วันเวลาปัจจุบัน 13 ต.ค. 2025, 02:29  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 1521 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 58, 59, 60, 61, 62, 63, 64 ... 102  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 31 พ.ค. 2010, 03:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หนูใคร่อยากไปปฏิบัติธรรม เพื่อทำจิตตภาวนา (จัดเป็นกิเลส แค่อยากดีก็เป็นกิเลส) โดยมีครูบาอาจารย์ที่เป็นกัลยาณธรรมคอยชี้แนะ แต่คุยกับสามีแล้ว ยังไม่เห็นด้วย (หากปฏิบัติ สวดมนต์ไหว้พระ ทำสมาธิ เดินจงกลม หลังจากว่างเว้นการงาน เช่น ช่วง 1ทุ่มครึ่ง เดินจงกลม ทำสมาธิ ฝึกโยคะ และช่วงเช้ามืด ตี4 ทำสมาธิ ขยับกายสบายชีวีวิถีพุทธ) อย่างนี้ได้ค่ะ สามีอธิบายว่า “ ทำบ้านให้เป็นวัด ” ก็ได้ ทำไมต้องไปปฏิบัติที่วัดด้วย (สามีนับถือศาสนาคริสต์) บอกว่าคนเราเกิดหนเดียว ตายหนเดียว และ บอกว่าหลักง่ายๆ พระพุทธเจ้า ท่านบอกว่า แค่ทำจิตให้ว่าง ห่างจากกิเลส เรื่อง กาย ; กินอาหารที่สุกสะอาด ออกกำลังกาย นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ และไปเที่ยว เช่น ทะเล เที่ยวสถานที่ที่เป็นธรรมชาติ มีต้นไม้ อากาศบริสุทธิ์ สัมผัสธรรมชาติให้มากที่สุด ไม่ต้องไปเดินห้างสรรพสินค้า ไม่ต้องเข้ากรุงเทพ (บ้านอยู่นครปฐม) เพราะเชื้อโรคเยอะ มลพิษแยะ เรื่อง ใจ ; ทำใจให้ว่าง ไม่ต้องไปทุกข์ ไปยึด ไปคิดอะไร ที่หาสาระไม่ได้ และก็ว่าตัวเขาจะนับถือพระที่ละกิเลส คือ ไม่รับเงิน แต่คงจะไม่ได้พบเจอ เพราะพระท่านคงจะ อยู่ในป่าเขาลำเนาไพร คงปฏิบัติจิตไม่ข้องแวะกับคนที่กิเสสหนา หนูว่าที่เขาพูดก็ถูกของเขา แต่เราก็อยากจะไปปฏิบัติ (เป็นเวลานานแล้วเหมือนกันค่ะ น่าจะ 10 ปีแล้ว) เพราะโดยอุปนิสัยแล้ว ไม่อยากจะสร้างเหตุอะไร ที่จะเกิดประเด็นขึ้นมาให้จิตขุ่นมัวค่ะ มี ครอบครัวแล้วก็ไม่อิสระน่ะค่ะ

คำถาม 1) ต้องอธิษฐาน หรือสร้างเหตุให้ตรงอย่างไรดีค่ะ ถึงจะเป็นปัจจัยหนุนให้เราได้เข้าไปปฏิบัติธรรม สักครั้งหนึ่งในชีวิต “ ที่สถานปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ” นอกเหนือจากปฏิบัติที่บ้านน่ะค่ะ แต่ โดยเนื้อแท้แล้ว หนูก็มองว่า สถานที่ ไหนก็ได้ ขอเพียงใจเรา เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน มีใจที่บริสุทธิ์ ก็โอเคแล้วน่ะค่ะ (เหมือนที่ฟังอาจารย์บรรยายธรรม “ เรื่องอุบายทำให้จิตสงบ ” และอื่นๆที่เป็นสารัตถประโยชน์ ปฏิบัติให้ได้ ทำตนให้ได้เยี่ยงนั้น อานิสงส์ก็คงก่อเกิดกับตัวเราและครอบครัวของเรา )

2) ลูกชายหนู อายุ 12 ปี ไม่ค่อยตั้งใจเรียนหนังสือ ดูแต่หนัง เล่นเกมส์ ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่ไม่ดี หนูพูดว่าเราเป็นเด็ก หน้าที่ของเด็กก็คือต้องตั้งใจเรียน หมั่นทบทวนตำรับตำราเรียน ช่วยเหลืองานบ้านพ่อแม่บ้าง และทำตนให้ลูกเห็น เรื่อง สวดมนต์ ทำสมาธิ เดินจงกลม ฝึกโยคะ และชักชวนให้ปฏิบัติ ได้สัก 1-2 วัน ก็ไม่สนใจแล้ว ท้าย สุดก็ต้องวางค่ะ แต่หนูก็คิดน่ะค่ะว่า จิตวิญญาน ของลูกก็ของลูก ของแฟนก็ของแฟน เราได้แต่ชี้แนะ และตามดู ทำหน้าที่ของภรรยาและ แม่ที่ดีของลูก อย่าให้ขาดตกบกพร่อง สิ่ง ที่ไม่ดีอย่าให้ออกไปจากตัวเรา ถือเป็นข้อปฏิบัติในชีวิตของการทำงาน , ครอบครัว , สังคมรอบตัว หนูต้องทำตนเป็น ตัวอย่าง เยี่ยงไรค่ะ ลูกถึงจะไม่หลงโลก และให้ลูกมีดวงตาเห็นธรรม มีปัญญาที่เป็น “ ภาวนามยปัญญา ”

พร้อมนี้หนูใคร่ขอขมากรรมต่ออาจารย์ มา ณ โอกาสนี้ด้วยค่ะ ข้าพเจ้า คุณกุลิสรา กิจบำรุงขออธิษฐานจิตถึงอาจารย์ ดร.สนอง วรอุไร ด้วยกายกรรม วจีกรรม และมโนกรรมที่ข้าพเจ้าเคยมีต่อครูบาอาจารย์ ทั้งที่ตั้งใจและมิได้ตั้งใจ ไม่ว่าตั้งแต่ภพไหนๆ หากเป็นกรรมที่ล่วงเกินลบหลู่ดูหมิ่น อันเป็นเหตุนำมาซึ่งโทษภัยใดๆ ทั้งปวง ข้าพเจ้ากราบขอขมาอาจารย์ได้โปรดยกโทษให้ข้าพเจ้าด้วย และด้วยกุศลนี้ขอให้ข้าพเจ้าได้มีดวงตาเห็นธรรม เกิดมาขอให้ได้พบพระพุทธศาสนา และมีความเห็นที่เป็นสัมมาทิฏฐิ ทุกภพชาติด้วยเทอญ

ท้ายนี้ขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัย จงปกป้องคุ้มครองอาจารย์ให้มีร่างกายที่แข็งแรงค่ะ

ด้วยความรักเคารพศรัทธายิ่ง

คำตอบ
(๑) ต้องอธิษฐานให้มีปัญญาเห็นถูกตามธรรม แล้วสร้างเหตุให้ตรงสู่จุดนั้น ลองหาซีดีการบรรยายธรรม เรื่อง
“ บวชอยู่ที่บ้าน ” บรรยายเมื่อ ๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๑ มาฟังดู แล้วจะเห็นแนวทางการปฏิบัติธรรมให้เข้าถึงธรรมได้ที่บ้าน

(๒) บุคคลมีชิวิตเป็นของตัวเอง ผู้รู้ไม่ก้าวล่วงไปบงการชีวิตของผู้ใด ให้เป็นตามที่ตนเองต้องการ ผู้รู้เป็นได้เพียงชี้ทางให้แก่ชีวิต เขาจะนำไปประพฤติหรือไม่เป็นสิทธิ์ของเขา เราต้องปล่อยวางแล้วพัฒนาจิตตัวเอง ให้เป็นไปตามที่เราต้องการ นั่นเป็นสิ่งถูกต้อง เมื่อใดจิตเกิดปัญญาเห็นแล้ว พัฒนาพฤติกรรมของตัวเองให้ดี ไม่เป็นคนหลงโลก จนเขาเกิดศรัทธาขึ้นเมื่อใด เขาจึงจะทำตามที่เราอยากให้เขาเป็น

อโหสิ ไม่มีอกุศลกรรมใดๆต่อกัน จงเป็นผู้อยู่ในธรรมของพระพุทธะ แล้วนำพาชีวิตให้พ้นไปจากวัฏสงสาร

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 31 พ.ค. 2010, 03:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เรื่องมีอยู่ว่าตอนนี้ปี พ่อแท้ๆขอให้หนูใช้ชื่อเช่าซื้อรถยนต์คะ แต่พ่อไปแต่งงานใหม่อีกจังหวัดหนึ่ง พ่อไม่ส่งค่างวดรถซึ่งค้างมาหลายเดือน ทางไฟแนนซ์จึงดำเนินการยึดรถ โดยที่เรื่องทุกอย่างพ่อก็รับรู้ แต่ตามรถและพ่อไม่เจอ ทางไฟแนนซ์เลยให้ตำรวจช่วยหา พ่อจึงเข้าใจผิดว่าลูกเป็นคนแจ้งความจับพ่อ หลังจากนั้นพ่อคงโกรธมาก แช่งลูกให้ญาติฟังว่า ขอให้ลูกเจริญลง ขอให้ลูกวิบัต คำแช่งหลายอย่างแช่งมาที่ลูก หนูก็ไม่สบายใจเลยคะ หนูทำผิดด้วยหรอคะ มีอีกเรื่องหนึ่งคะ ตอนไกล่เกลี่ยให้พ่อเอารถมาคืนไฟแนนซ์ คุยกันไม่รู้เรื่องเลยทะเลาะกันคะ หนูก็พลั้งปากคะ พูดไม่ดี คิดแล้วเครียดมากเลย ทำไมพ่อเราต้องแช่งเราขนาดนั้น ตัวท่านเองก็ไม่เคยมาเลี้ยงดู ทิ้งไปตั้งแต่เด็ก พอมีเรื่องก็ขอให้ช่วยช่วยแล้วเกิดปัญหา ยังมาว่าลูกอีก จะเป็นอย่างที่พ่อแช่งมั้ยคะ กลุ้มมากคะ พ่อแท้ๆ ยังทำกับลูกได้ ขอให้ท่านอาจารย์ แนะนำด้วยคะ ต้องทำอย่างไร บาปมั้ยที่หนูทำแบบนี้ มีบทสวดมนต์ทำให้หนูพ้นคำสาปแช่งได้มั้ยคะ

ขอบคุณมากคะ ที่กรุณาตอบคำถาม

คำตอบ
คำพูดที่ออกจากปากของคนที่ทุศีลไร้ธรรม มีทั้งพูดดีและพูดไม่ดี เช่น พูดสาปแช่งผู้อื่น หากผู้ถามปัญหามั่นใจว่า ตัวเองเป็นคนมีศีลและมีธรรมคุ้มครองใจ แล้วใช้ขันติ ใช้สติ และใช้พรหมวิหาร ๔ มาคุ้มครองใจ คำสาปแช่งของผู้อื่น ไม่สามารถทำให้ผู้ถูกสาปแช่งวิบัติได้ จึงไม่ถือว่าเป็นบาป ตรงกันข้ามผู้สาปแช่งผู้อื่นต้องรับความวิบัติ ด้วยมีเขาเป็นผู้กระทำเหตุให้เกิดขึ้นด้วยตัวของเขาเอง

ฉะนั้นไม่จำเป็นต้องสวดมนต์บทใด เพื่อให้พ้นคำสาปแช่ง แต่ควรสวดมนต์เพื่อสรรเสริญคุณของพระรัตนตรัย และสวดมนต์บทโมรปริตรเพื่อป้องกันตัว และเจริญสติให้มีกำลัง แล้วอุทิศบุญกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวรไปเรื่อยๆ จนกว่าจิตสงบต่อสิ่งอันเป็นอกุศลนี้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 31 พ.ค. 2010, 03:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดิฉันเป็นคนหนึ่งที่ถูกเลิกจ้างค่ะ เจอปัญหาอย่างนี้มา2ครั้งแล้ว โดยที่เราไม่ได้ทำความผิดอะไรจริง ๆ แต่ บริษัทฯบอกว่าประสบปัญหาทางการเงินจึงต้องให้ออก
ตอนนี้ก็เลยหางานใหม่ อยากถามอาจารย์สนองดังนี้ค่ะ

1. สิ่งที่เกิดกับดิฉันเป็นกรรมเก่าหรือไม่คะ
2. ถ้าใช่ดิฉันจะทำอย่างไรดีเพื่อที่สิ่งเหล่านี้จะไม่เกิดกับดิฉันอีก
3. ดิฉันสนใจงานที่ต้องอาศัยค่าคอมมิชชั่นในการขายเป็นรายได้ งานลักษณะแบบนี้ เป็นงานสัมมาอาชีวะหรือไม่คะ

กราบขอบพระคุณอาจารย์สนองที่เสียสละเวลามาตอบคำถามให้ดิฉันด้วยนะคะ แต่ดิฉันสงสัยจริง ๆ ค่ะ ขอขอบพระคุณล่วงหน้านะคะ

คำตอบ
(๑) ตอบว่าใช่ เรื่องที่ถูกปลดออกจากงาน เป็นผลของกรรมเก่าที่ผู้ถามปัญหาได้ก่อไว้แต่อดีต

(๒) คำว่า “ มโนมยา ” มีความหมายว่าสำเร็จด้วยใจ ผู้ใดประสงค์มีงานทำโดยไม่ถูกปลดออกจากงาน ต้องพัฒนาตัวเองให้เป็นคนเก่งคือมีความรู้ มีความสามารถในงานที่ทำเหนือผู้อื่น และพัฒนาตนเองให้เป็นคนดีมีคุณธรรมเป็นพื้นฐานของใจ ด้วยการประพฤติจริยธรรมลูกที่ดีของพ่อแม่ จริยธรรมลูกน้องที่ดีของนายจ้าง พลเมืองที่ดีของประเทศชาติ ฯลฯ แล้วต้องประพฤติตนเป็นผู้มีความกตัญญูกตเวทีต่อผู้มีอุปการคุณ หากทำได้เช่นนี้แล้ว จะไม่ถูกปลดออกจากงาน และหากผู้ใดพัฒนาตนเองให้เป็นผู้มีดวงดี ด้วยการบำเพ็ญทานอยู่เสมอ รักษาศีล ๕ ให้มีอยู่กับใจทุกขณะตื่น และเจริญจิตตภาวนาอยู่เนืองนิตย์ ผู้ทำได้เช่นนี้มีดวงดีแน่นอน ทุกสิ่งสำเร็จด้วยใจ ความเป็นอมตะในการมีงานทำจะเกิดขึ้นกับผู้มีศักยภาพเช่นนี้

(๓) ผู้รู้จริงไม่เลือกงานทำ ขอเพียงแต่ว่างานที่ทำ ต้องไม่ผิดกฎหมาย ไม่ผิดศีลและไม่ผิดธรรม ต้องทำงานเพื่อให้สิ่งดีงามกับคนอื่น ให้สิ่งดีงามกับสังคมส่วนรวม ส่วนคนไม่ฉลาดในการทำงาน ประพฤติตรงข้ามกับสิ่งที่กล่าวข้างต้น

ส่วนงานที่มีเปอร์เซ็นต์ในการซื้อขาย (คอมมิสชั่น) หากเป็นงานที่ไม่ผิดกฎหมาย ไม่ผิดศีลและไม่ผิดธรรม และผู้มาใช้บริการมีใจยินดีจ่ายค่าคอมมิสชั่น โดยไม่รู้สึกเสียดายหรือถูกเบียดเบียน งานนั้นถือว่าเป็นสัมมาอาชีวะ หรือเป็นสัมมากัมมันตะในทางโลกได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 31 พ.ค. 2010, 03:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1. เราชาวพุทธ ควรสวดมนต์บทไหนคะที่ถูกต้องตามหลักพระพุทธศานา เคยมีคนบอกว่าเราไม่ใช่พระไม่จำเป็นต้องสวดบททำวัตรเช้า - เย็น เพราะในปัจจุบันมีบทสวดมนต์มากค่ะ การที่เราเบิกบุญของเราเพื่อให้กับคนอื่นได้ไหมคะ และทำถูกต้องไหมคะ ถ้าไม่ถูกต้องควรทำอย่างไรคะ


2. ดิฉันมีคนที่ไม่ชอบดิฉันเอามากๆในที่ทำงาน เคยเอ่ยปากว่าจะเอาดิฉันออกจากงานหากตนเองมีอำนาจ ดิฉันทราบว่าในใจลึกแล้วดิฉันก้ออยากจะเอาชนะเค้า แต่อีกใจบอกตรงๆว่าไม่อยากจองเวรกลัวจะได้เจอกันอีกชาติหน้า ทุกวันนี้พยายามทำบุญอุทิศกุศลผลบุญให้เค้าเพื่อขอให้เค้าอโถสิกรรมเราดิฉัน เพราะเราทุกข์ใจทุกครั้งที่มีเรื่องกัน

พระพุทธะมิได้สอนให้หนีปัญหา แต่สอนให้อยู่กับปัญหา ด้วยการใช้สติปัญญาแก้ปัญหาให้หมดไป....ด้วยการดูให้เห็นถูกตรงว่าปากของคน มีทั้งพูดดีและพูดไม่ดี ที่เขาพูดไม่ดีเพราะใจของเขามีความคิดเป็นอกุศล(บาป) เก็บสั่งสมไว้เมื่ออกุศลสั่งให้ปากพูด จึงพูดออกมาไม่ดี."

อาจารย์คะ ถ้าเราทำบุญ ไหว้พระสวดมนต์ทุกครั้งเราแผ่เมตตาให้เค้า สิ่งเหล่านั้นจะหายไปไหมคะ บางครั้งเราโกรธมากที่เค้าว่าเรา หรือโยนความผิดให้เรา เราก็นำเรื่องไม่ดีไปพูดอีก เราผิดมากไหมคะ เพราะเราปฎิบัติธรรม และเราควรแก้ไขอย่างไร พยายามคิดว่าเค้าเป็นครูในทุกเรื่องที่เห็น ได้ยิน แต่บางครั้งก็หลุดค่ะ

3. คนที่เป็นหัวหน้า แล้วโยนความผิดให้ลูกน้อง คือ สิ่งไหนที่ผิดจะเป็นลูกน้องตลอด เราควรทำอย่างไรคะที่จะไม่ให้โกรธเค้า เพราะเราไม่อยากมีตัวโมหะอย่างที่ท่านอาจารย์บอกค่ะ และเราควรทำตัวอย่างไร กับเพื่อนร่วมงานเพื่อที่จะให้มีความสุขในการทำงาน ทุกวันนี้เครียดกับที่ทำงานเพราะไม่มีความจริงใจเลย มีแต่การสวมหน้ากาก

4. การที่บุพการีของเรานำสมบัติของเราและน้องๆ ที่มีญาติฝากไว้ไห้ไปล้างผลาญหมดกับครอบครัวใหม่ ของเค้า เป็นสิ่งที่เราได้ชดให้เวรกรรมหรือเปล่าคะ

5. การที่เราพูดแต่ในสิ่งที่ไม่ดีของบุพการีที่ทำเราบาปมากไหมคะ และเราควรทำอย่างไร เพื่อที่จะชดใช้กับหนี้เวรนั้นได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เวลานี้ น้อง 2 คนลำบากมากเป็นเพราะเค้ายังมีใจเจ็บอยู่ เค้าต้องทำอย่างไรคะ ส่วนตัวดิฉันครอบครัวมีความสุขค่ะ มีเป็นบางช่วงของชีวิตที่ลุ่มๆ ดอนๆ แต่ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรมากค่ะ มีปัยหาแต่เรื่องที่ทำงานอย่างเดียว



คำตอบ
(๑) ผู้ที่บอกว่าไม่ใช่พระ ไม่จำเป็นต้องสวดมนต์บททำวัตรเช้า-ทำวัตรเย็น นั่นเป็นความเห็นถูกของเขา แต่เป็นความผิดของผู้รู้จริง ในทางโลกปุถุชน ดูความเป็นพระที่การแต่งกาย แต่ในทางธรรม ดูความเป็นพระที่สภาวะของจิตใจ พระพุทธเจ้าสอนพระสงฆ์ ให้นำพาชีวิตไปสู่ความพ้นทุกข์ ด้วยการเจริญจิตตภาวนา และสอนฆราวาสธรรมให้แก่ฆราวาสมีชีวิตอยู่กับโลก ให้มีทุกข์เท่าที่จำเป็น ฆราวาสในครั้งพุทธกาล อาทิ อนาถบิณฑิกเศรษฐี พาหิยะลูกพ่อค้า พระนางเขมามเหสีของพระเจ้าพิมพิสาร ฯลฯ ได้ประพฤติธรรมตามแบบสงฆ์ ยังสามารถบรรลุธรรมของสงฆ์ได้ โดยไม่ผิดธรรมไม่ผิดวินัยแต่อย่างใด ดังนั้นหากผู้ถามมีเวลาพอที่จะสวดมนต์ทำวัตรเช้า-ทำวัตรเย็นได้ จงสวดมนต์ไปเถิด

ส่วนเรื่องการเบิกบุญต้องเข้าใจว่า บุญเกิดจากการประพฤติบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ ผู้ใดประพฤติแล้ว ย่อมมีบุญเก็บสั่งสมอยู่ในจิตวิญญาณของตัวเอง มิได้เอาบุญไปฝากได้กับใครผู้ใด จึงไม่จำเป็นต้องไปเบิกบุญมาใช้ ในยามที่คิดปรารถนาที่จะอุทิศบุญให้กับผู้อื่น สามารถอุทิศให้ได้ทุกเวลาที่ปรารถนาจะให้

(๒),(๓) ผู้ไม่มีธรรมอยู่ในใจ จิตไม่ชอบใครหรือพูดไม่ดีกับใคร สามารถทำได้เป็นธรรมดาของบุคคลเช่นนี้ หากผู้ถามปัญหามีธรรมรักษาใจ ไม่สามารถคิดไม่ดีกับใคร ไม่สามารถพูดไม่ดีกับใคร ฉะนั้นต้องดูที่ใจของตัวเองจะมีประโยชน์มากกว่า เช่นเดียวกับคนที่คิดเอาชนะผู้อื่น เป็นคนที่แพ้ใจตัวเองตั้งแต่เริ่มคิดแล้ว การคาดหวังให้คนอื่นยกโทษให้ เป็นการคาดหวังที่เกิดขึ้นกับคนที่มีความเห็นผิด การโต้แย้งโต้เถียงเป็นพฤติกรรมที่ไม่ดี เกิดขึ้นกับใจของคนที่มีความเห็นผิด ดังนั้นผู้ใดพัฒนาปัญญาเห็นถูกตามธรรม ให้เกิดขึ้นกับใจของตนเองได้แล้ว การคาดหวังจากคนอื่น การโต้แย้งโต้เถียงกับคนอื่นจะไม่เกิดขึ้นให้จิตวิญญาณต้องมีบาปสั่งสม

อนึ่งผู้ใดมีเมตตา สามารถแผ่เมตตาให้กับสัตว์ผู้จองเวร แล้วเวรกรรมจะไม่เกิดขึ้นกับผู้มีเมตตา คนที่ยังมีความโกรธเกิดขึ้นกับใจ ยังมิใช่ผู้มีเมตตา ฉะนั้นการแผ่เมตตาจึงเป็นโมฆะคือไม่มีผล การให้อภัยเป็นทานเป็นเหตุให้เกิดเมตตา ผู้ใดให้อภัยต่อสิ่งที่ทำให้ขัดใจได้ทุกเรื่อง ผู้นั้นไม่โกรธผู้นั้นมีเมตตา ผู้นั้นมีอารมณ์สงบและเย็น

(๔) ผู้รู้เกิดมาเพื่อปรับปรุงแก้ไขชีวิตที่เคยทำผิดพลาดให้กลับมาดีงาม มองให้ออกว่าในวันที่เกิดมาดูโลก มิได้มีสิ่งใดติดตัวมาเกิดด้วย สมบัติต่างๆมาเกิดขึ้นในภายหลังทั้งสิ้น บุพการีจะนำสมบัติของใครไปทำอะไรก็เป็นเรื่องของเขา คิดให้ถูกว่าเป็นการใช้หนี้กรรมให้หมดสิ้นกันไป เพราะตายแล้ว ไม่มีใครผู้ใดนำสมบัติกำพร้านี้ไปได้ มีแต่บุญกับบาปเท่านั้น ติดตัวไปได้เมื่อตาย ผู้ฉลาดจึงไม่หวังและไม่ห่วงกับสมบัติที่เป็นกำพร้าเหล่านั้น

(๕) บาปมากหรือบาปไม่มากขึ้นอยู่กับความเห็นของคน แต่ที่แน่ๆ ผู้ใดอกตัญญูต่อผู้มีอุปการคุณ เช่น พ่อแม่ ครูบาอาจารย์ ความวิบัติในชีวิต และความวิบัติในการทำงานย่อมเกิดขึ้น

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 31 พ.ค. 2010, 03:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดิฉันได้เข้าอบรมกับสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งได้อธิบายว่าการที่จะเข้า วิปัสสนาได้ต้องมีพลังจิตสะสมจากสมาธิสมถะทำจนได้ฌาณสี่ ก่อนจะเข้าภวังค์,ภวังค์ฌาณและอรูปฌาณนี้จะต้องผ่านจุดพลังอำนาจ ซึ่งการจะวิปัสสนานั้นต้องได้ฌาณสี่ และมีวสีเข้าวิปัสสนาณ.จุดพลังอำนาจถึงจะ เข้าวิปัสสนาได้จริง ไม่ใช่คิดเดาเอาเอง คือต้องมีกำลังสั่งสมมากพอ จนเกิดสมาธิมาก พอ ที่จะเห็นตาในหรือตาทิพย์เกิดนิพพิทาญาณและทวนกระแสเข้าไปปฏิบัติวิปปัสนา ได้จริงๆ

ในกรณีที่คนที่ได้จุดพลังอำนาจหรือจุดระหว่างปลายประสาทของกายหยาบและกาย ละเอียด นี้ไม่เจริญวิปัสสนาก็อาจจะใช้ด้านการทำฤทธิ์ รักษาโรค เป็นต้น จุดพลังอำนาจ เป็นตำแหน่งก่อนเข้าภวังค์ ต้องทำสมาธิบ่อยๆเพื่อสะสมให้เกิดกำลัง

ขอเรียนถามอาจารย์ว่า จุดพลังอำนาจตำแหน่งนี้คืออะไรคะ ถ้าเราไม่สามารถสัมผัส จุดนี้ คือผ่านเข้าภวังค์ไปเลยโดยส่วนมากโดยไม่รู้ตัว

วิปัสสนาจำเป็นต้องใช้กำลังสมาธิตื้นมากไหมคะ

ขออนุโมทนา เป็นการถามเพื่อความเข้าใจไม่ต้องการเปรียบเทียบใดๆ

คำตอบ
จุดพลังอำนาจเป็นสมมติบัญญัติ ที่เกิดขึ้นจากความรู้ไม่จริง (อวิชชา) ของคนที่มีความเชื่อเช่นนั้น ผู้ใดปฏิบัติสมถภาวนาจนจิตเข้าสู่ความตั้งมั่นระดับฌาน จิตไม่สามารถรับสิ่งกระทบภายนอกใดเข้ามาปรุงเป็นอารมณ์ การพัฒนาวิปัสสนาญาณไม่อาจเกิดขึ้นได้ แต่หากผู้ใดถอนจิตออกมาจากความเป็นฌาน โอกาสพัฒนาวิปัสสนาญาณให้เกิดขึ้นกับจิตจึงจะมีได้

สมาธิที่นำพัฒนาจิตให้เกิดปัญญาเห็นแจ้ง เป็นสมาธิระดับจวนแน่วแน่ (อุปจารสมาธิ) ผู้ที่ชำนาญแล้วอาจใช้สมาธิระดับต้น (ขณิกสมาธิ) ไปพัฒนาปัญญาเห็นแจ้งให้เกิดขึ้นย่อมทำได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 31 พ.ค. 2010, 03:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


การตั้งจิตอธิฐาน

หนูเป็นคนที่ถามเรื่องเกี่ยวกับลูกศิษย์ของตนเองที่เป็นร่างทรงค่ะ คือหลังจากที่ได้ส่งจดหมายถามอาจาร์ยอีกฉบับนั้น ก็เกิดเรื่องมากมายเนื่องจากศิษย์คนนี้เขาเพี้ยนก้าวร้าวมากให้เพื่อนมาหา เรื่องน้องสาวหนูที่โรงเรียนเขาเรียนที่เดียวกัน ทั้งกลั่นแกล้ง พูดจาทำร้ายจิตใจ จนน้องสาวหนูร้องไห้แทบทุกวัน ซึมเศร้า หนูสอนให้เขานั่งสมาธิ ตั้งใจสวดมนต์ แผ่เมตตาให้ทุกคนรวมทั้งแฟนเขา(ลูกศิษย์หนู) ที่บอกว่าเพี้ยนไปเป็นคนละคน หนูสงสารน้องมากหลายครั้งโกรธคนเหล่านั้นมากมาย เพราะตลดเวลาหนูกับน้องดีกับลูกศิษย์คนนี้มาตลอด เราถูกอบรมมาภายใต้การสอนของบรรพบุรุษให้โอกาสแก่ผู้ด้อยกว่า ช่วยเหลือคนที่เขาเดือดร้อน รักและศรัทธาในคุณงามความดี แต่สิ่งที่หนูกับน้องสาวถูกกระทำในเวลานี้ จากคนที่เราให้โอกาส ช่วยเหลือเขา และศรัทธาว่าความดีงามที่เราทำจะช่วยให้เขามองเห็นคุณค่า และเป็นคนดี กลับเป็นการถูกระรานจากคนพาลรอบตัวเขา มีแต่ความวุ่นวายกังวลใจจากการระรานของเพื่อนๆ เขา หนูทางของหนูกับน้องต้องไม่สะทกสะท้านแบบที่อาจาร์ยบอกหนูประจักษ์แก่ใจ แต่หลายครั้งท้อแท้เหลือเกิน อยากรบกวนถามอาจาร์ยดังต่อไปนี้นะคะ

1. เมื่อท้อแท้หนูพยายามนึกถึงแต่ตอนที่เขาเป็นคนดี แต่เหมือนกับตัวเองต่อต้านคัดค้านกันในใจ ว่ามันใช่หรือที่การเขาเป็นเช่นนี้ เพราะองค์หรือวิญญาณที่มีผลต่อ พฤติกรรม และจิตใจเขา

2. มีอะไรพิสูจน์ได้ว่าที่เขาเป็นอยู่เช่นนี้เป็นเพราะวิญญาณหรือองค์ที่เขา เรียกมาทำให้เขาเป็นเช่นนี้

3. น้องสาวหนูเขาสวดมนต์ ทำสมาธิ แผ่เมตตาขอพรพระพุทธองค์ให้ความรักของเขากับร่างทรงนี้กลับมาเป็นเหมือนเดิม หนูไม่รู้หรอกว่าสมหวังไหม รู้แต่ว่าคนเราทำสิ่งใดไม่ควรหวังสิ่งตอบแทน แต่ครั้งแรกที่หนูได้นั่งกรรมฐานเปิดโลกนั้น อาจาร์ยที่นำบอกว่าจิตของหนูรับกระแสพระพุทธองค์ ขณะนั้นรู้ไม่รู้สึกใดๆ ในร่างกายเหมือนไม่รับรู้อาการใดของร่างกายมีแต่ดวงแก้วสว่าง และรู้สึกเย็นปิติอย่างบอกไม่ถูก หนูไม่ทราบว่าใช่หรือไม่ใช่อย่างไร แต่ขณะนั้นเขาบอกให้ตั้งจิตอธิฐานขอพรหลังจากนั้นไม่ถึงเดือนก็สมปรารถนา ไม่รู้ว่าบังเอิญหรืออะไร เพราะหนูเชื่อว่าคนเรากระทำสิ่งใดไม่ควรหวังผลตอบแทน ท่านช่วยแนะนำว่าสิ่งต่างๆ ที่หนูบอกในข้อนี้เป็นเช่นไร แล้วน้องหนูขอพรแล้วเขาจะมีโอกาสสมหวังหรือไม่อย่างไร เป็นไปได้หรือที่เราขอเพื่อความสมหวังได้

4. ทุกครั้งที่ทำสมาธิ หรือสวดมนต์นั้น หนูสวดมากมักจะให้ท่านช่วยให้หนูครองสติทำแต่ความดี อย่าให้จิตใฝ่หาความชั่วเพราะคิดว่าคนเราจะกระทำสิ่งใดต้องไม่หวังสิ่งตอบ แทน แต่ตั้งแต่เกิดเรื่องลูกศิษย์กับน้องสาว หลายครั้งจิตใจนึกอาฆาตเพื่อนลูกศิษย์ที่มาระรานน้องตัวเอง อย่างไม่หยุด ต้องเตือนตัวเองและต่อสู้กับตัวเองใจจิตใจ เหมือนคนๆ เดียวแต่อีกคนคิดแต่สิ่งร้ายๆ อีกคนคิดถึงกรรมและควบคุมสติ มันช่างอึดอัดทรมาน นี่เป็นส่วนหนึ่งของการทดสอบของผู้ที่เลือกทางเดินเดียวกับพระโพธิสัตว์ หรือเปล่าคะ

5. ทำไมในหนังสือสวดมนต์ต่างๆ ถึงบอกว่าเมื่อสวดมนต์แล้วขอพรคิดสิ่งใดจะสมปรารถนา มันจริงเท็จประการใด หนูสงสัยมากเพราะไม่เคยขออะไรแต่เมื่อเกิดเรื่องราวนี้หนูจึงขอพรบ้างให้ เรื่องทุกอย่างผ่านไปด้วยดี ให้หนูเห็นหนทางนำพาเขากลับมาเป็นคนดีคนเดิมได้ แต่ท่านอาจาร์ยบอกไม่ได้เขาต้องสวดมนต์ นั่งสมาธิเอง หนูมีหนทางใดที่จะช่วยเหลือเขาได้บ้างคะช่วยชี้นำแนวทางให้หนูที

6. ถ้าหนูขอพรจากพระพุทธองค์ ให้น้องสาวหนูสมหวังในความรักได้หรือไม่ เพราะตลอด 30 ปี หนูขอพรตอนนั่งสมาธิเท่านั้น(ขอให้สอบบรรจุข้าราชการครูได้) ได้จริงดังปรารถนา เป็นครั้งแรกที่ขอเพื่อชีวิตตัวเองและก็ไม่แน่ใจว่าควรขอเพราะความเชื่อว่า ทำสิ่งใดไม่ควรหวังสิ่งตอบแทน สวดมนต์ก็บอกว่าสวดเพื่อความมีสติไม่วุ่นวาย นั่งสมาธิก็เพื่อความสงบของจิตใจไม่ฟุ้งซ่าน และส่งผลถึงความจำ หนูเชื่อเช่นนี้มาตลอดเริ่มงง ไขว่เขวเมื่อตอนที่นั่งกรรมฐานแล้วเปิดโลก แล้วรู้สึกปิติอย่างบอกไม่ถูก พอวันนี้ก็เลยอยากได้ความกระจ่างจากท่านอาจาร์ย ว่าแท้จริงเป็นเช่นไร

7. บ่อยครั้งเหลือเกินที่หนูฝันเห็นพระพุทธชินราชทั้งที่ไม่เคยไป แต่มีโอกาสไปเมื่อหลังจากนั่งกรรมฐานเปิดโลก เมื่อเห็นท่านจริงๆ ปิติอย่างบอกไม่ถูกขนลุก ความรู้สึกสงบมากๆ และฝันถึงพระเก่าๆ องค์ใหญ่พอเห็นในหนังสือเหมือนที่ฝันจึงหาว่าท่านอยู่ที่ใด คือที่สุโขทัย ภาพเหมือนในฝันมากๆ หนูจำท่านได้ทุกรายละเอียด เป็นเพราะอะไร ส่วนมากฝันว่ากราบท่านหรือได้อยู่ข้างๆท่าน หรือเป็นเพราะหนูประทับใจในความงามของท่าน แต่น่าแปลกหนูไม่เคยเห็นท่านมาก่อนฝันก่อนตั้งแต่ช่วงอายุ 18 เห็นจะได้

8. หนูไม่ค่อยเข้าใจเรื่องทรงเจ้าแต่ทุกข์ใจเรื่องลูกศิษย์ จึงไปปรึกษาร่างทรงที่น่าศรัทธาคนหนึ่ง ที่น่าศรัทธาคือเขาไม่รีดไถเงินคนมาหา และจากการไปหลายครั้งหนูสังเกตว่าเขาทักทายสภาพจิตใจของหนูได้ถูกต้อง มากกว่า 70% แล้วสังเกตคนที่เขาทุกข์มากมายไม่เคยต้องจ่ายเงินนั่นเงินนี่ แต่จะแนะนำแนวทางของธรรมะ ทำบุญตักบาตร ปล่อยนกปล่อยปลา สวดมนต์ไหว้พระ (ถ้าเป็นร่างทรงที่อื่นช่วงนี้หละคือช่วงกอบโกยเงินบางคนจ่ายหลักหมื่น สำหรับหนูแล้วหากคนไม่มีจะกินเขาทุกข์จะหาที่พึ่งแบบนี้คงไม่มีโอกาสสำหรับ เขา หนูเองก็ถูกเรียกเงินจากร่างทรงที่ว่านี้เหมือนกันแต่มีสติพอที่จะคิดเพราะ มีหลายอย่างที่รู้สึกว่าไม่ใช่) ร่างทรงที่ว่านี้เขาสามารถทำให้หนูเชื่อใจเขาได้แต่ก็ยังมีความไม่แน่ใจ เพราะว่าเป็นเรื่องที่หนูไม่เข้าใจ เหมือนองค์ไร้เหตุผลที่ทำร้ายลูกศิษย์หนูการเป็นองค์เทพมาเพื่อช่วยร่างมิ ใช่หรือคะ แต่ตอนนี้ลูกศิษย์หนูถูกทำลายทุกอย่าง อนาคตการเรียน ความรัก ทำร้ายจิตใจพ่อแม่ และปู่ ย่า ตา ยาย คนรัก และครูที่รักและหวังดีกับเขา ร่างทรงที่หนูไปหาเพราะหนูไม่รู้ว่าจะได้ความกระจ่างไหม แต่หนูก็อยากได้คำตอบ ว่าควรทำอย่างไรต่อกับสิ่งมองไม่เห็น เขาต้องการอะไร ทำไมเราคุยกับเขาให้รู้เรื่องไม่ได้หรือ ร่างทรงบอกหนูว่าเขาให้บอกแค่ว่าเดี๋ยวลูกศิษย์หนูก็กลับมาเป็นเหมือนเดิม แต่ต้องรอหลังเดือนเมษายน ให้น้องหนูอดทน องค์ของลูกศิษย์หนูต้องการทดสอบหนูกับน้องสาว ทดสอบอะไร ทดสอบทำไม หนูก็ไม่เข้าใจ แล้ว ลูกศิษย์หนูไม่บาปหรือเขาก้าวร้าวกับบุพการี หนูไม่อยากเห็นเขาเป็นบาป หนูไม่เชื่อเต็มร้อยว่าเขาไม่รู้สึกตัวเลยถ้าเป็นเพราะวิญญาณ ลูกศิษย์หนูจะบาปไหมคะที่ก้าวร้าวกับบุพการี กับหนูที่เป็นครูเขา และก็กับญาติผู้ใหญ่ที่เลี้ยงเขามา หนูสงสารเขาไม่อยากให้เขาทำบาปอีก แค่นี้ชีวิตเขาก็แย่มากพอแล้ว

หนูรบกวนอาจาร์ยมากมายเหลือเกิน หนูเหมือนได้คุยกับปู่ของหนูอีกครั้ง ปู่หนูเสียชีวิตตั้งแต่ปี 43 หนูสนิทกับปู่เพราะไปวัดกับปู่ตั้งแต่จำความได้ปู่เป็นมรรคทายกวัด ท่านจะสอนอะไรมากมายจนหล่อหลอมมาเป็นหนูทุกวันนี้ เล่าเรื่องพระ พาสวดมนต์ เวลาทุกข์ใจก็ปรึกษาท่าน ท่านก็จะยกตัวอย่างที่พระพุทธเจ้าทรงพบกับมารบ้างมาเปรียบให้หนูฟัง ทุกครั้งหนูก็สบายใจและสงบ ตั้งแต่ท่านเสียไปหนูก็ได้แต่จุดธูปคุยกับท่านเพราะรู้สึกว่าท่านดูหนูอยู่ ตั้งแต่วันที่ท่านอาจาร์ยได้ตอบจดหมายมา เหมือนหนูได้คุยกับปู่อีกครั้ง หนูรู้สึกว่าตัวเองเขลานักเมื่อเกิดเรื่องน้องสาวกับลูกศิษย์ตัว หนูไม่ได้ขอเป็นหลานอาจาร์ยหรอกค่ะ มิกล้าแต่ขอเป็นคนที่ศรัทธา และชื่นชมอาจาร์ย ด้วยใจจริงค่ะ

กราบขอขอบพระคุณอาจาร์ยนะคะที่สละเวลาในการอ่านและตอบคำถาม

คำตอบ
(๑) เป็นเพียงบอกเล่า มิได้ถามปัญหา

(๒) เกิดจากจิตที่มีความเห็นผิด มาใช้ร่างกายของผู้อื่น กระทำในสิ่งที่แสดงออกเป็นพฤติกรรมไม่ดี

(๓) ปุถุชนใกล้สิ่งไหนเป็นเหมือนสิ่งนั้น ใกล้คนดีดีตาม ใกล้คนไม่ดีไม่ดีตาม ด้วยเหตุนี้ พระพุทธะจึงได้บอกความเป็นมงคลกับเทวดาว่า “ อาสวนา จ พาลานัง ..... ” ผู้ใดเชื่อในความเป็นสัพพัญญูแล้วประพฤติตามให้ได้ ความเป็นมงคลก็จะเกิดขึ้นแน่นอน

การเห็นดวงแก้วสว่าง การเกิดปีติ เป็นกิเลสที่ขวางทางมิให้เกิดปัญญาเห็นแจ้ง ผู้ใดกำจัดสิ่งที่เป็นวิปัสสนูปกิเลสได้ โอกาสเข้าถึงวิปัสสนาญาณย่อมเกิดขึ้น อนึ่ง พระพุทธะมิได้สอนพุทธบริษัทให้ประพฤติตนเป็นผู้ขอ แต่สอนให้พุทธบริษัททำเหตุดีให้ถูกตรงตามที่ตั้งความปรารถนา (อธิษฐาน) ไว้ เมื่อใดที่เหตุปัจจัยลงตัว ความสมปรารถนาในสิ่งดีงามย่อมเกิดเป็นจริงได้

(๔) คนที่คอยแต่หวังให้ผู้อื่นช่วย เป็นคนที่มีจิตด้อยในศักยภาพ คนที่มีจิตอาฆาต คิดแต่สิ่งเลวร้าย เหล่านี้มิใช่วิสัยจิตของพระโพธิสัตว์ จึงเอาไปเปรียบเทียบกันไม่ได้

(๕) ผู้ประพฤติอธิษฐานเพื่อความสำเร็จในสิ่งที่ดีงาม ต้องทำเหตุให้ถูกตรง ต้องใช้เวลาสร้างบุญสร้างบารมียาวนาน เหตุปัจจัยจึงจะลงตัว แล้วคำอธิษฐานจึงจะเป็นจริงได้ ดังตัวอย่างของพระพากุละอธิษฐานไม่อาพาธ ต้องใช้เวลาทำเหตุให้ถูกตรงยาวนานถึงหนึ่งแสนกัป พระสารีบุตรอธิษฐานเป็นอัครสาวกของพระพุทธะ ต้องใช้เวลาทำเหตุให้ถูกตรงยาวนานถึงหนึ่งอสงไขยกับอีกหนึ่งแสนกัป ผลแห่งการอธิษฐานจึงจะเป็นจริงได้

การคิดหวังช่วยคนอื่นในทางโลกช่วยได้ผิวเผิน ด้วยเหตุนี้พระพุทธะจึงได้ตรัสในทำนองที่ว่า “ ตนนั่นแหละ เป็นที่พึ่งแห่งตน ” คือ พึ่งธรรมพึ่งความดีที่มีอยู่ในใจของตน ความดีในใจจะเกิดขึ้นได้กับผู้ที่ทำความดีด้วยตัวเอง ผู้ตอบปัญหาเชื่อพระพุทธเจ้า จึงแนะนำว่า ไม่มีทางใดที่ผู้ถามปัญหาจะช่วยเขาได้อย่างแท้จริง

(๖) ประพฤติตนเป็น “ ผู้ขอ ” มิใช่หนทางแห่งพุทธะ จึงไม่มีคำแนะนำใดเพื่อการนั้น อนึ่งการนั่งกรรมฐานแล้วเปิดโลก ทำให้ปีติและมีจิตเป็นทาสของปีติ นั่นมิได้ทำให้พ้นทุกข์ จึงควรหาทางแก้ไข เพื่อพัฒนาจิตเข้าสู่ปัญญาเห็นแจ้ง แล้วความทุกข์จึงจะหมดไปจากใจได้จริง

(๗) ฝึกกรรมฐานเปิดโลก แล้วไปเห็นพระพุทธชินราช นั่นประพฤติผิดไปจากธรรมของพระพุทธะ การฝันเห็นสิ่งต่างๆ แล้วมีจิตยึดติดในสิ่งที่ถูกเห็น เป็นการปฏิบัติธรรมผิดทางเช่นกัน

(๘) ผู้ใดมีจิตศรัทธาในร่างทรง ผู้นั้นมีศรัทธาที่ไม่กอร์ปด้วยเหตุผล พระพุทธะจึงไม่แนะนำพุทธบริษัทให้ศรัทธาเช่นนั้น เพราะเป็นการเปิดทางให้ความหลอกลวงเกิดขึ้น คนไม่ฉลาดนิยมประพฤติเช่นนี้ ผู้ถามปัญหาล่ะ เป็นคนประเภทไหน ตอบตัวเองได้หรือยัง?

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 31 พ.ค. 2010, 03:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดิฉันได้อ่านคำถามที่ บอกว่าอาชีพขายประกันเป็นการสร้างวิบากกรรมให้ตัวเอง ดิฉันเป็นตัวแทนประกันค่ะ
1.อยากทราบว่าทำไมเป็นเช่นนั้น เพราะในเมื่อเขาเจ็บป่วยเราก็มีเงินช่วยให้เขารักษา เพราะค่ารักษาสมัยนี้แพงมาก ช่วยแบ่งเบาภาระเขาได้ไม่ใช่หรือคะ

2.เวลาหัวหน้าครอบครัวตาย เราก็มีเงินประกันไปมอบให้ภรรยาและลูกๆ เขาไว้เลี้ยงดูตัวเองต่อและมีทุนการศึกษาไว้เรียนในอนาคต ไม่ถือว่าช่วยเหลือเค้าหรือคะ

3.เราสามารถนำรายได้มาให้พ่อแม่ตอบแทนท่านได้ ไม่ถือเป็นกตัญญูหรือคะ แล้วทำไมถึงเป็นอาชีพที่ไม่ดีในทางธรรม เพราะในเมื่อเราไปพูดให้คนวางแผนชีวิต เมื่อเกิดสิ่งไม่คาดฝันจะได้ไม่เจ็บตัวมากนัก ดิฉันนึกว่าเป็นการทำบุญเสียอีกน่ะค่ะ คนในวงการนี้ที่รู้จักสนิทสนมส่วนใหญ่ที่อยู่ในอาชีพนี้ได้ เพราะว่าซื่อสัตย์ ขยัน อดทนไม่เอาเปรียบลูกค้า มีสัจจะ สอนรุ่นน้องให้กตัญญู มองโลกในแง่ดี คิดบวก รู้จักบุญคุณ มีน้ำใจ ซื่อสัตย์และส่วนมากก็ชอบปฎิบัติธรรมทั้งนั้น เช่น วิปัสสนา นั่งสมาธิ บางคนก็ไปแสวงบุญที่อินเดียเป็นประจำ เช่น สร้างวัดไทยที่นั่น บริจาคเงินเป็นล้าน และยังนำธรรมะมาสอดแทรกสอนอยู่ด้วยเสมอ ดิฉันจะไปปฎิบัติธรรมก็ได้รุ่นพี่ที่นี่แนะนำค่ะ อย่างเวลาไปขายก็คิดว่าถ้าวันนึงลูกค้าเป็นอะไรใครเดือดร้อน และถ้าเกิดเหตุการณ์นั้นจริงๆ เรานี้แหละเป็นคนช่วยเขา นำเงินไปให้เขาเวลาที่เขาเดือดร้อนไม่มีที่พี่งแล้วทำไมไม่ดีล่ะคะ ขออภัยด้วยค่ะสงสัยและงง งง

4.คำถามนี้สงสัยในใจมานาน เพื่อนตัวแทนประกันหลายคนที่รู้จักนั้น รวยมากบางคนมีรายได้เป็นร้อยล้าน สิบล้านหรือบางคนก็ปีละล้านและชอบทำบุญแต่สงสัยว่าทำไมแต่ละคนเป็นโรคแปลกๆ ที่มักไม่ค่อยมีคนเป็นหรือวินิจฉัยไม่ได้คะ สังเกตุจากคนที่รู้จักน่ะค่ะ


คำตอบ
(๑) เหตุที่เป็นเช่นนั้น เพราะเป็นกำหนดอันแน่นอนตายตัวของธรรมชาติ ที่เรียกว่ากฎแห่งกรรม ผู้ถามปัญหาใช้ปัญญาทางโลกมองการกระทำเช่นนั้นว่า เป็นสิ่งที่ถูกต้องทางโลก ซึ่งมิได้ผิดอะไรกับผู้ที่ยังพึงพอใจกับการมีชีวิตอยู่กับโลก แต่ในทางธรรม เขามองปัญหาของชีวิตยาวไกลข้ามภพชาติ จึงเห็นเหตุผล (ความจริง) ต่างกันออกไป ปัญหาจึงมีอยู่ว่า ผู้ถามปัญหาจะนำพาชีวิตไปทางไหน นั่นเป็นสิ่งที่ต้องคิดแล้วทำเหตุให้ถูกตรง

(๒) เงินที่ได้จากการทำประกันฯ ช่วยให้เกิดความมั่นคงได้เพียงชีวิตปัจจุบัน แต่ชีวิตยังต้องเดินทางอีกยาวไกลข้ามภพข้ามชาติ เงินประกันฯ ไม่สามารถส่งผลไปถึงความมั่นคงในชีวิตหน้า ฉะนั้นผู้ใดมีจิตเป็นทาสของเงิน ผู้นั้นไม่ต่างไปจากถูกงูพิษกัด ดังในครั้งพุทธกาล ขณะที่พระพุทธะดำเนินบิณฑบาตโดยมีพระอานนท์เดินตามหลัง ท่านได้ทอดพระเนตรเห็นถุงใส่เงินที่โจรโยนทิ้งไว้ที่หัวคันนา พระพุทธได้ตรัสปุจฉากับพระอานนท์ว่า “ อานนท์ เธอเห็นงูพิษไหม ” พระอานนท์ตอบว่า “ เห็น พระเจ้าค่ะ ”

ที่ยกตัวอย่างมาบอกเล่าให้ฟังนี้ เพื่อจะบอกว่า ใครผู้ใดมีจิตหลงติดเป็นทาสของทรัพย์ ไม่ต่างไปจากถูกงูพิษกัด ดังตัวอย่างที่เห็นกันอยู่ในปัจจุบันไงล่ะ ปัญหาจึงอยู่ที่ว่า ผู้ถามปัญหาคลุกคลีอยู่กับงูพิษอย่างรู้เท่าทัน จึงไม่ถูกงูพิษกัด หรือว่าถูกงูพิษกัดเข้าแล้ว

(๓) เหตุที่ไม่ดีในทางธรรม เพราะผู้ถามปัญหา พูดวางแผนให้คนมีความมั่นคงในชีวิตนี้เท่านั้น แล้วเมื่อต้องทิ้งขันธ์ลาโลกไปสู่การมีชีวิตอยู่ในภพหน้า มั่นใจไหมว่าได้พูดวางแผนให้เขามีความมั่นคงในชีวิต ไม่ลงไปเกิดต่ำกว่ามนุษย์ในวันข้างหน้า

อนึ่ง คนที่เข้าปฏิบัติธรรมมีมาก แต่คนที่สามารถปริวรรติจิตใจจนเข้าถึงธรรมของพระพุทธะได้ มีอยู่จำนวนน้อย ในครั้งที่ผู้ตอบปัญหาไปปฏิบัติธรรมอยู่กับท่านเจ้าคุณโชดก คณะ ๕ วัดมหาธาตุฯ ท่านพูดกับผู้ตอบปัญหาว่า “ คนที่เข้ามาปฏิบัติธรรมร้อยคน ได้ธรรมะของพระพุทธะกลับไปเพียงสองคน นับว่าโชคดีแล้ว ” ฉะนั้นที่บอกว่า คนในวงการที่ผู้ถามปัญหารู้จักสนิทสนมส่วนใหญ่ เป็นผู้มีคุณธรรม มีการบริจาค (ทาน) เป็นล้าน นั่นเป็นสิ่งถูกต้องที่พึงกระทำ เพราะทำแล้วได้บุญ แต่ท่านเหล่านั้นมั่นใจได้ไหมว่า เป็นผู้มีศีลมีธรรมกำกับใจ ผู้ใดมีศีลผู้นั้นไม่ฆ่าสัตว์ ไม่เบียดเบียนสัตว์ ผู้ใดมีศีลผู้นั้นไม่คอรัปชั่น ไม่ใช้โทรศัพท์ของหน่วยงานมาใช้ในเรื่องส่วนตัว ไม่เอางานส่วนตัวไปทำในเวลาของหน่วยงาน ผู้ใดมีศีล กาย วาจา ใจ ไม่ละเมิดในลูกเมียของคนอื่น ไม่เสพสังวาสกับโสเภณี ผู้ใดมีศีลผู้นั้นพูดไม่เคลื่อนไปจากความจริง ผู้ใดมีศีลผู้นั้นไม่บริโภคเครื่องดื่มที่สารแอลกฮอล์เจือปน และเช่นเดียวกัน ผู้ใดมีธรรมผู้นั้นไม่ประพฤติอกุศลกรรม ฯลฯ ขออภัยที่เขียนตอบยืดยาว ด้วยมีเจตนาเป็นเสมือนกระจกส่องผู้อ่าน ให้เห็นสิ่งที่อยู่ในใจของตัวเอง

(๔) การเป็นโรคแปลกๆ นั่นเป็นผลของกรรมที่ประพฤติทุศีล เป็นความลับที่เขามิได้บอกให้ใครผู้รู้ ปุถุชนผู้มิได้พัฒนาจิตจึงหลงเข้าใจผิดคิดว่า เขาเป็นคนมีพฤติกรรมดีงาม แต่การกระทำของเขาไม่สามารถหลอกใจมนุษย์ผู้พัฒนาจิตได้ ไม่สามารถหลอกตาเทวดาในชั้นจาตุมหาราชิกาได้ ฉะนั้น ความลับของมนุษย์จึงมิได้มีกับเทวดาในชั้นนี้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 31 พ.ค. 2010, 03:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


วันนี้ดิฉันได้ไปสักการะพระบรมสารีริกธาตุที่เมืองทองธานี หลังจากนั้นที่บริเวณหน้าห้องสักการะจะมีอาจารย์หลายๆ ท่านดูฮวงจุ้ยให้ฟรี ดิฉันและน้องสาวจึงดูแต่ว่าเมื่อดูเสร็จแล้วเกิดความไม่สบายใจเนื่องจากต้อง แก้หลายอย่าง เช่นห้องน้ำมีสามห้องก็ไม่ถูกทิศทั้งหมดต้องทุบทำใหม่หมดย้ายที่ใหม่เลย ห้องนอนเปิดประตูจากนอกบ้าน เค้าบอกว่าประตูบ้านควรมีแค่บานเดียวคือประตูทางเข้าเพราะฉะนั้นให้ทุบประตู ห้องนอนอีกประตูแล้วโบกปูนทับประตูเก่าเพื่อเข้ามาเปิดในบ้านให้ได้ ถ้าดิฉันไม่ทำรับรองว่า ยังไงไม่มีทางรวยจะมีแต่จนหรือถ้าไม่เชื่อก็คอยดูต่อไป สามีก็จะมีภรรยาน้อยแน่นอน ดิฉันจึงเกิดความไม่สบายใจจึงอยากจะเรียนถามว่า

1 ดิฉันถามเค้าว่าจะแก้โดยการปฎิบัติธรรมเช่น นั่งสมาธิหรือวิปัสนาได้หรือไม่ เค้าก็บอกว่าการปฎิบัติธรรมช่วยได้แค่10เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ถ้าจะแก้ได้จริงต้องทำตามที่เขาบอกจึงจะดี ถ้ายังทำไม่ได้เลยก็แนะนำว่าต้องหาซื้อเครื่องรางไปใส่ที่บ้าน หลายอย่างเหมือนกันค่ะประมาณสิบกว่าอย่าง ของมีขายอยู่หน้างาน แต่ราคาค่อนข้างแพงดิฉันไม่มีเงินซื้อหรอกค่ะ รวมๆกันอาจจะหลายพันเลย เพราะของบางอย่างนั้นราคาถึง2000บาท การปฎิบัติธรรมแก้เรื่องฮวงจุ้ยไม่ได้ตามที่เขาบอกหรือเปล่าคะ

2ได้อ่านหนังสือท่านอาจารย์สนองเรื่องวิธีอยู่เหนือดวง แต่วิธีอยู่เหนือฮวงจุ้ยนี้เรื่องเดียวกันหรือเปล่าคะใช้ด้วยกันได้หรือ เปล่าคะ ฮวงจุ้ยมีผลทำลายชีวิตเราถึงขนาดนั้นเลยหรือ

3 ทุกวันนี้ดิฉันภาวนาพุทโธ และ ยุบหนอพองหนอ เดินหนอ นอนหนอ ต้องเลือกวิธีใดวิธีหนึ่งเลยหรือเปล่าคะแต่ดิฉันชอบทั้งสองวิธี

ขอบพระคุณท่านอาจารย์มากที่ให้ความเมตตาตอบคำถามค่ะ
ขออนุโมทนา

คำตอบ
(๑) จริงอย่างที่ผู้ดูฮวงจุ้ยพูด แต่ไม่จริงหากปฏิบัติธรรม จนเข้าถึงมรรคผลแห่งธรรมได้ ปัญหามีอยู่ว่าผู้ถามปัญหาจะเชื่อคำพูดที่ออกจากปากของปุถุชน หรือจะเชื่อคำพูดที่ออกจากปากอริยบุคคลผู้เป็นอริยสาวกของพระพุทธะ

(๒) หากผู้ถามปัญหาได้อ่านหนังสือเรื่อง “ วิธีอยู่เหนือดวง ” แล้วทำให้ได้ตามที่บอกไว้ในหนังสือ ฮวงจุ้ยไม่สามารถให้ผลดีหรือร้ายกับบุคคลผู้มีคุณธรรมเช่นนั้นได้ เรียกว่าอยู่เหนือฮวงจุ้ยก็ได้หากประสงค์จะเรียก

(๓) เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เลือกประพฤติเพียงวิธีเดียวที่เหมาะกับจริต จะเป็นวิธีไหนก็ตาม หากปฏิบัติถูกตรง ผลที่ออกมาคือ จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ และจิตต้องเกิดปัญญาเห็นแจ้ง

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 31 พ.ค. 2010, 03:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


จากคำถามที่กี่ยวกับเรื่องอาการล่วงเกินพระพุทธรูป สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายค่ะ ขออนุญาตเรียนสอบถามอาจารย์เพิ่มเติมดังนี้นะคะ

1. ตามที่อาจารย์ได้แนะนำให้สวดพระพุทธคุณต่อหน้าพระพุทธรูป เจดีย์ ฯลฯ นั้น สามารถสวดต่อหน้าพระพุทธรูปที่บ้านได้หรือไม่คะ หรือต้องไปตามสถานที่ที่เราเคยทำเหตุไว้คะ (เนื่องจากไม่ทราบว่าตนเองเคยทำเหตุไว้ ณ ที่ใด) แต่ผลปัจจุบัน แค่เดินผ่านพระพุทธรูป รูปปั้น สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ทั้งหลายทั้งปวง ก็เกิดคิดอกุศลขึ้นมาแล้วค่ะ

2. รู้สึกวิตกกังวลมากค่ะ และก็เหนื่อยกับความคิดแบบนี้ด้วยค่ะ หากความคิดไม่ดีดังกล่าวนั้นเป็นผล ที่เกิดจากกรรมที่ได้กล่าวล่วงเกินในอดีต ซึ่งปัจจุบันตนเองมิได้มีเจตนา และไม่ปรารถนาที่จะคิดเช่นนั้นอีก แต่ไม่สามารถจับความรู้สึกได้ค่ะว่า ก่อนจะคิดแบบนี้รู้สึกยังไง จึงได้กล้าคิดอกุศลเช่นนี้ได้และไม่สามารถ สกัดกั้นความคิดได้ทันค่ะ ถึงอย่างนั้นแล้วก็ยังถือว่าเป็นการสร้างบาปกรรมเดิม ๆ ต่อไปอีกเช่นนั้นหรือคะ แสดงว่าสิ่งที่ได้รับนั้น นอกจากจะเป็นการรับกรรม แล้ว ยังทำกรรมใหม่เพิ่มเข้าไปในตัวอีกใช่หรือไม่คะ

3. นอกจากการสวดพระพุทธคุณแล้ว (ซึ่งจะปฏิบัติตามคำแนะนำของอาจารย์ค่ะ) มีวิธีอื่น ๆ อีกด้วยหรือไม่คะ จะทำทุกอย่างที่สามารถจะทำให้พ้นจากบาปกรรมนี้ได้ค่ะ

ขอขอบพระคุณอาจารย์ในการตอบคำถามอย่างยิ่งค่ะ
ขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัย ดลบันดาลให้อาจารย์สมความปรารถนาทุกประการค่ะ

คำตอบ
(๑) การสวดมนต์สรรเสริญคุณพระพุทธ จะสวดต่อหน้าองค์พุทธรูป ณ ที่ใดๆย่อมทำได้ หรือไม่มีพระพุทธรูปอยู่ต่อหน้า แต่มีจิตระลึกถึงและมีจิตตั้งมั่นก็ย่อมทำได้

(๒) หากผู้ถามปัญหาศรัทธาในคำชี้แนะได้เต็มร้อย และนำไปปฏิบัติให้จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิได้แล้ว ความคิดที่เป็นอกุศลจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้ ตรงกันข้ามหากประพฤติไม่ได้ผลดังที่บอกมา บาปกรรมย่อมเกิดเพิ่มมากขึ้น ฉะนั้นพึงดึงจิตให้มาระลึกรู้อยู่กับปัจจุบันขณะ

(๓) เพียงหนึ่งวิธีที่แนะนำถูกตรงตามธรรม แล้วยังประพฤติไม่ได้ ก็ไม่สามารถนำวิธีอื่นมาแก้ปัญหาได้อีก ต้องปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม คือ เอาศีล ๕ มาคุมใจให้ได้ทุกขณะตื่นได้แล้ว จึงลงมือปฏิบัติจิตตภาวนา

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 31 พ.ค. 2010, 03:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


นูมีเรื่องรบกวนอาจารย์ ถามปัญหาหน่อยค่ะว่า การชอบครูบาอาจารย์ท่านนึงของเราบาปมากมั๊ย ชอบแบบผู้หญิงชอบผู้ชาย ไปทางถูกใจ ยินดี ท่านอายุยังไม่มาก แต่ตัวเรารู้สึกแย่มากเลย รู้สึกเหมือนจาบจ้วงๆท่านเลยอ่ะค่ะ ทำยังไงถึงจะเลิกเป็นแบบนี้ได้เหรอค่ะ ที่พูดนี่ก็อายมากๆเลยค่ะ อายมากๆค่ะ

ต้องพยายามข่มใจ และบางทีก็เสียใจด้วย เพราะกลัวว่าท่านจะไม่เห็นความสำคัญของเรา

ขอบพระคุณอาจารย์ค่ะ

คำตอบ
หากเป็นความชอบที่มีตัณหาสนับสนุน ย่อมมีบาปเกิดแน่นอน ประสงค์แก้ปัญหานี้ต้องพิจารณาอสุภะบ่อยๆ สมัครเป็นสมาชิกเก็บศพ เป็นสมาชิกล้างป่าช้า คือทำได้อย่างสัปเหร่อ ปัญหาที่เกิดขึ้นจะหมดไป

อนึ่ง ผู้ใดยังมีอัตตาอยู่กับใจ มักจะเห็นความสำคัญของตัวเอง คิด พูด ทำใดๆ จะเพื่อประโยชน์ของตัวเอง เข้าข้างตัวเอง ตรงกันข้ามผู้ที่ดับอัตตาได้ จะเห็นผู้อื่นสำคัญยิ่งกว่า เห็นธรรมของพระพุทธะสำคัญที่สุด

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 31 พ.ค. 2010, 03:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


มีตัวแทนขายประกันชีวิตมาชวนผมทำประกันค่อนข้างบ่อย แต่ผมก็ปฏิเสธทุกครั้ง โดยผมให้เหตุผลกับตัวเองว่า ขอให้ทุกอย่างเป็นไปตามกรรม ถ้าผมเคยทำกรรมไม่ดีไว้ เมื่อกรรมนั้นให้ผล หากผมจะเจ็บป่วยขึ้นมาก็ขอจ่ายค่ารักษาเอง เพื่อขอใช้กรรม หากเราไม่เคยทำกรรมไม่ดีไว้ก็คงไม่มีอะไรมาแผ้วพานให้เราต้องใช้เงินโดยไม่ จำเป็น ในอีกแง่หนึ่ง หากเราทำประกัน เกิดเจ็บป่วยขึ้นมาก็ไม่ต้องจ่ายค่ารักษาเอง โดยมีบริษัทประกันจ่ายให้ หากเรามีกรรมต้องชดใช้ เมื่อไม่ได้ใช้ตรงนี้ เราก็ต้องมีเรื่องให้ต้องเสียเงินในทางอื่นอยู่ดี นี่คือเหตุผลที่ผมไม่ทำประกัน

ผมอยากจะเรียนถามอาจารย์ว่า ความคิดของผมตรงนี้ ผมคิดถูกต้องตามกฏแห่งกรรมหรือไม่ อาจารย์เห็นด้วยกับความคิดนี้ของผมไหมครับ ขอขอบพระคุณอาจารย์มากครับ

ขอแสดงความเคารพ

คำตอบ
เพราะเห็นถูก จึงคิดถูกตามกฎแห่งกรรม เห็นด้วยครับ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 31 พ.ค. 2010, 03:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1. ตอนนี้ไม่ได้อยู่กับคุณแม่ เพราะทะเลาะกันพยายามหลายครั้งแต่ก็ไม่ดีขึ้น จึงแยกออกมาอยู่เองกับครอบครัว แต่ก็พยายามที่จะเลี้ยงดูท่านโดยการส่งเป็นเงินไป เพราะไม่อยากจะทะเลาะและทำให้ท่านเสียใจ อย่างนี้จะบาปหรือไม่ ช่วยแนะนำด้วยค่ะ

2. อยากทราบถามว่า การที่เราใส่บาตรกับพระท่านที่ยืนบิณฑบาตรที่เดียวในตลาด ถือว่าเป็นการทำบุญหรือไม่
ถูกต้องหรือไม่

ขอบคุณค่ะ

คำตอบ

(๑) เป็นบาปตรงที่ประพฤติโต้แย้ง โต้เถียงผู้มีอุปการคุณ แต่เป็นบุญตรงที่เลี้ยงดูแม่ด้วยการส่งเงินไปให้

(๒) ถูกของภิกษุที่ประพฤติ แต่ไม่ถูกของสงฆ์ที่ประพฤติถูกตรงตามธรรมวินัย การโปรดสัตว์ด้วยการโคจรบิณฑบาตของพระพุทธเจ้า ของพระอัครสาวก ของพระมหากัสสปะ ฯลฯ ท่านเดินบิณฑบาตตามลำดับบ้าน ภิกษุยืนบิณฑบาตประจำอยู่ ณ ที่เดียว ด้วยเหตุมีอาพาธไม่ถือเป็นบาป แต่หากมีเหตุมาจากความขี้เกียจเดิน หรือเดินไปยังที่อื่นแล้วได้อาหารบิณฑบาตน้อยกว่า อย่างนี้ถือว่าเป็นบาป

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 31 พ.ค. 2010, 03:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดิฉันกำลังจะไปปฎิบัติธรรมเดือนนี้ประมาณวันที่ 20 มีคำถามจะเรียนถามดังนี้
1.เคยประพฤติตัวไม่ดีกับพ่อแม่ไว้มาก ได้ยินว่าถ้าจะปฎิบัติวิปัสนาไม่ได้ต้องขอขมาท่านก่อน ถ้าไม่ได้อยู่ที่เดียวกันอยู่ไกลกันมาก กรุงเทพกับสุรินทร์ค่ะ จะโทรไปขอขมาได้หรือเปล่าคะ
2.ได้ยินว่าการปฎิบัติทำให้เป็นบ้าได้ เพราะอะไรหรือคะ

ขอบพระคุณมากค่ะ

คำตอบ
(๑) ขอขมาทางโทรศัพท์ย่อมทำได้

(๒) เพราะปฏิบัติธรรมผิดทาง จิตขาดสติจึงไปรับเอาสิ่งกระทบไม่ดีมาปรุงอารมณ์ไม่ดี แล้วจิตยึดถือมั่นคงในอารมณ์ดี เมื่อจิตสั่งร่างกายขณะมีอารมณ์ไม่ดี พฤติกรรมที่แสดงออกจึงผิดไปจากพฤติกรรมของคนปกติ นี่คืออาการที่คนทั่วไปเรียกว่าบ้า ดังพฤติกรรมผิดปกติ (บ้า) ของคนในครั้งพุทธกาล อาทิ อดีตของพระปฏาจารา อดีตของพระกีสาโคตรมี อดีตของพระวาสิฏฐี ฯลฯ จิตยึดหน่วงอารมณ์สูญเสียคนที่ตนรักได้ตายจากไป

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 31 พ.ค. 2010, 03:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หนูเคยได้ยินมาว่า มนุษย์สมัยนี้นั้นเป็นพวกจากขุมนรกมาเกิดเยอะ จึงมีความสงสัยค่ะว่า หากอยู่ในขุมนรกแล้ว จะมีอะไรเป็นตัวทำให้พวก เค้าสามารถไปเกิดในภพอื่น ๆ ได้คะ? อย่างในมนุษย์ กรรมดี กรรมชั่ว จะเป็นผลทำให้ไปเกิดในภพภูมิต่าง ๆ ต่อไป แล้วในขุมนรก พวกเค้า สามารถทำความดี ความชั่ว ได้อีกหรือไม่คะ?
คำตอบ
สองสาเหตุที่นำให้สัตว์นรกไปเกิดในภพอื่นคือ ชดใช้อกุศลวิบากในภพนรกได้หมด และกรรมถัดไปส่งผล จึงนำจิตวิญญาณโคจรไปสู่ภพที่ถูกตรงกับเหตุที่ทำ

สัตว์นรกไม่สามารถทำกรรมดีหรือกรรมชั่วได้อีก มีแต่ชดใช้ผลของอกุศลกรรม ด้วยการถูกทำโทษถูกทรมานอย่างแสนสาหัสอยู่ตลอดเวลา จึงไม่มีเวลาไปทำกรรมอื่นได้อีก จนกว่าจะชดใช้หนี้เวรกรรมได้หมดสิ้น

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 31 พ.ค. 2010, 03:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1. แม่ทำงานเป็นแม่บ้านอยู่ตปท. ส่งเงินมาให้นองชายซื้อบ้านและใช้หนี้ แต่น้องชายไม่ได้ทำตามที่แม่สั่งทั้งที่บ้าน เทเงินสดทั้งหมดก็ได้และน้องนำเงินไปให้ใช้ในทางอบายมุข เมื่อกลับมาแม่เสียใจมาก น้องชายจะบาปมากไหมคะ

2. น้องชายเป็นหนี้ธนาคาร บัตรเครดิตทุกแบงค์ และกลัวธนาคารจะยึดบ้านที่แม่อาศัยอยู่ จึงได้มาปรึกษาหนู หนูได้ปรึกษากับแฟน แฟนแนะนำว่าให้สหกรณ์ที่เราทำงานจัดการไถ่ถอนบ้านแม่ให้ แต่หนูก็เป็นหนี้สหกรณ์ด้วย เมื่อกู้เงินพร้อมทั้งไถ่ถอนบ้านแล้วก็มีเงินเหลืออยู่จำนวน 1 แม่ต้องการให้นำเงินที่เหลือมาให้กับน้องและบิดาเลี้ยง แต่หนูคิดว่าหนูไม่ได้คืนแน่กับเงินในส่วนที่เหลือ และหนี้บ้านที่สหกรณ์หัก ก็หักจากเงินเดือนของหนู และไม่มีใครที่จะช่วยหนูเลยในการผ่อนบ้าน หนูก็ไม่ให้ หนูทำถูกหรือผิดคะ หนูอกัตญญูต่อแม่และพ่อเลี้ยงหนูหรือเปล่าคะ

3.พ่อเลี้ยงได้ทำสัญญาขึ้นมาว่า หนูได้นำโฉดนดเค้าไปกู้โดยที่เค้าไม่ได้ผลประโยชน์อะไรเลย และให้แม่มาพูดกับหนูและสามีให้เซ็นยินยอมหนูให้สามีอ่าน เมื่อพี่เค้าเซ็นหนูก็เซ็น สามีหนูเสียความรู้สึกกับการกระทำของพ่เลี้ยงหนูมาก หนูกับสามีทำถูกหรือผิดคะ

4. หนูป่วยต้องผ่าตัดใช้เงิน 1 แสนบาทหนูก็บอกแม่ให้คุยกับพ่อเลี้ยงว่าจะขอกู้เพิ่มเพื่อรักษาตัวหนู พ่อเลี้ยงปฎิเสธว่าหนูได้ไปมากพอแล้ว และแม่หนูก็ว่าหนูเห็นแก่ได้เอาเปรียบ หนูบอกว่าขอให้หนูอธิบายบ้างแม่ไม่ฟังแม่ด่าว่าชั้นมีลูกไม่ดี เลว จัญไร อัปรีย์แกก็เลวหมือนพ่อแก เห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้ อาจารย์คะ หนูไม่รู้สึกโกรธแม่เลยนะคะ ได้แต่เพียงน้อยใจ เสียใจว่าทำไม่ชีวิตหนูจึงเป็นเช่นนี้ ด้วยความสัตย์จริงนะคะอาจารย์หนูตั้งใจที่จำทำให้แม่มีความสุข อะไรที่เป็นความสุขของแม่ หรือแม่ต้องการอะไร ถ้าไม่เกินกำลังหนูจะจัดหาให้ทันที ถ้าเงินหนูมีน้อยหนูก็บอกว่าตอนนี้หนูไม่มี อาจารย์คะ การที่แม่ผู้มีพระคุณของเราด่าเราอย่างนั้นจะเป็นจริงตามปากท่านไหมคะ หนูควรแก้ไขอย่าง และปฎิบัติอยางไรที่จะทำให้ท่านมีความสุข และไม่โกรธหนูคะ แม่บอกว่าแก่ไม่ต้องมาที่บ้านชั้นอีก เพราะที่นี่ไม่มีผลประโยชน์อะไรกับแก อาจารย์คะ แม่เข้าใจหนูผิดโดยที่หนูไม่มีโอกาสได้อธิบายเลย

5.ตั้งแต่หนูได้ฟังธรรมะจากอาจารย์ ทำให้หนูกลัวบาปทุกอย่างพยายามไม่ให้ตัวเองผิดศีลทั้ง กายวาจาใจ แต่ยังทำได้ไม่หมดค่ะแต่ก็พยายามอย่างมากหนูต้องทำอีกนานแค่ไหนคะถึงจะหลุด พ้น

6. หนูทำบาปกรรมอะไรไว้ตั้งแต่ชาติบาปไหนคะ หนูถึงต้องมาพบกบเหตุการร์นีและเป็นกรรมอะไรคะ หนูยังมีหนี้เวรที่ต้องชดใช้อีกมากแค่ไหนคะ

7. การที่ครอบครัวหนูมีความสุข เพราะหัวหน้าครอบครัวดี ถึงแม้ว่าบางครั้งเราจะขัดสนเรื่อเงินทองบ้างแต่ก็ไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับเรา เพราะเรา พ่อ แม่ ลูกจะใส่กระปุกทำบุญกันทุกวัน ถ้าหนูจัดกระเป๋าไม่อยู่บ้านลูกจะถามว่าแม่ไปวัดไหน อานิสงฆ์ตรงนี้มาจากจุดไหนคะ

8. อาจารย์คะ การที่หนูอธิฐานขอตายก่อนสามีผิดไหมคะ และจะเป็นไปได้หรือเปล่าวคะ

คำตอบ
(๑) ถามว่าจะบาปมากไหม? ถ้าเอาบาปนี้ไปเปรียบเทียบกับบาปของพระเทวทัต น้องชายกระทำเหตุที่เป็นบาปน้อยกว่าพระเทวทัต แต่ยังมีผลสู่การไปเกิดเป็นสัตว์นรกในยมโลกได้

(๒) การชดใช้หนี้เวรกรรม ไม่เคยมีใครชดใช้ได้เกินความสามารถที่ตนมีและไม่ถือว่าเป็นผิด หากผู้ใดไม่ประพฤติจริยธรรมลูกที่มีต่อพ่อแม่ จึงจะเรียกได้ว่าเป็นลูกอกตัญญู

(๓) ผิดที่ประพฤติไม่ตรงกับความเป็นจริง

(๔) คำว่า “ เลว ” หมายถึง มีค่าต่ำ, ต่ำ, ทราม ฯลฯ
คำว่า “ จัญไร ” หมายถึง เลวทราม, เป็นเสนียด, ไม่เป็นมงคล ฯลฯ
คำว่า “ อัปปรีย์ ” หมายถึง เลวทราม, ชั่วช้า, ไม่เป็นมงคล ฯลฯ

ในความหมายเหล่านี้ ผู้ถามปัญหาต้องถามใจตัวเองว่า เป็นดังที่บอกมานี้หรือไม่ ผู้ใดประพฤติตนให้มีศีลมีธรรม (ศีล ๕, ธรรม ๕) คุ้มครองใจ ความเลว ความจัญไร ความอัปปรีย์ ย่อมไม่มีแก่ผู้นั้น

อนึ่ง ไม่มีใครผู้ใด สามารถเข้าไปทำอะไรให้ใครต้องเป็นอะไรตามใจปรารถนาของตนเองได้อย่างแท้จริง เว้นไว้แต่ว่าเขาผู้นั้นต้องทำตัวเองให้มีความสุข มีความไม่โกรธ (เมตตา) หรือมีความเห็นถูกด้วยตัวของเขาเอง

(๕) ความพยายามเป็นคุณธรรมนำสู่ความสำเร็จ ส่วนการประพฤติตนให้เป็นผู้มีศีล คุมกาย วาจา ใจ และนำตัวเองให้หลุดพ้นจากทุกข์ทั้งมวลได้ ต้องประพฤติถูกตรงตามธรรม โดยใช้สัจจะสนับสนุน

(๖) การส่งจิตไปตามรู้เรื่องในอดีต ไม่ทำให้จิตพ้นทุกข์ได้ ฉะนั้น ความปรารถนาในข้อ (๕) จะบรรลุได้ ต้องเอาจิตมาอยู่กับปัจจุบัน

ส่วนเรื่องของหนี้เวรกรรม ไม่มีใครผู้ใดสักคนสามารถชดใช้ได้หมด แต่มีใครผู้ใดหลายคนพัฒนาจิต จนสามารถกำจัดอวิชชาให้หมดไปจากใจได้ หนี้เวรกรรมที่ยังเหลืออยู่อีกอนันต์ เป็นอันถูกยกเลิก (อโหสิ)

(๗) มาจากเหตุดีที่ทำ

(๘) บุคคลมีชีวิตเป็นของตัวเอง ฉะนั้นจะอธิษฐานขึ้นสูงหรือลงต่ำย่อมทำได้ อธิษฐานตายก่อนสามีไม่ถือว่าเป็นความผิด แต่จะเป็นไปได้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยที่ผู้ถามปัญหาและสามีกระทำอยู่ในปัจจุบัน

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1521 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 58, 59, 60, 61, 62, 63, 64 ... 102  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร