วันเวลาปัจจุบัน 23 ก.ค. 2025, 03:48  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=2



กลับไปยังกระทู้  [ 81 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ส.ค. 2010, 09:10 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ccag เขียน:
ไม่ ฌานไม่ใช่เรื่องจำเป็น [size=150]ท่านต้องฝึกจิตให้มีความสงบ และมีอารมณ์เป็นหนึ่ง (เอกัคคตา) [/size]

:b8: :b8: :b8: :b8: :b8: :b8:


เจ้าอารามณ์หนึ่ง..เอกัคคตา..นี้แหละ..อาการของฌาน..เขาละ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ส.ค. 2010, 09:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
โอ้..คุณเมสไซอะ..


:b8: :b8: :b8:

ผมเมส บ้าบอ ยุ่งเหยิง ติ๋งต๋องครับ

.....................................................
นิพพานที่นี่ เดี๋ยวนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ส.ค. 2010, 09:20 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


:b12: :b12: :b12:
บางคน..เกิดมาก็ดีเลย

แต่..บางคน..ก็ต้องบ้าก่อนนั้นแหละถึงจะดีได้

กำลังรอเหลิม..ว่า..อยู่..
อ้างคำพูด:
ผู้ที่กำลังออนไลน์
่กำลังดูบอร์ดนี้: chalermsak, mes, กบนอกกะลา และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


:b12: :b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ส.ค. 2010, 09:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


นิพพานที่นี่ เดี๋ยวนี้ มันอาจเร็วเกินไปหรืออย่างไร ก็พูดเสียใหม่ว่า เป็นนิพพานที่โน่น พรุ่งนี้ ถึงช้าหน่อยไม่น่ามีปัญหานะว่ามั้ย... :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ส.ค. 2010, 11:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 พ.ค. 2009, 09:34
โพสต์: 1478

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
:b12: :b12: :b12:
บางคน..เกิดมาก็...


:b12: :b12:
หุ หุ แอบมองท่าน อ๊บ อ๊บ มาหลายวัน

เอกอนว่า ท่าน อ๊บ อ๊บ เงียบไปหลายวัน
อุ อุ พอกลับมา ก้ออออออ ...

ว่าด้วย...เมื่อ...เสียงยนต์เงียบลง...
เราก็จักได้ยินเสียงน้ำหยด...
เมื่อเรา..ปิดก๊อกจนน้ำไม่หยด...
เราก็จักได้ยินเสียง...นาฬิกา...เดิน
และเมื่อ...ถ่านหมด นาฬิกา...ก็หยุดเดิน...
เราก็จักได้ยินเสียง....กร๊วบ กร๊วบ...ที่ดังมาจากภายในผนัง...
:b14: ...
:b2: .... น้องปลวกกำลังกินผนังบ้านของนู๋.... :b2:

:b1: ...

เมื่อเสียงรบกวนต่าง ๆ เงียบหายไป...
ท่านจะได้ยินเสียงเล็ก ๆ น้อย ๆ ต่าง ๆ ตามมา...เรื่อย ๆ ...
..
เรื่อย ๆ ท่าน อ๊บ อ๊บ อย่าเพลินกับเสียงของ นาฬิกา...
...
:b16:


แก้ไขล่าสุดโดย เอรากอน เมื่อ 08 ส.ค. 2010, 11:57, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ส.ค. 2010, 14:00 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


กำลังฟังเสียงปลวก..อยู่

ก็เลยรำคาญเสียงนาฬิกา..

สมาธิดี..คงไม่รำคาญ

คนสมาธิไม่ดี..ก็ขอทุบนาฬิกา :b34: ก่อนละกัน

:b32: :b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ส.ค. 2010, 14:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 พ.ค. 2009, 09:34
โพสต์: 1478

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
กำลังฟังเสียงปลวก..อยู่

ก็เลยรำคาญเสียงนาฬิกา..

สมาธิดี..คงไม่รำคาญ

คนสมาธิไม่ดี..ก็ขอทุบนาฬิกา :b34: ก่อนละกัน

:b32: :b32: :b32:


อิ อิ

เมื่อ...ตนนั้นเงี่ยหูอยู่กับเสียงที่เงียบอยู่เป็นนิจ...
แม้เมื่อปลวกจะหาอาหาร..หรือ..จะหลับ
นาฬิการจะเดิน..หรือ...จะหยุด
น้ำจะไหล...หรือ..หยุดไหล
เครื่องจักรจะทำงาน...หรือ..ไม่ทำงาน...
...เสียงที่เงียบนั้นก็ยังคงแจ่มชัด...

ท่านทุบ ไปได้ตามสบาย...อิ อิ :b4: :b4:


:b1: :b1: :b12: :b4:


แก้ไขล่าสุดโดย เอรากอน เมื่อ 08 ส.ค. 2010, 14:18, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ส.ค. 2010, 15:35 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


:b7: :b7:
:b12: :b12: :b12:
:b41: :b45: :b39: :b43: :b43:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ส.ค. 2010, 15:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


เสียงในความเงียบ

อย่าเอ็ดไป

จุ้ๆ

.....................................................
นิพพานที่นี่ เดี๋ยวนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ส.ค. 2010, 16:11 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


เอรากอน เขียน:
เมื่อ...ตนนั้นเงี่ยหูอยู่กับเสียงที่เงียบอยู่เป็นนิจ...
..................
...เสียงที่เงียบนั้นก็ยังคงแจ่มชัด...

ท่านทุบ ไปได้ตามสบาย...อิ อิ :b4: :b4: [/color]

:b1: :b1: :b12: :b4:


...เสียงที่เงียบนั้นมันแจ่มชัด..จริง ๆ ด้วย...หนับหนุนเลย

แต่ก่อนเคยถามเพื่อนว่า...เคยได้ยินเสียงของความเงียบไหม??..ความเงียบเป็นเสียงที่ดังที่สุด

เพื่อนมันว่า..ผมต้องไปเช็คหูแล้วละ..ก็อดกังวลไม่ได้ :b7: :b7:

แต่บอกตามตรง...กระผมถูกกับเสียง..มาก :b32: :b32:

ผีจะอำตอนไหน..ก็แยกได้ด้วยการสังเกตุเสียงความเงียบ.. :b12: ไม่ได้โม่

เข้าฌานครั้งแรก..(คิดว่า)..ก็ด้วยการฟังเสียงสาว ๆ คุยกัน :b12: :b12:

ซึ้งในพระคุณของพระพุทธ...พระสงฆ์ครั้งแรก..ก็ด้วยเสียงสวดมนต์ของตัวเอง..อิ..อิ..อิ :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ส.ค. 2010, 21:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ส.ค. 2010, 00:17
โพสต์: 255

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b42: เห็นเถียงกันมากระหว่างสายสุกกวิปัสนา พวกเจริญสติ ตามรู้ กาย เวทนา จิต ธรรมซึ่งนิยมกันมากในสมัยนี้ หรือตามหลักเรียกการบรรลุคุณธรรม ด้วยกำลังปัญญาหรือเรียกปัญญาวิมุติ พวกปฏิบัติสายนี้มี2แบบ คือแบบแรกเป็นคนมีปัญญา ดี สติไว เหมาะที่จะเดินสายการเจริญสติ ก็สามารถทำกิเลสให้เบาบางลงได้ เพราะการตามรู้ขัน5นั้นทำให้จิตอยู่กับปัจจุบันขณะตลอดเวลา จิตก็ไม่มีเวลาไปปรุงแต่ง เรื่องโน้นเรื่องนี้ ซึงเป็นโลภะ โทสะ โมหะได้ กิเลสจึงเบาบางลง เมื่อกิเลสเบาบางลงจึงสามารถ เห็นโลกตามความเป็นจริง และปฏิบัติให้ก้าวหน้าต่อไปได้ อีกพวกคืออยากทำสมาธิสายเจโตวิมุติ คือให้ได้ฌาณก่อน แล้วค่อยทำวิปัสนา(ตรงนี้ทำอย่างไรผมไม่อธิบาย/ความจริงอธบายได้)แต่นั่งเท่าไรก็ไม่ได้ฌานสักที ก็เลยหันมาทางการเจริญสติ
(พระบางองค์ที่ผมเคยปฏิบัติด้วย ตอนบวชอยู่ ขยันมากตื่นมานั่งตั้งแต่ตี4ตี5 เป็นเวลานานถึง 29 ปีเต็มก็ไม่เคยเห็นแม่แต่โอภาสแสงสว่าง อันนี่เรื่องจริงยกเป็นอุทาหรณ์)แต่เมือ่เราไม่ได้ฌาณก็อย่าไปกล่าวตู่ว่าฌาณไม่มี่จริง หรือไปบอกว่าคนได้ฌานนั้นเกิดจากอุปปาทาน มันจะเป็นการบิดเบือนศาสนา อันนี้พระพุธทเจ้าตรัสไว้ว่าพวกกล่าวตู่ศาสนาโดยไม่รู้จริง นั้นเป็นบาปหนัก ต้องระวังคนปฏิบัติธรรม แค่คิดว่าเรารู้มาก ดีมากกว่าคนอื่น นั่นเริ่มแย่แล้ว พระอรหันต์ทั้งหลายบรรลุคุณธรรม ด้วยพื้นฐาน2อย่างเสมอ พวกบรรลุด้วยกำลังปัญญา เรียกพวกปัญญาวิมุติ พวกบรรลุด้วยกำลังสมาธิ(ในระดับฌาณที่4)เป็นฐานเรียกพวกเจโตวิมุติ การกล่าวตู่กันไปมาล้วนเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง คนที่บรรลุทั้ง 2ฝ่ายไม่ได้มาแก้ต่างหลอก พวกที่ท่องคำภีย์มาตอบ โดยไม่ได้ปฎิบัติจนเกิดผล(ปฏิเวธ)นี่แหละสำคัญ ไม่รู้อย่าไปตอบส่งเดชทำใหคนอื่นเขาหลงทางได้ พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้สอนเลขท่านสอนว่ายน้ำประมาณนั้น คนว่ายน้ำเป็นจึงสอนว่ายน้ำได้/ขอตอบคำถามเจ้าของกระทู้หน่อย ที่ว่าเข้าฌาณได้โดยบังเอิญนั้น เข้าได้ครั้งเดียวหรือว่าเข้าได้ทุกครั้งที่นั่งสมธิ เพราะถ้าเข้าได้ครั้งเดียวแล้วเข้าไม่ได้อีกเลย เรียกว่าฟลุ๊กจริงๆ แต่ก็ไม่เลวนักที่ได้พบกับสภาวะจิตว่างครั้งหนึ่งในชิวิต และก็รู้สึกถึงสภาวะปราศจากกิเลสจริงๆเป็นอย่างไร แต้ถ้าเข้าได้เรื่อยๆ สนใจทำวิปัสนาโดยมีกำลังสมาธิเป็นฐาน ทำอินทรีย์5 ให้บริบูรณ์การเป็นอริยบุคล อย่าน้อยระดับโสดาบันเป็นอันหวังได้ /อย่าไปหลงตัวเองว่าฌาณเป็นเรื่องวิเศษวิโส มันจะเกิดมานะซึ่งเป็นเครื่องกั้นจิต ได้ก็ดี ไม่ได้ก็ไม่เห็นเป็นไร จริงมั๊ย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ส.ค. 2010, 22:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2009, 00:02
โพสต์: 111

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b44: ฝึกแบบไหน? นั่งสมาธิหลับตาเตรียมความพร้อมของจิต ตอนแรกจิตมันคิดก็ตามดูไปก่อน
พอเบื่อก็กำหนดลมหายใจเข้า-ออก กำหนดลมสัมผัสที่ปลายจมูก ภาวนาพุท-โธ อย่างที่คนทั่วไปทำกัน
นี่และ ไม่รู้เขาเรียกว่าอะไร อานาปานสติ + พุทธานุสติ กระมั้งค่ะ แค่นี้ค่ะ ทำไปเรื่อยๆๆๆ จนเริ่มเห็น
เป็นแสงสีม่วงอ่อนๆ อบอุ่นสดใส จิตเริ่มสงสัยสังเกตด้วยตา(ใน) ด้านซ้าย-ขวา ล่าง-บน มีปิติเข้ามา ยิ่งสงบสีม่วงยิ่งเข้มขึ้นมีวงแหวนสีขาวกลายหลอดนีออนล้อมรอบดวงกลมนั้น เส้นผ่าศูนย์กลางของดวงกลมนั้นประมาณไหล่ซ้าย-ขวา ด้านล่างเห็นดวงนั้นห่างจากปลายจมูกไม่เกิน 1 นิ้ว มองด้านบนไม่เห็นขอบ เห็นแต่จุดศูนย์กลางประมาณกึ่งกลางหน้าผาก เป็นอุโมงค์เล็กๆ ยิ่งเอาจิตตามเข้าไปดูจิตยิ่งสงบเมื่อพัก ผลักดวงนั้นออกไปจะลอยอยู่ห่างเหมือนอยู่บนท้องฟ้าขนาดเท่าดวงจันทร์วงแหวนหายไป กลายเป็นเปลวรัศมีสีขาวเปล่งแสงสว่าง สว่างกว่าดวงจันทร์ สภาวะตอนนี้สุขแบบสุดๆๆ เอาจิตตามเข้าไปในอุโมงค์นั้นอีก แล้วก็พักดูอีก ดวงสีม่วงเหมือนมีกากเพชรสีเงินสีทองโรยอยู่บนดวงนั้นระยิบระยับ สภาวะจิตตอนนั้นสงบนิ่งแบบสุดๆๆ มีสมาธิตั้งมั่นมากๆๆ ความสุขหายไปแล้ว อยากอยู่นานแค่ไหนก็ได้ เอาจิตกำหนดรู้ที่กายเบาเหมือนไม่มีร่างกาย หาลมหายใจไม่เจอ กำหนดจิตไปที่ประตูหน้าบ้าน เหมือนมีคนจำนวนมากมายเดินลากเท้าไป-มาบนพื้นคอนกรีต กำหนดจิตห่างออกไปอีกประมาณ เกือบ 100 เมตรได้ยินเพื่อนบ้าน 2 คนคุยกัน เหมือนเขานั่งคุยอยู่ใกล้ๆห่างจากเราไม่ถึงวา รู้เรื่องหมดว่าเขาคุยอะไรกัน ทั้งที่วันนั้นเป็นฤดูฝนที่ฝนตกทั้งวัน เพื่อนบ้านเขาก็ปิดประตูบานเลื่อนกระจก (ซึ่งปกติถึงฝนไม่ตกก็ไม่เคยได้ยินเขาคุยกัน) กำหนดจิตกลับมาเอาจิตเข้าไปที่อุโมงค์นั้นอีก ดวงนั้นเริ่มกลายเป็นสีทอง เอาจิตเข้าไปในอุโมงค์อีก เข้าไปได้อีกนิดเดียว มันมีสภาวะเหมือนว่าจิตมันเป็นเอคัตตาที่สุดแล้ว (เหมือนลูกโป่งที่อัดลมเข้าไปอย่างเต็มที่แล้ว) ไม่มีอุโมงค์ให้เข้าไปได้อีก เอาจิตกลับมาที่กาย อย่างที่เล่านั้นแหละมันหากายไม่เจอ หาลมหายใจไม่เจอ ไม่รู้จะออกจากสมาธิยังไง พยายามอยู่สักพัก เริ่มอธิษฐานจิตให้พระเกจิอาจารย์ที่ไหนก็ได้ช่วยลูกด้วย และแว็บหนึ่งนึกถึงสมเด็จพุทธาจารย์โต พรหมรังษี (เพราะรู้จักอยู่องค์เดียว) แล้วสักพักก็นึกออกว่าตอนเข้ามากำหนดพุท-โธ เลยท่องพุท-โธ จนที่สุดก็หาลมหายใจเจอ กำหนดลมเข้าออกแล้วถอยออกจากสมาธิได้ แต่เพราะออกจากสมาธิเร็วเกินไป ทำให้ปวดศีรษะ หูดับ มีลมอื้ออึ้งอยู่ในศีรษะ ตอนถอยออกมาจึงรู้ว่าลูกกำลังดูทีวี ดิฉันนั่งหันหน้าเข้าหาทีวี ห่างจากทีวีประมาณ 1 เมตร ลูกนั่งอยู่บนเก้าอี้ด้านหลัง และก่อนนั่งสมาธิไม่ได้เปิดทีวี หลังจากสมาธิ 2 สัปดาห์แรกรู้สึกเหมือนไม่มีอะไรทำให้เกิดความรู้สึกพอใจ-ไม่พอใจ เห็นอะไรไม่ปรุงแต่ง คนที่เคยเกลียดมากๆเวลาเจอเขาไม่รู้สึกอะไรเลย เวลาเพื่อนๆคุยกันสนุกสนาน ก็ไม่รู้สึกสนุกอะไรเลย สังเกตดูจิตตัวเองความโกรธ แค้น ชิงชัง ความรัก ความคับแค้นใจ ความหลังฝังใจที่เจ็บปวดทรมานใจมา มากกว่าสิบปีมันหายไปไหน เรามองทุกคนไม่แตกต่างกันเลย ไม่รักใคร ไม่โกรธใคร เหมือนวัตถุชิ้นหนึ่ง หลังสวดมนต์ ตอนแผ่เมตตาเหมือนความเมตตาของเรามีอยู่ล้นโลกมอบให้ทุกคน สัตว์ เสมอกัน
นี่แหละค่ะประสบการณ์ สุดแล้วแต่ใครจะวิจารณ์ เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นมันเหมือนบังเอิญจริง ๆๆ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ส.ค. 2010, 05:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.พ. 2009, 05:07
โพสต์: 372


 ข้อมูลส่วนตัว


ศึกษาถึงวิธีการ ยกองค์ฌานที่ได้จากการเจริญอานาปานสติ ขึ้นสู่วิปัสสนา ได้ที่

เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๐ บรรทัดที่ ๖๒๕๗ - ๖๗๖๔. หน้าที่ ๒๕๗ - ๒๗๗.
http://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B ... agebreak=0
ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :-
http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=10&i=273




http://84000.org/tipitaka/attha/attha.p ... i=273&p=2#อานาปานบรรพ

อานาปานบรรพ
คำว่า ภิกษุไปป่าก็ดี ไปที่โคนไม้ก็ดี ไปยังเรือนว่างก็ดี นี้เป็นเครื่องแสดงการกำหนดเอาเสนาสนะอันเหมาะแก่การเจริญสติปัฏฐานของภิกษุนั้น. เพราะจิตของเธอซ่านไปในอารมณ์ทั้งหลายมีรูปเป็นต้นมานาน ย่อมไม่ประสงค์จะลงสู่วิถีแห่งกัมมัฏฐาน คอยแต่จะแล่นออกนอกทางท่าเดียว เหมือนเกวียนที่เทียมด้วยโคโกงฉะนั้น.
เพราะฉะนั้น ภิกษุผู้จะเจริญสติปัฏฐานนี้ ประสงค์จะทรมานจิตที่ร้าย ที่เจริญมาด้วยการดื่มรส มีรูปารมณ์เป็นต้นมานาน พึงพรากออกจากอารมณ์ เช่นรูปารมณ์เป็นต้น แล้วเข้าไปป่าก็ได้ โคนไม้ก็ได้ เรือนว่างก็ได้ แล้วเอาเชือก คือสติผูกเข้าไว้ที่หลัก คืออารมณ์ของสติปัฏฐานนั้น จิตของเธอนั้นแม้จะดิ้นรนไปทางนั้นทางนี้ เมื่อไม่ได้อารมณ์ที่คุ้นเคยมาก่อน ไม่อาจตัดเชือก คือสติให้ขาดแล้วหนีไปได้ ก็จะแอบแนบสนิทเฉพาะอารมณ์นั้นอย่างเดียว ด้วยอำนาจเป็นอุปจารภาวนา และอัปปนาภาวนา
เหมือนอย่างคนเลี้ยงโค ต้องการจะทรมานลูกโคโกงที่ดื่มนมแม่โคตัวโกงจนเติบโต พึงพรากมันไปเสียจากแม่โค แล้วปักหลักใหญ่ไว้หลักหนึ่ง เอาเชือกผูกไว้ที่หลักนั้น ครั้งนั้น ลูกโคของเขานั้นก็จะดิ้นไปทางโน้นทางนี้ เมื่อไม่อาจหนีไปได้ ก็หมอบหรือนอนแนบหลักนั้นนั่นแล ฉะนั้น.
เหตุนั้น พระโบราณาจารย์จึงกล่าวว่า
ยถา ถมฺเภ นิพนฺเธยฺย วจฺฉํ ทมํ นโร อิธ
พนฺเธยฺเยวํ สกํ จิตฺตํ สติยารมฺมเณ ทฬฺหํ
นรชนในพระศาสนานี้ พึงผูกจิตของตน
ไว้ในอารมณ์ให้มั่นด้วยสติ เหมือนคนเลี้ยงโค
เมื่อจะฝึกลูกโค พึงผูกมันไว้ที่หลักฉะนั้น.

เสนาสนะนี้ ย่อมเหมาะแก่การเจริญสติปัฏฐานของภิกษุผู้เจริญสติปัฏฐานนั้น ด้วยประการฉะนี้. เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงกล่าวว่า คำนี้เป็นเครื่องแสดงการกำหนดเสนาสนะอันเหมาะแก่การเจริญสติปัฏฐานของภิกษุนั้นดังนี้.

เสนาสนะที่เหมาะแก่การเจริญอานาปานสติ
อีกอย่างหนึ่ง เพราะพระโยคาวจรไม่ละ ละแวกบ้านอันอื้ออึ้งด้วยเสียงหญิงชาย ช้างม้าเป็นต้น จะบำเพ็ญอานาปานสติกัมมัฏฐาน อันเป็นยอดในกายานุปัสสนา เป็นปทัฏฐานแห่งการบรรลุคุณวิเศษ และธรรมเครื่องอยู่เป็นสุขในปัจจุบันของพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้าและพระสาวกทั้งปวงนี้ให้สำเร็จ ไม่ใช่ทำได้ง่ายๆ เลย เพราะฌานมีเสียงเป็นข้าศึก
แต่พระโยคาวจรกำหนดกัมมัฏฐานนี้แล้วให้จตุตถฌาน มีอานาปานสติเป็นอารมณ์เกิดขึ้น ทำฌานนั้นนั่นแลให้เป็นบาท พิจารณาสังขารทั้งหลายแล้วบรรลุพระอรหัต ซึ่งเป็นผลอันยอดจะทำได้ง่าย ก็แต่ในป่าที่ไม่มีบ้าน ฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงแสดงเสนาสนะอันเหมาะแก่ภิกษุโยคาวจรนั้น จึงตรัสว่า อรญฺญคโต วา ไปป่าก็ดี เป็นต้น.
ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าเปรียบเหมือนอาจารย์ผู้รู้ชัยภูมิ. อาจารย์ผู้รู้ชัยภูมิเห็นพื้นที่ควรสร้างนครแล้ว ใคร่ครวญถี่ถ้วนแล้ว ก็ชี้ว่า ท่านทั้งหลายจงสร้างนครตรงนี้ เมื่อเขาสร้างนครเสร็จ โดยสวัสดีแล้ว ย่อมได้รับลาภสักการะอย่างใหญ่จากราชสกุล ฉันใด
พระผู้มีพระภาคเจ้านั้นก็ฉันนั้น ทรงใคร่ครวญถึงเสนาสนะอันเหมาะแก่พระโยคาวจรแล้วทรงชี้ว่า เสนาสนะตรงนี้ พระโยคาวจรควรประกอบกัมมัฏฐานเนืองๆ ต่อแต่นั้น พระโยคีเจริญกัมมัฏฐานเนืองๆ ในเสนาสนะนั้น ได้บรรลุพระอรหัตตามลำดับ ย่อมทรงได้รับสักการะอย่างใหญ่ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นทรงเป็นผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ จริงหนอ.
ก็ภิกษุนี้ ท่านกล่าวว่า เป็นเช่นเดียวกับเสือเหลือง. เหมือนอย่างพระยาเสือเหลืองขนาดใหญ่อาศัยพงหญ้าป่าชัฏ หรือเทือกเขาในป่า ซ่อนตัวคอยจับหมู่มฤคมีกระบือป่า ละมัง หมูป่าเป็นต้น ฉันใด ภิกษุนี้ผู้มีเพียรประกอบเนืองๆ ซึ่งกัมมัฏฐานในป่าเป็นต้น ย่อมถือเอาซึ่งมรรค ๔ และอริยผล ๔ ได้ตามลำดับ ฉันนั้นเหมือนกัน.
เพราะเหตุนั้น พระโบราณาจารย์จึงกล่าวว่า.
ยถาปิ ทีปิโก นาม นิลียิตฺวา คณฺหตี มิเค
ตเถวายํ พุทฺธปุตฺโต ยุตฺตโยโค วิปสฺสโก
อรญฺญํ ปวิสิตฺวาน คณฺหติ ผลมุตฺตมํ
อันเสือเหลืองซ่อนตัวคอยจับหมู่มฤค ฉันใด
ภิกษุผู้เป็นพุทธบุตรนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน เข้าไปสู่
ป่าแล้ว ประกอบความเพียร เป็นผู้มีปัญญาเห็นแจ้ง
(เจริญวิปัสสนา) ย่อมถือไว้ได้ซึ่งผลอันสูงสุดได้.


----------------------------------------------------------

อ้างคำพูด:
ดิฉันนั่งหันหน้าเข้าหาทีวี ห่างจากทีวีประมาณ 1 เมตร ลูกนั่งอยู่บนเก้าอี้ด้านหลัง และก่อนนั่งสมาธิไม่ได้เปิดทีวี หลังจากสมาธิ 2 สัปดาห์แรกรู้สึกเหมือนไม่มีอะไรทำให้เกิดความรู้สึกพอใจ-ไม่พอใจ เห็นอะไรไม่ปรุงแต่ง


คุณ กษมมาตา การนั่งสมาธิให้ได้ฌาน นั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ ต้องอาศัยเสนาสนะ ที่เงียบสงบ เป็นที่สัปปายะจริง ๆ สิ่งที่คุณเห็นผมว่าไม่ใช่ฌานแล้วละครับ ลองศึกษาจาก พระอาจารย์, พระวิปัสสนาจารย์ ผู้ทรงพระไตรปิฏก อีกครั้งครับ

อย่าพึ่งไปทำตาม แนวมโนมยิทธิ หรือ ธรรมกาย นะครับ ไม่งั้น จะไปยึดเอานิมิตว่าเป็นพระนิพพาน

.....................................................
สมถะ (ฌาน, สมาธิ) ที่เป็นบาทของวิปัสสนา
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=2&t=21049

ผู้บรรลุธรรม จากสมถะ มีจำนวนน้อยกว่าผู้ไม่มี
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=2&t=21062

การเจริญสติปัฏฐานหมวดพิจารณาอิริยาบถ ๔ จากพระไตรปิฏก อรรถกถา
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=2&t=29201

ควรศึกษาอัตตโนมติ ของท่านพุทธทาสหรือไม่ ?
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=17187


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ส.ค. 2010, 05:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.พ. 2009, 05:07
โพสต์: 372


 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
เห็นเถียงกันมากระหว่างสายสุกกวิปัสนา พวกเจริญสติ ตามรู้ กาย เวทนา จิต ธรรมซึ่งนิยมกันมากในสมัยนี้ หรือตามหลักเรียกการบรรลุคุณธรรม ด้วยกำลังปัญญาหรือเรียกปัญญาวิมุติ พวกปฏิบัติสายนี้มี2แบบ คือแบบแรกเป็นคนมีปัญญา ดี สติไว เหมาะที่จะเดินสายการเจริญสติ ก็สามารถทำกิเลสให้เบาบางลงได้ เพราะการตามรู้ขัน5นั้นทำให้จิตอยู่กับปัจจุบันขณะตลอดเวลา จิตก็ไม่มีเวลาไปปรุงแต่ง เรื่องโน้นเรื่องนี้ ซึงเป็นโลภะ โทสะ โมหะได้ กิเลสจึงเบาบางลง เมื่อกิเลสเบาบางลงจึงสามารถ เห็นโลกตามความเป็นจริง และปฏิบัติให้ก้าวหน้าต่อไปได้ อีกพวกคืออยากทำสมาธิสายเจโตวิมุติ คือให้ได้ฌาณก่อน แล้วค่อยทำวิปัสนา(ตรงนี้ทำอย่างไรผมไม่อธิบาย)


คุณเจโตวิมุติ ครับ ในพระไตรปิฏก อรรถกถา อธิบายไว้ละเอียดแล้วครับ ตามลายเซ็นต์ผม

อ้างคำพูด:
แต่เมือ่เราไม่ได้ฌาณก็อย่าไปกล่าวตู่ว่าฌาณไม่มี่จริง


จุดนี้เห็นด้วยครับ บางอัตตโนมติก็อาจจะเห็นเช่นนั้นได้

ผมว่า คันถธุระ (ปริยัติศาสนา ) มีความสำคัญมากครับ ก่อนลงมือปฏิบัติธุระที่สำคัญยิ่ง คือ วิปัสสนาธุระ

เปรียบเหมือน การศึกษาแผนที่ก่อนเดินทาง

อัตตโนมติ บางท่าน ก็ทิ้ง คันถธุระไป บอกเสียเวลา ลงมือปฏิบัติ ให้เห็นด้วยตนเองดีกว่า ซึ่งก็หลงทางมานักต่อนักแล้วครับ

คุณเจโตวิมุติครับ อาจจะมีการเจริญวิปัสสนาในแบบ อิริยาบถบรรพะ ที่เน้นการโยนิโสมนสิการ อิริยาบถต่าง ๆ เป็นหลัก เพราะชำนาญแบบนี้ อาจจะไม่ส่งเสริมแบบ สมถะยานิกะ เพราะท่านไม่ชำนาญ หวังว่าคุณเจโตวิมุติ คงไม่ว่านะครับ

.....................................................
สมถะ (ฌาน, สมาธิ) ที่เป็นบาทของวิปัสสนา
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=2&t=21049

ผู้บรรลุธรรม จากสมถะ มีจำนวนน้อยกว่าผู้ไม่มี
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=2&t=21062

การเจริญสติปัฏฐานหมวดพิจารณาอิริยาบถ ๔ จากพระไตรปิฏก อรรถกถา
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=2&t=29201

ควรศึกษาอัตตโนมติ ของท่านพุทธทาสหรือไม่ ?
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=17187


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ส.ค. 2010, 05:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


chalermsak เขียน:
อ้างคำพูด:
เห็นเถียงกันมากระหว่างสายสุกกวิปัสนา พวกเจริญสติ ตามรู้ กาย เวทนา จิต ธรรมซึ่งนิยมกันมากในสมัยนี้ หรือตามหลักเรียกการบรรลุคุณธรรม ด้วยกำลังปัญญาหรือเรียกปัญญาวิมุติ พวกปฏิบัติสายนี้มี2แบบ คือแบบแรกเป็นคนมีปัญญา ดี สติไว เหมาะที่จะเดินสายการเจริญสติ ก็สามารถทำกิเลสให้เบาบางลงได้ เพราะการตามรู้ขัน5นั้นทำให้จิตอยู่กับปัจจุบันขณะตลอดเวลา จิตก็ไม่มีเวลาไปปรุงแต่ง เรื่องโน้นเรื่องนี้ ซึงเป็นโลภะ โทสะ โมหะได้ กิเลสจึงเบาบางลง เมื่อกิเลสเบาบางลงจึงสามารถ เห็นโลกตามความเป็นจริง และปฏิบัติให้ก้าวหน้าต่อไปได้ อีกพวกคืออยากทำสมาธิสายเจโตวิมุติ คือให้ได้ฌาณก่อน แล้วค่อยทำวิปัสนา(ตรงนี้ทำอย่างไรผมไม่อธิบาย)


คุณเจโตวิมุติ ครับ ในพระไตรปิฏก อรรถกถา อธิบายไว้ละเอียดแล้วครับ ตามลายเซ็นต์ผม

อ้างคำพูด:
แต่เมือ่เราไม่ได้ฌาณก็อย่าไปกล่าวตู่ว่าฌาณไม่มี่จริง


จุดนี้เห็นด้วยครับ บางอัตตโนมติก็อาจจะเห็นเช่นนั้นได้

ผมว่า คันถธุระ (ปริยัติศาสนา ) มีความสำคัญมากครับ ก่อนลงมือปฏิบัติธุระที่สำคัญยิ่ง คือ วิปัสสนาธุระ

เปรียบเหมือน การศึกษาแผนที่ก่อนเดินทาง

อัตตโนมติ บางท่าน ก็ทิ้ง คันถธุระไป บอกเสียเวลา ลงมือปฏิบัติ ให้เห็นด้วยตนเองดีกว่า ซึ่งก็หลงทางมานักต่อนักแล้วครับ

คุณเจโตวิมุติครับ อาจจะมีการเจริญวิปัสสนาในแบบ อิริยาบถบรรพะ ที่เน้นการโยนิโสมนสิการ อิริยาบถต่าง ๆ เป็นหลัก เพราะชำนาญแบบนี้ อาจจะไม่ส่งเสริมแบบ สมถะยานิกะ เพราะท่านไม่ชำนาญ หวังว่าคุณเจโตวิมุติ คงไม่ว่านะครับ



สมแล้วที่เป็นเหลิมศาลาโกหก

ไม่รู้จักฌาณ ไม่เอาฌาณ

แต่สอนชาวบ้านเรื่องฌาณ

ไปเที่ยวสวรรค์ ทัวณนรก

ดีฝ่า

.....................................................
นิพพานที่นี่ เดี๋ยวนี้


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 81 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร