วันเวลาปัจจุบัน 23 มิ.ย. 2025, 11:38  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กระทู้นี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความ หรือ ตอบกลับในกระทู้นี้  [ 1672 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 75, 76, 77, 78, 79, 80, 81 ... 112  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 มิ.ย. 2010, 23:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 พ.ค. 2009, 02:41
โพสต์: 5636

แนวปฏิบัติ: พอง ยุบ
ชื่อเล่น: เจ
อายุ: 0
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว www


ปริตา เขียน:
พี่ทักทายค่ะ ไม่ทราบว่าตัวปอนด์เข้าใจในเรื่องขันธ์ 5 ถูกต้องหรือป่าว
ในความคิดของตัวเองคิดว่า ขันธ์ 5 นี้เหมือนเป็นวิธีการขั้นพื้นฐาน
ที่คนธรรมดาอย่างปอนด์จะนำไปใช้เพื่อเป็นทางที่จะลดความยึดติด
และเป็นวิธีที่จะทำให้ละวาง ความสุข ความทุกข์ลงได้
เข้าใจประมาณนี้ค่ะ ก็ไม่ทราบว่าถูกหรือผิดประการใด ยังไม่ค่อยแจ้งเลยค่ะ


พี่ก็กำลังคลานคลำทางอยู่เหมือนกันค่ะน้องปอนด์
แต่เมื่อคืนนี้นอนฟังนิยายเรื่องกามนิต วาสิฏฐี ตอนที่สี่ พระพุทธองค์เทศน์โปรด
กามนิต เรื่องนี้อยู่พอดี พี่ว่าชัดเจนมากเริ่มเข้าใจบ้างแล้ว น้องปอนด์ลองฟังดู
แล้วมาพิจารณากันว่าน้องปอนด์เข้าใจอย่างไร? พี่เข้าใจอย่างไร?เผื่อจะแจ้งกัน


http://www.fungdham.com/book/kamnit.html

.....................................................
"มิควรหวังร่มเงาจากก้อนเมฆ"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 มิ.ย. 2010, 10:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


แนะนำเพื่อนร่วมทุกข์ดูนี่


เวลาผมนั่งสมาธิ พอภาวนาไปซักพัก เริ่มตัดภาวนาไปแล้วทีนี้ก็จะเกิดอาการ ขนลุกเย็นทั้งตัว

แล้วหลังจากนั้นก็จะมีภาพ คน สัตว์ แมลง ที่เราเคยทำร้ายเคยทำให้เค้าตายหรือเจ็บลอยมาให้เห็น

คือ แปลกใจว่า บางเรื่องเป็นเรื่องที่นานมาก บางเรื่องเป็นเรื่องสมัยเด็กๆอยู่ด้วยซ้ำ ซึ่งบางทีนึกถึง

ยังนึกไม่ออกเลยครับ เพราะนานมาก แต่พอมานั่งสมาธิ ก็ลอยมาให้เห็นเฉยเลย


http://fws.cc/whatisnippana/index.php?topic=30.0

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 28 มิ.ย. 2010, 11:10, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 มิ.ย. 2010, 20:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 13:22
โพสต์: 146

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
แนะนำเพื่อนร่วมทุกข์ดูนี่


เวลาผมนั่งสมาธิ พอภาวนาไปซักพัก เริ่มตัดภาวนาไปแล้วทีนี้ก็จะเกิดอาการ ขนลุกเย็นทั้งตัว

แล้วหลังจากนั้นก็จะมีภาพ คน สัตว์ แมลง ที่เราเคยทำร้ายเคยทำให้เค้าตายหรือเจ็บลอยมาให้เห็น

คือ แปลกใจว่า บางเรื่องเป็นเรื่องที่นานมาก บางเรื่องเป็นเรื่องสมัยเด็กๆอยู่ด้วยซ้ำ ซึ่งบางทีนึกถึง

ยังนึกไม่ออกเลยครับ เพราะนานมาก แต่พอมานั่งสมาธิ ก็ลอยมาให้เห็นเฉยเลย


http://fws.cc/whatisnippana/index.php?topic=30.0



:b46: :b46: เป็นเหมือนกันค่ะ มีอยู่ครั้งหนึ่งนั่งไปสักพัก รู้สึกปวดขามาก ทุกขเวทนามากเลยค่ะ
ภาพที่ปรากฎ คือ ปูจำนวนมากมายที่เราหักก้ามเขาทั้งเป็น เราเลยให้สัจจะว่าจะทำบุญ ตักบาตร
สวดมนต์ นั่งสมาธิ ให้เจ้ากรรมนายเวรทั้งที่รู้และไม่รู้ เป็นประจำทุกวันค่ะ

.....................................................
ทำไมต้องปล่อยว่าง
เพราะทุกอย่างมี ความว่าง มาแต่เดิม


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 มิ.ย. 2010, 04:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 พ.ค. 2009, 02:41
โพสต์: 5636

แนวปฏิบัติ: พอง ยุบ
ชื่อเล่น: เจ
อายุ: 0
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว www


กรัชกาย เขียน:
แนะนำเพื่อนร่วมทุกข์ดูนี่


ที่เห็นมากที่สุดจะเป็นนิมิต โครงกระดูก ทั้งผู้หญิง
ผู้ชาย เด็ก บางครั้งน่าตาก็น่ารักในตอนแรก แล้วค่อยๆเปลี่ยนเป็นน่าเกลียด
จนเหลือโครงกระดูก บ่อย และเยอะ ถ้าเกิดนิมิตเมื่อไหร่จะไม่พลาดโครงกระดูกเลย
ยังนึกไม่ออกว่าไปทำอะไรพวกเขามา แต่ก็ไม่ได้ถือเอาเป็นอารมณ์

อนุโมทนาที่ท่านแนะนำนิยายกามนิตฯ ตอนที่สี่ ฟังแล้วเห็นอะไรบางอย่าง
ปัญหาที่ติดค้างอยู่ ก็ค่อยๆแจ้งบ้างแล้ว และถือโอกาสแนะนำเพื่อนๆ น้องๆ
ไปหลายท่านแล้ว ขอให้ท่านได้มีส่วนร่วมในอานิสงส์ใดๆก็ตามที่เกิดขึ้นนี้
นะค่ะท่านกรัชกาย

ขออนุโมทนาอีกครั้งค่ะ :b8:

.....................................................
"มิควรหวังร่มเงาจากก้อนเมฆ"


แก้ไขล่าสุดโดย ทักทาย เมื่อ 29 มิ.ย. 2010, 04:05, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 มิ.ย. 2010, 08:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เมื่อมองหาเหตุแห่งทุกข์ มนุษย์ชอบมองออกไปหาที่ซัดทอดให้ในภายนอก หรือมองให้ไกลจากความ

รับผิดชอบของตนเท่าที่จะเป็นไปได้ ฉันใด

เมื่อจะแก้ไขทุกข์ มนุษย์ก็ชอบมองออกไปข้างนอก หาที่ปกป้องคุ้มครองให้ตนพ้นภาวะหรือช่วยทำการ

แก้ไขทุกข์แทนให้ ฉันนั้น

ว่าโดยลักษณะ การกระทำทั้งสองนั้นก็คล้ายคลึงกันคือ เป็นการหลบหน้าความจริง ไม่กล้ามองทุกข์

และเลี่ยงหนีการเผชิญความรับผิดชอบ เหมือนคนหนีภัยด้วยความขลาดกลัว หาที่พอปิดตาซุกหน้า

ไม่ให้เห็นภัยนั้น นึกเอาเหมือนว่าได้พ้นภัย ทั้งที่ร่างกายทั้งตัวถูกปล่อยทิ้งไว้ในภยันตราย

ท่าทีเช่นนี้

ทำให้เกิดนิสัยหวังพึ่งปัจจัยภายนอก เช่น การอ้อนวอนต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ การบนบานเซ่นสรวงสังเวย

การรอคอยการดลบันดาลของเทพเจ้า หรือ นอนคอยโชคชะตา พระพุทธศาสนาสอนว่าสิ่งที่พึ่ง

เช่นนั้น หรือการปล่อยตัวตามโชคชะตาเช่นนั้นไม่เป็นทางแห่งความมั่นคงปลอดภัย ไม่นำไปสู่ความ

พ้นทุกข์แท้จริง.

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 มิ.ย. 2010, 08:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


taktay เขียน:
ที่เห็นมากที่สุดจะเป็นนิมิต โครงกระดูก ทั้งผู้หญิง ผู้ชาย เด็ก บางครั้งน่าตาก็น่ารักในตอนแรก

แล้วค่อยๆเปลี่ยนเป็นน่าเกลียดจนเหลือโครงกระดูก บ่อย และเยอะ

ถ้าเกิดนิมิตเมื่อไหร่จะไม่พลาดโครงกระดูกเลย ยังนึกไม่ออกว่าไปทำอะไรพวกเขามา

แต่ก็ไม่ได้ถือเอาเป็นอารมณ์


อธิบายได้หลายแง่ แง่มุมหนึ่งนิมิตนั้นเป็นอารมณ์ของสมถะ (สมาธิที่ยังไม่สมบูรณ์) นิมิต (ภาพที่

ปรากฏทางมโนทวาร) เริ่มต้นจะน่ารักสวยงาม แล้วค่อยๆเปลี่ยนเป็นน่าเกลียดเหลือแต่โครงกระดูก

...ก็บ่งว่าสมาธิตอนแรกดีพอสมควร แล้วค่อยๆอ่อนลงๆ

ดังนั้นจะต้องกำหนดภาพนิมิตที่ปรากฏนั้นตามที่เห็น ตามที่เป็น เห็นยังไง รู้สึกยังไงกำหนดยังงั้น

เช่นเห็นก็ เห็นหนอๆๆๆ เป็นต้น วิธีนี้แหละที่จะละนิมิตไป องค์ธรรมฝ่ายกุศล เช่น สติสัมปชัญญะ

กุศลสัญญา สมาธิ วิริยะ ฯลฯ จะเจริญขึ้นทำหน้าของตนได้อย่างคล่องตัว

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 29 มิ.ย. 2010, 09:18, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 มิ.ย. 2010, 09:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 พ.ค. 2009, 02:41
โพสต์: 5636

แนวปฏิบัติ: พอง ยุบ
ชื่อเล่น: เจ
อายุ: 0
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว www


กรัชกาย เขียน:

อธิบายได้หลายแง่ แง่มุมหนึ่งนิมิตนั้นเป็นอารมณ์ของสมถะ (สมาธิที่ยังไม่สมบูรณ์) นิมิต (ภาพที่

ปรากฏทางมโนทวาร) เริ่มต้นจะน่ารักสวยงาม แล้วค่อยๆเปลี่ยนเป็นน่าเกลียดเหลือแต่โครงกระดูก

...ก็บ่งว่าสมาธิตอนแรกดีพอสมควร แล้วค่อยๆอ่อนลงๆ

ดังนั้นจะต้องกำหนดภาพนิมิตที่ปรากฏนั้นตามที่เห็น ตามที่เป็น เห็นยังไง รู้สึกยังไงกำหนดยังงั้น

เช่นเห็นก็ เห็นหนอๆๆๆ เป็นต้น วิธีนี้แหละที่จะละนิมิตไป องค์ธรรมฝ่ายกุศล เช่น สติสัมปชัญญะ

กุศลสัญญา สมาธิ วิริยะ ฯลฯ จะเจริญขึ้นทำหน้าของตนได้อย่างคล่องตัว


เข้าใจแล้ว อนุโมทนาค่ะอาจารย์ :b8:

.....................................................
"มิควรหวังร่มเงาจากก้อนเมฆ"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 มิ.ย. 2010, 14:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 เม.ย. 2010, 11:50
โพสต์: 283

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ถ้านั่งสมาธิแล้วไม่เห้นอะไรเลย แปลว่าเรานั่งสมาธิผิด ไม่บรรลุผลใช่มั้ยคะ เพราะบางคนจะเห็นสิ่งที่เราทำไม่ดีเช่น ตีหมา หักขาปู เป้นต้น ทำให้เราไปทำบุญขออดหสิกรรมให้กรรมเบาบางลง แต่ถ้านั่งสมาธิแล้วไม่เห้นอะไรเลยแปลว่าเรามีบาปเยอะหรือเปล่าคะ เจ้ากรรมนายเวรถึงไม่มาให้เราเห็นเพื่อขออโหสิกรรม :b23:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 มิ.ย. 2010, 15:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 พ.ย. 2009, 16:20
โพสต์: 537

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ปริตา เขียน:
สองสามวันนี้บ้านเปี่ยมสุขเงียบๆนะคะ...
เจ้าของบ้านไปเยี่ยมบ้านอื่น ลืมเข้าบ้านตัวเองหรือป่าวค่ะ

พี่ทักทายค่ะ ไม่ทราบว่าตัวปอนด์เข้าใจในเรื่องขันธ์ 5 ถูกต้องหรือป่าว
ในความคิดของตัวเองคิดว่า ขันธ์ 5 นี้เหมือนเป็นวิธีการขั้นพื้นฐาน
ที่คนธรรมดาอย่างปอนด์จะนำไปใช้เพื่อเป็นทางที่จะลดความยึดติด
และเป็นวิธีที่จะทำให้ละวาง ความสุข ความทุกข์ลงได้
เข้าใจประมาณนี้ค่ะ ก็ไม่ทราบว่าถูกหรือผิดประการใด ยังไม่ค่อยแจ้งเลยค่ะ


อนุโมทนากับการพิจารณาขันธ์๕ของคุณปอนด์และคุณทักทายครับ
การพิจารณาขันธ์๕ เป็นเครื่องมือในการปล่อยวาง การละความยึดมั่นถือมั่นในกายใจ
การที่จะละจากความยึดมั่นในความเป็นตัวเราของเราได้ก็ต้องละความยึดมั่นที่ขันธ์๕
เพราะขันธ์๕ นี้คือกายใจทั้งหมด กายใจของเราไม่พ้นไปจากขันธ์๕
เราจะเห็นได้อย่างไรว่ากายใจอันนี้ไม่ใช่ตัวเราของเรา ในเมื่อเรายังเห็นว่าขันธ์๕นี้ยังเป็นเราอยู่
เราจึงต้องพิจารณาเพื่อถอดถอนความยึดมั่นถือมั่นจากขันธ์๕ นี้ให้สิ้น

และการพิจารณาขันธ์๕ ก็ไ่ม่ใช่เครื่องมือของปุถุชนเท่านั้นนะครับ
แต่เป็นเครื่องมือที่ปุถุชนจนกระทั่งพระอรหันต์ต้องใช้
ผมเอาเทศน์ของหลวงพ่อฤๅษีลิงดำมาลองให้อ่านดูครับ



สมัยหนึ่งบรรดาพระสงฆ์ทั้งหลายที่บวชใหม่

เข้าไปกราบทูลลาองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ตั้งใจจะไปเจริญพระกรรมฐานในป่า

หวังให้บรรลุมรรคผล ตอนนั้นองค์สมเด็จพระทศพลจึงได้มีพระพุทธฎีกาตรัสถามว่า

ภิกขเว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอไปลาพระสารีบุตรแล้วหรือยัง

บรรดาพระทั้งหลายเหล่านั้นจึงกราบทูลว่า ยังพระพุทธเจ้าข้า



พระพุทธเจ้าจึงทรงมีพระบัญชาว่า อย่างนั้นก่อนที่เธอจะไป เธอจงไปลาพระสารีบุตรเสียก่อน

พระเหล่านั้นก็รับคำแล้วก็ลาพระพุทธเจ้าออกไปจากพระมหาวิหาร เข้าไปหาพระสารีบุตร

พอเข้าไปถึงพระสารีบุตร พระสารีบุตรให้โอวาทอื่นพอสมควร

แล้วพระทั้งหลายเหล่านั้นจึงได้ถามพระสารีบุตรว่า

พวกกระผมเป็นปุถุมชน ถ้าจะปฏิบัติตนให้เป็นพระโสดาบันจะทำยังไงขอรับ

พระสารีบุตรก็บอกว่า ถ้าพวกเธอทั้งหลายปรารถนาเป็นพระโสดาบัน ก็จงพิจารณาขันธ์ ๕ ว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อันนี้มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ ไม่มีในเรา

ปลงให้ตกจนกว่าจะเลิกสังโยชน์ ๓ ได้ คือสักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพตปรามาส

เมื่อปลงขันธ์ ๕ อย่างเดียว สังโยชน์ ๓ มันจะขาดไปเอง เมื่อสังโยชน์ ๓ ขาดลงไปแล้ว พวกเธอก็จะได้เป็นพระโสดาบัน



พระพวกนั้นก็เลยถามต่อไปว่า เมื่อผมเป็นพระโสดาบันแล้ว จะเป็นพระสกิทาคามีจะทำยังไง

ท่านก็บอกว่า พิจารณาขันธ์ ๕ ตามแบบนั้นแหละ พิจารณาละเอียดลงไป ก็จะเป็นพระสกิทาคามีเอง



พระพวกนั้นก็ถามต่อไปว่า เมื่อพวกกระผมเป็นพระสกิทาคามีแล้ว จะเป็นพระอนาคามีจะทำยังไง

ท่านก็บอกว่า ปลงขันธ์ ๕ นั่นเอง ทำอย่างว่านั่นแหละ แล้วกามฉันทะกับปฏิฆะ คือการกระทบกระทั่งจิต การโกรธ ความพยาบาท มันก็จะสิ้นไปเอง ก็จะเป็นพระอนาคามี



ท่านพวกนั้นก็ถามต่อไปว่า ถ้าผมเป็นพระอนาคามีแล้ว ผมจะเป็นอรหันต์จะต้องทำอย่างไร

ท่านบอกว่า พิจารณาขันธ์ ๕ ตามที่บอกมานั่นแหละ ก็เป็นพระอรหันต์ไปเอง สังโยชน์ ๑๐ ก็จะขาดไป



พระพวกนั้นก็ถามว่า เมื่อเป็นพระอรหันต์ละสังโยชน์ ๑๐ ได้แล้ว การพิจารณาขันธ์ ๕ ไม่ต้องทำต่อไปใช่ไหมขอรับ พระสารีบุตรตอบว่า "ไม่ใช่ พระอรหันต์นี่แหละทำหนัก ยิ่งพิจารณาหนักเพื่อความอยู่เป็นสุข"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 มิ.ย. 2010, 16:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


น้ำค้าง เขียน:
ถ้านั่งสมาธิแล้วไม่เห้นอะไรเลย แปลว่าเรานั่งสมาธิผิด ไม่บรรลุผลใช่มั้ยคะ เพราะบางคนจะเห็นสิ่งที่เราทำไม่ดีเช่น ตีหมา หักขาปู เป้นต้น ทำให้เราไปทำบุญขออดหสิกรรมให้กรรมเบาบางลง แต่ถ้านั่งสมาธิแล้วไม่เห้นอะไรเลยแปลว่าเรามีบาปเยอะหรือเปล่าคะ เจ้ากรรมนายเวรถึงไม่มาให้เราเห็นเพื่อขออโหสิกรรม :b23:



ถ้านั่งสมาธิแล้วไม่เห้นอะไรเลย แปลว่าเรานั่งสมาธิผิด ไม่บรรลุผลใช่มั้ยคะ

ตอบกว้างๆทีหนึ่งก่อน...จิตยังไม่มีไม่เป็นสมาธิ

ถ้าจะให้แน่ต้องสอบถามผู้นั้นโดยตรงว่าเขาปฏิบัติยังไงแบบไหนอย่างไร หรือเพียงนั่งขัดสะหมาดตามแบบทั่วๆไป เช่น เท้าขวาทับเท้าซ้าย มือขวาทับมือซ้ายแล้วก็หลับตาตามๆเขาไป แต่ตนก็เข้าใจเอาว่านั่งสมาธิ ทำ (เจริญ) สมาธิแล้ว ยังมีรายละเอียดอีกครับ

เพราะบางคนจะเห็นสิ่งที่เราทำไม่ดีเช่น ตีหมา หักขาปู เป้นต้น ทำให้เราไปทำบุญขออโหสิกรรม
ให้กรรมเบาบางลง แต่ถ้านั่งสมาธิแล้วไม่เห้นอะไรเลย แปลว่าเรามีบาปเยอะหรือเปล่าคะ
เจ้ากรรมนายเวรถึงไม่มาให้เราเห็นเพื่อขออโหสิกรรม


ปฏิบัติธรรมแบบนี้ คือใช้รูปกับนามเป็นอารมณ์อย่างนี้ กำลังปฏิบัติอยู่ตัดความคิดว่าเจ้ากรรมนายเวร
อย่างที่พูดๆกันออกไปก่อน ไม่พึงคิดอย่างนั้นให้ฟุ้งซ่านแตกหน่อแตกแขนงยืดยาวเป็นวงจรความคิดรอบใหม่ แต่ให้กำหนดสิ่งที่รู้เห็นนั้นทุกๆขณะ เห็นอะไรยังไงกำหนดยังงั้น

สิ่งที่เห็นอธิบายได้ครับ เช่นตัวอย่างนี้ (บางคนจะเห็นสิ่งที่เราทำ ไม่ดีเช่น ตีหมา หักขาปู เป้นต้น)
หากจะบีบให้พูดว่า เป็นกรรม ก็พูดได้ว่าเป็นผลของอกุศลกรรม (คืออกุศลจิต ซึ่งเคยเกิดแล้วก็ทำสิ่งนั้นๆไป ทำสำเร็วแล้วก็ดับลง) ส่วนสัญญาก็บันทึกเหตุการณ์แล้ว
ครั้นเขามากำหนด (มนสิการ) กายกับใจ (รูปกับนาม) เป็นอารมณ์ ผล (สิ่ง) นั้น ซึ่งถูกสัญญาบันทึกเอาไว้ก็ผุดขึ้นมาให้เห็น ซึ่งตามปกติเหมือนไม่มีอะไร อุปมาก็เหมือนตะกอนนอนก้น ซึ่งตามปกติ (อยู่นิ่งๆ) เหมือนไม่มี แต่พอเรากวนน้ำ ตะกอนซึ่งนอนสงบนิ่งอยู่ก้นตุ่มก็ลอยฟุ้งให้เห็น ฉันใดก็ฉันนั้น
กรณีตัวอย่างก็ทำนองเดียวกัน ต่อให้นานเท่านานมันก็ฝังตัวอยู่ในก้นบึ้งของจิตวิญญาณ ไม่หายไปไหนทั้งดีและชั่ว
มีวิธีกำจัดอกุศลจิต ก็คือกำหนดความคิดนั้นตามที่มันคิด ตามที่มันเป็น เป็นวิธีกำจัดบาปกรรม ขั้นนี้จะเรียกว่าตัดกรรมก็ได้

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 มิ.ย. 2010, 16:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


แนะนำให้อ่านบทความอันลึกซึ้งนี้อีกครับ

เมื่อมองหาเหตุแห่งทุกข์ มนุษย์ชอบมองออกไปหาที่ซัดทอดให้ในภายนอก หรือมองให้ไกลจากความ

รับผิดชอบของตนเท่าที่จะเป็นไปได้ ฉันใด

เมื่อจะแก้ไขทุกข์ มนุษย์ก็ชอบมองออกไปข้างนอก หาที่ปกป้องคุ้มครองให้ตนพ้นภาวะหรือช่วยทำการ

แก้ไขทุกข์แทนให้ ฉันนั้น

ว่าโดยลักษณะ การกระทำทั้งสองนั้นก็คล้ายคลึงกันคือ เป็นการหลบหน้าความจริง ไม่กล้ามองทุกข์

และเลี่ยงหนีการเผชิญความรับผิดชอบ เหมือนคนหนีภัยด้วยความขลาดกลัว หาที่พอปิดตาซุกหน้า

ไม่ให้เห็นภัยนั้น นึกเอาเหมือนว่าได้พ้นภัย ทั้งที่ร่างกายทั้งตัวถูกปล่อยทิ้งไว้ในภยันตราย

ท่าทีเช่นนี้

ทำให้เกิดนิสัยหวังพึ่งปัจจัยภายนอก เช่น การอ้อนวอนต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ การบนบานเซ่นสรวงสังเวย

การรอคอยการดลบันดาลของเทพเจ้า หรือ นอนคอยโชคชะตา พระพุทธศาสนาสอนว่าสิ่งที่พึ่ง

เช่นนั้น หรือการปล่อยตัวตามโชคชะตาเช่นนั้นไม่เป็นทางแห่งความมั่นคงปลอดภัย ไม่นำไปสู่ความ

พ้นทุกข์แท้จริง.

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 มิ.ย. 2010, 16:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณน้ำค้างแวะไปอ่านเรื่องที่กำลังพูดถึง อาจเป็นประโยชน์ในวันหน้า

ลิงค์นี้ครับ

http://fws.cc/whatisnippana/index.php?board=3.0

นำตัวอย่างลักษณะของจิตเริ่มๆ เป็นสมาธิ พอจะเป็นสมาธิเท่านั้นสภาวธรรมจะปรากฏให้เห็นให้รู้สึก แต่เพราะตนไม่เข้าใจ จึงคิดว่าเป็นนี่เป็นนั่น ฯลฯ ดูที่ขีดเส้นใต้ครับ


1. นั่งสมาธิพอนั่งไปได้สักพักเรารู้สึกว่าใจนั้นค่อยๆสงบ ก็จะมีอาการคันอยู่ในหูทั้ง 2 ข้างอยู่เรื่อยๆเหมือนมีอะไรอยู่ในหู

2. เวลาพอเริ่มนิ่ง ก็จะรู้สึกคันในคอ มันยุบยิบไปหมด กำหนดรู้เดียวมันก็จะหายไปเอง แต่บางครั้งก็หายไปได้แต่เดียวก็กลับมาใหม่จนสุดท้ายต้องไอ เลยต้องออกจากสมาธิ

3. ตอนนี้ฝึกทำสมาธิและสวดมนต์ค่ะ ทำมาได้วันที่ 6 แล้ว แต่ไม่ได้ทำสมาธินานเลยนะ 20 นาที
แต่ทำบ่อยค่ะทำทั้งวัน ตอนไหนว่างก็ทำ สวดมนต์เช้า กลางวัน เย็น กรวดน้ำทุกครั้ง
ทำไมรู้สึกกลัวผีจังเลยค่ะ รู้สึกเหมือนมีคนอยู่กับเราตลอดเลย กลัวมากๆเลยนะ
ตอนเนี้ย ใจมันโหวงเหวง
บอกไม่ถูกกลัวเห็น ทั้งๆที่เราก็อยากรู้ว่ากรรมเรามันคืออะไร
แต่กลัว โทรไปบอกให้น้องสาวกลับบ้านเร็วๆ ทำไงจะข่มใจได้ค่ะ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 มิ.ย. 2010, 17:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
แนะนำเพื่อนร่วมทุกข์ดูนี่


เวลาผมนั่งสมาธิ พอภาวนาไปซักพัก เริ่มตัดภาวนาไปแล้วทีนี้ก็จะเกิดอาการ ขนลุกเย็นทั้งตัว

แล้วหลังจากนั้นก็จะมีภาพ คน สัตว์ แมลง ที่เราเคยทำร้ายเคยทำให้เค้าตายหรือเจ็บลอยมาให้เห็น

คือ แปลกใจว่า บางเรื่องเป็นเรื่องที่นานมาก บางเรื่องเป็นเรื่องสมัยเด็กๆอยู่ด้วยซ้ำ ซึ่งบางทีนึกถึง

ยังนึกไม่ออกเลยครับ เพราะนานมาก แต่พอมานั่งสมาธิ ก็ลอยมาให้เห็นเฉยเลย


http://fws.cc/whatisnippana/index.php?topic=30.0



ตัวอย่างนี้แทนคำอธิบายดังกล่าวครับ ยังมีอีกเยอะครับ ตามลิงค์นั้นไปอ่านดูครับ แม้จะต่างกันโดยอารมณ์ที่ปรากฏ แต่โดยเนื้อหาสาระแล้วอย่างเดียวกัน

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 29 มิ.ย. 2010, 17:04, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 มิ.ย. 2010, 17:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ก.ย. 2009, 09:31
โพสต์: 292

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อนุโมทนาสาธุค่ะ...คุณพงพัน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 มิ.ย. 2010, 18:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ต้ดนำมาฝากคุณทักทายครับ


เมื่อมีสติตามทันขณะปัจจุบัน และมองดูสิ่งนั้นๆ ตามที่มันเป็นอยู่ในขณะนั้นๆตลอดเวลา

ย่อมสามารถตัดวงจรทำลายกระบวนธรรมฝ่ายอกุศลลงได้ด้วย ค่อยๆแก้ไขความเคยชินเก่าๆ

พร้อมกับสร้างแนวนิสัยใหม่ให้แก่จิตได้ด้วย

จิตที่มีสติกำกับให้ตามทันอยู่กับขณะปัจจุบัน จะมีสภาพดังนี้

-ความชอบใจ หรือขัดใจ ไม่มีโอกาสเกิดขึ้นเพราะการที่จะชอบใจ หรือขัดใจ จิตจะต้องข้องขัด

อยู่ ณ จุดหรือ ส่วนใดส่วนหนึ่ง และชะงักค้างอยู่ คือ ตกลงในอดีต

-ไม่เลื่อนไหลลงไปในอดีต ไม่เลื่อนลอยไปในอนาคต ความชอบใจ ไม่ชอบใจ กับการตกอดีต

เป็นอาการที่เป็นไปด้วยกัน เมื่อไม่ข้อง ไม่ค้างอยู่ ตามดูทันอยู่กับสภาวะที่กำลังเป็นไปอยู่

การตกอดีต ลอยอนาคต ก็ไม่มี

-ไม่ถูกความคิดปรุงแต่ง เนื่องด้วยภูมิหลังที่ได้สั่งสมไว้ ชักจูงแปลประสบการณ์ หรือ สิ่งที่รับรู้

ให้เอนเอียงบิดเบือน หรือ ย้อมสีไปตามอำนาจของมัน พร้อมที่จะมองไปตามสภาวะของสิ่งนั้นๆ

-ไม่ปรุงแต่งเสริมซ้ำ หรือ เพิ่มกำลังแก่ความเคยชินผิดๆ ที่จิตได้สั่งสมเรื่อยมา

-เมื่อตามรู้ดูทันทุกสิ่ง ที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบันทุกขณะ ก็ย่อมได้รู้เห็นสภาพจิตนิสัย เป็นต้น

ของตนที่ไม่พึงปรารถนา หรือ ที่ตนเองไม่ยอมรับปรากฏออกมาด้วย ทำให้ได้รับรู้สู้หน้า เผชิญสภาพ

ที่เป็นจริงของตนเองตามที่มันเป็น ไม่เลี่ยงหนี ไม่หลอกตนเอง และทำให้สามารถชำระล้างกิเลส

เหล่านั้น แก้ปัญหาในตนเองได้ด้วย

นอกจากนั้น ในด้านคุณภาพจิตก็จะบริสุทธิ์ ผ่องใส โปร่ง เบิกบาน เป็นอิสระ ไม่ถูกบีบจำกัดให้คับแคบ

และไม่ถูกเคลือบคลุมให้หมองมัว

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 29 มิ.ย. 2010, 19:23, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กระทู้นี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความ หรือ ตอบกลับในกระทู้นี้  [ 1672 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 75, 76, 77, 78, 79, 80, 81 ... 112  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร