วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 04:59  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 7 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 มิ.ย. 2015, 22:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 ก.พ. 2009, 20:49
โพสต์: 3979

แนวปฏิบัติ: พอง-ยุบ
งานอดิเรก: อ่านหนังสือ
ชื่อเล่น: นนท์
อายุ: 42
ที่อยู่: นครสวรรค์

 ข้อมูลส่วนตัว


ประหยัดปาก
พระพุทธพจนวราภรณ์ (หลวงปู่จันทร์ กุสโล)
วัดเจดีย์หลวงวรวิหาร ต.พระสิงห์ อ.เมือง จ.เชียงใหม่


รูปภาพ

ได้กล่าวแล้วว่า “ปาก” เป็นสื่อสารสำคัญในการติดต่อ
คนเราจะรักกันก็เพราะปาก จะชังกันก็เพราะปาก
คนที่พูดไม่ได้เขาเรียกว่าคนใบ้ คนที่เป็นใบ้ โดยส่วนมากแล้วหูหนวกด้วย
ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น เพราะถ้าหูไม่หนวก คนอื่นพูดอะไรก็ได้ยิน
พูดดีก็ได้ยิน พูดร้ายก็ได้ยิน แต่ตัวเองไม่มีโอกาสได้ตอบโต้
ท่านว่าคนนั้นจะอกแตกตายเพราะความอึดอัดในใจที่ไม่ได้พูด
การพูดจึงเท่ากับเป็นการระบายความในใจของตนให้คนอื่นรับรู้
คำพูดแต่ละคำจึงเป็นการส่อแสดงถึงน้ำใจ
ดังพระพุทธภาษิตว่า “วาจาเช่นกับน้ำใจ”
ดังนั้นการเปล่งวาจาออกมาแต่ละคำจึงต้องประหยัด
คือระมัดระวัง พูดแต่เฉพาะวาจาที่เป็นประโยชน์เท่านั้น

โบราณท่านสอนว่า “อยู่คนเดียวให้ระวังความคิด อยู่กับมิตรให้ระวังวาจา”
ขณะใดเรามีโอกาสอยู่คนเดียว ขณะนั้นเราไม่มีโอกาสใช้ปาก โทษทางปากจึงไม่มี
แต่ขณะเดียวกันนั้นสิ่งที่เราจะลืมเสียมิได้คือความคิด
ความคิดเป็นความเคลื่อนไหวของจิตใจ
แม้ไม่มีโอกาสแสดงออกมาให้ปรากฏในภายนอก เป็นความรู้สึกนึกคิดที่กรุ่นอยู่ภายใน
ก็สามารถทำความเดือดร้อนวุ่นวาย และความสงบเย็นเป็นสุขให้กับผู้เป็นเจ้าของความคิดได้
ความรู้สึกนึกคิดนี่เองเป็นพื้นฐานของความสุขและความทุกข์ทั้งปวง
มีพุทธภาษิตบทหนึ่งรับรองว่า “เมื่อจิตใจดี คือไม่เศร้าหมองขุ่นมัวแล้ว
การทำหรือการพูดก็ดีไปตาม ความสุขย่อมมีได้เพราะจิตใจที่ดีนั้น”

ตรงข้ามกับ “เมื่อจิตใจไม่ดี เศร้าหมองขุ่นมัว
การทำหรือการพูดก็พลอยเสีย ความทุกข์ย่อมมีได้ เพราะจิตใจที่เสียนั้น”

การประหยัดปากจะได้ผล จึงต้องสำรวมระวังใจพร้อมกันไปด้วย

คำที่ว่าอยู่ท่ามกลางมิตรให้ระวังวาจา นั้น
แสดงว่าเมื่อเข้าสู่สมาคมร่วมกับคนอื่น
สิ่งที่จะเป็นผลดีผลร้ายกับตัวเราเอง คือ วาจา หรือ ปาก


ลักษณะของปากคม คำว่าปากคม เป็นคำที่น่าคิด
ปากของคนจะคมได้อย่างไร ไม่ใช่ปากนก ปากกา
คำว่าปากคมจึงไม่หมายถึงปากที่ใช้บดเคี้ยวอาหาร ซึ่งมีฟัน มีหนังหุ้มห่ออยู่นี้
แต่หมายถึงลักษณะของคำพูด คือเสียงหรือสำเนียงที่เปล่งออกมา
ที่ว่าคมนั้น หมายได้ทั้งส่วนดีและส่วนเสีย
ถ้าผู้พูดพูดด้วยเจตนาดี มีความรู้ ก็เรียกคำพูดหรือโวหารนั้นว่า “คารมคมคาย”
คือพูดแล้วน่าคิด ชวนฟัง ทำให้ผู้ฟังเกิดความคิด ได้สติปัญญาพร้อมกันไปด้วย
แต่ถ้าผู้พูดพูดด้วยเจตนาที่ไม่บริสุทธิ์ มีเจตนามุ่งร้าย
มีท่าทีกิริยาเหน็บแนม ทั้งค่อนขอด เปรียบเปรย
คำพูดนั้น แม้จะเป็นคำที่จริงหรือเป็นคำที่อ่อนหวาน ก็จัดเป็นคำพูดที่เสีย
คนปากประเภทนี้มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าปากตะไกร
พูดแล้วทำให้ผู้ฟังรู้สึกเจ็บแสบอยู่ในใจ แม้จะไม่เจ็บเนื้อเจ็บหนัง
แต่ก็สามารถผ่านลึกเข้าไปเชือดเฉือนบาดหัวใจ ถึงเลือดจะไม่ตก ยางจะไม่ออก
แต่ทำให้เสียน้ำใจ ดังคำกลอนบทหนึ่งกล่าวว่า

คมสามารถศาสตราสิ้นทั้งหมด ฉันว่ารสเล่ห์ลมนั้นคมกว่า
หากจะเชือดเลือดเนื้อเอาเกลือทา ชาวโลกาเห็นแท้ว่าแผลตาย
คมวาจาหากว่าจะถากถาง ให้เห็นทางแทบถึงซึ่งฉิบหาย
บางทีก็พอช้ำระกำกาย บางคนตายด้วยรสพจนา
ไม่ต้องบั่นฟันเชือดให้เลือดตก เจ็บในอกช้ำคำที่ร่ำว่า
ถึงคมกรดไม่เท่ารสของวาจา ยิ่งศาสตราสู้ศัตรูดูอุบาย


ทั้งหมดนี้คืออิทธิพลของปาก ปากประเภทนี้นอกจากจะเรียกว่าปากตะไกรแล้ว
ยังเรียกว่า ปากจัด ปากร้าย ปากเสีย ปากไม่ดี เป็นปากที่ควรประหยัดไม่ควรพูด
เพราะทำให้ผู้ฟังเกิดความเดือดร้อน กระทบกระเทือนใจ
ลักษณะของปากบอน ปากอยู่ไม่สุข ชอบเก็บเอาเรื่องของคนอื่นมานินทา เพิ่มเติมเสริมต่อ
เรื่องเล็กทำให้เป็นเรื่องใหญ่ เรื่องสั้นทำให้เป็นเรื่องยาว จับกลุ่มกันที่ไหนก็นินทากันที่นั่น
นอกจากเก็บเอาเรื่องของคนอื่นมานินทาว่าร้ายแล้ว
ยังแสวงหาประโยชน์จากการนินทานั้นด้วย
คือเก็บเอาเรื่องคนนี้ไปเล่าให้คนนั้นฟัง เก็บเอาเรื่องของคนนั้นมาเล่าให้คนนี้ฟัง
เพื่อประจบสอพลอเขาบ้าง เพื่อให้เขาทะเลาะวิวาทกันบ้าง
คนที่มีนิสัยปากบอน เป็นบุคคลประเภทระเบิดทำลาย อยู่ที่ไหนบ่อนแตกที่นั่น
เป็นตัวหนอนบ่อนทำลายความสงบสุขของคนอื่น เป็นเชื้อโรคที่คอยแทรกซึม
คอยตัดกำลังความสามัคคีของหมู่คณะ ความสัมพันธ์อันดีระหว่างหมู่คณะ
ตลอดถึงระหว่างบุคคลต่อบุคคล ระหว่างประเทศต่อประเทศ ทำให้โลกชุลมุนวุ่นวาย
ก็เพราะบุคคลประเภทปากบอน คอยยุให้รำตำให้รั่ว
คอยหยอดถ้อยคำที่เป็นพิษเป็นภัยอยู่เสมอ

จิตใจของคนปากบอนเป็นจิตที่ยินดีในความชั่ว ในความเสื่อม
ถ้าได้เห็นความเสื่อมเสียหายของคนอื่นแล้วใจเป็นสุข
คล้ายกับแมลงวันที่คอยแสวงหาของเหม็นอยู่เสมอ
คนมีนิสัยปากบอน ถ้าได้เห็นคนอื่นเขามีความสุขความเจริญ
กลับไม่สบายใจ ใจเป็นทุกข์กลัวเขาจะได้ดีกว่า
คอยหาทางลิดรอนทำลายความสุขของคนอื่นอยู่เสมอ
ความเสื่อมของโลกมีมาเพราะเหตุนี้เอง
พระพุทธองค์จึงตรัสว่า “อรติ โลกนาสิกา”
ความริษยาคือความไม่ยินดีในเมื่อคนอื่นได้ดีมีความสุข ทำให้โลกฉิบหาย


จะประหยัดปากไม่ให้เป็นคนปากบอนได้อย่างไร?
ข้อนี้ตอบว่า ก็เมื่อเราทราบว่าคนปากบอนมีนิสัยชอบแส่แสวงหาความชั่วของคนอื่น
วิธีแก้ก็คือ ให้คนที่มีนิสัยปากบอนพยายามมองหาความดีของคนอื่นอยู่เสมอ
ปรกติของคนเราจะเป็นคนดีล้วน ไม่มีความเสีย
หรือจะเป็นคนเสีย ไม่มีความดีเลยนั้น
ย่อมเป็นไปไม่ได้ คนเราย่อมมีดีมีเสียเป็นของธรรมดา
ดังคำว่า “สี่ตีนรู้พลาด นักปราชญ์รู้พลั้ง สองตีนโด่เด่ ย่อมจะเซไปบ้าง”
คำกล่าวนี้สอนให้คนเรามองดูคนอื่นหรือมองดูโลกในแง่ดีนั่นเอง
แม้พระพุทธองค์ก็ตรัสสอนว่า “ไม่ควรคำนึงถึงถ้อยคำของคนอื่นว่าดีหรือไม่ดี
และการงานของคนอื่นว่าทำเสร็จแล้วหรือยังไม่ได้ทำ
แต่ควรคำนึงถ้อยคำของตนเอง และการงานของตัวเองดีกว่า”

โดยใจความแห่งพระพุทธพจน์นี้ ส่อแสดงให้เห็นพระพุทธประสงค์ว่า
ให้ถือเอาเรื่องของตนเองเป็นประการสำคัญ
คือแทนที่จะคอยตำหนิติเตียนคนอื่น
แต่ให้คอยสำรวจตรวจตราความประพฤติของตนเอง
ตำหนิความบกพร่องผิดพลาดของตัวเองอยู่เสมอ


วิธีสำรวจความผิดของตัวเองนั้น
ท่านสอนให้ตั้งตัวเองเป็นทั้งโจทก์เป็นทั้งจำเลย
และเป็นทั้งผู้พิพากษาพิจารณาความผิดของตัวเอง
ปรกติของคนทั่วไปย่อมเป็นคนเห็นแก่ตัว
คือความดีเอาไว้เป็นของตัว ความชั่วเอายกให้คนอื่น
แต่ถ้าผู้ใดสามารถพิจารณาพิพากษาความผิดของตัวเอง
ตำหนิติเตียนตัวเอง แทนการตำหนิติเตียนคนอื่น
ผู้นั้นย่อมสามารถจะตัดต้นเหตุความเดือดร้อนวุ่นวายได้
เพราะการสำรวจตรวจตรา ตำหนิติเตียนความผิดของตัวเอง
ใช่ว่าจะเป็นประโยชน์ เป็นความสุขสำหรับคนอื่นเท่านั้น
หามิได้ แต่เป็นการทำความสงบสุขให้กับตัวเองด้วย
การปฏิบัติตามหลักคำสอนในพระพุทธศาสนา เริ่มจากตัวเราเป็นอันดับแรก
เมื่อทุกคนทำตัวเองให้มีคุณธรรมแล้ว ก็เท่ากับว่าทำโลกทั้งโลกให้สงบไปด้วย

ท่านแสดงไว้ว่า
เขาทำดีทำชั่วตัวของเขา อย่าหาเหาใส่หัวของตัวหนา
มันจะยุ่งนุงนักหนักอุรา ตามยถากรรมเขาเราสบาย


ข้อความที่ยกมานี้ มีความมุ่งหมายสอนคนให้เห็นแก่ตัว เอาตัวรอดผู้เดียว หามิได้
แต่สอนให้ทุกคนปรับปรุงตัวเอง ทำตัวเองให้ดีก่อนอื่น
เมื่อปรับปรุงตัวเองให้ดีแล้ว เท่ากับได้ปรับปรุงคนอื่นพร้อมกันไปด้วย
เพราะการสอนที่ดี คือการทำให้ดูเป็นตัวอย่างนั่นเอง

ดังนั้นแทนที่จะตำหนิติโทษของคนอื่น แต่กลับตำหนิติโทษของตัวเอง
จึงเป็นการตัดต้นเหตุการทะเลาะวิวาท อันเป็นต้นตอของความเดือดร้อนเสียหาย
นี่ก็ถือว่าเป็นการ “ประหยัดปาก” ประการหนึ่งเช่นกัน


:b8: :b8: :b8: คัดมาจาก : หนังสือ เครื่องหมายของคนดี
โดย พระธรรมดิลก (จันทร์ กุสโล) พิมพ์เมื่อปีพุทธศักราช ๒๕๓๙

หมายเหตุ : พระธรรมดิลก (จันทร์ กุสโล) มีสมณศักดิ์ชั้นสุดท้ายเป็นที่ พระพุทธพจนวราภรณ์


tongue tongue tongue

:b44: รวมคำสอน “หลวงปู่จันทร์ กุสโล”
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=72&t=50386

:b44: ประวัติและปฏิปทา “หลวงปู่จันทร์ กุสโล”
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=13&t=20885

.....................................................
แม้มิได้เป็นสุระแสงอันแรงกล้า ส่องนภาให้สกาวพราวสดใส
ขอเป็นเพียงแสงแห่งดวงไฟ ส่องทางให้มวลชนบนแผ่นดิน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ธ.ค. 2015, 12:54 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 มิ.ย. 2011, 14:07
โพสต์: 278


 ข้อมูลส่วนตัว


ขออนุโมทนาสาธุค่ะ
Kiss :b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 พ.ย. 2016, 08:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 พ.ค. 2009, 05:25
โพสต์: 621


 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ธ.ค. 2017, 07:19 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 เม.ย. 2015, 09:43
โพสต์: 702

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขออนุโมทนาสาธุนะครับ
:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 มี.ค. 2019, 09:29 
 
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 ก.ย. 2013, 07:16
โพสต์: 2374

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b39: :b44: ขออนุโมทนา สาธุๆๆ ค่ะ
:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ธ.ค. 2019, 19:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ธ.ค. 2008, 09:34
โพสต์: 1322


 ข้อมูลส่วนตัว


4Aขออนุโมทนาสาธุการค่ะ :b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ส.ค. 2021, 20:36 
 
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ย. 2012, 15:32
โพสต์: 2863


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 7 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 16 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร