วันเวลาปัจจุบัน 26 ส.ค. 2025, 02:41  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 1521 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 87, 88, 89, 90, 91, 92, 93 ... 102  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.ค. 2010, 01:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หนูมีเรื่องรบกวนถามอาจารย์หน่อยค่ะ หนูอยากถามว่า การตักบาตรนั้น ถ้าเราใส่เงินลงนั้นจะผิดหรือเปล่าค่ะ เพราะหนูเคย เห็น พระบางวัดนำอาหารที่ได้รับจากการตักบาตร ไปขายต่อหรือไม่กินกินบ้าง ทิ้งบ้าง ทำให้หนูคิดว่า การใส่เงินตักบาตรนั้น เพื่อที่พระหรือเณรท่านจะได้รับเงินที่ได้ไปใช้ประโยชน์อย่างอื่นได้อีกค่ะ ที่หนูคิดอย่างนี้ผิดมั๊ยค่ะ เพราะมีคนเคยบอกหนูว่า การใส่บาตร ด้วยเงินนั้นเป็นบาปค่ะ และอยากถามต่อว่าเราจำเป็นต้องกรวดน้ำ ทุกครั้งที่ตักบาตรหรือเปล่าคะ (ส่วนใหญ่หนูไม่ได้กรวดน้ำหรอกค่ะ) ถ้าอย่างไรท่านตอบให้หนูหน่อยนะค่ะ
ขอบคุณท่านมากค่ะ คนที่ยังรู้เรื่องธรรมะน้อย

คำตอบ

บาตรเป็นหนึ่งในเครื่องใช้ (บริขาร) แปดอย่างของภิกษุ มีไว้เพื่อจุดประสงค์สำหรับใส่อาหาร การเอาเงินใส่ลงในบาตร จึงเป็นการกระทำที่ผิดวัตถุประสงค์

การเอาเงินใส่ลงในบาตรด้วยคิดว่า พระหรือเณรจะได้นำเงินไปใช้อย่างอื่นที่เป็นประโยชน์ เป็นการคิดไม่ผิด แต่ควรนำเงินไปถวายที่วัดหรือใส่ลงในย่าม

หลังจากตักบาตรแล้ว ไม่จำเป็นต้องกรวดน้ำทุกครั้ง แต่ควรอุทิศบุญให้กับผู้ที่ตนปรารถนาอุทิศให้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.ค. 2010, 01:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ทำอย่างไรจึงจะก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรมคะเขาพูดดีด้วยก็ดีใจ เขาพูดร้ายด้วยก็เสียใจ

และหนูขอขมาอาจารย์สนอง วรอุไรด้วยกาย วาจา ใจ กรรมอันหนึ่งอันใดที่หากหนูได้ประมาท พลาดพลั้งต่อหน้าก็ดี ลับหลังก็ดี ต่ออาจารย์สนอง วรอุไร ขออาจารย์โปรดเมตตา อโหสิกรรมให้แก่หนูด้วยค่ะ

คำตอบ

ความดีใจ ความเสียใจ เป็นอารมณ์ที่เกิดขึ้นกับจิตของผู้มีกำลังสติอ่อน ผู้ใดประสงค์ให้การปฏิบัติธรรมเจริญก้าวหน้า ผู้นั้นต้องมีศีลบริสุทธิ์คุมใจให้ได้ก่อน แล้วจึงนำตัวเองเข้าปฏิบัติธรรม โดยมีขันติ มีความเพียร และมีสัจจะเป็นแรงสนับสนุน

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.ค. 2010, 01:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สอบถามเรื่องการเล่นหุ้นมีผลต่อการปฏิบัติธรรมอย่างไรบ้าง

ดิฉัน อายุ 48 ปี ไม่มีครอบครัว ยังทำงานที่บริษัท ในนวนคร ทำมา 22 ปีแล้ว แต่ต้อง รับภาระดูแล ครอบครัว ปัจจุบันกำลังฝึกปฏิบัติธรรม สติปัฐาน 4 ( พองหนอ-ยุบหนอ)อยู่ แต่ขณะนี้มีปัญหาเรื่อง หนี้สิน และการเงิน ซึ่ง เกี่ยวกับ ครอบครัว(พ่อแม่) เขาไม่มั่นใจ ตัวข้าพเจ้า พยายามลด ละ เลิก สิ่งฟุ่มเฟือยทั้งหมด เพื่อฝึกตนเอง เพื่อจะเดินเส้นทางธรรม ในอนาคต แต่เขา(ครอบครัวมองว่าเราลำบาก เขา พยายามผลักดัน ไม่ให้ดิฉันมุ่งมั่นมากเกินไป) เพื่อมาชวนเล่นหุ้น เพื่อจะได้เงิน ให้ครอบครัว และ ตัวดิฉันจะมี เงินใช้หนี้ แต่ตัวดิฉัน ไม่อยากเล่นหุ้น เพราะ เหมือนกับคล้ายกับเล่นหวย แต่ปัจจุบัน ตัวดิฉันยังไม่ได้เล่นหุ้น แต่กำลังพิจารณา ว่า ในเมื่อตัวดิฉันจะเดินทางธรรมะแล้ว ผิดศีลรึไม่ ? หรือ ด่างพร้อย รึไม่ จะมีผลอย่างไร ทั้งในปัจจุบัน และ อนาคตอันใกล้ และไกล

ขอขอบพระคุณอย่างสูง


คำตอบ

การลด ละ เลิก สิ่งฟุ่มเฟือย หมายถึง การลด ละ เลิก บริโภคใช้สอย สิ่งที่ไม่จำเป็น (อสาระ) กับชีวิต ผู้ที่เข้าใจธรรมะและมีธรรมะคุ้มครองใจเท่านั้น จะสามารถลด ละ เลิก สิ่งที่ไม่จำเป็นกับชีวิตได้

อนึ่ง การเล่นหุ้น เป็นการเอาจิตเข้าไปผูกติดเป็นทาสของอบายมุข (ช่องทางแห่งความเสื่อม) ไม่ถือเป็นการประพฤติผิดศีล แต่เป็นการประพฤติผิดธรรม ผู้เล่นหุ้นสามารถปฏิบัติธรรมได้ แต่ไม่สามารถพัฒนาจิตให้เข้าถึงธรรม ตรงกันข้าม ผู้ใดมีศีลไม่ขาด ไม่ทะลุ ไม่ด่าง ไม่พร้อย คุมใจอยู่ทุกขณะตื่น ผู้นั้นสามารถพัฒนาจิต ให้เข้าถึงความตั้งมั่นเป็นสมาธิได้ง่าย

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.ค. 2010, 01:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หนูมีคำถามที่สงสัย อยากทราบว่า ทำไมการบวช จึงถือว่าเป็นการทดแทนคุณ บิดามารดาคะ และถ้าเราทำตัวดี ประพฤติตนอยู่ในศีลธรรมดูแล บิดามารดา ถือเป็นการทดแทนคุณบิดามารดาไม่ใช่หรือคะ ถ้าชายไทยที่นับถือศาสนาพุทธ และไม่ได้บวช เพราะเค้าคิดว่า ทุกวันนี้ก็ดูแลบิดามารดาดีอยู่แล้ว ถือว่าเป็นความคิดที่ถูกต้องหรือไม่คะ

คำตอบ

“ การบวช ” หมายถึง การถือเพศเป็นภิกษุ สามเณร หรือนักพรต บุคคลที่เปลี่ยนเพศเหล่านี้ มีจุดมุ่งหมายที่จะพัฒนาจิตตนเองให้เป็นคนดี จึงถือว่าเป็นบุญ การทำตัวเองให้มีบุญเกิดขึ้น ถือว่าเป็นการประพฤติจริยธรรมอย่างหนึ่งของการเป็นลูกที่ดี เป็นการทดแทนบุญคุณพ่อแม่ได้ เช่นเดียวกัน ผู้ใดมิได้บวช แต่ประพฤติตนเป็นคนดีของพ่อแม่ ถือว่าเป็นการทดแทนคุณของพ่อแม่ได้ ในทำนองเดียวกัน ผู้ใดประพฤติตนเป็นคนดีของแผ่นดินที่มีอุปการะ ให้เราได้มาเกิด มาอยู่อาศัยอย่างมีความสุข มาทำกิจกรรมให้กับชีวิต ถือว่าเป็นการทดแทนคุณของแผ่นดินได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.ค. 2010, 01:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อาจารย์ครับ ถ้าหากว่าเราไม่พูดความจริงทุกอย่างให้เพื่อนฟัง แล้วเขาเดาว่าเราต้องเป็นอย่างที่เขาคิด
แต่มันไม่ใช่ความจริง แล้วเราจะผิด มุสาวาท รึเปล่าครับอาจารย์ครับ

คำตอบ

คำว่า “ มุสาวาท ” หมายถึง การพูดเท็จ การพูดคำที่เป็นเท็จ การพูดผิดไปจากความเป็นจริง ฯลฯ ฉะนั้นผู้ใดกล่าววาจา ไม่เป็นไปตามที่ชี้แนะมานี้ ไม่ถือว่าเป็นมุสาวาท

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.ค. 2010, 02:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมได้อ่านคำตอบจากท่านอาจารย์รู้สึกซาบซึ้งและชัดเจนมากในคำตอบที่ถาม
ผมมีคำถามรบกวนท่านอาจารย์อีกครั้งผมเป็นทันตแพทย์ที่ช่วยทำงาน
ให้แก่คลินิกรุ่นพี่โดยรายได้ที่ได้จากคนไข้จะแบ่งครึ่งกัน
แต่ด้วยคนไข้บางคนดูเหมือนจะรายได้น้อยและขัดสนหรือมีเงินไม่เพียงพอ
ผมจะลดค่าใช้จ่ายให้แก่คนไข้(ลดในใจ คือหมายถึงผมไม่ได้บอกแก่คนไข้หรอกครับว่าผมลดให้)
จนบางครั้งผมสงสัยว่าผมจะทำให้เจ้าของร้านขาดรายได้หรือไม่
เพราะรุ่นพี่ไม่ได้รับรู้ถึงเรื่องดังกล่าว...

ผมเลยมีคำถามว่า
1. หลังจากสวดมนต์เสร็จผมจะขออุทุศส่วนบุญที่ได้ทำกับคนไข้
ให้แก่ชื่อรุ่นพี่ทั้ง 2 ผมทำถูกหรือไม่ครับ หรือผมจำเป็นต้องให้รุ่นพี่รับโมทนาด้วยหรือไม่ครับ

2. การที่ผมไม่บอกกับคนไข้โดยตรงว่าลดให้แล้วเพราะผมปากหนักที่จะบอกนะครับ
แต่คนไข้บางคนก็บอกว่าช่วยลดหน่อยได้ไหม ผมถึงจะบอกว่าผมลดให้แล้วครับในใจ
เขาหัวเราะและพูดมาว่าหมอจะพูดออกมาก็ได้นะ เขาไม่รู้ ผมควรจะพูดไหมครับอาจารย์

หลังจากเวลาว่างของคลินิกผมใช้เวลาไปออกกำลังกายและสอนหนังสือให้เด็กฟรี
มีเด็กคนหนึ่งเขามักจะไม่รับความรู้ที่ผมให้ไปเท่าไร สมองไม่ไว ไม่หมั่นทบทวน
นอนทำการบ้านและนอนอ่านหนังสือ หลับไวกว่ากำหนด(อยู่ม. 6 แต่นอนหลับ 3-4 ทุ่ม)
สอนไปวันนี้พรุ่งนี้ก็หลงลืม แต่เขาเป็นคนซื่อสัตย์ไม่พูดปดและไม่ลอกข้อสอบเพื่อน
จนทำให้ตัวเขาเองติด 0 เยอะมาก(แต่เพื่อนที่ลอกข้อสอบกลับได้เกรด 3)...
ผมเห็นใจพ่อเขามากกลุ้มใจเพราะลูก จะต้องสอบเรียนต่อแต่ลูกแทบไม่มีความรู้เลย
เขาก็รักพ่อเขามากแต่มักจะไม่ค่อยพูดกับพ่อ
เป็นเด็กเงียบๆชอบอยู่คนเดียว คิดอะไรใจลอยเหมือนไม่มีสมาธิ
ตอนก่อนคลอดแม่เขาเคยคิดจะเอาออกโดยการกินยาขับ

คำถามนะครับ
3. เด็กคนนี้มีกรรมอย่างไรจึงทำตัวเองให้เป็นเช่นนั้น
4. ผมควรให้เขาทำตัวอย่างไรดี จึงจะสามารถรับผิดชอบตัวเองในการเรียนมากกว่านี้
หรือเป็นกรรมเก่าที่เขาต้องรับ เราสามารถเปลี่ยนชะตาตรงนี้ได้ไหมครับ
ป.ล. ผมมีความคิดว่าจะพาเขาไปนั่งอบรมสมาธิกับวัดวะภูแก้วสักครั้ง

เมื่อวานขณะผมขัดหินปูนให้คนไข้ก็พูดให้ความรู้ไป จนมานึกถึงฟัน
ที่จริงฟันของเราก็เปรียบเหมือนจิต ฟันที่สะอาดผิวเรียบก็เหมือนจิตที่ใส
แต่เพราะเรารับทานอาหารเข้าไป เหมือนจิตที่รับสิ่งกระทบภายนอก
หากเราไม่รู้เท่าทันในการกำจัดคราบอาหารที่มีอยู่ออกให้หมดจากตัวฟัน
หวังเพียงเพื่อรสอร่อยของอาหารและกลิ่นปรุงแต่งจากยาสีฟัน
ก็เหมือนจิตที่รับสิ่งกระทบมาแล้วนำมาปรุงแต่งจิต ไม่มองเป็นไตรลักษณ์
ฟันของเรานานวันเข้าจากที่เคยมีชั้นเคลือบที่ทำให้ฟันลื่น
กลับต้องมีสิ่งปกคลุมที่ผิวไม่ละเอียด(โมเลกุลอาหารประเภทแป้ง)
เหมือนจิตที่มีมลทิลครอบคลุมไว้ทำให้จิตเศร้าหมอง
และหากนานวันเข้าคราบอาหารดังกล่าวจะง่ายต่อการติดบนผิวฟันมากขึ้น
เพราะผิวฟันเริ่มสากมากแล้วในตอนนี้เหมือนจิตที่ไม่สะอาดอย่างมากๆ
การที่จะแปรงเพื่อให้คราบอาหารที่แข็งนั้นออกเป็นไปไม่ได้
ดั่งเช่นจิตใจยากต่อการชำระล้างด้วยบุญกุศล
ผมพูดกับคนไข้ในเรื่องของฟันนะครับ ส่วนเกี่ยวกับจิตผมคิดในใจเองครับ
กลัวพูดไปผู้ช่วยกับคนไข้จะหาว่าผมเพี้ยนไป
ผมจะพูดเกริ่นเป็นนัย กรณีมีคนไข้มาทำฟันว่า ได้เข้าวัดบ้างไหม เขาจะเล่าเป็นฉากๆเลย
ไปนอนวัดถือศีล 8 ประจำ ผมฟังปราบปลื้มจังและรู้ว่าป้าคนนี้ไม่พ้นเป็น
นางฟ้านางสวรรค์แน่ๆเลย...

ผมดีใจมากๆที่ได้พบท่านอาจารย์สนอง แต่ก่อนผมไม่ได้เคยนึกถึงเรื่องแบบนี้
ดำรงชีวิตไปแบบไม่มีจุดหมาย รับประทาน ทำงาน ออกกำลัง
สอนหนังสือ อยู่กับพ่อแม่ นอน วงจรชีวิตสั้นเหมือนยุง
เพียงแต่ผมรู้จากการสังเกตสิ่งรอบๆตัว คนไข้ทุกข์ทรมาน
การมีครอบครัวทำให้เกิดบ่วง เห็นพ่อแม่ลำบากพาลูกมาทำฟัน
บางคนเงินไม่มี ฟันอุดไม่ได้ก็ตัดสินใจถอนแทนการรักษาราก
นี่แค่เรื่องของฟันยังไม่รวมเรื่องอื่นๆที่เขาต้องรับ แต่ผมก็ไม่คิดต่อไป
แล้วเราจะจัดการอย่างไรกับตัวเราดี คิดแต่ว่าตอนนี้เราสบายไม่มีภาระ
เราจะไม่เป็นแบบคนเหล่านั้นเพราะเราเห็น...
พอได้ฟังธรรมะของอาจารย์ในเวปไซต์ที่เปิดเจอแบบไม่ได้ตั้งใจ
ใจผมก็คิดได้ขึ้นมาและนึกว่าชีวิตเราไม่ได้มีแค่นี้จริงๆ

ผมกราบขอบพระคุณมากๆครับสำหรับคำสอนอาจารย์ที่เข้ามาจุดประกายความดีของผม ให้สว่างขึ้น

คำตอบ

(๑). การมีชีวิตเป็นผู้ให้ เป็นชีวิตที่มีคุณค่า ตรงกันข้าม การมีชีวิตเป็นผู้รับ เป็นชีวิตที่ด้อยค่า หากผู้ถามปัญหาประสงค์ให้การอุทิศบุญสัมฤทธิ์ผล หลังจากอุทิศบุญแล้ว ต้องสื่อสารให้รุ่นพี่ทราบ เมื่อใดที่ทั้งสองคนอนุโมทนาบุญที่ผู้ถามปัญหาอุทิศให้ เขาจึงจะได้รับบุญนั้น

(๒). การทำความดีโดยไม่บอกกล่าวให้ผู้อื่นทราบ ความดีที่ทำนั้นย่อมเกิดเป็นบุญเต็มร้อย ผู้รู้จริงนิยมประพฤติเช่นนี้ ดังนั้นผู้ถามปัญหาประสงค์ได้บุญเต็มร้อยหรือไม่ ต้องเลือกเอง

วัยรุ่นส่วนใหญ่มีสมาธิสั้น จิตปรุงอารมณ์ได้หลากหลาย จึงทำให้ขี้เกียจ ส่วนเยาวชนที่บอกเล่าไป เป็นผู้มีคุณธรรม (ซื่อสัตย์) เป็นพื้นฐานของใจ หากเขาได้พัฒนาจิตตัวเองถูกทาง เขาจะประสบความสำเร็จได้ง่าย ได้สูง ด้วยการสวดมนต์ก่อนนอน หลังสวดมนต์แล้วพัฒนาสติ ด้วยการหายใจเข้า กำหนดว่า “ ออกซิเจน ” หายใจออก กำหนดว่า “ ซีโอทู ” นานครั้ง ประมาณ ๓๐ นาที แล้วอุทิศบุญให้เจ้ากรรมนายเวรของตัวเอง อุทิศบุญทุกครั้งที่หลังเสร็จการปฏิบัติ การประพฤติเช่นนี้มีผลทำให้คลื่นสมอง จัดเรียงตัวเป็นระเบียบ ความจำจะดีขึ้นเป็นอัตโนมัติ ส่งผลให้การศึกษาเล่าเรียนสำเร็จได้ง่าย และขณะเดียวกัน การกระทำดังกล่าว ยังมีผลให้บุญสั่งสมขึ้นในจิตอีกด้วย

(๓).เป็นกรรมร่วมที่ทำไว้กับแม่ที่มีความเห็นผิด ให้อานิสงส์ที่เป็นบาป คือมีอุปสรรคในการพัฒนาปัญญา ปัญหานี้แก้ได้ด้วยการปฏิบัติตามคำแนะนำที่ให้ไว้ในข้อ (๒).

(๔). ครูมีหน้าที่ปฏิบัติต่อศิษย์อยู่สี่เรื่อง ดังนี้

ก. สั่งสอนศิษย์ให้มีความรู้

ข. ป้องกันศิษย์มิให้ประพฤติไปในทางเสื่อม

ค. อบรมศิษย์ให้เป็นคนดี

ง. ช่วยเหลือศิษย์ในสิ่งที่ถูกต้องชอบธรรม

ฉะนั้นผู้ใดที่คิดว่าตัวเองเป็นครู ต้องไม่เว้นที่จะประพฤติดังกล่าวข้างต้น ผู้ถามปัญหาไม่มีสิทธิ์ไปเปลี่ยนชะตาผู้อื่น แต่มีสิทธิ์ชี้แนะให้ลูกศิษย์เปลี่ยนชะตาด้วยตัวของเขาเอง

ขณะขัดฟันให้คนไข้ แล้วยกเอาฟันมาเป็นองค์พิจารณากรรมฐาน วิธีการเช่นนี้เรียกว่า พิจารณา “ ตจปัญจกกรรมฐาน ” ซึ่งในครั้งพุทธกาล ทัพพมัลลบุตรบรรลุอรหัตตผลด้วยการ พิจารณาเช่นนี้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.ค. 2010, 02:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมขอกราบเรียนถาม อ.ว่าเวลาผมทำบุญถ้า ผมจะอธิษฐานว่า . ข้าพเจ้าขอถวายบุญกุศลนี้เพื่อบูชาพระคุณแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทุกๆพระองค์ และขออุทิศบุญกุศลนี้ให้แก่เจ้ากรรมนายเวรทุกภพทุกชาติ. จะได้หรือไม่ครับเพราะว่าได้ถวายบูชาพระพุทธเจ้าแล้ว และผมมีความสงสัยว่าทำบุญครั้งหนึ่งเราสามารถอุทิศให้ใครได้หลายๆคนหรือ เปล่าครับทั้ง พ่อแม่ ครูอาจารย์ เจ้ากรรมนายเวร และสรรพสัตว์ เทพเทวา พรหม และบุญเดิมนี้ก็อุทิศได้หลายครั้งใช่ไหมครับ

กราบขอบพระคุณครับ

คำตอบ

ได้ครับ ผู้ใดมีสติและอุทิศบุญให้กับผู้ปรารถนาจะให้ และเขามาอนุโมทนาบุญได้ การอุทิศบุญย่อมสัมฤทธิ์ผล ผู้ไม่ประมาทนิยมประพฤติบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ อยู่เสมอ ผู้มีปัญญาเลือกที่จะประพฤติบุญที่ให้อานิสงส์มาก อาทิ ปฏิบัติชอบ ทำทานกับผู้ทรงคุณธรรมสูง ให้ธรรมะเป็นทานแก่สงฆ์ที่มาจากจตุรทิศ ฯลฯ เมื่อมีบุญมากจึงสามารถอุทิศได้มาก ได้หลายครั้ง และอุทิศได้กว้างไกล เมื่ออุทิศบุญมีจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.ค. 2010, 02:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมมีเรื่องที่สร้างความพุ่งพล่านในใจจึงหวังว่าท่านอาจารย์จะช่วยให้คำแนะนำ

เรื่องมีอยู่ว่าวันนึงผมได้ขับรถแล้วเกิดการเฉี่ยวชนขึ้น ผมจึงได้จอดรถไปต่อว่าคู่กรณีเพื่อให้เขาขอโทษ แต่ดูแล้วเรื่องไม่น่าจะจบเพราะคู่กรณีก็เมาทั้งยังมาสองคนผมเองก็คิดว่า ช่างมันเถอะไม่อยากมีปัญหา แต่ผมเองขณะโต้เถียงนั้นอาจจะใช้วาจาที่ไม่ดีไปบ้าง ซึ่งยอมรับว่าเกิดอารมณ์เนื่องจากผมคิดว่าก็เราไม่ผิดนี่นา จึงได้พยายามสงบใจแล้วคิดว่าช่างมัน หลังจากแยกย้ายผมก็ได้ขับรถไปติดไฟแดง คู่กรณีก็ขับรถมอไซค์ตามมาแล้วมาทุบกระจกรถ แต่ผมเองก็ไม่ได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด

ผมเองก็งงกับเหตุการณืที่เกิดขึ้นทั้งเขาเองก็ปิดป้ายทะเบียนและประกอบ กับคราแรกผมเองไม่อยากมีเรื่องจึงไม่ได้จำป้ายทะเบียนไว้ จึงได้ขับรถไปแจ้งความแต่ร่างกายมีอาการสั่น แล้วพลันอารมณ์ขณะนั้นรู้สึกได้ว่าหากเราตายตรงนี้คงจะตายแบบงุนงงเป็นแน่ จึงคิดว่าคนที่ใกล้ตายนั้นเขาคงรู้สึกแบบนี้นี่เองณ.ตอนนี้ผมเอง เมื่อกลับบ้านมา ผมจึงพยายามข่มใจทำสมาธิ แต่ใจมันพุ่งพล่านไม่สงบเลยครับ ผมเองก็ทราบว่าอะไรดีไม่ดี แต่มันไม่อาจข่มใจได้ ใจหนึ่งก็อยากให้อภัยอีกใจก็คิดแก้แค้นตลอดเวลา เนื่องจากบริเวณที่โดนนั้นเป็นเส้นทางที่ต้องผ่านกลับบ้าน กลัวว่าเขาจะมาทำร้ายอีก ตอนนี้ใจผมมันระแวงกลัวเข้าจะมาดักทำร้ายอีก ไอ้ครั้นจะติดตามตัวมาให้กฎหมายลงโทษ ผมเองคิดว่าไม่น่าจะก่อให้เกิดผลอะไรมากนัก รังแต่จะสร้างความแค้นเพิ่มขึ้น อย่างที่บอกอาจารย์ไปผมไม่อาจข่มใจได้จริงๆ ตอนนี้ในหัวเองพอว่างจะคิดแต่ว่าแก้แค้นเนื่องจากกลัวว่าเขาจะมาดักทำร้าย อีก แต่สักพักก็ให้อภัย มันจะเป็นอย่างนี้อยู่ตลอดครับ ผมเองก็สังเกตตัวเองว่ามีอาการเครียด เนื่องจากจะหายใจถี่อยู่ตลอดเวลาที่คิด ผมก็พยายามกำหนดตามอารมณ์ที่เกิด แต่ยอมรับว่าบางครั้งกลับสร้างความสับสนหนักขึ้นอีก เพราะผมกลัวว่าเราให้อภัยเขา ให้อภัยตัวเอง แต่เขาจะไม่ยอมให้อภัยเราแล้วจะกลับมาล้างแค้น หากบังเอิญมาเจอกันอีก

ผมจึงใคร่ถามปัญหาท่านอาจารย์ว่า อาจารย์พอจะมีวิธีแนะนำแก้ไขปัญหาและทำให้ใจผมสงบได้ไหมครับ

คำตอบ

ปัญหานี้แก้ได้ด้วยการทำเหตุใหม่ให้ถูกตรงเป็นสองทางคือ ให้อภัยเป็นทาน ทุกครั้งที่มีเหตุขัดใจเกิดขึ้น ต้องกำหนดว่า “ ช่างมันเถอะๆๆๆๆ ” ไปเรื่อยๆจนกว่าความขัดใจหมดไป และในทางที่สอง สวดมนต์สรรเสริญคุณพระรัตนตรัย แล้วต่อด้วยบทสวดมนต์ป้องกันภัยมิให้เข้าถึงตัว (โมรปริตร) ซึ่งแบ่งการสวดออกเป็นสองตอน

ตอนเช้า ก่อนดวงอาทิตย์ขึ้น สวดมนต์ที่ขึ้นต้นด้วย อุ เทตะยัง ..... ทิวะสัง แล้วสวดต่อด้วย เย พฺราหฺมะณา .... เอสะนา

ตอนเย็น ก่อนดวงอาทิตย์ตกดิน (น้ำ) สวดบทมนต์ที่ขึ้นต้นด้วย อะ เปตะยัง .... รัตติง แล้วสวดต่อด้วย เย พฺราหฺมะณา .... เอสะนา

ผู้ใดสวดมนต์บทดังกล่าว ด้วยใจจดจ่ออยู่กับบทมนต์ที่สวด และมีสัจจะเป็นแรงสนับสนุน ด้วยการสวดทุกวันได้แล้ว ภัยอันตรายย่อมไม่เข้าใกล้ผู้นั้น

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.ค. 2010, 02:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


จดหมายฉบับนี้หนูตั้งใจเขียนมาขอขมาอาจารย์สนองคะ อาจารย์คะจริงๆแล้วหนูเป็นคนที่ใจดีมาตั้งแต่เป็นเด็ก ชอบทำทานมากเพราะมันเห็นผลเป็นรูปธรรม แล้วหนูมักจะเป็นคนขี้สงสารคนอื่นเสมอ ช่วยเหลือใครได้ก็พยายามทำ แม้ที่เมืองนอก บางทีเดินไปมหาวิทยาลัยเห็นขอทานนั่งหนาวกลางหิมะกับสุนัข หนูมีเงินอยู่ 10 ยูโร ก็แบ่งให้เค้าไปครึ่งหนึ่ง ให้ไปหาซื้อแซนวิสทานในที่อุ่นๆ หนูทำงานส่งตัวเองเรียนที่เมืองนอกตั้งแต่ปริญญาโทคะ

แต่เหตุเกิดเพราะเมื่อประมาณ สามปีกว่าหนูได้มีโอกาสอ่านหนังสือ ทำชีวิตให้ได้ดีและมีสุข หนูเกิดความศรัทธา เห็นตามเหตุและผลที่อาจารย์เขียน จึงหาหนังสือ ยิ่ง กว่าสุขเมื่อจิตเป็นอิสระ มาอ่านเพิ่ม พออ่านถึงบทที่ 5 เรื่อง "ความตาย" ผ่านไปหน้าที่ 88-89 เกี่ยวกับพระเจ้าอโศกมหาราช สรุปได้ความตามความเข้าใจของหนูว่า จิตดวงสุดท้ายก่อนจะละจากร่างกาย ถ้าหวนระลึกถึงสิ่งไม่ดี หรืออกุศลกรรมแม้เพียงเล็กน้อยในช่วงวินาทีนั้น ทั้งที่ตลอดชีวิตหมั่นสร้างบุญ ทานและมหากุศลมาตลอด จิตสามารถไปเกิดในอบายภูมิได้... ขณะนั้นหนูรู้สึกว่าไม่ยุติธรรม และขาดสติพิจารณา เลยปาหนังสือที่ถืออยู่ลงที่พื้นปลายเตียง ไม่หยิบมาอ่านอีกจนกระทั่งปีต่อมา 2551 หนูมีโอกาสกลับบ้านที่เมืองไทยเพื่อไปเยี่ยมครอบครัว และเก็บข้อมูลงานวิจัยปริญญาเอก ด้านประวัติศาสตร์ศิลป์ คุณแม่เกิดป่วยที่ลำไส้ และคุณหมอเรียกหนูเข้าไปคุยว่าจากการตรวจผลเลือด พบว่าคุณแม่มีความเสี่ยงสูงมากที่จะเป็นมะเร็งขั้นแรก หนูจัดการแนะนำให้คุณแม่ค่อยๆเปลี่ยนวิถีการกินใหม่ ทานข้าวกล้อง และอื่นๆที่หนูค้นหาจากหนังสือเกี่ยวกับแพทย์ทางเลือก... และตัวหนูเองช่วงนั้นก็มีความไม่สบายใจหลายเรื่อง ทั้งเรื่องงาน สุขภาพ และเรื่องเพื่อน พอเพื่อนสนิทคนหนึ่งทราบปัญหาของหนู จึงชวนหนูไปถือศีล 8 และฝึกปฏิบัติกรรมฐานที่วัดอัมพวัน หนูตอบตกลงทันทีรู้สึกว่าเป็นโอกาสดี ที่หนูควรทำเพื่อแผ่เมตตาให้เจ้ากรรมนายเวร และทำบุญสร้างกุศลให้คุณแม่ที่กำลังป่วย

ที่วัดอัมพวัน ทุกคนได้ทำพิธีขอศีล 8 จากหลวงพ่อจรัลในศาลารัชกาลที่ 5 นับตั้งแต่วันแรกที่ฝึกจิตให้มีสติโดยการเดินจงกลม นั่งสมาธิกำหนดลมหายใจเข้าออก จบลงด้วยการแผ่กุศลทุกวัน ระหว่างปฏิบัติหนูรู้สึกถึงบางสิ่งบางอย่างวนเวียนใกล้ตัว บางวันเห็นแสงทองเป็นรูปทรงแปลกๆตอนนั่งสมาธิ แต่ทุกครั้งที่เห็นหนูพยายามข่มใจระลึกรู้สติจนครบกำหนดเวลาฝึก... รู้สึกปวดทรมานร่างกายมากอยู่หลายครั้ง... พอจิตหลุดหายก็พยายามเรียกกลับ... ปฏิบัติตามที่ทางวัดกำหนด จนกระทั่งวันที่ 3 หรือ 4 ช่วงกลางวันมีเหตุ ให้ทุกคนต้องย้ายไปฝึกปฏิบัติกรรมฐานชั่วคราว ที่ระเบียง นอกอาคาร หนูนั่งสมาธิปฏิบัติได้สักพัก ก็เห็นเป็นภาพนิ่งเคลื่อนไหวในมุมสูง ค่อยๆเลื่อนผ่านหน้าหนูหายไป เป็นภาพเรือพระที่นั่งโบราณล่มจมลงในแม่น้ำ แล้วปรากฏพระบรมฉายาลักษณ์ของในหลวงรัชกาลที่ 5 และสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์มาคู่กัน และสุดท้ายภาพหน้าเพื่อน ที่กำลังมีปัญหากันแต่ในที่นี้เค้าตาบอดหนึ่งข้าง... หลังจากนั้นแม่ชีประกาศให้ทุกคนเปลี่ยนสถานที่ไปปฏิบัติที่ศาลารัชกาลที่ 5 ในช่วงเย็น ในช่วงเย็นนี้ระหว่างนั่งสมาธิฝึกจิต ได้สักพักหนูรู้สึกคล้ายตัวเองหลุดหายไปจากคนอื่นๆ... มันเงียบมาก... แต่รู้สึกว่ายังคงอยู่ที่ศาลาเดิมนี้ แล้วจิตไปเห็นหน้าพระภิกษุชรารูปหนึ่ง เห็นแต่หน้าช้ำๆ ใหญ่โตผิดปกติมาก แลดูหน้ากลัวอยู่ทางด้านหล้งโต๊ะหมู่บูชาทางขวามือด้านหน้าศาลา ตอนนั้นพยายามตั้งสติ รู้เลยว่าไม่ใช่มนุษย์ คล้ายเปรต แต่ก็งงว่าพระจะเป็นเปรตได้อย่างไร... มองมาที่หนู หนูรวบรวมสติแล้วแผ่กุศลให้ตอนนั้น (ซึ่งก็ไม่แน่ใจว่าทำถูกไหม... ไม่รู้ว่าเรามีบุญพอที่จะทำแบบนั้นหรือเปล่า...) หลังจากนั้นเห็นพราหมณ์ 3 องค์ด้านซ้ายมือของศาลา จริงๆหนูไม่แน่ใจว่าเป็นพราหมณ์หรืออะไร เพราะทั้งหมดนุ่งโจงกระเบนขาว มีสไบขาว ไม่ใส่เสื้อ เกล้าผมมวย ผิวพรรณขาวเหลือง ละเอียด ผ่องใสมาก กำลังรีบเดินลงจากศาลาคล้ายกลัวใครเห็น เห็นเหล่านางละครสาวๆนุ่งโจงกระเบนแดง กำลังซ้อมรำคล้ายเหล่านางฟ้าด้านขวาของศาลา เห็นคนจีนแต่งกายสบายๆแบบคนมีฐานะ นั่งบนม้านั่งอย่างดีด้านหน้าศาลา ภาพสุดท้ายหนูเห็นหลวงพ่อจรัล ยืนด้านหน้าเวทีห่มจีวรเรียบร้อยงดงาม มองมาที่หนู น้ำตาหนูไหลออกมาจากตาด้านซ้าย... ตอนแรกหนูไม่อยากจะเชื่อ คิดว่าเราผิดเพี้ยนเพราะอาหาร หรืออากาศแต่หลังจากนั้นไม่นาน คุณแม่ไปฟังผลตรวจเลือดอีกปรากฏว่า ความเสี่ยงจากมะเร็งลดลงไปมากแถบจะเป็นปกติ (ปัจจุบันคุณแม่ดีขึ้นมาก คุณแม่มักพูดเสมอว่าตั้งแต่หนูเกิดมา แม่ป่วยมาตลอด เดี๋ยวเป็นโน้นเป็นนี่ ยิ่งทำให้หนูรู้สึกรับผิดชอบต่อสุขภาพของคุณแม่)

จากนั้นมา หนูจึงเริ่มศึกษาเกี่ยวกับพระพุทธศาสนามากขึ้น และเลิกมองแบบฝรั่งที่ว่า พระพุทธศาสนาเป็นปรัชญาหนึ่ง หนูอ่านหนังสือที่มีเหตุและผลปรากฏตามผู้รู้เคยมีประสพการณ์ตรงมากขึ้น รวมทั้งย้อนกลับไปอ่าน ยิ่งกว่าสุขเมื่อจิตเป็นอิสระ ของอาจารย์จนจบเล่ม หนูก้มลงกราบหนังสือ รู้สึกละอายใจมาก หนูสำนึกผิดที่ปาหนังสือลงพื้น และไม่เชื่ออาจารย์สนองในครั้งแรกที่อ่าน เดี๋ยวนี้หนูอ่านทวนไปมา ทางสายเอก ได้อ่านเช่นกัน หนู อ่านหนังสือธรรมะไปพร้อมกับการฝึกพัฒนาจิตตามที่ได้เรียนมาช่วง 5 วันและหาอ่านเพิ่มจากหนังสือคู่มือปฏิบัติธรรม จากพระปฏิบัติและอาจารย์ผู้รู้ท่านอื่น รวมทั้งหมั่นคุยแลกเปลี่ยนกับเพื่อนที่เมืองไทย ที่หันมาฝึกพัฒนาจิตตามทางสายเอกนี้ หนูเปิดฟังการบรรยายธรรมทางอินเตอร์เนต ของอาจารย์บ่อยมาก ฟังแล้วพิจารณาตาม จดบันทึก ทบทวนเพื่อให้เข้าใจท่องแท้ หนูเห็นจริงว่า การใช้แต่สมองและแนวคิดตะวันตกบางอย่าง มองดูความจริงนั้นไม่สามารถทำให้เราเข้าถึงความจริง ที่ตาเนื้อตาหนังมองไม่เห็นได้ ชีวิตหลังความตายรอเราอยู่ทุกคน สิ่งที่หนูเห็นในการฝึกจิตครั้งแรกที่วัดอัมพวัน ทำให้หนูทบทวนได้ในขณะนี้และพิจารณาว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้ให้โอกาสหนู ได้เห็น สัมผัสตัวอย่างเบื้องต้นของภพภูมิหลังความตาย และทุกครั้งที่หนูสวดมนต์ แผ่กุศล หนูจะขอขมาพระรัตนตรัย บิดามารดา ครูบาอาจารย์ และหนูระลึกถึงอาจารย์สนองเสมอ ระลึกถึงเมตตาที่อาจารย์นำความรู้ และประสพการณ์จริงมาถ่ายทอดแก่พุทธศาสนิกชน

วันนี้หนูขอกราบขอขมาอาจารย์สนอง วรอุไรด้วยกายกรรม 3 วจีกรรม 4 มโนกรรม 3 กรรมอันหนึ่งอันใดที่หนูได้มีความสบประมาท พลาดพลั้งต่อหน้าก็ดี ลับหลังก็ดี ต่ออาจารย์สนอง วรอุไร ขออาจารย์จงโปรดเมตตา ให้อภัยทานอโหสิกรรมให้แก่หนูด้วยคะ

และขอผลจงพึงสำเร็จแก่สุขภาพ ของบิดามารดาของหนู และขอให้สิ่งติดขัดใดๆ ที่เกี่ยวกับงานวิจัยจงผ่านพ้นไปตามเหตุ และปัจจัยที่หนูพยายามพิจารณา และปฏิบัติ แก้ไขในขณะนี้ (หนูได้รับทุนวิจัยโดยผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง ของมูลนิธิที่เมืองไทย ท่านเห็นความสำคัญ และเสนอทุนช่วยเหลือให้ ซึ่งหนูจำเป็นต้องจบอย่างช้าต้นปี 2554 คะ)

สุดท้ายนี้หนูขออนุญาตอวยพรให้อาจารย์นะคะ ขอให้พลังแห่งบุญกุศล มหากุศล เมตตา ทาน และการเข้าถึงซึ่งภาวนามยปัญญา ที่อาจารย์หมั่นเพียรสรัาง สั่งสมมายาวนานกว่า 30 ปีจงช่วยให้อาจารย์สนอง วรอุไรได้พบพระนิพพานด้วยเทอญ

ขอกราบขอบพระคุณอาจารย์สนอง วรอุไรเป็นอย่างสูงคะ

ผู้รักการเรียนรู้

ปล: หนูขอประทานโทษที่เขียนอธิบายมายาวมาก จุดประสงค์เพื่อให้อาจารย์ชี้แนะ ตักเตือนว่าสิ่งที่หนูเห็นและเข้าใจตรงตามเหตุและผลหรือเปล่าคะ

สักวันเมื่อมีโอกาสหนูจะกลับเมืองไทยไปไหว้อาจารย์ด้วยตัว เองคะ กราบขอบพระคุณอาจารย์สนองอีกครั้งคะ

คำตอบ

ผู้ตอบปัญหาได้อโหสิแล้ว เจ้าของจดหมายเปรียบได้กับดอกบัวที่กำลังแย้มบาน .... สาธุ จงบานต่อไปและบานให้ถึงที่สุด แล้วจะเห็นว่าปริญญาเอกทางโลกนั้น ยังจำเป็นต้องใช้ทำงานให้กับโลก แต่ปัญญาเห็นถูกตามธรรมที่เกิดขึ้นจากการพัฒนาใจ จำเป็นสำหรับส่องนำทางชีวิตให้ดำเนินไปอย่างไร้อุปสรรคขัดขวาง และใช้แก้ปัญหาให้กับชีวิตดีที่สุด

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.ค. 2010, 02:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1. ผมไม่แน่ใจว่าสิ่งที่ทำไปเป็นบาปหรือเปล่า... ด้วยความที่บ้านภรรยาผม ที่ผมอยู่นั้นมีเนื้อที่ในบ้านค่อนข้างจำกัด..คือมีชั้นเดียว แล้วผมก็ได้นำโต๊ะหมู่บูชา และพระพุทธรูป พระเครื่อง(สมเด็จพระญาณสังวร หลวงปู่เณรคำ ฉัตติโก ฯลฯ) ไปไว้ในห้องนอนด้วยเพื่อความสะดวกในการสวดมนต์นั่งสมาธิ มันจะเป็นบาปไหมที่ผมทำแบบนี้... เพราะห้องนอนต้องมีกิจของฆราวาส... แต่เรื่องการวางเท้าผมจะไม่ชี้ไปทางพระพุทธรูปเด็ดขาด
ผมพยายามคิดในทางที่ดีว่าผมมีความจำเป็น ผมไม่มีเจตนาคิดและทำแบบนี้ ผมมีความศรัทธาด้วยซ้ำ ถ้าผมจำไม่ผิด หลวงพ่อจรัญเคยบอกไว้ในหนังสือไว้ว่า ใครมีโต๊ะหมู่บูชาไว้ในห้องนอน เทวดาจะไม่สถิตย์พระพุทธรูป... ผมไม่ติดใจว่าจะมีอะไรมาสถิตย์หรือไม่ แต่ที่ผมทำมันเป็นบาปไหมครับ

2. ทุกเดือน ผมจะส่งเงินเลี้ยงดูพ่อแม่ตามกำลัง (ผมทำงานรับราชการเงินเดือนเพิ่งเริ่มต้นได้ไม่นาน) ไม่เคยขาดการส่งตั้งแต่รับราชการมาเกือบสามปีแล้ว ตั้งแต่เด็กจนทำงานไม่เคยทำตัวให้พ่อแม่เสียใจในเรื่องไม่ดี.. แต่ผมไม่ค่อยได้มีโอกาสปรนนิบัติอยู่ใกล้ๆเพราะทำงานที่กรุงเทพ อยู่กรุงเทพตั้งแต่มาเรียนจนทำงานเกือบ 13 ปีแล้ว ยังดีที่มีพี่สาวดูแลอยู่ ยากถามอาจารย์ว่า การดูแลพ่อแม่แค่ส่งเงินให้แต่ละเดือนมันเพียงพอหรือไม่กับการเลี้ยงดูบิดา มารดา มันดูน้อยไปไหม ขาดตรงไหน ควรเพิ่มตรงไหนครับ

3. ขณะที่ภรรยาตั้งครรภ์ ถ้าได้ฟังธรรมะเพื่อเผื่อแผ่ถึงลูก ลูกจะได้สิ่งดีๆติดตัวมาตอนคลอดไหมครับ (ถ้าไม่รวมกับกรรมเก่าที่ติดตัวมา)

4. ผมเป็นช่างวาดรูป เคยวาดรูปพระบฏ(ผืนผ้ายาวๆ วาดรูปเรื่องราวเกี่ยวกับพระพุทธเจ้า) บางครั้งมีความจำเป็นต้องนั่งทับพระพักตร์พระพุทธเจ้า เพื่อจะวาดได้ถนัด แบบนี้ถือว่าเป็นบาปไหมครับ (แต่ก่อนวาดก็กราบขอขมาก่อน)

5. ก่อนผมและเพื่อนอีกคนจะสอบเข้ารับราชการได้ ได้ร่วมกันวาดรูปพระเจ้าสิบชาติจำนวน 120 รูป เพื่อแสดงนิทรรศการในงานวันอาสาฬหบูชาที่ท้องสนามหลวง ในตอนกลางคืนของวันสุดท้ายที่กำลังจะวาดสำเร็จ ได้มีกลิ่นโชยเข้ามาในห้อง ผมกับเพื่อนถึงกับมองหน้ากัน กลิ่นที่ได้รับนั้นเหมือนกลิ่นน้ำหอมโบราณ หอมมากครับ(หอมอยู่นาน) ถ้าผมจะคิดว่า เป็นกลิ่นของเทพยดามาอนุโมทนาในอานิสงส์ครั้งนี้ จะเป็นไปได้ไหมครับ เพราะไม่ทราบว่าเทวดามีกลิ่นประจำองค์ด้วยหรือไม่ หรือถ้าอาจารย์จะกรุณา ถ้าอาจารย์เคยได้รับรู้กลิ่นเทวดาช่วยอธิบายลักษณะกลิ่นได้ไหมครับ
( บางเรื่องที่ถามอาจไร้สาระ ขอความกรุณาอาจารย์ช่วยสงเคราะห์ด้วยครับ เพราะติดข้องในใจอยู่นานแล้วครับ)

ขอบพระคุณอย่างสูงครับ

คำตอบ

(๑). ไม่มีเจตนาลบหลู่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ไม่ถือว่าเป็นบาป

(๒). การเลี้ยงดูพ่อแม่ด้วยการส่งเงินไปให้ ถือว่าเป็นจริยธรรมที่ลูกดีพึงปฏิบัติ นอกจากนี้ยังมีจริยธรรมของลูกที่อยู่ห่างไกล สามารถประพฤติได้ เช่น ดำรงวงศ์สกุลมิให้เสื่อมเสีย ประพฤติตนเป็นทายาทที่ดี ไม่นำความไม่สบายใจไปสู่พ่อแม่ เมื่อใดที่ไปทำบุญแทนท่าน (บุญกิริยาวัตถุ ๑๐) ต้องสื่อสารให้พ่อแม่ทราบ ด้วยการโทรศัพท์บอกให้รู้ เมื่อท่านกล่าวอนุโมทนา พ่อแม่ย่อมได้รับบุญนั้น อนึ่งการส่งหนังสือธรรมะไปให้พ่อแม่อ่าน ส่งซีดีธรรมะไปให้ท่านฟัง ส่งวีดีโอธรรมะไปให้ท่านดู ฯลฯ ยังเป็นการตอบแทนคุณของพ่อแม่ได้อีกด้วย

(๓). ได้แน่นอนครับ

(๔). อิริยาบถใดที่ผู้ถามปัญหาได้กระทำแล้ว หากมีจิตระลึกได้และทำให้ไม่สบายใจ อิริยาบถนั้นถือว่าเป็นบาป

การขอขมากรรม หมายถึง กล่าวคำขอโทษที่ประพฤติล่วงเกินสิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้ว ด้วยกาย วาจาและใจ เพื่อให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ยกโทษให้ ผู้ขอขมากรรมต้องไม่ประพฤติล่วงเกินเช่นนั้นอีก การขอขมากรรมจึงจะถือว่าสัมฤทธิ์ผล

(๕). กลิ่นหอมที่ผู้วาดรูปสัมผัสได้นั้น เป็นการแสดงความยินดีของเทวดา กลิ่นหอมอันเป็นทิพย์มีลักษณะหอมทวนลม หอมได้ไกลกว่ากลิ่นหอมใดๆที่มีอยู่ในภพมนุษย์

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.ค. 2010, 02:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดิฉันได้เคยกราบเรียนสอบถามท่านอาจารย์ทางเว็บไซต์มาหลายครั้งแล้ว ขอกราบขอบพระคุณท่านอาจารย์เป็นอย่างสูงที่ได้กรุณาแก้ข้อสงสัยให้แก่ดิฉัน ทุกครั้ง และดิฉันได้นำสิ่งที่ท่านตอบมาใช้ตามสติปัญญาที่ดิฉันทำได้ แต่มีอยู่ครั้งหนึ่งไม่นานมานี้ ดิฉันได้พยากรณ์ภูมิธรรมของท่านแก่บุคคลอื่นด้วยความปากไวไม่คิด

ดิฉันมาทราบทีหลังว่าเป็นกรรมที่หนักมากหากมีความผิดพลาด ซึ่งอันที่จริงไม่ว่าอย่างไรก็ไม่สมควรทำเป็นอย่างยิ่งอยู่แล้ว ดิฉันจึงขอกราบขออโหสิกรรมแก่ท่านอาจารย์ (ดิฉันยังได้เคยพยากรณ์พระอาจารย์ท่านอื่นอีก ดิฉันจะพยายามไปขออโหสิกรรมกับท่านเช่นกันค่ะ)

นอกจากนี้หากดิฉันได้เคยกระทำการล่วงเกินท่านไม่ว่าจะโดยเจตนาหรือไม่ก็ตาม รู้ตัวหรือไม่ก็ตาม ลืมไปแล้วหรือไม่ก็ตาม ไม่ว่าจะทางกาย วาจา หรือใจก็ตาม ไม่ว่าในปัจจุบันชาติหรืออดีตชาติก็ตาม ขอให้ท่านได้โปรดให้อโหสิกรรมแก่ดิฉันด้วยค่ะ และดิฉันจะเลิกนิสัยพยากรณ์ จะไม่ทำอีกต่อไปในชีวิตนี้ค่ะ

สุดท้ายนี้ ดิฉันขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัยดลบันดาลให้ท่านอาจารย์มีความสุข มีสุขภาพแข็งแรง ปราศจากทุกข์โรคภัยอันตรายใดๆ ทั้งปวง เป็นที่พึ่งแก่ชาวพุทธที่ยังคงแสวงหาวิธีการพัฒนาตัวเองตลอดไปค่ะ

ด้วยความเคารพอย่างสูง


คำตอบ

ปากไว ไม่คิดให้รอบคอบ เป็นลักษณะของคนที่มีปกติขาดสติคุมใจ จึงชอบเอาจิตไปผูกติดเป็นทาสกับสิ่งที่ตาเห็น หูได้ยิน จมูกได้กลิ่น ฯลฯ ....อโหสิ

ผู้ใดประพฤติตนให้มีศีลและสัจจะคุมใจได้แล้ว กายย่อมศักดิ์สิทธิ์ จิตย่อมศักดิ์สิทธิ์ การเลิกนิสัยพยากรณ์ย่อมทำได้ไม่ยาก อนึ่งคนที่มีโอกาสเข้าถึงความดีงามได้ในวันข้างหน้า ต้องรักษาสัจจะที่ให้ไว้กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แล้วความสมปรารถนาจึงจะมีโอกาสเกิดขึ้นได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.ค. 2010, 02:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมมีคำถาม เกี่ยวกับความเหมาะสมบางอย่างกับครูบาอาจารย์

เรื่องมีอยู่ว่า ผมเคยเรียนสมาธิในชั้นเรียนกับครูสอนสมาธิท่านหนึ่ง สัปดาห์ละ 1 ชม. เป็นเวลานานกว่า 2 ปี

ต่อมาผมพบว่าจริตและแนวทางในการปฏิบัติไปด้วยกันไม่ได้ จึงเลิกไม่เข้าเรียนอีกต่อไป โดยไม่ได้กราบเรียนให้ท่านทราบผมมาเลิกเด็ดขาด เมื่อท่านสอนในชั่วโมงหลายครั้งว่า ให้ปฏิบัติเพื่อเป้าหมายในการล้างรื้อสังสารวัฏเพื่อจองสวรรค์ชั้นดุสิต ไปอยู่รวมกัน เพื่อรอลงมาเกิดด้วยกันในชาติสุดท้ายในเวลาต่อมา การปฏิบัติของผมลุ่มๆ ดอนๆ จนกระทั่งมาเรียนกับพระอาจารย์ท่านหนึ่ง ซึ่งท่านสอนให้ฝึกสติในชีวิตประจำวัน และเรียนรู้กายใจของตัวเองเป็นหลักจึงเริ่มปรับตัวละทิ้งมิจฉาสมาธิ และล้างความเข้าใจเดิม และต่อมาได้พบกัลยาณมิตร 2 ท่านซึ่งเรียนสมาธิในชั้นเรียนดังกล่าวด้วยกันได้กรุณาตักเตือนผม ให้แยกให้ออกระหว่างสิ่งที่ครูสมาธิท่านสอนกับความสัมพันธ์ฉันท์ ครู-ลูกศิษย์ซึ่งผมยังคงความเคารพท่านเสมอ ในฐานะผู้มีพระคุณที่ท่านเคยสอนสมาธิให้ จนสนใจและเริ่มเรียนรู้พุทธศาสนาอย่างจริงจังต่อมาเมื่อได้พบกันโดยบังเอิญ 2 ครั้ง ผมยังมองเห็นความปรารถนาดีของท่าน ที่แนะนำให้ผมทราบว่า ผมควรไปพบครูบาอาจารย์ในสายของท่าน เพื่อแก้ไขในสภาวะที่ผมพบในระหว่างนั่งสมาธิในชั้นเรียนของท่าน

( เมื่อพบว่า จริตไปด้วยกันไม่ได้ ผมไม่สามารถนั่งสมาธิในชั้นเรียนได้เลย เพราะจิตใจไม่ยอมรับ ต่อต้านและขัดแย้งกับคำสอนของท่านตลอด)

คำถามคือ ผมควรใช่ธรรมะข้อใด ปรับใช้กับจิตใจของตนเอง เพราะในใจยังคงคิดถึงท่าน โดยเฉพาะการหายหน้าไปเฉยๆ โดยไม่ได้บอกกล่าวที่ผ่านมา ผมพยายามใช้อุเบกขาและเมื่อฝึกสติมากๆ เข้า ก็พยายามมีสติ ดูจิตใจของตนเองเท่านั้นผมควรเข้าไปเรียนท่านตรงๆ หรือไม่ครับ ว่าผมเปลี่ยนไปปฏิบัติสายอื่นแล้ว

เรื่องนี้ยังคงค้างคาในใจผมตลอดเวลา โดยเฉพาะเมื่อเกิดผัสสะขึ้น ไม่ว่าจะเผลอคิดถึงท่าน หรือได้เจอกับอดีตเพื่อนร่วมชั้นและโดยเฉพาะเมื่อพบกับท่านโดยบังเอิญ

ขอแสดงความนับถือและเคารพอย่างสูง

คำตอบ


เรื่องใดยังค้างคาใจ หรือยังไม่หายไปจากใจ แสดงว่าใจของผู้นั้นขาดสติคุม ตรงกันข้าม ผู้ใดพัฒนาจิตให้มีสติคุมอยู่ทุกขณะตื่น กิเลสคืออารมณ์ปรุงแต่งของใจย่อมไม่ปรากฏมีขึ้น ฉะนั้นผู้ถามปัญหาต้องพัฒนาจิตให้มีศีล ๕ คุมอยู่ทุกขณะตื่น แล้วปฏิบัติสมถภาวนา โดยมีสัจจะ มีขันติ และมีความเพียรเป็นเครื่องสนับสนุน โอกาสที่ปัญหาค้างคาใจหมดไป ย่อมมีได้เป็นได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.ค. 2010, 02:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1. ไม่แน่ใจว่าตัวเองเป็นคนที่มีวิตกจริตหรือโทสะจริต เราจะดูอย่างไรคะ เพราะเป็นคนคิดมาก วิตกกังวลตลอดเวลา และถ้ามีเรื่องอะไรก็โกรธง่าย หายช้า แค้นฝังลึกด้วยค่ะ

2. คนที่มีวิตกจริตควรปฏิบัติสมถกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐานแบบใดจึงจะเหมาะกับ จริตคะ

3. คนที่มีโทสะจริตควรปฏิบัติสมถกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐานแบบใดจึงจะเหมาะกับ จริตคะ

4. ปัจจุบัน จิตหนูมีแต่ความทุกข์บีบคั้น หนักอึ้งเหมือนเอาลูกตุ้มมาแขวนไว้ หดหู่ สภาพใจเหมือนโดนคนรุมซ้อมมาตลอดเวลา เพราะเข้าใจว่ากำลังเสวยวิบากทางมโนกรรมอยู่ค่ะ ควรปฏิบัติธรรมอย่างไร ให้วิบากนี้หมดไปเร็วขึ้นคะ

ขอกราบขอบคุณท่านอ.ดร.สนองและอนุโมทนาในกุศลเจตนาของท่าน อาจารย์ที่เมตตาช่วยเหลือสัตว์โลกด้วยค่ะ

คำตอบ

(๑). คำว่า “ จริต ” หมายถึง กิริยาอาการของจิต เมื่อใดจิตสั่งร่างกายให้แสดงออกเป็นพฤติกรรม บุคคลจึงสามารถสัมผัสได้ ด้วยเหตุที่บุคคลมีการตาย-การเกิดเป็นรูปนาม นับภพชาติไม่ถ้วน ประสบการณ์ที่จิตเก็บสั่งสมในแต่ละภพชาติ จึงมีไม่เหมือนกัน การแสดงพฤติกรรมจึงมีได้หลายอย่าง อันมีผลทำให้จริตมีมากแบบ เป็นความรักสวยรักงาม ความละมุนละไม (ราคจริต) ใจร้อนหงุดหงิด (โทสจริต) ซาบซึ้งเลื่อมใส (สัทธาจริต) คิดฟุ้งซ่านจับจด (วิตกจริต) ง่วงเหงางมงาย (โมหจริต) ชอบคิดพิจารณาวิเคราะห์ (พุทธิจริต) ซึ่งคนในปัจจุบันนิยมตัดสินจริตของคน ด้วยพฤติกรรมที่แสดงออกเด่นชัด ผู้ถามปัญหาจึงต้องดูตัวเองและตัดสินใจด้วยตัวเองว่า มีจริตอย่างใดเด่น มีจริตอย่างใดเป็นรอง (จริตผสม)

(๒). คนที่มีวิตกจริตเด่น ควรนำเอากสิณ ดิน น้ำ ไฟ ลม แสงสว่าง ช่องว่าง หรือกำหนดลมหายใจเข้า-ออก (อานาปานสติ) หรือกำหนดช่องว่างหาที่สุดมิได้ กำหนดวิญญาณหาที่สุดมิได้ กำหนดภาวะไม่มีอะไรเลย กำหนดภาวะมีสัญญาก็ไม่ใช่ ไม่มีสัญญาก็ไม่ใช่ (อรูป ๔) เป็นอารมณ์ ทั้งนี้ต้องเลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่ง มาเป็นองค์บริกรรม กรรมฐานใดที่นำมาใช้บริกรรมแล้ว ทำให้จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ จงเลือกวิธีบริกรรมเช่นนั้นมาปฏิบัติ

(๓). คนที่มีโทสจริตเด่น ควรนำเอากสิณ ๑๐ (ดิน น้ำ ไฟ ลม สีเขียว เหลือง แดง ขาว แสงสว่าง ช่องว่าง) หรือ อัปปมัญญา ๔ (เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา) หรือ อรูป ๔ อย่างใดอย่างหนึ่งมากำหนดเป็นอารมณ์ กรรมฐานใดที่นำมาใช้บริกรรมแล้ว ทำให้จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ จงเลือกวิธีบริกรรมเช่นนั้นตลอดไป

(๔). ใครผู้ใดเอาจิตจดจ่ออยู่กับอิริยาบถที่เป็นปัจจุบันขณะ เช่น จดจ่ออยู่กับลมหายใจเข้า-ออก โดยจิตไม่เคลื่อนออกไปรับเอาสิ่งกระทบภายนอกอื่น เข้ามาปรุงเป็นอารมณ์ ปัญหา (ความทุกข์) จะไม่ปรากฏขึ้นกับผู้นั้น

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.ค. 2010, 02:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1. ผมอยู่แถวลาดพร้าว-รามอินทรา-พหลโยธินครับ ท่านอาจารย์พอจะแนะวัดที่ไม่ไกลมาก และ พระอริยะเจ้าที่ผมจะขอท่านเป็นกัลยาณมิตร ที่ผมพอจะขอคำสอนจากท่าน เรื่องกรรมฐานสติปัฎฐานสี่บ้างได้ไหมครับ ผมไปเชียงใหม่บ่อยๆไม่ได้ครับ

2. อริยะเจ้าชั้นโสดาบันจะไม่กลัวตายเลยใช่ไหมครับและพอถึงแล้วจะรู้ได้ด้วยตัว ท่านเองเลยใช่ไหมครับ

3. มะเร็งสามารถหายได้หรือไม่ครับ ผมเคยเห็นอริยเจ้าท่านเป็นมะเร็ง แต่เข้าใจว่าบางท่านคงจะไม่รักษาตัวเอง แต่ท่านจะดูมันแล้วปล่อยไปตามธรรม ใช่หรือไม่ครับ

4. ผมเคยฝึกมโนมยิทธิ แต่จิตรับรู้ได้บ้าง ไม่ได้บ้าง แต่ก็ยังสงสัยในสิ่งที่ปฏิบัติ ไม่มั่นใจ ว่าสิ่งที่รู้นั้นเป็นอุปทานหรือไม่ จะรู้ว่าเป็นอุปทานหรือจริงได้อย่างไรครับ และ จะเรียกว่าผมมีวิจิกิจฉาหรือไม่มั่นใจในการปฏิบัติของตัวเองครับ

สุดท้ายนี้ขอขอบพระคุณท่านอาจารย์อย่างสูงครับ ถ้าคำถามใดล่วงเกินและไม่ควรถามเนื่องจากอวิชชาของผม ผมขอขมาต่อท่านอาจารย์และพระรัตนไตรด้วยครับ

คำตอบ

(๑). แนะนำให้ไปปฏิบัติธรรมที่วัดทับทิมแดง หลังตลาดไท หากผู้ถามปัญหามีศีล ๕ คุมใจอยู่ทุกขณะตื่น แล้วเอาตัวเองเข้าปฏิบัติธรรม โดยมีความเพียร มีสัจจะ เป็นเครื่องสนับสนุน พร้อมทั้งไม่นำตัวเป็นน้ำชาล้นถ้วย คือทำเป็นคนโง่ ปฏิบัติตามคำชี้แนะของครูผู้สอนโดยไม่สงสัย แต่ทำตัวให้เกิดผลตรงตามที่สอนได้แล้ว โอกาสเข้าถึงธรรมจึงเป็นได้

(๒). ใช่ครับ และใช่ครับ

(๓). หายได้ หากเจ้ากรรมนายเวรยกเลิกการจองเวร หรือประพฤติตนให้เป็นผู้มีความเห็นถูก อยู่กับมะเร็งโดยไม่เบียดเบียนกันและกัน

(๔). คำว่า “ อุปทาน ” หมายถึง ความถือมั่นด้วยอำนาจของกิเลส ผู้ใดดับการคิดปรุงแต่งของจิต (จิตสังขาร) ได้ สิ่งที่จิตสัมผัสได้ จึงเป็นเหตุผลระดับโลกิยะ และหากผู้ใดพัฒนาจิต จนเกิดปัญญาเห็นแจ้งที่มีกำลังกล้าแข็งได้แล้ว ความสงสัยในกฎแห่งกรรม ความสงสัยในคุณของพระพุทธ คุณของพระธรรม คุณของอริยสงฆ์ ความสงสัยในคุณของเทวดา ฯลฯ ที่เรียกว่า วิจิกิจฉา ย่อมหมดไปจากใจ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.ค. 2010, 02:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


๑). ก่อนหน้านี้เคยคิดรำคาญและหนีปัญหาจากบิดา คือว่าบิดานั้นแยกทางกับแม่ไป และบิดาเป็นคนพูดจาไม่ไพเราะ เอาแต่ใจตนเอง และชอบโทรศัพย์มาหาในยามวิกาล(คือตัวหนูอยู่ที่อเมริกาค่ะ) เพ่ือขอเงินซึ่งเป็นเงินจำนวนมาก ถ้าเราบอกว่าไม่มีก็ไล่ให้เราไปยืมเงินคนอื่นเพื่อเอามาให้ หนูก็เลยไม่ทำตามและเปลี่ยนเบอร์โทรศัพย์หนี เพราะหนูคิดว่าเราเองก็ให้แกเป็นประจำอยู่แล้วทุกเดือน(ให้มาก่อนหน้าและ ตั้งใจว่าจะให้จนกว่าชีวิตแกจะหาไม่) ซึ่งมันเป็นเงินไม่มากเพราะเราเองก็ต้องเลี้ยงดูแม่และป้าผู้เปรียบเสมือน แม่อีกคน การกระทำอย่างนี้ถือว่าขาดคุณธรรมหรือไม่ค่ะ โดยส่วนตัวแล้วรักบิดาค่ะ ซึ่งก่อนหน้านี้ท่านประพฤติผิดศีลที่ทำให้เรารู้สึกผิดหวังและหมดศรัทธา แต่ตอนนี้เริ่มนำธรรมะของพระพุทธองค์มาคุมใจ เริ่มคิดได้ว่ามันใม่ใช่เรื่องของเรา แต่ความเห็นผิดก่อนหน้านี้เป็นอกุศลกรรมที่ใหญ่มากใช่ไหมค่ะ

๒). ความคิดที่ว่า "ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะ คิด พูด ทำ อะไรก็ได้มันเป็นเรื่องของเขา ส่วนเราจะ คิด พูด ทำ อะไรนั้นมันเป็นเรื่องของเรา" พ่อจะเลิกกับแม่ พ่อจะมีผู้หญิงคนอื่น น้องชายจะติดยา น้องชายจะทะเลาะกับแม่ ทุกอย่างมันเป็นเรื่องของเขาอย่าเข้าไปยุ่ง เป็นความเห็นที่ถูกต้องใช่ไหมค่ะ แต่บางครั้งมีความสงสารแม่จับใจ การสงสารนี้จะเป็นมิจฉาทิตฐิหรือเปล่าค่ะ

๓). กรณีของคนที่มาอยู่ต่างประเทศแต่อยู่ในสถานะผิดกฏหมายนี้ถือว่าบาปมากไหมค่ะ การที่มาอยู่แล้วไม่สร้างความเดือดร้อนให้กับประเทศเขา บริจาคโลหิตหรือทรัพย์ที่หาได้บางส่วนให้บางมูลนิธิของที่นี่บ้าง การทำเช่นนี้พอที่ทดแทนใด้บ้างไหมค่ะ และเราควรตอบแทนประเทศที่อยู่ได้อย่างไรบ้าง

๔). การทำงานแล้วเราเห็นเพื่อนร่วมงานปฏิบัติหน้าที่บกพร่อง แล้วเป็นเหตุให้องกรณ์ต้องเสียทรัพย์หรือทำให้องกรณ์เสียความเป็นมาตฐานของ สินค้า เราเองไม่สามารถที่จะตักเตือนใด้เพราะเพื่อนร่วมงานมีความอาวุโสกว่า แล้วเราก็ไม่อยากจะฟ้องหัวหน้าเพราะไม่อยากจะเข้าไปมีส่วนร่วมในกระบวนกรรม โดยคิดว่าเดี๋ยวหัวหน้าก็เห็นด้วยตัวเขาเอง การวางเฉยเป็นการกระทำที่เห็นถูกแล้วใช่ไหมค่ะ

๕). โดยอุปนิสัยส่วนตัวแล้วเป็นคนขี้เล่น ชอบพูดจาตลกเพ้อเจ้อ ช่างจินตนาการ หาสาระไม่ได้ สมาธิสั้นเลยเรียนไม่เก่งเลยมาตั้งแต่เด็ก ตอนแรกที่เริ่มพัฒนาจิต คือกำหนดรู้ในภาวะที่เป็นปัจจุบัน หยุดพฤติกรรมที่จะทำให้จิตฟุ้ง เช่น พอได้ยินเสียงเพลงในที่ทำงานแต่ก่อนหน้านี้จะร้องตามแล้วเต้นตาม เป็นที่ชื่นชอบให้กับเพื่อนร่วมงานทุกคน แต่พอเริ่มปฏิบัติก็พยายามกำหนดว่า ใด้ยินหนอ แล้วพูดแต่ที่จำเป็น มีความรู้สึกว่าเป็นการเปลี่ยนตัวเองอย่ามโหฬารแล้วเกิดภาวะเครียดมากค่ะ มีอาการมึนและปวดหัวมาก(ซึ่งอาการทั้งหมดเกิดขึ้นเองโดยไม่รู้ตัว) ก็เลยหยุดไปซักพัก ทำอย่างนี้ถูกหรือไม่ค่ะ แล้วมีคำถามมากมายเกิดขึ้นว่า จะหาทางสายกลางในการปฏิบัติจิตอย่างไรดี หรือว่าทำไปเรื่อยๆไม่ต้องหยุด เดี๋ยวก็ดีขึ้นเองค่ะ

๖).การเดินจงกลม คำบริกรรมนั้นเป็นอย่างไรก็ได้ใช่ไหมค่ะ ขอเพียงแค่จับสติให้อยู่กับอิริยาบทได้ เพราะเคยลองกำหนด "ยกหนอ ย่างหนอ เหยียบหนอ" แล้ว แต่สุดท้ายกลายเป็นการท่องจำ ส่วนสตินั้นเตลิดไปไหนต่อไหนเลยค่ะ ตอนนี้เลยกำหนดว่า "เอาล่ะน๊ะ ยกล่ะน๊ะ ยกๆๆ เอ้าจะย่างล่ะน๊ะ ย่างๆๆ เอ้าจะเหยียบล่ะน๊ะ เหยียบๆๆ" บางครั้งเกิดข้อสงสัยว่าการกำหนดอย่างนี้ จะเกิดปัญญาเห็นแจ้งใด้หรือไม่ค่ะ

กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์รวมถึงคณะผู้จัดทำด้วยค่ะ ขอให้ทุกท่านมีความเจริญทั้งทางโลกและทางธรรมยิ่งๆขึ้นไปค่ะ

คำตอบ

(๑). คุณธรรมเกิดขึ้นได้จากการประพฤติจริยธรรม ผู้ใดประพฤติจริยธรรมให้ถูกตรงกับสภาวะที่ตนเป็น (เป็นลูก) ได้แล้ว เกิดเป็นความสบายใจ อย่างนี้จึงจะเรียกว่า คุณธรรม หากประพฤติช่วยเหลือพ่อแม่ แล้วไม่สบายใจ หรือประพฤติแล้วเบียดเบียนตัวเอง ไม่เรียกว่าประพฤติจริยธรรม และยังมีบาปอีกด้วย

ผู้ใดใช้ความเห็นผิด (มิจฉาทิฏฐิ) เป็นเครื่องส่องนำทางชีวิต อุปสรรคและปัญหาของชีวิตย่อมเกิดขึ้น อกุศลกรรมนี้จะใหญ่มากน้อยแค่ไหน ขึ้นอยู่กับคุณภาพของจิตที่ผู้นั้นมีอยู่ คนที่ประพฤติคอรัปชั่นแล้วไม่สำนึกว่าเป็นความผิด อกุศลกรรมนั้นเป็นเรื่องเล็กน้อยสำหรับเขา ตรงกันข้าม คนที่ขโมยเงินพ่อแม่ในครั้งที่ยังเป็นเด็ก แล้วมาสำนึกผิดได้ในภายหลัง ทำให้ไม่สบายใจ อกุศลกรรมนั้นเป็นเรื่องใหญ่สำหรับเขา

(๒). บุคคลมีสิทธิ์ในชีวิตของตัวเอง พระพุทธะเป็นผู้รู้จริง มิได้สอนให้เข้าไปก้าวก่ายล่วงในชีวิตของผู้อื่น แต่ทรงชี้ทางว่า ประพฤติแบบนี้ให้ผลเป็นอย่างนี้ ประพฤติแบบนั้นให้ผลเป็นอย่างนั้น แล้วผู้ถูกสอนต้องเลือกประพฤติด้วยตัวเอง ฉะนั้นการไม่เข้าไปก้าวล่วงในชีวิตของผู้อื่น จึงเป็นความเห็นที่ถูกตรงตามคำสอนของพระพุทธะ เว้นไว้แต่ว่า เมื่อใดเขาศรัทธาและอนุญาตให้เราเข้าไปช่วยแก้ปัญหาให้ เราจึงจะมีสิทธิ์เข้าไปก้าวล่วง

อนึ่ง แม่เคยสร้างหนี้เวรกรรมไว้กับคนอื่นมาก่อน เมื่ออกุศลกรรมให้ผล แม่จึงต้องรับผลแห่งอกุศลวิบากนั้น ส่วนความสงสารเป็นหนึ่งในคุณธรรมที่พรหมทุกองค์มีอยู่ แต่หากสงสารแล้วช่วยเหลือเขาไม่ได้ จำเป็นต้องปล่อยวาง อย่างนี้จึงจะเป็นสัมมาทิฏฐิระดับโลกิยะ

(๓). คำว่า “ บาป ” หมายถึง ความไม่สบายใจ ไม่สบายกาย หากอาการไม่พึงปรารถนาทั้งสองมีมาก จะถือว่าบาปมาก ความประพฤติใดที่ผู้ถามปัญหาได้ทำแล้ว เกิดเป็นความสบายใจ สบายกาย อย่างนี้จึงจะถือว่าเป็นบุญ บุญและบาปเป็นคนละส่วนกัน ทดแทนกันไม่ได้ เมื่อใดบุญให้ผล ผู้มีบุญย่อมเสวยแต่ความสบายใจ สบายกาย ตรงกันข้าม เมื่อใดที่บาปให้ผล ผู้มีบาปย่อมได้รับผลเป็นความไม่สบายใจ ไม่สบายกาย

ผู้ใดรู้คุณและตอบแทนคุณ แก่แผ่นดินที่ให้เราได้อยู่อาศัย ผู้นั้นมีความเจริญในชีวิตเป็นผลให้ได้รับ การทำตัวเป็นผู้ให้สิ่งดีงามในทุกรูปแบบ แก่แผ่นดินที่อยู่อาศัย เป็นสิ่งที่ผู้เจริญนิยมประพฤติกัน

(๔). ผู้ใดไม่ประพฤตินอกเหนือหน้าที่ที่ตนมี แล้ววางเฉยได้ ผู้นั้นไม่ถือว่าประพฤติผิดหน้าที่ หากเห็นคนอื่นทำไม่ดีแล้ว ตัวเองไม่มีหน้าที่ว่ากล่าวตักเตือน แล้ววางเฉย แต่เอาพฤติกรรมไม่ดีของเขามาเป็นครูสอนใจตัวเอง ว่าเราจะไม่ประพฤติไม่ดีเช่นนี้

(๕). การพัฒนาจิตให้เป็นผู้มีอารมณ์ สงบระงับ เป็นเรื่องดี แต่คนที่มีอารมณ์เครียด เป็นเรืองของจิตที่ขาดสติ รับสิ่งกระทบมาปรุงอารมณ์ไม่ดี ซึ่งส่งผลกระทบต่อระบบประสาททางร่างกาย ทำให้มึนและปวดศีรษะ ฉะนั้นหากผู้ถามปัญหาประสงค์จะแก้ปัญหานี้ให้ได้ ต้องสวดมนต์ก่อนนอน เมื่อล้มกายลงนอนแล้ว เอาจิตไปจดจ่อกับลมหายใจเข้า-ลมหายใจออก จนกระทั่งนอนหลับไป หากประพฤติได้ผลตรงกับคำชี้แนะได้แล้ว ความเครียดจะหมดไป

(๖). การเดินจงกรม ต้องเอาจิตจดจ่ออยู่กับเท้าที่ย่างก้าว จะบริกรรมอย่างใดก็ได้ แต่ต้องมีจิตจดจ่ออยู่กับอิริยาบถของเท้าที่กำลังย่างก้าว การเดินจงกรมเป็นการพัฒนาจิต ให้มีสติตั้งมั่นเป็นสมาธิ มิใช่เป็นการพัฒนาจิตให้เกิดปัญญาเห็นแจ้ง

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1521 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 87, 88, 89, 90, 91, 92, 93 ... 102  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร