วันเวลาปัจจุบัน 21 ก.ค. 2025, 05:24  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 95 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 3, 4, 5, 6, 7  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ส.ค. 2012, 10:53 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 มิ.ย. 2012, 15:53
โพสต์: 410


 ข้อมูลส่วนตัว


คุณเจ็บปวดทำใจยอมรับมันได้แล้วนี่เจ้าคะ อย่างน้อยคุณเจ็บปวดก็ก้าวมาได้อีกก้าวหนึ่งแล้วนะ
คุณเจ็บปวดต้องพยายามคะ ยอมรับมันให้ได้ วันนี้เห็นคุณเจ็บปวดเข้มแข็งขึ้นก็ดีใจมากแล้วคะ
ทุกสิ่งทุกอย่างต้องใช้เวลาในการแก้ปัญหาเจ้าคะ หากเราทำใจให้ปล่อยวาง เราก็จะไม่เจ็บปวด
สักวันหนึ่งคุณเจ็บปวดจะเข้าใจคำว่าปล่อยวาง ถึงวันนี้อุ๋ยจะไม่ได้เข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง แต่อุ๋ยก้รู้สึกได้
ถึงจิตใจที่สงบของอุ๋ย หากวันนี้เราก้าวได้ 1 วันที่2 เราย่อมก้าวได้2 และทุกๆวันเราจะก้าวไปช้าๆ
กับสติ และสมาธิ ของเรา และเราจะใช้ปัญญาแก้ปัญหา ถึงแม้ว่าปัญหานั้นแก้ไม่ได้ ก็ไม่ต้องเสียใจคะ
ทำใจยอมรับมันคะ และเราก็ทำวันนี้ของเราให้ดีที่สุด ทุกสิ่งทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับตัวเราเท่านั้นเอง
เราเลือกที่จะเป็นแบบไหน หรือเหลือที่จะอยู่แบบไหน แล้วสบายคะ ลองทำใจ และเข้าถึงจิตใจดู
มองใจให้เป็นศูนย์ ปล่อยวาง จนมองไม่เห็นอะไรในจิตใจ แล้วคุณเจ็บปวดจะรู้ได้ว่า ในโลกนี้ไม่มี
อะไรแน่นอน สิ่งแน่นอนเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน เอาใจอยู่กลางๆ อย่างเอียงซ้าย เอียงขวา เพราะไม่เช่น
นั้นแล้วเราจะทุกข์คะ อย่าติดสุข และอย่าติดทุกข์ แล้วเราจะเริ่มเห็นสัจธรรมของชีวิตว่ามันไม่แน่นอน
ของทุกสิ่งทุกอย่าง มีตั้งอยู่ แล้วก็ดับไปคะ ไม่มีอะไรที่จะคงอยู่ แม้แต่ร่างกายของเรา ถือว่าเป็นสิ่ง
สมมุติขึ้นทั้งนั้น ถ้าเรามองดูดีๆ เราจะเห็นแก่นแท้ของชีวิตคะ อย่าทุกข์ให้มากเลย ชีวิตนี้มันสั้นนัก
เหมือนพระท่านว่า เราควรทำความดี และตั้งใจทำแต่สิ่งดีๆๆคะ ความแค้น เราก็แค่ได้ความสะใจ
แต่ว่าเราจะทุกข์ใจซะมากกว่าคะ ทำใจยอมรับแล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็ผ่านไปด้วยดีคะ สู้ๆๆนะคะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ส.ค. 2012, 17:33 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 มิ.ย. 2012, 15:53
โพสต์: 410


 ข้อมูลส่วนตัว


:b24: จะรู้ว่าโลกนี้กว้างใหญ่
ก็ต่อเมื่อเราได้…ออกเดินทาง
จะรู้ว่าคุณค่าของอะไร ในสักอย่าง
ก็ต่อเมื่อเราได้…เสียมันไป
จะรู้ความหมาย ของฟ้าหลังฝน
ก็ต่อเมื่อเราผ่านพ้น…มันมาได้
จะรู้ว่ายังมีเรื่องราว อีกมากมาย
ก็ต่อเมื่อเราเปิดใจ…ยอมรับมัน
จะรู้ว่าในหนังสือ มีอะไร
ก็ต่อเมื่อเราได้…ลองเปิดอ่าน
จะรู้เวลา ของดอกไม้บาน
ก็ต่อเมื่อเราเฝ้าตาม…อยู่อย่างนั้น
จะรู้ว่าเรื่องหัวเราะ มันมีค่า
ก็ต่อเมื่อเราเสียน้ำตา…ในสักวัน
จะรู้ถึงความในใจ ของกันและกัน
ก็ต่อเมื่อเราได้พูด…มันออกไป
จะรู้ว่าอะไรที่เรียกว่าคิดถึง
ก็ต่อเมื่อในความคำนึง…มีใครสักคน
จะรู้ความหมายในคำรัก สักหน
ก็ต่อเมื่อมีใครบางคน…ให้หวั่นไหว
จะรู้ว่าค่ำคืนนี้ คงไม่เงียบเหงา
ก็ต่อเมื่อเรื่องเล่า…ได้มีโอกาสบอกไป
จะรู้ว่าทุกคำพูด หมดความหมาย
ก็ต่อเมื่อคนๆนั้น…ไม่อยู่ให้บอก :b25:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.ย. 2012, 10:09 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 มิ.ย. 2012, 15:53
โพสต์: 410


 ข้อมูลส่วนตัว


วิธีอยู่กับคนที่เราเกลียด

รู้ไหมว่า เรามีเวลาอยู่ในโลกนี้คนละกี่ปี

ชีวิตนั้นสั้นยิ่งกว่าหยดน้ำค้างเสียอีก จะตายวันตายพรุ่งก็ไม่มีใครรู้ล่วงหน้า

ถ้าเราใช้เวลาอันแสนสั้นนี้ไปมัวหลับๆตื่นๆอยู่ในความรัก โลภ โกรธ หลง
หมั่นไส้คนนั้น ปลาบปลื้มคนนี้ ริษยาเจ้านายใส่ไคล้ลูกน้อง
ปกป้องภาพลักษณ์ (อัตตา) กด (หัว)
คนรุ่นใหม่หลงใหลเปลือกของชีวิต โดยลืมไปเลยว่าอะไรคือสิ่งที่ตนควรทำอย่างแท้จริง
คิดดูเถิดว่า เราจะขาดทุนขนาดไหน

ท่านอังคาร กัลยาณพงศ์ เขียนบทกวีไว้ว่า

''น้ำไหลอายุขัยก็ไหลล่วง ใบไม้ร่วงชีพก็ร้างอย่างความฝัน
ฆ่าชีวาคือพร่าค่าคืนวัน จะกำนัลโลกนี้มีงานใด''

คนเราไม่ควรพร่าเวลาอันสูงค่าด้วยการปล่อยตัวปล่อยใจ
ให้ตกเป็นทาสของความชอบ ความชัง มากนัก
เพราะถ้าเราวิ่งตามกิเลส กิเลสก็จะพาเราวิ่งทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ต่อไปไม่รู้จบ
กิเลสไม่เคยเหนื่อย แต่ใจคนเราสิจะเหนื่อยหนักหนาสาหัสไม่รู้กี่เท่า

ควรคิดเสียใหม่ว่า เราไม่ได้เกิดมาเพื่อที่จะชอบหรือไม่ชอบใคร
หรือเพื่อที่จะให้ใครมาชอบหรือมาชัง
แต่เราเกิดมาสู่โลกนี้เพื่อทำในสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์คนหนึ่งควรจะทำ
เอาเวลาที่รู้สึกแย่ๆ กับคนอื่นนั้นหันกลับมามองตัวเองดีกว่า
ชีวิตนี้เรามีอะไรบ้างที่เป็นแก่นสาร มีงานอะไรบ้างที่เราควรทำ
นอกจากนั้นก็ควรมองกว้างออกไปอีกว่า
เราได้ทำอะไรไว้ให้แก่โลกบ้างแล้วหรือยัง

คนทุกคนนั้นต่างก็มีดีมีเสียอยู่ในตัวเอง
ถ้าเราเลือกมองแต่ด้านเสียของเขา
จิตใจของเราก็เร่าร้อน หม่นไหม้

เวลาที่เสียไปเพราะมัวแต่สนใจด้านไม่ดีของคนอื่นก็เป็นเวลาที่ถูกใช้ไปอย่างไร้ค่า

บางที่คนที่เราลอบมอง ลอบรู้สึกไม่ดีกับเขานั้น
เขาไม่เคยรู้สึกอะไรไปด้วยกันกับเราเลย
เราเผาตัวเราเองอยู่ฝ่ายเดียวด้วยความหงุดหงิด ขัดเคืองและอารมณ์เสีย
วันแล้ววันเล่า สภาพจิตใจแบบนี้ไม่เคยทำให้ใครมีคุณภาพชีวิตดีขึ้นมาได้เลย

ลองเปลี่ยนวิธีคิด วิธีมองโลกเสียใหม่ดีกว่า

คิดเสียว่าคนเราไม่มีใครดีพร้อมหรือ เลวไม่มีที่ติไปเสียทั้งหมดหรอก
เราอยู่ในโลกกันคนละไม่กี่ปี ประเดี๋ยวเดียวก็จะล้มหายตายจากกันไปหมดแล้ว
มาเสียเวลากับเรื่องไร้สาระทำไม

อะไรที่ควรทำก็รีบทำเถิดปล่อยวางเสียบ้าง
ความโกรธ ความเกลียดนั้นไม่มีคุณค่าอะไรต่อชีวิตอันแสนน้อยนิดนี้เลย
มุ่งไปข้างหน้า ไปหาสิ่งที่มีคุณค่าให้ชีวิตดีงามดีกว่า

วิธีที่แนะนำทั้งหมดนั้น นักภาวนาเรียกว่า ''การกลับมาอยู่กับตัวเอง''
กล่าวคือ ถ้าเราเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องอยู่กับคนที่ไม่ถูกโฉลก
แทนที่จะปล่อยใจให้อยู่กับ ความรู้สึกแย่ๆไปตลอด ก็ควรหันกลับเข้ามา ''มองด้านใน''
แก้ไขที่ตัวเอง อย่ามุ่งแก้ไขที่คนอื่น
เพราะยิ่งพยายามแก้ไขคนอื่น ก็ยิ่งยุ่งเหมือนลิงทอดแห
ยิ่งเราให้ความสำคัญกับคนที่เราเกลียดมากเท่าใด
สภาพจิตใจก็ยิ่งแย่ลงมากเท่านั้น

วิธีที่ดีที่สุดในการอยู่กับคนที่เรารู้สึกไม่ดีหรือเป็นปฏิปักษ์ก็คือ
การดึงความรู้สึกจากเขามาอยู่เราทุกขณะ
หรือถ้าเช่นนั้นก็ย้ายตัวเองออกไปเสียจาก สภาพแวดล้อมเช่นนั้นให้เร็วที่สุด
อย่าอยู่นานจนทุกข์นั้นกลัดหนองเป็นมะเร็งร้ายในอารมณ์

ปราชญ์จีนบอกว่า ''ถ้ามีขุนเขาขวางท่านอยู่ข้างหน้า อย่าเสียเวลาย้ายขุนเขา
แต่จงย้ายตัวเอง ''

ดังนั้นเราควรจะย้ายภูเขาที่อยู่ข้างในหรือจะย้ายภูเขาที่อยู่ข้างนอก?


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.ย. 2012, 10:10 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 มิ.ย. 2012, 15:53
โพสต์: 410


 ข้อมูลส่วนตัว


ทุกข์เพราะไม่ยอมปล่อย

คนถ้าไม่ทุกข์ไม่ลืมตา ถ้ามันสุขมันดับสนิทขี้เกียจไปเลย

ทุกข์มันแทงขึ้นมาให้มีความคิดมาก ให้ขยายตัวขึ้นมามาก ยิ่งมีความทุกข์มาก ทุกข์มันเกิดมาเพราะอะไรจะต้องดูมัน ไม่ใช่นั่งให้มันหมดทุกข์เฉย ๆ

บัดนี้ฉันหนักแล้วเพราะอะไร เพราะยกแก้วขึ้นมามันถึงหนัก ถ้าปล่อยมันเฉยๆ แก้วนี้มันไม่หนัก หนักก็ไม่ปรากฏกับเรา เพราะเราไม่ไปสัมพันธ์กับมันมันก็ไม่หนัก เรื่องทุกข์มันเป็นอย่างนั้น

แล้วทำไมมันถึงหนัก ทำไมมันถึงทุกข์ เพราะไปจับทุกข์มาไว้ แต่เราไม่เข้าใจว่าทุกข์ ว่าทุกข์นั้นจะเป็นของประเสริฐ ว่าทุกข์จะเป็นของดี ให้วางก็วางไม่ได้ ให้ปล่อยก็ปล่อยไม่ได้ ก็หนักอยู่อย่างนั้น ก็ทุกข์อยู่อย่างนั้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.ย. 2012, 10:17 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 มิ.ย. 2012, 15:53
โพสต์: 410


 ข้อมูลส่วนตัว


ทุกข์เพราะคนรักหนีจากไป

สามีภรรยาคู่หนึ่งรักใคร่กันดี แต่พอประสบปัญหาเศรษฐกิจไม่ดี ก็เริ่มมีปากเสียงกันและมากขึ้นๆ จนภรรยาทนไม่ได้ขอกลับไปอยู่กับแม่ ต่อมาเมื่อสามีได้อ่านหนังสือ “ทุกข์เพราะคิดผิด” ก็ได้คิดสำนึกรู้ตัวว่าตัวเองก็ผิดมากเพราะใช้อารมณ์และบ่นมากไป จึงไปเจรจาขอให้ภรรยากลับบ้าน แต่ภรรยาไม่ยินยอม คงพูดถึงเรื่องเก่าๆ ด้วยความเจ็บใจ สามีก็เป็นทุกข์เพราะทั้งห่วงและหวงภรรยา จึงมีจดหมายมาปรับทุกข์กับพระอาจารย์

พระอาจารย์สอนว่า

อาตมาได้รับจดหมายจากคุณโยมแล้ว รู้สึกว่าเห็นใจคุณโยมเหมือนกัน แต่ว่าคุณโยมก็ควรพิจารณาให้เข้าใจ และยอมรับความจริงของชีวิต คุณโยมคงจะรู้สึกเป็นทุกข์และคิดว่าตัวเองเป็นคนที่โชคร้ายมากคนเดียวในโลก แต่ความจริงแล้ว สิ่งที่คุณโยมกำลังประสบอยู่ก็เป็นธรรมดาของมนุษย์ทุกชีวิต ไม่มากก็น้อย ไม่ปัจจุบันก็ในอนาคต ไม่วันใดก็วันหนึ่ง

ความรู้สึกผิดหวัง ไม่สมปรารถนา เสื่อมลาภ ทุกข์ เป็นโลกธรรมฝ่ายที่ให้โทษ แต่ทุกคนก็ล้วนต้องประสบ ถ้าเราศึกษาพุทธประวัติ จะพบว่าแม้แต่พระพุทธองค์เองก็ประสบเหมือนกัน เมื่อครั้งพระพุทธองค์เสด็จหนีออกจากวังไปบวชเพื่อแสวงหาความพ้นทุกข์ เพื่อช่วยตนเองและผู้อื่นนั้น แม้ว่าเป็นเจตนาที่ดีก็ตาม แต่เมื่อดูความรู้สึกของพระบิดา พระมเหสี พระโอรส และพระญาติของพระองค์ ก็คงมีความรู้สึกเหมือนคุณโยมในปัจจุบันนี้เช่นกัน
นอกจากนั้น ลูกศิษย์ของพระองค์เองคือ พระเทวทัต ก็ได้พยายามฆ่าพระองค์อยู่หลายครั้ง และมีช่วงหนึ่งพระราชาผู้ซึ่งเป็นโยมอุปฐากของพระพุทธองค์มีเหตุให้ต้องยกกองทัพไป ฆ่าพระญาติของพระองค์ทั้งหมด พระพุทธองค์ได้ทรงห้ามถึง 3 ครั้ง จนถึงครั้งที่ 4 พระองค์ทรงพิจารณาแล้วว่าเป็นกรรม ไม่สามารถห้ามได้ เป็นเหตุให้ราชวงศ์ศากยะถูกฆ่าหมด พระพุทธองค์หมดสิ้นพระญาติตั้งแต่บัดนั้น และครั้งหนึ่งพระองค์เสื่อมเอกลาภถึงขนาดที่ทั้งพระองค์และหมู่ภิกษุต้อง ฉันอาหารที่ใช้เลี้ยงม้าตลอดทั้งพรรษา

ในบางพรรษา ลูกศิษย์ของพระพุทธองค์มีเรื่องขัดแย้งถึงแตกสามัคคีกัน พระองค์ทรงห้ามอย่างไรก็ไม่เชื่อฟัง พระองค์จึงเสด็จหนีไปจำพรรษาอยู่ในป่าตามลำพัง อีกครั้งหนึ่งที่โลกธรรมฝ่ายที่เป็นโทษเกิดแก่พระพุทธเจ้า คือเมื่อ พระองค์ถูกชาวเมืองนินทาว่าร้าย เพราะถูกนักบวชนอกศาสนาใส่ความว่า พระองค์ทำให้อุบาสิกาตั้งท้อง

ให้คุณโยมน้อมพิจารณาดู แม้แต่พระพุทธองค์ผู้ซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็นมหาบุรุษของโลก ชีวิตของพระองค์ก็ไม่ราบรื่นเช่นกัน พระพุทธองค์ก็ได้ตรัสสอนว่า “ชีวิตเป็นทุกข์”

“ทุกข์สัจจะ” ได้แก่

1. ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย เป็นทุกข์
2. ความประสบกับสิ่งไม่เป็นที่ชอบใจ ก็เป็นทุกข์
3. ความพลัดพรากจากสิ่งเป็นที่รักที่พอใจ ก็เป็นทุกข์
4. ความผิดหวัง ไม่ได้รับสิ่งที่ต้องการ ก็เป็นทุกข์

สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นความจริงของชีวิต
เราจึงควรยอมรับความจริงเหล่านี้
ไม่มีชาวโลกคนใดจะหนีพ้นได้

ปัญหาคุณโยมกับภรรยานั้น ถ้าพูดถึงความถูกผิดแล้ว
ต่างก็ผิดเหมือนกัน ถูกผิดเท่ากัน
ดังนี้ ต่างคนควรหาข้อเสียของตัวเอง

สิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว ก็เป็นความพอดีกับการกระทำที่แต่ละคนได้ทำมา
ถ้าผิดฝ่ายเดียว ปัญหาคงไม่เกิด
เหมือนกับตบมือข้างเดียว เสียงย่อมไม่ดัง

ดังนั้น สิ่งที่ควรปฏิบัติ คือ

ประการที่หนึ่ง ทำความรู้สึกปล่อยวาง เพื่อให้ใจสงบ

ประการที่สอง เจริญเมตตา พยายามส่งกระแสใจที่เป็นความปรารถนาดี เป็นความรักที่บริสุทธิ์ให้แก่ภรรยา อาจใช้วิธีนึกเห็นมโนภาพ เห็นหน้าเห็นตาที่ยิ้มแย้มแจ่มใจของเขา ไม่ว่าเขาจะอยู่ที่ไหนกับใคร ขอให้เขามีความสุข ให้พยายามเจริญเมตตา คิดดี พูดดี ทำดี ทั้งแก่ตัวเราเองและแก่ภรรยา ผลก็คือ ตัวเราก็จะเกิดความสุขด้วย

ประการที่สาม ถ้าพูดในระยะยาวถึงเรื่องภพชาติแล้ว คุณโยมและภรรยาคงเคยผูกพันกันมาตั้งแต่อดีตชาติ จึงเป็นเหตุให้ชาตินี้ได้เป็นสามีภรรยากัน และต่อไปในชาติหน้าก็อาจจะได้ใช้ชีวิตร่วมกันอีก

ถ้าคุณโยมไม่แก้ปัญหาให้เกิดความเข้าใจกัน
ไม่ได้ให้อภัยและอโหสิกรรมให้แก่กันในชาตินี้
ชาตินี้เป็นอยู่อย่างไร ชาติหน้าก็จะเป็นเหมือนกับที่เป็นอยู่ในชาตินี้เช่นกัน

ใครได้เปรียบในชาตินี้ ชาติหน้าก็จะเสียเปรียบ
ใครเสียเปรียบในชาตินี้ ชาติหน้าก็จะได้เปรียบ
เรื่องกรรมก็เป็นเช่นนี้
ใครฆ่าเราในชาตินี้ ชาติหน้าเราก็ฆ่าเขา

ถ้าชาตินี้เขาทอดทิ้งเรา ชาติหน้าเราก็ทอดทิ้งเขา
ถ้าชาตินี้ใครนอกใจเรา ชาติหน้าเขาก็จะถูกนอกใจเช่นกัน
เรื่องที่คุณโยมประสบอยู่ในขณะนี้
ชาติก่อนคุณโยมอาจเป็นฝ่ายทำเขาก่อนก็เป็นได้

ดังนั้น ถ้าเรามองจากทั้ง 2 ฝ่ายในระยะยาวแล้ว
ต่างคนจึงต่างเป็นผู้ผิด
เหมือนไก่กับไข่ซึ่งไม่มีเงื่อนงำว่าอะไรเกิดก่อนกัน
ในเรื่องนี้ก็ไม่สามารถตัดสินได้ว่าใครผิดก่อนกัน

เมื่อเราเข้าใจเช่นนี้แล้ว พิจารณาดูจะเห็นว่า
สิ่งที่เป็นอยู่ในขณะนี้เป็นสิ่งที่น่ากลัว
เพราะถ้ายังอยู่ในสภาพนี้ ชาติต่อๆ ไป ก็จะเป็นเช่นนี้เรื่อยไป
ทำให้ต้องทุกข์ต่อไปหลายภพหลายชาติ

ผู้ที่ไม่ประมาทจึงควรแก้ปัญหาในชาตินี้
ดังนั้น สิ่งที่เราทำได้ คือคิดแก้ปัญหาที่ตัวเราก่อน แก้ที่ใจเรา

สิ่งที่ควรปฏิบัติ คือ

(1) ยอมรับความจริงดังกล่าว
(2) ปล่อยวางอดีต ให้เหมือนกับไม่มีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น
(3) ให้อภัย เจริญเมตตา ไม่ถือโกรธ ไม่อาฆาตพยาบาทเขา
(4) ทำใจเราให้สงบ

เมื่อทำได้เช่นนี้จริงๆ เราจะอยู่ด้วยกันในชาตินี้ก็ดี ชาติหน้าก็ดี
ก็อยู่ด้วยกันอย่างปกติสุขได้

การคืนดีกันในชาตินี้ จะได้หรือไม่ ไม่ควรถือว่าสำคัญ
ขอให้เรามีจิตใจที่จะคืนดีแก่เขาอยู่ในตัวเราก่อน
ปฏิบัติตนเป็นคนดี คิดดี พูดดี ทำดี
จนเขารู้จัก เข้าใจ และเห็นใจเรา
และควรจะปฏิบัติให้มีการอโหสิกรรมแก่เขา
ซึ่งก็เหมือนช่วยตัวเองด้วย อย่างน้อยเราก็จะมีชีวิตที่เป็นสุขได้

ในเรื่องภรรยาและลูกก็ไม่ต้องห่วงอะไรมากนัก
ขณะนี้เราอาจจะมีความรู้สึกว่าเขาหนีจากเราไป
ถ้าลองเปลี่ยนความคิดดู “พลิกนิดเดียว”
ลองคิดว่า เราจะหนีจากเขาบ้าง
ลองมาบวชดูชั่วคราว
หรือจะบวชตลอดไปก็ได้ ถ้ามีความสุข
เพราะความสุขความสบายจากการอยู่คนเดียวก็มีเหมือนกัน

อย่างที่พระพุทธองค์ได้ตรัสไว้ว่า
“การไม่มีภรรยา เป็นลาภอันประเสริฐ”
ถึงจะอยู่คนเดียว ก็พยายามอยู่ให้มีความสุข
เขาจะกลับมาก็ได้ ไม่กลับมาก็ได้

สุดท้ายนี้ ขอให้คุณโยมพิจารณาให้ดีๆ
ปฏิบัติให้ถูกต้องตามหลักพุทธธรรม สมเหตุ สมผล
และขอให้บรรเทาทุกข์ พ้นทุกข์โดยเร็วๆ นี้
ขอให้มีความสุขยิ่งๆ ขึ้นไป..... เจริญพร

โดย พระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 95 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 3, 4, 5, 6, 7

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร