วันเวลาปัจจุบัน 24 ส.ค. 2025, 19:32  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 1521 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 88, 89, 90, 91, 92, 93, 94 ... 102  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.ค. 2010, 02:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สับสนเหลือเกินค่ะ
หนูเป็นพยาบาลค่ะ ทำงานค่อนข้างหนักมีโรคประจำตัวหลายโรคค่ะแต่ไม่ได้รักษาจริงจังก็เป็นๆหายๆ มาตลอด(อ้างกับตัวเองว่าไม่มีเวลาเลยไม่ไปตรวจ) หลังจากได้ไปปฏิบัติธรรมมา 7 วัน(ที่ตาณัง) หนูก็ไปตรวจเช็คร่างกายกับแพทย์เรื่องโรคกระเพาะอาหารที่เรื้อรังมาน เค้าก็นัดส่องกล้องที่กระเพาะกับลำไส้ค่ะ ในระหว่างที่เตรียมตรวจต้องรับประทานยาระบายอย่างแรงตัวนึง แต่แทนที่จะถ่ายกลับอาเจียนออกมามาก(มีอาการปวดไมเกรนกับปวดท้องมาก่อนกินยา ค่ะ)อาเจียนจนหมดสติ หัวกระแทกพื้นค่ะต้องหามส่งรพ.(ผล CT scan ที่สมองปกติหัวก็ไม่แตกค่ะ)

น้องสาวเค้าไม่สบายใจเค้ากลัวว่าหนูจะไม่ปกติคืออาจจะวูบอีกหรือเป็นอะไรที่ ร้ายแรง (เค้าเป็นคนแรกที่ไปพบหนูน้องตาค้างอยู่บนพื้นห้องน้ำค่ะ) น้องสาวหนูเลยติดต่อน้องผู้ชายคนนึงซึ่งเพื่อนเค้าบอกว่าแม่นมากๆ ดูดวงผ่านมือถือบอกแค่วันเดือนปีเกิด แล้วก็ที่อยู่ค่ะ (เค้าจะได้ใช้จิตมาดูได้) พอได้คุยกันเค้าก็ทักว่า"หัวพี่ไปโดนอะไรมา"(ถามทางโทรศัพท์)หนูก็ตกใจว่า รู้ได้ยังไง ก็เลยเล่าให้เค้าฟัง เค้าก็ให้ 1. ทำบุญ 2. ทำบังสกุลคนเป็น 3. หาไม้ไปค้ำต้นไม้(แบบประเพณีคนเหนือ) 4. ** ไม่ให้นั่งสมาธินานให้นั่งแค่นับลมหายใจ 20 ครั้งก็พอ** เค้าบอกว่าหนูมีองค์(อะไรไม่รู้) สิ่งที่มองไม่เห็นพยายามจะติดต่อด้วยอาจทำให้หนูเป็น..บ้า..ได้จากการ ปฏิบัติ หรือเจ้าอาจจะมาประทับทรงถ้านั่งนานเค้าจะหาทางมาเข้า หนูก็อธิบายแล้วว่าหนูเรียนวิปัสสนาไม่เคยนับลมหายใจแบบนั้น เค้าก็บอกว่าเค้ารู้เค้าก็ปฏิบัติมามากจนมาทำแบบนี้ได้ เค้ากลัวหนูจะบ้า ยังไม่ต้องไปแยกตัวกับจิตออกจากกันเดียวกลับมาไม่ได้(จริงๆแล้วแยกรูป นามต่างหากค่ะ) เค้าซีเรียสมากค่ะ อาจารย์

พอฟังเสร็จหนูก็ปวดหัวเลยเพราะมันขัดกับที่เรารู้มา แล้วมันก็ขัดกับสิ่งที่เราต้องการจะศึกษาโดยใช้ตัวเองเป็นเครื่องมือเท่า นั้น แต่เค้าก็ดูได้ตรงค่ะ เรื่องบ้านช่อง เรื่องน้องเรื่องแม่ก็ตรง เลยสับสนค่ะแล้วก็กลัวว่า ถ้าไม่ทำอย่างที่เค้าบอกจะแย่อาจวูบอีก สงสารพ่อ แม่ น้อง ที่ต้องเป็นห่วงค่ะ

ขออนุญาตเรียนถามอาจารย์ค่ะ

1. ควรทำอย่างไรดีคะ ?? หนูอยากทำในสิ่งที่ครูบาอาจารย์ได้สั่งสอนไว้ (ธรรมดาแล้วจะนั่งประมาณ ครึ่งชั่วโมงค่ะ)

2. เรื่องบังสกุลเนี่ย พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้สอนไว้ใช่ไหมคะ มันไม่น่าจะทำให้หายปวดหัวได้

กราบขอบพระคุณอาจารย์ที่เมตตาค่ะ

คำตอบ

(๑). พระพุทธโคดม สอนพุทธบริษัทให้เชื่อเรื่องกฎแห่งกรรม มิได้สอนให้เชื่อคำพูดที่ออกจากปากของบุคคล ผู้ใดทำเหตุไว้ดี ทำเหตุไว้ถูกตรงตามธรรม ผลดีคือคุณธรรมย่อมเกิดขึ้นแน่นอน ฉะนั้นผู้ถามปัญหา จะเชื่อตามที่ผู้รู้ไม่จริงพูด หรือจะเชื่อตามปัญญารู้แจ้งของพระพุทธะ พึงเลือกเอาตามที่ชอบ

(๒). คำว่า “ บังสุกุล ” หมายถึง การที่พระสงฆ์ชักเอาผ้า ซึ่งเขาทอดวางไว้ที่ศพ ที่หีบศพ หรือที่สายโยงศพ พิธีกรรมแบบนี้ไม่มีปรากฏในครั้งพุทธกาล มีแต่เพียงว่า ให้ภิกษุไปเก็บเอาผ้าห่อศพที่เขาทิ้งแล้ว มาตัดเย็บเป็นเครื่องนุ่งห่ม และต่อมาในพรรษาที่ ๔ หมอชีวกโกมารภัคจ์ ทูลถวายผ้าเนื้อเลิศแด่พระศาสดา และทูลขอให้พระองค์อนุญาต ให้สงฆ์รับคฤหบดีจีวร จากมีผู้ศรัทธานำถวายด้วย พระพุทธะทรงอนุญาตตามที่หมอชีวกทูลขอ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.ค. 2010, 02:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เมื่อวันที่ 12-14 พ.ค. 53 หนูได้มีโอกาสเข้าร่วมโครงการการเสริมสร้างคุณธรรมฯ ที่คุรุสภาจัดให้กับครูทั่วประเทศ โดยกำหนดหลักสูตรการอบรมได้น่าสนใจมีทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ สถานที่ที่ใช้คือวัดพระมหาธาตุ นครศรีธรรมราช มีการรับศีล 8 จากท่านเจ้าคุณ เจ้าอาวาสวัด เมื่อรับศีลเรียบร้อย ท่านก็กรุณาอธิบายความหมายตั้งแต่ ข้อ 1 ไม่ฆ่าสัตว์ไปจนถึงข้อ 7 เจตนาเป็นเครื่องเว้นจากการฟ้อนรำ........ฯ ท่านเจ้าคุณได้อธิบายว่า หน้าตาจะตกแต่งก็ได้เครื่องประดับแหวน สร้อย นาฬิกาจะสวมใส่ก็ได้ ดูอย่างนางวิสาขาบรรลุโสดาบันตั้งแต่อายุ 7 ขวบ ยังแต่งตัวสวยไปเฝ้าพระพุทธเจ้าเลย หนูฟังแล้วเกิดขัดแย้งในใจ แต่กลัวบาปจึงไม่อยากคิดต่อ ผลปรากฏว่าวันรุ่งขึ้น สุภาพสตรีซึ่งเป็นครูบาอาจารย์ทั้งหมด ลุกขึ้นมาทาหน้าทาปากวันละ 3 เวลา มีไม่กี่คนที่ยอมเอาเนื้อแท้มาดูกันรวมทั้งหนูด้วย

ขอรบกวนอาจารย์ช่วยขยายความที่ท่านเจ้าคุณท่านอธิบายด้วยเถิดค่ะ หนูไม่อยากให้คุณครูทั้งหลายเข้าใจผิด แล้วนำไปสอนลูกศิษย์ หรือแนะนำคนอื่นอย่างผิดๆซึ่งจะเป็นอันตรายมาก
ขอขอบพระคุณอย่างสูง


คำตอบ

เมื่อใดที่พระสงฆ์บอกศีลแปดข้อ และผู้ฟังมีเจตนาทำใจให้ได้ตามที่บอก จึงรับเอาศีล ๘ มาประพฤติปฏิบัติโดยเฉพาะศีลในข้อที่เจ็ด ที่บอกว่า “ เว้นจากฟ้อนรำ ขับร้อง บรรเลงดนตรี ดูการเล่นอันเป็นข้าศึกต่อพรหมจรรย์ ทัดทรงดอกไม้ของหอม เครื่องลูบไล้ ซึ่งใช้เป็นเครื่องประดับตกแต่ง ” ใครผู้ใดสมาทานศีล ๘ แล้วยังไม่เว้นประพฤติตามที่กล่าวมาข้างต้นนี้ ถือว่าศีล ๘ ยังขาด ยังทะลุ สามารถปฏิบัติธรรมได้ แต่เข้าไม่ถึงธรรมที่ปฏิบัติ คือปฏิบัติสมถภาวนา แล้วจิตไม่ตั้งมั่นเป็นสมาธิ ปฏิบัติวิปัสสนา แล้วจิตเกิดปัญญาเห็นแจ้ง

เด็กหญิงวิสาขา บรรลุโสดาบันตั้งแต่มีอายุได้เจ็ดขวบ เมื่อโตเป็นสาวแล้วได้แต่งงานกับชายหนุ่ม จึงได้ชื่อว่า นางวิสาขา ยังสามารถร่วมประเวณีกับสามีของนางได้ จนกระทั่งมีลูกได้ถึงยี่สิบคน เพราะนาง วิสาขาโสดาบัน สมาทานศีล ๕ เท่านั้น หากผู้ใดปรารถนาพัฒนาจิตให้เข้าถึงความเป็นอริยบุคคล นับแต่พระอนาคามีขึ้นไป ต้องประพฤติพรหมจรรย์ ด้วยการสมาทานศีล ๘ ความสมปรารถนาจึงจะมีโอกาสเป็นได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.ค. 2010, 02:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1. อาจารย์เคยตอบคำถามไว้ว่า " พระที่บำเพ็ญนิโรธสมบัติ ผู้ที่จะทำได้ต้องเป็นพระอริยบุคคลขั้นอนาคามีขึ้นไป " หนูรู้จักพระท่านหนึ่งที่ท่านเข้านิโรธสมาบัติทุกปี คุณพ่อคุณแม่ศรัทธาท่านมากและไปทำบุญกับท่านเป็นระยะโดยอยาก (แกมบังคับ) ให้ดิฉันทำบุญด้วยเสมอ ดิฉันก็ทำแต่ด้วยความไม่เต็มร้อย เพราะในใจไม่มีความศรัทธาในตัวท่านมากนัก ไม่ทราบเป็นเพราะเหตุใดเหมือนกัน แต่ก็พยายามตั้งใจทำโดยคิดซะว่าทำบุญกับพระสงฆ์ที่บำเพ็ญนิโรธสมบัติ ไม่ใช่ท่าน

คำถามคือ ดิฉันบาปไหม เป็นเพราะเหตุใดจึงรู้สึกอคติต่อท่านโดยไม่มีสาเหตุ จะละบาปตรงนี้อย่างไรดีคะ


2. ดิฉันเคยมีแฟนเราหาความสุขทางเพศกันแต่ภายนอก

คำถามคือ บาปหรือไม่คะ ?



3. หลังจากคบไม่นาน คุณพ่อคุณแม่ดิฉันไม่ชอบแฟนคนนี้ บังคับให้เลิกเด็ดขาดและให้ดิฉันออกจากงานทันที(เพราะทำงานที่เดียว กัน)ทั้งๆที่งานดิฉันกำลังเจริญก้าวหน้าดีมาก ฉันเสียใจมากที่ท่านไม่ให้ดิฉันเลิกเอง (ตั้งใจเลิกเพราะไม่อยากทำให้ท่านไม่สบายใจอยู่แล้ว) หลังจากนั้นดิฉันรู้สึกว่าศรัทธาในการทำดีมันตกลงอย่างมากเพราะดิฉันเป็นลูก ที่ดีเสมอมาเรียนดีเป็นคนดีของสังคมไม่มีปัญหาใด ( ครอบครัวดิฉันธรรมะธรรมโมมาตลอด ตั้งแต่เด็กดิฉันสวดมนต์ไหว้พระเป็นนิจ) จากวันนั้นดิฉันไม่สามารถมีศรัทธาแน่วแน่ในการสวดมนต์นั่งสมาธิให้สมำเสมอ ได้เหมือนเดิม ทำได้เป็นพักๆ สามารถทำได้ในวันพระแต่เวลาอธิษฐานจะรู้สึกว่าพลังไม่แรงกล้าเหมือนเก่า พยายามตั้งสัจจะจะสวดมนต์ให้ได้สมำเสมออย่างน้อยเป็นช่วงเวลาก็ยังทำไม่ค่อย ได้ ยอมรับว่าขี้เกียจจนเสียสัจจะ ทั้งๆที่รู้ว่าไม่ดีและประมาทมาก แต่การทำบุญต่างๆ ทำกตัญูต่อบิดามารดายังทำสมำเสมอโดยตลอด

คำถามคือ กรรมนี้เกิดจากอะไรคะและดิฉันจะแก้กรรมตรงนี้อย่างไรดีคะ เพื่อให้กลับมามีความเพียรอันแน่วแน่ เพื่อปฏิบัติธรรมให้ได้ยิ่งๆขึ้นไป



4. ประมาณ 3 ปีหลังจากที่เสียใจมากจากแฟน ก็มาเจอพี่คนหนึ่งเรียนต่อด้วยกันดูเป็นคนดีมากแต่งงานแล้ว ใจดิฉันชอบพี่อีกคนหนึ่งที่โสดและปรึกษาพี่คนแรกเรื่องนี้เพราะเกิดเรื่อง ผิดใจกับพี่คนที่สอง วันหนึ่งมีการเลี้ยงฉลองของชั้นเรียนดิฉันซึ่งเดิมตั้งใจว่าจะไม่กินเหล้ามา เป็นสิบปีก็อนุโลมตัวเองฉลองดื่มเหล้าไปกับพี่ๆ และเมาจนได้ยอมให้พี่คนแรกที่แต่งงานแล้วเล้าโลมภายนอกไปชั่วขณะ หลังจากเหตุการณ์วันนั้น ดิฉันก็เลิกคบพี่คนนั้นเด็ดขาด และพยายามทำบุญอุทิศกุศลขออโหสิให้ทั้งเขาและภรรยามาตลอด 3 ปีที่ผ่านมา แต่บางครั้งยังนึกถึงความผิดนี้อยู่เสมอ

คำถามคือ ดิฉันผิดศีลข้อสามหรือเปล่าคะ อันนี้เป็นกรรมใหม่หรือว่าเขาเป็นเจ้ากรรมนายเวรของเรามาก่อน ดิฉันจะแก้กรรมนี้อย่างไรดีคะ



5. ตอนนี้ดิฉันไม่ได้คบใครแต่บางที่ก็เกิดความรู้สึกทางเพศ ก็ช่วยตัวเองบ้างแต่อยากเลิกความหมกมุ่นในกามราคะนี้มาก พิจารณาอสุภะก็แล้วไม่ได้ผลนัก

คำถามคือ อะไรเป็นสาเหตุและควรแก้กรรมตรงนี้อย่างไรดีคะ



6. ขอแนวทางการปฏิบัติเพื่อให้เจริญในธรรมที่ตรงกับจริตด้วยค่ะ ตั้งใจให้ถึงซึ่งพระนิพพานเป็นจุดหมาย

กราบขอบพระคุณมากค่ะและขออนุโมทนากับกุศลทานของอาจารย์อย่าง ยิ่งค่ะ

ผู้สงสัย

คำตอบ

(๑). เป็นเพราะเหตุที่ผู้ถามปัญหาและผู้ที่เข้านิโรธสมาบัติได้ มีคุณธรรมแตกต่างกัน หรือพูดได้ในอีกทางหนึ่งว่า ผู้ถามปัญหายังมีบุญบารมีไม่มากพอ ที่จะผลักดันจิตให้เกิดความศรัทธา ในคุณธรรมของพระอริยะผู้เข้านิโรธสมาบัติได้

ผู้ใดมีจิตเป็นอคติ (ชอบ ชัง หลง กลัว) ผู้นั้นมีบาปเป็นแรงผลักดันจิตให้คิดเช่นนั้น ผู้รู้ในพุทธศาสนารู้ว่า สิ่งต่างๆเกิดขึ้นล้วนมีเหตุที่ทำให้เกิด ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นโดยบังเอิญหรือโดยความน่าจะเป็น ผู้ใดประสงค์กำจัดอคติให้หมดไปจากใจ ผู้นั้นต้องพัฒนาจิตให้เกิดปัญญาเห็นแจ้ง แล้วใช้ปัญญาเห็นแจ้งไปพิจารณาขันธ์ ๕ ตามกฎไตรลักษณ์ ดำเนินไปสู่ความเป็นอนัตตา ขันธ์ ๕ ไม่มีอยู่จริง อัตตาหรือตัวตนหรือความเห็นแก่ตัว ย่อมดับตามขันธ์ ๕ ไปด้วย พร้อมกับการดับของอคติ

(๒). มนุษย์ทำกรรมได้สามทาง คือ กายกรรม วจีกรรมและมโนกรรม การหาความสุขทางเพศเป็นเรื่องของมโนกรรมและกายกรรมที่ให้ผลเป็นบาป ผู้มีใจเป็นบาปเช่นนี้ปฏิบัติธรรมได้ แต่เข้าไม่ถึงธรรม

(๓). เหตุที่เกิดคืออกุศลวิบากยังให้ผลอยู่ ยังชดใช้หนี้เวรกรรมไม่หมด ไม่มีใครผู้ใดแก้ไขกรรมในอดีตได้ แต่มีใครผู้ใดทำกรรมปัจจุบันให้มีพลังยิ่งใหญ่ (ปฏิบัติธรรม) แล้วขอความเมตตาผู้ร่วมปฏิบัติธรรมรวมถึงตัวเอง อุทิศบุญกุศลที่แต่ละคนมี ใช้หนี้เจ้ากรรมนายเวร วิธีนี้ทำให้หนี้เวรกรรมหมดไปได้เร็ว และขณะที่ยังมิได้นำตัวเองไปปฏิบัติธรรมในสำนักใด ให้สวดมนต์ก่อนนอน หลังสวดมนต์ให้กำหนดลมหายใจ (อานาปานสติ) ประมาณครึ่งถึงหนึ่งชั่วโมง แล้วอุทิศบุญกุศลใช้หนี้เจ้ากรรมนายเวรไปเรื่อยๆ จนกว่าจิตจะไม่ระลึกถึงเรื่องนี้อีกต่อไป นั่นเป็นเครื่องบ่งชี้ว่า หนี้เวรกรรมประเภทนี้จบสิ้นลงแล้ว กำลังใจของผู้ถามปัญหาจะกลับมาดีเหมือนเดิม

(๔). ผิดครับ เป็นเรื่องของเจ้ากรรมนายเวรตามทวงหนี้ แก้อกุศลวิบากประเภทนี้ได้ตามข้อ (๓).

(๕). สาเหตุคือยังชดใช้หนี้เวรกรรมยังไม่หมด จะแก้ปัญหาให้จบสิ้นลงได้ ต้องหาต้นเหตุให้พบและดับที่ต้นเหตุ

ในทางโลก แก้ปัญหาโดยเล่นกีฬาที่ออกกำลังกายจนเหนื่อยล้า เช่น เล่นแบดมินตั้น เล่นเทนนิส เล่นวอลเล่ย์บอล ฯลฯ งดบริโภคอาหารในเพลาเย็น บริโภคอาหารมังสวิรัติแทนการบริโภคเนื้อสัตว์ งดดูละครดูวีดีโอที่เสริมกิเลสกาม ฯลฯ

ในทางธรรม ต้องพิจารณาอสุภะบ่อยๆ หากมีโอกาสนำตัวเองไปดู Life Museum ที่วัดพระบาทน้ำพุ ดูจนซากศพติดตา หลับตาแล้วยังเห็นซากศพฝังใจอยู่ จิตจะเบื่อหน่ายในร่างกาย แล้วความรู้สึกของเพศจะหมดไป

(๖). ให้ปฏิบัติตนตามหลักไตรสิกขา (ศีล-สมาธิ-ปัญญา) ด้วยการพัฒนาใจให้มีศีล ๘ ที่ไม่ขาด ไม่ทะลุ ไม่ด่าง ไม่พร้อย คุมใจอยู่ทุกขณะตื่น แล้วนำตัวเองเข้าปฏิบัติธรรมให้ถูกับจริต คือพิจารณากายคตาสติ จนกระทั่งจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิจวนแน่วแน่ (อุปจารสมาธิ) ได้แล้ว จึงนำจิตไปพิจารณาสติปัฏฐาน ๔ ทั้งนี้เน้นที่ต้องมีศีล มีสัจจะ มีขันติ มีความเพียร เป็นแรงสนับสนุน และต้องยอมเอาชีวิตเข้าแลกธรรม โอกาสเข้าถึงพระนิพพานจึงจะเป็นไปได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.ค. 2010, 02:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมมีเรื่องไม่สบายใจขอเรียนถาม คือว่าเมื่อเช้าผมได้ไปใส่บาตรโดยการซื้อลอดช่อง ตอนแรกซื้อมา 2 ถุงคิดว่าจะใส่บาตรเพียงถุงเดียวแล้วเก็บไว้กินเอง 1 ถุง เมื่อพบพระสงฆ์แล้วก็นั่งยองๆโดยมือถือลอดช่องไว้ 1 ถุงส่วนอีกถุงวางไว้ที่พื้น พอใส่ถุงแรกเสร็จ ผมมีจิตศรัทธา จึงนำถุงที่วางไว้กับพื้นใส่ลงไปในบาตรอีก โดยมิทันคิดว่าถุงนี้วางบนพื้นแล้ว พอใส่เสร็จฉุกคิดได้ว่า เราไม่ควรนำของที่วางบนพื้นไปใส่บาตรพระเลย จึงไม่สบายใจ กราบเรียนถาม อ.สนอง ว่ามีวิธีการขอขมาการกระทำนี้อย่างไรครับ

กราบขอบพระคุณ อ.สนอง วรอุไร อย่างสูง

คำตอบ

หากผู้ถามปัญหาระลึกได้ว่า การเอาของวางไว้กับพื้นเป็นสิ่งที่ไม่ดีงาม หากประสงค์จะแก้ไขความไม่สบายใจ (บาป) ให้หมดไป ต้องขอขมากรรมต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อาทิ พระพุทธรูป เจดีย์ ฯลฯ เมื่อจิตสงบแล้ว กล่าววาจาขอขมากรรมไม่ดีที่ตนประพฤติแล้ว ให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ยกโทษให้ และต้องไม่ประพฤติซ้ำในสิ่งไม่ดีนั้นให้เกิดขึ้นอีก จากนั้นต้องพัฒนาจิตให้มีสติกล้าแข็ง เพื่อรักษาสัจจวาจาให้คงอยู่

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.ค. 2010, 02:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ชีวิตของผมตอนนี้มีอะไรหลายอย่างเปลี่ยนไปมากครับ หลังจากอาม่าเสียชีวิตไปเมื่อปีที่แล้ว ผมใช้ชีวิตเวลานี้ ดูแลพ่อแม่ และแม่เลี้ยงให้เขามีความสุขทางกาย และใจ ตามกำลังความสามารถ ที่ผมมีอยู่ พ่อผมเครียดเพราะหนี้สิน พูดคนเดียวบางครั้งและอารมณ์โกรธ โมโหร้าย ผมเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในนครปฐม ได้ทุนจากมหาลัยไปเรียนต่อ ป โท และตอนนี้เหลือแค่วิทยนิพนธ์ อย่างเดียว ผมตัดสินใจบอกพ่อว่า ผมจะชวยเหลือในการปลดหนี้ให้ ขอแค่พ่อ อย่าอารมณ์โมโหง่าย เพราะกลัวแกจะไม่สบาย ค่อยๆผ่อนหนี้ออมจะชวยพ่อเอง ไม่ว่าผมสอนพิเศษเด็กแล้ว ได้เงินเหลือมาบ้าง

ผมจะซื้อของที่พี่ชอบ มาให้ พ่อ แม่เลี้ยง พี่ชาย และน้องชายกินทุกครั้ง ผมบอกตัวเองว่า หากวันนี้เป็นวันสุดท้ายของชีวิต ผมต้องตอบแทนพ่อกับแม่ให้ดีที่สุด แต่ว่าปัญหาอยู่ที่พี่ชายของผม ซึ่งปัจจุบัน อายุ 28 ย่าง 29 ไม่ได้ทำงาน เรียนเนติบัณฑิต ผมเกลียดมันมากมายครับ ผมอยากฆ่ามัน มันทำร้ายน้ำใจผมตั้งแต่เล็กจนโต มันจะเอาอะไรมันต้องได้ ทำร้ายน้ำใจพ่อแม่ แม่เลี้ยงและอาม่า ที่เลี้ยงมันมาตั้แต่เด็ก หลังจากที่พ่อกับแม่เลิกกัน มันตีผม ใช้เท้าเตะหน้าผม หลังผมอยู่บ่อยครั้ง แม้เราจะโตแล้ว ทุกวันนี้มันก็ทำอยู่ ผมทำงานสอนพิเศษเด็กได้เงินมา ก็ต้องเก็บไว้ใช้จ่ายของตัวเอง มันก็จะมาเอาเงิน ร้อย สองร้อย อยู่ตลอด ผมยอมรับว่าผมเครียดมาก เพราะว่ามหาลัยยังไม่ได้ให้เงินเดือนผมเลย เพราะผมเป็นเด้กทุน การเดินเรื่องจึงช้าแต่เทอมหน้าผมกลับมาสอน เต็มตัวแล้ว ผมก็ตั้งใจว่าจะช่วยเหลือ พ่อกับแม่ จนกว่าผมจะไม่มีแรง แต่มันสิครับ ไม่ทำงาน ปากก็บ่นว่าจะให้กูทำงานอะไรละ กรรม! คิดไม่เป็นครับ โทรหาแม่ ตลอดจะเอาเงิน วันนั้น วันนี้

ผมเหนื่อยใจเหลือเกิน ผมทะเลาะกับมันบ่อยมาก เราเป็นพี่น้องกันแท้ๆ แต่ผมเกลียดมันเหลือเกิน ทุกคนในบ้าน แม่เลี้ยง น้องเลี้ยงต่างไม่พูดกับมัน เพราะไปทะเลาะกับเขาไว้ ทุกครั้งพอไม่มีเงิน มันก็เหมือนคนไร้ค่า ต่างไปไหนก็มีคนข้างบ้านมาพูดให้ฟังว่าอยู่ได้อย่างไร อยู่แล้วไม่ช่วยงานที่บ้าน ไม่มีเงินใช้ คอยแต่เกาะแม่ เกาะน้อง ผมฟังก้เฉยๆ แต่บางครั้งผมก็สงสารมันนะครับ

แต่ที่ผมสงสารมากที่สุด คือแม่ แม่ร้องไห้เพราะมันมาหลายทีแล้ว แม่ผมอยู่ที่สมุทรปราการ ผมตั้งใจว่าเรียนจบโทแล้วเก็บเงินสักก้อนเอาแม่มาอยู่กับผมตอนแก่ พาแม่เข้าวัด ทำบุญ วันแม่ทีไร
ผมจะไปหาแม่ เอาดอกมะลิไปไหว้แม่ เมื่อก่อนนึกเขิน แต่ไม่รู้ทำไมผมถึงเปลี่ยนไปมาก หลังจากพบธรรมะ แต่พี่ผมไม่เคยไปหาแม่เลย ไม่เคยไปดูว่าแม่อยู่อย่างไร ในห้องเช่าเล็กๆ มันดีจะเอา เงินแม่เท่านั้นเท่านี้ แต่ไม่เคยที่จะดิ้นรนด้วยตัวเอง คุณพ่อสนองครับ ผมอยากหมดเวร หมดกรรม กับไอพี่ชายสารเลวคนนี้จังครับ ผมเกลียดมันมาก ผมอะจะเป็นบ้าอยู่แล้ว ผมทำงานมา เหนื่อย มันก็ทำร้ายน้ำใจผม ของใช่ของมันผมแตะไม่ได้ ขืนไปยุ่งมันได้อาละวาด แต่ของผมมันเดินเข้าเดินออก หยิบโน้น หยิบนี้มาใช้ โดยไม่บอกผมักคำ ทำไมมันเห็นแก่ตัวแบนี้ คุณพ่อครับ บางครั้งผมคุยกับใครไม่ได้ก็นั่งร้องไห้อยู่คนเดียว มันทรมานจิงๆครับ คุณพ่อช่วยบอกผมหน่อยเถอะครับ ว่าผมควรทำอย่างไร ถึงจะอยู่ได้อย่างมีความุขกับมัน ผู้เป็นพี่ชายที่ผมเกลียดที่สุด

ด้วยรักและเคารพ


คำตอบ

การช่วยเหลือคนอื่นเป็นหนึ่งในบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ ผู้ใดประพฤติแล้ว ผู้นั้นมีบุญเกิดขึ้น หากการช่วยเหลือคนอื่น แล้วเกิดความไม่สบายใจ หรือช่วยเหลือแล้ว เบียดเบียนตัวเอง การช่วยเหลือนั้นถือว่าเป็นบาป

การทะเลาะเบาะแว้งกับคนรอบข้าง ให้ผลเป็นบาป การเกลียดชังคนรอบข้าง ให้ผลเป็นบาป พระพุทธโคดมสอนพุทธบริษัทให้แก้ปัญหาที่ตัวเอง มิได้สอนให้แก้ปัญหาที่คนอื่น ฉะนั้นหากผู้ถามปัญหาประสงค์จะห่างไกลจากบาป ต้องดับที่ต้นเหตุ คือแก้ปัญหาที่ตัวเอง ไม่เอาเรื่องไม่ดีของคนอื่น เข้ามามีอำนาจเหนือใจของตน ด้วยการให้อภัยเป็นทาน ทุกครั้งที่มีเหตุขัดใจเกิดขึ้น ต้องบริกรรมว่า “ ช่างมันเถอะ ๆๆๆๆ ” บริกรรมไปเรื่อยๆ จนเหตุที่ทำให้ขัดใจหมดไป แล้วความสงบและเย็น (เมตตา) จะเกิดเป็นบารมีสั่งสมอยู่ในจิตใจ หรือจะให้ดียิ่งกว่านี้ ต้องพัฒนาจิต (สมถภาวนา) จนมีกำลังสติกล้าแข็ง ระลึกได้ทันสิ่งกระทบไม่ดี แล้วเห็นว่าสิ่งกระทบดับไป (อนัตตา) ตามกฎไตรลักษณ์ จิตจึงจะเป็นอิสระที่สิ่งกระทบที่ไม่ใช่ตัวตน แล้วจิตปล่อยวางสิ่งกระทบ จิตว่างเป็นอุเบกขา พร้อมกับมีปัญญาเห็นแจ้งเกิดขึ้น วิธีการอย่างหลังนี้อริยบุคคล ใช้ดับกิเลสที่เข้ามามีอำนาจเหนือใจได้ผล

การที่เห็นว่า แม่ร้องไห้เป็นเรื่องของแม่ พระพุทธโคดมมิให้เข้าไปก้าวล่วงในชีวิตของคนอื่น หากเมื่อใด แม่ศรัทธาในตัวลูก ลูกจึงจะมีสิทธิ์สอนแม่ได้โดยไม่ถือเป็นบาป การประพฤติจริยธรรมลูกที่มีต่อแม่ ให้ผลเป็นความกตัญญูกตเวที ผู้ใดประพฤติได้แล้ว ความเจริญงอกงามในชีวิตและงานย่อมเกิดขึ้น ฉะนั้นหากผู้ถามปัญหาหวังความเจริญในชีวิต พึงให้อภัยเป็นทานอยู่เสมอ พึงพัฒนาจิตตนเองให้มีกำลังสติกล้าแข็งอยู่เสมอ และพึงประพฤติจริยธรรมลูกต่อพ่อแม่อยู่เสมอ ฯลฯ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.ค. 2010, 02:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมขอเล่าเรื่องผมให้อาจาร์ยฟันดังนี้ ตัวผมได้ปฏิบัติธรรมมาเป็นเวลาเกือบ 2 ปี
ปัจจุบันอายุ 31 ปี สามารถมองเห็นดวงจิตอื่นได้ถ้าอยากเห็นแม้ลืมตา สามารถคุยกัยดวงจิตอื่นๆได้

เหตุเกิดขึ้นมาประมาณ 6 เดือนแล้วมีครั้งหนึ่งผมได้มีโอกาสได้ไปทำบุญที่วัดแห่งหนึ่งไป ด้วยการชวนของเพื่อนๆ พอเข้าไปในวัดก็ได้การต้อนรับจากดวงจิตที่เป็นเทพอย่างดี มาตอนที่ทำบุญตักบาตรสิครับ มีวิญญาณลำบากมาขอบุญเต็มเลย ผมบอกว่ารอเวลากรวดน้ำน่ะแล้วจะส่งให้ วิญญาณเหล่านั้นตอบเลยว่าเขาไม่ได้บุญเวลากรวดน้ำ อ้าวจะทำอย่างไรล่ะ
ที่จะทำบุญถึงเขาได้น่ะ ผมกำหนดจิตนึกขึ้นมาได้จากหลวงปู่ฤาษีลิงดำ ว่าเวลาทำบุญให้อุทิศเลย ผมไม่รู้ว่าอุทิศนั้นทำอย่างไรเคยได้ยินแต่ทำไม่เป็น พอดีนึกขึ้นมาได้จากเพื่อนผม
คนหนึ่ง ว่าเวลาทำบุญให้ว่า "บุญนี้จงไปถึง....." ผมก็ทำบ้างเอาข้าวใส่บาตรพอหลุดมือบอกเลย "บุญนี้จงไปถึงแก่วิญญาณที่อยู่ตรงนี้" ปรากฏว่าวิญญาณเหล่านั้นเปลี่ยนสภาพครับดีขึ้นมา
จากผอมๆมีแต่กระดูกเป็นมีเนื้อขึ้นมา ผมเองก็ตกใจว่าเป็นไปได้อย่างไร เพราะไม่มีใครเคยบอกเลย และก็ได้คุยกับวิญญาณเหล่านั้น ว่าเคยได้อย่างนี้ไหมเขาบอกว่าไม่เคยเลย มีแต่เขา เห็นแสงบุญแล้ว เขาอนุโมทนาเอาถึงจะได้แต่ก็ไม่มากขนาดนี้ มีตอนหนึ่งผมได้คุยว่าถ้าไม่ได้เป็นวันพระล่ะกินอะไร เขาบอกว่าครั้งหนึ่งต้องกินศพเป็นอาหารเพราะหิวมาก ผมฟังแล้ว
สะเทือนใจเลย และยังมีหลายอย่างที่ได้คุยได้เห็นหากมีโอกาสจะนำมาเล่าให้ฟัง

ผมมีข้อสักถามอาจารย์ดังนี้น่ะครับ
1 การอุทิศบุญมีวิธีอยางไรกันแน่มีแต่บอกว่าอุทิศแต่ไม่มีใครบอกว่าทำอย่างไร
2 ผมทำแบบนี้ผมจะทำผิดกฎที่ได้กำหนดว่าสัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรมหรือเปล่า (ผมทำอย่างนี้มานานแล้วตั้งแต่ทราบ)
3 ผมถูกมารหลอกหรือเปล่าว่าผมทำได้
ขอขอบคุณล่วงหน้าครับ (ผมพยามถามพระหลายๆท่าน ท่านบอกว่าตอบไม่ได้ ไม่ใช่กิจของสงฆ์)
เคารพอาจารย์มากครับ

คำตอบ

(๑). ทำอย่างที่บอกเล่าไปให้ฟัง นั่นแหละ

(๒). สัตว์โลกเป็นไปตามกรรมนั้น ถูกต้องแล้ว แต่หากสัตว์โลกมาอนุโมทนาบุญจากมีผู้อุทิศให้ ถือว่าเป็นการทำกรรมของผู้มาอนุโมทนาเหมือนกัน ฉะนั้นการอุทิศบุญที่ตนมีให้กับสัตว์อื่นที่ต้องการบุญ มิได้ถือว่าประพฤติผิดกฎแห่งกรรม

(๓). “ มาร ” หมายถึง ตัวการที่ขัดขวางบุคคล มิให้บรรลุความดี ซึ่งมีอยู่ห้าประเภท ได้แก่ มารคือกิเลส (กิเลสมาร) มารคือขันธ์ทั้งห้า (ขันธมาร) มารคืออภิสังขารที่ปรุงแต่งกรรม (อภิสังขารมาร) มารคือเทพบุตร (เทวปุตตมาร) และมารคือความตาย (มัจจุมาร) ที่บอกเล่าไปเป็นกิเลสมาร

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.ค. 2010, 02:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หนูเป็นสาวประเภทสองที่ผ่าตัดแปลงเพศเรียบร้อยแล้ว ได้รู้จักและคบกับชายคนหนึ่งในฐานะแฟนหรือคนรักมาประมาณหนึ่งปีแล้ว ก่อนหน้านี้ที่คบกันเค้า ไม่ได้บอกพ่อเค้าจนกระทั่งวันหนึ่งพ่อของเค้ารู้ ก็สั่งให้เลิกคบกันตัดขาดกันเลย โดยให้เหตุผลว่าการคบกันแบบนี้ถือว่าเป็นดวงจิตชายสองดวงคบกัน ถือว่าผิดศีล

แต่ว่าเค้าก็ยังเชื่อมั่นในตัวของเค้าเองว่าหนูเป็นหญิงจริงๆ จนเวลาผ่านไปประมาณอีกห้าหกเดือน พ่อเค้าก็จับได้ว่ายังคบกันอีก และใช้เงื่อนไขในเรื่องของการผิดศีลมากล่าวอ้างเช่นเดิม แต่แฟนหนูเค้าบอกกับหนูว่าเค้าไม่เชื่อพ่อของเค้าเพราะว่าพ่อเค้ายังไม่ได้ จบกิจ (หนูก็สงสัยในคำนี้เหมือนกัน) แล้วเค้าก็มีโอกาสได้ไปปรึกษาพระรูปหนึ่งจากวัดทางเหนือ จ.ลำพูน ซึ่งเป็นพระที่ทางบ้านเค้านับถือเป็นอย่างมาก เห็นเค้าเคยพูดให้หนูฟังประมาณว่า พระรูปนี้เป็นพระอริยะเจ้าและจบกิจแล้ว และคำตอบที่ได้รับจากพระรูปนี้ก็คือ ผิดศีล คนที่คบกันแบบนี้จะต้องตกนรก เห็นเค้าพูดประมาณว่าหนูมีสัมมาทิษฐิ ให้คบกันแบบเพื่อน

หนูยังมีเรื่องสงสัยอีกค่ะ เค้าเคยพูดให้หนูฟังประมาณว่า การที่ชายซื้อบริการหญิงบริการทางเพศนั้นไม่ผิด การสำเร็จความใคร่ด้วยตนเอง และการดูหนังลามกก็ไม่เป็นการผิดศีลแต่อย่างใด และหากจะให้หนูไม่ผิดศีลก็คือ หนูต้องเสพกามกับผู้หญิงเท่านั้นจึงจะไม่ผิดศีล หรือหากหนูอยากจะถึงซึ่งนิพพาน ก็ต้องครองตัวเป็นโสด และถือศีลอย่างเคร่งครัด หนูลืมบอกไปค่ะว่าเค้ามุ่งมั่นที่จะถึงซึ่งนิพพานเป็นอย่างมาก หลังจากที่เมื่อสามปีที่แล้ว แม่ของเค้าจากไปอย่างกระทันหันจากโรคมะเร็ง เค้าจึงหาที่พึ่งด้วยเรื่องนี้ หนูฟ้งมาดังนั้นก็เชื่อในสิ่งที่เค้าพูด แต่หนูต้องการความกระจ่างจากอาจารย์อีกทีนึงค่ะ

หนูขอกราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูงไว้ล่วงหน้านะคะอาจารย์
ปล.จริงๆแล้วหนูเคยได้คำตอบจากท่านเจ้าอาวาสวัดทีมีชื่อเสียงแห่งหนึ่งมา แล้วค่ะ ว่าไม่ได้ผิดศีลแต่อย่างใด แต่หนูก็ยังอยากได้คำตอบจากอาจารย์ด้วยเช่นกันค่ะ เพื่อความมั่นใจค่ะ

คำตอบ

คนเพศชายจะคบกับเพศชาย หรือคนเพศหญิงจะคบกับคนเพศชาย ไม่ถือว่าผิดศีล แต่หากบุคคลทั้งสองร่วมสังวาสกัน โดยที่ยังมิได้รับอนุญาตจากผู้เป็นเจ้าของ เช่น พ่อแม่ พี่สาว พี่ชาย ฯลฯ จึงจะถือว่าผิดศีลข้อ ๓

มนุษย์ทำกรรมได้สามทาง คือ กายกรรม วจีกรรมและมโนกรรม หากประพฤติผิดศีลในทางใดทางหนึ่ง ถือว่าการประพฤตินั้นมีผลเป็นบาป บุคคลจะเข้าถึงความสิ้นอาสวะ (นิพพาน) ได้ ผู้นั้นต้องมีจิตปราศจากอาสวะทั้งปวง คือหมดอกุศลวิบากและพ้นจากอวิชชา

การซื้อบริการกับหญิงที่ให้บริการทางเพศ การสำเร็จความใคร่ การดูหนังลามก ฯลฯ เป็นสิ่งไม่ผิดตามความเห็นของผู้มีความเห็นผิด แต่ผู้รู้จริงเห็นเป็นตรงข้าม

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


แก้ไขล่าสุดโดย ธรรมบุตร เมื่อ 17 ก.ค. 2010, 02:33, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.ค. 2010, 02:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เวลานี้หนูพยายามรักษาสติกับตัวตลอด ทั้งดูจิตและสวดมนต์ให้เป็นนิสัยเพื่อจะกำจัดพฤติกรรมผิดปกติที่เป็นอยู่ค่ะ แม้ยังไม่ได้ 100%

ขณะนี้หนูเรียนอยู่ต่าง ประเทศ หนูอยากทำบุญให้ชมรมกัลยาณธรรมค่ะ เนื่องจากการที่หนูฟังบรรยายของอาจารย์ทำให้หนูมีความคิดที่ถูกต้อง

ทำให้หนูอยากร่วมส่งเสริมชมรมค่ะ เวปไซต์ดีมากเลยค่ะทำให้หนูได้มี โอกาสฟังธรรมบรรยายของอาจารย์

หนูขอเรียนถามอาจารย์ต่อดังนี้ค่ะ

1. หากทำบุญโดยคิดว่า เราต้องการมีบุญสะสมนี่จะทำให้การทำบุญนั้นไม่ดีหรือเปล่าคะ เพราะหนูรู้สึกว่าเหมือนกับเราหวังผลจากการทำบุญค่ะ แต่ใจมันคิดเอง

2. บางครั้งที่นั่งสมาธิจิตของหนูอยู่กับตัวตลอด หนูนั่งจนรู้สึกว่าตากระพริบถี่เองเหมือนถูกบังคับให้ลืมค่ะ แล้วก็ลืมขึ้นมาเองไม่ทราบว่าเป็นอาการของอะไรคะ เป็นอย่างนี้มา 3 ครั้งแล้ว

3. การที่หนูทำผิดศีลข้อ 3 ทำให้หนูคิดว่า หนูไม่สามารถหายจากพฤติกรรมผิดปกติที่เป็นอยู่ได้สมบูรณ์ หนูตั้งใจว่าหนูกลับไปเมืองไทยในอีก 3 เดือนหน้า หนูจะเข้าวัดเพื่อปฎิบัติธรรมก่อนออกมาทำงาน และเลิกทำผิดกับคนคนนี้อีกในชาตินี้ กราบเรียนอาจารย์กรุณาช่วยแนะนำวัดด้วยค่ะ

4. หนูเคยฝันมา 2 ครั้งด้วยค่ะเมื่อไม่นานมานี้ ในฝันหนูเป็นอีกคนหนึ่งที่ไม่ใช่หนู และเป็นภรรยาน้อยของผู้ชายที่หนูเองก็ไม่รู้จัก ทั้งที่ตอนนี้หนูเองก็ยังเรียนอยู่ และผู้ชายที่หนูคบก็ยังไม่ได้แต่งงาน ไม่ทราบว่าเป็นเพราะอะไรคะ ทั้งที่หนูไม่เคยฝันว่าเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่หนูเลย

กราบขอบพระคุณอาจารย์ ดร.สนองค่ะ

คำตอบ

(๑). ผู้ใดพัฒนาความรู้ (ปัญญา) ด้วยการฟัง การอ่านและการวิจัย นอกจากปัญญาทางโลกจะเกิดขึ้นแล้ว ความเป็นตัวตนหรือความเห็นแก่ตัว (ego) ย่อมเกิดตามมาเป็นอัตโนมัติ ผู้นั้นย่อมทำบุญโดยหวังผลของบุญตอบกลับคืนมา ตรงกันข้าม ผู้ใดพัฒนาความรู้สูงสุดด้วยการปฏิบัติจิตตภาวนา เมื่อปัญญาเห็นถูกตามธรรมเกิดขึ้นแล้ว ความเป็นตัวตนย่อมหมดไป ผู้นั้นจะทำบุญโดยไม่หวังผลของบุญตอบกลับคืนมา

(๒). เป็นอาการของจิตที่ขาดสติ การนั่งบริกรรมเพื่อให้จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ ผู้นั่งภาวนาต้องมีจิตจดจ่ออยู่กับอิริยาบถที่เป็นปัจจุบันขณะ เช่น การเจริญอาปานสติ ต้องเอาจิตจดจ่ออยู่กับลมหายใจที่กำลังเข้าสู่ร่างกาย และจดจ่ออยู่กับลมที่กำลังปล่อยออกจากร่างกาย อย่างนี้จึงจะเรียกว่าปัจจุบันขณะ หากจิตเคลื่อน (ไม่จดจ่อ) ออกไปจากการบริกรรม แล้วไประลึกอยู่กับการกระพริบของเปลือกตา อย่างนี้เรียกว่าจิตขาดสติ

(๓). ปัญหาที่ถามไปจะแก้ไขได้ ต้องพิจารณาอสุภะ จนกระทั่งจิตเกิดปัญญาเห็นแจ้งในร่างกาย ว่าเป็นของปฏิกูลไม่งาม แล้วเกิดเป็นความเบื่อหน่ายในร่างกาย เห็นชัดแจ้งว่าในที่สุดร่างกายต้องแปรสภาพเป็นศพ ที่ขึ้นอืดเน่าพอง มีกลิ่นเหม็นเน่า เหม็นเขียว มีสีเขียวคล้ำ มีน้ำเหลือไหลออกทางปาก ทางจมูก ฯลฯ ผู้ใดพิจารณาอสุภะจนเห็นถูกตรง ตามความเป็นจริงเช่นนี้แล้ว ย่อมคลายความกำหนัดลงได้ แล้วจิตรังเกียจการร่วมประเวณี

สำนักปฏิบัติธรรม สุทธจิต ของภิกษุณีนันทญาณี อำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ เป็นสถานที่แนะนำให้ผู้ถามปัญหานำตัวเข้าปฏิบัติธรรมที่นั่น

(๔). เหตุที่จิตไม่ตั้งมั่นเป็นสมาธิ เพราะจิตขาดสติ ความฝันจึงเกิดขึ้น

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.ค. 2010, 02:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หนูขอรบกวนถามคำถามค่ะ หนูมีแฟนเป็นชาวอเมริกันค่ะ เค้ามีปัญหากับตัวเอง คือเค้ามีภาวะที่เรียกว่า depression ( ภาวะหดหู , ภาวะเศร้า , ภาวะกดดัน) เป็นภาวะที่คนอเมริกันเป็นกันเยอะ และยากจะเข้าใจสำหรับหนูค่ะ แต่เท่าที่คาดเดา น่าจะเกิดจากที่ว่าแฟนหนู เค้าเป็นลูกคนเดียว ขี้อาย ไม่มีเพื่อนและไม่มีความมั่นใจในตัวเองเลย จึงเป็นสาเหตุที่เค้าไม่กล้าที่จะมีปฏิสัมพันธ์กับคน เค้ามักที่จะโทษพ่อแม่ ที่ไม่ยอม ให้เค้าออกไปเที่ยวเล่นกับเพื่อนในสมัยยังเด็ก (สำหรับที่อเมริกาแล้วการปล่อยให้ เด็กอยู่ตามลำพัง เป็นเรื่องอันตรายมาก อีกทั้ง วัยรุ่นมีสิ่งยั่วยุมาก เลยทำให้แม่เค้าเข้มงวด) เลยทำให้เค้าไม่ได้เรียนรู้จะปฏิสัมพันธ์กับคน โดยเฉพาะเพื่อนร่วมงาน เค้ามักคิดว่าตัวเองเป็นส่วนเกิน ทุกครั้งที่มีอาการ จะใช้วาจาไม่สุภาพ หงุดหงิด (ส่วนใหญ่เกิด แล้วมาลงอารมณ์ที่หนู และหาว่าหนูคือต้นเหตุ) ดูถูกตัวเอง ปฏิเสธทุกอย่างที่มีและที่เป็น สร้างความทุกข์ใจ ให้ครอบครัวของ เค้ามาก หนูอยากช่วยเค้าค่ะ สงสารตัวเค้าและพ่อแม่เค้ามาก หนูเคยเปิดวิธีการทำสมาธิที่ทางเว็บไซท์ กัลยาณธรรมมีให้เค้าฟัง ดูเหมือนเค้าชอบค่ะ แต่ไม่เห็นทำตามเลย ครั้นจะอธิบายเองก็เหมือนความรู้ที่มีจะน้อยนิด และไม่รู้จะอธิบายให้ฝรั่งเค้าฟังยังไงดี เพราะเค้าเองไม่ได้นับถือศาสนาพุทธ หนูไม่ได้อยากให้เค้าจำเป็น ต้องเปลี่ยนศาสนา เพียงแค่อยากให้เค้าไม่ต้องมี ภาวะจิตตกหรือจิตอ่อนแอ ซึ่งตัวเค้าเองก็ทุกข์ แล้วเค้าเองก็หาทางออกไม่ได้ ครั้นเราจะทำให้ดูก็ ไม่รู้จะทำอย่างไร ให้เกิดศรัทธาได้ แต่ใช้เมตตา และขันติ ซึ่งบางคร้ังการที่ หนูเงียบ และไม่โต้ตอบกลับ ทำให้เค้ารู้สึกผิดที่ลงอารมณ์ไม่ดีกับหนูเลย ทำให้ตัวเค้าเอง depress หนักเข้าไปอีก


คำถามคือ

1. สำหรับผู้ที่ไม่มีความมั่นใจในตัวเอง เราควรให้กำลังใจ และสร้างความมั่นใจให้กับตัวเองอย่างไร

2. สำหรับผู้ที่ไม่มีความมั่นใจในตัวเองแบบนี้ ครอบครัวควรแนะนำและให้ กำลังใจเค้าอย่างไรดี

3. สำหรับผู้ที่มีภาวะ Depression ( ซึ่งหนูเข้าใจว่าน่าจะเป็นกันเยอะทั่วโลก) เรา ควรจะแนะนำและให้กำลังใจ อย่างไรดี

4. สำหรับคนที่อยู่ด้วย อย่างหนูหรือครอบครัวของ ผู้ที่มีภาวะอย่างนี้ ควร ปฎิบัติตัวอย่างไรดี

รบกวนท่านอาจารย์ช่วยให้ คำแนะนำด้วยค่ะ

สุดท้ายนี้ ขอกราบขอขมา ท่านอาจารย์ ที่ก่อนหน้านี้ เคยฟังธรรมจากพระอาจารย์บางรูปผ่านทางเว็ปไซท์ YouTube แล้วมีคลิปของอาจารย์ปรากฏขึ้นมาในใจ นึกปรามาสว่า " ตาลุงคนนี้แกจะสอนดีกว่าพระสงฆ์ได้อย่างไร " แต่พอหลังจากที่ได้ฟังธรรมะของท่านอาจารย์แล้ว เกิดอาการสิโรราบและเกิดความเลื่อมใสอย่างมาก ตอนนี้พยายาม เอาศีลมาคุมใจและฝึกระลึกรู้ อยู่กับปัจจุบันเท่าที่จะทำได้ค่ะ

ขอกราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ รวมถึงคณะผู้จัดทำเว็ปไซท์ และขอ อนุโมทนาบุญกับทุกๆท่าน

ขอบุญกุศลที่ท่านสร้างไว้ อำนวยความเจริญให้ท่านทั้งหลายทั้งทางโลก และทางธรรมค่ะ

คำตอบ

(๑). ในทางโลก เช่นที่ประเทศอังกฤษ เขาใช้วิธีทำตัวให้เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น เช่น ทาสีบ้านให้คนชราที่ช่วยตัวเองไม่ได้ บริจาคโลหิตให้คนอื่น ชวนเล่นกีฬาถนัดเพื่อเรียนรู้และเข้าไปมีส่วนร่วม ( sport is not to win but to participate and to educate) ฯลฯ ฉะนั้น ทำไมไม่ลองใช้วิธีการเช่นนี้ดูบ้างล่ะ

(๒). แนะนำตามข้อ (๑) และหากให้มีความมั่นใจในตัวเองมากขึ้น ชาวพุทธนิยมทำใจให้มีศีล ๕ ข้อ คุมอยู่ทุกขณะตื่น แล้วพัฒนาจิตให้มีสติกล้าแข็ง ตามวิธีที่เหมาะกับจริต อาทิ ผู้มีราคจริต นิยมพิจารณาอสุภะ ผู้มีโทสจริตนิยมเจริญเมตตา ด้วยการให้อภัยในทุกสิ่งที่เป็นเหตุขัดใจ ผู้มีวิตกจริตนิยมเจริญอานาปานสติ ฯลฯ

(๓). ผู้รู้ไม่จริง ไม่ไปแก้ปัญหาที่ผู้อื่น เพราะเมื่อใดที่เขายังไม่ศรัทธา เขาย่อมไม่ประพฤติตาม ตรงกันข้าม ผู้รู้จริงแก้ปัญหาที่ตัวเอง ฉะนั้น พึงทำตัวเองให้มีพฤติกรรมดีงาม จนกระทั่งเขาศรัทธาเมื่อใด ค่อยชี้แนะวิธีการให้เขาทำ เพราะเขาจะทำด้วยใจศรัทธา แล้วผลย่อมเกิดได้ง่าย

(๔). ควรพัฒนาจิตตนเองให้มีคุณธรรม คุมใจอยู่ทุกขณะตื่น ด้วยการประพฤติจริยธรรมที่เกี่ยวข้อง อาทิ จริยธรรมลูกของพ่อแม่ จริยธรรมภรรยา/สามี จริยธรรมพลเมืองของชาติ ฯลฯ และจะดียิ่งขึ้น หากสามารถดับอัตตา คือดับความเห็นแก่ตัวลงได้ ด้วยการพัฒนาจิตให้เกิดปัญญาเห็นแจ้ง แล้วใช้ปัญญาเห็นแจ้งไปดับขันธ์ ๕ (รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) ตามกฎไตรลักษณ์

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.ค. 2010, 02:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หนูสนใจเรื่องความตาย เลยเปิดดูบังเอิญเจอวีดีโออาจารย์เรื่องชีวิตหลังความตาย จากนั้นหนูฟังคลิปของอาจารย์มาได้ 20 เรื่องฟังแล้วฟังอีกหลายรอบทุกวันได้ ซึ้งรสพระธรรมมากค่ะ รู้สึกว่าอาจารย์เทศน์ได้ไพเราะและถูกจริตกับหนูมาก ไม่คิดว่าเป็นความบังเอิญที่ได้ฟังอาจารย์เลยค่ะ เป็นบุญของหนูที่ได้พบฟังอาจารย์จริงๆ แม้จะไกลบ้านมาจบโทและทํางานต่อ บ.ที่อเมริกามา 10 ปีแล้ว ตอนนี้หนูอายุ 31 ค่ะ

1 ปีที่ผ่านมาเริ่มปฏิบัติธรรมตามพระพุทธะ แล้วชีวิตหนูดีขึันมาก อาจารย์เป็นกําลังใจและแรงบันดาลใจให้หนูได้มาทางธรรมอีกครั้ง หลังจากทั้งชีวิตหนูผิดศีลตลอดแต่จริตชอบฟังธรรม ชอบสวดมนต์ ชอบเข้าวัด ฟังพระเทศน์ ชอบทําบุญทําทานมาก มาตอนนี้หนูหมั่นรักษาศีล 5 ทําทานตลอด ทําความดีทุกวัน เริ่มฝึกสมาธิ สวดมนต์ทุกวัน จนวันที่มีบรรยายธรรมที่ตรอกข้าวสารวันสงกรานต์หนูบินกลับไปบ้านและตั้งใจ มาก บอกพ่อแม่พี่ให้ไปกับหนู บินถึงวันจันทร์พอดีจะไปพบอาจารย์ให้ได้ แต่บินไปถึงก็ไม่ได้ไปเพราะเขายิงกัน ขอให้หนูมีบุญได้กราบเท้าอาจารย์จริงๆวันหนึ่งนะคะ

ขอถามอาจารย์ค่ะ

1. หนูเริ่มฝึกสมาธิที่บ้าน ทําครั้งที่ 4 หนูคิดคําบริกรรมเอง (กายดับ / จิตนิ่ง) 15 นาทีได้จนคําบริกรรมหยุดเองอัตโนมัติ ไม่ได้ยินเสียง ไม่รู้สึกทางกาย ได้ประมาณ 5 นาที รู้เลยว่าจิตนิ่งมาก แต่แล้วหนูเริ่มงงว่าเอ๊ะไงต่อดี หนูยังคิดถึงอาจารย์และอาจารย์เณรคําเลยค่ะให้คุ้มครองหนู เพราะหนูไม่มีครูสอน จึงเกิดความกลัว มันก็สุขสักพักหนูก็ออกจากสมาธิค่ะ การที่ฝึกเองอย่างนี้จะอันตรายไม๊ค่ะ แล้วหนูทําไงต่อดี เพราะหนูอยู่บ้านคนเดียวค่ะ เลยกลัวว่าเป็นอะไรไปจะไม่มีใครรู้เลย ลองค้นแล้วเป็นเพราะหนูขาดสติแล้วต้องทําอย่างไรจึงทําสติมั่นคงเพื่อสมาธิ ได้คะ / หนูอยู่เมือง Lake Elsinore, California ค่ะ

2. ตอนอายุ 14 หนูไม่รู้จักการเข้าฌานอะไรเลย แต่มีอยู่ครั้งโกธรพี่ชายมากหนูเลยหลับตาพุทโธ เพียงเพื่อระงับความโกธรแต่แล้ว 10 นาทีผ่านไปหนูจิตสงบไม่ได้ยินเสียงใครเลย จิตสุขมาก หนูคิดย้อนกลับไปพิศวงกับตัวเองว่า เราเข้าสมาธิได้เร็วมากทั้งที่ไม่รู้จักเรื่องพวกนี้เลยเมื่อตอนยังเด็ก อยากเรียนถามอาจารย์ว่า ชาติก่อนหนูเคยทําหรือไม่และชาตินี้หนูจะเข้าถึงฌานขั้นสูงได้ไหมค่ะ หนูปราถนาโสดาบันค่ะ

3. หนูเป็นโรคกะเพาะปัสสาวะอักเสบเป็นประจําเดือนละ 2-3 ครั้ง เป็นมา 6 ปีแล้ว หนูค้นคว้าหาทางป้องกันทุกวิถีทางตลอดจนดื่มนํ้าแครนเบอรี่ และ เบื่อทานยาปฏิชีวนะอย่างแรงแล้ว หนูเริ่มทําบุญให้เจ้ากรรนายเวรมาตลอด ก็ไม่แน่ใจว่าเกี่ยวไหม อยากขอคําชี้แนะจากอาจารย์ค่ะว่ามีทางอี่นอีกไหม

สุดท้ายนี้หนูสัญญาจะทําความเพียรในทางธรรม หมั่นทําความดี ถือศีล 5 และจะตามไปฟังบรรยายธรรมของอาจารย์อีกในภพสุขภูมิภายภาคหน้่านะคะ

กราบเท้าอาจารย์ค่ะ

คำตอบ

(๑). ฝึกสมาธิอยู่ที่บ้าน แล้วจิตเป็นสมาธิแน่วแน่ จนกระทั่งไม่ได้ยินเสียง ไม่มีความรู้สึกทางกาย นั่นแสดงว่าจิตได้เข้าถึงสมาธิสูงสุด หรือเรียกว่าเป็นสมาธิระดับฌาน ซึ่งมีผลทำให้เกิดความสุขที่ละเอียดประณีต (ฌานสุข) สมาธิระดับนี้ไม่สามารถนำมาใช้ฝึกจิตให้เกิดปัญญาเห็นแจ้งได้ ส่วนเรื่องการนำจิตออกจากฌาน แล้วเกิดเป็นความกลัว ถือเป็นเรื่องปกติของคนไม่รู้จริง

วิธีแก้ปัญหาความหลงและความกลัว ต้องถอยจิตให้ออกมาตั้งมั่นเป็นสมาธิจวนแน่วแน่ (อุปจารสมาธิ) จิตจึงจะรับสิ่งกระทบที่อยู่รอบตัวได้ เมื่อใดปรากฏส่วนของร่างกายเกิดขึ้นในจิต ให้ใช้จิตตามดูร่างกาย ว่าดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์ (อนิจจัง-ทุกขัง-อนัตตา) เมื่อใดที่จิตเห็นกายเป็นอนัตตา (ไม่มีตัวตนแท้จริง) จิตจะปล่อยวางร่างกาย จิตเป็นอิสระจากร่างกาย ปัญญาเห็นแจ้งในกายจึงเกิดขึ้น

หากเวทนา (สุข,ทุกข์,ไม่สุขไม่ทุกข์) ปรากฏขึ้นกับจิต ต้องใช้จิตตามดูเวทนา จนเห็นว่าเวทนาเป็นสิ่งที่ไม่ใช่ตัวตนแท้จริง ปัญญาเห็นแจ้งในเวทนาจึงเกิดขึ้น

เช่นเดียวกัน หากจิตที่รับสิ่งกระทบเข้าปรุงอารมณ์ดับไป (อนัตตา) ปัญญาเห็นแจ้งในจิตย่อมเกิดขึ้น และสุดท้ายหากธรรมที่เข้ากระทบจิตดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์ ปัญญาเห็นแจ้งในธรรมย่อมเกิดขึ้น การพิจารณา กาย เวทนา จิต ธรรม ตามกฎไตรลักษณ์ เรียกว่า พิจารณาสติปัฏฐาน ๔ ซึ่งเป็นหนทางทำให้จิตเกิดปัญญาเห็นแจ้ง ซึ่งอริยบุคคลทุกคนต้องมีปฏิปทาตามแนวทางนี้

(๒). จิตเข้าถึงความตั้งมั่นระดับฌานได้ ตั้งแต่มีอายุได้ ๑๔ ปี นั่นเป็นเพราะของเก่าแต่อดีตชาติ ผลักดันให้เป็นเช่นนั้น

อนึ่ง ผู้ใดปรารถนาความเป็นโสดาบัน ต้องพัฒนาจิต (วิปัสสนาภาวนา) ให้เกิดปัญญาเห็นแจ้ง แล้วใช้ปัญญาเห็นแจ้งดับ สังโยชน์ ๓ (สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส) ให้หมดไปจากใจได้เมื่อใด อริยบุคคลขั้นโสดาบันจึงจะเกิดขึ้นได้ และเป็นสิ่งที่ไม่ยากสำหรับผู้ถามปัญหา หากประพฤติเหตุปัจจัยให้ถูกตรงได้แล้ว ผลย่อมปรากฏแน่นอน

(๓). ความอาพาธใดที่หาเหตุแท้จริงไม่พบ ผลของการบำบัดรักษาย่อมไม่สัมฤทธิ์ ผู้ใดเชื่อในกฎแห่งกรรม แล้วทำเหตุให้ถูกตรง โอกาสหายจากอาหารย่อมเป็นได้

ผู้รู้ในพุทธศาสนารู้ว่า การออกกำลังไม่สม่ำเสมอ มีความเพียรมากแต่พักผ่อนน้อย ฤดูกาลเปลี่ยน และการทำกรรมเบียดเบียน เหล่านี้เป็นเหตุให้อาพาธเกิดขึ้น ดังนั้นเมื่อไปหาหมอแล้วยังบำบัดรักษาไม่เกิดผล แสดงว่า มิได้ดับที่ต้นเหตุแท้จริง ผู้ที่เข้าถึงต้นเหตุแท้จริงได้แล้ว ดับต้นเหตุได้ ความอาพาธย่อมหมดไป

ในกรณีของความอาพาธที่เกิดจาก การทำเหตุเบียดเบียนไว้ก่อน ต้องแก้ปัญหาด้วยการดับเหตุให้ถูกตรงดังนี้

๑. ยอมรับความจริง แล้วชดใช้หนี้เวรกรรมไปจนกว่าจะหมดสิ้น

๒. ทำบุญใหญ่ แล้วอุทิศบุญใช้หนี้เจ้ากรรมนายเวร ซึ่งจะทำให้หนี้เวรกรรมหมดไปได้เร็ว

๓. หนี้เวรกรรมที่ยังตามให้ผลไม่ทัน ต้องทำดีให้ยิ่งใหญ่ ให้บุญส่งผลจนบาปตามไม่ทัน

๔. หนีเข้านิพพาน หนี้เวรกรรมที่เหลือเป็นอันยกเลิก (อโหสิ)

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.ค. 2010, 02:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมได้บังเอิญพบไฟล์เสียงธรรมะของอาจารย์ในเนต และค้นหาฟังต่อในเรื่องอื่นๆ
รู้สึกปลาบปลื้มในคำสอนเทศนาของอาจารย์มากๆ จนผมต้องนอนฟังก่อนนอนแทบทุกๆคืน
ยิ่งได้ฟังอาจารย์กล่าวว่าชาตินี้คือร่างมนุษย์สุดท้ายของท่านแล้ว
( หากผมฟังไม่ผิดเพี้ยนนะครับ กราบขออภัยในความไม่แน่นอน)
ผมยิ่งโมทนาสาธุและยิ่งต้องตักตวงความรู้และคำสอนของอาจารย์ให้มากๆ

ผมเป็นทันตแพทย์ซึ่งระหว่างที่ผมทำฟันให้คนไข้
ผมมักจะอธิบายความรู้ทันตสุขภาพในเชิงธรรมะแก่คนไข้
ผมไม่ชอบนั่งนิ่งๆทำงานคนเดียวหรือคุยกับผู้ช่วยข้ามศีรษะคนไข้มากนัก
คำสอนบางครั้งเมื่อผมกล่าวออกไป ผมรู้สึกตัวหวิวและตื้นตันมากๆ
อย่างเช่นคนไข้ส่วนมากชอบที่จะแปรงฟันเร็วเพื่อหวังแค่กลิ่นยาสีฟัน
และเขาก็บ้วนปากภายในเวลานาทีเดียว เขาไม่ได้นึกถึงสาระของการที่ต้องแปรงฟัน
เขาติดในสารปรุงแต่งที่บริษัทได้ใส่ไว้ ซึ่งการแปรงฟันที่ไวเกิน
นอกจากคราบอาหารยังตกค้างแล้ว กลิ่นของยาสีฟัน
จะถูกคราบอาหารกลบและก็ส่งกลิ่นไม่พึงประสงค์ออกมาได้อีก
เขาไม่ได้กำจัดสาเหตุที่ทำให้มีกลิ่นตกค้าง เขาหวังแต่สิ่งที่มาปรุงแต่ง
เพื่อให้ดูดี เขาไม่ได้กำหนดตำแหน่งแปรง เขาวางตำแหน่งขนแปรงไม่ถูกต้อง
เขาไม่รู้ว่าส่วนที่อาหารชอบติดค้างคือบริเวณไหน
เขาแปรงแบบนี้ ก็เสมือนไม่ได้แปรง...เพราะคราบอาหารตกค้าง
และนานวันจะกลายเป็นคราบที่แข็งยากต่อการแปรงออกด้วยตัวเองจนเกิดโรค
นี่คือเหตุผลที่ทำไมคนทั่วไปต้องวนเวียนมาขูดหินปูนและอุดฟันไม่จบสิ้น
ผมได้อธิบายให้คนไข้ฟังว่าทำไมคนบางคน 2 ปี มาตรวจฟันที
คนบางคนตรวจฟันปีละครั้ง บางคนทุก 6 เดือน บางคนต้องมาทุก 3 เดือน
และบางคนไม่ต้องมาทำอีกเลย...คนเหล่านี้ต่างกันที่ปฏิบัติ
วิธีการต่างผลลัพธ์ย่อมแตกต่าง...หากเราอยากหลุดพ้นจากเรื่องตรงนี้
เราต้องเข้าใจสภาวะโรค กลไกการเกิดโรค การทำให้ไม่เกิดโรคและแนวทางปฏิบัติ
เรายังทำตัวแบบเดิมๆ เราจะต้องวนเวียนมาทำฟันแบบนี้ไม่จบสิ้น...
หากเขารู้วิธีการป้องกันและสามารถทำได้ด้วยตนเอง เขาก็จะรอดและหลุดพ้นจากเรื่องโรคฟันไป
ผมเปรียบเทียบการวนเวียนมารักษาของคนไข้ เหมือนการเวียนว่ายตายเกิดเลยครับ
แต่ผมนึกในใจนะครับ ไม่ได้พูดออกไปโดยตรง...

มีการเปรียบเทียบอีกมากในลักษณะแบบนี้ ผมชอบพูด
และจะรู้สึกเหมือนจะปิ๊งๆอะไรในความคิดตัวเบา
ผมอยากเรียนถามอาจารย์ว่า...

1. หากผมพูดลักษณะนี้กับพระที่มาทำฟัน ผมจะบาปไหมครับ
เหมือนผมเจตนาสอนให้ท่านทราบด้วยนะครับ
ผสมกันทั้งในแง่ของความรู้ฟันที่แฝงธรรมะเป็นนัยๆ ผมกลัวบาปที่เสมือนจะสอนพระนะครับ

2. พระบางรูปที่มาทำฟัน ผมดูอาการของท่านน่าเลื่อมใส งานบางงานยากและต้องมีความเจ็บปวด แต่ท่านเหมือนมีอาการที่ปราศจากความกังวลดังกล่าว แต่บางท่านก็ดิ้นและร้องจนผมต้องปลอบ อาการดังกล่าวแตกต่างกันเพราะเหตุใดครับ

3. ผมมักจะเป็นคนมือหนักหมายถึงไม่ได้ยกมือไหว้พระเมื่อมาทำฟัน
( ยกเว้นพระสุปัฏฏิปันโน ที่ผมมองจากอาการภายนอกในระหว่างทำฟัน เพราะท่านดูสำรวม)
และรวมถึงกรณีอื่นๆเช่นเดินสวนกันบนถนนหรือในวัด ผมใคร่ถามว่า จะเป็นบาปไหมครับ
ที่ผมเลือกที่จะยกมือไหว้หรือเลือกที่จะทำบุญกับพระที่ผมคิดเองว่าท่านดีจาก การปฏิสัมพันธ์ด้วย

กราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูงครับ
ป.ล.ผมจบจากเชียงใหม่ และผมมั่นใจว่าผมอาจจะเป็นลูกศิษฐ์อาจารย์แน่ๆเลยครับ
ตอนที่ผมไปเรียนในฝั่งสวนดอกคณะแพทย์ ที่อาจารย์มักสอดแทรกเรื่องธรรมะในบทเรียน
จนผมรู้สึกว่าครูที่แท้จริง ต้องเป็นแบบนี้ครับ

คำตอบ

ฟังถูกแล้วจงฟังต่อไป แล้วความดีงามก็จะเกิดขึ้นกับผู้ฟัง การไม่พูดคุยข้ามหัวคนไข้ เป็นคุณธรรมที่หมอมีอยู่ .... สาธุ การสอนคนไข้ให้เข้าใจถึงประโยชน์ของการแปรงฟันที่ถูกต้อง แปรงฟันนานๆ เป็นความเมตตาของหมอ .... สาธุ และสาธุอีกครั้งที่ผู้ตอบปัญหา ได้ประโยชน์จากความรู้ที่หมอนำมาบอกกล่าวอีกด้วย

(๑). หมอมีเจตนาที่ดี ไม่ถือเป็นบาปครับ นอกจากนี้ยังได้บุญอีกด้วย

(๒). เหตุเพราะนักบวชบางรูปมีจิตขาดสติ จึงเอาจิตไปรับสิ่งกระทบไม่ดี มาปรุงให้เป็นอารมณ์ปวด ตรงกันข้ามนักบวชบางรูปมีกำลังของสติกล้าแข็ง ไม่เอาจิตไปรับสิ่งกระทบที่ไม่ดีมาปรุงอารมณ์ อาการปวดจึงไม่เกิดขึ้น สรุปแล้วนักบวชก็เป็นครูสอนใจให้หมอได้ เรียนรู้จากการทำงานรักษาคนไข้ด้วย

(๓). การอ่อนน้อมถ่อมตนเป็นหนึ่งในบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ ถือว่าเป็นคุณธรรมที่ผู้ใดประพฤติได้แล้ว บุญย่อมเกิดสั่งสมขึ้นในจิต ฉะนั้นผู้ใดมีสติ ทำตัวเป็นคนมือเบา ยกมือไหว้ผู้มีพระคุณ (คนไข้) จึงเป็นการทำบุญที่ไม่ต้องลงทุนมากนัก

อนึ่งการเดินสวนทางกับพระสงฆ์บนถนน หรือเดินสวนทางในวัดแล้วไม่ยกมือไหว้ ไม่ถือว่าเป็นบาป

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.ค. 2010, 02:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1. ช่วงหนึ่งหนูมีจิตใจที่สงบมาก หนูพยายามมีสติในการดำรงชีวิต ว่างหนูก็จะกำหนดลมหายใจเข้าออก ไม่ฟังเพลงเลยเพราะรู้สึกว่าฟังแล้วมันไม่เพราะเหมือนแต่ก่อน ทุกครั้งที่ทำอะไรอยู่เช่น ขับรถ นอน แปรงฟัน อาบน้ำ พับผ้า หนูจะฟังซีดีธรรมะตลอด หนูพยายามไม่ใจลอยมีสติ เผลอคิด โกรธ หลงของสวยงาม พยายามอย่างมีสติก็รู่สึกว่าเครียดกันกิเลสต่างๆที่ผ่านเข้ามา กลายเป็นหงุดหงิดห้ามใจตัวเอง แต่ทราบนะคะว่าหงุดหงิด บางครั้งก็อยากจะหนีไปปฏิบัตินั่งสมาธิ แต่หนูมีลูกต้องคอยดูแลไม่สามารถทำได้ อาจารย์มี่ที่แนะนำในกรุงเทพไหมคะ แบบเช้าเย็นกลับนะคะ

2. บางครั้งหนุรู้สึกเศร้ากับตัวเองว่า กำลังทำอะไรอยู่ ไม่เป็นประโยชน์เลย ไม่อยากเกิดต่อไปชาติหน้า เพราะหนูไปอ่านหนังสือธรรมะ อยุ่เล่มหนึงมีจารึกของพระพูทธเจ้าสมัยโบราณว่า ต่อไปโลกนี้พุทธศาสนาจะเสื่อมหาย รวมถึงจิตใจคนด้วย โลกจะวินาศ หนูทราบว่าเกิดมาต้องมาทนทรมานอีก มันไม่ใช่ความสุขที่แท้จริง เหมือนช๊วิตมันไม่ม่ความสุขเหมือนแต่ก่อนที่คิดว่า แต่งงานมีครอบครัว มีเงิน ใช้จ่ายอย่างสบาย เหมือนคิดฟุ้งซ่านมากคะ

3. หนูเป็นคนรักสวยรักงามมากและหนูก็ทราบว่าสังขารหรือความสวยนี้มันไม่ยั่งยืน หนูเคยอ่านคำถามและคำตอบที่อาจารย์ตอบไปแล้วแต่หนูก็ยังไม่ปลงหนูควรจะทำ อย่างไรดี ที่ปลงได้บ้างไม่ได้บ้างอาจเป็นไปตามอายุอาจารย์มีวิธีไหนพอจะช่วยเหลือได้ บ้างคะ

4. หนูมีลูกหนึ่งคนเป็นแม่บ้านเลี้ยงลูก พอส่งลูกไปโรงเรียนหนูก็นะสวดมนต์ทุกวัน พอเสาร์หรืออาทิตย์ถ้ามีเวลาหนูก็จะสวดเหมือนทุกครั้ง มีอยุ่วันหนึ่งหนูสวดอยู่ คุณย่าเดินเข้ามาในห้องพระบอกว่าไม่ต้องสวดแล้วลูกอยู่ไปสวดวันอื่น หนูก็เลิกสวดกลางคัน หนูก็เลยสวดในห้องนอนบ้าง ในห้องน้ำบ้าง แล้วหนูก็เผลอพูดออกไปว่าหนูสวดมนต์ในห้อง หนูเห็นหน้าคุณย่าเหมือนท่านอิจฉาหนูว่าหนูทำได้ดีกว่าท่าน หนูก็เริ่มคิดไม่ดีกับคุณย่าว่า คุณย่าท่านเป็นคนนั่งสมาธิ ท่านเล่าว่าท่านนั่งจนเห็นดวงแก้ว มันมีความสุขมาก สุขจนไม่สามารถหาอะไรมาเปรียบ แต่ท่านก็ไม่ได้นั่งนานแล้ว หนูเคยฟังซีดีธรรมะว่า การได้นั่งสมาธิแล้วถึงสมาธิที่เรียกว่าขณิกสมาธิจะได้บุญยิ่งกว่าการทำบุญ ด้วยเงินทอง หนูไปบอกท่านให้นั่งเพราะหนูคิดว่าท่านสามารถนั่งได้เพราะท่านเคยฝึก หนูสิอยากนั่งแต่จะหลับบ้าง ยุงกัดบางนั่งไมถึงเสียที่ ท่านบอกว่าท่านแก่แล้วท่านจะมานั่งใหม่(ท่านอายุ 61 ปี) หนูก็เลยไม่กล้าบอกท่าน แต่พอหนูจะไปปฎิบัติธรรม สวดมนต์เหมือนท่านจะไม่พอใจแต่ไม่กล้าพูดแสดง หนูคิแบบไม่ดีหรือเปล่าคะ หนูจะบาปหรือเปล่าคะที่หนูคิดไม่ดี ทุกวันนี้หนูสวดมนต์แล้วอธิฐานว่าขอให้หนูมีสติและปัญญา และไปตามกฎไตรลักษ์ ทางธรรมและทางโลก ขอให้ไปทางธรรมมากกว่าทางโลก และ คิดดี ทำดี พูดดี สาธุ

5. หนูมีอีกข้อคะ เวลาหนูเจอใครบางคั้งเขามีกลิ่นปากหรือตัว หนูก็จะคิดในใจไม่ดีกับเขา หรือเขาพูดอะไรที่หนูไม่เห็นด้วยในใจหนูก็จะว่าเขาหรือติเขาในใจ หนูเป็นคนพูดตรง บางครั้งก็พูดออกมาเลยโดยไม่คิด แล้วหนูก็เป็นทุกข์อยู่คนเดียวว่าเขาจะโกรธเราหรือหนูอยากจะบาปไหมหนูรู้ว่า มันบาปแล้วเพราะมันทุกข์อยู่ในใจหนูแต่ คนส่วนมากที่หนูรู้จักเขาจะทราบว่าหนูเป็นคนตรงมาก มีอะไรก็จะถามหนู ทั่งที่หนู้บางครั้งไม่อยากพูด ถามจนต้องพูดออกมา

ขอบกวนอาจารย์เท่านี้นะคะ

ขอบคุณเป็นอย่างสูงคะ

คำตอบ

(๑). เพราะจิตมีกำลังของสติอ่อน จึงไปรับเอากิเลสเข้าปรุงอารมณ์ ทำให้เครียดได้ แนะนำให้ไปปฏิบัติธรรม แบบเช้าไป-เย็นกลับ ที่คณะ ๕ วัดมหาธาตุฯ ท่าพระจันทร์

(๒). ปัญหาที่บอกเล่าไป ด้วยเอาใจจดจ่ออยู่กับการสวดมนต์ก่อนนอน หลังสวดมนต์เจริญอานาปานสติไปเรื่อยๆจนนอนหลับไป แล้วความสุขก็จะเกิดขึ้น

(๓). วิธีแก้ราคจริตที่ง่ายที่สุด ให้เอารูปถ่ายภาพศพคนตายในลักษณะต่างๆ มาดูบ่อยๆ หรือหากมีโอกาสผ่านไปทางจังหวัดลพบุรี ให้ไปดูซากศพ ( Life Museum ) ที่วัดพระบาทน้ำพุ ยากขึ้นไปอีกให้ไปดูซากศพที่อยู่ในโรงพยาบาล และยากที่สุดหากนำตัวเข้าเป็นสัปเหร่อจัดงานศพ

(๔). ขณะใดที่บาปให้ผล จะแสดงออกเป็นความไม่สบายใจไม่สบายกาย ฉะนั้นการไปรับเอาสิ่งกระทบไม่ดีที่อยู่รอบตัว เข้ามาปรุงอารมณ์ให้เกิดขึ้นกับจิต บาปย่อมเกิดขึ้น ตรงกันข้ามผู้ใดเห็นว่า สิ่งกระทบรอบข้างล้วนต่างดำเนินไปทางกฎไตรลักษณ์ เมื่อสิ่งกระทบเข้าสู่อนัตตา สิ่งกระทบไม่มีอยู่จริง จิตจะปล่อยวางสิ่งกระทบ แล้วจิตว่างจากอารมณ์ปรุงแต่ง ความสงบสุขก็จะเกิดขึ้น การจะเป็นเช่นนี้ได้ บุคคลต้องพัฒนาจิต (สมถภาวนา) ให้มีกำลังของสติกล้าแข็ง และพัฒนาจิต (วิปัสสนาภาวนา) ให้มีกำลังปัญญาเห็นแจ้งเกิดขึ้น

(๕). ใครผู้ใดชอบเอาเรื่องของคนอื่นมาเป็นของตัว อารมณ์ขุ่นมัวย่อมเกิดขึ้น อนึ่งการเป็นคนตรง คือมีความจริงกาย จริงวาจา จริงใจ เป็นเรื่องดี แต่การคิดไม่ดี พูดไม่ดี ทำไม่ดี เป็นเรื่องของจิตที่ยังมีความชั่วสั่งสม เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับคนที่ไม่มีธรรมะคุ้มครองใจ เป็นเรื่องที่คนชั่วยังประพฤติอยู่ .... ขออภัย

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.ค. 2010, 02:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดิฉัน อาชีพรับราชการ

ทำงานเกี่ยวกับบัญชี ปฎิบัติธรรมมาได้ประมาณเกือบ 5 ปีแล้ว

ปฎิบัติธรรมสายพองหนอ-ยุบหนอของหลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม ช่วงนี้นิวรณ์ 5

เข้าครอบงำตลอด ส่วนใหญ่จะง่วง และเพลียแต่ก็ปฏิบัติ เดินจงกรม

แล้วนั่งสมาธิ ช่วงปีแรก ๆ 2 ชม. ตอนนี้ลดลงเหลือ 1 ชม.

เพราะนิวรณ์เข้าครอบงำมาก ๆ ทำให้จิตอ่อนกำลังลง รู้ตัวดีค่ะ

และในชีวิตประจำวันก็จะพยายามฝึกเจริญสติปัฎฐานสี่ ได้บ้างไม่ได้บ้าง

การเห็นตนเอง(วิชาเห็นหนอ) นี้ยากมาก ๆ ค่ะในชีวิตนี้ ขอถามอาจารย์ว่า

ทำอย่างไรจิตใจถึงจะเข้มแข็งขึ้น

เพราะบางทีมีสิ่งมากระทบจิตจะรับรู้ไวมาก บางทีก็ปล่อยวางไม่ได้

และดิฉันทำกรรมอะไรไว้จึงต้องสงเคราะห์พี่ ๆ และหลาน ๆ ทั้ง ๆ

ที่เป็นลูกคนสุดท้อง บางครั้งก็ท้อใจ บางครั้งก็ทำใจได้

ชีวิตติดลบมากเรื่องเงิน อยากทราบว่าจะฟื้นตัวเร็วหรือไม่อย่างไร

ขอกราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ที่มีเมตตาเป็นอย่างสูง

ด้วยความเคารพอย่างสูง


คำตอบ

ตราบใดที่นิวรณ์ ๕ (กามฉันท์ พยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจกุกกุจจะ วิจิกิจฉา) ยังมีอำนาจเหนือใจ บุคคลไม่สามารถพัฒนาจิตให้เข้าถึงความจริงแท้ในสติปัฏฐาน ๔ ได้ ฉะนั้นหากผู้ถามปัญหาประสงค์เข้าถึงปัญญาในสติปัฏฐาน ๔ ต้องรักษาใจให้มีศีล ไม่ขาด ไม่ทะลุ ไม่ด่าง ไม่พร้อย ได้แล้ว โอกาสเข้าถึงปัญญาเห็นถูกตามธรรม จึงจะเกิดขึ้นได้

ผู้ใดสงเคราะห์ผู้อื่นแล้วเกิดความท้อแท้ขึ้นกับใจ ผู้นั้นยังเห็นผิด ยังมีอัตตาค้ำอยู่ในใจ เรียกให้ชัดว่า ยังมีความเห็นแก่ตัว .... ขออภัยพูดตรงความจริง วิธีแก้ไขทำได้สองทาง คือ กลบฝังอัตตาด้วยการประพฤติจริยธรรมที่เกี่ยวข้อง หรือในทางที่สอง พัฒนาจิตให้เกิดปัญญาเห็นแจ้ง แล้วใช้ปัญญาเห็นแจ้งดับอัตตา ด้วยการพิจารณาขันธ์ ๕ ตามกฎไตรลักษณ์

(งง หากยังเข้าไม่ถึงธรรม ไม่งง หากจิตเกิดปัญญาเห็นแจ้งได้แล้ว)

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.ค. 2010, 02:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมมีพระพุทธรูปวางบูชาบนชั้น ก่อนนอนผมจะสวดมนต์ทุกๆคืน
แต่ด้วยผมสวดค่อนข้างยาวเพราะวางแผนจะสวดบทอื่นๆต่อไปเช่น
คิริมานนทสูตร , โพชฌังคปริตร ผมชอบท่องบทสวด
และนึกถึงความหมายในใจขณะเปล่งภาษาบาลีออกมา
บทสวดสอนธรรมะหลายๆเรื่องได้ดี สาเหตุที่ผมชอบท่องบทสวด
เพราะบทสวดแต่ละบทมีความหมายที่แตกต่างกัน
สามารถท่องให้เตือนสติได้เมื่อถึงเวลาที่เราต้องการให้จิตสงบ
ผมมีปัญหา 3 ข้อเรียนถามนะครับ

1. ผมสามารถยืนตรงพนมมือสวด ต่อหน้าพระพุทธรูปได้ไหมครับ
แต่ก่อนผมจะนั่งสวด มีวันหนึ่งผมไปยืนสวดในห้องพระของพ่อ แล้วรู้สึกดี
การยืนสวดจะมีความผิดไหมครับ
เพราะผมทราบว่าการนั่งสวดเป็นอิริยาบถที่คนส่วนมากเขาทำกัน

2. ผมเคยฟังธรรมบรรยายของอาจารย์ กล่าวว่า ลูกที่เกิดมา ไม่ทำงานบ้าน
นั่งกินนอนกิน ไม่ช่วยพ่อแม่ทำงาน ลูกแบบนี้ในอดีตเป็นเทวดา
อันนี้ไม่ทราบเป็นความจริงหรือว่าอาจารย์กล่าวเชิงเปรียบเทียบครับ
เพราะว่า เขาน่าจะมีจิตใจที่ดีนะครับ ถ้าเขาจุติจากเทวดามาเกิดเป็นมนุษย์
และช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าง ผมฟังแล้วเลยขัดๆนะครับ

3. คนบางคนเกิดมาดูจะเพียบพร้อมไปทั้งหมด (อาจเพราะผลบุญในอดีต)
ในชาตินี้ แต่ทำไมเขาถึงหลง ทำบาปมากกว่าบุญ ทำไมเขาถึงหลงล่ะครับ
หากเขาหลงไปมากๆเรื่อยๆ จนตายไป เขาก็ไม่มีโอกาสกลับตัว
ผมกลัวจะเป็นแบบนั้นในชาติถัดไป เรารู้ว่าชาตินี้เรากำลังมีสัมมาทิฏฐิ
ผมก็อยากให้มีติดตัวไปตลอด ไม่หลง
การทำให้มีสัมมาทิฏฐิ เกิดในทุกภพชาติ ทำได้ไหมครับ

คำตอบ

(๑). สวดมนต์สามารถทำได้ในทุกอิริยาบถ ยืนสวดมนต์ไม่ผิด ขอเพียงให้ใจจดจ่ออยู่กับบทมนต์ที่สวดเป็นใช้ได้

(๒). เป็นได้สองทาง คือ จิตวิญญาณของเทวดาจุติ แล้วมาปฏิสนธิเป็นมนุษย์ และมีหิริโอตตัปปะหรือมีความกตัญญูฯ เป็นคุณธรรมบ่งชี้ว่า เขามาจากสวรรค์ และในอีกทางหนึ่ง หากจิตวิญญาณโคจรมาจากอบายภูมิ แล้วมาปฏิสนธิเป็นมนุษย์ จิตประเภทนี้ไม่มีหิริโอตตัปปะ มีอกตัญญูฯ เป็นตัวบ่งชี้ ให้เห็นได้ด้วยพฤติกรรมที่เขาแสดงออก

(๓). บาปเกิดจากประพฤติอกุศลกรรม (ทุศีลไร้ธรรม) บุญเกิดจากประพฤติกุศลธรรม (มีศีล มีธรรม) ฉะนั้นบุญและบาปจึงเป็นคนละส่วนกัน

ผู้ใดรู้ไม่จริงประพฤติตนเป็นคนหลง ผู้รู้จะเอาเขาเป็นครูสอนใจตัวเอง ว่าอย่าประพฤติเช่นเขา แล้วเราก็จะไม่เป็นเหมือนเขา ตรงกันข้ามผู้ใดรู้จริง ประพฤติตนไปในทางที่ถูกต้องชอบธรรม ผู้รู้จะเอาเขาเป็นครูสอนใจตัวเอง ว่าจะประพฤติเช่นเขา แล้วเราก็จะเป็นเหมือนเขา ดังนั้นหากผู้ถามปัญหาเป็นผู้รู้ จะไม่นำพฤติกรรมไม่ดีของคนอื่น มาประพฤติให้เกิดขึ้นกับตน

คำว่า “ สัมมาทิฏฐิ ” มีสองความหมาย คือ ปัญญาเห็นถูกทางโลก (โลกิยสัมมาทิฏฐิ) เกิดขึ้นด้วยการฟังผู้รู้มาบอกกล่าว แล้วนำไปประพฤติตามคำบอกกล่าวนั้น ส่วนปัญญาเห็นถูกตามธรรม (โลกุตตรสัมทิฏฐิ) เกิดขึ้นด้วยการฟังผู้รู้บอกกล่าว แล้วพิจารณาคำบอกกล่าวโดยแยบคาย (โยนิโสมนสิการ) จะทำให้เกิดปัญญาเห็นถูกตามธรรมที่เรียกว่า สัมมาญาณ อันจะนำไปสู่การพ้นจากสมมุติ

ฉะนั้นหากผู้ถามปัญหาประสงค์มีสัมมาทิฏฐิแบบใด สามารถทำได้ด้วย บำเพ็ญมหาทาน ตั้งจิตปรารถนา (อธิษฐาน) และทำเหตุให้ถูกตรงตามที่บอกข้างต้น แล้วความสมปรารถนาย่อมเกิดได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.ค. 2010, 03:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เวลาที่เราทำบุญแล้วก็ไม่ต้องหวังอะไรในบุญนั้น แต่ว่าเราก็อฐิษฐานว่าให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ แบบนี้ไม่เรียกว่าหวังในบุญหรือครับ ท่านอาจารย์โปรดชี้แนวทางด้วยครับ

ดัวยความเคารพอย่างสูง

คำตอบ

ผู้รู้ในพุทธศาสนา เชื่อในสิ่งที่เป็นจริง คือ สิ่งที่เหตุผลรองรับ เชื่อว่าสรรพสิ่งเกิดขึ้นได้ ย่อมมีเหตุที่ทำให้เกิด ผู้ใดทำเหตุสิบอย่างที่เรียกว่า บุญกิริยาวัตถุ ๑๐ คือ ทาน ศีล ภาวนา ประพฤติอ่อนน้อม ช่วยเหลือผู้อื่น แบ่งความดีให้ผู้อื่น ยินดีในความดีที่ผู้อื่นทำ ฟังธรรม สั่งสอนธรรม และทำความเห็นให้ตรง ไว้แล้ว ผลคือบุญย่อมเกิดขึ้นกับผู้กระทำ เขาก็เป็นผู้มีบุญโดยอัตโนมัติ โดยไม่ต้องคาดหวัง (ตัณหา) ให้เป็นกิเลสเกิดขึ้นกับใจ

ดังนั้นผู้ใดทำเหตุสิบอย่างดังกล่าวอยู่เสมอ โดยไม่ต้องคาดหวังอะไรทั้งสิ้น แล้วบุญแท้ที่ไม่มีกิเลสปนเปื้อนก็จะเกิดขึ้น ผู้มีบุญปรารถนาสิ่งดีงามใดๆ สิ่งดีงามนั้นๆ ย่อมเกิดขึ้นกับผู้มีบุญเรียกว่า อธิษฐาน ย่อมเรียกได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1521 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 88, 89, 90, 91, 92, 93, 94 ... 102  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร