อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ เพราะมีชื่อของอดีตมนุษย์ที่ไปโอปปาติกะเป็นนางฟ้า ติดอยู่ที่เจดีย์สีขาว ที่สร้างไว้กับวัดอรัญญวิเวกนั่นเอง

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 31 พ.ค. 2010, 02:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดิฉันเริ่มศึกษาด้านธรรมมะมาได้ 3-4 ปี แต่ยังขาดความสม่ำเสมอ ดิฉันมีข้อสงสัยอยากเรียนถามดังนี้ค่ะ
1.ในระยะหลัง ได้เฝ้าสังเกตุกายและใจอยู่เสมอ ๆ ในขณะที่เห็นคนที่นั่งในรถประจำทาง เห็นเด็กเล็ก ๆ เด็กโต วัยรุ่น ผู้ใหญ่ สุดท้ายวัยชรา เห็นการเปลี่ยนแปลงในด้านกายภาพ เห็นความเป็นไปของชีวิต ที่ไม่มีอะไรแน่นอน จนบางครั้งรู้สึกหดหู่ อยากหาอะไรสักอย่างที่พ้นความรู้สึกนี้ จนบางครั้งอยากอยู่ที่สงบ แต่นั่นเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เพราะชีวิตยังต้องดำเนินไป อยากได้คำแนะนำจากท่านอาจารย์ช่วยชี้แนะคะ

2.ในช่วงนี้เป็นช่วงกฐิน ดิฉันมักจะได้ซองกฐินมามาก แต่บางครั้งไม่ได้ส่งซองกลับ แต่ใช้วิธีโอนเงินไปให้ (รวมทั้งซองของพี่น้องที่ฝากมา) ไม่ได้ส่งซองที่ระบุชื่อกลับไปหาคนให้ ดังนี้ เราจะได้บุญหรือไม่

ขอเรียนรบกวนอาจารย์เท่านี้ก่อน ขอบคุณค่ะ

คำตอบ
(1) ชีวิตมีงานให้ทำอยู่สองเรื่องคืองานภายนอกที่ทำให้กับสังคมส่วนรวมที่ทำแล้ว ได้เงินมาเลี้ยงปากท้อง กับงานภายในคือทำเพื่อสั่งสมทรัพย์ภายในสำหรับใช้เดินทางไปสู่ปรโลก พระพุทธะมิได้สอนให้ฆราวาสปฏิเสธงานภายนอก ผู้ใดยังมีความจำเป็นต้องทำงานภายนอก ก็ยังต้องทำอยู่เพราะหากปฏิเสธหรือละทิ้งไม่ทำ ก็จะเป็นเหตุนำมาซึ่งความทุกข์ ฉะนั้นธรรมะที่พระพุทธะมอบไว้แก่พุทธบริษัทประพฤติเพื่อไม่ทำให้เกิดความ ทุกข์มากเกินพอจึงควรหรือจำเป็นต้องประพฤติ อาทิ สอนฆราวาสให้มีสัจจะ มีความข่มใจ มีความอดทน มีการเสียสละแบ่งปัน (ฆราวาสธรรม) ธรรมะที่ประพฤติแล้วทำให้เป็นลูกที่ดี ได้แก่ ท่านเลี้ยงมาเลี้ยงท่านตอบ ช่วยทำงานแทนท่าน ดำรงวงศ์สุกลให้ดี ทำตนเป็นทายาทที่ดี ทำบุญอุทิศเมื่อท่านล่วงลับ ฯลฯ ส่วนงานภายในบุคคลใดประพฤติได้แล้วจะทำให้ตัวเองมีทรัพย์เดินทางในปรโลก อาทิ ประพฤติตนเป็นผู้มีศีล 5 (เบญจศีล) คุมใจ มีธรรม 5 (เบญจธรรม) คุมใจ ประพฤติกุศลกรรมบถ10 ประพฤติบุญกิริยาวัตถุ 10 ประพฤติบารมี 10 ฯลฯ เหล่านี้ผู้ใดประพฤติแล้วจะมีทรัพย์ภายในถูกเก็บฝังไว้ในจิตวิญญาณ เมื่อทิ้งขันธ์ลาโลกไปแล้วทรัพย์เหล่านี้จะติดตามข้ามภพชาติไปให้ตนเองได้ สวยผลแห่งกุศลวิบากนั้น

ฉะนั้นผู้ใดหวังความสวัสดีให้กับชีวิต ทั้งในภพนี้และในภาพหน้า พึงบริหารจัดการเวลาให้เหมาะสมกับงานของชีวิตสองอย่างด้วยตัวของตัวเอง ไม่มีผู้อื่นใดสามารถบริหารจัดการงานของชีวิตแทนกันได้

(2) การเอาเงินใส่ซอง รวมถึงวิธีโอนเงินเพื่อนำไปใช้ในงานกฐิน ถือว่าเป็นการให้ทรัพย์เป็นทาน เป็นหนึ่งในบุญกิริยาวัตถุ 10 ผู้ให้ได้บุญ แต่สิ่งที่ใคร่แนะนำคือ การทำเหตุแล้วเกิดเป็นบุญขึ้นนั้นมีอยู่สิบอย่าง (ดูบุญกิริยาวัตถุ 10) ฉะนั้นพึงเลือกวิธีทำบุญตามที่ตัวเองศรัทธาและการทำบุญต้องไม่เบียดเบียนตัว เอง เพราะจะเป็นบาปเกิดขึ้นกับการทำบุญนั้นด้วย

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 31 พ.ค. 2010, 02:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เมื่อได้ฟังธรรมที่ท่านอาจารย์บรรยายแล้ว มีความรู้สึกว่าตัวเองปฎิบัติมาในชีวิตประจำวันผิดมาก โดยเฉพาะในการที่เราเป็นชาวพุทธ ถือศีล 5 ยังพร่องเลย เคยฟังพระเทศน์ก็ยังฆ่าสัตว์เหมือนเดิม ปกติเมื่อเห็นยุงจะตบทันที ไม่ว่าจะกัดใคร เค้าบินอยู่เฉยๆ ก็ยังตบ แต่เมื่ได้ฟังท่านอาจารย์บรรยายธรรม ทำให้ระมัดระวังตัวมากขึ้นในการใช้ชีวิตประจำวัน พยายามจะไม่ให้ศีล พร่องเลย แต่ก็ยังไม่สมบูรณ์ค่ะ ดิฉันได้ไปปฎิบัติที่วัดมาหลายแห่ง ก็ยังไม่ดีขึ้น เวลาที่อยู่ในวัดทำได้ กลับมาบ้านก็เหมือนเดิมไม่ได้มีอะไรดีขึ้นเลย แต่เป็นคนที่ชอบทำบุญ ฟังธรรมะ การทำบุญจะนำเงินขึ้นจบใส่กระปุกไว้ทุกวันและนำเงินนั้นไปทำบุญ ไม่ว่าจะกับรายการวิทยุที่ฟังอยู่ ทอดผ้าป่า กฐิน งานศพ ก็จะนำเงินที่จบไว้ไปทำ ได้ฟังท่านอาจารย์บรรยายธรรมรู้สึกซาบซึ้งมากและอยากปฎิบัติให้ถูกต้องเพื่อ ที่จะได้ปฎิบัติภาวนาได้ เวลานั่งสมาธิก็นั่งได้ไม่นานเดี๋ยวปวดเมื่อย ก็จะพลิกไปพลิกมา แต่ถ้าเดินจงกรม จะเดินได้นานค่ะ ถ้าจิตแวบก็เอียง เหมือนกัน
มีอยู่วันหนึ่งที่นั่งสวดมนต์เหมือนปกติทุกวัน วันนั้นเป็นตอนเช้าก่อนที่จะไปทำงาน สวดเหมือนเดิมทุกอย่าง มีความรู้สึกว่าเหมือนมีพลังบางอย่างอยู่บนศรีษะ เหมือนกับสว่าน เจาะลงไปในกลางกระหม่อม ตลอดเวลาที่สวดมนต์ จนสวดเสร็จก็ยังมีอยู่ดิฉันมีข้อสงสัยที่จะเรียนถามอาจารย์ดังนี้ค่ะ

1. สิ่งที่ลงมากลางกระหม่อมนั้นคืออะไร และดิฉันควรทำอย่างไร
2. อาจารย์เคยบอกเสมอว่าคนที่ได้ไปฟังการบรรยายธรรมที่ทางชมรมจัด เป็นผู้ที่มีบุญและมี วาสนาถึงได้มาฟัง แล้วการที่ดิฉันเปิดรายการฟังทางอินเตอร์เนต ดิฉันจะได้บุญเหมือนกับท่าน ผู้มีบุญเหล่านั้นไหมคะ
3. เป็นเพราะอะไรดิฉันถึงได้นั่งสมาธิได้ไม่นาน แต่ถ้าเดินจงกรมจะได้นาน
4. เคยบริกรรมหยุบหนอ พองหนอ แล้วทำไม่ได้ แต่กำหนดลมหายใจด้วยพุทโธทำได้ ยุบหนหอกับพุทโธต่างกันไหมคะ
5. วิปัสนากับสมาธิต่างกันอย่างไรคะ

กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์มากค่ะ


คำตอบ
(1) ตามที่บอกเล่าไปเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเนื่องจากจิตเริ่มมีความตั้งมั่น เป็นสมาธิ เมื่อใดที่จิตสัมผัสได้ถึงอาการที่เกิดขึ้นกลางกระหม่อม ต้องหยุดสวดมนต์แล้วกำหนดว่า “ รู้หนอๆๆๆ ” ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งอาการดังกล่าวหายไป จึงเลิกกำหนดและจึงดำเนินการสวดมนต์ต่อไปให้จบบทสวด

(2) ได้บุญเหมือนกัน แต่ได้บุญไม่เท่ากัน ตามกำลังศรัทธาที่แต่ละคนมีมากน้อยต่างกัน

(3) การเดินจงกรมเป็นอริยาบถใหญ่ จิตสามารถจดจ่อ (สติ) อยู่กับเท้าที่ก้าวย่าง ได้ดีกว่า การนั่งภาวนาซึ่งเป็นห้วงเวลาที่จิตยังมีกำลังของสติไม่กล้าแข็งมากนัก จึงนั่งได้ไม่นานเท่ากับการเดินจงกรม

(4) องค์บริกรรมทั้งสองต่างกันด้วยวิธีการใช้ แต่วิธีทั้งสองมีจุดหมายเดียวกัน คือการมีจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ

(5) คำว่า “ วิปัสสนา ” หมายถึงความเห็นแจ้ง เป็นตัวปัญญาที่รู้เห็นเข้าใจเหตุผลที่เป็นจริงแท้ (ปรมัตถสัจจะ) ต่างกับคำว่า “ สมาธิ ” ซึ่งหมายถึงความตั้งมั่นของจิต หรือจิตที่สงบแน่วแน่อยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งโดยเฉพาะ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 31 พ.ค. 2010, 02:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขออนุโมทนาบุญกับบุญกุศลที่อาจารย์ได้สั่งสมมาดีแล้วทุกๆประการค่ะ และขอให้อาจารย์มีสุขภาพแข็งแรงเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของพวกเราไปนานๆ ค่ะ

เรียนถามอาจารย์ค่ะ
ไม่กี่วันนี้ เมื่อใกล้รู้สึกตัวตื่นตอนเช้า ยังงัวเงียอยู่ ปรากฏว่าจิตของตัวเองภาวนาเองค่ะประมาณ 2 ครั้งที่ได้ยิน เสียงนั้นดังในใจมาก จำได้ติดหูที่หายใจเข้าออกว่า ตอนหายใจเข้า ภาวนา "อายุ....ปีแล้ว" ตอนหายใจออก ภาวนา "ตายแน่ ไม่มีใครหนีความตายไปได้" ซึ่ง ณ วินาทีที่รู้สึกตัวเต็มที่คำภาวนาก็หายไป เมื่อทบทวนย้อนกลับก็จำได้ว่าตอนใกล้จะตื่นไม่ได้ฝันอะไรที่จะเกี่ยวข้องกับ คำภาวนานั้น และก่อนนอนก็ไม่ได้นึกภาวนาแบบนี้แต่อย่างไร เหมือนกับเป็นอีกจิตหนึ่งที่แยกจากจิตที่รับรู้เมื่อขณะตื่น ไม่ทราบว่าใช่เป็นจิตผู้รู้ ผู้ตื่นที่ทำงานไปพร้อมกับจิตที่รับรู้ (ประมาณว่าจิตที่ยังหลง) หรือไม่ค่ะ คือ ณ ขณะนั้นมีลักษณะเหมือนจิตดูจิต เคยเป็นแบบนี้บ้างค่ะ 2-3 ครั้งนานหลายปีแล้ว แต่รูปแบบแตกต่างไป เช่นเคยฝันว่าได้สรรเสริญตาของตัวเองที่เสียไปแล้วซึ่งในฝันท่านได้เป็น เทวดานั่งบัลลังก์ ด้วยภาษาสละสลวย คล้องจองกัน อย่างไม่ต้องนึกคิดเลย ทั้งๆที่ ในชีวิตจริง ถ้าไม่ให้เวลาคิดนานๆ คงไม่สามารถจะทำแบบนี้ได้แน่

รบกวนอาจารย์ชี้แนะด้วยค่ะ
ขอบพระคุณอย่างสูงค่ะ


คำตอบ
ที่บอกเล่าไปให้ฟังเป็นเรื่องของจิตรู้ เมื่อรู้สึกตัวตื่นเช้าขึ้นมาจิตมีกำลังของสติกล้าแข็ง จึงสามารถไประลึกรู้จิตตัวที่รู้ (จิตเห็นจิต) นั่นเอง หากเป็นเวลาปรกติในรอบวันขณะตื่นหากผู้ถามปัญหาระลึกได้เช่นนี้ สาธุๆๆๆ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 31 พ.ค. 2010, 02:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ปรึกษาเรื่องการทรงเจ้า

ดิฉันเป็นบุคคลหนึ่งที่ได้นั่งกรรมฐานที่เรียกว่ากรรมฐานเปิดโลก ได้มีโอกาสปฏิบัติ และศึกษาธรรมของหลวงพ่อฤาษีลิงดำเป็นระยะเพื่อไขปัญหาข้อข้องใจต่างๆ จนวันนี้เพื่อนได้เข้าร่วมฟังธรรมยายของอาจารย์แล้วมาเล่าให้ฟังจึงได้เข้า ไปศึกษา แล้วไขข้อข้องใจได้หลายเรื่อง เพราะตัวดิฉันเองได้ฝึกกรรมฐานมาตั้งแต่ปี 49 ครั้งแรกที่นั่งรู้สึกถึงความสับสนวุ่นวาย (มีป้าๆ หลายท่านที่นั่งมานานและเป็นศิษย์ของหลวงพ่อคอยดูแล) ความรู้สึกวูบวาบบอกไม่ถูก จนระยะหลังรู้สึกเย็นและสงบเป็นที่สุด ดิฉันไม่ได้ต้องการนั่งกรรมฐานเพื่อระลึกชาติได้ หรือหวังสิ่งใด หากแต่ศรัทธาในองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า และมีความประสงค์เป็นคนหนึ่งที่ปฏิบัติธรรมเพื่อพัฒนาจิตใจ รบกวนถามอาจารย์ดังต่อไปนี้

1. ดิฉันประกอบอาชีพครูด้วยความศัรทธาในอาชีพนี้ แล้วได้มีโอกาสไปสอนนักเรียนโรงเรียนที่ห่างไกลพบนักเรียนที่ด้อยโอกาสแล้ว มีอะไรบางอย่างทำให้ดิฉันต้องอุปการะนักเรียน 3 คน ซึ่งมีปัญหาต่างกันไป แต่หัวใจของครูนิ่งนอนไม่ได้ที่จะทิ้งเขาไปตามแต่กรรม จึงตัดสินใจอุปการะเขาให้ได้เรียนเลี้ยงดูเหมือนลูกของตนเอง (ดิฉันแต่งงานแล้วไม่มีบุตร อายุ 30 ปีค่ะ) ไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่าจะช่วยให้เขามีความรู้และให้เขาศึกษาธรรมะ และหวังจะสร้างน้ำดีให้กับสังคมที่เจริญแต่วัตถุไปทุกวัน บุญกุศลที่ดิฉันได้ทำกับพวกเขา อยากมอบให้บิดา มารดา และบรรพบุรุษ ที่อบรมเลี้ยงดูให้ดิฉันมีจิตใจอยากช่วยเหลือผู้ด้อยกว่าได้หรือไม่

2. เด็กที่ดิฉันอุปการะนั้นมีหนึ่งคนเป็นร่างทรง ซึ่งดิฉันเองไม่มีความรู้เรื่องนี้ และไม่ได้สนใจจนเมื่อเขาอยู่ในการปกครองสร้างความสงสัย และบนหนทางของธรรมะไม่เห็นเกี่ยวข้องกัน ทำให้ดิฉันงง เพราะมีเรื่องมากมายเกิดขึ้นกับลูกศิษย์คนนี้ ที่เขาต้องเป็นร่างทรงเพราะเขามีกรรมมากกว่าคนปกติ หรือว่าเกี่ยวข้องกันแต่ชาติปางก่อนหรืออย่างไร

3. เด็กคนนี้เขามีความรักกับน้องสาวของข้าพเจ้าจนถึงขั้นเขามีอะไรกัน แต่ดิฉันก็สอนเขาและแนะนำให้เขามอง
อนาคตตั้งใจศึกษาเล่าเรียนจนผ่านไป 2 ปี ก็ดูเด็กคนนี้เป็นคนดีขึ้น ความรับผิดชอบมากขึ้น เหตุใดเขาต้องเกี่ยวพันธ์กับน้องสาวของดิฉันเช่นนี้

4. บางครั้งเด็กคนนี้ที่เป็นร่างทรงก็ไม่เหมือนตัวตนของเขา เหมือนเขาคุ้มดี คุ้มร้าย ปัจจุบันอายุ 18 เกิดจากที่เขาเรียกว่าองค์หรือไม่อย่างไร

5. เด็กคนนี้เป็นคนที่จิตวิตกหวาดระแวง และกลัวผี วิตกมากจนดิฉันพยายามสอนเขาให้ตั้งจิตให้นิ่ง เขาไม่สวดมนต์ ไม่นั่งสมาธิ ทั้งที่เป็นร่างทรง มีผลทำให้จิตเขาไม่ปกติไหมคะ

6. เด็กคนนี้ที่เป็นร่างทรงเมื่อประมาณกลางเดือนสิงหาคม บอกดิฉันว่าเขารู้สึกว่าเขาเป็นเกย์ และก็ไม่ได้รักน้องดิฉันแล้ว ที่สำคัญเขาชอบและแอบรักผู้ชายถึงกับโกหกหนีไปหาไปเฝ้าผู้ชายคนนั้น ดิฉันจึงจำเป็นต้องแจ้งให้แม่เขาทราบดิฉันกับแม่ของเขาได้เดินทางไปพบกับ ร่างทรงที่เขาไปรับมาท่านบอกเป็นภาวะกรรมของเจ้าตัว เดี่ยวก็หาย และเจ้าตัวก็ขึ้นทรงเองเขายังไม่ทราบตอนเขาขึ้นทรงว่าจะถามเขาเรื่องใด องค์(ตามที่เขาเรียก) บอกว่าชะตาเขาขาด จึงส่งองค์ผู้หญิงชื่อแม่อุมา มารักษาร่างไว้จึงส่งผลให้จิตใจเบี่ยงเบน แต่เมื่อวาระกรรมนี้หมดไปเขาก็จะเป็นปกติ เรื่องนี้ดิฉันไม่รู้จะเชื่อดีหรือไม่ เพราะเป็นสิ่งเหนือธรรมชาติ ไม่ใช่ธรรมะที่เชื่อถือได้ เป็นจริงอย่างที่เห็น แต่เรื่องร่างทรงองค์เจ้า ไม่เห็นจะมีเหตุผลใด ใคร่จะขอคำแนะนำจากอาจารย์ว่าเป็นไปได้หรือไรกับเหตุการณ์นี้

7. ดิฉันเฝ้าสวดมนต์ ขอพรพระพุทธองค์ แผ่เมตตาให้กับองค์ที่เขาเชื่อเพราะเชื่อว่าบุญบารมีที่ทำนั้นน่าจะทำให้เขา ช่วยลูกศิษย์ของดิฉันได้ เพราะไม่ใช่แค่เขามีจิตไปเป็นเกย์ นิสัยเขาเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ก้าวร้าว จนดิฉันเองงงว่านี่คืออะไร อยู่ด้วยกันเหมือนอยู่กับใครไม่รู้ ท่านอาจารย์พออธิบายให้ดิฉันเกิดปัญญาได้บ้างไหมคะ

8. ทุกครั้งที่ดิฉันสวดมนต์ นั่งกรรมฐาน หรือทำบุญมักจะอุทิศส่วนกุศลนอกเหนือจากทั่วไปธรรมดา คือ จะอุทิศกุศล ผลบุญที่ได้ทำไปให้ลูกศิษย์ทุกคนที่ดิฉันสอน เพราะเห็นลูกศิษย์มากมายหลายคนลำบาก ทั้งไม่ได้เรียนต่อ ไม่มีอาหาร ไม่มีเงิน ไม่มีพ่อแม่ ดิฉันอยากช่วยเด็กๆ ทุกคน แต่กำลังทรัพย์ไม่พอ เพราะที่อุปการะอยู่ก็จะเข้าเรียนมหาวิทยาลัยในปีหน้า มีเด็กๆ น่าสงสารอีกมากมาย ดิฉันมักจะนึกถึงพวกเขาและหวังว่าบุญกุศลที่ได้ทำจะช่วยส่งผลถึงพวกเขาบ้าง ไม่รู้จะได้ไหม
ดิฉันรบกวนอาจารย์มากมาย เพราะดิฉันเองทุกข์เพราะเรื่องศิษย์คนนี้มาตลอด 3 เดือน ทั้งที่รู้ต้นเหตุของทุกข์ และควรแก้ทุกข์อย่างไร แต่ก็ไม่สามารถทำได้ แต่วันนี้ดีขึ้นมากทีเดียวและคิดทุกอนูของหัวใจไว้ว่าจะช่วยศิษย์คนนี้พ้น ทุกข์ให้จงได้ โดยให้เขาหันเข้าหาธรรมะ โดยมีทุกคนในครอบครัวให้ความร่วมมือ ดิฉันหวังเพียงว่าเขาจะเป็นคนดีของสังคม และเป็นคนๆ หนึ่งที่ปฏิบัติธรรมได้ใช้ชีวิตโดยไม่ตั้งมั่นบนความเห็นแก่ตัว

คำตอบ
(1) ได้ครับ ต้องอุทิศบุญกุศลที่มีให้กับบุคคลที่ปรารถนาจะให้หากผู้ที่ถูกอุทิศบุญรับ ทราบแล้วมาอนุโมทนาบุญเขาก็จะได้รับส่วนบุญนั้น

(2) ทุกคนที่ยังเป็นปุถุชนล้วนต่างมีผลของกรรมถูกเก็บสั่งสมอยู่ในจิตวิญญาณมาก จนเรียกได้ว่ามีผลของกรรมสั่งสมไว้มากไม่มีสิ้นสุด (อนันต์)

คนที่เป็นร่างของเหตุเพราะจิตมีความเห็นผิด รู้ไม่เท่ากันชีวิตจึงยินยอมให้จิตวิญญาณอื่นมาใช้ร่างกายของตัวเอง ทำกิจกรรมต่างๆ เพื่อประโยชน์ของจิตวิญญาณนั้นๆ จิตวิญญาณใดมีบุญบารมีสั่งสมได้มาก จะไม่ยินยอมให้จิตวิญญาณอื่นมาใช้ร่างกายของเขาเป็นร่างทรง แต่จะใช้ร่างกายของตัวเองทำประโยชน์ให้กับชีวิตด้วยการสร้างบุญบารมีให้มี มากยิ่งขึ้น

ฉะนั้นผู้รู้จึงแก้ปัญหาไม่ต้องเป็นร่างทรงของจิตวิญญาณ ใด ด้วยการสร้างและสั่งสมบุญให้มีมากยิ่งขึ้น แล้วจิตวิญญาณอื่นจะไม่สามารถมาใช้ร่างกายของเราเป็นร่างทรงได้

(3) เป็นเรื่องของจิตที่มีความผูกพันกันมาแต่อดีต หากเป็นความผูกพันที่ไม่ผิดกฎหมายไม่ผิดศีล ไม่ผิดธรรม ก็ไม่เสียหายอะไร

(4) เมื่อจิตวิญญาณอื่นมาใช้ร่างกายคนทรง เป็นเครื่องมือในการคิด พูด ทำ ที่เรียกว่าพฤติกรรม ก็จะแสดงออกเป็นพฤติกรรม ของจิตวิญญาณนั้นๆ ซึ่งบางคนเรียกจิตวิญญาณนั้นว่า “ องค์ ”

(5) เป็นเรื่องปรกติธรรมดาของคนที่มีกำลังสติอ่อนเป็นคนทรง ย่อมมีอารมณ์หลากหลาย (วิตกจริต) ผู้ใดสวดมนต์ก่อนนอนเป็นประจำ เจริญอานาปานสติอยู่เสมอ ทำให้จิตมีกำลังของสติมากจิตวิญญาณอื่นจึงไม่สามารถมาใช้ร่างกายของเขาได้ ตรงกันข้ามผู้ใดมีกำลังสติอ่อน จะมีอารมณ์หลากหลาย มีอารมณ์มากกว่าคนปกติ อย่างนี้จึงเรียกว่ามีอารมณ์ผิดปกติ

(6) กรรมคือการกระทำ กุศลกรรมหมายถึง การกระทำที่ฉลาดผู้ใดประสงค์ให้วาระของกรรมที่เป็นคนทรงหมดไป แก้ไขได้ด้วยสวดมนต์ก่อนนอนทุกวัน และเจริญอานาปานสติ โดยเอาลมหายใจเข้ามากำหนดว่า “ พุท ” เอาลมหายใจออกมากำหนดว่า “ โธ ” ปฏิบัติเช่นนี้ต่อเนื่องยาวนานจะทำให้จิตมีกำลังของสติเพิ่มมากขึ้น จิตวิญญาณอื่นไม่สามารถมาใช้ร่างของเราไปเป็นร่างทรงได้ วาระของกรรมดังกล่าวก็จะหมดไป ด้วยการประพฤติเหตุให้ถูกตรงเช่นนี้

มนุษย์ เทวดา พรหม (สุทธาวาส) สามารถพัฒนาจิตให้อยู่เหนือธรรมชาติได้ด้วยการเจริญสมถภาวนา และวิปัสสนาภาวนา จนเข้าถึงกรรมขั้นอรหัตตผลได้เมื่อใดแล้วผู้นั้นสามารถอยู่เหนือธรรมชาติได้ ทุกคน

(7) ไม่มีใครสามารถแก้ปัญหาให้ใครได้ ปัญหาจะหมดไปต้องแก้ไขด้วยตัวเอง

เมื่อใดที่บาปให้ผล แรงของอกุศลกรรมย่อมบันดาลพฤติกรรมไม่ดี (ก้าวร้าว) ให้เกิดขึ้น เมื่อจำเป็นต้องอยู่ร่วมกับผู้มีพฤติกรรมก้าวร้าว ต้องเจริญขันติบารมี และพรหมวิหาร 4 ให้มีกำลังกล้าแข็ง แล้วพฤติกรรมไม่ดีของผู้อื่นก็ไม่สามารถเข้าทำร้ายได้

ผู้ถามปัญหาเป็นผู้โชคดี มีครูดีอยู่ใกล้ ไม่ต้องไปแสวงหาครูในที่ห่างไกลให้เสียเงินเสียเวลา เพราะเขาผู้ก้าวร้าวเป็นครูที่ทำให้เราได้สร้างบารมีนั่นเอง

(8) เมื่อใดที่กรรมดี (ช่วยเด็ก) ให้ผลเมื่อนั้นกุศลวิบากจึงจะเกิดขึ้นให้ผู้ที่ช่วยเหลือได้เสวย ผู้ทีประพฤติตนตามแนวทางของพระโพธิสัตว์(ช่วยเหลือคน) เขาหวังสร้างบุญบารมีกันทั้งนั้น คำว่า “ อุปสรรคบ่มี บารมีบ่เกิด ” จึงเป็นจริงแท้ ฉะนั้นผู้ใดเลือกทางเดินของชีวิตเป็นแบบนี้แล้ว ต้องไม่สะทกสะท้านต่ออุปสรรคปัญหาใดๆ ที่เกิดขึ้น ครูบาศรีวิชัยผู้เป็นพระโพธิสัตว์ได้ทำให้ดูเป็นตัวอย่างแล้วทำความดียัง ต้องถูกอธิกรณ์จากฝ่ายบ้านเมืองหลายครั้งหลายหน

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 31 พ.ค. 2010, 02:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดิฉันมีปัญหากลุ้มใจมากอยู่เรื่องหนึ่ง คือ ครอบครัวดิฉันมีเพียง แม่และตัวดิฉันเท่านั้น เมื่อ 12ปีที่แล้ว ด้วยความที่กลัวท่านเหงาขณะที่ดิฉันไปทำงาน ดิฉันจึงซื้อลูกหมาพูเดิ้ลให้ท่านเลี้ยง 1 ตัวเป็นเพื่อน แต่ปรากฏว่าหมาที่เลี้ยงนั้นนิสัยไม่ใช่แบบหมาตุ๊กตาแต่เป็นแบบร็อตไวเลอร์ คือเวลาลูบหัวแบบรักใคร่เอ็นดูก็กัดแต่ก็ชอบเอาหัวมาซุก ไม่ไว้วางใจเจ้าของ ทั้งๆที่ดิฉันและแม่ก็ไม่เคยทำร้ายแถมยังเลี้ยงดีมาก แต่กลับกัดดิฉันและแม่อย่างชนิดเลือดตกยางออกกันทีเดียว ซ้ำร้ายยังขับถ่ายไม่เป็นที่ แถมยังทำเฟอร์นิเจอร์พังไปเยอะ แม่ได้ตัดสินใจยกให้คนอื่นทั้งๆที่บ้านนั้นก็มีหมาตัวเมียหลายตัวและรักหมา แต่ปรากฏว่ามันไม่กินข้าวกินปลา และหนีออกมาจากบ้านนั้น เราจึงต้องก้มหน้าก้มตาเลี้ยงเค้าต่อไป เค้าฟังทุกอย่างรู้เรื่องหมดแต่ไม่ทำ และตลอด24ชม.เค้าจะนั่งมองหน้าแม่ตลอด หรือพอแม่ไม่อยู่สัก 10วันเค้าจะป่วยขึ้นมา ดิฉันเคยคิดเสมอว่าเค้าคงเป็นเจ้ากรรมนายเวร ที่มาทำร้ายและทำลายชีวิตและทรัพย์สิน แต่เราก็ไม่เคยคิดจะทอดทิ้งเค้ารักและเลี้ยงเค้าดั่งลูกแท้ๆ

ดิฉันอยากขอสอบถามว่า
1. จะมีกุศลกรรมไหนบ้างที่ทำให้เค้าหมดการจองเวรที่มีต่อกันหรือบรรเทาเบาบางลง ได้
2.เวลาที่แม่โดนกัด จะถือว่าเป็นบาปของดิฉันด้วยไหมคะ

ดิฉันขอกราบขอบพระคุณที่เมตตาตอบคำถามค่ะ

คำตอบ
(1) เมื่อมีการจองเวรเกิดขึ้นแล้ว ต้องชดใช้หนี้เวรกกรรมไปเรื่อยๆ หนี้เวรกรรมจึงจะบรรเทาหรือเบาบางลงได้

(2) เป็นบาปของผู้ที่ถูกสุนัขกัด ผู้ใดไม่ถูกสุนัขกัดถือว่าไม่มีเวรประเภทนี้ผูกไว้กับสุนัข แต่หากนำสุนัขมาเลี้ยงแล้ว ทำให้เจ้าของไม่สบายใจถือว่าเจ้าของสุนัขเคยมีเวรกรรมอื่นร่วมกับสุนัขด้วย

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 31 พ.ค. 2010, 02:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กระผมเป็นคนนึงที่ศรัทธาในตัวอาจารย์มากและอยากจะปฎิบัติ ฝึกจิตให้นิ่งตามที่อาจารย์บรรยายสั่งสอนแต่ด้วยยังมีเรื่องทางโลกอยู่อีก ที่ต้องยุ่งเกี่ยวอยู่กับคน กับเงิน กับใจ กับกิเลสตัณหา อวิชชา ของตัวอง ก็พยายามที่จะฝึกจิตเท่าที่จะทำได้ตามเหตุปัจจัย จึงได้มีคำถามเพื่อนำมาพัฒนาปัญญาและตอบข้อสงสัยในตัวเองดังนี้ครับ

1. ตอนนี้เริ่มฝึกมาได้สักระยะนึงแล้วครับรู้สึกว่าจิตเริ่มสงบได้บ้างแต่ยัง สงบบ้างฟุ้งซ่านก็มีเยอะ ถามว่าเรามีเวลาสักเท่าไรถึงจะทำให้จิตสงบและนิ่งให้มากกว่านี้ครับ

2. บางครั้งรู้สึกว่างานที่ทำมันไม่ถูกต้อง มันยุ่งและวุ่นวาย อยากจะหนีไปหาที่สงบๆ ไม่ทราบว่าท่าน อาจารย์มีข้อควรแนะนำอย่างไรบ้าง

3. อยากลาออกจากงานไปบวช/ปฏิบัติธรรมตลอดชีวิต ( แต่ยังมีความกลัวอยู่ว่าจะเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องหรือไม่ และยังห่วงพ่อกับแม่ที่ยังใช้ชีวิตที่ยังห่างไกลจากธรรมะห่วงท่านว่าหลังจาก ที่ท่านทิ้งขันธ์นี้ไป) ไม่ทราบว่าท่านอาจารย์มีวิธีการเช่นไรแนะนำคนโง่ด้วยครับ

4. ไม่ทราบว่าเรื่องของการมี องค์เทพ มาคุ้มครองตัวมนุษย์ มีจริงแท้อย่างไรครับ

5. เพื่อนของผมได้โทรไปหาหมอดูคนนึง หมอดูบอกว่าตัวเขามีองค์เทพพญานาค และ องค์อื่นๆอีก และแนะให้เขาจัดพิธีบวงสรวงองค์เทพ ปีละครั้ง และควรจะระลึกบูชาองค์เทพเหล่านั้นอยู่เสมอๆเพราะว่าท่านคอยปกปักรักษาคุ้ม ครองตัวเรามาโดยตลอด และตัวเพื่อนก็ได้จัดพิธีบวงสรวงองค์เทพ ณ ศาลพระภูมิที่บ้านโดยจัดหาเครื่องบวงสรวงผลไม้อาหารคาวหวาน(แบบไม่มีเนื้อ สัตว์) นุ่งขาวห่มขาว กันทั้งครอบครัวรวมถึงตัวข้าพเจ้าก็เข้าร่วมด้วย ไม่ทราบว่าเป็นการกระทำที่อยู่ในภาวะ หลง หรือถูกผิดหรือไม่อย่างไรขออาจารย์ช่วยชี้แนะด้วยครับ

6. ผมได้ฟังการบรรยายของ อาจารย์ ผ่านทาง web site กัลยาณธรรม และเห็นว่ามันเป็นสิ่งที่ดีและน่าจะถูกต้องตามหลักคำสอนของพุทธศาสนาจึงได้ มั่นใจที่ประฏิบัติตามคำบรรยายของอาจารย์ แต่คำถามคือว่าผมได้นำสิ่งที่ได้รับมาไปบอกกับเพื่อนใกล้ตัวให้เขาเริ่มทำ ตามอย่างที่ผมได้รับฟังมาแต่เขาก็ทำตามแต่ ยังยุ่งอยู่กับเรื่องทางโลก/ในชีวิตประจำวันของเขาอยู่อีกมาก ทำให้ผมรู้สึกว่าเราไปยัดเยียดอะไรให้เขาหรือป่าว เราจะเป็นบาปไหมครับ

7. ตอนเป็นเด็กเราทำบาปไว้มาก เช่นฆ่าสัตว์ตัดชีวิต เบียดเบียนสัตว์ ลักขโมยเงินของตา ไม่ทราบว่าจะแก้ไขอย่างไรได้บ้างในตอนนี้ และถ้าเราบำเพ็ญฝึกภาวนา แล้วอุทิศให้เหล่าสรรพสัตว์ บรรพบุรุษ เจ้ากรรมนายเวร ที่เราเคยล่วงเกินท่านไว้ไม้ทราบว่าเขาจะได้รับหรือไม่และเขาจะอโหสิกรรมให้ เราหรือเปล่าครับ

8. วิธีที่จะระงับ/ลด/กำจัด ความโมโห โทสะ ใจร้อน ของตัวเองได้อย่างไรบ้างครับ

** กิจอันใดอันประกอบด้วยกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ที่ข้าพเจ้าทำแล้วเกิดเป็นบุญกุศลบารมีเกิดขึ้นผมขออุทิศแผ่ให้แก่สรรพสัตว์ ทั้งหลายที่อยู่ใน 31 ภูมิ ในวัฏฏะนี้ อันได้แก่เจ้ากรรมนายเวร บิดามารดา ญาติมิตร ศัตรู ครูบาอาจารย์ สัตว์นรก เปรต อสุรกาย เดรัจฉาน เทพเทวา พรหม ทั้งหลายทั้งที่มีชีวิตอยูและเสียชีวิตไปแล้วไม่ว่าท่านจะอยู่ภพไหนภูมิใดขอ ให้ได้รับทุกสรรพสัตว์เทอญ และหากกิจอันใดที่กระทำแล้วทำความทุกข์ให้แก่ใคร ผู้ใด ข้าพเจ้าขออโหสิกรรม อย่าได้มีเวรแก่กันและกันเลย...สาธุ

ด้วยความเคารพและนอบน้อมอย่างสูง


คำตอบ
(1) ต้องการพัฒนาจิตให้มีความสงบตั้งมั่นเป็นสมาธิต้องมีศีล 5 คุมใจให้ได้ก่อน หากมั่นใจว่าประพฤติได้แล้ว ให้เร่งความเพียรปฏิบัติสมถภาวนาอย่างต่อเนื่องยาวนาน ความสงบของจิตจึงจะเกิดขึ้นได้

(2) ผู้ตอบปัญหาแนะนำว่า ชีวิตมีงานต้องทำอยู่สองอย่างคืองานภายนอก ที่ทำให้สังคมส่วนรวมและงานภายในคือพัฒนาจิตตนเองให้มีบุญสั่งสม เพื่อเป็นปัจจัยสำหรับจิตวิญญาณใช้เดินทางในปรโลกดังนั้นผู้ใดหวังมีชีวิต สวัสดีทั้งในชีวิตปัจจุบันและในชีวิตหน้าจึงไม่อาจปฏิเสธเลือกทำงานเพียง อย่างเดียวได้ เช่นเดียวกันไม่มีใครผู้ใดหนีใจตัวเองได้พ้น ฉะนั้นจึงต้องทำงานทั้งสองอย่างควบคู่กันไป ซึ่งแต่ละคนต้องบริหารจัดการเวลาให้แก่ชีวิตของตัวเองอย่างเหมาะสม

(3) ใครผู้ใดปฏิเสธไม่ดูแลพ่อแม่ผู้เป็นบุพการีถือว่าผู้นั้นไม่มีความกตัญญู กตเวที ผู้ที่มีโทษสมบัติเช่นนี้ จะประพฤติปฏิบัติธรรมกี่ครั้งกี่หนก็สามารถปฏิบัติได้ แต่เข้าไม่ถึงมรรคผลแห่งธรรม ถือว่าเป็นการปฏิบัติธรรมที่สูญเปล่า

(4) ผู้ใดมีอย่างน้อยศีล 5และมีธรรม 5 คุมใจ ผู้นั้นมีเทวดาคุ้มรักษาบางคนเรียกว่ามี “ องค์ ” ผู้ใดมีเทวดาคุ้มรักษาผู้นั้นแคล้วคลาดจากอุบัติภัยทั้งปวง

(5) ศาสนาพุทธมิได้สอนให้เอาองค์เทพใดๆ มาเป็นที่ระลึกเคารพกราบไหว้บูชา เหตุเพราะมนุษย์มีศักยภาพที่จะพัฒนาจิตวิญญาณของตัวเองให้เข้าถึงความเป็น อริยบุคคลได้ ดังนั้นจึงมีบุคคลผู้เห็นผิดไปจากธรรม ผู้ยังมีปัญญารู้ไม่จริงแท้เท่านั้น ที่เอาจิตของตัวเองไปยึดติดเป็นทาสขององค์เทพผู้ยังมีความเป็นปุถุชนอยู่ใน จิตวิญญาณ หลงนิยมกราบไหว้บูชาในสิ่งที่ด้อยค่ากว่าธรรมและวินัยในพุทธศาสนาซึ่งพุทธ สาวกเขาไม่ประพฤติกัน

(6) ผู้รู้ในพุทธศาสนาไม่เอาธรรมและวินัยไปยัดเยียดให้กับใครผู้ใด ที่มิได้มีจิตศรัทธานำตัวเองเข้ามาศึกษาธรรมะในพุทธศาสนา ดังนั้นผู้ประพฤติยัดเยียดแล้วทำให้ผู้อื่นไม่สบายใจเกรงใจ ลำบากใจ ฯลฯ ถือว่าผู้นั้นไม่ได้สร้างบารมีให้เกิดขึ้น กับตัวเองและผู้ถูกยัดเยียด

(7) เรื่องประพฤติทุศีลในอดีตตามที่บอกเล่าไป เมื่อการเวลาได้ล่วงเลยมาจนถึงปัจจุบัน อกุศลกรรมอันเนื่องจากเหตุทุศีลได้เกิดขึ้นแล้วและได้ถูกเก็บสั่งสมเป็นบาป ไว้ในจิตวิญญาณแล้ว หากผู้ใดหยุดประพฤติทุศีลแล้วนำตัวเองเข้าปฏิบัติธรรมซึ่งเป็นบ่อเกิดแห่ง บุญสูงสุดผู้ใดมีบุญมาก ผู้นั้นสามารถอุทิศบุญกุศลให้กับบรรพบุรุษ เจ้ากรรมนายเวรสรรพสัตว์ ฯลฯ ได้มาก หากท่านเหล่านั้นอยู่ในวิสัยที่จะรับบุญได้ และมาอนุโมทนาบุญจากที่มีผู้อุทิศส่งไปให้ เขาก็จะได้รับบุญกุศลได้ ผู้มาอนุโมทนาบุญผู้เป็นเจ้ากรรมนายเวร จะเลิกจองเวรหรือไม่เป็นสิทธิ์ของเขาไม่มีใครสามารถก้าวล้ำเข้าไปในสิทธิ์ ของเขาได้

(8) ปัญหาที่ถามไปสามารถแก้ไขได้เป็นสองทางคือ เจริญเมตตาให้เกิดขึ้นกับจิตวิญญาณด้วยการให้อภัยเป็นทาน เมื่อใดที่จิตวิญญาณมีเมตตาบารมีสั่งสมได้แล้วความโมโหโทสะใจร้อนจะหมดไปได้ เอง ส่วนแนวทางแก้ไขในทางที่สอง คือเจริญสมถภาวนาและวิปัสสนาภาวนาจนจิตเข้าถึงปัญญาเห็นแจ้ง เห็นถูกตรงตามที่เป็นจริงแท้ (ปรมัตถสัจจะ) และไม่เนื่องด้วยกาลเวลา แล้วใช้ปัญญาเห็นแจ้งมาพิจารณาขันธ์ 5 จนดับไปตามกฎไตรลักษณ์ได้เมื่อใด อัตตาย่อมดับตามไปด้วยปัญหาที่ถามไปจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้อีก

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 31 พ.ค. 2010, 02:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เรื่องการลอยอังคาร ของผู้เสียชีวิต ซึ่งอาจารย์ได้ตอบว่าผู้รู้จริงจะไม่ลอยอังคารให้เสียเงินเสียเวลา ถ้าเช่นนั้นเราควรทำอย่างไรคะ หลังจากได้เผาศพแล้ว

ขอความกรุณาอาจารย์ช่วยชี้แนะด้วยค่ะ หนูศรัทธาและเชื่อมั่นในตัวอาจารย์ มากค่ะ

ขอกราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูง


คำตอบ
นำกระดูกและขี้เถ้าที่เหลือกลับคืนสู่ธรรมชาติดั้งเดิม ด้วยการโรยหรือกลับฝังไว้โคนต้นไม้ เหมือนดังที่เจ้าของสวนวังตะไคร้ได้ทำให้มวลชนดูเป็นตัวอย่างแล้วไงล่ะ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


แก้ไขล่าสุดโดย ธรรมบุตร เมื่อ 31 พ.ค. 2010, 02:54, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสต์ เมื่อ: 31 พ.ค. 2010, 02:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอเมตตาชี้แนะค่ะ...

ดิฉันขออนุโมทนาในบุญกุศลของท่านอาจารย์สนองที่ช่วยชี้แนะ เป็นแสงสว่างให้แก่จิตทุกดวงที่มีบุญมาสัมผัสผ่านผลงานของท่าน ให้หันมาน้อมจิต ปฏิบัติให้ถูกวิธี

ดิฉันอยู่ในครอบครัวลูกหลานคนจีน มีกิจการค้าขาย ตัวดิฉันและพี่ๆ อีก3 คน(จาก 6คน) ได้ถูกส่งไปอยู่กับน้าสาวต่างจังหวัด (มีเฉพาะดิฉันที่ถูกส่งไปตั้งแต่แบเบาะ เลยผูกพันกับน้ามากกว่าคนอื่น)

เมื่อเรียนจบประถม 6 ก็ถูกพากลับมาอยู่กับพ่อแม่ทุกคน ดิฉันไม่ผูกพันกับพ่อแม่เลย พ่อและแม่ก็ไม่มาสุงสิง มัวทำงาน และท่านทะเลาะกัน ถึงกับลงไม้ลงมือเสมอ เพราะแม่ดิฉันหลงเชื่อเรื่องศาลเจ้า (ท่านป่วยเป็นโรคผิวหนัง แต่มีความเชื่อว่าถูกทำของใส่ หาวิธีรักษามากมายก็ยังไม่หาย) นำเงินของพ่อไปให้ศาลเจ้าถูกหลอกเสียเงินก็มากมาย พ่อก็โกรธแม่ และแม่ก็ไม่ได้อยู่ดูแลลูก ๆ เพราะหลงติดศาลเจ้าที่ต่างจังหวัด พี่น้องอีก 2 คนก็ไม่สนิท ดิฉันรู้สึกชีวิตแตกต่างจากเดิมโดยสิ้นเชิง แต่ก็พยายามเข้าใจเพราะครอบครัวมีปัญหา แต่ละวันแทบจะไม่ได้ยินคำพูดจากพ่อเลย เพราะงานหนัก และเครียด รู้แต่ว่าท่านเหนื่อย ดูแลทุกอย่างโดยมี่พี่คนโตช่วยดูแลกิจการและน้อง ๆ ดิฉันก็ปรับตัวกับสภาพใหม่ จนเรียนจบ มีงานทำในจังหวัดไม่เดือดร้อน จนวันหนึ่ง แม่ทะเลาะกับพ่อและพาพี่คนโตที่เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงช่วยงานพ่อไปอยู่ศาลเจ้า ด้วยกัน ขาดคนช่วยพ่อจึงให้พี่สาวคนที่4 ซึ่งเพิ่งจะออกจากงานมาช่วย ชีวิตเริ่มพบความเปลี่ยนแปลง เพราะพี่คนนี้(อยู่กับพ่อแม่มาแต่เด็ก) เจ้าอารมณ์ เอาแต่ใจตัวเอง และทะเลาะกับพ่อเสมอ(แม้จะเป็นเรื่องไร้สาระหรือเรื่องดีที่ไม่น่ามีเหตุ ทะเลาะ เช่นไปทำบุญร่วมกัน2 คน ทะเลาะกันตลอดทางจนถึงวัด) โดยเฉพาะดิฉัน เขาจะหาเรื่องดิฉันตลอด ทั้งเสียดสี ประชดประชัน แสดงอารมณ์ เพื่อชนะ หรือยกตนข่มท่าน(ดิฉันพยายามนิ่ง ยิ่งนิ่งก็ยิ่งถูกยั่วยวน โดยที่ไม่มีเหตุให้ว่า บางครั้งเหตุเกิดจากสิ่งดี ๆ ที่ทำด้วยซ้ำ ) เขาเป็นเจ้ากรรมนายเวรของดิฉันจริง ๆ

แล้ววันหนึ่ง พี่คนโตก็กลับมาพร้อมกับอาการทางจิต ควบคุมตัวเองไม่ได้ ไม่อาบน้ำ หัวเราะ สลับร้องไห้ ดิฉันกลับจากที่ทำงานซื้ออาหารมาฝากเขาพร้อมน้ำตาทุกวัน ดิฉันได้สวดมนต์ตั้งจิตอธิฐานนั่งกรรมฐาน ให้พี่สาวคนโตที่ดิฉันรักหายจากอาการดังกล่าว ( พี่คนที่4 บางครั้งก็มีอาการแปลก ๆ เหมือนอะไรเข้าตัวเขา ใช้ไม้ตีกันกับพี่คนโต มีอาการไม่ถูกกัน) ช่วงระยะเวลาที่ดิฉันเพียรปฏิบัติภาวนาทุกวัน จิตดิฉันนิ่งมีสติ มีพลัง ได้แผ่เมตตาให้พี่เขาเสมอ และทุกครั้งที่เข้าอธิฐานนั่งกรรมฐาน จะมีสัญญานส่งให้ดิฉันลาออกจากงาน ในกรรมฐานดิฉันก็มีสติถามกลับเสมอ คำตอบเหมือนเดิมคือให้ลาออกจากงาน ดิฉันสวดมนต์นั่งสมาธิต่อเนื่องไม่ขาดสายเป็นเวลาประมาณ3เดือน และได้ลาออกจากงานจริง และตั้งใจช่วยพี่สาวคนโตตามเจตนาที่ตั้งไว้(ขณะนั้นก็ได้ติดต่องานทำไว้ ด้วย) โดยที่ยังมีพี่คนที่ 4 อยู่ สิ่งแรกที่ดิฉันทำคือพาพี่คนโตไปรักษาต่อเนื่องที่สวนปรุง ดิฉันสงสารเขาจริง ๆ ค่ะ ( ก่อนหน้านี้ดิฉันพาไปรักษาทีจังหวัด แต่อาการไม่ดีขึ้น บางครั้งดิฉันต้องไปพบแพทย์แทนคนไข้ตัวจริง เพราะเขาไม่ไปและบังคับเขาไม่ได้) ปล้ำกันหลายสิบ รอบค่ะ ( เคยมีเหตุการณ์ที่เขาจะทำร้ายพ่อ ดิฉันวิ่งไปช่วยพ่อทั้งน้ำตา และเสี้ยววินาทีนั้นดิฉันโทรเรียกรถพยาบาลฉุกเฉิน พ่อดิฉันเป็นโรคหัวใจ ดิฉันหัวใจแทบสลายเพราะคนที่เรารักทัง2คน แต่พยายามตั้งสติ ดิฉันทราบเลยว่าการสั่งการช่วงเวลานันมันไม่ได้มาจากสมอง มาจากความไวของจิต)

ศึกของดิฉันยังไม่จบ อาการของพ่อที่เป็นโรคหัวใจก็แย่ลง พี่คนโตดิฉันก้ต้องไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาล รับเขากลับมาดูแลที่บ้าน แต่เขาไม่ยอมทานยา คายทิ้งบ้าง สารพัดวิธี จนอาการกำเริบอีกหลายครั้ง ต้องปล้ำส่งสวนปรุงอีกครั้ง ครั้งนี้อาการหนัก ต้องใช้เครื่องช็อตไฟฟ้าช่วย และพี่คนที่ 4 ก็มีอาการแสดงอารมณ์กับดิฉันเป็นพิเศษ ( แรก ๆ ดิฉันไม่เข้าใจว่าทำไม แต่หลาย ๆ เหตุการณ์หลาย ๆ อารมณ์ที่แสดง เห็นได้ว่ากลัวว่าดิฉันจะมาแย่ง อำนาจ หน้าที่ และสมบัติ ชิงดีชิงเด่น ความเมตตากับดิฉันที่เป็นน้องไม่มีเลย ทั้ง ๆ สิ่งที่ทำเป็นสิ่งบุคคลอื่นชื่นชมว่าดีด้วยซ้ำ) สิ่งเดียวที่เป็นแสงสว่างนำดิฉัน คือ สติ การสวดมนต์ภาวนา นั่งกรรมฐาน โดยอธิฐานจิต ช่วยดิฉันในเหตุการณ์ต่าง ๆ ได้เสมอ (ดิฉันเคยพบเหตุการณ์ที่วิญญาณที่เข้าร่างพี่คนโต จะพยายามเข้าร่างดิฉัน เพราะรำคาญที่ดิฉันเอ่ยธรรมะให้เขาฟังประมาณครึ่งชั่วโมง ดิฉันเอ่ยมาจากจิตไม่ใช่สมอง วิญญาณกระโดดใส่ดิฉันจนตัวหนัก แต่จิตดิฉันให้ลุกหนีเข้าห้องโดยที่สมองยังงงตัวเองเลยว่ารีบลุกทำไม และมีแสงครอบตัวดิฉันไว้ รู้เลยว่าสิ่งหนัก ๆ หลุดไปจากตัว ดิฉันนั่งลงกลางห้องไหว้คุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายที่คุ้มครองลูก และนั่งสมาธิประมาณครึ่งชั่วโมงจึงเข้าใจโดยสมองว่าเกิดอะไรขึ้นกับตนเอง)

หลังจากนั้นประมาณ 1 ปี เกิดวิกฤติคือภัยน้ำท่วม ทำให้กิจการเสียหายมากมาย โดยทำประกันภัยไว้ แต่ไม่ได้ชดเชย เพราะไม่ชำระเบี้ยและไม่ส่งเอกสารสำคัญที่เขาขอ ( เริ่มจากดิฉันเป็นคนติดต่อ และรอทางบริษัท fax เอกสารมาให้ ระหว่างรอได้ไปติดต่อธุระข้างนอก พี่สาวคนที่ 4 เข้ามาพบเอกสารที่fax เขาได้ไปทำต่อคือ ชำระเบี้ย และส่งเอกสารให้บริษัท โดยดิฉันและพ่อรับทราบว่าเขานำไปทำและได้เน้นให้เขานำค่าเบี้ยไปชำระให้ เรียบร้อย จนวันน้ำท่วม ดิฉันสงสารพ่อเป็นที่สุด เพราะท่านคิดว่าประกันภัยต้องได้รับชดเชย ท่านคิดว่าจัดการเรียบร้อยแล้ว แต่หารู้ไม่ว่าพี่สาวคนที่4 นั้นเป็นคนที่ทำให้เสียใจเป็นที่สุด ) นอกจากเขาจะสำนึกและขอโทษพ่อ เขายังเถียงและตวาดท่านอีกต่างหาก ดิฉันเห็นภาพในลักษณะนี้มาตลอด ทำให้คิดได้ว่ามันเป็นเวรกรรมจริง ๆ

จึงเรียนถามท่านอาจารย์สนองดังนี้
1. การตักบาตรตอนเช้า แล้วกรวดน้ำอุทิศบุญไปให้เจ้ากรรมนายเวรที่ยังมีชีวิตอยู่ ระบุชื่อนามสกุล ถูกต้องหรือไม่
(พี่คนที่4 ) ดิฉันกระทำทุกวัน

2. เขาเป็นลูก จะเอาชนะไม่เว้นแม้แต่บิดา-มารดา แสดงอารมณ์กับท่านตลอด โดยเฉพาะวจีกรรม ควรทำอย่างไรดีคะ

3. ดิฉันควรหาทางออกกับคนในครอบครัว เพิ่มเติมอย่างไรดีคะ พ่อ-แม่ พี่คนโต พี่คนที่4 วิบากจากภัยน้ำท่วม เกิดจากเหตุสร้างกรรมอะไรไว้คะ ทุกวันนี้พ่อดิฉันพบทางสว่างแล้ว ท่านปฏิบัติ และปล่อยวางมาก พบเกจิอาจารย์ช่วยชี้แนะ และสุขภาพดีขึ้นมาก แต่เวรกรรมกับพี่คนที่4 ยังไม่หมดกัน ( แม้เจตนาจะไปทำบุญด้วยกัน2คน ก็ยังต้องทะเลาะและเถียงกันก่อนเดินทางถึงวัด แม้จะไปทอดกฐิน ก็ทะเลาะกันอีก ดิฉันมักจะเลือกทางเดินที่ไม่ร่วมเดินทางไปด้วย ปลีกตัวไปทำบุญหรือกรรมฐานเองอย่างสงบ )

4.อยากให้ท่านช่วยชี้แนะแนวทาง ปฏิบัติธรรมะเพิ่มเติมให้ค่ะ( ดิฉันเริ่มนั่งสมาธิตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัย เมื่อทำงานก็ห่างเหินไป จนพบเหตุการณ์เจตนาช่วยพี่สาว เริ่มปฏิบัติเข้ม และขวนขวายตลอดค่ะ เพราะเป็นแสงนำทางชีวิตจริง ๆ ค่ะ ( ตอนตั้งเจตนาช่วยพี่คนโต หลังเริ่มปฏิบัติประมาณ 10 วัน ดิฉันจะฝันเห็นเลข ทุกงวดเลยค่ะ คืนก่อนหวยออกค่ะ แปลกมาก แต่ไม่ค่อยได้ใส่ใจ เพราะมัวทำงานเลยไม่ค่อยได้ซื้อ ) เหตุการณ์นี้เกิดจากอะไรคะ

5.ดิฉันปรารถนาเส้นทางธรรมที่แท้จริงค่ะ ไม่ยึดติดทางโลก ทุกวันนี้ทำเพื่อบุคคลที่เรารักและมีพระคุณ เมื่อหมดภาระทางโลก ตั้งเจตนาพบแสงสว่างทางธรรมค่ะ

คำตอบ
(1) การอุทิศบุญตามที่บอกเล่าไป ทำถูกแล้ว นำอาหารไปใส่บาตรพระเป็นการให้ทานแก่ภิกษุซึ่งเป็นหนึ่งในบุญกิริยาวัตถุ 10 ผู้ใดให้ทานแล้วผู้นั้นมีบุญ ผู้มีบุญสามารถอุทิศบุญให้ใครก็ได้ และอุทิศได้ทุกเวลาตามใจปรารถนา การให้อาหารเป็นทาน มีอานิสงส์น้อยกว่าการให้ปัญญาเป็นทานหรือเรียกได้ว่าให้ธรรมเป็นทานเป็นการ ให้ที่สูงสุด

(2) เมื่อใดเขายังไม่เปิดใจรับคำชี้แนะ คนอื่นไม่มีสิทธิ์เข้าไปก้าวล่วงหรือไม่มีสิทธิไปแนะนำแต่มีสิทธิ์เอา พฤติกรรมไม่ดีของเขาเป็นครูสอนใจตัวเองว่า ลูกที่ประพฤติไม่ดีต่อพ่อแม่ถือเป็นการเนรคุณต่อบุพการี ผลที่จะได้รับตอบกลับคือความวิบัติในวันข้างหน้าดังนั้นเราจะไม่ประพฤติเช่น เขา

(3) ต้องเจริญขันติและพรหมวิหาร 4 ให้มีกำลังมากและสิ่งไม่ดีจะไม่เข้าถึงตัวบุคคลใดรับอกุศลวิบากด้านภัยจาก น้ำท่วมเหตุเพราะเคยทำชีวิตของผู้อื่นชีวิตของสัตว์ให้เดือดร้อนด้วยน้ำใน ปริมาณที่มาก

อนึ่งการทะเลาะเบาะแว้ง หรือโต้แย้งโต้เถียงกันระหว่างพ่อกับลูก ถือว่าเป็นอกุศลวิบากที่หนี้เวรกรรมระหว่างบุคคลทั้งสองยังชดใช้กันไม่หมด

(4) การเห็นเลขหวย เป็นผลงานของจิตที่มีความตั้งมั่นเป็นสมาธิผู้รู้ไม่เอาจิตตกเป็นทาสของการ ซื้อหวยเบอร์เพราะเป็นอบายมุข (การพนัน) ซึ่งเป็นเหตุนำชีวิตสู่ความวิบัติ

ผู้ถามปัญหาประสงค์นำพาชีวิตมาอยู่ในแนวธรรม ต้องพัฒนาจิตตัวเองดังนี้
1 ต้องมีศีลอย่างน้อย 5 ข้อ คุมใจให้ได้ก่อน
2 สวดมนต์ก่อนนอน
3 หลังสวดมนต์แล้วต้องพัฒนาจิตด้วยการกำหนดลมหายใจเข้าว่า “ พุท ” กำหนดลมหายใจออกกำหนดว่า “ โธ ” นาน 15-30 นาที
4 อุทิศบุญกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวรทุกครั้งหลังปฏิบัติธรรมแล้วเสร็จ ปฏิบัติเช่นนี้ไปเรื่อยๆ
5 ความเพียร และสัจจะเป็นฐานของใจ

(5) ชีวิตมีงานให้ทำอยู่สองอย่างคืองานภายนอกที่ทำให้กับสังคม ใหกับครอบครัวให้กับคนอื่นเช่นพ่อแม่ญาติฯลฯและชีวิตยังต้องทำงานภายในซึ่ง ทำให้กับตัวเอง เพราะตายแล้วต้องไปเกิดใหม่จึงจำเป็นต้องเตรียมบุญเป็นปัจจัยเดินทางต่อใน ปรโลกโดยประพฤติบุญกิริยาวัตถุ 10 อยู่เสมอ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1521 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 56, 57, 58, 59, 60, 61, 62 ... 102  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร