วันเวลาปัจจุบัน 20 ก.ค. 2025, 03:02  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


อ่านกรรมแห่งกรรมจากบอร์ดเก่า
http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=4



กลับไปยังกระทู้  [ 50 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 มิ.ย. 2010, 12:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ม.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 141


 ข้อมูลส่วนตัว


ขอเป็นกำลังใจให้น้องติณนะคะ บุญกุศลใดใดที่พี่เคยทำไว้ตั้งแต่อดีตชาติ จนถึงปัจจุบันชาติ พี่ขอมอบให้น้องติณและเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย ขอให้น้องมีอายุยืนยาวสามารถอยู่ปฏิบัติธรรม กระทำความดี ทุกข์โศกโรคภัย อันตรายใด ๆ อย่าได้มาแผ้วพาล ขอให้เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายจงอโหสิกรรมให้น้อง ขอเจริญในธรรมค่ะ :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มิ.ย. 2010, 20:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มิ.ย. 2010, 11:00
โพสต์: 30

ชื่อเล่น: น้ำ
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


แวะเข้ามาดูครับ เป็นงัยบ้างครับดีขึ้นบ้างมั๊ย
ขอผลบุญที่ผมได้กระทำทั้งอดีตและปัจจุบัน
ส่งผลให้คุณติณณาห์ ได้มีสุขภาพกายและใจ
ที่แข็งแรงขึ้นนะครับ
:b8: :b8: :b8: :b8: :b8: :b8: :b8: :b8: :b8:
การมีชีวิตอยู่
การมีชีวิตอยู่-นานเท่าใด..
มิใช่..สิ่งสำคัญ
สิ่งสำคัญ..ก็คือ ..มีชีวิตอยู่-อย่างไร
ความอดทน..
คือ..เพื่อนสนิท..ของสติปัญญา
ในธรรมชาติ..ไม่มีสิ่งใดดีพร้อม
แต่ทุกอย่าง..ก็สมบูรณ์แบบในตัวเอง
ต้นไม้..อาจบิดเบี้ยว-โค้งงอ..อย่างประหลาด
แต่ก็ยังคง..ความงดงาม
ไม่มีสิ่งใด..ช่วยให้คุณ..ได้เปรียบคนอื่น
มากเท่ากับ..
การควบคุมอารมณ์..ให้สงบนิ่ง..อยู่ตลอดเวลา
ในทุกสถานการณ์

.....................................................
อายุสั้นหรือยืนไม่สำคัญ ที่เราเกิดมาเพื่อมีโอกาสสร้างความดี สั่งสมบุญบารมี นำชีวิตให้มีคุณค่า ไม่ใช่อยู่เพื่อเบียดเบียนตนเองและผู้อื่น


แก้ไขล่าสุดโดย น้าใส เมื่อ 15 มิ.ย. 2010, 20:01, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 มิ.ย. 2010, 14:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 มิ.ย. 2010, 13:27
โพสต์: 2

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อนุโมทนาค่ะ อ่านเรื่องของน้องแล้วเป็นธรรมทานได้ดีมาก คนเราเกิดมาต้องเจอวิบากกรรมมากน้อยแล้วแต่เหตุที่เราทำที่เรียกว่ากรรม มีอีกหลายคนเมื่อมีเรื่องทุกข์ใจแล้วยึดเอาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุธทเจ้าเป็นที่พึ่งทางใจ ได้ศึกษาธรรม ได้เรียนรู้ ได้เข้าใจ กฎไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา นั่นแหละคือ ชีวิตเกิดมาทำไม ขอเป็นกำลังใจให้น้องนะคะ เราเลือกปฏิบัติได้ถูกต้องแล้ว แม้เหนื่อยยากลำบากในการปฏิบัติเราก็ต้องทำ การสวดมนต์ การเจริญกรรมฐาน เป็นสิ่งดีงามคุณค่าแก่การปฏิบัติ น้องเป็นบุคคลที่กำลังใจเข้มแข็งมาก เรื่องราวของน้องสามารถสร้างกำลังใจให้อีกคนหลายคนที่เจอทุกข์ พี่เป็นกำลังใจนะคะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 มิ.ย. 2010, 16:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 มี.ค. 2010, 11:50
โพสต์: 25

แนวปฏิบัติ: ดูลมหายใจ
งานอดิเรก: อ่านหนังสือ ถักโครเชต์ ฟังธรรมะ
สิ่งที่ชื่นชอบ: มีเยอะจนบอกไม่ได้
อายุ: 0
ที่อยู่: somewhere over the rianbow

 ข้อมูลส่วนตัว


nuttida เขียน:
ขอเป็นกำลังใจให้น้องติณนะคะ บุญกุศลใดใดที่พี่เคยทำไว้ตั้งแต่อดีตชาติ จนถึงปัจจุบันชาติ พี่ขอมอบให้น้องติณและเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย ขอให้น้องมีอายุยืนยาวสามารถอยู่ปฏิบัติธรรม กระทำความดี ทุกข์โศกโรคภัย อันตรายใด ๆ อย่าได้มาแผ้วพาล ขอให้เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายจงอโหสิกรรมให้น้อง ขอเจริญในธรรมค่ะ :b8:






ขอบพระคุณมาก ๆ นะคะ อนุโมทนาค่ะ ^ ^


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 มิ.ย. 2010, 16:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 มี.ค. 2010, 11:50
โพสต์: 25

แนวปฏิบัติ: ดูลมหายใจ
งานอดิเรก: อ่านหนังสือ ถักโครเชต์ ฟังธรรมะ
สิ่งที่ชื่นชอบ: มีเยอะจนบอกไม่ได้
อายุ: 0
ที่อยู่: somewhere over the rianbow

 ข้อมูลส่วนตัว


น้าใส เขียน:
แวะเข้ามาดูครับ เป็นงัยบ้างครับดีขึ้นบ้างมั๊ย
ขอผลบุญที่ผมได้กระทำทั้งอดีตและปัจจุบัน
ส่งผลให้คุณติณณาห์ ได้มีสุขภาพกายและใจ
ที่แข็งแรงขึ้นนะครับ


ชอบคุณค่ะ ^ ^

อาการตอนนี้ก็เหมือนเดิมค่ะ เหนื่อยง่ายเหมือนเดิม ดีที่ว่ามันไม่ปวดเหมือนคนเป็นโรคมะเร็ง
อาการโดยปกติก็ผีเข้าผีออก โรคเวรโรคกรรมก็เป็นแบบนี้อ่ะค่ะ ^ ^" แฮ่ เป็นนั่นเป็นนี่ได้สารพัด
ก็ร่างกายมันไม่ใช่ของของเรา เราจะไปบังคับให้ได้ดังใจเรานึกคงจะเป็นไปไม่ได้

แต่ว่าโดยรวมแล้วช่วงนี้ค่อนข้างสบายใจมาก เพราะอยู่บ้านก็ฟังเทศน์ สวดมนต์ อ่านหนังสือธรรมะ
เกือบทุกวัน เป็นคนอื่นคงจะสติแตกแน่ ๆ ค่ะ ไม่ได้ออกไปเจอใครมาสี่เดือน
แต่ติณชินแล้วค่ะ คิดว่านี่ยังดีที่ไม่ต้องไปนอนอยู่โรงพยาบาล มีแต่สายระโยงระยางเต็มตัวไปหมด

^ ^ ช่วงนี้กำลังเริ่มจะเดินจงกรมค่ะ ไม่รู้จะไหวป่าว เดินก้าวสองก้าวก็เหนื่อยแล้ว
แต่เป็นไงเป็นกัน สู้ตาย อิ ๆ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 มิ.ย. 2010, 16:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 มี.ค. 2010, 11:50
โพสต์: 25

แนวปฏิบัติ: ดูลมหายใจ
งานอดิเรก: อ่านหนังสือ ถักโครเชต์ ฟังธรรมะ
สิ่งที่ชื่นชอบ: มีเยอะจนบอกไม่ได้
อายุ: 0
ที่อยู่: somewhere over the rianbow

 ข้อมูลส่วนตัว


สวัสดีค่ะ :b1: เรื่องของติณมันยังไม่จบแค่ที่เล่าไปนะคะ มันยังมีต่อ
เรื่องความเจ็บป่วยนี่ก็เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตที่ติณเจอ แต่มันยังมีเรื่องที่ทำให้ทุกข์ใจยิ่งกว่าเรื่องนี้ค่ะ


หลังจากที่ติณรักษาตัวที่โรงพยาบาล ได้ผ่าตัดแล้วอาการก็ดีขึ้น
สามสี่เดือนต่อมา ติณก็กลับมาเรียนเหมือนเดิม
ทีแรกอาจารย์ที่คณะก็บอกนะคะ ว่ายังไม่ต้องรีบก็ได้ เพราะคณะติณเรียนค่อนข้างหนัก
ใช้เวลาเรียนห้าปี ต้องเก็บราว ๆ 160 กว่าหน่วยกิต
โดยเฉพาเมเจอร์ที่ติณเรียน เทอม ๆ หนึ่ง เผลอ ๆ ต้องลงถึง 8 หรือไม่ก็ 9 ตัว
ค่อนข้างโหดเอาการ
แต่ตอนนั้นติณไม่คิดว่าตัวเองจะเรียนไม่ไหวเลย ก็ใจมันสู้ซะอย่าง ไม่ว่าจะหนักแค่ไหนก็ไม่เกินความสามารถเราหรอก
ตอนนั้นติณคิดว่ายังไงติณก็เรียนรอดแน่ ๆ อยู่แล้ว
แต่ชีวิตคนเรา บางครั้งอะไร ๆ มันก็ไม่ได้เป็นแบบที่เราคิดเสมอไป
เหมือนที่ใคร ๆ ชอบพูดกันว่า บางทีชีวิตมันก็ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ
ตั้งแต่เด็กจนโต ติณไม่เคยเจอปัญหาชีวิตหนัก ๆ ติณหมายถึงแบบที่มันหนักจริง ๆ
ก็เลยเป็นเด็กมองโลกในแง่บวกมาก มองอะไรก็ดูสวยงามไปหมด แต่การใช้ชีวิตอยู่ที่บ้านกับชีวิตนอกบ้านมันคนละเรื่องกันเลย



เรื่องของเรื่องก็คือ เทอมนั้นคนในบ้านลงความเห็นให้ติณมาอยู่หอ เพราะกลัวมาติณจะเหนื่อยและเครียด
จะได้ไม่ต้องเสียเวลาเดินทาง มันก็คงจะดีถ้าไม่มีปัญหาอะไร แต่สุดท้ายมันก็มีจนได้ค่ะ


มาอยู่ที่หอมันก็สนุกดี ได้มีเพื่อนใหม่ ๆ ได้เจอผู้คนใหม่ ๆ อะไร ๆ ก็เหมือนจะดูดีไปหมด
แต่จนแล้วจนรอดมันก็มีเรื่องแย่ ๆ เข้ามาอีกจนได้ เรื่องที่ว่าก็คือ ติณโดนผู้ชายหลอก แถมผู้ชายคนนี้ยังเป็นคนที่คนหลาย ๆ ให้ความเคารพนับหน้าถือตา ยกมือไหว้ เรียกเขาว่า อาจารย์
เขาเป็นอาจารย์สอนอยู่ในมหาวิทยาลัยเอกชนที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่ง
พูดเรื่องนี้ไปแล้ว สำหรับติณถ้าเป็นแต่ก่อน แค่นึกถึงก็ไม่อยากจะนึุกเลยค่ะ มันเป็นความเจ็บปวดของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่ได้เรียนรู้ว่า เธอมันอ่อนต่อโลกเหลือเกิน
แต่พอมาวันนี้ มันกลายเป็นเรื่องตลกไปเสียแล้ว กลายเป็นเรื่องขำ ๆ
กลายเป็นสิ่งที่สอนให้ติณรู้ว่า แค่คนคนเดียวมันไม่ได้ทำให้เราเจ็บจนปางตายหรอกนะ
เรานี่ล่ะที่ทำตัวเราเองทั้งนั้น ความเจ็บปวดมันไม่ได้มาจากสาเหตุที่ว่า เขาทำอะไรเรา
แต่มันอยู่ที่ตัวเราที่ยอมให้เขากระทำซ้ำแล้วซ้ำเล่า เจ็บซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทำร้ายตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ต่อให้มีคนถือมีดมากรีดลงไปบนตัวเรามากมายแค่ไหน ถ้าเราไม่รู้สึกรู้สาอะไร ต่อใ้ห้เขาทำแบบนั้นกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง เราก็ไม่เจ็บหรอกค่ะ
แต่ถ้าเป็นตัวเราเองจับมีดขึ้นมาเฉือนเนื้อตัวเอง นี่ล่ะ คือความเจ็บปวดที่แท้จริง




ตอนที่ติณเข้าไปอยู่หอ ติณได้อยู่กับรูมเมทคนหนึ่ง เขาเป็นรุ่นพี่ติณหนึ่งปี
รูมเมทคนนี้ชื่อพี่เมย์ พี่เมย์ไม่ใช่คนสวยอะไร เป็นคนติดเพื่อน คุยเก่งมาก
เรียกว่าคุยโทรศัพท์ได้ข้ามวันข้ามคืน
เอาเป็นว่าคุยได้ตั้งแต่ หนึ่งทุ่มของวันนี้จนกระทั่งถึงเจ็ดโมงเช้าของอีกวันหนึ่ง
พี่เมย์เป็นคนอ่อนไหว เขาบอกติณแบบนั้น บอกว่าเขาขี้เหงา พี่เมย์มีเพื่อนเยอะแยะ
แต่ส่วนมากก็เป็นเพื่อนที่รู้จักจากทางอินเตอร์เน็ต ซึ่งมาจากการคุยกันในเน็ตแล้วก็แลกเบอร์กัน
ผู้ชายคนนี้ก็เป็นเพื่อนที่พี่เมย์รู้จักมาจากในนั้นเหมือนกัน
เวลาพี่เมย์คุยอะไรกับใครก็มักจะเอามาเล่าให้ติณฟัง คนนั้นเป็นแบบนั้น คนนี้เป็นแบบนี้
ติณก็เฉย ๆ เวลาที่ฟังเขาพูด เพราะติณไม่เคยคิดจะไปใส่ใจอะไรกับเรื่องของคนอื่น
ตอนนั้นติณก็ได้รู้จักกลุ่มเพื่อนอีกกลุ่ม ซึ่งเ็ป็นเพื่อนที่เรียนคณะเดียวกันนี่ล่ะ เพียงแต่เรียนกันคนละเมเจอร์
หนึ่งในนั้นก็มีเพื่อนสนิทคนหนึ่งที่ต่อมาเป็นเพื่อนที่ติณรักมาก ๆ
เวลาไปไหนมาไหนติณก็มักจะไปกับเพื่อนกลุ่มนี้ พอเริ่มสนิท พี่เมย์ก็มาสนิทกับเพื่อนกลุ่มนี้ของติณด้วย
เพื่อนในกลุ่มนอกจากมีติณ พี่เมย์แล้ว ก็ยังมี ทราย แก้ว กุยช่าย และเพื่อนที่ติณรักมาก ๆ ซึ่งก็คือ น้ำตาล


เอาไว้จะมาเล่าให้ฟังต่อคราวถัดไป
เรื่องมันยังไม่จบนะคะ ขออนุญาตใช้ชื่อสมมติทั้งหมด เพื่อความปลอดภัยในชีวิตของติณเอง
ขอบพระคุณค่ะ ^ ^"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 มิ.ย. 2010, 19:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มิ.ย. 2010, 11:00
โพสต์: 30

ชื่อเล่น: น้ำ
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ติณณาห์ เขียน:
สวัสดีค่ะ :b1: เรื่องของติณมันยังไม่จบแค่ที่เล่าไปนะคะ มันยังมีต่อ
เรื่องความเจ็บป่วยนี่ก็เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตที่ติณเจอ แต่มันยังมีเรื่องที่ทำให้ทุกข์ใจยิ่งกว่าเรื่องนี้ค่ะ
เอาไว้จะมาเล่าให้ฟังต่อคราวถัดไป
เรื่องมันยังไม่จบนะคะ ขออนุญาตใช้ชื่อสมมติทั้งหมด เพื่อความปลอดภัยในชีวิตของติณเอง
ขอบพระคุณค่ะ ^ ^"


แวะมาเป็นกำลังใจให้ครับ บางทีบางครั้งเรายังไม่รู้ว่า
จะผ่านมันไปได้ยังไง แต่ด้วยคำบางคำมันทำให้เรามี
กำลังใจที่จะผ่านปัญหาไปได้ เอากำลังใจมาฝากด้วย
ครับ ขอให้สุขภาพกายและใจแข็งแรงขึ้นนะครับ
:b8: :b8: :b8: :b8: :b8: :b8: :b8: :b8: :b8:

.....หากเรามองว่า สิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ใช่ความทุกข์
แต่เป็นเพียง เรื่องโชคร้าย ที่ผ่านเข้ามาในบางจังหวะของชีวิต
เราก็จะไม่ทุกข์.....
และจะมีกำลังใจที่จะต่อสู้ กับเหตุการณ์โชคร้ายที่จะเกิดขึ้นได้.....

......เราปฎิเสธไม่ได้ว่า สิ่งที่ทำให้เราร้อนรนจิตใจ
ถ้าเรา เพียงแค่มองสิ่งเหล่านั้น ด้วยการมีเมตตา
เราจะสามารถรู้สึกสงบ และเป็นสุขได้.....

.....การมีชีวิตอยู่ในสังคมทุกวันนี้ เต็มไปด้วยความวุ่นวาย.....

.....การฝึกมองทุกสิ่งที่อยู่รอบตัว ด้วยความเมตตา
จะเป็นเกราะป้องกันจิตใจเรา ให้อยู่ห่างไกลจากความทุกข์
และจะรู้สึกเบาสบาย เป็นสุขได้ทุกเวลา.....


อยากให้ลองเข้าไปอ่านดูครับ อ่านให้จบนะครับ สาธุโชคดีหายไวๆนะครับ
การอุทิศบุญที่ได้ผล 1 (พระอาจารย์เกษม อาจิณฺณสีโล)
http://hermitstar.com/modules.php?name= ... cle&sid=35
การอุทิศบุญที่ได้ผล 2 (พระอาจารย์เกษม อาจิณฺณสีโล)
http://hermitstar.com/modules.php?name= ... 09fd438be9
การอุทิศบุญที่ได้ผล 3 (พระอาจารย์เกษม อาจิณฺณสีโล)
http://hermitstar.com/modules.php?name= ... 09fd438be9
การอุทิศบุญที่ได้ผล 4 (พระอาจารย์เกษม อาจิณฺณสีโล)
http://hermitstar.com/modules.php?name= ... 09fd438be9
การอุทิศบุญที่ได้ผล 5 (พระอาจารย์เกษม อาจิณฺณสีโล)
http://hermitstar.com/modules.php?name= ... 09fd438be9

.....................................................
อายุสั้นหรือยืนไม่สำคัญ ที่เราเกิดมาเพื่อมีโอกาสสร้างความดี สั่งสมบุญบารมี นำชีวิตให้มีคุณค่า ไม่ใช่อยู่เพื่อเบียดเบียนตนเองและผู้อื่น


แก้ไขล่าสุดโดย น้าใส เมื่อ 28 มิ.ย. 2010, 09:26, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ก.ค. 2010, 21:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ส.ค. 2009, 19:31
โพสต์: 169

แนวปฏิบัติ: ดูจิต
งานอดิเรก: ทำดี
สิ่งที่ชื่นชอบ: ทุกเล่มที่ชอบ
ชื่อเล่น: เก็บเกี่ยว
อายุ: 0
ที่อยู่: ในธรรม

 ข้อมูลส่วนตัว


เจ้าของกระทู้นี้ ไม่ทราบว่าทุกวันนี้ ยังอยู่ไหม หากยังอยู่เป็นอยู่อย่างบ้าง :b41: :b43: :b44: :b40:

.....................................................
รักษาที่ดีไว้ ก่อความดีใหม่ๆ ละๆๆชั่วต่อๆไป


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.ค. 2010, 17:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 มี.ค. 2010, 11:50
โพสต์: 25

แนวปฏิบัติ: ดูลมหายใจ
งานอดิเรก: อ่านหนังสือ ถักโครเชต์ ฟังธรรมะ
สิ่งที่ชื่นชอบ: มีเยอะจนบอกไม่ได้
อายุ: 0
ที่อยู่: somewhere over the rianbow

 ข้อมูลส่วนตัว


ขออนุญาตเล่าต่อเลยนะคะ



...........


สรุปก็คือในกลุ่มเพื่อนที่หอของติณก็จะมีด้วยกันทั้งหมด 6 คน ก็คือ
มีติณ น้ำตาล ทราย แก้ว กุยช่าย และพี่เมย์


ตอนที่ติณเรียนที่นั่น ติณอยู่หอพักในมหาวิทยาลัย ด้วยสาเหตุที่ว่า
แต่ก่อนครอบครัวติณไม่ชอบให้ลูกหลานไปอยู่หอเสียเท่าไร แต่เพราะความจำเป็น คือ ติณไม่สบาย
ติณถึงได้มาอยู่หออย่างที่ได้เล่าไปแล้วในคราวก่อน


หอพักที่ติณอยู่จะเป็นหอที่ทางมหาวิืทยาลัยให้นิสิตอยู่ด้วยกันได้ 3 คน
เพื่อนร่วมห้องของติณ นอกจากพี่เมย์แล้วก็ยังมี น้องเป้อีกคนหนึ่ง น้องเป้เรียนอยู่คณะแพทย์
ซึ่งเป็นที่รู้กันอยู่แล้วว่าเป็นคณะที่เรียนหนัก เธอจึงไม่ค่อยได้มานอนที่หอพักกับติณและพี่เมย์เสียเท่าไร
เพราะว่าพี่สาวเธอก็เรียนที่มหาลัยนี้เช่นกัน เธอจึงไป ๆ มา ๆ ระหว่างหอพี่สาวกับหอพักใน
ที่สำคัญคือ น้องเป้ไปอยู่กับพี่เพราะสะดวกสบายกว่า ที่สำคัญคือ เธอมีสมาธิในการอ่านหนังสือมากกว่า
ดังนั้นที่ห้องนี้จึงมีแค่ติณกับพี่เมย์อยู่ด้วยกันสองคน


ในสายตาติณแล้วพี่เมย์นับว่าเป็นผู้หญิงที่อัธยาศัยดีคนหนึ่ง เป็นคนมีอารมณ์ขัน มีเสน่ห์ พูดคุยสนุก
ไม่ว่าใครได้มาคุยก็ต้องรู้สึกเช่นนี้ แต่พี่เมย์มักจะคิดเสมอว่าตัวเองมีปมด้อยเพราะคิดว่าตนเป็นคนไม่สวย
ทำให้เธอมีปมในใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ตลอด ประกอบกับพี่เมย์มีปัญหาภายในครอบครัว ซึ่งตอนนี้ติณจำไม่ได้แล้วว่าเรื่องอะไร
จำได้แค่เพียงว่า พี่เมย์บอกว่านั่นเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เธอรู้สึกว่า เธอเป็นคนขาดความรัก
นั่นเป็นสาเหตุืที่ทำให้พี่เมย์มักชอบที่จะหาเพื่อนคุย โดยเฉพาะกับเพื่อนใน internet เพราะคนพวกนั้นไม่เห็นหน้าตาเธอ เพราะถ้าหากเห็นแล้ว เธอกลัวว่าไม่มีใครจะอยากคุยด้วย
พี่เมย์มักจะพูดเปรยเสมอ ๆ ว่า " ก็พี่ไม่ได้ขาว หมวย สวย น่ารัก " แบบนิสิตที่มาเรียนในมหาลัยนี้ส่วนใหญ่ ใครจะมาสนใจพี่ละ
ติณเองก็เคยถามเขาไปเหมือนกันว่า " แล้วทำไมพี่ต้องไปสนใจด้วยว่าใครจะสนใจพี่หรือไม่สนใจ"
แล้วพี่เมย์ก็จะตอบกลับมาด้วยเหตุผลเดิมที่เธอเคยบอก นั่นก็คือ เธอเป็นเด็กขาดความอบอุ่น


ตอนนั้นความรู้สึกที่ติณมีให้พี่เมย์ก็คือ ความรู้สึกสงสารเสียมากกว่า
เพราะติณคิดในมุมที่แตกต่างจากพี่เมย์มากก็คือ ติณคิดว่ายิ่งเราอยากได้อะไรมากแค่ไหนเราก็มักจะไม่ได้
ติณก็ไม่ได้รู้สึกว่า ตัวเองเป็นคนที่โตมากับความอบอุ่นแบบพ่อแม่ลูกพร้อมหน้าอะไรเลย
ตอนเด็ก ๆ ติณเองโตมากับตาและยาย เพราะแม่ติณทำงานที่กรุงเทพ ส่วนพ่อก็ทำงานที่ต่างจังหวัด
ป้าเคยเล่าให้ติณฟังด้วยซ้ำว่า พ่อกับแม่ติณเคยเกือบจะเลิกกัน ตอนที่แม่ติณท้อง
แม้กระทั่งแม่ก็เล่าให้ติณฟังเหมือนกันเรื่องราวพวกนี้ แม่บอกว่า แม่เคยคิดจะคลอดติณแล้วเอาไปฝากไว้ที่โบสถ์กะจะให้ติณเป็นชีมืด
แต่ด้วยความยับยั้งชั่งใจ ประกอบกับความรักและสงสารติณ กลัวติณจะไม่มีพ่อเลยต้องกลับไปคืนดีกัน
ตอนเด็ก ๆ ติณเห็นพ่อกับแม่ทะเลาะและเถียงกันบ่อยมาก ๆ ด้วยความที่พ่อเป็นคนอารมณ์ร้อนมาก และแม่ก็เป็นคนไม่ยอมใคร พอทะเลาะกันทีไรมันก็เลยเถิดทุกครั้งไป
ตัวติณเองก็ไม่ได้วิเศษวิโสอะไรไปกว่าพี่เมย์ นั่นคือสิ่งที่ติณคิด และติณก็คิดมาเสมอว่า ยังมีเด็กอีกเยอะแยะที่อยากจะมีพ่อมีแม่แต่ก็ไม่มี ที่มากไปกว่านั้นก็คือ ไม่มีใครที่จะไม่มีปัญหาในครอบครัว
ถ้าลองได้มีคนอยู่รวมกันมากกว่าสองคนขึ้นไปที่ไหน ที่นั่นก็คือปัญหาทั้งนั้น


ด้วยความที่ตอนเด็ก ๆ ติณได้เห็นอะไรหลาย ๆ อย่างในครอบครัวตัวเอง มันทำให้ติณเกิดความรู้สึกที่แบ่งออกเป็นสองขั้ว
ฝั่งหนึ่ง ติณรู้สึกขยาดผู้ชาย เพราะพ่อเคยทำให้แม่ร้องไห้ตอนติณเด็ก ๆ และติณจำภาพที่แม่ร้องไห้ติดตามาก
อีกฝั่ง ติณก็อยากมีแฟน มันเป็นอารมณ์แบบเด็ก ๆ ที่อยากรู้อยากเห็นว่ามีแฟนแล้วจะเป็นยังไง
ฝั่งหนึ่ง ติณก็รู้สึกว่าบางครั้งผู้ชายนี่ก็เอาอารมณ์ตัวเองเป็นใหญ่ เห็นแก่ตัว ( เป็นความคิดตอนเด็ก ๆ กว่านี้นะคะ จริงๆ มันอยู่ที่ตัวบุคคลมากกว่า )
มันเป็นความขัดแย้งลึก ๆ อยู่ในตัวมันเอง แต่ติณก็คิดว่า ถ้าเกิดไม่มีใครมาจีบติณก็จะอยู่แบบนี้ สนุกสนานกับเพื่อน สนใจเรื่องเรียนไปเรื่อย ๆ
จนติณได้รู้จักและคุยกับผู้ชายคนหนึ่งซึ่งพี่เมย์เป็นคนแนะนำมาให้ ซึ่งเขาก็คือคนที่เปลี่ยนชีวิตติณเกือบทั้งชีวิต เปลี่ยนความคิด เปลี่ยนการมองโลกไปโดยสิ้นเชิง



อย่างที่ติณเล่า พี่เมย์มีเพื่อนเยอะแต่เพื่อนส่วนมากมาจากใน internet
ตอนนั้นติณจำไม่ได้ว่าเธอคุยกับคนกี่คน แต่ที่มั่นใจไม่ต่ำกว่าสองคนแน่นอน
ในวันหนึ่ง ๆ เธอจะสลับคุยกับคนนั้นทีคนนี้ที แล้วก็จะเอามาเล่าให้ติณฟังเสมอ
แต่ติณไม่เคยคิดจะถามว่า คนนี้เป็นยังไงหรอพี่ แล้วคนนั้นละ เพราะติณไม่ชอบยุ่งเรื่องของคนอื่นอยู่แล้ว
ตั้งแต่เด็ก ๆ ไม่ว่าใครจะเล่าอะไรให้่ติณฟัง นินทาใคร ว่าใคร ด่าใคร ติณก็ฟังเฉย ๆ แล้วทำหน้าเออ ๆ ออ ๆ ไป
จนกระทั่งวันหนึ่งพี่เมย์ไปอาบน้ำ ซึ่งที่หอพักต้องไปอาบน้ำที่ห้องอาบน้ำรวม ก็มีโทรศัพท์เข้ามา
โทรศัพท์เข้ามาหลายสายมากแต่ติณก็ไม่กล้ารับ ได้แต่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมามองหน้าจอแล้วดูชื่อว่าเป็นใคร
พอพี่เมย์มาติณก็บอกแค่ว่า เออ พี่ มีคนโทรเข้ามานะ หลายรอบมาก แต่ติณไม่ได้รับให้
พี่เมย์จึงบอกติณว่าคราวต่อไปถ้าเขาไม่อยู่ที่ห้องให้ติณรับโทรศัพท์แทนได้เลย นั่นคือจุดเริ่มต้นของความเลวร้ายในชีวิตติณเลยก็ว่าได้



ครั้งแรกที่ติณได้คุยกับเขา ไม่ใช่ว่าพี่เมย์ไม่อยู่ห้อง แต่พี่เมย์เล่าเรื่องติณให้ผู้ชายคนนั้นฟัง
ซึ่งคงต้องบอกว่าเป็นเรื่องปกติ เพราะพี่เมย์เป็นคนคุยเก่ง เธอจะหยิบยกเรื่องมาคุยได้สารพัด
ตั้งแต่เรื่องเพื่อนที่คณะ เรื่องเรียน เรื่องที่หอ เรื่องเพื่อน เคยถึงขนาดว่ามีครั้งหนึ่งมีผู้ชายคนหนึ่งมาติดพันเธอถึงขั้นมาหาถึงมหาลัย แต่เธอกลับหลบหน้้า
บอกให้ติณไปรับหน้าแทน ทั้ง ๆ ที่ติณไม่เคยรู้จักผู้ชายคนนั้นมาก่อนเลยในชีวิต
แต่ติณก็ยอมไป ถามว่าทำไม มันก็มาจากความสงสารอักนั่นละ เพราะติณเข้าใจดีว่า
การที่เราแอบรักใคร ชอบใครสักคน แต่เขาไม่รักเราตอบ แล้วแค่เราอยากจะเป็นเพื่อนด้วย เขาก็ยังปฏิเสธมันแย่มากขนาดไหน ติณไม่เคยผ่านความรู้สึกพวกนี้มาก่อน
แต่ไหน ๆ พี่คนนั้นเขาก็อุตส่าห์นั่งรถจากราชบุีรีมาถึงกรุงเทพได้ ก็คงจะชอบพี่เมย์มากจริง ๆ
ติณก็เลยไปกินข้าว ดูหนัง เป็นเพื่อนพี่คนนั้นแทน เขาถึงขั้นพูดกับติณเลยว่า


พี่ชอบเมย์จริง ๆ นะ แต่พี่ก็รู้เขาไม่ชอบพี่หรอก พี่เรียนจบแต่เทคนิค ไม่ได้เรียนมหาลัยแบบเมย์เขา
อีกอย่างพี่ก็อ้วน ไม่ได้หน้าตาหล่อเหลาอะไร


ฟังเขาพูดแบบนั้นแล้ว ติณก็ยิ่งรู้สึกสงสารเข้าไปอีก ได้แต่บอกเขาว่า พี่ต้องทำใจนะพี่ หนูบอกได้แค่ว่า เขาไม่ได้คุยกับพี่คนเดียวนะ
ซึ่งพี่คนนั้นเขาก็พูดกับติณว่า พี่รู้ แต่ก็ยังชอบเขาอยู่ดีล่ะ


กลับมาที่เรื่องของติณเอง ในวันนั้น ผู้ชายคนนั้นก็โทรเข้ามาคุยกับพี่เมย์เป็นปกติ
แล้วพี่เมย์ก็เล่าเรื่องติณให้ฟัง บอกว่า ติณเรียนคณะนี้ แล้วก็พูดทำนองว่า คราวที่แล้วที่เขาโทรมาแล้วไม่ได้รับติณอยู่ในห้องแต่ไม่กล้ารับโทรศัพท์
ไป ๆ มา ๆ พี่เมย์ก็บอกว่า ติณ พี่เขาอยากคุยด้วย เขาอยากรู้จัก ติณก็มองหน้าพี่เมย์ แล้วถามขำ ๆ ด้วยความสงสัยว่าเขาจะคุยกับติณทำไม
แต่เหตุการณ์แบบนี้ติณก็ชินเสียแล้ว เพราะไม่ว่าพี่เมย์จะคุยกับใคร เธอจะก็ลากให้ติณเข้าไปรู้จักด้วย
เหมือนพี่คนที่ติณเล่าไปเมื่อกี้ คนนั้นในเวลาต่อมาติณก็ได้คุยทางโทรศัพท์เหมือนกัน แต่ก็เป็นแค่เพื่อนพี่น้องกันไม่มีอะไร


ครั้งแรกที่ติณได้คุยกับเขาคนนั้น ความรู้สึกก็คือ ผู้ชายคนนี้เป็นคนพูดเพราะและฉลาดมาก และก็เป็นคนปากหวานมาก ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมพี่เมย์ถึงได้หลงเขามากขนาดนี้
ติณคุยได้ไม่เท่าไร ก็ยื่นโทรศัพท์กลับคือไปให้พี่เมย์ ด้วยว่าติณไม่รู้จะคุยอะไร ประกอบกับติณเกรงใจพี่เมย์ด้วยส่วนหนึ่ง
คุยกับพี่เมย์ไปสักพัก พี่เมย์ก็ถามติณว่าพี่เขาขอเบอร์ติณ บอกว่าอยากจะคุยกับติณด้วย ติณจะให้ไหม
ตอนนั้นติณก็ไม่ได้คิดอะไร ไม่รู้ว่านี่เป็นข้อดีหรือข้อเสียที่ติณเป็นคนง่าย ๆ สบาย ๆ ใครอยากคุยด้วยติณก็คุย ไม่ได้ถือตัวว่า ฉันนี่สวยเริ่ดจะต้องทำเป็นเล่นตัว เพราะไม่เคยคิดว่าจะมีใครมาจีบ
ไม่เคยคิดว่าตัวเองสวย หน้าตาดี ก็แค่เด็กหน้าตาธรรมดา ๆ คนหนึ่ง ติณก็เลยตกปากรับคำไปว่า ยังไงก็ได้ เอาซิ
ตอนนั้นติณคิดแค่ก็ดีนะ เพราะพี่เมย์เคยบอกว่า เขาเป็นอาจารย์สอนคณะวิศวะ แล้วติณก็ชอบคุยกับผู้ใหญ่มากกว่าคนรุ่นราวคราวเดียวกันอยู่แล้ว
ก็คงดีถ้าจะได้รู้จักครูบาอาจารย์ เผื่อว่าเรามีปัญหาอะไรอาจจะขอคำแนะนำจากเขาได้บ้าง
แต่สิ่งที่ติณลืมคิดไปก็คือ คนเราจะดีจะชั่ว การศึกษาไม่ได้ช่วยอะไร การศึกษาไม่ใช่เครื่องรับประกันได้เลยว่า คนคนนี้จะเป็นคนดี มีเมตตา มีคุณธรรม
เพราะก็ยังมีหลายคนที่ฉลาด ดูดี มีหน้ามีตาในสังคม แต่เอาสิ่งเหล่านี้มาเป็นเครื่องมือในการทำร้ายคนอื่น อย่างเช่นคนผู้นี้ เป็นต้น



ขอพักก่อนนะคะ ไว้จะมาเล่าต่อในคราวหน้าค่ะ ^^


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.ค. 2010, 17:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 มี.ค. 2010, 11:50
โพสต์: 25

แนวปฏิบัติ: ดูลมหายใจ
งานอดิเรก: อ่านหนังสือ ถักโครเชต์ ฟังธรรมะ
สิ่งที่ชื่นชอบ: มีเยอะจนบอกไม่ได้
อายุ: 0
ที่อยู่: somewhere over the rianbow

 ข้อมูลส่วนตัว


เก็บเกี่ยว เขียน:
เจ้าของกระทู้นี้ ไม่ทราบว่าทุกวันนี้ ยังอยู่ไหม หากยังอยู่เป็นอยู่อย่างบ้าง :b41: :b43: :b44: :b40:




ยังมีชีวิตอยู่ค่ะ อิ ๆ :b4: แต่ช่วงนี้กำลังดื่มด่ำกับรสพระธรรม
วัน ๆ นั่งฟังแต่ธรรมเทศนา เลยไม่ค่อยโผล่เข้ามาในบอร์ดเท่าไร


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.ค. 2010, 17:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 มี.ค. 2010, 11:50
โพสต์: 25

แนวปฏิบัติ: ดูลมหายใจ
งานอดิเรก: อ่านหนังสือ ถักโครเชต์ ฟังธรรมะ
สิ่งที่ชื่นชอบ: มีเยอะจนบอกไม่ได้
อายุ: 0
ที่อยู่: somewhere over the rianbow

 ข้อมูลส่วนตัว


ก่อนจะไป มีเรื่องนอกเรื่องจะมาเล่าให้ฟัง แฮะ ๆ เมื่อสัปดาห์ที่แล้วมีคุณน้าซึ่งอยู่ในละแวกบ้านติณเสียชีวิต
คุณน้าแกเป็นโรคมะเร็งค่ะ แล้วอยู่ดี ๆ ก็นอนตายไปเลย


ซึ่งคุณน้าท่านนี้จะสนิทกับครอบครัวติณ ด้วยความที่ผู้ใหญ่ในบ้านติณจะคอยช่วยเหลือเกื้อกูลแกตลอด
เพราะแกทำงานคนเดียวต้องเลี้ยงลูกถึงสองคน


ตอนที่แกมีชีวิตอยู่ แกไม่เคยทำบุญ ความดีไม่ทำ ความชั่วก็ไม่ทำ
พอตายแล้วแกก็ไปไหนไม่ได้ มาบอกคุณย่าติณว่า คือคุณย่าติณมองเห็นผีคุณน้า
บอกว่าแกยังไม่อยากตาย และก็หิวข้าวหิวน้ำมาก ตอนที่แกจะตาย แกจะลุกมากินข้าวกินน้ำ
แต่พอลุกมาก็ไม่มีัแรง อยู่ดี ๆ ลมหายใจก็ขาดแล้วตายไปเลย



แม่ติณบอกว่า ที่แกไปไหนไม่ได้เพราะดวงจิตแกยังมีความกังวล
อีกทั้งบุญก็ไม่เคยทำ บาปก็ไม่เคย แรงของกรรมเลยส่งผลให้แกต้องเป็นแบบนี้
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ มันทำให้ติณคิดได้ว่าการที่เรายังมีชีวิตอยู่นี่ก็นับว่าดีแล้วนะ
เพราะอย่างน้อยก็ัยังมีโอกาสได้ทำความดีอยู่ ถ้าตายไปแล้วจะไปทำได้ที่ไหน
ชีวิตเป็นของไม่เที่ยงจริง ๆ เลยนะคะ เหมือนในบทสวดมนต์เลย
สังขารเป็นของไม่เที่ยง ความตายเป็นของเที่ยง เพราะฉะนั้นต้องเร่งทำความดีกันเยอะ ๆ นะเจ้าคะ
ก่อนที่จะตาย ซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเมื่อไร ตอนไหน ช่วงนี้มีแต่เรื่องให้ปลงตกจริง ๆ
เห็นสังขารตัวเองตอนนี้ก็ปลงแล้ว เห็นความทุกข์ของคนอื่นยิ่งปลงขึ้นไปอีก T^T


แก้ไขล่าสุดโดย ติณณาห์ เมื่อ 04 ก.ค. 2010, 17:46, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.ค. 2010, 18:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3832

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมบอกคนคนหนึ่งที่รู้จัก
และเป็นโรคและมีความตายรออยู่ตรงหน้า
ผมบอกเขาว่า

คุณโชคดีเป็นไหนๆ
เคยเห็นคนออกจากบ้านแล้วไม่ได้กลับไหม
เขารู้ตัวไหมว่านั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่จะได้เห็นคนที่รัก ได้พูดกับคนที่รัก

เราโชคดีแค่ไหนแล้ว ที่เราได้มีโอกาสรู้ล่วงหน้าว่าเราจะตาย
มียมบาลที่ไหนเขาจะมาเตือนเราก่อนว่าเราจะตายไหม

ควรใช้โอกาสที่เหลือนี้ให้เป็นประโยชน์
แล้วผมก็แนะนำให้เขารู้จักกับการปิดประตูนรก
แต่เขารับได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น จึงไม่ค่อยได้พูดอีก


ในฐานะที่คุณติณก็สนใจธรรมะเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
ผมอยากจะบอกว่า
ปกติคนเราคิดเรื่องความตายนั้น คิดได้
คิดไปฉลาดแค่ไหนก้คิดได้ แต่จิตมันไม่ยอมรับหรอก
อย่างมากแค่ปลงเล็กน้อยในบางเรื่องเท่านั้น

แต่คนที่รู้ตัวว่าจะตายแน่นอน
การยอมรับความตายของใจเรานั้น
มันคนละรสกันกับคนคิดเรื่องความตาย

คนคิดเรื่องความตาย ลึกๆก็ยังคงคิดว่าคงอยู่อีกนาน
ถึงไม่ยอมปล่อยวางจากโลก

แต่คนที่รู้ตัวว่าจะตายนี่ ถึงอยากจะฝืนปานใด มันก็ฝืนความจริงไม่ได้
ขึ้นอยู่กับว่าจะยอมรับไหม

ถ้าไม่ยอมรับ มันจะเครียกจะทุกข์ไปสารพัดเหมือนคนที่แพแตก
คิดอะไรไม่ถูก ทำอะไรไม่เป็น ล่องลอยไม่เป้นหลักแหล่ง
หรือไม่ก็โลภไปกับอดีต เพ้อๆฝันๆอาลัยอาวรณ์ชีวิตและความสุขที่ผ่านมา

ครูบาอาจารย์ที่ท่านสอนให้เราทำมรณะสตินั้น
ก็เพื่อให้ใจเรายอมรับความจริงในลักษณะนี้
คือยอมรับความตายว่าจริงแท้ อยู่ตรงหน้า ฝืนไม่ได้ หนีไม่ะ้น ตายแน่ๆ ในลักษณะนี้
นับว่าเป็นสมบัติที่มีค่ามากในการนำมาทำกรรมฐาน

แล้วเวลานาทีทองในการเป็นมนุษย์นั้นก็เหลือน้อยแล้ว
อย่ามัวเสียเวลาเรียนหนังสือหรือทำอะไรที่คนจะตายไม่ได้ใช้
ไม่ต้องอาลัยอาวรณ์พร่ำเพ้อวันเก่าๆ คนที่รัก อะไรอีกแล้ว
ให้เร่งนำโอกาสนี้มาภาวนาเถอะครับ ปิดประตูนรกให้ได้ก่อน

ทางข้างหน้าต้องไปคนด้วย ด้วยตนของตน ใครก็ช่วยไม่ได้
แล้วก้ช่วยใครก็ไม่ได้ด้วย ให้ตัดให้หมด แล้วทำสมาธิเถอะครับ


แก้ไขล่าสุดโดย ชาติสยาม เมื่อ 04 ก.ค. 2010, 18:56, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.ค. 2010, 12:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 มี.ค. 2010, 11:50
โพสต์: 25

แนวปฏิบัติ: ดูลมหายใจ
งานอดิเรก: อ่านหนังสือ ถักโครเชต์ ฟังธรรมะ
สิ่งที่ชื่นชอบ: มีเยอะจนบอกไม่ได้
อายุ: 0
ที่อยู่: somewhere over the rianbow

 ข้อมูลส่วนตัว


ชาติสยาม เขียน:

ในฐานะที่คุณติณก็สนใจธรรมะเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
ผมอยากจะบอกว่า
ปกติคนเราคิดเรื่องความตายนั้น คิดได้
คิดไปฉลาดแค่ไหนก้คิดได้ แต่จิตมันไม่ยอมรับหรอก
อย่างมากแค่ปลงเล็กน้อยในบางเรื่องเท่านั้น

แต่คนที่รู้ตัวว่าจะตายแน่นอน
การยอมรับความตายของใจเรานั้น
มันคนละรสกันกับคนคิดเรื่องความตาย

คนคิดเรื่องความตาย ลึกๆก็ยังคงคิดว่าคงอยู่อีกนาน
ถึงไม่ยอมปล่อยวางจากโลก

แต่คนที่รู้ตัวว่าจะตายนี่ ถึงอยากจะฝืนปานใด มันก็ฝืนความจริงไม่ได้
ขึ้นอยู่กับว่าจะยอมรับไหม

ถ้าไม่ยอมรับ มันจะเครียกจะทุกข์ไปสารพัดเหมือนคนที่แพแตก
คิดอะไรไม่ถูก ทำอะไรไม่เป็น ล่องลอยไม่เป้นหลักแหล่ง
หรือไม่ก็โลภไปกับอดีต เพ้อๆฝันๆอาลัยอาวรณ์ชีวิตและความสุขที่ผ่านมา

ครูบาอาจารย์ที่ท่านสอนให้เราทำมรณะสตินั้น
ก็เพื่อให้ใจเรายอมรับความจริงในลักษณะนี้
คือยอมรับความตายว่าจริงแท้ อยู่ตรงหน้า ฝืนไม่ได้ หนีไม่ะ้น ตายแน่ๆ ในลักษณะนี้
นับว่าเป็นสมบัติที่มีค่ามากในการนำมาทำกรรมฐาน

แล้วเวลานาทีทองในการเป็นมนุษย์นั้นก็เหลือน้อยแล้ว
อย่ามัวเสียเวลาเรียนหนังสือหรือทำอะไรที่คนจะตายไม่ได้ใช้
ไม่ต้องอาลัยอาวรณ์พร่ำเพ้อวันเก่าๆ คนที่รัก อะไรอีกแล้ว
ให้เร่งนำโอกาสนี้มาภาวนาเถอะครับ ปิดประตูนรกให้ได้ก่อน

ทางข้างหน้าต้องไปคนด้วย ด้วยตนของตน ใครก็ช่วยไม่ได้
แล้วก้ช่วยใครก็ไม่ได้ด้วย ให้ตัดให้หมด แล้วทำสมาธิเถอะครับ




ไม่รู้จะอธิบายยังไงดีเหมือนกันนะคะเนี่ย คือเรื่องมันก็ยังเล่าไม่จบ
อยากจะให้อ่านให้จบก่อนมากกว่า


คือเรื่องที่เล่ามันเป็นอดีตไปแล้วค่ะ อันนี้ติณก็รู้และเข้าใจมันดี
อดีตเมื่อผ่านไปแล้วมันไม่สามารถที่จะย้อนกลับไปแก้ไขอะไรได้อีกแล้ว

จริง ๆ ติณคิดเรื่องความตายอยู่ทุกวัน แต่ไม่ถึงขนาดกับทุกขณะจิต
แต่ตื่นมาก็คิด ตอนก่อนจะนอนก็คิด คิดในแง่ที่ว่า วันหนึ่งเราจะต้องตายแน่นอน
ก็ไม่รู้ว่าวันไหน ไม่มีใครบอกเราได้ เผลอ ๆ คนดี ๆ กว่าเราอาจจะตายก่อนเรา
ไม่แน่ว่าเราจะตายก่อนเขา อันนี้มันก็เป็นเรื่องปกติ
เรื่องที่เอามาเล่าไม่ได้มีจุดประสงค์ไปในทางที่จะมาตัดพ้อ หรือพร่ำบ่นถึงความหลังเลยค่ะ
ติณมองไม่เห็นประโยชน์อะไรที่จะมาปรับทุกข์กับคนแปลกหน้า พูดไปก็ไม่เข้าใจ จะพูดไปเพื่ออะไร
ติณไปคุยกับเพื่อนสนิท ระบายให้เพื่อนฟังยังจะดีเสียกว่า
เรื่องเรียนก็หยุดไปแล้ว เลิกคิดแล้ว ตอนแรกก็ทำใจไม่ได้เหมือนกัน เครียดนอนไม่หลับ
อยากจะบอกว่าติณไม่ได้เรียนที่จุฬาที่เดียว แต่เรื่องที่เล่ามันยังเล่าไม่ถึงเหตุึการณ์ในปัจจุบันเท่านั้นเอง
ติณโดนไทร์ออกจากจุฬา นี่คือเรื่องจริง แล้วย้ายมาเรียนอีกที่ ถามว่าทำไมต้องเรียน
ก็เพราะที่บ้านไม่ได้รวยค่ะ ต้องเรียน ต้องทำงาน แล้วการเรียนเป็นเพียงหนทางเดียวเท่านั้นที่จะทำให้ได้งานดี ๆ
ที่บ้านคุณพ่อทำงานคนเดียว และติณก็เป็นลูกคนโตด้วย ไม่ได้อยู่แบบสุขสบาย เกิดมาบนกองเงินกองทอง
ตอนนั้นก็คิดแค่ว่ายังไงเราก็ต้องเรียนจะได้มาช่วยแบ่งเบาภาระที่บ้าน แต่แล้วก็มาป่วยอีก จริง ๆ ก็ป่วยอยู่แล้ว
แล้วอาการก็มากำเริบอีก


เรื่องราวในชีวิตของคนหนึ่งคนมันสลับซับซ้อนนะคะ
แค่ตัวหนังสือมันบอกเล่าไม่ได้หมดทุกแง่ทุกมุมหรอกค่ะ


อีกเรื่องก็คือ จิตติณก็ไม่ได้สงบไปซะทุกวันแบบคนที่ยอมรับได้จริง ๆ จัง ๆ ว่าฉันจะตายแล้วนะ
บางวันก็ทำใจได้ บางวันก็ไม่ได้ บางวันก็คิด เอาเหอะ ตายก็ตาย หนีพ้นได้เสียเมื่อไร
ไม่ได้เก่งอะไรแบบนั้นเลย เพราะไม่งั้นคงไม่เป็นแบบที่เป็นอยู่นี่ ก็อยากจะให้เข้าใจค่ะ
ที่มีชีวิตอยู่มาได้แบบไม่ฆ่าตัวตายก็เพราะคิดว่ามันมีคนที่ทุกข์กว่าติณอีกเยอะ
โดยเฉพาะคนป่วยอีกมากมายที่นอนอยูํ่โรงพยาบาลแบบไม่มีหวังจะได้ออกมาอีก
มันเป็นโลกที่คนไม่ป่วยไม่มีวันจะเข้าใจความรู้สึกที่แท้จริงได้เลย อันนี้พี่พยาบาลที่ติณรู้จักพูดนะคะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.ค. 2010, 14:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ส.ค. 2005, 10:46
โพสต์: 12074

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


:b1: ขอเป็นกำลังใจให้น้องติณณาห์เสมอนะคะ

ผลบุญใดที่พี่ลูกโป่งเคยบำเพ็ญเพียรมาตั้งแต่อดีตชาติ จนถึงปัจจุบันชาติ
และที่จะบำเพ็ญเพียรต่อไป
ขอผลบุญนี้จงอุทิศแด่น้องติณณาห์และเจ้ากรรมนายเวรของน้องน้องติณณาห์
ถ้ามีความสุข ขอให้สุขยิ่งๆขึ้นไป
ถ้ามีทุกข์ ขอให้ปราศจากทุกข์
และอโหสิกรรมให้น้องติณณาห์ด้วย
ขอให้น้องติณณาห์ดูแลรักษากาย และดูแลใจให้ดี
กายป่วย แต่ใจอย่าป่วยนะคะ
พี่ขออัญเขิญพระราชนิพนธ์ของสมเด็จพระสังฆราชมาให้อ่านนะคะ

ชีวิตนี้น้อยนัก แต่ชีวิตนี้สำคัญนัก เป็นหัวเลี้ยวหัวต่อ
เป็นทางแยก จะไปสูงไปต่ำ จะไปดีไปร้าย เลือกได้ในชีวิตนี้เท่านั้น
พึงสำนึกข้อนี้ให้จงดี แล้วจงเลือกเถิด เลือกให้ดีเถิด


ลองอ่านเพิ่มเติมได้นะคะ
ชีวิตนี้น้อยนัก (สมเด็จพระญาณสังวรฯ)

http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=2821


DO THE BEST EACH DAY, IT WILL NEVER BE AGAIN.


ธรรมใดๆก็ไร้ค่า...ถ้าไม่ทำ


:b48: ธรรมรักษาค่ะ :b48:

รูปภาพ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.ค. 2010, 19:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 มี.ค. 2010, 21:44
โพสต์: 942

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เป็นกำลังใจให้น้องตินอีกหนึ่งหน่วยคะ สู้ๆ นะคะ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 50 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 0 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร