วันเวลาปัจจุบัน 13 ต.ค. 2025, 00:01  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 1521 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 57, 58, 59, 60, 61, 62, 63 ... 102  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 31 พ.ค. 2010, 02:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1) อาจารย์เคยกล่าวใน lecture หนึ่งไว้ว่า ถ้าอยู่กินกับแฟนดังครอบครัวโดยไม่ได้แต่งงานเป็นพิธี ก็ไม่อาจก้าวหน้าทางธรรมได้ คือคงบรรลุโสดาไม่ได้ ผมไม่เข้าใจมูลเหตุครับ

เข้าใจว่าศีลข้อ 3 นี้ (ฟังดูเหมือนข้อ 2 มากกว่า) คงไปในแนวขอชีวิตแฟนจากเจ้าของชีวิตเขา คือพ่อแม่เขา แต่เชื่อว่าพ่อแม่ในสังคมปัจจุบัน ให้อิสระในการดำเนินชีวิตลูก หากพ่อแม่ไม่ถือสมมุติว่าลูกเป็นสมบัติตน ตนไม่ใช่เจ้าของชีวิตลูก ลูกก็สามารถดำเนินชีวิตดังชอบได้ ใช่ไหมครับ

หากว่าชีวิตทุกๆคน มีพ่อแม่เป็นเจ้าของชีวิต แล้วทำอย่างไรละครับตัวจะได้เป็นเจ้าของชีวิตตัวสักที คือไม่ต้องเจาะจงประเด็นอยู่กินกับแฟน จะทำอะไรๆก็สามารถผิดศีลข้อเจ้าของนี้ได้น่ะครับ

2) การบรรลุญาณ 16 ขั้น เกิดขึ้นในห้องกรรมฐาน หรือระหว่างปฏิบัติเข้มข้นอย่างเดียว ใช่ไหมครับ คือเหมือนกับต้องมีสภาวะอุ่นเครื่องเป็นขั้นๆ จน peak น่ะครับ เหมือนปรับคลื่น

ดังนั้นแม้ว่าเข้ากรรมฐานปีละครั้ง นั่งเองที่บ้านวันละชั่งโมง กำหนดสติตามชีวิตประจำวัน เราก็คงหวังว่าจุดๆนั้นจะเกิดขึ้นในห้องกรรมฐาน และคงยากในบ้านเราหรือในชีวิตประจำวัน

ขอผลบุญที่ท่านอาจารย์ดร.สนอง วรอุไร ได้สร้างสั่งสมมา ส่งผลที่ดีและประเสริฐให้แก่อาจารย์และครอบครัวเทอญ

คำตอบ
(1) ผู้ใดอยู่กับแฟนฉันท์สามีภรรยา โดยที่พ่อแม่ยังมิได้อนุญาตยกลูกสาวให้ถือว่าประพฤติทุศีลข้อ 3 ผู้นั้นสามารถปฏิบัติธรรมได้ แต่ยังเข้าไม่ถึงมรรคผลแห่งธรรม

หากพ่อแม่เอ่ยปากยกลูกสาวให้แล้ว แต่มิได้แต่งงานเป็นพิธีไม่ถือว่าประพฤติทุศีลข้อ 3 สามารถปฏิบัติธรรมได้ และเมื่อเหตุปัจจัยลงตัวสามารถเข้าถึงมรรคผลแห่งธรรมได้ด้วย

ผู้ถามปัญหามีความเชื่อว่าพ่อแม่ในสังคมปัจจุบัน ให้อิสระในการดำเนินชีวิตแก่ลูก หากพ่อแม่ไม่ถือสมมุติว่าลูกเป็นสมบัติของตนฯลฯ ที่บอกเล่ามาทั้งหมดเป็นความเชื่อของผู้ถามปัญหา แต่มิได้หมายความว่าคนอื่นเพราะคล้อยตามความเชื่อที่เสนอมา ผู้ตอบปัญหาจึงตอบว่า “ ไม่ใช่ครับ ” เพราะปุถุชนยังยึดถือว่า ผู้ให้กำเนิดชีวิตแก่ลูกคือพ่อแม่ ผู้มาอาศัยท้องแม่เป็นที่เกิดคือลูก ผู้มาเกิดในท้องแม่ก่อนเรียกว่าพี่ ผู้มาเกิดในท้องแม่ที่หลังเรียกว่าน้องฯลฯ เหล่านี้ปุถุชนยังยึดถืออยู่ หากไปละเมิดในสิทธิ์ของเขาจะเกิดการจองเวรกันได้ ฉะนั้นผู้รู้จริงในสมมุติคือพระพุทธะ จึงได้บัญญัติศีลข้อ 3 ไว้ให้ปุถุชนประพฤติตามคือเว้นจากการประพฤติในกามแล้วการผูกเวรจะไม่เกิด ขึ้น

อนึ่งผู้ใดประสงค์เป็นเจ้าของชีวิตของตัวเองให้ได้ อย่างแท้จริงต้องพัฒนาจิตวิญญาณของตัวเองให้หลุดพ้นไปจากความเป็นปุถุชน แล้วเข้าถึงความเป็นอริยบุคคลขั้นสูงสุดได้เมื่อใด เมื่อนั้นชีวิตจะไม่ตกเป็นทาสของกิเลสใดๆ โดยเฉพาะกิเลสตัวสุดท้ายคือความรู้ไม่จริง(อวิชชา) เมื่อนั้นแหละจึงจะเป็นเจ้าของชีวิตได้อย่างสมบูรณ์แบบ

(2) ตอบว่า “ ใช่ ” สำหรับผู้มีบารมีสั่งสมยังไม่เต็มและตอบว่า “ ไม่ใช่ ” สำหรับผู้มีบารมีสั่งสมมาเต็มแล้ว

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 31 พ.ค. 2010, 02:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดิฉันเป็นคนที่เป็นทุกข์อย่างมาก จากกิเลส ตัณหา ในใจตัวเองล้วน ๆ จนรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะเป็นโรคประสาท เมื่อทนไม่ไหวดิฉันจึงพึ่งจิตแพทย์ ซึ่งก็ให้ยามาทาน ดิฉันทานยาได้ 2-3 วัน ก็ไปเที่ยวพักผ่อนกับครอบครัว ดิฉันนั่งอยู่หน้าบ้านพักมองไปที่ทะเล แล้วก็คิดไปว่าถ้าสึนามิมาจะทำอย่างไร ดิฉันกับสามีจะพาลูกหนีทันไหม

ในระหว่างที่คิดนั้นดิฉันก็เกิดเอะใจขึ้นมา ทำไมไม่มีความรู้สึกกลัวเลย แล้ว สมองก็ว่าง นิ่ง สงบ แล้วก็เกิดความรู้สึกว่า นี่มันความว่างนี่ นี่ใช่ไหม การปล่อยวางที่พระพุทธเจ้าบอก ดิฉันเห็นความว่างมีจริง และพระพุทธเจ้าก็มีจริงในวันนั้นเอง หลังจากนั้นเป็นต้นมา ดิฉันเริ่มศึกษาธรรมะ จากหนังสือต่าง ๆ

ดิฉันสังเกตุเห็นว่า ทำไมดิฉันเข้าใจง่ายจัง ทั้ง ๆ ที่ บางเล่ม เคยอ่านมาก่อน กลับไม่เข้าใจเลย ดิฉันขอเรียนถามอาจารย์ ดร. สนอง ดังนี้ค่ะ

1. คนที่กินยาจากจิตแพทย์ จะมีโอกาส เห็นความว่าง เห็นพระพุทธเจ้า ไหมค่ะ มีปัจจัยใดที่เอื้อให้เห็นจนเข้าสู่ทางธรรม (ตอนนั้นไม่ทันได้เอะใจ ถามจิตแพทย์เลยค่ะ น่าเสียดายมาก ๆ)

2. หนังสือธรรมะ 2 เล่ม มีปกต่างกัน ชื่อเรื่องต่างกัน แต่เนื้อหาเหมือนกันทุกตัวอักษร เล่ม 1 เรื่อง แสงส่องใจ อ่านเมื่อยังไม่เห็นความว่าง ไม่เห็นพระพุทธเจ้า ไม่เข้าใจอะไรซะอย่างในเนื้อหาเล่ม 2 เรื่อง ชีวิตนี้น้อยนัก อ่านหลังจากเห็นความว่าง เห็นพระพุทธเจ้า เข้าใจทุกอย่าง เห็นจริงดังเนื้อหา จนรู้สึกอยากไกลกิเลส อยากบวชมาก ๆ สภาวะธรรมทางใจใน 2 ช่วงเวลาเป็นอย่างไร อะไรเป็นเหตุให้มีการเรียนรู้ธรรมะต่างกัน หรือกรรมเก่าบังตาให้ไม่เข้าใจ

3. หลังจากอ่านหนังสือธรรมะ ปฏิบัติธรรม ดิฉันมักจะเจอ คนที่ศึกษาธรรม และปฏิบัติ อยู่บ่อย และสัมผัสได้ถึงแววตาที่เป็นสุขของคนเหล่านั้น แม้แต่กับญาติผู้ใหญ่ตัวเอง ที่ไม่ค่อยได้พบกันบ่อย (อยู่คนละจังหวัด) ดิฉันก็รู้สึกได้ถึงความอบอุ่น และอิ่มบุญ จากแววตาของเขาเหล่านั้น ทั้ง ๆ ที่ตอนเด็ก ๆ ดิฉันมักจะมีอคติกับญาติผู้ใหญ่ของตัวเองเสมอ หรือกับคนอื่น ๆ ที่ดิฉันได้คุยด้วย ดิฉันก็มักจะรู้สึกได้ว่า เขามีความรู้สึกอย่างไร ซึ่งมันแวบมาไวมาก ไวกว่าคำพูดในหัวซะอีก (คือ แต่ก่อนชอบคิดเป็นคำพูดค่ะ) ดิฉันจะรู้ได้อย่างไรค่ะว่า ความรู้สึกต่าง ๆ เหล่านั้น มีจริง ๆ หรือ ดิฉันคิดไปเอง จะมีหลักในการแยกแยะอย่างไรค่ะ

กราบขอบพระคุณอาจารย์ที่สละเวลาอันมีค่าอ่านคำถามนี้
สุดท้ายนี้ ขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัย ได้คุ้มครอง อาจารย์ ดร.สนอง วรอุไร ให้มีพลังกาย พลังใจ พลังปัญญา เผยแผ่ความรู้ทางธรรม ไปนานแสนนาน เทอญ

คำตอบ
(1) เรื่องนี้มิได้ขึ้นอยู่กับยาระงับประสาทแต่ขึ้นอยู่กับสภาวะของจิต ที่เข้าถึงความตั้งมั่นเป็นสมาธิ ทำไมไม่ลองฝึกสมถสมาธิ ทำไมไม่ลองฝึกสมถภาวนาดูบ้างล่ะ หากบุญบารมีเก่าส่งผลการเข้าถึงความว่างการเห็นพระพุทธะ จะเป็นเรื่องปรกติของผู้มีสภาวะจิตเช่นนั้น

(2) เหตุคือบุญบารมีที่สั่งสมมาแต่อดีตส่งผล ปัญญาสูงสุดจึงรู้เห็นเข้าใจความจริง(เหตุผล) ระดับจิตสัมผัสได้เกิดขึ้นเป็นธรรมดา

(3) ประสงค์พิสูจน์สิ่งต่างๆ ที่บอกเล่าไป ว่ามีอยู่จริงหรือไม่สามารถทำได้ด้วยการปฏิบัติสมถภาวนา และวิปัสสนาภาวนา จนเข้าถึงปัญญาเห็นแจ้งได้แล้ว ความสงสัยในเหตุผลที่อยู่ลึกกว่าประสาทสัมผัสก็จะหมดไป

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 31 พ.ค. 2010, 02:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กระผมอยากรบกวนขอคำชี้แนะจาก ดร.สนองนะครับ คือว่าผมสวดมนต์ไหว้พระ เดินจงกรม นั่งสมาธิ มาได้ประมาณ ๓ -๔ ปีและประมาณหนึ่งปีหลังมานี้ผมทำทุกเช้าเย็น แล้วในช่วงหลังนี้ในเวลานั่งสมาธิไปในขณะหนึ่งจะเกิดมีอาการเหมือนเราสวด เป็นภาษาแปลกๆ ที่ไม่ใช่ภาษามนุษย์ โดดเราก็ยังมีสติ สัมปัชชัญญะอยู่ แต่ปากเราจะสวดออกไป เป็นภาษาแปลกๆ อยากทราบว่า เป็นเพราะอะไร และจะต้องทำอย่างไรต่อไป

คำตอบ
เป็นเพราะจิตมีกำลังของสติยังไม่มากพอ ที่จะระลึกรู้ได้ว่า ภาษาที่สวดมนต์ได้เปลี่ยนไป วิธีแก้ปัญหานี้คือ เมื่อระลึกได้ว่าภาษาสวดมนต์เปลี่ยนไป ให้หยุดสวดแล้วกำหนดว่า “ รู้หนอๆๆๆ ” ไปเรื่อยๆ จนกว่าสัญญาหรือความจำได้ในภาษาอื่นที่ใช้สวดมนต์หายไปแล้วจึงนำจิตกลับมา สวดมนต์ใหม่ด้วยภาษาที่เคยใช้สวดประจำ ทุกครั้งที่จิตขาดสติต้องแก้ไขด้วยวิธีเช่นนี้ และหากเมื่อใดจิตมีกำลังสติกล้าแข็งการสวดมนต์จะไม่มีภาษาอื่นเข้ามาแทรก ซ้อน ภาษาที่ใช้สวดมนต์อยู่เป็นปรกติ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 31 พ.ค. 2010, 02:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หนูขอกราบขอบพระคุณอาจารย์มากค่ะที่ได้ให้คำตอบเรื่องกระดูกและขี้เถ้า ของผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว และหากบางคนได้นำกระดูกขี้เถ้าของผู้ล่วงลับไปแล้วกลับไปตั้งไหว้ที่บ้าน สมควรทำได้หรือเปล่าคะ และเมื่อเราตั้งของไหว้ที่บ้าน ผู้ที่ล่วงลับไปแล้วจะได้รับมั๊ยคะ

กราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูงค่ะในความเมตตาของอาจารย์


คำตอบ
หากมีจุดประสงค์เพื่อเก็บไว้เป็นที่กราบไหว้บูชา สามารถนำกระดูกและขี้เถ้าของผู้ล่วงลับกลับไปไว้ที่บ้านได้ แต่ต้องประพฤติกราบไหว้บูชาในอุปการคุณของผู้ล่วงลับก็ไม่ใช่เครื่องผิดแต่ อย่างใด ซ้ำยังเกิดเป็นมงคลขึ้นกับใจของผู้กราบไหว้อีกด้วย

ส่วนการตั้งของเซ่นไหว้ไว้ที่บ้าน หากจิตวิญญาณของผู้ล่วงลับอยู่ในวิสัยที่สื่อสารถึงกันได้ แล้วเขามาอนุโมทนาจิตวิญญาณก็ได้รับการเซ่นไหว้นั้น

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 31 พ.ค. 2010, 02:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดิฉันเป็นคนชอบปาร์ตี้มาก รู้สึกว่าสนุกมากเหลือเกินในตอนนั้นได้เต้นได้เฮฮากับเพื่อนๆ แต่พออีกวันนึงเวลาแฮงค์หรือสร่างเมาแล้วก็จะมีความรู้สึกสับสนฟุ้งซ่าน เหมือนคนบ้า คิดประมาณว่าไม่น่ากินเลยไม่ดีเลย เสียเงินแล้วก็ประพฤติไม่ดีด้วยเพราะอยากจะรักษาศีล5แต่ทำผิดศีล พอเจอเพื่อนชวนนิดนึงก็ใจอ่อนทุกที บางครั้งตัวเองก็อยากกินเองด้วย ชอบเที่ยวน่ะค่ะแต่ก็ชอบศึกษาธรรมะไปด้วยเหมือนกับว่ามันค้านในตัวเอง เวลาเที่ยวจะสนุกแค่เวลานั้นพอเที่ยวสร่างเมาอีกวันนึงก็จะรู้สึกว่าตัวเอง ทำผิด เป็นความสุขที่ไม่แท้จริงทำอย่างไรจะตัดให้ขาดได้เสียที

1.ประมาณ2เดือนเคยสาบานว่าจะเป็นลูกพระพุทธเจ้าจะเลิกกินเหล้า แต่กลับไปเที่ยวอีกรู้ว่าการผิดสัจจะอย่างนี้จะส่งผลรุนแรงมาก จะแก้ไขได้อย่างไรพระพุทธเจ้าจะให้อภัยเราไหมคะ ใจจริงในชีวิตที่เหลือนี้ไม่อยากจะแตะต้องอบายมุขแล้วแต่อีกใจมันก็เหมือน ว่ายังบังคับตัวเองไม่ได้น่ะค่ะ สูบบุหรี่ผิดศีลไหมคะ

2.การที่เวลาเราทุกข์แล้ว เราภาวนาว่า ทุกข์หนอๆ หรือ โมโหหนอ หรือ หงุดหงิดหนอ อย่างนี้ไม่เป็นการคิดลบหรือคะแล้วจิตจะไม่บันทึกหรือว่าเราคิดแต่เรื่อง ร้ายๆมันค้านจากที่อ่านหนังสือ the top secret น่ะค่ะของหมอสม นะค่ะ

3.ดิฉันอยากไปปฎิบัติธรรมมานานหลายปีแล้วแต่ไม่มีโอกาสได้ไปเสียที อาจารย์มีที่ไหนแนะนำบ้างไหมคะ ตอนนี้ที่ดิฉันทำบ่อยๆ แทบทุกวันเลยคืออ่านหนังสือธรรมะ ฟังเสียงธรรม และแผ่เมตตา บางทีนั่งรถเมล์ก็จะแผ่ให้ทุกคนที่อยู่บนรถด้วยอย่างนี้ได้ไหมคะ

4.ดิฉันอ่านหนังสืออาจารย์ที่บอกว่ามนุษย์มี 5 จำพวก รู้สึกว่าตัวเองเป็นเกือบทุกจำพวกเลย

5.ดิฉันอ่าน the secret เล่มหน้าปกคุณแอฟ ที่ลูกศิษย์อาจารย์ถามเรื่องหมอดู อาจารย์บอกว่าเวลาตกฟากนั้นเอามาใช้ได้จริงถ้าใครเกิดเวลาใดก็จะสามารถ พยากรณ์ได้ แต่อาจารย์เคยบอกว่าพระพุทธเจ้าไม่ให้เชื่อเรื่องดวงไม่ใช่เหรอคะดิฉันก็เลย สับสนนิดหน่อยนะคะ ต้องขอโทษด้วยที่สงสัยมาก

ขอบพระคุณอาจารย์ที่ตอบปัญหาขออนุโมทนาด้วยค่ะ
ผู้อยากเลิกเหล้า

คำตอบ
(1) สัจจะเป็นคุณธรรม ที่เป็นองค์ของเบญจธรรม การประพฤติตนเป็นคนไร้สัจจะ มีผลทำให้เสียชื่อเสียง ไม่มีคนดีที่ไหนสรรเสริญเหตุที่ทำให้ประพฤติตนเป็นผู้ไร้สัจจะเพราะ ไม่มีศีล 5 คุมใจและใจตกเป็นทาสของอบายมุข (ทางแห่งความฉิบหาย) หากผู้ถามปัญหาประสงค์จะแก้ไขปัญหานี้ให้หมดไป ต้องดับที่ต้นเหตุ คือประพฤติตนให้เป็นผู้มีศีล 5 คุมใจให้ได้ทุกขณะตื่น และต้องนำตัวออกห่างจากอบายมุข

การสูบบุหรี่ไม่ผิดศีล แต่ผิดธรรมตรงที่มีจิตเป็นทาสของสารเสพติดที่มีอยู่ในบุหรี่

(2) คำว่า “ ภาวนา ” หมายถึงการทำให้สิ่งดี (สติ) เกิดขึ้นหรือหมายถึงทำสิ่งที่มีอยู่แล้วให้ดีขึ้น คือให้จิตมีสติเพิ่มมากขึ้น ฉะนั้นการภาวนาคำว่า “ ทุกข์หนอ ” “ โมโหหนอ ” “ หงุดหงิดหนอ ” จึงเป็นวิธีหนึ่งในการพัฒนาจิตให้มีกำลังของสติเพิ่มมากขึ้น การคิดพูดทำแล้วทำให้มีสติเพิ่มมากขึ้นจึงไม่ถือว่าเป็นการคิดพูดทำที่คิดลบ

(3) “ อยากไปปฏิบัติธรรมมานานหลายปีแล้ว แต่ไม่มีโอกาสได้ไปเสียที ” ผู้ตอบปัญหาจึงไม่มีที่ปฏิบัติธรรมไหนๆแนะนำ เพราะโอกาสปฏิบัติธรรมไม่มีกับผู้ถามปัญหา

อนึ่งการแผ่เมตตาให้กับใครผู้ใด ผู้นั้นต้องมีเมตตาอยู่ในใจให้ได้ก่อน เครื่องวัดการมีเมตตาคือ จิตไม่ตกเป็นทาสของโทสะ โมโห หงุดหงิด ฯลฯ ผู้ใดไม่มีเมตตาอยู่ในใจการแผ่เมตตาของผู้นั้นถือว่าเป้นโมฆะ คือผู้ถูกแผ่ให้ไม่ได้รับเมตตา

(4) ใช่แล้ว มนุษย์ทุกคนมีความประพฤติที่เคยชินเป็นสันดาน (อุปนิสัย) ครบทั้งห้าอย่าง เหตุเพราะจิตสั่งสมเน้นหนักไปทางด้านใดมากกว่า อุปนิสัยเน้นหนักนั่นแหละเป็นตัวบ่งชี้ที่มาของจิตวิญญาณสู่การเกิดเป็น มนุษย์ และเป็นตัวบ่งชี้ไปของจิตวิญญาณว่าจะไปเข้าอาศัยอยู่ในร่างของภพภูมิไหน ทั้งนี้เป็นไปตามแรงผลักดันของกรรมที่ถูกเก็บสั่งสมอยู่ในจิตนั่นเอง

(5) ที่ผู้ตอบปัญหาพูดว่า เวลาตกฟากนั้นเอามาใช้ได้จริง กับผู้ที่ยังมีสภาวะของจิตเป็นปุถุชน แต่ผู้มีดวงตาเห็นธรรมแล้วสามารถลิขิตชะตาชีวิตให้ดีได้ ด้วยการกระทำเหตุดีในปัจจุบันด้วยเหตุนี้พระพุทธเจ้า จึงไม่ให้เชื่อเรื่องดวงนั้นถูกต้องแล้ว เพราะเมื่อใดกรรมดีให้ผลจะส่งผลให้ชีวิตของบุคคลเปลี่ยนมาเป็นวิบากดีได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 31 พ.ค. 2010, 02:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดิฉันมีอาชีพทำบัญชี โดยตำแหน่งหน้าที่นี้ ต้องทำงานที่เกี่ยวข้องกับการเสียภาษี ของบริษัทฯ ( ยื่นภาษีบางส่วนและหลบภาษีบางส่วน) ดิฉันพอทราบว่า ส่วนที่หลบภาษีนั้นคงเป็นบาป แต่ดิฉันต้องทำเพราะอยู่ในหน้าที่ มิได้เต็มใจและไม่อยากทำ ครั้นจะไม่ทำก็หมายถึงต้องออกจากงาน ดิฉันไม่สบายใจเป็นอย่างมากกับงานนี้ จึงเรียนถามท่านอาจารย์ว่า

1 ) ดิฉันจะบาปไหมค่ะ เพราะดิฉันไม่เต็มใจและไม่อยากทำเลย ถ้าบาป ดิฉันจะบาปมากไหมค่ะ ระหว่างดิฉันผู้ลงมือปฎิบัติ กับ เจ้าของบริษัทฯ ผู้สั่งการ ใครจะบาปมากกว่ากันค่ะ แต่คงเป็น ตัวดิฉันแน่ที่บาปมากกว่า เพราะเห็นบริษัทฯเติบโตและรวยขึ้นเรื่อยๆ แต่ตัวดิฉันกลับแย่ลงเรื่อยๆ ทั้งร่างกายและจิตใจ

2 ) บาปมากน้อย ขึ้นอยู่กับ ตัวเงินมากน้อย ที่หลบภาษี หรือเปล่าคะ หรือขึ้นอยู่กับ ระยะเวลาที่ทำ ( ทำมาร่วม 10 ปีแล้ว )

3 ) ผลของกรรมนี้ จะได้รับในลักษณะไหนค่ะ ( ข้อนี้สำคัญและสงสัยมากช่วยตอบให้ด้วยนะค่ะ ถ้าชดใช้ได้ดิฉันจะชดใช้ได้ด้วยวิธีไหนค่ะ )

4 ) ถ้าดิฉัน ยังจำเป็นต้องทำงานนี้อยู่ ( เพราะอายุมากแล้ว และ มีปัญหาครอบครัว มี่ภาระมาก ) ดิฉันควรทำอย่างไรดีค่ะ ท่านอาจารย์ข่วยแนะนำให้ด้วย ดิฉันตั้งแต่ทราบเรื่องนี้ก็ทำงานไป ด้วยความทุกข์ และวิตกกังวลในเรื่องกรรมนี้อยู่ทุกวัน คิดจะออกจากงานอยู่ทุกวัน แต่ยังหางานใหม่ไม่ได้สักที

เมื่อปีที่แล้ว ดิฉันเป็นทุกข์มากเรื่องงาน จึงไปปฎิบัติธรรม ที่วัดอัมพวัน ถึงได้ทราบว่า ที่ดิฉันทำบัญชีหลบภาษีอยู่นี้มันเป็นบาป หลังจากนั้นดิฉันถึงเข้าใจว่า ทำไมยิ่งทำงาน งานถึงยิ่งมากและมีปัญหาให้เครียดอยู่ตลอดเวลา เงินเดือนก็ไม่ได้มากมายกว่าใคร แต่มาคิดดูอีกที ในวงการนี้ เค้าก็ทำกันอย่างนี้ทั้งนั้น ทำไมเพื่อนร่วมอาชีพคนอื่นๆ ก็เห็นเค้าเจริญรุ่งเรืองดี

ตอนนี้ดิฉันกำลังหางานใหม่ทำอยู่ แต่ยังไม่ได้ จึงจำเป็นต้องทนทำไปก่อน

คำตอบ
(1) เมื่อรู้ว่าเป็นอกุศลกรรมแล้วยังประพฤติอยู่ถือว่าเป็นบาป ส่วนจะบาปมากหรือน้อยอยู่ที่ความถี่ของการประพฤติและยังอยู่ที่ประเภท ของอกุศลกรรมที่ทำ

ผู้ใดสั่งผู้อื่นให้ประพฤติอกุศลกรรมถือว่าเป็นจำเลยบาปที่ หนึ่งผู้ปฏิบัติตามคำสั่งเป็นจำเลยบาปที่สอง ผู้เห็นดีด้วยเป็นจำเลยบาปที่สาม บาปมิได้วัดกันที่ความมีมากในวัตถุ แต่วัดกันด้วยความมากน้อยของกิเลสที่สั่งสมอยู่ในใจ

(2) ตัวเงินที่เลี่ยงภาษีมากก็บาปมาก ตัวเงินที่เลี่ยงภาษีน้อยก็บาปน้อย ประพฤติเลี่ยงภาษีมายาวนานบาปมากกว่า ประพฤติเลี่ยงภาษีมาไม่ยาวนาน

(3) ทรัพย์สูญหายด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง หรือหลายวิธีร่วมกัน อาทิ ถูกโจรลักขโมย ถูกน้ำพัดพา ถูกไฟไหม้ ทำตกหล่น หลงลืมทิ้งไว้ เล่นหุ้นแล้วขาดทุน ทำกิจการแล้ววิบัติฯลฯ การชดใช้หนี้บาปต้องให้ทรัพย์เป็นทานอยู่เสมอ ให้ทรัพย์กับผู้มีคุณธรรมสูง ให้ทรัพย์เป็นทานแก่คนหมู่มาก เช่นตั้งโรงทานฯลฯ

(4) แนะนำให้ประพฤติตนตามข้อ (3) อยู่เสมอตามโอกาสที่เปิดให้แต่ต้องไม่เบียดเบียนตัวเอง

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 31 พ.ค. 2010, 02:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


"พระพุทธะมิได้สอนให้หนีปัญหา แต่สอนให้อยู่กับปัญหา ด้วยการใช้สติปัญญาแก้ปัญหาให้หมดไป....ด้วยการดูให้เห็นถูกตรงว่าปากของคน มีทั้งพูดดีและพูดไม่ดี ที่เขาพูดไม่ดีเพราะใจของเขามีความคิดเป็นอกุศล(บาป) เก็บสั่งสมไว้เมื่ออกุศลสั่งให้ปากพูด จึงพูดออกมาไม่ดี."

อ่านแล้วเกิดคำถามค่ะว่า เราเข้าใจว่าที่เขาพูดไม่ดีออกมาเพราะใจเขามีความคิดเป็นอกุศลและยกให้เขา เป็นครูของเรา ซึ่งหลังจากนี้แล้วเราควรปฏิบัติตัวอย่างไรเพื่อให้ได้ชื่อว่า ไม่หนี ปัญหา คะเพราะเรายังต้องทำงานร่วมกับเขา ปฏิสัมพันธ์กับเขาเป็นปกติเหมือนเดิม (ให้อภัย แล้วคิดว่าเป็นกรรมของเขาเองและเป็นกรรมที่เราต้องชดใช้) หรือควรอยู่ห่าง ๆ (ไม่คบคนพาล) เกี่ยวข้องกันเฉพาะเรื่องงานก็พอคะ?

กราบขอบพระคุณอาจารย์เป็นอย่างสูงค่ะที่ได้ให้ปัญญาและสัมมาทิฐิแก่หนูและ ทุก ๆ คนที่เข้ามาอ่านในเว็บนี้ค่ะ

คำตอบ
เมื่อใดที่มีความเห็นถูกว่า “ เขาเป็นครูของเรา ” เราต้องขอบใจคนที่พูดดีว่าเราจะพูดเช่นเขา ส่วนคนที่พูดไม่ดีก็เป็นครูสอนเราว่าจะไม่พูดอย่างเขาแต่หากสิ่งที่เขาพูด ไม่ดีนั้นมีอยู่ในตัวเรา เราต้องปรับปรุงแก้ไขให้หมดไป เขาผู้พูดดีและเขาผู้พูดไม่ดีจึงมีอุปการคุณแก่เราจึงต้องตอบแทนคุณ (กตเวที) ด้วยการทำความดีแล้วอุทิศผลแห่งความดีให้เขาอยู่เสมอ เช่นเดียวกันต้องคบเขาที่พูดไม่ดีว่าเป็นเพื่อนร่วมงานของเรา ด้วยการพูดกับเราในเรื่องงานที่เกี่ยวข้องกัน อย่างตรงไปตรงมา และพูดเท่าที่จำเป็น

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 31 พ.ค. 2010, 02:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1. หนูมีปัญหาอยู่เป็นประจำ คือ หนูกลัวที่จะต้องสวดมนต์ หรือต้องนั่งทำสมาธิแทบทุกครั้งเลย รู้สึกเหมือนไม่ได้อยู่คนเดียว ยิ่งเวลาหลับตาทำสมาธิยิ่งกลัวใหญ่ โดยเฉพาะเวลาอยู่ในห้องพระ จนทุกวันนี้ก็แก้ไม่หายสักที ทำอย่างไรดีคะ ทั้ง ๆ ที่อยากทำมาก ๆ

2. เกี่ยวกับการนั่งสมาธิ หนูอ่านในหนังสือการปฏิบัติวิปัสสนา เริ่มต้นโดยกำหนดลมหายใจ เข้า - ออก ด้วย พุท - โธ แล้วใช้จิตตามดูลมหายใจ หนูอยากทราบว่าการใช้จิตตามดูลมหายใจ หมายถึง เราคิด หรือ เห็น ว่าลมหายใจเข้าออกที่ปลายจมูก ใช่ไหมคะ แล้วหลังจากนั้นถ้าสมาธินิ่งอยู่ที่ปลายจมูกแล้ว บางทีอาจจะไม่มีคำปริกรรมก็ได้ แล้วหลังจากนี้จะทำอย่างไรต่อไปถ้าใจมันนิ่งแล้ว

คำตอบ

(1) เกิดความกลัวในขณะสวดมนต์หรือนั่งสมาธิ เหตุเกิดเพราะ ไม่ได้สวดมนต์ด้วยใจที่จดจ่ออยู่กับบทสวดหรือนั่งสมาธิทำให้จิตขาดสติ จึงไปรับสิ่งไม่ดีภายนอกมาปรุงเป็นอารมณ์ที่ทำให้เกิดเป็นความกลัว หรือในกรณีที่สองไม่รู้จริงในสิ่งที่ทำให้เกิดความกลัว

ผู้ถามปัญหาประสงค์จะขจัดความกลัวให้หมดไปจากใจต้องดับ ที่ต้นเหตุ คือพัฒนาจิตให้มีสติคุม เช่น เวลาได้ยินเสียงให้มีจิตจดจ่ออยู่กับเสียงที่เข้าหู เวลาที่ตาเห็นภาพให้จิตจดจ่ออยู่กับภาพที่เห็น เวลาที่ลิ้นสัมผัสรส ให้มีจิตจดจ่ออยู่กับรส เปรี้ยว หวาน มัน เค็ม ที่เข้ามาสัมผัสลิ้นฯลฯ ฝึกจิตให้จดจ่ออยู่กับสิ่งที่เข้ากระทบ(สัมผัส) เมื่อนั้น แล้วความกลัวจะไม่เกิดขึ้นขณะสวดมนต์เพราะมีจิตจดจ่ออยู่กับบทสวดมนต์หรือ นั่งสมาธิจะมีจิตจดจ่ออยู่กับกรรมฐานที่นำมาใช้เป็นองค์บริกรรม

วิธีแก้ปัญหาความกลัวในกรณีที่สอง คือพัฒนาจิตให้มีสติได้แล้วสมาธิก็จะเกิดขึ้น ใช้จิตที่ตั้งมั่นจวนแน่วแน่ (อุปจารสมาธิ) ไปพัฒนาจิตให้เกิดปัญญาเห็นแจ้ง ด้วยการให้จิตตามดู กาย เวทนา จิต ธรรม จนเห็นว่าดับไปตามกฎไตรลักษณ์ เมื่อใดเกิดปัญญาเห็นแจ้งขึ้น ความกลัวจึงจะหมดไปได้

(2) ไม่ใช่ใช้สมองคิด แต่ใช้จิตจดจ่ออยู่กับลมที่กระทบจมูกเมื่อหายใจเข้า จิตจดจ่ออยู่กับลมที่กระทบจมูกเมื่อหายใจออก เมื่อใดที่จิตจดจ่ออยู่กับลมที่กระทบจมูกและจิตไม่เคลื่อนออกไปรับกระทบอื่น ใดมาปรุงเป็นอารมณ์เรียกสภาวะเช่นนี้ว่า จิตมีความตั้งมั่นเป็นสมาธิเมื่อใดที่จิตเข้าถึงความตั้งมั่นแน่วแน่ (อัปปนาสมาธิ) ได้แล้ว คำบริกรรมหายไปแต่มีอารมณ์ของฌานเกิดขึ้นแทนที่ ให้สังเกตุว่าเมื่อจิตเข้าถึงความตั้งมั่นเป็นฌานสิ่งกระทบภายนอกไม่สามารถ ทำให้จิตเกิดอารมณ์ขึ้นได้ หากมีสภาวะเช่นนี้เกิดขึ้น และประสงค์จะพัฒนาจิตให้เกิดปัญญาเห็นแจ้งต้องลดกำลังของสมาธิลงมาอยู่ใน ระดับจวนแน่วแน่ (อุปจารสมาธิ) แล้วใช้จิตตามดู กาย เวทนา จิต ธรรม จนเห็นว่าดำเนินไปตามกฎของไตรลักษณ์ปัญญาเห็นแจ้งจึงจะเกิดขึ้นได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 31 พ.ค. 2010, 03:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เรื่องที่อยากรบกวนถามคือ
ลูกฝึกสติมาพักใหญ่ โดยส่วนมาฝึกสติกับชีวิตประจำวันค่ะ เห็นอารมณ์ สภาวะที่เกิดขึ้นในความคิด ปัจจุบันต้องการทำชีวิตทางโลกให้ประสบความสำเร็จ เพื่อให้ได้ดูแลพ่อแม่ให้สมบูรณ์ และจะพาท่านเข้าทางธรรม เพื่อส่งท่านให้สุดทางในที่สุดค่ะ ด้วยชีวิตทางโลก บางครั้งเห็นความโลภ ความอยาก การคิดดีคิดไม่ดี ความคิดที่ไม่ดี มักผุดขึ้นมาเมื่อสติรู้ทัน ก็เห็นความทุกข์ แต่ก็เลือกปฎิบัติและทำดีค่ะ

การฝึกสติ ตอนนี้เกิดสภาวะที่เข้าใจว่าทำไมพระพุทธเจ้าจึงทรงให้รักษาศ๊ล เมื่อมีความคิดจะพูดโกหก ก็มีสติรู้ว่านี่ กำลังจะพูดเท็จ ก็ปรับการพูดใหม่ หรือการกระทำต่างๆจะมีสติคคอยเตือนบ่อยครั้ง แต่ในความรู้สึกที่ระลึกรู้ จนตอนนี้มีสภาวะไม่อยากทำอะไร เนื่องจากมีในความรู้สึกลึกๆเหมือนกับว่าไม่อยากทำไรที่ทำให้จิตเกิดการสาน ต่อ ผูกพันธ์ พันธนาการ จนก่อภพก่อชาติ ทั้ง ดี ไม่ดี เป็นการก่อภพ ชาติของจิตนั้น จนบางครั้งตอนนี้รู้สึก มีสภาวะในความรู้สึกที่ไม่ทราบจะอธิบายอย่างไร แต่รู้สึกไม่ดีเท่าไหร่นัก มีความรู้สึกต้องการบวช หรือละทางโลก เพราะในเวลาที่มองเห็น สัมผัสสิ่งใดรู้สึกว่ามีแต่เพียงความว่าง มีเพียงดวงจิตที่รับรู้เท่านั้น ปรุงแต่ง ความรู้สึกให้เราทุกข์ มองว่าสวย หรือการพูด บางครั้งมองภาพผู้คนทั่วไปเหมือนไม่มี แต่ยังวนเวียนอยู่ที่เดิม ในหน้าที่การงานที่ต้องการจะขยัน จะอ่านหนังสือ จะทำงานโน่นนี่ให้ดีกลับมีความรู้สึกมันว่างเปล่า มีการหน่วงใจไม่อยากทำ หรือทำไม่เต็มที่

จึงอยากเรียนถามท่านอาจารย์ช่วยเมตตา ชี้ทางแก่ลูกด้วยเถิดต่อสภาวะอารมณ์ที่เป็นอยู่นี้ ต่อหน้าที่การงาน หรือขณะจิตสภาวะนี้

ขอบพระคุณค่ะ

คำตอบ
ผู้ใดประสงค์ความสำเร็จในทางโลก ต้องประพฤติเหตุ ๓ อย่าง
๑. พัฒนาตนเองให้เป็นคนเก่ง คือมีความรู้ มีความสามารถ ในหน้าที่การงานที่ตนทำและยึดเป็นอาชีพเลี้ยงชีวิต
๒. พัฒนาตนเองให้เป็นคนดี มีคุณธรรม ด้วยการประพฤติจริยธรรมที่เกี่ยวข้อง อาทิ จริยธรรมลูกที่ดีของพ่อแม่ จริยธรรมศิษย์ที่ดีของครูอาจารย์ จริยธรรมข้าราชการที่ดีของรัฐ จริยธรรมพนักงานที่ดีของบริษัท จริยธรรมราษฎรที่ดีของบ้านเมือง ฯลฯ
๓. พัฒนาตัวเองให้เป็นผู้มีความกตัญญูกตเวที ต่อผู้มีอุปการคุณ อาทิ กตัญญูต่อพ่อแม่ กตัญญูต่อครูอาจารย์ กตัญญูต่อแผ่นดินเกิด ฯลฯ

เมื่อทำเหตุให้ถูกตรงสามอย่างนี้ได้ครบถ้วน และประพฤติอยู่เสมอ ผู้นั้นย่อมประสบความสำเร็จในชีวิต

เหตุที่พระพุทธะบัญญัติไตรสิกขา (ศีล-สมาธิ-ปัญญา) อันเป็นคุณธรรมนำชีวิตผ่านพ้นความทุกข์ ต้องมีศีลเป็นพื้นฐานของใจให้ได้ก่อน การปฏิบัติสมถภาวนา แล้วทำให้จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิจึงจะเกิดขึ้นได้

เรื่องที่บอกเล่าไปทั้งหมด เป็นสภาวะของจิตที่ยังมีกำลังปัญญาเห็นแจ้งไม่กล้าแข็ง ฉะนั้นจะให้ปัญหานี้ผ่านพ้นไปได้ ต้องรักษาศีล ๕ ให้มีอยู่กับใจให้ได้ทุกขณะตื่น แล้วเร่งความเพียรเจริญจิตภาวนาอย่างต่อเนื่อง โดยมีสัจจะเป็นฐานรองรับการปฏิบัติ แล้วการบรรลุมรรถผลแห่งการปฏิบัติธรรมจึงจะเกิดขึ้นได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 31 พ.ค. 2010, 03:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กระผม อายุ 30 ปี มีพ่ออายุ 55 ปี เกษียณแล้ว พ่อจึงอยากจะบวชตลอดชีวิต แต่ไม่ทราบว่าจะบวชวัดไหนดี จึงขอรบกวน อ.สนอง ว่าพอรู้จักวัดไหนที่เหมาะกับพ่อของผมบ้างครับ ถ้าอยู่ใกล้กรุงเทพ จะดีมาก แต่ถ้าต่างจังหวัดก็ได้ครับ
ปล. ไปดูมาแล้วหลายวัด แต่ยังไม่ได้ตัดสินใจครับ

ขอบพระคุณมากครับ

คำตอบ
การบวชเป็นภิกษุจะบวชที่วัดใดก็ได้ที่มีพระอุปัชฌาย์บวช ให้ เช่นเดียวกับระยะทางระหว่างบ้านกับวัด ยังไม่ใช่ปัญหาสำคัญในการบวช แต่จุดประสงค์ของการบวชนั้นสำคัญยิ่งกว่า การบวชตามประเพณียังไม่สำคัญเท่ากับ การบวชเพื่อพัฒนาจิตวิญญาณให้เข้าถึงธรรมของพระพุทธะ ซึ่งต้องเลือกวัดที่มีครูอาจารย์ปฏิบัติถูกตรงตามธรรมวินัย อาทิ วัดมเหยงค์ จ.อยุธยา วัดแพร่ธรรมาราม อ.เด่นชัย จ.แพร่ วัดป่าหมู่ใหม่ วัดอรัญญวิเวก อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ ฯลฯ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 31 พ.ค. 2010, 03:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หนูได้ติดตามผลงานธรรมทานจากท่านอาจารย์มาโดยตลอด พยายามให้ศีลคุมใจให้ได้อย่างน้อย ศีล5 ไม่โกรธ และให้อภัยบุคคลที่ก่อความเดือดร้อนให้กับหนู ตอนนี้มีเรื่องกลุ้มใจเป็นอย่างมากโดยเฉพาะเรื่องการงาน ตลอดตั้งแต่เรียนจบและทำงานมาเป็นเวลา 12 ปีแล้ว หนูต้องรับภาระงานหนัก งานที่ต้องแก้ปัญหา โดยเฉพาะงานที่บุคคลอื่นได้สร้างปัญหาให้หนูแก้ไขมาโดยตลอด ย้ายสถานที่ทำงานไปก็มาเจอแต่บุคคลที่เอาเปรียบ ปล่อยให้หนูทำงานและแก้ปัญหาที่ยุ่งยาก หนูระลึกเสมอว่างานอาชีพครูเป็นงานที่มีค่าสามารถทำประโยชน์ให้กับบุคคลอื่น โดยเฉพาะนักเรียน ผู้ปกครอง หนูเลิกมองเรื่องผลตอบแทนมานานแล้วค่ะ เพราะว่าหนูอยากสะสมคุณงามความดีมากกว่า ฝ่ายบริหารก็รู้ปัญหาของหนูแต่ก็ทำได้แค่ย้ายคนที่ไม่ทำงานไปอยู่กับงาน สบายๆ ขณะที่ยังให้หนูแบกภาระอยู่เหมือนเดิม หนูไม่ได้เครียดเพราะงานหนัก หนูเครียดเพราะหนูทำงานไม่ทัน กลัวทำงานไม่ทันเวลาที่กำหนด ทั้งที่หนูก็นำงานไปทำที่บ้านมาโดยตลอด ในขณะที่บุคคลที่สร้างปัญหาให้หนูกับได้ไปทำงานที่สบาย ทิ้งภาระให้หนูแก้ปัญหา หนูควรจะทำอย่างไรต่อไปค่ะ ตอนนี้หนูเครียดมาก

ขอคำแนะนำค่ะ ขอขอบพระคุณค่ะ

คำตอบ
การให้อภัยเป็นเรื่องของทาน การไม่โกรธเป็นเรื่องของเมตตา ศีล ๕ มิได้บัญญัติไว้เพื่อการนี้

คนดีชอบแก้ปัญหา คนไม่ดีชอบสร้างปัญหา ฉะนั้นดูให้ออกว่า ผู้ถามปัญหาเป็นคนประเภทไหน?

งานคือกิจที่ทำ ทำงานหนักคือมีงานให้ทำมาก หรือมีงานยากให้ทำ การทำงานมาก การทำงานที่ยากลำบาก ต้องใช้ปัญญาบารมี ใช้วิริยะบารมี ใช้ขันติบารมี ฯลฯ ทำจนงานสำเร็จได้ แล้วบารมีดังกล่าวจะแก่กล้าขึ้นได้ ซึ่งคนดีไม่ปล่อยเวลาให้สูญเปล่าโดยไม่ทำงานประเภทนี้ ฉะนั้นพึงดูให้ออกว่า ผู้ถามปัญหาเป็นคนประเภทไหน?

ผู้รู้มีทัศนคติในการทำงานถูกต้อง คือการทำงานเพื่อเรียนรู้ตน ทำงานเพื่อเรียนรู้งาน ทำงานด้วยใจ ทำงานด้วยวิธีการอันเลิศโดยไม่หวังผลเลิศ ทำงานเพื่อประโยชน์มวลชน ทำงานเพื่องาน ฯลฯ ต่างๆเหล่านี้ เป็นการทำงานที่ไม่เครียด ฉะนั้นพึงดูให้ออกว่า ผู้ถามปัญหาเป็นคนประเภทไหน?

ปัญหาเรื่องทำงานไม่ทัน แก้ได้โดยเพิ่มเวลาทำงานให้มากขึ้น และลดเวลาที่ไม่จำเป็นลง ผู้ตอบปัญหามีงานให้ทำมาก จึงต้องตื่นทำงานแต่ดึก (ตีสองตีสาม) ทำงานต่อเนื่องจนสว่าง และประพฤติตนเว้นอบายมุข งานมากจึงสำเร็จได้ทันเวลา

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 31 พ.ค. 2010, 03:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ด้วยเมื่อก่อนหนูมีความทุกข์เรื่องของธุรกิจ นับแต่ปี 2548 ซึ่งช่วงนั้นมีความคิดที่ไม่ถูกตรง ได้ทำการบนบาน ทั้งต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เช่น หลวงพ่อวัดไร่ขิง หลวงพ่อสดวัดปากน้ำ และเจ้าที่เจ้าทางที่บ้าน ทั้งที่จดไว้บ้าง และไม่ได้จดไว้บ้าง จำได้บ้าง จำไม่ได้บ้าง (ตามประสาคนที่มีปัญญาน้อยน่ะค่ะ) นับแต่ปัจจุบันนี้เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมานับเนื่องถึงวันนี้ นับแต่ได้รู้จักกัลยาณธรรม กัลยาณมิตรเป็นครูบาอาจารย์ ผ่านทางเว็บไซด์กัลยาณธรรม ซึ่งมีความคิดเห็นที่ถูกตรง และมองว่าสิ่งที่ได้กระทำมานั้น เป็นเรื่องที่หาสาระไม่ได้ แต่ เมื่อเวลาล่วงเลยธุรกิจที่ติดขัดได้ลุล่วงและสำเร็จลงด้วยดี ด้วยเหตุปัจจัยลงตัว สัจจะที่หนูได้ติดสินบนนั้น

คำถาม หากหนูไปขอขมากรรมต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คนเคารพกราบไหว้สักการะ อาทิ เช่น องค์พระปฐมเจดีย์ , องค์หลวงพ่อวัดไร่ขิง และเอ่ยบทที่เราติดสินบน นั้นอย่างไรค่ะ เพื่อจะได้ไม่ติดค้างอยู่ในจิต และอนาคตจะได้เดินได้ถูกตรง คิดดี ทำดี อยู่ดีให้เป็นกุศล “ ธรรม ย่อมรักษาผู้ปฏิบัติธรรม ” สาธุ ๆ หรือใคร่ขอคำแนะนำจากอาจารย์ที่ถูก ต้องในทางธรรมด้วยค่ะ

ท้ายนี้ขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัย จงปกป้องคุ้มครองอาจารย์ให้มีร่างกายที่แข็งแรงค่ะ

ด้วยความรักเคารพศรัทธายิ่ง

คำตอบ
ศีลและสัจจะเป็นคุณธรรมที่นำสู่ความศักดิ์สิทธิ์ ฉะนั้นเมื่อได้บนบานต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไว้แล้ว ต้องประพฤติตนมีสัจจะ ด้วยการไม่แก้บนให้ถูกตรง และต่อไปต้องไม่ประพฤติบนบานให้เกิดขึ้นอีก

ผู้ใดประสงค์ความเจริญในชีวิต และความเจริญในธุรกิจการงาน ต้องประพฤติตนให้เป็นผู้มีความกตัญญูกตเวที ต่อบุพการี ต่อผู้มีอุปการะแก่ตน ต่อแผ่นดินเกิด แผ่นดินอยู่อาศัย แผ่นดินที่ให้ความมีชีวิตรุ่งเรืองและอยู่สงบสุข ฯลฯ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 31 พ.ค. 2010, 03:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ระหว่างการปฏิบัติฝึกนั่งสมาธิ ศิษย์คนนี้ก็พบกับข้อสงสัยต่างๆนาๆที่เกิดขึ้นระหว่างการปฏิบัติขอท่าน อาจารย์จงชี้แนะแนวทางให้ศิษย์คนนี้ด้วยครับ
ปัญหาของลูกศิษย์มีดังนี้

๑)ตอนนี้ศิษย์อายุได้ ๒๑ ปีมีปัญหาขัดข้องใจในการปฏิบัตินั่งสมาธิ วิธีการของศิษย์ใช้วิธี "พุธ โท"ในการกำหนดระหว่างการปฏิบัติก็เกิดปรากฎการณ์ต่างๆขึ้น เรียงตามลำดับดังนี้
๑.ตัวเบาเหมือนในอากาศ
๒.ตัวเย็นจนหนาวสั่น
๓.เกิดทั้งข้อ ๑ และ ๒ พร้อมกัน
๔.ลมหายใจอ่อนลงเรื่อยๆ
๕.กำหนดลมหายใจไม่ได้
๖.ไม่มีลมหายใจออกที่ปลายจมูกเลยครับ เกิดความว่างเหมือนตัวเราและสัพสิ่งดับไปหมดแล้วแม้แต่ชีวิตของตน(แต่เกิด ขึ้นได้ไม่นานแล้วความปวดก็มาแทนที่)
ศิษย์อยากถามเกิดอะไรขึ้นกับศิษย์ ศิษย์ปฏิบัติถึงขั้นไหนแล้ว ขออาจารย์ช่วยชี้แนะแนวทางในการปฏิบัติแก่ศิษย์คนนี้ด้วยคับ

๒)บางครั้งเวลาศิษย์อ่านหนังสือก็เกิดปรากฎการณ์ตัวเบาหรือตัวเย็นเหมือน นั่งสมาธิทำไมเป็นเช่นนั้นครับอาจารย์

๓)จริงหรือครับที่ว่าการนั่งสมาธิจะทำให้เราเรียนเก่งขึ้น ความจำดีขึ้น

"สุดท้ายนี้ศิษย์ขอขอบคุณที่หนังสือของอาจารย์ที่ทำให้ศิษย์ได้พบกับ อาจารย์"

คำตอบ
(๑) ที่บอกเล่าไป เป็นผลของสมถภาวนา มีจิตเข้าถึงความตั้งมั่นเป็นสมาธิ แต่ยังเข้าไม่ถึงปัญญารู้แจ้ง

วิถีพัฒนาจิตต่อไป คือ เอาจิตที่เป็นสมาธิมากำหนดดูอาการตัวเบา อาการหนาวจนสั่น ลมหายใจอ่อน ลมหายใจไม่มี ฯลฯ ว่าดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์ เมื่ออาการตัวเบาเข้าสู่ความเป็นอนัตตา แล้วไม่หวนกลับมาให้จิตระลึกรู้ว่า อาการตัวเบาได้เกิดขึ้นอีก ปัญญาเห็นแจ้งในอาการตัวเบาก็จะเกิดขึ้น ใช้จิตตามดูอาการหนาวจนสั่นว่า ดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์ เมื่ออาการหนาวจนสั่นเข้าสู่ความเป็นอนัตตา แล้วไม่หวนกลับมาให้จิตระลึกรู้ว่า อาการหนาวสั่นไม่เกิดขึ้นอีก ปัญญาเห็นแจ้งในอาการดังกล่าวก็จะเกิดขึ้น ทุกผัสสะที่เกิดขึ้นกับจิต ต้องใจ้จิตตามดูจนเห็นว่า ดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์ วิปัสสนาญาณคือ ปัญญาเห็นแจ้งจึงจะเกิดขึ้น

(๒) เป็นเพราะจิตขาดสติ จิตจึงเคลื่อนออกไปจากการอ่านหนังสือ อาการที่บอกเล่าไปจึงได้เกิดขึ้น ซึ่งไม่ใช่วิถีแห่งการรู้แจ้ง

(๓) นักจิตวิทยาตะวันตก ได้ทำวิจัยแล้วได้ผลออกมาเป็นเช่นนั้นว่า จิตที่ตั้งมั่นเป็นสมาธิ ส่งผลให้คลื่นสมองเปลี่ยนความถี่ ทำให้สมองมีความจำเพิ่มมากขึ้น ดังนั้นอย่าปลงใจเชื่อตามหลักกาลามสูตร แต่หากประสงค์จะพิสูจน์ว่าเป็นไปตามผลวิจัยนั้นหรือไม่ ต้องปฏิบัติดูด้วยตนเอง

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 31 พ.ค. 2010, 03:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขณะที่ตนเองนั้น ได้เห็นพระพุทธรูป รูปปั้นเทป หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ มักเกิดคิดอกุศลจิตในใจ จ้วงจาบ หยาบคาย โดยที่บังคับไม่ให้คิดไม่ได้ค่ะ ทั้ง ๆ ที่โดยส่วนตัวแล้วปกติ ทั้งภายนอก และภายในใจ ก็มิได้เป็นคน หยาบคาย คิดร้าย แต่ประการใดค่ะ นับถือพุทธศาสนา และสวดมนต์ไหว้พระ เป็นประจำ (เกือบทุกวันค่ะ) ปัจจุบัน ก็พยายามนั่งสมาธิให้ได้ทุกวัน 15-20 นาทีค่ะ เคยไปปฏิบัติธรรม นานมาแล้วค่ะ ที่บ้านคุณแม่สิริ ดีมากค่ะ แล้วก็ทรมาร มากด้วย ทรมารเพราะเวลาอยู่ต่อหน้าพระพุทธรูป แล้วจิตจะคิดไม่ดีค่ะ ทุกวันนี้ ถวายข้าวพระพุทธตอนเช้า บางครั้งก็กราบพระแล้วไม่กล้ามองไปที่พระพุทธรูปเลยค่ะ

รู้สึกเครียดกับสิ่งที่ตนเองเป็นมากค่ะ เพราะเป็นตั้งแต่เด็กค่ะ จำไม่ได้ว่าอายุเท่าไหร่ ทราบแต่ ตั้งแต่เด็ก ๆ เลยค่ะ (ปัจจุบันอายุ 35 ค่ะ) บางครั้งพยายามคิดว่าช่างมัน ไม่ใช่เราคิด แต่ก็ทุกข์ใจมากค่ะ ทั้งกลัวบาป ทั้งขุ่นมัวในใจ บางทีก็จิตตกไปเลยค่ะ ท้อ ๆ บ้าง โกรธตัวเองบ้าง ประมาณไม่สงบสุขค่ะ สวดมนต์ ทำสมาธิ ก็ไม่สงบสุข เพราะความคิดแบบนี้มันดังในหัวตลอด ทำให้มีอารมณ์กระทบใจตลอดค่ะ

โดยส่วนตัว สมาธิ ไม่ค่อยดีค่ะ สนใจการทำสมาธิมาก แต่ที่ผ่านมาคิดว่า ยิ่งทำยิ่งเป็น ยิ่งสวดมนต์ยิ่งเป็น แต่ก็อยากจะพยายามทำค่ะ เพราะมีโอกาสเกิดเป็นคนแล้ว ก็อยากจะสัมผัสกับ จิตที่เป็นสมาธิ มีสติ และเข้าใจธรรมะจริง ๆ ในชาตินี้น่ะค่ะ (เพราะไม่รู้จะมีโอกาสอีกเมื่อไหร่ค่ะ :)

ขอปรึกษาอาจารย์ดังนี้ค่ะ

1. ขอคำแนะ หรือแนวทางในการคิด ปฏิบัติ และรักษา อาการทางจิตนี้น่ะค่ะ

2. เป็นบาป มาก หรือไม่ค่ะ พอคะเนได้หรือไม่คะว่าเป็นผลมาจากกรรมประเภทใด

ท้ายนี้ขออนุโมทนาบุญกับ อาจารย์ ดร.สนองด้วยนะคะ ที่อาจารย์ช่วยให้ผู้คนหลาย ๆ คน มีความสว่างไสวในการดำนินชีวิต และบุญกุศุลของอาจารย์นี้ ก็คงยิ่งตอบแทนให้ อาจารย์สมความปรารถนายิ่ง ๆ ขึ้นไปค่ะ

ขอบพระคุณมากจริง ๆ ค่ะ

คำตอบ
(๑) ต้องไปสวดมนต์สรรเสริญคุณของพระรัตนตรัยหน้าพระพุทธรูป หน้าองค์เจดีย์ ฯลฯ แล้วสารภาพผิดในอกุศลกรรมที่เคยล่วงเกินสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือผู้ทรงคุณธรรม ไว้แต่อดีต แล้วกล่าววาจาสารภาพผิดให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ยกโทษให้ หลังจากนั้นต้องรักษาใจ ไม่ประพฤติล่วงเกินผู้ทรงคุณธรรมสูงอีกต่อไป หากรักษาสัจจะไว้ได้ ปัญหาดังกล่าวจะหมดไป

(๒) ไม่ใช่การคาดคะเน เพราะทุกปรากฏการณ์ ย่อมมีเหตุที่ทำให้เกิด เหตุที่ว่านั้นคือ ได้กล่าววาจาปรามาส กล่าววาจาล่วงเกินสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่มีคุณธรรมสูงนั่นเอง ถามว่าเป็นบาปมากไหม ต้องตอบว่า หากบาปนี้ยังคงมีอยู่ในจิตวิญญาณ ปฏิบัติธรรมแล้วไม่สามารถเข้าถึงมรรคผลได้ เมื่อใดทิ้งขันธ์ลาโลกไปแล้ว ดิรัจฉานภูมิเปิดรอจิตวิญญาณให้โคจรไปสู่

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 31 พ.ค. 2010, 03:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หนูเคยได้ยินอาจารย์บางท่านบอกว่าการถวายสังฆทานนั้น เราจะสามารถอุทิศบุญกุศลให้ได้ฉพาะผู้ล่วงลับแล้วเท่านั้น ส่วนผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ไม่สามารถอุทิศให้ได้ด้วยการถวายสังฆทาน ต้องใช้วิธีอื่น
หนูอยากทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้ค่ะ

ขอกราบขอบพระคุณในความเมตตาของอาจารย์มากค่ะ

คำตอบ
เป็นการพูดถูกของอาจารย์บางท่าน ที่พูดบอกเช่นนั้น แต่พูดไม่ถูกตามที่ผู้รู้เข้าถึง ผู้รู้พูดว่า บุคคลใดทำสังฆทานมาแล้ว ผู้นั้นมีบุญ ผู้มีบุญกลับถึงบ้านแล้วบอกพ่อแม่ว่า วันนี้ลูกได้ไปทำสังฆทาน ลูกขออุทิศบุญให้พ่อแม่ หากพ่อแม่กล่าววาจาว่า “ สาธุ ” พ่อแม่ก็ได้รับบุญ (ปัตตานุโมทนามัย) ที่ลูกได้ทำสังฆทานมา

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1521 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 57, 58, 59, 60, 61, 62, 63 ... 102  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร