วันเวลาปัจจุบัน 19 ก.ค. 2025, 12:21  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=2



กลับไปยังกระทู้  [ 50 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 มิ.ย. 2010, 06:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


เหลิม เขียน:
อ้างอิงคำพูด:
คุณ mes เขียน
ที่ผมยกมาให้เห็นเป็นการแสดงข้อเท็จจริงทางวิชาการของท่านพุทธทาส


ใช่ครับ เป็นข้อเท็จจริงของนักวิชาการสมัยใหม่ ที่ไม่มีอภิญญาจิต จึงยังไม่ปักใจเชื่อ ในเรื่อง อิทธิ ปาฏิหาริย์ ว่าจะเป็นได้จริง และ วิธีการฝึกจิตให้ได้อภิญญา

รวมไปถึงเรื่อง นรก สวรรค์ หลักกรรม การเวียนว่ายตายเกิด

วิชาการสมัยใหม่ จึงเชื่อแต่ในสิ่งที่ ประสาทสัมผัสทั้ง ๕ พิสูจน์ได้เท่านั้น

ทิฏฐิของท่านพุทธทาสจึงได้เป็นที่ยอมรับของนักวิชาการบางท่าน องค์กรบางแห่ง

ดูเผินแล้วดี เพราะเป็นการนำพระธรรมไปอธิบายให้เข้ากับวิชาการสมัยใหม่

แต่นั้นเป็นการปฏิรูปพระสัทธรรม ให้เข้าได้กับลัทธิวัตถุนิยม


เห็นหรือยังครับท่าน

เหลิมมีแต่คำโจมต่

เหตุผลสักนิดที่ยกมาว่าท่านพุทธทาสผิดตรงไหนก็หาไม่ได้

นี่หรือบุคคลที่อ้างตัวว่าละความโกรธได้แล้วไฉนจิตใจจึงมีแต่ความพยายาบาทอาฆาตแค้นเล่า

เฉลิมศักดิ์ต้องอ่านคำสอนเรื่องตัวกู ของกูที่ผมจะยกมามอบให้อ่านเป็นวิทยาทาน

ท่านอื่นก็อ่านได้ครับถึงแม้จะไม่ป่วยทางจิตเป็นโรคจิตทรามเหมือนเหลิม

บทธรรมะตัวกูของกูมีประโยชน์ต่อทุกคนทุกเวลาครับ

อ่านแล้วจะคลายความพยาบาลอาฆาตแค้น

ท่านพุทธทาสไม่เคยอาฆาตแค้นใครครับ

ท่านมีแต่ความเมตตา

http://www.buddhadasa.com/self/self_01.html

อ้างคำพูด:
ตัวกู-ของกู
ถ้าจะอยู่ ในโลกนี้ อย่างมีสุข

อย่าประยุกต์ สิ่งทั้งผอง เป็นของฉัน

มันจะสุม เผากระบาล ท่านทั้งวัน

ต้องปล่อยมัน เป็นของมัน อย่าผันมา

เป็นของกู ในอำนาจ แห่งตัวกู

มันจะดู วุ่นวาย คล้ายคนบ้า

อย่างน้อยก็ เป็นนกเขา เข้าตำรา

มันคึกว่า "กู-ของ-กู" อยู่ร่ำไป

จะหามา มีไว้ ใช้หรือกิน

ตามระบิล อย่างอิ่มหนำ ก็ทำได้

โดยไม่ต้อง มั่นหมาย ให้อะไรๆ

ผูกยึดไว้ ว่า "ตัวกู" หรือ "ของกู"ฯ



.....................................................
นิพพานที่นี่ เดี๋ยวนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 มิ.ย. 2010, 07:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


โทษของการยึดติดกับบุคคลเช่น

แนบ

บุญมี

หลวงพ่อเสือ

ที่เหลิมยึดมั่นถือมั่นเป็นอัตตาเป็นอันตรายยิ่งแล้วดังนี้แล


Quote Tipitaka:
เห็นโทษของการยึดติดที่ตัวบุคคล ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้แล้วครับ

จากหนังสือ พุทธธรรม

ภิกษุทั้งหลาย ข้อเสีย ๕ อย่างในความเลื่อมใสบุคคลมีดังนี้ คือ
๑. บุคคลเลื่อมใสยิ่งในบุคคลใด บุคคลนั้นต้องอาบัติอันเป็นเหตุให้
สงฆ์ยกวัตร เขาจึงคิดว่า บุคคลผู้เป็นที่รักที่ชอบใจของเรานี้ ถูกสงฆ์ยก
วัตรเสียแล้ว...
๒. บุคคลเลื่อมใสยิ่งในบุคคลใด บุคคลนั้นต้องอาบัติอันเป็นเหตุให้
สงฆ์บังคับให้นั่ง ณ ท้ายสุดสงฆ์เสียแล้ว...
๓. ...บุคคลนั้น ออกเดินทางไปเสียที่อื่น...
๔. ...บุคคลนั้น ลาสิกขาเสีย...
๕. ...บุคคลนั้น ตายเสีย...
เขาย่อมไม่คบหาภิกษุอื่นๆ เมื่อไม่คบหาภิกษุอื่นๆ ก็ย่อมไม่ได้สดับ
สัทธรรม เมื่อไม่ได้สดับสัทธรรม ก็ย่อมเสื่อมจากสัทธรรม
เมื่อความเลื่อมใสศรัทธากลายเป็นความรัก ข้อเสียในการที่ความ
ลำเอียงจะมาปิดบังการใช้ปัญญาก็เกิดขึ้นอีก เช่น
ภิกษุทั้งหลาย สิ่ง ๔ ประการนี้ ย่อมเกิดขึ้นได้ คือ ความรักเกิด
จากความรัก โทสะเกิดจากความรัก ความรักเกิดจากโทสะ โทสะเกิด
จากโทสะ
ฯลฯ โทสะเกิดจากความรักอย่างไร? บุคคลที่ตนปรารถนา รักใคร่
พอใจ ถูกคนอื่นประพฤติต่อด้วยอาการที่ไม่ปรารถนา ไม่น่ารักใคร่ ไม่น่า
พอใจ เขาย่อมมีความคิดว่า บุคคลที่เราปรารถนา รักใคร่พอใจนี้ ถูกคน
อื่นประพฤติต่อด้วยอาการที่ไม่น่าปรารถนา ไม่น่ารักใคร่ ไม่น่าพอใจ ดัง
นี้ เขาย่อมเกิดโทสะในคนเหล่านั้น ฯลฯ
แม้แต่ความเลื่อมใสศรัทธาในองค์พระศาสดาเอง เมื่อกลายเป็นความ
รักในบุคคลไป ก็ย่อมเป็นอุปสรรคต่อความหลุดพ้น หรืออิสรภาพทางปัญญา
ในขั้นสูงสุดได้ พระพุทธเจ้าจึงทรงสอนให้ละเสีย แม้บางครั้งจะต้องใช้วิธี
ค่อนข้างรุนแรง ก็ทรงทำ เช่น ในกรณีของพระวักกลิ ซึ่งมีความเลื่อมใส
ศรัทธาในพระองค์อย่างแรงกล้า อยากจะติดตามพระองค์ไปทุกหนทุกแห่ง
เพื่อได้อยู่ใกล้ชิด ได้เห็นพระองค์อยู่เสมอ ระยะสุดท้ายเมื่อพระวักกลิป่วย
หนักอยากเฝ้าพระพุทธเจ้า ส่งคนไปกราบทูล พระองค์ก็เสด็จมา และมีพระ
ดำรัสเพื่อให้เกิดอิสรภาพทางปัญญาแก่พระวักกลิ

.....................................................
นิพพานที่นี่ เดี๋ยวนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 มิ.ย. 2010, 07:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมขอยกตัวอย่างที่ไม่อยุ่กับร่องกับรอยในความคิดเห็นของเหลิม

คือไม่มีจุดยืนใช้ฉันทาคติเป็นหลัก

ชอบใจคนเขียนคนพูดก็บอกว่าถูก

ในเรื่องเดี๋ยวกันถ้าไม่ชอบคนพูดก็บอกว่าผิด

อบ่างที่ผมเรียกเหลิมลิ้นสองแฉก

หมายถึงพูดเรื่องเดี๋ยวกับได้เป็นเรื่องตรงข้ามกันสองอย่างในเวลาเดียวกัน

เหลิม เขียน:
ใช่ครับ เป็นข้อเท็จจริงของนักวิชาการสมัยใหม่ ที่ไม่มีอภิญญาจิต จึงยังไม่ปักใจเชื่อ ในเรื่อง อิทธิ ปาฏิหาริย์ ว่าจะเป็นได้จริง และ วิธีการฝึกจิตให้ได้อภิญญา

รวมไปถึงเรื่อง นรก สวรรค์ หลักกรรม การเวียนว่ายตายเกิด

วิชาการสมัยใหม่ จึงเชื่อแต่ในสิ่งที่ ประสาทสัมผัสทั้ง ๕ พิสูจน์ได้เท่านั้น

ทิฏฐิของท่านพุทธทาสจึงได้เป็นที่ยอมรับของนักวิชาการบางท่าน องค์กรบางแห่ง

ดูเผินแล้วดี เพราะเป็นการนำพระธรรมไปอธิบายให้เข้ากับวิชาการสมัยใหม่

แต่นั้นเป็นการปฏิรูปพระสัทธรรม ให้เข้าได้กับลัทธิวัตถุนิยม


เปรียบเทียบกัน

ไม่น่าเชื่อครับว่า

มาจากความคิดของคนเดียวกับ

ที่เขียนในจังหวะเวลเดียวกัน

อ้างคำพูด:
chalermsak เขียน:
อ้างอิงคำพูด:
chalermsak เขียน:
คุณหลับอยู่ครับ วิชามโนยยิทธิ ที่พวกคุณกำลังฝึก วิทยายุทธกันอย่างเข้มข้นนี้

บางคนอาจจะตัวสั่นงึก ๆ งั่ก ๆ

บางคนอาจจะนอนดิ้นไปมา บางคนก็จะลุกขึ้นมารำ ( องค์ลง )

บางคนก็จะเห็น นิมิตเป็นเมือง นรก สวรรค์ ( เคยไปฝึกมาแล้ว เหมือนถูกดูดตอนถูก คฑากายสิทธิ์ พยายามข่มจิตให้เกิดนิมิต แต่ก็ดีแล้ว ที่ไม่เกิด ไม่งั้น คงเป็นแบบคุณหลับอยู่ )

บางคนที่ฝึกมาถึงขั้นสุดยอดของ วรยุทธ ก็เข้าไปถึงดินแดนพระนิพพาน ติดต่อพระอรหันต์ พระพุทธเจ้าได้



คุณ mes ครับ นิมิตที่เห็นอาจจะเป็น ภาพทางใจที่ปรุงแต่งขึ้นมาเองก็ได้ครับ

เช่น เห็นเป็นพระพุทธณุปใส ๆ , เห็นเป็นภาพพระพุทธเจ้า, เห็นภาพ นรกภูมิ เป็นต้น

คนนั่งอาจจะเห็นจริง แต่สิ่งที่เห็นอาจจะไม่ใช่ของจริง

ไม่เกี่ยวกับว่า ภพภูมิต่าง ๆ มีจริงหรือไม่ หรือ อภิญญาจิตมีจริงหรือไม่

คุณ mes ต้องแยกประเด็นให้ออกนะครับ


.....................................................
นิพพานที่นี่ เดี๋ยวนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 มิ.ย. 2010, 07:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


เหลิม เขียน:
คุณ mes คงจะเห็นด้วยกับอาจารย์ใหญ่ของคุณ ที่จะตัดพระไตรปิฏกออกสัก 60 % ไม่ว่าจะเป็น พระอภิธรรมปิฏก อิทธิปาฏิหาริย์ นรก สวรรค์ การเวียนว่ายตายเกิด ในพระวินัย พระสูตร ออกให้หมด

แต่ผมขอค้านครับ


อ้างคำพูด:
อัตชีวประวัติของท่านพุทธทาส

พระประชา ปสนฺนธมฺโม สัมภาษณ์
--------------------------------------------------------------------------------







ช่วงนี้เป็นตอนที่ ๔ ของบทนี้ จะขอเรียนถามอาจารย์เกี่ยวกับหลักที่อาจารย์ใช้เป็นเกณฑ์วินิจฉัยหลักธรรมต่าง ๆ คือจากการอ่านพุทธสาสนาเล่มแรก ๆ จะเห็นได้ว่าอาจารย์เริ่มวิพากษ์วิจารณ์พระไตรปิฎก เช่น บอกว่าพระวินัยกับพระอภิธรรมนั้นเป็นสำนวนร้อยกรองเพิ่มเติมในภายหลัง ไม่ใช่พุทธพจน์โดยตรง และก็บอกว่าทั้ง ๓ ปิฎกมีบางตอนแต่งเติมจนเฝือไปก็มี เป็นต้น ขอเรียนถามอาจารย์ว่า ตอนนั้นเพิ่งเริ่มงานไม่นานและก็เริ่มก้าวเข้ามาสู่วงการหนังสือ อาจารย์สั่งสมความมั่นใจขึ้นมาได้อย่างไร ที่จะกล้าเสนอความคิดออกมาเช่นนั้น และก็มีหลักอะไรในการที่จะตัดสินว่าอะไรเป็นของเดิมแท้ อะไรเป็นเรื่องที่เพิ่มเข้ามา

ไม่ได้มีหลัก (หัวเราะ) ว่าไปตามความรู้สึก พออ่าน ๆ เข้าหลาย ๆ เที่ยวเข้า มันก็เกิดความรู้สึกเองตามหลักสามัญสำนึก สังเกตเห็นว่ามันมีอยู่อย่างนั้น ๆ แสดงอะไรอยู่อย่างนั้นแล้วเรื่องก็บอกอยู่ในตัว เรื่องที่เป็นคำอธิบายปลีกย่อยในวินัยปิฎกมันก็เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ทำในสมัยพระพุทธเจ้า อย่างนี้มันก็ไม่ค่อยแปลกเท่าไร ใคร ๆ ก็รู้สึก และโดยเฉพาะพวกฝรั่งนั้น จะรู้สึกง่ายที่สุด เพราะเขาสังเกตสังกาเก่ง เราเริ่มรู้สึก สะดุดสงสัยขึ้นมาว่านี่มันไม่ใช่ ตอนนั้นก็ยังไม่มากเท่าเดี๋ยวนี้ (หัวเราะ) ถ้าเดี๋ยวนี้มันรู้สึกแน่นอน เฉียบขาด และความรู้สึกอย่างนั้นเดี๋ยวนี้มันแน่นแฟ้น

เรื่องทำนองนี้มันมีอยู่ในคัมภีร์ที่ทำขึ้นเป็นภาษาบาลี เช่น พุทธวงส์ หรือ มหาวงส์ หรือหนังสืออย่างสมันตปาสาทิกา ก็มีข้อความว่า สมัยแรกยังไม่มีพระไตรปิฎกเป็น ๓ ปิฎก เพราะอภิธรรมและวินัยรวมอยู่ในขุททกนิกาย ไม่มีคำว่าปิฎก มีคำว่าอาคมหรือนิกายแทน ห้านิกาย ฑีฆนิกายเป็นเรื่องยาว มัชฌิมนิกาย เรื่องกลาง สังยุตตนิกาย เรื่องสั้น อังคุตตรนิกาย ขุททกนิกาย เรื่องเบ็ดเตล็ด

ถ้าไม่ไปอ่านเอง ไม่รู้หรอกและก็อธิบายยาก คือบางอย่างมันไม่สมเหตุสมผล โดยเฉพาะวินัยมันมากโดยไม่จำเป็น เขาแต่งเป็นทำนองสมมติตัวอย่างคดี (หัวเราะ) ขึ้นมามาก ถ้าเกิดอย่างนั้นวินิจฉัยอย่างนั้นเป็นเรื่อง ๆ ไป วินัยส่วนนี้ที่ว่าเพิ่มเติม ส่วนที่ไม่เพิ่มเติมก็มี ส่วนเดิมที่แท้มันเป็นหลักเกณฑ์แท้ ๆ มันก็มี ไม่ใช่ไม่มี แต่เราก็เห็นว่ามันมีการเพิ่มเติม ส่วนอภิธรรมปิฎกนั้นก็มีเหตุผลหลายอย่าง เคยเขียนไว้แล้ว โดยเฉพาะสำนวนโวหารที่ใช้ และเรื่องที่ต้องไปเทศน์กันบนสวรรค์นั่นยิ่งไม่ไว้ใจ แล้วอีกข้อหนึ่งก็คือว่า เรื่องที่เอาไปอธิบายในอภิธรรมปิฎกหัวข้อแรก ๆ มีอยู่ในสุตตันตปิฎก หาพบได้ในสุตตันตปิฎก

เมื่อลูบคลำหลายปีเข้าก็พบหลักทั่วไปเป็นเกณฑ์วินิจฉัย คือหลักมหาปเทสในมหาปรินิพพานสูตร แล้วก็มหาปเทส ๔ ในวินัย ทีนี้ก็หลักตัดสินธรรมวินัยที่ตรัสแก่พระปชาบดีโคตมี และที่เข้มข้นที่สุดก็คือกาลามสูตร นี้เราก็รู้จักใช้ (หัวเราะเบา ๆ) รู้จักใช้มันตั้งแต่แรก ๆ ถ้ามีปัญหาเกิดขึ้นจะใช้ ๔ เครื่องมือนี้ ใคร ๆ ก็ต้องถือหลักอย่างนั้น

หลักเกณฑ์ทั้ง ๔ หมวดนั้น เราจะใช้หมวดเดียวหรือว่าต้องใช้ร่วมกันครับ

แล้วแต่เรื่องมันจะเกิดขึ้นในแง่ไหน ควรจะใช้อย่างชุดไหน เรื่องเกี่ยวกับวินัยก็ใช้มหาปเทสของวินัย ถ้าเกี่ยวกับสุตตันตะก็ใช้ของสุตตันตะ และสุตตันตะมีตั้ง ๓ แห่ง อ่านดูตามตัวบทนั้นก็พอรู้ได้เองว่าควรใช้ในกรณีอย่างไร กาลามสูตรนั้นมันเพียงแต่ว่าไม่เชื่อทันทีเท่านั้น ให้เอาไปจับหลักเกณฑ์ที่ว่าดับทุกข์ได้อย่างไรหรือไม่ ส่วนหลักตัดสินธรรมวินัยในโคตมีสูตรนั้นชัด บอกว่าถ้าอย่างนั้น ๆ ใช่ ถ้าอย่างนั้น ๆ ไม่ใช่


อาจารย์ครับ อย่างโคตรมีสูตร* ข้อเดียวก็ใช้ได้หรือต้องใช้ทุกข้อร่วมกัน

เอ้า! มันแล้วแต่เรื่องสิ บางเรื่องจะใช้แต่ข้อ ๒ ข้อเท่านั้น ถ้าทั้ง ๘ ข้อมันครบถ้วน เผื่อไว้หมด ส่วนในมหาปเทส สุตตันตะนั่นมันกว้าง ๆ ถ้าข้อที่พูดขึ้นมานี้ ที่เสนอขึ้นมานี้อันไหนมันเข้ากันได้กับหลักส่วนใหญ่ ทั้งหมดในสุตตันตะและในวินัยก็นั้นแหละใช้ได้ คือดับทุกข์ตามแบบพุทธศาสนา ถ้ามันใช้กันไม่ได้กับสูตรทั่ว ๆ ไปหรือวินัยทั่ว ๆ ไป ก็ไม่ใช่หลักในพุทธศาสนา นี้กล่าวไว้อย่างกว้างขวางที่สุดแล้วก็ (หัวเราะ) อย่างดีที่สุดแหละ ถ้ามันเข้ากันได้กับส่วนมาก ให้พิจารณาดู ถ้าเข้ากันไม่ได้ก็หมายความว่ามันพลัดหลงเข้ามา ถ้าเข้ากันไม่ได้ก็เอาออกไปเสีย ท่านใช้คำว่าอย่างนั้น "ขัดกับหลักทั่วไป" เท่าที่มีอยู่ เรายังไม่มีหน้าที่หรือไม่มีความจำเป็นที่จะต้องวินิจฉัยถึงขนาดนี้ เพียงแต่เอาหลักเกณฑ์อันนี้มาโฆษณา ให้ผู้ศึกษาทั่ว ๆ ไปรู้ไว้ว่ามันมี เตรียมพร้อมอยู่ที่จะวินิจฉัย แต่ก็ยังไม่เคยใช้วินิจฉัยหลักเกณฑ์ข้อไหนแล้วเอามาแสดง ส่วนกาลามสูตรนั้น มันก็พูดกว้าง ว่ายังไม่เชื่อแม้พระพุทธเจ้าตรัสเอง ต้องพิสูจน์เห็นความดับทุกข์ได้เสียก่อนแล้วจึงจะเชื่อ แล้วจึงต้องลองปฏิบัติดู แต่มีคนเข้าใจผิดกันมาก แล้วก็พาลว่าเราว่าอย่างนั้นด้วย เช่นว่า ห้ามไม่ให้ฟังคำบอกเล่า ห้ามไม่ให้ดูที่เขาทำตาม ๆ กันมา ห้ามไม่ให้ฟังเสียงข่าวเล่าลือ ห้ามไม่ให้เปิดพระไตรปิฎก ไม่ใช่อย่างนั้น เข้าใจผิด ทำได้ทั้งนั้นแหละแต่อย่าเพิ่งเชื่อ แล้วก็เอามาวินิจฉัยดูว่ามันจะดับทุกข์ได้หรือไม่ ดับทุกข์ได้ก็เอา สำหรับใครกล่าวก็ได้ ถ้ามันดับทุกข์ได้ เมื่อเรียนหลักทั่ว ๆ ไปมากพอแล้ว มันก็รู้ได้เอง ว่าคำกล่าวนั้นเป็นไปเพื่อบรรเทากิเลสหรือไม่ เพื่อกำจัดกิเลสหรือไม่ เพื่อสกัดกั้นแห่งปฏิจจสมุปบาทหรือไม่ ถ้ามันเป็นอย่างนั้นก็ใช้ได้ ศึกษากาลามสูตรแตกฉาน แล้วก็เป็นผู้สามารถจะวินิจฉัยอะไรได้ด้วยตนเอง (หัวเราะ) ไม่ต้องเชื่อผู้อื่น และแม้ที่จะเชื่อตัวเอง เชื่อความคิดเห็นของตนเอง ก็ยังต้องเอาความคิดเห็นตัวเองไปวินิจฉัยดูก่อน ว่ามันถูกกับเรื่องดับทุกข์หรือไม่ ไม่ใช่ว่าตรงกับความคิดเห็นของตนแล้วจะถูกต้อง ต้องดูว่าดับทุกข์หรือไม่ นี่ควรจะศึกษาหลักกาลามสูตรกันไว้ให้มากที่สุด

แต่ในชีวิตจริงของเรา เราจะต้องเชื่อหลายสิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้ว่าดับทุกข์ได้หรือไม่

ถ้าอย่างนั้นเก็บไว้ก่อนดีกว่า ถ้าจะปฏิบัติหลักพุทธศาสนา เมื่อยังไม่เห็นทางที่จะดับทุกข์ได้ก็เก็บไว้ก่อน รอจนกว่ามันจะมีเหตุผลแสดงออกมา คือศึกษาเพิ่มเติมหรือว่าดู ฟัง ได้ยิน ได้ฟังเพิ่มเติม ถ้าสงสัยหรือรู้สึกว่าน่าลองก็ลองดู เดี๋ยวนี้ดีที่ว่าหลักที่ถูกต้อง ที่ดับทุกข์ได้มันมีอยู่มาก พอได้ยินได้ฟังมันก็หมดปัญหา ใช้ได้เลย แต่ถึงอย่างนั้น ก็ยังต้องทำตามนี้ ไม่ใช่ว่าพอได้ฟังมาแล้วเอาเลย ให้ปัญญามาก่อนศรัทธาเสมอ สรุปตามหลักกาลามสูตรก็คือ ให้ปัญญามาก่อนศรัทธา พูดถึงปัญญาก็ต้องระวังให้ดี (หัวเราะ) ถ้ายังไม่เคยมีปัญญาอาจจะศึกษามาผิดก็ได้ ฉะนั้น จึงต้องย้ำลงไปด้วยคำว่ามันทำลายโลภะ โทสะ โมหะ เกือบจะเรียกว่าสามัญสำนึก แต่ก็ไม่ใช่สามัญสำนึกทีเดียว คือมันต้องหยั่ง ต้องทดสอบใคร่ครวญสอบสวนดูให้มากกว่า แต่ให้ใช้ไปในทำนองสามัญสำนึกจึงจะรู้สึกมาได้เอง ด้วยใจตัวเอง ว่าอันนี้จะดับทุกข์ได้ เราเอาเรื่องนี้มาเผยแผ่ก็เพื่อว่าให้ทุกคนรู้จักใช้หลักอันนี้ มันอยู่ในยุคสมัยที่จะต้องเพิกถอนความงมงายหลายอย่างหลายชนิด ก็ต้องอ้างหลักอย่างนี้ออกมาหรือว่าทำให้ผู้อื่นเข้าใจหลักอันนี้เสีย


ระยะหลังมานี้ อาจารย์พูดถึงกับว่าแม้กล่าวอยู่ในพระไตรปิฎก ถ้ามันไม่ถูกต้องตามเหตุผลของยถาภูตสัมมัปปัญญาแล้ว ปัดทิ้งได้เลย

มันก็คือไม่ถูกต้องตามกาลามสูตรคำเดียวกัน ถ้าไม่ถูกต้องตามหลักยถาภูตสัมมัปปัญญาก็คือ ไม่ถูกต้องตามหลักกาลามสูตร

ยถาภูตสัมมัปปัญญาคืออะไร แปลว่าอะไรครับ

ก็บอกกันอยู่แล้วนี่ ปัญญารู้ชอบตามที่เป็นจริง ทีนี้ตามที่เป็นจริงมันอยู่ลึก ต้องศึกษา ต้องทบทวน ต้องใคร่ครวญ ต้องหยั่ง ต้องเทียบ

อาจารย์ครับ แล้วปุถุชนจะรู้ได้หรือ

ปุถุชนมันก็ต้องรู้มาตามลำดับ ที่เรียกว่าทุกข์เกิดอย่างไร โลภะ โทสะ โมหะ คืออะไร ก็ค่อย ๆ รู้ ปุถุชนที่ไม่เคยเล่าเรียนมาเลยแท้ ๆ ไม่มีทางจะรู้ แต่จะค่อย ๆ รู้ขึ้นมาได้ ถ้ารู้จักใช้หลักกาลามสูตร เช่นว่าโกรธขึ้นมาแล้วเป็นทุกข์ไหม นี้ก็เป็นเรื่องเดียวกัน มันเอาความรู้สึกที่เคยผ่านมาแล้ว เป็นเครื่องช่วยตัดสินประกอบ เพราะถ้าว่าไม่บ้าบอเกินไป เราก็จะรู้ความหมายของคำว่าโลภะ โทสะ โมหะ นี้ได้ พอได้ยินเรื่องอะไรแปลกเข้ามาในจิตใจ มันก็สังเกตได้ทันทีว่า มันไปในพวกโลภะ โทสะ โมหะ หรือไปในพวกอโลภะ อโทสะ อโมหะ ถ้ามันเป็นไปในพวกโลภะ โทสะ โมหะ มันก็ดับทุกข์ไม่ได้เราก็ไม่เอา ถ้าว่าหมั่นสังเกตเองก็พอจะเข้าใจได้เองตามหลักว่าความอยาก ความยึดมั่นเป็นทุกข์ ถ้าฟังคำว่า "อยาก" "ความยึดมั่นถือมั่น" ถูก ก็รู้ด้วยตนเองทันทีว่า มันเป็นทุกข์ละ ทีนี้ถ้าความรู้สึกอันใหม่ที่มีปัญหาขึ้นมาในลักษณะที่เป็นไปเพื่อความอยาก เป็นไปเพื่อความยึดมั่นถือมั่นหรือไม่ ก็จะมีส่วนที่รู้ได้มากขึ้น แต่ต้องเป็นปุถุชนที่ (หัวเราะ) ปกตินะ มีความรู้สึกนึกคิดปกติ รู้จักสังเกตเรื่องความทุกข์ เรื่องความไม่ทุกข์ เรื่องโลภะ โทสะ โมหะ อโลภะ อโทสะ อโมหะ เพราะว่าเขาพูดด้วยคำธรรมดาทั้งนั้น ไม่ได้พูดด้วยคำเทคนิค คำเหล่านี้ถือเป็นคำธรรมดาทั้งนั้น ต่อมาถึงสมัยนี้ เมื่อเข้าใจไม่ได้ (หัวเราะ) ต้องเรียนเฉพาะ จึงจัดเป็นคำเทคนิค แต่ในสมัยพุทธกาลแท้ ๆ คำเหล่านี้ไม่ใช่คำเทคนิค คำที่ประชาชนฟังแล้วรู้เรื่องเองฟังออกเอง

อาจารย์ครับ แม้แต่ระยะหลังที่อาจารย์เสนอให้ฉีกพระไตรปิฎก อาจารย์ก็อาศัยหลักอันเดียวกันนี้มาตลอด หรือมีหลักอย่างอื่นด้วย เวลาวินิจฉัยว่าอันไหนควรจะฉีก อันไหนไม่ควรฉีก

อย่างนั้นใช้หลักอย่างที่ว่า ที่เห็นชัดว่ามันไม่เกี่ยวกับความทุกข์ที่มันไม่เกี่ยวกับความดับทุกข์ เช่นเรื่องสุริยคราส จันทรคราส ไม่เกี่ยวกับความดับทุกข์ แต่เป็นการสร้างความเชื่อในหมู่คนที่ไร้การศึกษาสมัยนั้นให้หันมาสนใจพระพุทธเจ้า ถ้าเพียงแต่ออกชื่อพระพุทธเจ้า ราหูก็ต้องปล่อยพระจันทร์ เข้าใจว่าในอินเดียหรือในลังกา สมัยที่เติมสูตรนี้เข้ามา คนมันเชื่ออย่างนั้นมาก เลยเอามาพูดไว้เสียเลย มาบรรจุไว้ในพระไตรปิฎกเสียเลย เรื่องยักษ์ก็เหมือนกัน คนกลัวยักษ์กันมาก ฉะนั้น ถ้ามีเรื่องที่ไม่ต้องกลัวยักษ์ มันก็มีประโยชน์แก่มหาชน ท่านเหล่านี้คงมองถึงประชาชนชั้นที่ต่ำสุด ชั้นที่ไร้การศึกษา เขาเชื่อเทวดากันอยู่อย่างนั้นโดยมากถือโอกาสเอาเทวดามาเป็นเครื่องชักจูงให้เขาหันมาถือพุทธศาสนา โดยใจความสำคัญว่า แม้แต่เทวดาก็ยอมรับนับถือพระพุทธเจ้า คนธรรมดาทำไมจะไม่ต้องยอมรับนับถือ ในพระสูตรเรื่องอริยสัจแท้ ๆ เรื่องมรรคมีองค์ ๘ แท้ ๆ ยังต้องเอาเทวดามาช่วยสนับสนุน ว่าสิ่งวิเศษเกิดขึ้นแล้วในโลก บอกกันทุกชั้น ๆ ของเทวดา ธรรมะที่ใคร ๆ ไม่อาจจะคัดค้านได้เกิดขึ้นแล้ว ประชาชนได้ยินถึงเรื่องเทวดาก็ยอมด้วย เพราะเขาฝากกันไว้กับเทวดาอยู่เป็นพื้นฐาน ใช้คำว่าฉีกรู้สึกมันหยาบคาย แต่ไม่รู้จะใช้คำว่าอะไร

อาจารย์หมายความว่าอย่างไรครับ คำว่าฉีกของอาจารย์

ปลดออก ระงับเสีย สำหรับเมื่อจะแสดงแก่คนชนิดไหน ถ้าจะมีสำหรับคนทั่วไป คนพื้นฐานที่ไร้การศึกษาก็ไม่ต้องฉีกออก และไม่มีอะไรที่จะต้องฉีกออก แต่ถ้าจะแสดงแก่นักวิทยาศาสตร์แท้จริง นักโบราณคดีแท้จริง ต้องปลด ๆ ออกเสีย ๖๐% เหลือ ๔๐% จึงจะสะอาด สะอาดบริสุทธิ์ผ่องแผ้ว เหลือแต่แกนกับแก่น เหลือแต่เพชรเหลือแต่ทองคำ (หัวเราะ)

แสดงว่าอาจารย์ไม่ได้เสนอให้เขาเปลี่ยนแปลงพระไตรปิฎกฉบับหลวงว่า ให้เอาสูตรนั้นออก สูตรนี้ออก

ไม่ (เสียงดุ) ไม่ได้ไปแตะต้องฉบับไหนโดยตรง ฉบับไหนก็ตรงกันหมด บอกแต่ว่า เมื่อจะเอามาเผยแผ่ ให้แก่นักวิทยาศาสตร์ และนักโบราณคดี เขาจะรู้ว่าพระไตรปิฎกเป็นมาอย่างไร เขาศึกษาเอาจากสำนวนที่มันต่าง ๆ กัน อย่างอภิธรรมนี่นักโบราณคดีไม่ยอมรับ

อาจารย์ครับ ผมขอให้อาจารย์เล่าความเป็นมาของพระไตรปิฎกสักหน่อยครับ

ใครจะเล่าถูก มันได้แต่สันนิษฐานเท่านั้น

ครับ เท่าที่อาจารย์สันนิษฐาน

สันนิษฐานเท่าที่ปรากฏอยู่ในเวลานี้ มันมีข้อความบางตอนหรือบางสูตร ที่มันไม่สมเหตุผลว่าจะเป็นพระพุทธเจ้าตรัส หรือมันไม่เป็นเหตุผลอย่างวิทยาศาสตร์ที่ว่าต้องดับทุกข์ด้วยการดับกิเลสตัณหา ไม่ต้องใช้เทวดามาช่วย ถ้าตรงไหนต้องอ้างอิงเทวดา ตรงนั้นเอาออกได้ ให้มันทนต่อสติปัญญาของนักศึกษาแห่งยุคปัจจุบัน รวมทั้งนักวิทยาศาสตร์และนักโบราณคดี ถ้าถึงขนาดนั้นก็ต้องเอาออกราวสัก ๔๐% บางสูตรเอาออกทั้งสูตร บางสูตรเอาออกบางตอน จะให้เล่าทั้งหมด ใครจะเล่าได้ เพราะเกิดไม่ทัน ไม่ได้เกิดทันเห็น มันได้แต่สันนิษฐานจากสิ่งที่มีอยู่ในปัจจุบันนี้ว่าอันนี้มันขัดกับอันนี้ อันนี้มันขัดกับอันนี้ อันนี้มันเหลือเกิน เหลือเหตุผล เมื่อดูทั่วถึงแล้วจึงสรุปความว่าก็ต้องเป็นอย่างนั้น ๆ ไม่มีใครเล่าได้ เหมือนเรื่องที่ตนได้เห็นมาเอง เพราะมันเรื่องก่อนเราเกิดเป็นพัน ๆ ปี

ระยะแรกนี้ พระท่านก็จำ ๆ กันเอาไว้ใช่ไหมครับ

ตามที่ท่านเขียนไว้ครั้งแรก ๆ ก็ยังจำ ๆ กันเอาไว้ สังคายนา ๓ ครั้งนี่ก็ยังจำ ๆ เอาไว้ ครั้งที่ ๕ จึงจะมีการเขียน แต่ผมไม่เชื่อ อาจจะมีการเขียนบ้างแล้วก็ได้ โดยเฉพาะครั้งที่ ๓ คงจะมีการเขียนบ้างแล้ว แต่ไม่สมบูรณ์ เมื่อจะเอาไปลังกาคงจะมีการเขียนบ้าง แต่เขาพูดว่าการทำสังคายนาครั้งที่ ๕ ที่ลังกาจึงมีการเขียนลงเป็นลายลักษณ์อักษรหมด

อาจารย์ครับ จะจำได้หมดได้อย่างไรตั้งเยอะตั้งแยะ

อันนั้นคุณก็ไปรู้เอาเอง แต่ที่พม่าเมื่อผมไปยังมีองค์หนึ่งจำได้ทั้งหมด เขายอมรับกันทั้งประเทศ เมื่อเอามาทดสอบ บอกให้กล่าวสูตรไหน ก็ว่าได้หมด แต่ไม่ได้ไล่ไปทั้งพระไตรปิฎก เพราะมันมากเกินไป เพราะมันไม่มีเวลา แต่ว่าจะให้ว่าสูตรไหน บอกมา นิกายไหนสูตรไหน สูตรเท่าไรบอกมา จะว่า แล้วเขาก็นิมนต์องค์นี้มาเป็นผู้วิสัชชนาในการทำสังคายนาครั้งที่ ๖ ที่เขานิมนต์ผมไปร่วม เขาใช้วิธีสมมุติถาม สมมุติตอบ ที่จริงมันไม่ได้ทำอย่างนั้น แต่ว่าเอามาถามตอบเป็นพิธีเหมือนกับเทศน์สังคายนา พระองค์นี้ก็ยังมาหาผมที่ที่พักเป็นส่วนตัว เขาถวายรองเท้ามาคู่หนึ่ง ผมยังเก็บไว้ ยอมรับกันทั้งประเทศ จนรัฐบาลก็ยอมรับ ให้เกียรติให้อะไรเกี่ยวกับว่าเป็นผู้ทรงพระไตรปิฎก ผมก็ไม่อยากเชื่อ แต่ว่ามันก็ (หัวเราะเบา ๆ) ก็มีอย่างนี้

แล้วอย่างฉบับที่เราใช้อยู่ นับถอยหลังไปมากที่สุดได้แค่ไหน เพราะทราบว่ามีช่วงหนึ่งถูกเผาด้วยใช่ไหมครับ

มันก็แลกเปลี่ยนกันเรื่อย ถูกเผาก็ไปขอยืมลังกา ยืมพม่า ยืมเขมร มาคัดลอกไว้อีก มาจารึกลงบนใบลานเก็บไว้อีก ตอนนั้นยังไม่ได้พิมพ์เป็นสมุดกระดาษด้วยกันทั้งนั้น ที่พม่าใช้เป็นหลักฐานได้อย่างยิ่ง เขาสลักในแท่งหินอ่อนแท่งใหญ่ ๗ ร้อยกว่าแท่งเกือบ ๘ ร้อยแท่ง เพื่อว่าไฟจะไม่ไหม้ (หัวเราะ) เมื่อผมไปคราวนั้น เขาพาไปดูที่เมืองมันฑเล

ตอนแรกจารึกด้วยอักษรของอินเดียใช่ไหมครับ

ไม่ใช่ ตามเรื่องที่เขาพูดไว้มันไปจารึกที่ลังกาด้วยอักษรสิงหล แต่ผมเชื่อตัวเองว่า คงได้เคยจารึกก่อนหน้านั้นบ้างไม่มากก็น้อย และก็เอาไปลังกาในสมัยที่พระมหินทร์ไป ที่เรียกว่า สังคายนาครั้งที่ ๔ พระมหินทร์ไปนี้คงจะได้เอาหนังสือจารึกอะไรนี้ไปบ้าง พระมหินทร์ลูกพระเจ้าอโศก ถ้าจารึกจริงก็จารึกเป็นภาษาปรากฤต เพราะสมัยนั้นมันมีแต่ภาษาปรากฤต สมัยพระเจ้าอโศกก็เริ่มมีการจารึก และใช้ภาษาปรากฤตทั้งนั้น ไม่ว่าหลักไหน ๆ มีอยู่หลักบางหลักใช้ภาษาอะไรไม่รู้ แต่ไม่ใช่ภาษาบาลี พอแปลเป็นปรากฤตก็มีเพี้ยน ๆ นิดหน่อย คงจะเป็นไปตามภาคทิศทางไหนของประเทศอินเดีย ภาคตะวันออก ภาคตะวันตก จะต้องจารึกด้วยภาษาที่คนพื้นเมืองที่นั่นอ่านออกรู้เรื่อง ภาษาพื้นเมือง ไม่ใช่ภาษาบาลีที่เป็นภาษาสละสลวยมีหลักมีเกณฑ์ ไม่ใช่เป็นภาษานักปราชญ์

ยุคที่จะถ่ายจากภาษาสิงหลกลับเป็นภาษาในอินเดียมีการเผากันอีกใช่ไหมครับ

เอาแน่ไม่ได้ แต่ที่ว่าพระพุทธโฆษาจารย์เผานั้น เผาอรรถกถาเพราะหาว่าคำอธิบายพระไตรปิฎกที่อธิบายไว้แต่ก่อนนั้นไม่ถูก จึงอธิบายใหม่ เขียนใหม่ ก็เลยเผาของเดิม แต่ว่าพระไตรปิฎกยังไม่เคยเผา พระพุทธโฆษาจารย์ขอดูคำอธิบายพระไตรปิฎกที่เรียกว่าอรรถกถา และก็มาเขียนคำอธิบายใหม่ที่ถือว่าถูกต้อง ที่มันผิดให้เผาเสีย

อาจารย์ครับ พระไตรปิฎกของเราฉบับที่ใช้อยู่ของฝ่ายใต้นี้กับของฝ่ายเหนือ อาจารย์เคยสอบกันไหมครับ

โอ้! มันไม่มีทางหรอก ไม่มีทางจะสอบ มันคนละอย่างเลย ถ้าว่าถึงพระไตรปิฎกฝ่ายมหายานแล้ว มันเป็นสูตรที่แต่งใหม่ทั้งนั้น แต่ว่าพระสูตรของฝ่ายเราก็มีกระเส็นกระสายอยู่บ้างในคัมภีร์ฝ่ายมหายาน โดยเฉพาะพวกขุททกนิกาย คุณเลียง เสถียรสุต ไปสอบดูได้ความว่าคงจะเคยมี (หัวเราะ) ร่วมกัน ขุททกนิกายยังตกค้างอยู่ในคัมภีร์ของฝ่ายมหายาน ในคัมภีร์ทั้งหมดของมหายานมีอยู่ชุดหนึ่งที่เป็น เหมือนกับขุททกนิกายในเถรวาท นอกนั้นมันก็คนละแบบคนละสูตรทั้งนั้น

ของพวกมัชฌิมนิกาย ฑีฆนิกายไม่มีเลยหรือครับ

มีพอเป็นเค้าเงื่อน ไม่มีตรงสูตร ไม่มีเต็มสูตร มีแต่พอเป็นเค้าเงื่อนให้รู้ว่าเคยมี เคยรับไว้ใช้ ผมไม่ได้สำรวจเองก็ตอบไม่ได้ แต่เท่าที่คนอื่นเขาเคยสำรวจดู เพราะมันมีเค้าเงื่อนส่วนน้อยที่สุดที่ตรงกัน ส่วนใหญ่ที่สุดพูดกันคนละแบบ

พระไตรปิฎกที่เราใช้อยู่ในปัจจุบันนี้ ถ่ายมาจากลังกาอีกทีใช่ไหมครับ

ตามข้อสันนิษฐานว่าเป็นอย่างนั้น เพราะว่าการทำพระไตรปิฎกให้เป็นตัวอักษรนั้น ทำที่ลังกาและประเทศทั้งหลายก็คงจะได้ถ่ายจากลังกา ถ้าถือว่าที่นครปฐมเป็นสุวรรณภูมิ เมืองที่พระเจ้าอโศกส่งผู้ประกาศศาสนามา มันก็จะต้องได้รับพระไตรปิฎก (หัวเราะ) ชนิดนั้นจากอินเดียโดยตรง แต่นี่มันไม่ปรากฏ มันไม่ปรากฏว่าที่ไหนได้รับ ที่รับกันมาใช้อยู่นี้จากลังกาเป็นต้นตอ แต่ใคร ๆ ก็ไม่อยากให้เสียเกียรติ (หัวเราะ) ก็เลยไม่พูด หรือไม่พูดอะไรเสียเลย


ถ้ารับจากลังกานั้น ก็รับยุคสมัยสุโขทัยใช่ไหมครับ

แล้วแต่จะสันนิษฐาน ถ้ายุคสุโขทัยที่ว่าก็น่าจะเป็นพระนักปฏิบัติมากกว่า ไม่ใช่นักพระไตรปิฎก ที่เป็นพระวิปัสสนา พระป่า มันก็มีหลักฐานชัดอยู่ว่าเป็นพวกอรัญวาสีอยู่ในป่าทั้งนั้น ผมก็ไปดูที่นั่น อรัญญิก จังหวัดสุโขทัย มีพระเจดีย์รูปทรงแปลก จนในหลวงรัชกาลที่ ๖ ใช้คำว่า พระเจดีย์ทรงจอมแห เหมือนกับแห (หัวเราะ) ทอดลงไปอย่างนี้ มีก้อนหินเล็ก ๆ จัดเหมือนคอกหมู ซึ่งเขาเขียนอธิบายนี่คือกุฏิของพระอรัญญิกครั้งกระนู้น (หัวเราะ) มันยิ่งไม่มีทางทำพระคัมภีร์ เอาก้อนหินมาจัดเป็นสี่เหลี่ยมก็มุดเข้าไปได้ คล้ายกับถ้ำที่ก่อขึ้นด้วยก้อนหินเล็ก ๆ

ทางลานนาก็มีคนที่เชี่ยวชาญพระไตรปิฎกมาก่อนแล้วใช่ไหมครับ ก่อนสุโขทัย แต่งคัมภีร์ได้หลายคัมภีร์

แต่งที่ลานนานั้น มันก็ต้องเมื่อเรียนพระไตรปิฎกและอรรถกถากันแล้ว อย่างแต่งคัมภีร์มังคลัตถทีปนั้นต้องมีการศึกษาบาลี ศึกษาอรรถกถา ศึกษาฎีกาอะไรครบถ้วนแล้ว จึงแต่งได้ อาจจะหลังสุโขทัย แล้วบางเรื่องก็ไม่ใช่พุทธศาสนา เป็นเรื่องพงศาวดาร เช่น พระรัตนปัญญาที่แต่งชินกาลมาลีปกรณ์

เรื่องอย่างนี้เดี๋ยวนี้ผมไม่คิด เคยคิด พยายามจะคิด แต่เห็นว่ามันไม่มีทางจะคิด ก็เลยไม่คิด ก็มันจะเอามาจากไหนสับเปลี่ยนกันกี่ครั้งกี่หน แลกเปลี่ยนกันส่วนไหนบ้าง เมื่อไรไม่ค่อยสำคัญ เพราะว่าเดี๋ยวนี้พระไตรปิฎกเถรวาทมันก็ตรงตรงกันหมดแล้วทุกประเทศ จะผิดกันแต่ตัวหนังสือสักตัวหนึ่งเท่านั้น ไม่เป็นไร เหมือนกับที่ผมเล่าให้ฟังแล้ว อัตตทุติโยกับอทุติโย อย่างนี้ไม่เป็นไร

อาจารย์ครับ วินัยปิฎกนี้สันนิษฐานว่าระยะแรกจะเป็นอย่างไร แล้วมันมาถึงปัจจุบันนี้ได้อย่างไรครับ

มันต้องพูดตามสังคายนาก่อน เมื่อทำสังคายนา ท่านสังคายนาพระวินัยปิฎกก่อน เอาคนที่รู้วินัยดีคือพระอุบาลีมาสอบถามว่า เรื่องอย่างนี้พระพุทธเจ้าตรัสที่ไหนอย่างไร พูดให้หมด และเล่าให้หมด ให้ช่วยกันจำไว้ มันคงจะมีเฉพาะเรื่องใหญ่ ๆ เรื่องเล็ก ๆ อย่างนี้ อย่างที่เห็นในปัจจุบันคงไม่มี ไม่ได้ทำ ทำเรื่องใหญ่ ๆ โดยเฉพาะปาฏิโมกข์ ถ้าฟังดูแล้วเป็นการเล่าเรื่อง มันยังไม่มีการบัญญัติเป็นคำตายตัวอะไร เล่าเรื่องว่า เกิดที่นั้นเป็นอย่างนั้น ๆ เช่น ปฐมปาราชิก และก็ให้ช่วยกันจำเรื่องนี้ไว้ เป็นการอ่านขึ้นในที่ประชุมว่า ข้อความอย่างนี้ ให้ช่วยจำกัน ไม่ได้ร้อยกรองอะไรนัก ครั้นมาถึงสมัยที่หลัง ๆ นี่คงจะร้อยกรองเป็นภาษากะทัดรัดขึ้น อย่างนี้ทุกข้อ ๆ ของวินัย และก็ทุกสูตร ๆ ของสูตร จำไว้แต่เค้าเรื่อง แน่นอนเป็นอย่างนั้น ส่วนที่มันเรียบร้อยเป็นกลอน ตามหลักภาษานี้ คนละยุคไม่ใช่ยุคสังคายนาครั้งที่ ๑ ที่ ๒

ขอให้ท่านอาจารย์ช่วยตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับการทำสังคายนา ทั้งในอินเดีย ลังกา พม่า และไทย เท่าที่เคยทำมาทั้งหมดครับ

ถ้าถามอย่างนั้นมันยืดยาว กว้างขวางมาก มันต้องรู้เค้าเงื่อนกันก่อนว่า ชั้นแรกทำในอินเดีย ๓ ครั้ง คือครั้งที่ ๑ ครั้งที่ ๒ ครั้งที่ ๓ แล้วทางหนึ่งก็แยกไปลังกาเป็นครั้งที่ ๔ และครั้งที่ ๕ ทางลังกาเขายอมรับ ๓ ครั้งแรกนี้ แต่ว่าเพิ่ม ๒ ครั้งเป็น ๕ ครั้ง ฝ่ายพม่าเขายอมรับแต่ครั้งที่ ๕ ของลังกา แต่กลายเป็นครั้งที่ ๔ ในสายที่มาจากพม่า แล้วมาทำในพม่าอีก ๒ ครั้ง ๆ เป็นครั้งที่ ๕ ที่ ๖ ในพม่า ทีนี้ในทางประเทศไทยนี้เอาแน่ไม่ค่อยได้ เพราะว่ายอมรับลังกาทั้ง ๒ ครั้งด้วย เป็น ๕ ครั้งแล้ว ก็เพิ่งมาทำในประเทศไทย ทำทางลานนา ๖ หรือ ๗ ไม่แน่ จำไม่ได้แล้ว แล้วก็ทำครั้งกรุงเทพฯ (หัวเราะ) เป็นครั้งที่เท่าไหร่ ๘ หรือ ๙ จะนับรวมกันไม่ได้หรอก เพราะว่าต่างคนต่างก็มีเครดิตของตัวที่จะนับ

มันก็มีอย่างนี้ มันจะเอาแน่นอนเห็นทีคงจะยาก เพราะมีแต่เค้าเงื่อน พอจะสันนิษฐานกันมา แต่มันไม่มีปัญหาอะไรแล้ว คือว่าเดี๋ยวนี้ ทั้งไทย ทั้งพม่า ทั้งลังกา มันตรงกันหมดแล้ว จารึกเป็นหลักฐานไว้เรียบร้อยแล้ว พิมพ์เป็นเล่มสมุดกันแล้ว

เรามันถือหลักกาลามสูตร เอาเท่าที่เดี๋ยวนี้มีอยู่อย่างไร แล้วพิจารณาเอาแต่ที่ดับทุกข์ได้ ไอ้ที่มันไม่ใช่เรื่องดับทุกข์หรือไม่ใช่การดับทุกข์ก็ปล่อยข้าม จะทำกับพระไตรปิฎก ได้เพียงเท่านั้นสำหรับยุคนี้ อะไรเป็นเรื่องดับทุกข์โดยตรงก็เอามาใช้เป็นหลักปฏิบัติดับทุกข์ ส่วนที่มันไม่เกี่ยวกับเรื่องดับทุกข์ก็ปล่อยไว้ เป็นการบอกให้รู้ว่ามันเคยมีมาอย่างไร เคยมีมาเท่าไร จะเป็นประวัติศาสตร์อยู่ในตัว แล้วส่วนนั้นก็ไม่ต้องใช้ ถ้าจะใช้ก็ใช้สำหรับคนที่เขายึดถืออย่างปรับปราไปหมดทุกตัวอักษรจำเป็นจะต้องยอมเชื่อว่าราหูจับพระจันทร์ อย่างนี้เป็นต้น

อาจารย์ครับ แล้วที่รัชกาลที่ ๕ ท่านล้อว่า สังคายนาแต้มหัวตะ หมายความว่าอย่างไร

ท่านใช้คำว่า "ไม่เหมือนสังคายนาแต้มหัวตะของเมืองเรา" คือไม่ได้ทำอะไร ไม่ได้แตะต้องข้อความเนื้อหาของเรื่อง เพียงแต่ดูตัวอักษร บางตัวที่มันผิดเพี้ยน ชำรุด ที่ล้อว่าแต้มหัวตะก็เพราะว่าบางหัวมันเล็กไปมันก็เป็นตัว ค ถ้าหัวมันใหญ่มันก็เป็นตัว ต (หัวเราะ) คล้าย ๆ กับจะสำรวจดูทุกตัวอักษรว่าตัวอักษรนี้ถูกต้องไหม ก็เลยคล้าย ๆ กับแต้ม ๆ หัวของตัวอักษร ซึ่งมันไม่น่าจะเรียกว่าทำสังคายนา สังคายนาเล็ก ๆ น้อย ๆ เกี่ยวกับตัวหนังสือตัวอักษร ไม่ใช่เรื่องราวที่จะต้องคัดออกเพิ่มเติม

แล้วที่ทำจริง ๆ ทำกันอย่างไรกันครับ ที่ท่านหมายว่าต่างไปจากนี้

ดูเหมือนท่านจะหมายไปถึงฝ่ายมหายาน ที่ทำสังคายนาเป็นครั้งที่ ๔ ต่อจาก ๓ ครั้งในอินเดีย ทำกันครั้งที่ ๔ ฝ่ายสายเหนือ ไม่ใช่ฝ่ายเถรวาท ทำที่คันธาระ ท่านว่าครั้งนั้นคงจะได้ทำกันถึงขนาดที่เรียกว่าชำระข้อความ ไม่ใช่เพียงแต่เป็นแต้มหัวตัวอักษร อย่างที่เขาพูด มาถึงขั้นพิจารณาว่าข้อความนี้ผิดข้อความนี้ถูก เหมือนที่ทำที่พม่าครั้งหลังนี้ ก็ไม่เพียงแต่แต้มหัวตัวอักษร วินิจฉัยข้อความกันเลย มันจึงมีข้อความที่สันนิษฐานว่าที่ถูกมันควรจะเป็นอย่างนั้น แต่ก็สั้น ๆ ปลีกย่อยเท่านั้น แล้วเขาก็ไม่แก้ของเดิม เขาจะเขียนบันทึกไว้ต่างหาก แล้วเอามาพิมพ์ไว้ตอนท้ายว่า ประโยคนั้น อย่างนั้น ๆ ที่หน้านั้น ๆ มันควรจะเป็นอย่างนี้ ๆ อย่างนี้ก็เรียกว่าไม่ใช่แต้มหัวตะ (หัวเราะ)

ของเราเคยทำอย่างนี้ไหมครับ

เท่าที่ทราบไม่เคยมี ไม่เคยมีทำแก้ไขเนื้อความอย่างนี้ ยังไม่ได้ลงความเห็นว่าจะเป็นอย่างนั้น จะเป็นอย่างนี้ ที่พม่านั้นในที่ประชุมมีผู้เสนอคล้าย ๆ ที่ทำสังคายนาในอินเดีย แล้วที่ประชุมนั้นก็วินิจฉัยตามข้อเสนอ แล้วทั้งหมดนั้นก็นำมาวินิจฉัยกันอีกทีหนึ่งทั้งคณะใหญ่ ในที่สุดก็ลงมติกันว่า ควรจะเป็นอย่างนั้น ข้อความนั้นควรจะเป็นอย่างนี้ พระไตรปิฎกทุกเล่มถูกวินิจฉัยหลาย ๆ ประโยค สังคายนาเสร็จจะต้องพิมพ์ที่เขียนวินิจฉัยต่าง ๆ ไว้ท้ายเล่ม ไม่ไปแก้ของเก่าเลย นี่ดี ทำอย่างนี้ดี เมืองไทยสังคายนาแต้วหัวตะ (หัวเราะ) เป็นคำล้ออย่างนี้ ก็ยังปรากฏอยู่เดี๋ยวนี้ในคัมภีร์ ในพระไตรปิฎกของเรา คือคำว่า อตมฺมยตา ที่บางแห่งยังคงเป็น อคมฺมยตา ระหว่างตัว ค กับตัว ต นี่ก็ไม่กล้าวินิจฉัยว่าเป็นอย่างไรแน่ คงจะคัดลอกมาจากตัวเก่าซึ่งบางแห่งเป็นอตมฺมยตา บางแห่งเป็นอคมฺมยตา บางแห่งกลายเป็นอกมฺมยตาก็มี นี่เรียกว่าทำอะไร (หัวเราะ) ตรงไหน ไม่แน่ใจ ก็ไม่กล้าแตะต้องเลย เห็นได้ชัด มีตัวอย่างเห็นอยู่ว่าไม่ได้แตะต้อง

ผมไม่ได้รอบรู้พระไตรปิฎกอะไรนักหนา เพียงแต่ว่าตั้งใจรวบรวมข้อความจากพระไตรปิฎกเท่าที่มีอยู่ เอามาเฉพาะเท่าที่เห็นจำเป็นจะเอามาทำให้มีประโยชน์ได้ เอามาทำเป็นเรื่องราว เป็นหนังสือ เป็นเรื่อง ๆ ไป ไม่ได้มีส่วนแห่งการสังคายนา เพียงเลือกเก็บเอาตามที่พอใจที่มันมีอยู่ในพระไตรปิฎกทั้งหมดที่เขาทำกันแล้ว เอามาทำหนังสือชุดจากพระโอษฐ์



ในการสังคายนาที่พม่า เขาวินิจฉัยกันว่าพระสูตรไหนเพิ่มเข้ามาใหม่ไหมครับ

ไม่มี ไม่ปรากฏว่าทำถึงอย่างนั้น เท่าที่ทราบ ทำเพียงว่าข้อความบรรทัดนี้ ประโยคนี้ น่าจะเป็นอย่างนั้น มันคงจะผิด คัดลอกผิด หรืออะไรผิด มันเพียงแต่เรียบเรียงบางประโยคหรือหลาย ๆ ประโยคก็ได้ ดูเหมือนจะไม่ได้แตะต้องหรอก สูตรอย่างสุริยคราส จันทรคราสปล่อยไว้ตามเคย ผมไปครั้งเดียว เขาทำกัน ๖ ครั้ง เขาประชุมกัน ๖ ครั้ง ผมไปครั้งเดียว ครั้งที่เขาพิมพ์แล้ว เอามาอ่าน ไม่ได้ไปประชุมเพื่อตรวจสอบแก้ไข แต่ไปเพื่อยอมรับที่เขาตรวจแก้ไขแล้ว เช่นเดียวกับองค์อื่น ๆ ที่ไปในคณะเดียวกัน ไปแค่ตรวจ เหมือนกับพระอื่น ๆ ด้วยซ้ำ มันไม่ดีไปกว่า มีตั้ง ๒ พันกว่ารูปหรือ ๓ พันรูปที่จะตรวจอย่างนี้ ตรวจแล้วก็อ่านหนังสืออย่างนี้ ต่างคนต่างก็อ่านไม่ต้องรอพร้อมกัน อ่านเสียงขรมไปหมด พวกพม่าก็อ่านอย่างพม่า พวกลังกาก็อย่างลังกา (หัวเราะ) พวกไทยก็อ่านอย่างไทย แต่ตัวอักษรพม่า ไทยเราเจ้าคุณพิมลธรรมเป็นหัวหน้า (หัวเราะ) ท่านดึงผมไป สมเด็จญาณสังวร ก็ไป แล้วก็เจ้าคุณวัดนรนาถ พอดีประชุม พ.ส.ล.ประจำปี ปีนั้นด้วย ก็ถือโอกาสแยก มีเวลาเข้าประชุม พ.ส.ล.บ้าง

ปราชญ์ที่เขาเชิญมาวินิจฉัย น่าเชื่อถือไหมครับ เมื่ออาจารย์ดูจากข้อความที่เขาวินิจฉัยแล้ว

มันน่าเชื่อถือ ข้อความที่วินิจฉัยเสร็จแล้วก็น่าเชื่อถือ น่าพิจารณา เขาพิมพ์คำวินิฉัยเป็นภาษาบาลี ก็นับว่ามีประโยชน์ สรุปความแล้วก็ได้รับความคิดเห็น มติของพระสงฆ์ที่คงแก่เรียนหลายประเทศ (หัวเราะ) อย่างน้อยก็ประเทศพม่าเอง ประเทศไทย ประเทศลังกา ประเทศเขมร ประเทศลาวก็มี แล้วประเทศอื่นเขาก็ยังมีอีก ประเทศกลุ่มอัสสัม ถ้าเป็นมหายานก็ไม่ไปเกี่ยวข้องเลย ถ้ามหายาน เข้าไปนั่งคนละแห่ง ไม่ได้นั่งรวม พม่าถือว่ามหายานไม่ใช่พุทธ ไม่ร่วมสังวาส ไม่ร่วมสังฆกรรม เป็นจีน ญี่ปุ่น พม่า ไม่ให้นั่งในที่ประชุม ให้นั่งเสียอีกแห่งต่างหาก

สังคายนาอย่างนั้นมันน่าทำ ทำอย่างที่พม่าทำ แต่มันควรจะทำให้กว้างขวางกว่านั้น

อาจารย์ครับ แล้วทีนี้พูดมาถึงเรื่องการแปลพระไตรปิฎกฉบับบาลีเป็นภาษาไทยนี้ ผมเห็นว่าในหนังสือพิมพ์พุทธสาสนานี้มีการปรารภเรื่องนี้มาตั้งแต่แรก ๆ

เรามีความเห็นว่าควรจะมีการแปลที่จริงจังและถูกต้องกันเสียที เราแสดงความเห็น ถือว่าถ้าใครมีอำนาจก็ควรเป็นจักรกลในการกระทำ

อาจารย์ครับ แล้วที่เขาแปลกันนั้น มีส่วนเนื่องมาจากการกระตุ้นยั่วยุของหนังสือพิมพ์พุทธสาสนาหรือเปล่า

อย่าพูดอย่างนั้น เขาเห็นว่าถึงเวลาแล้ว ถึงประเทศพม่าก็เพิ่งแปลจบ เมื่อไม่นานมานี้ ลังกาก็มี ซึ่งแปลเป็นภาษาลังกาเมื่อไม่นานมานี้ มันยาก เป็นงานใหญ่ ถือว่าจะเป็นพุทธบูชา ๒๕ พุทธศตวรรษ ทำอย่างรีบร้อน มีขลุกขลักบ้าง เป็นการพิมพ์ครั้งแรก ค่อย ๆ พิมพ์ค่อย ๆ แก้ไขไป

อยากฟังอาจารย์ พูดถึงคุณภาพของการแปลครั้งนั้น

ไม่ได้ดอก คือว่าเรา (หัวเราะ) ก็มีความเห็นไปตามแบบของเรา ยังมีส่วนที่เราไม่เห็นด้วยว่าควรจะแปลอย่างนั้น สำหรับคำนั้นอย่างนั้นก็มีอยู่บ่อย ๆ แล้วก็เงียบ ๆ เพราะว่ามันเป็นเรื่องอำนาจที่มีผู้ได้รับมอบหมายให้ทำ ในฐานะเป็นของหลวง เป็นฉบับหลวง แต่เราก็ใช้ศึกษาเอาเหมือนกัน ก็เทียบเคียงกับที่เราจะแปลออกไปใหม่ ว่าถ้าไม่ตรงกัน มันจะมีน้ำหนักอย่างไร มันควรจะเป็นอย่างไร ก็ใช้เทียบเคียงกัน มันหาวิธีเพื่อนำไปใช้มากที่สุด

อาจารย์พบที่แปลผิดอย่างจัง ๆ บ้างไหมครับ

มันไม่ใช่เรื่องสำคัญ เป็นคำบางคำไม่สำคัญ จะเรียกว่าผิดไม่ได้ดอก

ทำไมเขาจึงแปลสำนวนอ่านแล้วไม่ค่อยรู้เรื่อง

ตั้งแต่โบราณมา เขาไม่นิยมใช้สำนวนภาษาปัจจุบัน ใช้สำนวนคล้าย ๆ กับในโรงเรียนบาลี เมื่อพูดถึงคนอ่าน คนอ่านจะต้องเอามาใคร่ครวญ หาใจความของคำแปลเหล่านั้นอีกที ว่าหลักสำคัญหรือใจความสำคัญจะมีอยู่อย่างไร มันจะใช้เทียบกับหลักกาลามสูตรว่า เมื่อว่าอย่างนั้นแล้ว มันจะดับทุกข์ได้อย่างใด ถ้ามันเห็นทางว่าจะทำให้ดับทุกข์ได้คือ มีเหตุผลก็เอา ถ้าเขียนเป็นสำนวนปัจจุบันก็คงได้ แต่คงจะถือกันว่าไม่ขลัง ไม่ศักดิ์สิทธิ์ ถ้าใช้สำนวนตลาด

การเรียนบาลีของเรา อาจารย์คิดว่ามีทางทำให้มันเรียนง่ายขึ้นไหมครับ แทนที่จะต้องใช้เวลาเรียนตั้งมากมาย และเรียนกันแบบโบร่ำโบราณ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลย ขณะที่ทางตะวันตกเขาพัฒนาวิธีเรียนบาลีขึ้นมาตั้งเยอะ

เท่าที่ผมสังเกตเห็นเอง แต่แรกเริ่มเดิมทีทีเดียว ตอน ๆ แรกเรียนยากมาก ที่เรียนมูลกัจจายนะ หนังสือก็ยังใช้อยู่ ก็เรียนยากมาก เรียนเป็นปี ๆ บางทีก็ยังไม่รู้เรื่อง ให้ท่องสิ่งที่ไม่รู้เรื่อง ท่องคำบาลีบ้าง ปนไทยบ้าง ไม่รู้เรื่องกันอยู่เป็นปี (หัวเราะ) ทีนี้สมเด็จกรมพระยาวชิรญาณวโรรสท่านก็ได้ปรับปรุงให้มันเรียนง่าย คือแบบที่ใช้กันอยู่ในโรงเรียนปัจจุบันนี้ ที่เรียกว่า บาลีไวยากรณ์ เรียกว่าง่ายขึ้นเยอะ ง่ายขึ้นหลายเท่าเลย แต่แล้วก็ไม่มีใครปรับปรุงต่อมาอีก คงใช้เรียนวิธีนี้ แต่ถึงอย่างนั้นก็เรียกว่า ยังดีกว่าที่ใช้รวบรัดอย่างที่ฝรั่งใช้วิธีเรียนบาลี คือ รวบรัดมาก ไม่เรียนถึงรากศัพท์ ไม่ค่อยเรียนถึงไอ้วิภัติปัจจัย ถือว่าใช้เรียนอย่างเรียนภาษา ๆ หนึ่ง เหมือนอย่างที่เราเรียนภาษาอังกฤษหรือภาษาไทย อย่างนั้นไม่ลึกซึ้ง ทีนี้เราอยากจะเรียนให้ลึกซึ้งว่าคำ ๆ นี้ มันประกอบด้วยรากศัพท์อะไร ปัจจัยอะไร แปลได้กี่อย่าง สรุปความได้ก็ว่าเรียนอย่างที่ไทยเราเรียนรู้ดีกว่าที่ฝรั่งใช้วิธีเรียนอย่างนั้น ถึงแม้แบบเรียนครั้งหลังที่เขาทำขึ้นในลังกา ไม่ใช่ฝรั่งทำดอก มันก็ยังเสียไปมากนะ หมดไปมากเหมือนกัน ที่จะรู้ถึงรากศัพท์

ถ้าจะรู้ให้ถึงรากต้องอดทนมาก ทั้งความเพียร ทั้งอดทน ภาษาสันสกฤตก็เหมือนกัน ถ้าจะเรียนให้รู้จริง ก็ต้องเรียนด้วยความยากลำบากสักหน่อย มีเรื่องท่องจำมากเหมือนกับภาษาฝรั่งเศส แต่ละคำมันแต่ละศัพท์ มันมีลิงค์เฉพาะ จะเป็นเพศโดยเฉพาะ ก็หมุนแปรไปตามกฎเกณฑ์ของมัน ผมยังชอบวิธีเรียนอย่างเมืองไทย ไม่ชอบวิธีเรียนอย่างที่ฝรั่งเรียนตามแบบเรียนที่ทำกันขึ้นสำเร็จรูปง่าย

แล้วอย่างเมืองไทยนี้มีทางปรับตัวให้มันสะดวกขึ้นกว่าที่มันเป็นอยู่ในปัจจุบันไหม

โอ้! มันก็เกี่ยวกับอำนาจ อำนาจไหนจะมาปรับปรุงเปลี่ยนแปลง ไม่มีทางจะทำได้ ไม่มีใครเคยคิด ทั้งบาลีทั้งนักธรรมมีทางทำให้ง่ายขึ้นอีกมาก แต่จะเอาอำนาจที่ไหนจะไปทำได้ แต่เราก็ได้ทำอยู่โดยอ้อม คือ เราอธิบายธรรมะหรือแปลบาลีวิธีของเรา ให้เขาเห็นอยู่ เขาก็มองเห็นว่าอย่างนั้นชัดเจนดี ง่ายดี สมเด็จพระวันรัต (เฮง) ที่วัดมหาธาตุ ท่านยังเรียกผมไปสรรเสริญต่อหน้าว่า แปลอย่างนี้เหมาะแก่สมัย

อาจารย์ครับ ผมเห็นบทความของอาจารย์วิพากษ์วิจารณ์อภิธรรมมาตั้งแต่ปี ๒๔๗๖ และทำมาเรื่อย ๆ จนถึงปัจจุบัน อาจารย์เห็นความจำเป็นอย่างไรหรือครับที่ต้องทำมาอย่างนี้

คำวินิจฉัยโดยละเอียดในเรื่องนี้ ไปอ่านดูจากหนังสือ อภิธรรมคืออะไร ที่ผมเขียนตอบพวกอภิธรรมที่เขารุมกันด่าผม แต่ใจความโดยสรุปก็คือ อภิธรรมปิฎกเป็นของที่เพิ่มเข้ามาทีหลัง หลายยุค หลายคราว แล้วในเมืองไทยเรามีการโฆษณาให้คนหลงใหล กลายเป็นเรื่องยึดถือมากมาย ก็อยากจะบอกให้รู้ว่า ไม่ต้องยึดถือกันถึงขนาดนั้น มันจะกลายเป็นเรื่องงมงาย เช่นที่ถือกันว่าสร้างอภิธรรมเจ็ดคัมภีร์ ที่เขาทำเป็นผูก ๆ แบบใบลาน จำนวนเจ็ดผูกเล็ก ๆ ที่เจ๊กเอามาขาย ถ้าสร้างอุทิศคนตาย จะได้บุญสูงส่งไม่มีอะไรเท่า ทีนี้แต่ละวัดก็มีคนสร้างมาถวายมาก มันเหมือนกันหมดทุกชุด มากจนไม่มีที่จะไว้ ไว้บนเพดานกุฏิ เพดานโรงฉัน จนหนูกิน ผมเลยเรียกว่าอภิธรรมรังหนู เพื่อจะได้หยุดกันเสียบ้าง

แล้วที่อาจารย์ล้อพวกอภิธรรมเม็ดมะขามหมายความว่าอย่างไร

นี้มันมาในยุคหลัง ๆ เมื่อการศึกษาอภิธรรมอย่างพม่าเข้ามาในเมืองไทย ต้องเรียนกันว่าจิตมีเท่านั้นดวงเท่านี้ดวง แจกแจงกันออกไป ทีนี้เพื่อไม่ให้หลงก็ต้องเอาของอย่างเม็ดมะขามมาช่วย อภิธรรมแบบนี้ก็คือ อภิธมฺมตฺถสงฺคห คือย่ออภิธรรมที่มีมากมายมหาศาลให้มันกะทัดรัด เพื่อจะได้เอามาเล่าเรียนกันได้ อภิธรรมในครั้งพุทธกาล มีอยู่ไม่มากหรอก เพิ่งมาเติมกันเข้าไป ในการทำสังคายนาครั้งหลัง ๆ จนเป็นเจ็ดคัมภีร์มหาศาล ถ้าเป็นอภิธรรมอย่างครั้งพุทธกาลก็มีประโยชน์ เป็นการอธิบายธรรมะให้ลึกลงไปในทางที่จะดับทุกข์ได้โดยง่ายยิ่งขึ้น ต่อ ๆ มามันลึกจริง แต่ลึกไปในทางปรัชญา ไม่ค่อยมีประโยชน์ต่อการปฏิบัติเพื่อดับทุกข์ ฝรั่งเขาเรียกอภิธรรมปิฎกว่า เมตาฟิสิคส์ ที่จริงมันก็น่าสนุก เรียนอย่างปรัชญา แต่ถ้าไปสนใจแบบนั้น ก็ไม่ค่อยสนใจสุตตันตะซึ่งจะดับทุกข์ได้ (หัวเราะ) มันก็ไม่เกิดประโยชน์ คล้าย ๆ กับเฮโรอีน (หัวเราะ) จึงมีเหตุผลเพียงพอที่เราจะพูดถึงอภิธรรมในทำนองคัดค้านบ้าง แต่ไม่ใช่เจตนาจะต่อสู้หรือปะทะ หรือจะล้มล้างกัน แต่เพื่อให้คนหันมาสนใจการปฏิบัติแบบสุตตันตะให้มากพอสมควรจนดับทุกข์ได้

อภิธรรมบางสายเขาก็มีการปฏิบัติด้วยไม่ใช่หรือครับ อย่างสายยุบหนอพองหนอ หรือสายมหาสีละยาดอของพม่า

เขาปฏิบัติตามหลักในสุตตันตะ แต่อ้างเอาอภิธรรมเป็นเครดิต จับแพะชนแกะ ให้มันเข้ากันได้ แต่เวลาปฏิบัตินั้น เขาทำสติปัฏฐานตามแนวสุตตันตะ เพราะในอภิธรรมปิฎกไม่มีแนวในการปฏิบัติ


--------------------------------------------------------------------------------

* โคตมีสูตร คือหลักตัดสินธรรมวินัย ๘ ประการ ถ้าธรรมเหล่าใดเป็นไปเพื่อ (๑) ความคลายกำหนัด, ความหายติด (๒) ความหมดเครื่องผูกรัด, ความไม่ประกอบทุกข์ (๓) ความไม่พอกพูนกิเลส (๔) ความอยากอันน้อย, ความมักน้อย (๕) ความสันโดษ (๖) ความสงัด (๗) การประกอบความเพียร (๘) ความเลี้ยงง่าย ธรรมเหล่านี้ พึงรู้ว่าเป็นธรรม เป็นวินัย เป็นคำสั่งสอนของพระศาสดา





ชีวิตและผลงาน > ประวัติ > อัตชีวประวัติของท่านพุทธทาส "เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา" >
บทที่ ๖ การศึกษาด้านนอก - เหตุผลของการศึกษา - หนังสือที่ใช้ค้นคว้า - วิธีศึกษาค้นคว้า - พิเคราะห์พระไตรปิฎก - จากครูบาอาจารย์ในอดีต - มหายานศึกษาและจีนวิทยา - ภารตวิทยา - แดนพุทธภูมิและโบราณคดี - คริสต์ศาสนาและอิสลาม - ตะวันตกและวิทยาศาสตร์ - สังคมไทยและคณะสงฆ์ > พิเคราะห์พระไตรปิฎก



อ้างคำพูด:
คุณ mes คงจะเห็นด้วยกับอาจารย์ใหญ่ของคุณ ที่จะตัดพระไตรปิฏกออกสัก 60 % ไม่ว่าจะเป็น พระอภิธรรมปิฏก อิทธิปาฏิหาริย์ นรก สวรรค์ การเวียนว่ายตายเกิด ในพระวินัย พระสูตร ออกให้หมด

แต่ผมขอค้านครับ


ไม่ใช่หน้าที่ของผมหรือเหลิมจะมาใหเผมเห็นด้วยหรือไม่

มันเรื่องของผม

แตผมเห็นว่า

ถ้าตัดออกไปตามที่เหลิมยกมา

ก็ยังไม่กระทบต่อการปฏิบัติธรรมตามอริยมรรคที่มีองค์แปด

เพราะไม่เกี่ยวกัน

.....................................................
นิพพานที่นี่ เดี๋ยวนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 มิ.ย. 2010, 07:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.พ. 2009, 05:07
โพสต์: 372


 ข้อมูลส่วนตัว


คุณ mes ครับ นอกจากทิฏฐิของอาจารย์ใหญ่คุณแล้ว

ควรจะนำหลักธรรมจากพระไตรปิฏก อรรถกถา คัมภีร์ของ เถรวาท มาเผยแพร่ ชี้แจงด้วยนะครับ

อย่างเรื่อง พระพุทธพจน์เรื่องโทษของการยึดติดตัวบุคคล ที่ผมนำมาแสดง และคุณ mesก็อ้างตาม คงจะเห็นด้วยเช่นกัน

อัตตโนมติของท่านท่านพุทธทาส และอาจารย์ต่าง ๆ ที่แสดงความสงสัยเคลือบแคลงในพระไตรปิฏก อรรถกถา งดไว้ก่อนครับ

กรณีธรรมกาย
http://members.tripod.com/~b2b2/tmk/

ถ้าหลักคำสอนยังมีมาตรฐานรักษา
พระพุทธศาสนาก็อยู่ไปได้ถึงลูกหลาน


เมื่อสงสัยคำหรือความใดแม้แต่ในพระไตรปิฎก ก็ไม่จำเป็นต้องเชื่อทันทีอย่างผูกขาด แต่สามารถตรวจสอบก่อน ดังที่พระพุทธเจ้าได้ทรงวางหลักทั่วไปไว้แล้ว ซึ่งสำหรับพวกเราบัดนี้ก็คือการใช้คำสั่งสอนในพระไตรปิฎก ตรวจสอบแม้แต่คำสั่งสอนในพระไตรปิฎกด้วยกันเอง กล่าวคือ หลักมหาปเทส 4 ได้แก่ ที่อ้างอิงใหญ่ หรือหลักใหญ่สำหรับใช้อ้างเพื่อสอบสวนเทียบเคียง เริ่มแต่หมวดแรก ที่เป็นชุดใหญ่ ซึ่งแยกเป็น

1. พุทธาปเทส (ยกเอาพระพุทธเจ้าขึ้นอ้าง)
2. สังฆาปเทส (ยกเอาสงฆ์ทั้งหมู่ขึ้นอ้าง)
3. สัมพหุลัตเถราปเทส (ยกเอาพระเถระจำนวนมากขึ้นอ้าง)
4. เอกเถราปเทส (ยกเอาพระเถระรูปหนึ่งขึ้นอ้าง)1
(ที.ม. 10/113/104; องฺ.จตุกฺก. 21/180/227)

นอกจากนั้น ถ้าเป็นปัญหาหรือข้อสงสัยที่จำกัดลงมาในส่วนพระวินัย ก็สามารถใช้หลักมหาปเทส 4 ชุดที่ 2 ตรวจสอบ ซึ่งจะไม่กล่าวรายละเอียดในที่นี้ เพราะนักวินัยทราบกันดี (ดู วินย. 5/92/131)

เมื่อพิจารณากว้างออกไป โดยครอบคลุมถึงคำสอนรุ่นหลังๆ หรือลำดับรองลงมา ท่านก็มีหลักเกณฑ์ที่จะให้ความสำคัญในการวินิจฉัยลดหลั่นกันลงมา โดยวางเกณฑ์วินิจฉัยคำสอนความเชื่อและการปฏิบัติ เป็น 4 ขั้น คือ (ดู ที.อ.2/172/; วินย.อ.1/271; วินย.ฎีกา 3/352)

1. สุตตะ ได้แก่ พระไตรปิฎก
2. สุตตานุโลม ได้แก่ มหาปเทส (ยอมรับอรรถกถาด้วย)
3. อาจริยวาท ได้แก่ อรรถกถา (พ่วงฎีกา อนุฎีกาด้วย)
4. อัตตโนมติ ได้แก่ มติของบุคคลที่นอกจากสามข้อต้น

"สุตตะ" คือพุทธพจน์ที่มาในพระไตรปิฎกนั้น ท่านถือเป็นมาตรฐานใหญ่ หรือเกณฑ์สูงสุด ดังคำที่ว่า

" แท้จริง สุตตะ เป็นของคืนกลับไม่ได้ มีค่าเท่ากับการกสงฆ์ (ที่ประชุมพระอรหันตสาวก 500 รูป ผู้ทำสังคายนาครั้งที่ 1) เป็นเหมือนครั้งที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายยังสถิตอยู่" (วินย.อ. 1/272)

" เพราะว่า เมื่อค้านสุตตะ ก็คือ ค้านพระพุทธเจ้า" (วินย.ฎีกา.2/71)

พาหิรกสูตร (สูตรภายนอก คือสูตรที่ไม่ได้ขึ้นสู่สังคายนาทั้ง 3 ครั้งใหญ่) ตลอดถึงพระสูตรของนิกายมหาสังฆิกะ (นิกายใหญ่ที่จัดเป็นหินยานที่สืบต่อจากภิกษุวัชชีบุตร และต่อมาพัฒนาเป็นมหายาน) ท่านก็จัดเข้าเกณฑ์ไว้แล้วว่า

"...ไม่พึงยึดถือ ควรตั้งอยู่ในอัตตโนมตินั่นแหละ หมาย ความว่า อัตตโนมติ ในนิกายของตน (เถรวาท) ยังสำคัญกว่าสูตรที่นำมาจากนิกายอื่น " (วินย.ฎีกา 2/72)




การไปยึดติดตัวบุคคล และทิฏฐิของบุคคลนั้นมากเกินไป เป็นผลเสียมากครับ

ยิ่งทิฏฐินั้น นำเราห่างไกลจากพระพุทธองค์

อ้างคำพูด:
การสนทนาธรรม

ทุกต้องใจกว้างเห็นต่างกันได้

อลุ้มอล่วยกัน

เพราะประสพการณ์ของแต่ละคนมีมาไม่เหมือนกัน

ถือแม้ต่างกันคนละขั้วก็ควรคุยกันได้

ด้วยการ

สงวนจุดต่าง แสวงหาจุดร่วม

จึงจะเป็นการสนทนาธรรม

ทั้งนี้ต้องตั้งอยู่บนหลักการของพระไตรปิฏก


ก็อาจารย์ใหญ่ของคุณ อ้างว่าพระไตรปิฏก ไม่น่าเชื่อถือเพราะถูกปลอมปนเกือบทั้งหมด

แล้วคุณยกย่องทิฏฐิอาจารย์คุณเหนือ พระไตรปิฏก

คงจะหาจุดร่วมยากครับ

ยกเว้น กับทิฏฐิที่เชื่อว่า จิตเป็นอมตะ ไปเกิดในดินแดนพระนิพพาน แล้วหันกลับมาสร้างความไม่น่าเชื่อถือในพระไตรปิฏก อรรถกถา

คุณ mes และ คุณหลับอยู่ อาจจะร่วมกันได้ครับ เพื่อ อัตตโนมติของอาจารย์ตน

.....................................................
สมถะ (ฌาน, สมาธิ) ที่เป็นบาทของวิปัสสนา
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=2&t=21049

ผู้บรรลุธรรม จากสมถะ มีจำนวนน้อยกว่าผู้ไม่มี
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=2&t=21062

การเจริญสติปัฏฐานหมวดพิจารณาอิริยาบถ ๔ จากพระไตรปิฏก อรรถกถา
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=2&t=29201

ควรศึกษาอัตตโนมติ ของท่านพุทธทาสหรือไม่ ?
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=17187


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 มิ.ย. 2010, 07:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


เหลิม เขียน:
เชื่อว่า คุณ mes คงไม่ศึกษา พระไตรปิฏก อรรถกถา คัมภีร์ของเถรวาทอีกแล้ว

คงยึดถือ บุรุษเอกของโลก คือท่านพุทธทาส เท่านั้น
( ผมว่า ควรจะเป็น พระพุทธเจ้า และ พระไตรปิฏก เถรวาท ที่เป็นตัวแทนของพระองค์)

ผู้ใดมาชี้แจงในสิ่งที่อาจารย์ใหญ่ กล่าวตู่ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ก็จะโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ มองเป็นผู้ร้ายทั้งหมด

นี้หรือ คือทิฏฐิของผู้ที่เชื่อตามบุคคลที่อ้างว่า เป็นทาสของพระพุทธองค์

แต่กลับห่างไกล พระพุทธองค์มากยิ่งขึ้นไปเรื่อย ๆ


พิสุจน์เดี๋ยวนี้ได้เลยว่า

เหลิมมีแต่อุปทาน

เชื่อว่า คุณ mes คงไม่ศึกษา พระไตรปิฏก อรรถกถา คัมภีร์ของเถรวาทอีกแล้ว

คือตัวเองเชื่ออะไรก็คิดว่าเป็นจริงไม่มนสิการ

เชื่อว่าท่านพุทธทาสเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ก็ไม่ต้องฟังอีล้าค่าอีลุ้มกันละ ด่าว่าโจมต่กันเลยอย่างเดียวใครชี้แจงก็หลับหูหลับตาเสียไม่ยอมรับฟัง

เชื่อว่าเชื่อว่า คุณ mes คงไม่ศึกษา พระไตรปิฏก อรรถกถา คัมภีร์ของเถรวาทอีกแล้ว

เหลิมจะมารู้จิตรู้ใจผมได้อย่างไร



ผมเป็นคนศึกษาพระไตรปิฎกเป็น

ยึดหลักธรรมนุธรรมะปฏิบัติในการปฏิบัติธรรมที่ใช้หลักธรรมย่อยคล้อยตามหลักธรรมใหญ่

ทราบว่าธรรมใดที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าเป็นรอยเท้าช้าง

ทราบว่าอรรถกถาเอามาครอบพระสูตรไม่ได้

พระสูตรเป็นบันทึกของพระพุทธเจ้าหรือพระอรหันต์

แต่อรรถกถาเป็นของอรรถกถาจารย์รุ่นหลังเอาไว้สำหรับอ่าพิจารณาทำความเข้าใจ


ไม่เหมือนเอกาปิฎกเหลิมที่ยึดแต่อรรถกถากับอภิธรรม

เออพระอภิธรรมก็สันนิฐานว่าแต่งจาดอารย์รุ่นหลังน่ะ

ไม่ได้มาจากการสังคายนาบันทึกเป็นตัวอักษรจากการท่องสวดสืบต่อกันมา


ถ้าเหลิมเอาดอกไม้ธูปเทียนแพมากราบผม

ผมอาจรับเหลิมมาเป้นลูกศิษย์ลูกหาเทกระโถนสอนหลักธรรมของท่านพุทธทาสให้

จะได้หลุดพ้นจากอุปาทาน

ตามหลักปฏิจจสมุทบาป

.....................................................
นิพพานที่นี่ เดี๋ยวนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 มิ.ย. 2010, 07:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
คงยึดถือ บุรุษเอกของโลก คือท่านพุทธทาส เท่านั้น
( ผมว่า ควรจะเป็น พระพุทธเจ้า และ พระไตรปิฏก เถรวาท ที่เป็นตัวแทนของพระองค์)

ผู้ใดมาชี้แจงในสิ่งที่อาจารย์ใหญ่ กล่าวตู่ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ก็จะโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ มองเป็นผู้ร้ายทั้งหมด

นี้หรือ คือทิฏฐิของผู้ที่เชื่อตามบุคคลที่อ้างว่า เป็นทาสของพระพุทธองค์

แต่กลับห่างไกล พระพุทธองค์มากยิ่งขึ้นไปเรื่อย ๆ


ความจริงท่าพุทธทาสก็เป็นบุรุษเอกของโลกตามประกาศของสหประชาชาติหรือเหลิมจะเถียงว่าไม่ใช่

อย่าง

แนบ

บุญมี

หลวงพ่อเสือ

เหลิม

ถ้าไม่ใช่เหลิมหยิบขึ้นมาโฆษณาแล้วจะมีใครรู้จักสักกี่คน

เหลิมต้องอ่านหลักธรรมท่านพุทธทาสที่ว่า

ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว

ดังนี้แล

อ้างคำพูด:
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว
"ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว" นี้เป็นความจริง อันไม่ตาย คือ ไม่รู้จักเปลี่ยนแปลง
แม้จะมีคนในสมัยหนึ่ง เกิดระแวงว่า
ทำไม คนทำชั่ว กลับร่ำรวยเร็ว
คนทำดี กลับยากจนลง หรือเป็นอยู่ด้วยความยากลำบากก็ตาม
ความจริง ก็ยังคงเป็นความจริงว่า "ทำดีได้ดี, ทำชั่วได้ชั่ว"
อยู่ตามเดิม ไม่โยกคลอน.

ทำดีได้ดีแน่ เพราะมันดี อยู่ที่ตัวการกระทำนั่นเอง และมันดีเสร็จแล้วตั้งแต่เมื่อทำ
แต่ที่มันจะได้เงินหรืออื่นๆ ด้วยหรือไม่ นั่นเป็นอีกส่วนหนึ่ง
แม้ทำชั่ว ก็เป็นอย่างเดียวกัน มันชั่วอยู่ที่ตัวการกระทำนั่นเอง
ไปทำเข้า มันก็ชั่ว มาเสร็จแล้ว ตั้งแต่เมื่อทำ จะได้เงินด้วยหรือไม่ นั่นอีกส่วนหนึ่ง
ฉะนั้น "ทำดีต้องได้ดี ทำชั่วต้องได้ชั่ว" โดยไม่มีทางหลีกไปทางไหนพ้น.

ทำดีได้ดี และถ้าได้เงินมาด้วย มันก็เป็น "เงินดี"
ทำชั่วได้ชั่ว และถ้าได้เงินมาด้วย มันก็เป็น "เงินชั่ว"
เงินดี ทำเจ้าของให้เป็นเจ้าของที่ดี เย็นอกเย็นใจ
เงินชั่ว ทำเจ้าของให้เป็น "ปีศาจ ผู้สูบเลือดมนุษย์"
ฉะนั้น แม้จะได้เงินมามาก ด้วยการทำชั่ว
ก็มีแต่จะยิ่งทำเจ้าของให้เป็น "ปีศาจ" มากยิ่งขึ้น ตามส่วนนั่นเอง.

ฉะนั้น ความจริง คงหนีความจริงไปไม่พ้น ว่า
"ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว" อยู่จนตลอดกัลปาวสาน เป็นอย่างน้อย.


.....................................................
นิพพานที่นี่ เดี๋ยวนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 มิ.ย. 2010, 07:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
เชื่อว่า คุณ mes คงไม่ศึกษา พระไตรปิฏก อรรถกถา คัมภีร์ของเถรวาทอีกแล้ว

คงยึดถือ บุรุษเอกของโลก คือท่านพุทธทาส เท่านั้น
( ผมว่า ควรจะเป็น พระพุทธเจ้า และ พระไตรปิฏก เถรวาท ที่เป็นตัวแทนของพระองค์)

ผู้ใดมาชี้แจงในสิ่งที่อาจารย์ใหญ่ กล่าวตู่ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ก็จะโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ มองเป็นผู้ร้ายทั้งหมด

อ้างคำพูด:
นี้หรือ คือทิฏฐิของผู้ที่เชื่อตามบุคคลที่อ้างว่า เป็นทาสของพระพุทธองค์

แต่กลับห่างไกล พระพุทธองค์มากยิ่งขึ้นไปเรื่อย ๆ


เหลิมนั่นแหละที่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟเมื่อเห็นใครศรัทธาท่านพุทธทาส

ทนไม่ได้

อ้างคำพูด:
นี้หรือ คือทิฏฐิของผู้ที่เชื่อตามบุคคลที่อ้างว่า เป็นทาสของพระพุทธองค์

แต่กลับห่างไกล พระพุทธองค์มากยิ่งขึ้นไปเรื่อย ๆ


เหลิมว่า คำว่าพระพุทธองค์คืออะไร


ดูบทธรรมนี้ของท่านพุทธทาส

อ้างคำพูด:
ไกวัลยธรรม
คือสิ่งที่มีอยู่ก่อนสิ่งทั้งปวง

การบรรยายธรรมประจำวันเสาร์ ภาควิสาขบูชา พ.ศ. ๒๕๑๖ จักบรรยายเรื่อง "ไกวัลยธรรม" จุดมุ่งหมาย ของการบรรยายธรรม ในวันเสาร์ เพื่อต้องการ ให้พุทธบริษัท ได้รู้ ในเรื่องที่ควรรู้ เพื่อยกฐานะ ของพุทธบริษัท ให้สูงขึ้น ทั้งที่เป็น ส่วนของการปริยัติ และการปฏิบัติ

สิ่งที่เรียกว่า "ไกวัลยธรรม" หมายถึง สิ่งที่มีอยู่ก่อนสิ่งทั้งปวง และอยู่หลังสิ่งทั้งปวง ได้แก่ ธรรมชาติที่ไม่รู้จักเปลี่ยนแปลง. (๑)

คำว่า "ไกวัลย์" เป็นภาษาสันสกฤต ตรงกับภาษาบาลีว่า "เกวะละ" แปลว่า "สิ้นเชิง" หมายถึง "นิพพาน". (๒)

คำว่า "เกวะละ" หรือ "เกวลัง" ยังแปลได้อีก หลายความหมาย แต่โดยใจความ ระบุถึง "นิพพาน" คือ
- ความเต็มไปหมด ไม่มีที่ว่าง
- ความโดดเดี่ยวที่สุด
- ความแบ่งแยกซอยละเอียดถี่ยิบ
- ความแข็งเป็นดุ้นเป็นก้อนเดียว
- ความไม่รู้จักพอ ไม่รู้จักเต็ม (๓)

ไกวัลย์มีอยู่ก่อนสิ่งทั้งปวง

สิ่งที่เรียกว่า "ไกวัลย์" ไม่มีจุดเริ่มต้น และไม่มีความสิ้นสุด จึงอยู่ในฐานะที่เป็น สิ่งมีอยู่ก่อนสิ่งทั้งปวง และอยู่ภายหลังสิ่งทั้งปวง หมายความว่า สิ่งทั้งปวง มีความหมุนเวียน เปลี่ยนแปลง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วดับไป ท่ามกลาง อาณาจักรแห่งความไม่เปลี่ยนแปลงของ "ไกวัลย์" นั้น. (๔)

มีประโยชน์อะไรหรือ ในการที่จะต้องรู้จัก "ไกวัลย์"

คำตอบ - เพราะ ไกวัลย์ เป็นสิ่งตรงข้ามกับ สังขารทั้งปวง ในเมื่อสังขารทั้งปวง เป็นที่ตั้ง ของความทุกข์ ครั้นนำความยึดมั่นในสังขารทั้งปวง ออกไปเสีย ก็จะพบความสุข ในที่เดียวกันอยู่ตรงนั้น ในทำนองเดียวกัน เอาความร้อนออก พบความเย็น เอาความไม่เที่ยงออก พบความเที่ยง ดังนี้เป็นต้น รวมความว่า เมื่อเอาสิ่งทั้งปวง ออกไปให้หมด ก็จะพบความว่าง คือ "ไกวัลยธรรม" (๕)

โดยที่แท้แล้ว ไกวัลยธรรม ก็คือสิ่งเดียวกันกับ สิ่งที่เรียกว่า อสังขตะ หรือ นิพพาน หรือ สุญญตา นั่นเอง ฉะนั้น การรู้เรื่องนี้ การปฏิบัติเรื่องนี้ การเข้าถึงเรื่องนี้ ย่อมทำให้ความเป็นพุทธบริษัท สมบูรณ์ขึ้น (๖)

คำว่า "พุทธะ" แปลว่า "ผู้ตื่น" หมายถึง การตื่นขึ้นใน "ไกวัลยธรรม" อันเป็นการเข้ารวม เป็นอันเดียวกับกาลเวลา อย่างเต็มพื้นที่ เพราะ "ไกวัลย์" เป็นสิ่งที่ปรากฏอยู่ตลอดเวลา และมีอยู่ตลอดพื้นที่ "สิ่งทั้งปวง" ที่ปรากฏขึ้นในไกวัลย์ เป็นเพียงสัตว์น้ำ ที่โผล่ขึ้นเหนือผิวน้ำ แห่งมหาสมุทร แล้วก็จมหายไป หมายความว่า สิ่งใดที่เกิดมาทีหลัง ในไกวัลย์ ย่อมดับหายไป ในไกวัลย์ แต่ไกวัลย์ก็ยังมีสภาพ เป็นอย่างเดิม ทั้งก่อน และ หลังสิ่งทั้งปวง ไม่เปลี่ยนแปลง อันความไม่เปลี่ยนแปลงนั้น เป็นสิ่งที่ทุกคน กำลังแสวงหา อยู่แล้วมิใช่หรือ. (๗)

"ไกวัลย์" ทำให้มนุษย์ทุกคนเป็นมิตรกันหมด

การกำหนดว่า เป็นเราเป็นเขา เป็นของเราของเขา จะทำให้ เกิดการแบ่งแยก เมื่อมีการแบ่งแยก การแย่งชิงผลประโยชน์กัน ก็เกิดขึ้น ทำให้คิดเห็นแต่ ประโยชน์ตน พร้อมกันนั้น ก็มีการเบียดเบียน ทำลายประโยชน์ผู้อื่น ความเป็นศัตรูกัน ก็เกิดขึ้น ด้วยการไปยึดถือ เอาสิ่งเล็กน้อย ที่เปลี่ยนแปลง อันเป็น ประดุจ ฟองคลื่นแห่งไกวัลย์ แต่ถ้ามีการเข้าถึงสิ่งที่เรียกว่า "ไกวัลย์" อันเปรียบด้วยแผ่นน้ำ อันกว้างใหญ่ ของมหาสมุทรแล้ว จะทำให้เห็นว่า ทุกคน ย่อมเป็น อันหนึ่งอันเดียวกัน ไม่อาจแบ่งแยก ออกจากกันได้เลย แล้วความรัก ความเมตตา ความเป็นมิตร กับผู้อื่น ก็เกิดขึ้น. (๘)

แม้การทะเลาะวิวาทกัน ในระหว่างศาสนา ก็พลอยสิ้นสุด ลงไปด้วย เพราะ "ไกวัลยธรรม" คือสภาวะที่เป็นหนึ่งเดียวอันเต็มเปี่ยม และมีอยู่ทั่วไป ในทุกหนทุกแห่ง นั่นคือ ย่อมมีอยู่ ในทุกศาสนาด้วย ใครก็ตาม เมื่อเข้าถึงความหมาย ของศาสนาแห่งตนแล้ว ย่อมทำให้เห็น ตรงกันว่า ในโลกนี้ มีเพียงศาสนาเดียว คือ "ศาสนาแห่งไกวัลย์" ไม่ต้องมีการแบ่งแยก ตามชื่อสมมติ ที่ใช้เรียกศาสนา โดยเหตุนี้ จึงทำให้สามารถ ปิดประตู การทะเลาะวิวาท อันเนื่องมาจาก การถือศาสนาเสียได้ แล้วการแยกนิกาย ของแต่ละศาสนา ก็จะไม่เกิดขึ้น ที่ใดมีการแบ่งแยก ที่นั่นแสดงว่า มีการรู้ไม่จริง เป็นลักษณะ แห่งการไร้เดียงสา ของผู้นับถือศาสนานั้นๆ (๙)

โดยเฉพาะพุทธบริษัท ควรมองศาสนาอื่น ในฐานะที่ว่า เป็นเครื่องมือ ดับทุกข์ระดับหนึ่ง ด้วยกันทั้งนั้น จึงจะชื่อว่า เป็นผู้มอง ด้วยความหมายของ "ไกวัลย์" เมื่อมีความเข้าใจใน "ไกวัลย์" ในความหมาย ที่ทำให้ทุกคน และทุกศาสนา เป็นมิตรกัน อย่างนี้แล้ว ย่อมเป็นการง่าย ที่จะเข้าถึง สุญญตา หรือ นิพพาน หรือ อสังขตธรรม ในทางพุทธศาสนา. (๑๐)

ในความหมายที่กล่าวถึง "พระเจ้า" ในฐานะเป็นผู้สร้างสิ่งทั้งปวง ก็ควรหมายถึง "ไกวัลย์" เพราะว่า เป็นสิ่งที่มีอยู่ก่อนสิ่งทั้งปวง และสิ่งทั้งปวงก็ออกมาจาก "ไกวัลย์" อาศัยไกวัลย์ตั้งอยู่ ในลักษณะอย่างนี้ ย่อมกล่าวได้ว่า ไกวัลย์ เป็นมารดา ของสิ่งทั้งปวง สิ่งทั้งหลายทั้งปวง เป็นลูก ที่คลอดออกมาจากไกวัลย์ เปรียบด้วย ฟองน้ำ อันเกิดจากน้ำ ฉันใด ก็ฉันนั้น. (๑๑)

ธรรมะในฐานะเป็นลูก ย่อมอยู่ในสภาพ ที่เกิดขึ้น แล้วดับหายไป ทำนองเดียวกับ ฟองน้ำ แต่ธรรมะ ในฐานะเป็นแม่ เป็นสิ่งที่เที่ยงแท้ถาวร ไม่เปลี่ยนแปลง เป็นสิ่งที่มีอยู่ได้เอง ตลอดอนันตกาล คือ กาลเวลาอันไม่สิ้นสุด และอนันตเทศ คือพื้นที่อันไม่สิ้นสุด. (๑๒)

การที่มนุษย์ไม่อาจเข้าถึง "ไกวัลย์" ได้ ก็เพราะมัวหลงใหลมัวเมา อยู่กับ ฟองน้ำ หรือ ฟองคลื่นแห่งวัฏฏสงสาร อันสำเร็จมาจาก การตกจม อยู่ในรสอร่อย ทางเนื้อหนัง ได้แก่ รสอร่อย ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทำให้เกิดความโลภ ความโกรธ ความหลง ความยึดมั่นถือมั่น อันเป็นตัว สร้างความทุกข์ สร้างปัญหา ให้เกิดขึ้น ทั้งแก่ตนเอง และผู้อื่น เมื่อมนุษย์สามารถ รู้จัก และเข้าถึง "ไกวัลยธรรม" แล้ว จะทำให้สามารถ แก้ปัญหา แห่งความทุกข์ ได้ทุกปัญหา และมีความเป็นมิตร หรือ เป็นอันเดียวกับทุกคน เพราะ "ไกวัลยธรรม" เป็นทั้งหมด ของทุกสิ่ง.

นี่คือ ความจำเป็น ที่จะต้องศึกษา ให้รู้จัก "ไกวัลยธรรม" เพื่อสร้าง ความเป็นมิตร ให้เกิดขึ้น. (๑๓)

ความหมายของคำว่า "ไกวัลยธรรม"

ร่องรอยของ สิ่งที่เรียกว่า "ไกวัลยธรรม" ที่อยู่ในรูป พระพุทธภาษิต อันขึ้นต้น ด้วยคำว่า "อุปฺปาทา วา ภิกฺขเว ตถาคตานํ, อนุปฺปทา วา ตถาคตานํ" อย่างนี้ มีอยู่ ๒ ชุด ชุดหนึ่งหมายถึง "ไตรลักษณ์" คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อีกชุดหนึ่งหมายถึง "อิทัปปัจจยตา" คือ ปฏิจจสมุปบาท ดังปรากฏจากพระไตรปิฎก ดังนี้ -

อุปฺปาทา วา ภิกฺขเว ตถาคตานํ, อนุปฺปาทา วา ตถาคตานํ.
- ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุที่ตถาคตทั้งหลายจะเกิดขึ้นก็ตาม พระตถาคตทั้งหลายจะไม่เกิดขึ้นก็ตาม

ฐิตา ว สา ธาตุ - ธรรมธาตุนั้น ตั้งอยู่แล้วนั่นเทียว

ธมฺมฎฐิตตา ธมฺมนิยามตา
- ตั้งอยู่ในฐานะเป็นธรรมดาแห่งธรรม เป็นกฏตายตัวแห่งธรรม

สพฺเพ สงฺขารา อนิจฺจา ติ.
-ว่า สังขารทั้งหลายทั้งปวง ไม่เที่ยง.

ดังนี้เป็นต้น นี้อย่างหนึ่ง เป็นเรื่องเกี่ยวกับไตรลักษณ์. (๑๔)

อีกอย่างหนึ่ง เกี่ยวกับเรื่อง อิทัปปัจจยตา หรือ ปฏิจจสมุปบาท มีบาลีที่ขึ้นต้นอย่างเดียวกัน คือ

อุปฺปาทา วา ภิกฺขเว ตถาคตานํ, อนุปฺปาทา วา ตถาคตานํ.
- ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุที่ตถาคตทั้งหลายจะเกิดขึ้นก็ตาม พระตถาคตทั้งหลายจะไม่เกิดขึ้นก็ตาม

ฐิตา ว สา ธาตุ - ธรรมธาตุนั้น ตั้งอยู่แล้วนั่นเทียว
ธมฺมฏฐิตตา - ตั้งอยู่ในฐานะเป็นธรรมดาแห่งธรรม
ธมฺมนิยามตา - เป็นกฏตายตัวแห่งธรรม
อิทปฺปจฺจยตา - ความที่เมื่อมีสิ่งนี้ๆ เป็นปัจจัย สิ่งนี้ๆ ย่อมเกิดขึ้น
อวิชฺชา ปจฺจยา สงฺขารา ติ. - ว่า เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย สังขารทั้งหลายจึงเกิดขึ้น.

ดังนี้เป็นต้น นี่เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับ อิทัปปัจจยตา หรือ ปฏิจจสมุปบาท. (๑๕)

ในความหมายนี้ เมื่อกล่าวโดยสรุป ก็ได้แก่ความหมายตามคำต่างๆ เหล่านี้ คือ -

ตถตา
อวิตถตา
อนญฺญถตา
อิทปฺปจฺจยตา
- ความเป็นอย่างนั้น
- ความไม่ผิดไปจากความเป็นอย่างนั้น
- ความไม่เป็นไปโดยประการอื่น
- แต่จะเป็นไปตามความที่ "เมื่อมีสิ่งนี้เป็นปัจจัย สิ่งนี้ๆ จึงเกิดขึ้น".


เมื่อพิจารณาโดยรอบคอบแล้ว ทุกท่านจะพบ ด้วยตนเองว่า ทุกคำ มีความหมาย ระบุถึง สิ่งเดียวกัน คือ สิ่งที่มีสภาวะเป็นหนึ่ง ซึ่งตั้งอยู่อย่างถาวร ไม่เปลี่ยนแปลง สิ่งนั้นแลที่ได้นามว่า "ไกวัลยธรรม". (๑๖)

คำว่า "ตถาคต" แปลว่า "มาอย่างไร ไปอย่างนั้น" ถ้าหมายถึง พระพุทธเจ้า ก็กล่าวได้ว่า "มาอย่างพระพุทธเจ้า ไปอย่างพระพุทธเจ้า" ทีนี้ ในความหมายที่ พระพุทธเจ้าจะเกิดขึ้น หรือไม่ก็ตาม สิ่งที่เรียก "ไกวัลยธรรม" เป็นสิ่งที่ตั้งอยู่แล้วอย่างนั้น (ฐิตา ว สา ธาตุ) ไม่เปลี่ยนแปลง สิ่งที่เป็นตถาคตทั้งหลาย จะเปลี่ยนแปลง ไปอย่างใด มันก็ยัง ตั้งอยู่อย่างนั้น อย่างไม่ฟังเสียงใคร. (๑๗)

เมื่อถือเอาความหมาย ของคำว่า "ตถาคต" ว่า "มาอย่างไร ไปอย่างนั้น" ก็มีความหมาย รวมไปถึง สัตว์ทั้งหลายด้วย คือ "มาอย่างสัตว์ ไปอย่างสัตว์" เมื่อมี การมา ก็ย่อมคู่กับ การไป อันนี้ยังเป็นไป ตามลักษณะของการปรุงแต่ง ฉะนั้น องค์พระพุทธเจ้า ในความหมายของ ตถาคต คงหมายถึง การปรากฏขึ้น โดยรูปธรรม อันอยู่ในกฏที่ว่า "สิ่งใดเกิด สิ่งนั้นดับ" เมื่อกล่าวถึง การเกิดขึ้น ของพระพุทธเจ้า ก็ย่อมมีการดับไป ของพระพุทธเจ้า อันเป็นส่วนของ รูปธรรม เช่นเดียวกับ สิ่งทั้งหลายที่มี "การเกิดขึ้น แล้วก็ดับไป". (๑๘)

หมายความว่า พระพุทธเจ้าทั้งหลาย จะเกิดขึ้นในโลก กี่ล้านองค์ ก็ตาม แต่ "ธาตุนั้นก็ยังตั้งอยู่อย่างนั้น" ไม่เปลี่ยนแปลง สิ่งนั้น จึงมิใช่พระพุทธเจ้า หรือตถาคต แต่ผู้ใดมาพบสิ่งนั้นเข้า จะได้นามว่า เป็น "พระพุทธเจ้า" สิ่งนั้นคือ "ไกวัลยธรรม" อันเป็นสิ่งที่ตั้งอยู่ ตลอดกาล. (๑๙)

ศึกษาสิ่งทั้งหลายในแง่วิทยาศาสตร์

"ไกวัลยธรรม" ตั้งอยู่ในฐานะที่เป็น "กฏ" อันเป็นที่รองรับ ปรากฏการณ์ ของสิ่งทั้งปวง โลก ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ รวมทั้งสิ่งทั้งปวง ที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป ใน "กฏ" อันนี้ ด้วยอำนาจของ อิทัปปัจจยตา ซึ่งตั้งอยู่ ในฐานะเป็น ไกวัลยธรรม นั่นคือ เพราะมี ไกวัลยธรรม สิ่งทั้งหลายทั้งปวง ได้อาศัยเกิดขึ้น รวมทั้งพระพุทธเจ้า ด้วย. (๒๐)

สิ่งที่เรียกว่า "พระเจ้า" ก็ควรหมายถึง "กฏ" อันนี้ ในฐานะที่เป็น สิ่งตั้งอยู่ตลอดกาล แล้วสิ่งทั้งปวงก็ปรากฏขึ้น ด้วยอำนาจแห่งพระเจ้า ฉะนั้น "พระเจ้า" ที่แท้จริง ควรหมายถึง "ไกวัลยธรรม" อันมีชื่อเรียกรวมไปว่า "ธรรมธาตุ" แปลว่า "ความมีอยู่แห่งธรรม". (๒๑)

คำว่า "ธา-ตุ" แปลว่า "ทรงตัวอยู่" หมายถึงการทรงอยู่อย่างถาวร ไม่เปลี่ยนแปลง ได้แก่ สิ่งที่เรียกว่า "ไกวัลยธรรม" นั่นเอง สิ่งนอกนั้น เป็นเพียง ปฏิกิริยา ที่ถูกปรุงแต่ง ขึ้นมา มีการเกิดขึ้น แล้วดับไป เป็นลักษณะของ การทรงตัวอยู่ ของความเปลี่ยนแปลง อันปรากฏอยู่ ในที่เดียวกัน ฉะนั้น จึงกล่าวได้ว่า จะพบความ ไม่เปลี่ยนแปลงได้ ตรงที่มี ความเปลี่ยนแปลง พิจารณาเห็น ความเปลี่ยนแปลง ตามเป็นจริง แล้วปล่อยวาง ความเปลี่ยนแปลง เสีย ก็จะพบ ความไม่เปลี่ยนแปลง ที่ตรงนั้น ดังที่พระพุทธองค์ ตรัสว่า "จะพบพระพุทธเจ้าได้ ที่ความแก่ ความเจ็บ ความตาย"ดังนี้. (๒๒)

ในเมื่อ "ไกวัลยธรรม" ตั้งอยู่ในฐานะเป็น "ธรรมธาตุ" ที่ไม่เปลี่ยนแปลง โดยเหตุนี้ พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า "ตถาคตจะเกิดหรือไม่เกิดก็ตาม ธรรมธาตุนั้น ตั้งอยู่แล้วนั่นเทียว คือ ตั้งอยู่ตลอดกาล". (๒๓)

สมัยพุทธกาล มีผู้พบ "สิ่งที่มีอยู่ก่อนสิ่งทั้งปวง"

มนุษย์มีสัญชาติญาณ ที่ตรงกันอยู่อย่างหนึ่งคือ มีความสนใจ ที่จะรู้จักต้นตอ หรือ "ปฐมเหตุ" ของสิ่งทั้งปวง เมื่อพบแล้ว ก็ให้ชื่อเรียก ไปต่างๆกัน เช่น เต๋า พระเจ้า หรือ ปรมาตมัน เป็นต้น. (๒๔)

ในทางพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าตรัสเรียก ปฐมเหตุของสิ่งทั้งปวงว่า "ธรรมธาตุ" ได้แก่ความจริงที่เป็น อสังขตธรรม คือสิ่งที่เหตุปัจจัย ปรุงแต่งไม่ได้ กฏอันนี้ เป็นกฏที่ตั้งขึ้นโดยธรรมชาติ เรียกว่า "กฏอิทัปปัจจยตา" มันเป็นตัวของมันเอง มันแต่งตั้งตัวของมันเอง แล้วมันบังคับสิ่งทั้งปวงด้วย ตั้งอยู่ในฐานะที่เรียกได้ว่า เป็น "ปฐมเหตุ". (๒๕)

ในยุคเดียวกับพระพุทธเจ้า ทางประเทศจีน มีบุคคลสำคัญผู้หนึ่งนามว่า "เหลาจื๊อ" ได้บัญญัติคำสอนเกี่ยวกับ "เต๋า" เอาไว้ว่า มีสิ่งอยู่สิ่งหนึ่ง มีอยู่ก่อนโลก ไม่ใช่วัตถุ ไม่ใช่จิตใจ สิ่งนั้นเรียกว่า สิ่งนั้นเรียกว่า "เต๋า" อันหมายถึงสิ่งที่มีอยู่ก่อนโลกเกิด แล้วคำว่า "เต๋า" นี้ มีคำแปลตรงกับคำว่า "ธรรม". (๒๖)

ในประเทศอินเดีย มีสิ่งที่เรียกว่า "ปรมาตมัน" สิ่งนี้ก็บัญญัติขึ้น เพื่อแสดงถึง สภาพที่มีอยู่ตลอดกาล แล้วสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้น ทั้งหลายนั้น ล้วนแยกออกไป จากปรมาตมัน ทั้งสิ้น สิ่งที่แยกออกไปนั้น เรียก "อาตมัน" ครั้นภาวะของ อาตมัน สิ้นสุดลง ตามเหตุตามปัจจัย ก็กลับไปรวมกับ ปรมาตมัน ตามเดิม. (๒๗)

ในดินแดนปาเลสไตน์ ของพวกยิว ก่อนที่จะเกิด ศาสนาคริสเตียน ซึ่งนับได้ว่า เป็นยุคเดียวกันกับ พุทธศาสนา ก็มีคำพูด ที่เรียกสิ่งๆ หนึ่ง ซึ่งมีอยู่ก่อนสิ่งทั้งปวง เรียกว่า "พระเจ้า" หรือ "God-ก๊อด" ตรงกับ "กฏ" ที่หมายถึง ในพระพุทธศาสนา. (๒๘)

ครั้นมาถึง สมัยศาสนาคริสเตียน เกิดหลังพระพุทธศาสนา ประมาณ ๕๐๐ ปี ก็มีการรับรองว่า God หรือพระเจ้า เป็นสิ่งที่ "มีอยู่ก่อนสิ่งทั้งปวง" คือ มีอยู่ตลอดอนันตกาล สิ่งทั้งปวงนั้น ถูกสร้างขึ้น ด้วยน้ำมือของพระเจ้าทั้งสิ้น อันมีลักษณะ ที่ตรงกันกับ สิ่งที่เรียกว่า "ไกวัลยธรรม". (๒๙)

ยังมีลัทธิเบ็ดเตล็ด อีกหลายแขนง ที่ล้วนแสดง ให้เห็นว่า คนยุคนั้น ได้ยอมรับ ตรงกันไปหมดว่า มันมีอยู่สิ่งหนึ่ง ซึ่งมีอยู่ก่อนสิ่งทั้งปวง และเป็นที่มาของสิ่งทั้งปวง อันปรากฏขึ้นในโลก แต่สิ่งนั้นไม่เปลี่ยนแปลง ไปตามสิ่งทั้งปวง นับเป็นสิ่งที่ดำรงอยู่ ตลอดอนันตกาล. (๓๐)

นี่แสดงว่า "ไกวัลยธรรม" หรือ "สิ่งที่มีอยู่ก่อนสิ่งทั้งปวง" ในความหมายทั่วไป มิใช่มีเฉพาะแต่ในพระพุทธศาสนา ย่อมมีอยู่ทั่วไปในลัทธิต่างๆ ดังกล่าวมา ฉะนั้น โดยหลักใหญ่ ในศาสนาต่างๆ มิได้ปฏิเสธ "สิ่งนี้" อาจมี แตกต่างกันไปบ้าง ในส่วนปลีกย่อย ที่ไม่สำคัญเท่านั้น. (๓๑)

เมื่อรู้ว่า "ไกวัลยธรรม" เป็นตัวแม่ดั้งเดิม ของทุกสิ่ง อันมีสภาพที่ไม่รู้จัก เกิดแก่เจ็บตาย ก็จะทำให้เห็นว่า สรรพสิ่งทั้งหลาย ทั้งที่มีชีวิต และไม่มีชีวิต เป็นเหมือน ฟองน้ำ หรือ เกลียวคลื่น ที่กำลังโลดแล่น อยู่บนพื้นผิวของทะเล เท่านั้น คือ ตกอยู่ภายใต้ของ สภาพแห่งความเปลี่ยนแปลง อย่างเท่าเทียมกัน ถ้ารู้ได้อย่างนี้ จะทำให้ ไม่มีการทะเลาะวิวาทกัน ทั้งในส่วนบุคคล และส่วนสังคม และยิ่งกว่านั้น จะทำให้เกิดความพอใจ ต่อการที่จะกลับคืน สู่สภาวะเดิม อันเป็นที่สิ้นสุด แห่งความทุกข์ คือ ความไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ และไม่ตาย อีกต่อไป. (๓๒)

วิถีทางที่จะนำไปสู่ สภาวะเดิม ได้แก่ ความรู้เรื่องไตรลักษณ์ เรื่องปฏิจจสมุปบาท เรื่องอริยสัจจ์ ซึ่งเป็นกฏเกณฑ์ อันเดียวกัน ที่สำเร็จมาจาก กฏ "อิทัปปัจจยตา" ฉะนั้น การรู้เรื่องอิทัปปัจจยตา จึงเป็นการง่ายที่จะเข้าถึง "ไกวัลยธรรม" เพราะมันเป็นสิ่งเดียวกัน โดยเหตุนี้ จึงกล่าวได้ว่า การรู้จัก ไกวัลยธรรม ย่อมทำให้รู้จัก สิ่งทั้งหมด ในพระพุทธศาสนา "รู้หนึ่ง รู้หมด". (๓๓)

ทั้งหมดนี้ เป็นการแสดงให้เห็นว่า "ไกวัลยธรรม" เป็นสิ่งที่มีก่อน และหลังสิ่งทั้งปวง การเข้าถึงไกวัลยธรรม ก็ต้องอาศัย สิ่งทั้งปวงนั้น นั่นเอง เป็นสะพานหรือ เป็นตัวกำหนด ถึงเวลาแล้วหรือยัง ที่จะคิดกลับบ้านเดิม กันเสียที. (๓๔)





จะเห็นว่า

การศึกษาหลักธรรมของท่านพุทธทาส

ยิ่งศึกษายิ่งใกล้ธรรม

ยิ่งใกล้พระพุทธองค์

.....................................................
นิพพานที่นี่ เดี๋ยวนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 มิ.ย. 2010, 08:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
คุณ mes ครับ นอกจากทิฏฐิของอาจารย์ใหญ่คุณแล้ว

ควรจะนำหลักธรรมจากพระไตรปิฏก อรรถกถา คัมภีร์ของ เถรวาท มาเผยแพร่ ชี้แจงด้วยนะครับ

อย่างเรื่อง พระพุทธพจน์เรื่องโทษของการยึดติดตัวบุคคล ที่ผมนำมาแสดง และคุณ mesก็อ้างตาม คงจะเห็นด้วยเช่นกัน

อัตตโนมติของท่านท่านพุทธทาส และอาจารย์ต่าง ๆ ที่แสดงความสงสัยเคลือบแคลงในพระไตรปิฏก อรรถกถา งดไว้ก่อนครับ

กรณีธรรมกาย
http://members.tripod.com/~b2b2/tmk/

ถ้าหลักคำสอนยังมีมาตรฐานรักษา
พระพุทธศาสนาก็อยู่ไปได้ถึงลูกหลาน


เมื่อสงสัยคำหรือความใดแม้แต่ในพระไตรปิฎก ก็ไม่จำเป็นต้องเชื่อทันทีอย่างผูกขาด แต่สามารถตรวจสอบก่อน ดังที่พระพุทธเจ้าได้ทรงวางหลักทั่วไปไว้แล้ว ซึ่งสำหรับพวกเราบัดนี้ก็คือการใช้คำสั่งสอนในพระไตรปิฎก ตรวจสอบแม้แต่คำสั่งสอนในพระไตรปิฎกด้วยกันเอง กล่าวคือ หลักมหาปเทส 4 ได้แก่ ที่อ้างอิงใหญ่ หรือหลักใหญ่สำหรับใช้อ้างเพื่อสอบสวนเทียบเคียง เริ่มแต่หมวดแรก ที่เป็นชุดใหญ่ ซึ่งแยกเป็น

1. พุทธาปเทส (ยกเอาพระพุทธเจ้าขึ้นอ้าง)
2. สังฆาปเทส (ยกเอาสงฆ์ทั้งหมู่ขึ้นอ้าง)
3. สัมพหุลัตเถราปเทส (ยกเอาพระเถระจำนวนมากขึ้นอ้าง)
4. เอกเถราปเทส (ยกเอาพระเถระรูปหนึ่งขึ้นอ้าง)1
(ที.ม. 10/113/104; องฺ.จตุกฺก. 21/180/227)

นอกจากนั้น ถ้าเป็นปัญหาหรือข้อสงสัยที่จำกัดลงมาในส่วนพระวินัย ก็สามารถใช้หลักมหาปเทส 4 ชุดที่ 2 ตรวจสอบ ซึ่งจะไม่กล่าวรายละเอียดในที่นี้ เพราะนักวินัยทราบกันดี (ดู วินย. 5/92/131)

เมื่อพิจารณากว้างออกไป โดยครอบคลุมถึงคำสอนรุ่นหลังๆ หรือลำดับรองลงมา ท่านก็มีหลักเกณฑ์ที่จะให้ความสำคัญในการวินิจฉัยลดหลั่นกันลงมา โดยวางเกณฑ์วินิจฉัยคำสอนความเชื่อและการปฏิบัติ เป็น 4 ขั้น คือ (ดู ที.อ.2/172/; วินย.อ.1/271; วินย.ฎีกา 3/352)

1. สุตตะ ได้แก่ พระไตรปิฎก
2. สุตตานุโลม ได้แก่ มหาปเทส (ยอมรับอรรถกถาด้วย)
3. อาจริยวาท ได้แก่ อรรถกถา (พ่วงฎีกา อนุฎีกาด้วย)
4. อัตตโนมติ ได้แก่ มติของบุคคลที่นอกจากสามข้อต้น

"สุตตะ" คือพุทธพจน์ที่มาในพระไตรปิฎกนั้น ท่านถือเป็นมาตรฐานใหญ่ หรือเกณฑ์สูงสุด ดังคำที่ว่า

" แท้จริง สุตตะ เป็นของคืนกลับไม่ได้ มีค่าเท่ากับการกสงฆ์ (ที่ประชุมพระอรหันตสาวก 500 รูป ผู้ทำสังคายนาครั้งที่ 1) เป็นเหมือนครั้งที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายยังสถิตอยู่" (วินย.อ. 1/272)

" เพราะว่า เมื่อค้านสุตตะ ก็คือ ค้านพระพุทธเจ้า" (วินย.ฎีกา.2/71)

พาหิรกสูตร (สูตรภายนอก คือสูตรที่ไม่ได้ขึ้นสู่สังคายนาทั้ง 3 ครั้งใหญ่) ตลอดถึงพระสูตรของนิกายมหาสังฆิกะ (นิกายใหญ่ที่จัดเป็นหินยานที่สืบต่อจากภิกษุวัชชีบุตร และต่อมาพัฒนาเป็นมหายาน) ท่านก็จัดเข้าเกณฑ์ไว้แล้วว่า

"...ไม่พึงยึดถือ ควรตั้งอยู่ในอัตตโนมตินั่นแหละ หมาย ความว่า อัตตโนมติ ในนิกายของตน (เถรวาท) ยังสำคัญกว่าสูตรที่นำมาจากนิกายอื่น " (วินย.ฎีกา 2/72)



การไปยึดติดตัวบุคคล และทิฏฐิของบุคคลนั้นมากเกินไป เป็นผลเสียมากครับ

ยิ่งทิฏฐินั้น นำเราห่างไกลจากพระพุทธองค์



กรณีธรรมกายยกขึ้มาทำไม

อย่ามั่วประเด็นเรากำลังพูดเรื่องท่านพุทธทาส

เอาทีละประเด็นอย่างมั่ว ชอบมั่วนักน่ะเรา เวลาขี้แพ้จะชวนตี

อ้างคำพูด:
คุณ mes ครับ นอกจากทิฏฐิของอาจารย์ใหญ่คุณแล้ว

ควรจะนำหลักธรรมจากพระไตรปิฏก อรรถกถา คัมภีร์ของ เถรวาท มาเผยแพร่ ชี้แจงด้วยนะครับ



ยกพระสูตรมาตั้งเยอะตั้งแยะทำไมไม่แหกตาอ่าน

ขณะนี้กำลังพูดถึงท่านพุทธทาส

อย่าพยายามชักใบให้เรือเสีย

.....................................................
นิพพานที่นี่ เดี๋ยวนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 มิ.ย. 2010, 08:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
การไปยึดติดตัวบุคคล และทิฏฐิของบุคคลนั้นมากเกินไป เป็นผลเสียมากครับ

ยิ่งทิฏฐินั้น นำเราห่างไกลจากพระพุทธองค์


อย่างเช่นการยึดถือ

อภิธรรมที่มากเกินไป

การยึดถืออัตตโนมัติของแนบ

อัตตโนมัติของบุญมี

อัตตโนมัติของหลวงพ่อเสือ

โดยไม่มนสิการเสียก่อน

เรียกว่าเชื่อตามอัตตโนม้ติอจารย์

เป็นความงมงายของเหลิม



อ้างคำพูด:
ไกวัลยธรรม คำกลอน
ผู้เห็นธรรม นำวิชชา ตถาคต

มากำหนด สิ่งเกิดดับ อย่างแตกฉาน

มีปัญญา ส่องแสง แห่งดวงมาน

สมประสาน โลกธรรม เป็นหนึ่งเดียว

การถึงธรรม นำกิเลส มาแปรธาตุ

คนฉลาด กวาดทุกข์ ไม่หวาดเสียว

กระแสทุกข์ ท่วมท้น มาเป็นเกลียว

ตัดกระแส ไหลเชี่ยว ขึ้นฝั่งไป

เปรียบข้าวสาร คือกิเลส เหตุแห่งทุกข์

เอามาหุง ทำให้สุก สิ้นสงสัย

การหุงคือ ปัญญา กล้าดุจไฟ

แปลงกิเลส ให้เป็นไท สู่ไกวัลย์

เห็นกิเลส คือธรรม นำพ้นผิด

โปรดหยุดคิด สรรพสิ่ง สร้างสุขสันติ์

เรียกปัญญา มาใช้ ให้รู้ทัน

กิเลสนั้น แปลงกาย ได้ถึงธรรม




.....................................................
นิพพานที่นี่ เดี๋ยวนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 มิ.ย. 2010, 08:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ก็อาจารย์ใหญ่ของคุณ อ้างว่าพระไตรปิฏก ไม่น่าเชื่อถือเพราะถูกปลอมปนเกือบทั้งหมด

แล้วคุณยกย่องทิฏฐิอาจารย์คุณเหนือ พระไตรปิฏก

คงจะหาจุดร่วมยากครับ

ยกเว้น กับทิฏฐิที่เชื่อว่า จิตเป็นอมตะ ไปเกิดในดินแดนพระนิพพาน แล้วหันกลับมาสร้างความไม่น่าเชื่อถือในพระไตรปิฏก อรรถกถา

คุณ mes และ คุณหลับอยู่ อาจจะร่วมกันได้ครับ เพื่อ อัตตโนมติของอาจารย์ตน


เหลิมเก็บอาการไว้ด้วย

เสียแรงคุยไว้ว่า

เหลิม เขียน:
นำมาฝากทุกท่านครับ จากพระไตรปิฏก อรรถกถา


พระศาสดาทรงอดกลั้นคำล่วงเกินได้
http://www.84000.org/tipitaka/attha/att ... 5&i=33&p=1

พระศาสดาตรัสว่า "อานนท์ เราเป็นเช่นกับช้างที่เข้าสู่สงคราม การอดทนต่อลูกศรที่แล่นมาจาก ๔ ทิศเป็นภาระของช้างที่เข้าสู่สงครามฉันใด, ชื่อว่าการอดทนถ้อยคำที่ชนทุศีลแม้มากกล่าวแล้ว เป็นภาระของเราฉันนั้นเหมือนกัน"
เมื่อทรงปรารภพระองค์แสดงธรรม ได้ทรงภาษิตพระคาถาเหล่านี้ในนาควรรคว่า :-
๑. อหํ นาโคว สงฺคาเม จาปาโต ปติตํ สรํ
อติวากฺยนฺติติกฺขิสฺสํ ทุสฺสีโล หิ พหุชฺชโน.
ทนฺตํ นยนฺติ สมิตึ ทนฺตํ ราชาภิรูหติ
ทนฺโต เสฏฺโฐ มนุสฺเสสุ โยติวากฺยนฺติติกฺขติ.
วรมสฺสตรา ทนฺตา อาชานียา จ สินฺธวา
กุญฺชรา จ มหานาคา อตฺตทนฺโต ตโต วรํ.
เราจักอดกลั้นคำล่วงเกิน เหมือนช้างอดทนต่อลูกศรที่ตก
จากแล่งในสงครามฉะนั้น, เพราะชนเป็นอันมากเป็นผู้ทุศีล.
ชนทั้งหลาย ย่อมนำสัตว์พาหนะที่ฝึกแล้วไปสู่ที่ประชุม
พระราชาย่อมทรงสัตว์พาหนะที่ฝึกแล้ว, บุคคลผู้อดกลั้นคำล่วง
เกินได้ ฝึก (ตน) แล้ว เป็นผู้ประเสริฐในมนุษย์ทั้งหลาย,
ม้าอัสดร ๑ ม้าสินธพผู้อาชาไนย ๑ ช้างใหญ่ชนิดกุญชร ๑
ที่ฝึกแล้วย่อมเป็นสัตว์ประเสริฐ แต่บุคคลที่มีตนฝึกแล้วย่อมประเสริฐ
กว่า (สัตว์พิเศษนั้น).

----------------------------------------------------------------------------


024 วิธีปฏิบัติเมื่อถูกด่าว่า

ปัญหา เมื่อเราถูกด่าว่าด้วยถ้อยคำหยาบคาย เราควรจะปฏิบัติอย่างไร?
http://www.84000.org/true/024.html

พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ทางแห่งถ้อยคำที่บุคคลอื่นจะพึงกล่าวกะท่านมีอยู่ ๕ ประการ คือ
กล่าวโดยกาลอันสมควรหรือไม่สมควร ๑
กล่าวด้วยเรื่องจริงหรือไม่จริง ๑
กล่าวด้วยคำอ่อนหวานหรือคำหยาบคาย ๑
มีจิตเมตตาหรือมีโทสะในภายในกล่าว ๑
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อบุคคลอื่นจะกล่าวโดยกาลอันสมควรหรือไม่สมควรก็ตาม
จะกล่าวด้วยเรื่องจริงหรือไม่จริงก็ตาม
จะกล่าวด้วยคำอ่อนหวานหรือคำหยาบคายก็ตาม
จะกล่าวถ้อยคำประกอบด้วยประโยชน์หรือไม่ประกอบด้วยประโยชน์ก็ตาม
จะมีจิตเมตตาหรือมีโทสะภายในกล่าวก็ตาม
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย แม้ในข้อนั้น พวกเธอพึงศึกษาอย่างนี้ว่า จิตของเราจักไม่แปรปรวน

เราจักไม่เปล่งวาจาลามก
เราจักอนุเคราะห์ด้วยสิ่งอันเป็นประโยชน์
เราจักมีจิตเมตตา ไม่มีโทสะในภายในเราจักแผ่เมตตาจิตไปถึงบุคคลนั้น
และจักแผ่เมตตาจิตอันไพบูลย์ ใหญ่ยิ่งหาประมาณมิได้ ไม่มีเวร ไม่มีพยาบาทไปตลอดโลก ทุกทิศทุกทางซึ่งเป็นอารมณ์ของจิตนั้นดังนี้
ดูก่อนภิกษุทั้งหลายเธอทั้งหลายถึงศึกษาด้วยอาการดังที่กล่าวมานี้แลฯ ”



กกจูปมสูตร มู. ม. (๒๖๗)
ตบ. ๑๒ : ๒๕๕-๒๕๖ ตท.๑๒ : ๒๐๖-๒๐๗
ตอ. MLS. I : ๑๖๓-๑๖๔

.....................................................
สมถะ (ฌาน, สมาธิ) ที่เป็นบาทของวิปัสสนา
viewtopic.php?f=2&t=21049

ผู้บรรลุธรรม จากสมถะ มีจำนวนน้อยกว่าผู้ไม่มี
viewtopic.php?f=2&t=21062





ผู้ให้การอนุโมทนาสาธุ 5 ท่าน ให้กับคุณ chalermsak สำหรับตอบข้อความนี้:
-dd-, Google [Bot], I am, sirisuk, ชาติสยาม




ออกอาการอย่างนี้ก็แสดงว่าหมดกึ้น

.....................................................
นิพพานที่นี่ เดี๋ยวนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 มิ.ย. 2010, 08:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


คาดว่า

เหลิมคงจะไม่กล้าเข้ามาตอบกระทู้อีก

คงหาเวปใหม่

เอาโพสต์ที่ตุนไว้ไปฉายซ้ำต่อๆไป

55555555555555555555555555555555555555

.....................................................
นิพพานที่นี่ เดี๋ยวนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 มิ.ย. 2010, 08:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


โชคดีน่ะเหลิม

.....................................................
นิพพานที่นี่ เดี๋ยวนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 มิ.ย. 2010, 08:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
สมถะ (ฌาน, สมาธิ) ที่เป็นบาทของวิปัสสนา
viewtopic.php?f=2&t=21049


หรีออาจใช้วิปปัสนาเป็นเบืองแรก แล้วจึงทำสมถะก็ได้

การทำสมถะหรือฌานั้นมีองค์ฌานคือ

ปิติ วิตก วิจาร อุเบกขา

ไมใช่นั่งหลับตาหายใจทิ้งเฉยๆ

.....................................................
นิพพานที่นี่ เดี๋ยวนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 มิ.ย. 2010, 08:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ผู้บรรลุธรรม จากสมถะ มีจำนวนน้อยกว่าผู้ไม่มี
viewtopic.php?f=2&t=21062


หมายถึงว่า

ผู้ที่บรรลุอรหันต์แล้วได้ทั้งอภิญญาด้วยเท่านั้นเอง

เหลิมไม่เข้าใจ แต่มีผู้พยายามอธิบายเขาไมยอมฟัง

เขาฟังแต่อัตตโนมัติของแนบ เท่านั้น

อ้างคำพูด:
เห็นโทษของการยึดติดที่ตัวบุคคล ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้แล้วครับ

จากหนังสือ พุทธธรรม

ภิกษุทั้งหลาย ข้อเสีย ๕ อย่างในความเลื่อมใสบุคคลมีดังนี้ คือ
๑. บุคคลเลื่อมใสยิ่งในบุคคลใด บุคคลนั้นต้องอาบัติอันเป็นเหตุให้
สงฆ์ยกวัตร เขาจึงคิดว่า บุคคลผู้เป็นที่รักที่ชอบใจของเรานี้ ถูกสงฆ์ยก
วัตรเสียแล้ว...
๒. บุคคลเลื่อมใสยิ่งในบุคคลใด บุคคลนั้นต้องอาบัติอันเป็นเหตุให้
สงฆ์บังคับให้นั่ง ณ ท้ายสุดสงฆ์เสียแล้ว...
๓. ...บุคคลนั้น ออกเดินทางไปเสียที่อื่น...
๔. ...บุคคลนั้น ลาสิกขาเสีย...
๕. ...บุคคลนั้น ตายเสีย...
เขาย่อมไม่คบหาภิกษุอื่นๆ เมื่อไม่คบหาภิกษุอื่นๆ ก็ย่อมไม่ได้สดับ
สัทธรรม เมื่อไม่ได้สดับสัทธรรม ก็ย่อมเสื่อมจากสัทธรรม
เมื่อความเลื่อมใสศรัทธากลายเป็นความรัก ข้อเสียในการที่ความ
ลำเอียงจะมาปิดบังการใช้ปัญญาก็เกิดขึ้นอีก เช่น
ภิกษุทั้งหลาย สิ่ง ๔ ประการนี้ ย่อมเกิดขึ้นได้ คือ ความรักเกิด
จากความรัก โทสะเกิดจากความรัก ความรักเกิดจากโทสะ โทสะเกิด
จากโทสะ
ฯลฯ โทสะเกิดจากความรักอย่างไร? บุคคลที่ตนปรารถนา รักใคร่
พอใจ ถูกคนอื่นประพฤติต่อด้วยอาการที่ไม่ปรารถนา ไม่น่ารักใคร่ ไม่น่า
พอใจ เขาย่อมมีความคิดว่า บุคคลที่เราปรารถนา รักใคร่พอใจนี้ ถูกคน
อื่นประพฤติต่อด้วยอาการที่ไม่น่าปรารถนา ไม่น่ารักใคร่ ไม่น่าพอใจ ดัง
นี้ เขาย่อมเกิดโทสะในคนเหล่านั้น ฯลฯ
แม้แต่ความเลื่อมใสศรัทธาในองค์พระศาสดาเอง เมื่อกลายเป็นความ
รักในบุคคลไป ก็ย่อมเป็นอุปสรรคต่อความหลุดพ้น หรืออิสรภาพทางปัญญา
ในขั้นสูงสุดได้ พระพุทธเจ้าจึงทรงสอนให้ละเสีย แม้บางครั้งจะต้องใช้วิธี
ค่อนข้างรุนแรง ก็ทรงทำ เช่น ในกรณีของพระวักกลิ ซึ่งมีความเลื่อมใส
ศรัทธาในพระองค์อย่างแรงกล้า อยากจะติดตามพระองค์ไปทุกหนทุกแห่ง
เพื่อได้อยู่ใกล้ชิด ได้เห็นพระองค์อยู่เสมอ ระยะสุดท้ายเมื่อพระวักกลิป่วย
หนักอยากเฝ้าพระพุทธเจ้า ส่งคนไปกราบทูล พระองค์ก็เสด็จมา และมีพระ
ดำรัสเพื่อให้เกิดอิสรภาพทางปัญญาแก่พระวักกลิ

.....................................................
นิพพานที่นี่ เดี๋ยวนี้


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 50 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร