วันเวลาปัจจุบัน 20 ก.ค. 2025, 23:33  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=2



กลับไปยังกระทู้  [ 202 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 8, 9, 10, 11, 12, 13, 14  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ธ.ค. 2011, 13:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2009, 00:02
โพสต์: 111

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b44: :b44: เบื่อไหมกับการเวียนว่ายตายเิกิด ต้องตอบว่าเบื่อที่สุด แต่ตอนนี้ยังมีชีวิตอยู่ ก็ยังต้องทำมาหาเลี้ยงชีพ ดูแลคนรอบข้าง และปฏิบัติธรรม พยายามทำให้ได้ให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ในทุกๆชั่วโมง นาที ในการสำรวมกาย วาจา ใจ ไม่ได้มุ่งหวังอะไรมากในทางโลก ไม่ยึดมั่นถือมั่นในโลกธรรมแปด


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ธ.ค. 2011, 13:20 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8:
ดีครับ :b8: ..


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ธ.ค. 2011, 18:06 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
กษมมาตา เขียน:
ฌาน เป็นหนึ่งในเรื่องอจินไตย
สมาธิมีหลายระดับ นิมิตที่เิกิดขึ้นในสมาธิ ถึงไม่เจตนาจะให้เกิด ก็เกิดเพราะจิตก็เป็นสิ่งที่บังคับไม่ได้ คุณเคยได้ฟังที่หลวงพ่อพุธ ที่ท่านพูดถึงตอนที่จิตออกร่างเมื่อมองลงมาอาจเห็นร่างกายที่เน่าเหม็น นอนขึ้นอืด อะไรประมาณนี้ไหม


ช่วงนั้นท่านป่วยเป็นวัณโรค
ถ้ามีโอกาสอ่านบทความนี้ ตอนที่ท่านยังมีชีวิตอยู่
เราก็คงจะถามในสิ่งที่เราตั้งข้อสังเกต
เพราะท่านเป็นผู้เห็น ท่านย่อมเห็นปัจจัย


ปัจจัย นี่ล่ะ ที่เป็นข้อสังเกตุ

"ฝึกหัดสมาธิภาวนา นึกเอา มรณานุสติ เป็นอารมณ์
ให้นึกถึงความตายว่า เราจะต้องตายแน่แท้ ไม่วันใดก็วันหนึ่ง
เพราะความตายเป็นที่สุดของชีวิตคนเรา
เมื่อตายแล้วก็ทอดทิ้งสิ่งทั้งปวงหมด
ไม่ว่าจะของรักแลหวงแหนสักปานใดต้องทอดทิ้งทั้งหมด
การบริกรรมมรณานุสติ เป็นอุบายที่สุดของอุบายทั้งปวง
จะพิจารณาลมหายใจเข้าหายใจออก ในที่สุดก็ลงความตาย
จะพิจารณาอสุภกรรมฐาน ในที่สุดก็ลงความตาย

เมื่อพิจารณาถึงความตายแล้ว มันมิอาลัยในสิ่งทั้งปวงหมดสิ้น
จะคงเหลือแต่จิตอันเดียว นั่นแหละ ได้ชื่อว่าชำระจิตแล้ว

แล้วจะมีขณะหนึ่ง จิตจะรวมเข้าเป็นสมาธิ
คือจิตจะหยุดนิ่งเฉย ไม่คิดไม่นึก อะไรทั้งหมด แต่รู้ตัวอยู่ว่าเราอยู่เฉย
จะนานเท่าไรก็ได้ ถ้าจิตนั้นมีพลังแก่กล้า

บางทีเมื่อชำระจิต ปราศจากอารมณ์ทั้งหมดแล้ว
จะยังเหลือแต่จิตดังอธิบายมาแล้ว
จิตจะรวมเข้า มีอาการวูบวาบเข้าไปแล้วจะเห็นสิ่งนั้น สิ่งนี้ หลายอย่าง

นั่นก็อย่าไปยึดเอา นั่นแหละเป็นตัวมารอย่างร้ายกาจ
ถ้าไปยึดเอา สมาธิจะเสื่อมเสีย แต่คนทั้งหลายก็ไปยึดเอาอยู่นั่นแหละ
เพราะเห็นเป็นของแปลกประหลาด แลบางอาจารย์ก็สอนให้ไปยึดถือเอาเป็นอารมณ์เสียด้วย
จะเป็นเพราะท่านไม่เคยเห็นเคยเป็น หรือท่านไม่เข้าใจว่าสิ่งนั้นเป็นมาร ก็ไม่ทราบ"


:b1:


viewtopic.php?f=7&t=40311


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ธ.ค. 2011, 21:54 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


ไม่ได้เอาครูบาอาจารย์มาเบรคกันนะ
ถ้าจะเบรค เราจะเบรคผู้ที่ชอบเอาเรื่องราวของครูบาอาจารย์มาเขียน
ให้ผู้ที่แสวงหาบุญ หากุศล หาความรู้ในธรรม เสาะหา-ซื้อหามาอ่านน่ะ
ยอมรับว่า เวลาที่อ่านหนังสือธรรมตามท้องตลาด
เชื่อทั้งหมดไม่ได้เลย ต้องหารออกหลายทบ... :b1:

โดยครูบาอาจารย์แล้ว เราเชื่อในภูมิธรรมของท่านผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ อยู่แล้ว
ให้กราบหลวงพ่อพุธ เราก็กราบท่านได้อย่างสนิทใจ

ซึ่งเราก็เชื่อว่า ถ้าเราถามคำถามนั้นกับท่าน
เราก็จะได้ฟังทัศนะจากท่านนัยเดียวกันกับหลวงปู่เทศน์
เพียงแต่ "ท่านไม่ได้อยู่ให้เราถามแล้ว" น่ะสิ่

:b1:

แล้วทำไม คนที่ฟัง ตอนที่ท่านเล่า ทำไมไม่ถาม.. :b10:





โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ธ.ค. 2011, 23:02 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


นั้นดิ..ทำไมไม่ถาม? :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ธ.ค. 2011, 23:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


แค่กายมนุษย์ละเอียดไม่น่าตื่นเต้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ธ.ค. 2011, 23:51 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ทุกสิ่ง....หากมันยังเปลี่ยนเป้นโน้นเป็นนี้ได้อีก

มันก็ยังอนัตตา...

ยังไม่ใช่...สิ่งที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ม.ค. 2012, 22:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2009, 00:02
โพสต์: 111

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b44: :b44: จากการฝึกเจริญวิปัสสนาในตอนกลางวัน ทำให้ดิฉันสังเกตสภาวะที่เกิดขึ้นในขณะทำสมาธิในตอนกลางคืนได้ดีขึ้น จริงๆ แล้วแค่ตามดูลมหายใจก่อนนอนไปเรื่อยๆ บางครั้งปิ้งหลับการรับรู้ทุกอย่างดับ บางครั้งหลับยากมีสภาวะแบบที่เขาเรียกว่า ผีอำ จริงแล้วไม่มีผีอะไรหรอก ก็แค่มีการรับรู้เหมือนว่าตนเองหายใจไม่ออก หัวใจกำลังจะหยุดเต้น จิตก็จะพยายามบังคับกายให้ตื่น โดยการพยายามดิ้น อันนี้ดี น่าจะเหมือนสภาวะก่อนตายจริงมากที่สุดบางครั้งดิ้นจนตื่นขึ้นมา แต่ถ้าคิดว่าตายเป็นจะตามดูมัน ตามดูไปเรื่อยๆ พอถึงที่สุดแล้วก็เบาสบายกลายเป็นเข้าสู่การฝัน แต่บางครั้งปิ้งสว่างขึ้นมา จิตลอยอยู่ข้างนอก อยู่นิ่งๆ เฉยๆ ตอนแรกๆ นิ่งอยู่ เฉยๆ เป็นอย่างนั้นหลายครั้ง ตอนหลังเริ่มกำหนดนี่อะไร ก็จะมีเสียงตอบว่าเป็นอะไร ก็แปลกดีนะ แค่คิดว่าจะดูจิตก็ได้เห็น แค่จิตสงสัยก็ได้คำตอบทันที จิตเคลื่อนที่ได้เร็วมากๆๆ
:b44: :b44: :b44:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ม.ค. 2012, 23:19 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


:b1:

ทำความรู้จักสภาวะดี ๆ
แล้วคอยมาเล่าต่อเรื่อย ๆ นะ

:b16: :b16: :b16:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ม.ค. 2012, 00:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2009, 00:02
โพสต์: 111

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b44: :b44: เรื่องแปลกอีกเรื่องที่อยากเล่าคือ เวลาที่จิตลอยอยู่ข้างนอก ปกติจะกำหนดดูเวทนาในจิตเสียเป็นส่วนใหญ่ ไม่ได้กำหนดดูกาย เพราะกำหนดดูกายเมื่อใดจิตจะกลับเข้ากาย แล้วสักพักก็จะออกจากสมาธิ เวลากำหนดลงที่กาย ถ้าตอนนั้นเห็นกายเนื้อจิตก็เข้ากายเนื้อทันที แต่ถ้าตอนนั้นร่างที่เห็นเป็นเหมือนทอง เครื่องแต่งกายเป็นทองคำ จิตก็เข้าไปอยู่ในกายนั้น จิตสงสัย ก็มีเสียงตอบมาทันทีว่า นี่คือท่านอนแห่งเทพ ก็เลยกำหนดจิตดูกายเทพอีกที เป็นกายเบาๆๆๆ ลอยอยู่ในกากาศได้ เคลื่อนไหวได้ เวลาออกจากสมาธิ ก็คิดว่า นี่กระมั้ง ที่เขาว่าถ้าตายในสมาธิจะเกิดเป็นเทพ พรหม
:b44: :b44:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ม.ค. 2012, 18:02 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


กษมมาตา เขียน:
:b44: :b44: เรื่องแปลกอีกเรื่องที่อยากเล่าคือ เวลาที่จิตลอยอยู่ข้างนอก ปกติจะกำหนดดูเวทนาในจิตเสียเป็นส่วนใหญ่ ไม่ได้กำหนดดูกาย เพราะกำหนดดูกายเมื่อใดจิตจะกลับเข้ากาย แล้วสักพักก็จะออกจากสมาธิ เวลากำหนดลงที่กาย ถ้าตอนนั้นเห็นกายเนื้อจิตก็เข้ากายเนื้อทันที แต่ถ้าตอนนั้นร่างที่เห็นเป็นเหมือนทอง เครื่องแต่งกายเป็นทองคำ จิตก็เข้าไปอยู่ในกายนั้น จิตสงสัย ก็มีเสียงตอบมาทันทีว่า นี่คือท่านอนแห่งเทพ ก็เลยกำหนดจิตดูกายเทพอีกที เป็นกายเบาๆๆๆ ลอยอยู่ในกากาศได้ เคลื่อนไหวได้ เวลาออกจากสมาธิ ก็คิดว่า นี่กระมั้ง ที่เขาว่าถ้าตายในสมาธิจะเกิดเป็นเทพ พรหม
:b44: :b44:


:b1:

มาคอยให้กำลังใจคุณ อย่างไม่ห่างสายตา

เสียงนั้น มาจากไหน คุณรู้รึเปล่า
ตอนที่เรามีอาการคล้าย ๆ คุณ
เราถามกลับไปว่า "แล้วเธอเป็นใคร"

ถ้าคุณได้คำตอบแล้ว มาเล่าต่อนะ
ถ้าคำตอบนั้น มันทำให้คุณพูดไม่ออก
ก็แค่ส่งสัญญาณแบบแค่ให้พอรู้กันก็ได้นะ

เพราะเราก็ไม่เคยคิดจะนำเรื่องนี้มากล่าวตรง ๆ เลย

เพราะ กิเลสของคน :b1:
ที่จะเข้ามาหยิบสิ่งนั้นไปใช้

เหมือน มีด
ใช้ปลอกมะม่วงกินก็ได้
ใช้ฆ่าคน ก็ได้
และ มันจะไม่ถูกใช้เลยก็ได้

:b1: :b27: :b27:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.พ. 2012, 00:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2009, 00:02
โพสต์: 111

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b44: สภาวะขณะอยู่ในสมาธิเราไม่รู้สึกว่ามีกาย ความคิดคือคำพูด เหมือนการสื่อสารโดยจิต แต่ผู้ที่เราสื่อสารด้วยคือใคร เราไม่รู้ แต่ในสภาวะที่รู้สึกอึดอัดเช่นตอนที่รู้สึกเหมือนโดนผีอำ จิตเรานึกถึง หลวงพ่อโตเป็นที่พึ่งเกือบทุกครั้ง แล้วเราก็คุยกับท่าน ท่านก็แทนตัวเองว่าหลวงพ่อ เหมือนเราคุยกันทางจิต เพราะเราไม่เคยเห็นท่าน เราเคยฝันเห็นพระพุทธรูปที่แกะเป็นรูปท่าน แล้วท่านบอกว่าจะสอนสมาธิให้เรา ไม่ให้เรากลัว :b44:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ก.พ. 2012, 17:35 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


:b44: สภาวะขณะอยู่ในสมาธิเราไม่รู้สึกว่ามีกาย ความคิดคือคำพูด เหมือนการสื่อสารโดยจิต แต่ผู้ที่เราสื่อสารด้วยคือใคร เราไม่รู้

ปรากฎผัสสะ

Quote Tipitaka:
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! พระผู้มีพระภาคเจ้ากล่าวอยู่ว่า ‘ภพ – ภพ’ ดังนี้. ภพ ย่อมมีได้
ด้วยเหตุเพียงเท่าไรเล่า ? พระเจ้าข้า !”

อานนท์ ! ถ้ากรรม มีกามธาตุเป็นวิบาก จักไม่ได้มีแล้วไซร้. กามภพ
จะพึงปรากฏได้แลหรือ ?
“หามิได้ พระเจ้าข้า !”

อานนท์ ! ด้วยเหตุนี้แหละ กรรมจึงเป็นเนื้อนา, วิญญาณเป็นเมล็ดพืช,
ตัณหาเป็นยาง (สำหรับหล่อเลี้ยงเชื้องอก) ของพืช. วิญญาณของสัตว์ทั้งหลาย
มีอวิชชาเป็นเครื่องกั้น มีตัณหาเป็นเครื่องผูกพัน ตั้งอยู่แล้วด้วยธาตุชั้นทราม
(กามธาตุ), การบังเกิดขึ้นในภพใหม่ต่อไป ย่อมมีได้ ด้วยอาการอย่างนี้.

อานนท์ ! ถ้ากรรม มีรูปธาตุเป็นวิบาก จักไม่ได้มีแล้วไซร้, รูปภพจะพึงปรากฏได้แลหรือ ?
“หามิได้ พระเจ้าข้า !”

อานนท์ ! ด้วยเหตุนี้แหละ กรรมจึงเป็ นเนื้อนา, วิญญาณเป็ น
เมล็ดพืช, ตัณหาเป็นยาง (สำหรับหล่อเลี้ยงเชื้องอก) ของพืช. วิญญาณ
ของสัตว์ทั้งหลาย มีอวิชชาเป็นเครื่องกั้น มีตัณหาเป็นเครื่องผูกพัน ตั้งอยู่แล้ว
ด้วยธาตุชั้นกลาง (รูปธาตุ). การบังเกิดขึ้นในภพใหม่ต่อไป ย่อมมีได้ ด้วย
อาการอย่างนี้.

อานนท์ ! ถ้ากรรม มีอรูปธาตุเป็นวิบาก จักไม่ได้มีแล้วไซร้, อรูปภพจะพึงปรากฏได้แลหรือ ?
“หามิได้ พระเจ้าข้า !”

อานนท์ ! ด้วยเหตุนี้แหละ กรรมจึงเป็ นเนื้อหา, วิญญาณเป็ น
เมล็ดพืช, ตัณหาเป็นยาง (สำหรับหล่อเลี้ยงเชื้องอก) ของพืช. วิญญาณ
ของสัตว์ทั้งหลาย มีอวิชชาเป็นเครื่องกั้น มีตัณหาเป็นเครื่องผูกพัน ตั้งอยู่แล้ว
ด้วยธาตุชั้นประณีต(อรูปธาตุ), การบังเกิดขึ้นในภพใหม่ต่อไป ย่อมมีได้
ด้วยอาการอย่างนี้.
อานนท ◌์ ! ภพ ย่อมมีได้ ด้วยอาการอย่างนี้แล.


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ก.พ. 2012, 18:36 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


สัญญา ทำงานมีประสิทธิภาพในระดับหนึ่ง

เมื่อกำลังสมาธิถึงระดับหนึ่ง สัญญา จะทำงานคลาดเคลื่อน ในระยะแรก ๆ
เพราะ ไม่มีกรรไกรตัดผ้า เขาจึงหยิบกรรไกรตัดเล็บมาให้แทน

เป็นการเปรียบเทียบที่เอกอนใช้น่ะ
เมื่อเราเข้าไปถึงสมาธิในระดับที่ เราไม่เคยเข้าถึงมาก่อน

มีโอกาสที่จะได้เจอกับสภาวะหนึ่งของการตอบสนองต่อผัสสะ
ก็คือเหมือนกับมีคนเอาภาพกรรไกรตัดผ้าให้เด็กดู
และบอกให้เด็กคนนั้นเข้าไปในบ้าน และหยิบสิ่งที่เห็นไปให้เรา
แต่เมื่อเขาเข้าไป เขาหาไม่เห็นกรรไกรตัดผ้า
แต่เขาจะต้องหยิบอะไรสักอย่างไปให้เรา
และเขาจะหยิบสิ่งที่มีอะไรบางอย่างที่ใกล้เคียงกันที่เขาเห็นได้ในตอนนั้นนั่นล่ะ มาให้เรา

:b1: :b1: :b1:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.พ. 2012, 21:27 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
ผัสสมูลกสูตร
[๓๘๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เวทนา ๓ นี้เกิดแต่ผัสสะ มีผัสสะเป็นมูล
มีผัสสะเป็นเหตุ มีผัสสะเป็นปัจจัย เวทนา ๓ เป็นไฉน เวทนา ๓ คือ
สุขเวทนา ทุกขเวทนา อทุกขมสุขเวทนา ดูกรภิกษุทั้งหลาย สุขเวทนาเกิดขึ้นเพราะ
อาศัยผัสสะอันเป็นปัจจัยแห่งสุขเวทนา ความเสวยอารมณ์ที่เกิดแต่ผัสสะนั้น ชื่อว่า
สุขเวทนา เกิดขึ้นเพราะอาศัยผัสสะอันเป็นที่ตั้งแห่งสุขเวทนานั้น ย่อมดับไป
สงบไป เพราะผัสสะอันเป็นที่ตั้งแห่งสุขเวทนานั้นแลดับไป ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ทุกขเวทนาย่อมเกิดขึ้น เพราะอาศัยผัสสะอันเป็นที่ตั้งแห่งทุกขเวทนา ความ
เสวยอารมณ์ อันเกิดแต่ผัสสะนั้น ชื่อว่าทุกขเวทนา เกิดขึ้นเพราะอาศัยผัสสะ
อันเป็นตั้งแห่งทุกขเวทนานั้น ย่อมดับไป สงบไป เพราะผัสสะอันเป็นที่ตั้งแห่ง
ทุกขเวทนานั้นแลดับไป อทุกขมสุขเวทนา ย่อมเกิดขึ้น เพราะอาศัยผัสสะอัน
เป็นที่ตั้งแห่งอทุกขมสุขเวทนา ความเสวยอารมณ์อันเกิดแก่ผัสสะนั้น ชื่อว่า
อทุกขมสุขเวทนา เกิดขึ้นเพราะอาศัยผัสสะอันเป็นที่ตั้งแห่งอทุกขมสุขเวทนา
นั้นย่อมดับไป สงบไป เพราะผัสสะอันเป็นที่ตั้งแห่งอทุกขมสุขเวทนานั้นแล
ดับไป ฯ
[๓๙๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะไม้สองอันเสียดสีกัน เพราะการ
เสียดสีกันจึงเกิดไออุ่น จึงเกิดไฟ เพราะแยกไม้สองอันนั้นแหละออกจากกัน
ไออุ่นที่เกิดเพราะการเสียดสีนั้นย่อมดับไป สงบไป ฉันใด ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เวทนา ๓ นี้ก็ฉันนั้นเหมือนกันแล เกิดแต่ผัสสะ มีผัสสะเป็นมูล มีผัสสะเป็น
เหตุ มีผัสสะเป็นปัจจัย เวทนาอันเกิดแต่ผัสสะ เกิดขึ้นเพราะอาศัยผัสสะที่เกิด
แต่ปัจจัยนั้น ย่อมดับเพราะผัสสะที่เกิดแต่ปัจจัยนั้นดับไป ฯ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 202 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 8, 9, 10, 11, 12, 13, 14  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร