วันเวลาปัจจุบัน 19 ก.ค. 2025, 19:47  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


อ่านนิทาน จากบอร์ดเก่า
http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=5



กลับไปยังกระทู้  [ 2685 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 4, 5, 6, 7, 8, 9, 10 ... 179  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 พ.ย. 2018, 10:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:

ผลดีในการอ่านออกเสียง

ได้ความอดทน
ได้ความให้ทาน (อ่านให้คนใกล้เคียงฟังด้วย)
ได้ความกล้าหาญ (แม้มีคนอยู่มากก็กล้าแสดงออก)
ความขยั่น หมั่นเพียร
ทรงจำได้ง่ายขึ้น
ได้เสียงที่มีพลังเมื่อฝึกอ่านไปนาน
ทำให้พูดได้คล่องตัวและออกเสียงได้อย่างถูกต้องและชัดเจน

ความเห็นส่วนตัวนะครับ ลองนำไปพิจารณาดู

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 พ.ย. 2018, 10:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:

อ้างคำพูด:
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
๑. อรรถกถาอปัณณกวรรค
๑. อปัณณกชาดก

พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อเสด็จเข้าไปอาศัยพระนครสาวัตถี ประทับอยู่
ในพระเชตวันมหาวิหาร ตรัสอปันณกธรรมเทศนานี้ก่อน. ถามว่า ก็เรื่อง
นี้เกิดขึ้นเพราะปรารภใคร ? ตอบว่า เพราะปรารภสาวกของเดียรถีย์สหาย
ของท่านเศรษฐี.

ความพิศดารมีว่า วันหนึ่ง ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ชักพาพวก
สาวกของอัญญเดียรถีย์ ๕๐๐ คน ผู้เป็นสหายของตน ให้ถือระเบียบดอกไม้
ของหอม เครื่องลูบไล้เป็นอันมาก และนํ้ามัน นํ้าผึ้ง นํ้าอ้อย และผ้าเครื่อง
ปกปิด ไปยังพระเชตวัน ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า บูชาด้วยของหอม
และดอกไม้เป็นต้น สละเภสัชและผ้าถวายแก่ภิกษุสงฆ์ แล้วนั่ง ณ ส่วนสุด

ข้างหนึ่ง โดยเว้นโทษของการนั่ง ๖ ประการ สาวกของอัญญเดียรถีย์แม้เหล่า
นั้น ถวายบังคมพระตถาคตแล้ว แลดูพระพักตร์ของพระศาสดา อันงามสง่า
ดุจพระจันทร์ในวันเพ็ญ แลดูพระวรกายดุจกายพรหมอันประดับด้วยพระ-
ลักษณะและพระอนุพยัญชนะ แวดวงด้วยพระรัศมีด้านละวา แลดูพระพุทธ
ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี. ลำดับนั้น พระศาสดาได้ตรัสธรรมกถาอันไพเราะ

วิจิตรด้วยนัยต่าง ๆ ด้วยพระสุรเสียงประดุจเสียงพรหม น่าสดับฟัง ประกอบ
ด้วยองค์ ๘ ประการ แก่สาวกของอัญญเดียรถีย์เหล่านั้น ปานประหนึ่งราชสีห์
หนุ่มบันลือสีหนาทบนพื้นมโนศิลา เหมือนเมฆฤดูฝนเลื่อนลั่นอยู่ เหมือน
ทำคงคาในอากาศให้หลั่งลงมา และเหมือนร้อยพวงแก้วฉะนั้น. สาวกของ
อัญญเดียรถีย์เหล่านั้นฟังพระธรรมเทศนาของพระศาสดาแล้ว มีจิตเลื่อมใส

ลุกขึ้นถวายบังคมพระทศพล ทำลายสรณะของอัญญเดียรถีย์แล้ว ได้ถึงพระ-
พุทธเจ้าเป็นสรณะ. จำเดิมแต่นั้น พวกอัญญเดียรถีย์เหล่านั้น มีมือถือของ
หอมและดอกไม้เป็นต้น ไปพระวิหาร ฟังธรรม ให้ทาน รักษาศีล กระทำ
อุโบสถกรรม พร้อมกับท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีเป็นนิตยกาล. ลำดับนั้น

• ขยั่นทำความดีไว้ จะได้มีทุนติดไปภพชาติต่อไป
• ความดีไม่ค่อยจะบอกต่อ แต่สิ่งที่บอกต่อบ่อยๆนั้นล้วนแต่สิ่งที่ไม่ดี
• บุคคลมิควรคิดท้อ ก่อนลงมือกระทำ
• ความขยั่นในการอ่านแบ่งปันกันไม่ได้ ต้องสร้างกันเอาเอง อ่านมากก็ขยั่นมาก
• ยิ่งอ่านก็ยิ่งคล่อง ยิ่งมองดูให้ละเอียดก็ยิ่งเข้าใจ
• อยู่กับของดียังมิรู้ตัว ยังเมามัววิ่งค้นหาที่ไหนกัน

แนะนำอ่านออกเสียงไปด้วยก็จะทำให้เข้าใจและจดจำได้ดีขึ้นเพราะ ลิ้นก็ต้องออกเสียงให้ถูก
เสียงมากระทบหูให้ได้ยินอีกที ตาก็เห็น หากอ่านไม่ออกเสียงก็มีแค่ตากับใจที่รับรู้และแค่หนเดียว
แต่ถ้าออกเสียงได้มากกว่านั้น
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 พ.ย. 2018, 10:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:

อ้างคำพูด:
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้เสด็จจากกรุงสาวัตถีกลับไปกรุงราชคฤห์อีกแล. ในเวลา
ที่พระตถาคตเสด็จไปแล้ว สาวกอัญญเดียรถีย์เหล่านั้นก็ได้ทำลายสรณะนั้นเสีย
กลับไปถึงอัญญเดียรถีย์เป็นสรณะอีก ดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นเค้ามูลเดิมของ
ตนนั่นเอง ฝ่ายพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงยับยั้งอยู่๗ -๘ เดือน ได้เสด็จกลับไป
ยังพระเชตวันเหมือนเดิมอีก. ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีก็พาสาวกอัญญเดียรถีย์

เหล่านั้นไปเฝ้าพระศาสดาแม้อีก บูชาพระศาสดาด้วยของหอมและดอกไม้เป็น
ต้น ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ส่วนข้างหนึ่ง. พวกสาวกอัญญเดียรถีย์แม้เหล่านั้น
ก็ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วนั่ง ณ ส่วนข้างหนึ่ง. ลำดับนั้น ท่าน
อนาถบิณฑิกเศรษฐีกราบทูลแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าถึงความที่พวกสาวกอัญญ-
เดียรถีย์เหล่านั้น เมื่อพระตถาคตเสด็จหลีกจาริกไปแล้ว ได้ทำลายสรณะที่รับ

ไว้ กลับไปถืออัญญเดียรถีย์เป็นสรณะ ดำรงอยู่ในฐานะเดิมอีก. พระผู้มีพระ
ภาคเจ้าทรงเผยมณฑลพระโอษฐ์ ประดุจเปิดผอบแก้วอันเต็มด้วยของหอมต่าง ๆ
อันมีกลิ่นหอมด้วยของหอมอันเป็นทิพย์ เพราะอานุภาพของวจีสุจริตที่ทรง
บำเพ็ญให้เป็นไปไม่ขาดสาย สิ้นโกฏิกัปนับไม่ถ้วน เมื่อจะทรงเปล่งพระสุร-
เสียงอันไพเราะ ตรัสถามว่า ได้ยินว่า พวกท่านผู้เป็นอุบาสก ทำลายสรณะ

๓ เสียแล้วถึงอัญญเดียรถีย์เป็นสรณะ จริงหรือ ? ลำดับนั้น เมื่อพวกสาวก
อัญญเดียรถีย์เหล่านั้นไม่อาจปกปิดไว้ได้พากันกราบทูลว่า จริง พระเจ้าข้า
พระศาสดาจึงตรัสว่า ดูก่อนอุบาสกทั้งหลาย ในโลกธาตุ เบื้องล่างจดอเวจี
มหานรก เบื้องบนจดภวัคคพรหม และตามขวางหาประมาณมิได้ ชื่อว่าบุคคล
เช่นกับพระพุทธเจ้าโดยพระคุณทั้งหลายมีศีลเป็นต้น ย่อมไม่มี บุคคลที่ยิ่งกว่า

จักมีมาแต่ไหน แล้วทรงประกาศคุณของพระรัตนตรัยที่ทรงประกาศไว้ด้วย
พระสูตรทั้งหลายมีอาทิอย่างนี้ว่า ภิกษุทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลายมีประมาณเพียงใด
ไม่มีเท้าก็ตาม มี ๒ เท้าก็ตาม มี ๔ เท้าก็ตาม มีเท้ามากก็ตาม ฯลฯ พระตถาคต
เรากล่าวว่าเป็นเลิศของสัตว์ทั้งหลาย มีประมาณเพียงนั้น. (และพระสูตรว่า)

• ขยั่นทำความดีไว้ จะได้มีทุนติดไปภพชาติต่อไป
• ความดีไม่ค่อยจะบอกต่อ แต่สิ่งที่บอกต่อบ่อยๆนั้นล้วนแต่สิ่งที่ไม่ดี
• บุคคลมิควรคิดท้อ ก่อนลงมือกระทำ
• ความขยั่นในการอ่านแบ่งปันกันไม่ได้ ต้องสร้างกันเอาเอง อ่านมากก็ขยั่นมาก
• ยิ่งอ่านก็ยิ่งคล่อง ยิ่งมองดูให้ละเอียดก็ยิ่งเข้าใจ
• อยู่กับของดียังมิรู้ตัว ยังเมามัววิ่งค้นหาที่ไหนกัน

แนะนำอ่านออกเสียงไปด้วยก็จะทำให้เข้าใจและจดจำได้ดีขึ้นเพราะ ลิ้นก็ต้องออกเสียงให้ถูก
เสียงมากระทบหูให้ได้ยินอีกที ตาก็เห็น หากอ่านไม่ออกเสียงก็มีแค่ตากับใจที่รับรู้และแค่หนเดียว
แต่ถ้าออกเสียงได้มากกว่านั้น
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 พ.ย. 2018, 10:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


sssboun เขียน:
:b8:

ผลดีในการอ่านออกเสียง

ได้ความอดทน
ได้ความให้ทาน (อ่านให้คนใกล้เคียงฟังด้วย)
ได้ความกล้าหาญ (แม้มีคนอยู่มากก็กล้าแสดงออก)
ความขยั่น หมั่นเพียร
ทรงจำได้ง่ายขึ้น
ได้เสียงที่มีพลังเมื่อฝึกอ่านไปนาน
ทำให้พูดได้คล่องตัวและออกเสียงได้อย่างถูกต้องและชัดเจน

ความเห็นส่วนตัวนะครับ ลองนำไปพิจารณาดู

:b8:

:b8:

จากประสบการณ์กับตัวเองที่อ่านพระไตรปิฏกมาปีกว่าๆ
อ่านแทบทุกวัน เดียวนี้รู้สึกว่าเสียงตัวเองจะหนักแน่นและดีขึ้น
กว่าเมื่อครับ ทำความดีย่อมเกิดบุญ ส่วนอานิสงของบุญนั้นเรา
จะคาดเดาได้ยากยิ่ง

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 พ.ย. 2018, 10:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:

นี้คือการฝึกความอ่อนน้อมถ่อมตนของผมนั้นก็คือรูปนี้(:b8:)
แต่ในชีวิตประจำวันนั้นฝึกได้ด้วยการไหว้ กราบผู้หลักผู้ใหญ่
พ่อ แม่ ครู อาจารย์ คำพูดอ่อนน้อม กิริยาที่เคารพอ่อน เหล่านี้
หากเราฝึกมีไว้จะทำให้ชีวิตของเราเจริญรุ่งเรืองครับ ออกนอก
เรื่องไปนิดมาต่อกันครับ แต่ความอ่อนน้อมก็ทำให้เรารับความรู้ได้
ดีได้ง่ายเช่นกัน

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 พ.ย. 2018, 10:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:

อ้างคำพูด:
ทรัพย์เครื่องปลื้มใจอย่างใดอย่างหนึ่ง ในโลกนี้หรือโลกอื่น ฯลฯ รัตนะอัน
นั้นเสมอด้วยพระตถาคตเจ้าไม่มีเลย. (และพระสูตรว่า) เมื่อบุคคลรู้จักธรรมอัน
เลิศ เลื่อมใสแล้วโดยความเป็นของเลิศ เลื่อมใสแล้วในพระพุทธเจ้าผู้เลิศ ฯลฯ
แล้วจึงตรัสว่า บุคคลจะเป็นอุบาสกหรืออุบาสิกาก็ตาม ผู้ถึงพระรัตนตรัยอัน
ประกอบด้วยอุดมคุณอย่างนี้ ชื่อว่าจะเป็นผู้บังเกิดในนรกเป็นต้น ย่อมไม่มี

อนึ่งพ้นจากการบังเกิดในอบายแล้ว ยังจะเกิดขึ้นในเทวโลกได้เสวยมหาสมบัติ
เพราะเหตุไร พวกท่านจึงพากันทำลายสรณะเห็นปานนี้ แล้วถึงอัญญเดียรถีย์
เป็นสรณะ กระทำกรรมอันไม่สมควรเลย.

ก็ในที่นี้ เพื่อจะแสดงถึงความที่บุคคลผู้ถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะ
ด้วยอำนาจความหลุดพ้น และด้วยอำนาจเป็นรัตนะอันสูงสุด จะไม่มีการ
บังเกิดในอบายทั้งหลาย บัณฑิตพึงแสดงพระสูตรเหล่านี้ว่า

ชนเหล่าใดเหล่าหนึ่ง ได้ถึงพระพุทธเจ้าเป็น
สรณะ ชนเหล่านั้นจักไม่เข้าถึงอบายภูมิ ละร่างกาย
ของมนุษย์นี้ไปแล้ว จักยังกายเทพให้บริบูรณ์.
ชนเหล่าใดเหล่าหนึ่ง ได้ถึงพระธรรมเป็นสรณะ
ชนเหล่านั้น จักไม่เข้าถึงอบายภูมิ ละร่างกายของ
มนุษย์นี้ไปแล้ว จักยังกายเทพให้บริบูรณ์.

ชนเหล่าใดเหล่าหนึ่ง ได้ถึงพระสงฆ์เป็นสรณะ
ชนเหล่านั้น จักไม่เข้าถึงอบายภูมิ ละร่างกายของ
มนุษย์นี้ไปแล้ว จักยังกายเทพให้บริบูรณ์.
มนุษย์ทั้งหลายเป็นอันมากถูกภัยคุกคามแล้ว
ย่อมถึงภูเขาบ้าง ป่าบ้าง อารามและต้นไม้ที่เป็นเจดีย์
บ้าง ว่าเป็นสรณะ นั่นแลมิใช่สรณะอันเกษม นั่น
มิใช่สรณะอันอุดม เขาอาศัยสิ่งนั้นเป็นสรณะแล้ว
ย่อมไม่พ้นจากทุกข์ทั้งปวง.

ส่วนผู้ใดถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระ-
สงฆ์ ว่าเป็นสรณะแล้ว เห็นอริยสัจ ๔ ด้วยปัญญา
อันชอบ คือทุกข์ และตัณหาอันเป็นแดนเกิดขึ้นแห่ง
ทุกข์ (คือสมุทัย) และความก้าวล่วงทุกข์ (คือนิโรธ)
และมรรคมีองค์ ๘ อันไปจากข้าศึก ให้ถึงพระ-
นิพพานเป็นที่เข้าไประงับทุกข์ นี่แลเป็นสรณะอัน
เกษม นี่เป็นสรณะอันอุดม เขาอาศัยสิ่งนี้แล้ว ย่อม
พ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้ ดังนี้แล.

• ขยั่นทำความดีไว้ จะได้มีทุนติดไปภพชาติต่อไป
• ความดีไม่ค่อยจะบอกต่อ แต่สิ่งที่บอกต่อบ่อยๆนั้นล้วนแต่สิ่งที่ไม่ดี
• บุคคลมิควรคิดท้อ ก่อนลงมือกระทำ
• ความขยั่นในการอ่านแบ่งปันกันไม่ได้ ต้องสร้างกันเอาเอง อ่านมากก็ขยั่นมาก
• ยิ่งอ่านก็ยิ่งคล่อง ยิ่งมองดูให้ละเอียดก็ยิ่งเข้าใจ
• อยู่กับของดียังมิรู้ตัว ยังเมามัววิ่งค้นหาที่ไหนกัน

แนะนำอ่านออกเสียงไปด้วยก็จะทำให้เข้าใจและจดจำได้ดีขึ้นเพราะ ลิ้นก็ต้องออกเสียงให้ถูก
เสียงมากระทบหูให้ได้ยินอีกที ตาก็เห็น หากอ่านไม่ออกเสียงก็มีแค่ตากับใจที่รับรู้และแค่หนเดียว
แต่ถ้าออกเสียงได้มากกว่านั้น
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 พ.ย. 2018, 12:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:

อ้างคำพูด:
ก็พระศาสดาทรงแสดงธรรมมีประมาณเท่านี้เท่านั้น แก่พวกสาวก
อัญญเดียรถีย์เหล่านั้น ยังไม่สิ้นเชิง. อีกอย่างหนึ่งแล ได้ทรงแสดงธรรม
โดยนัยมีอาทิอย่างนี้ว่า ดูก่อนอุบาสกทั้งหลาย ชื่อว่าพุทธานุสสติกัมมัฏฐาน
ธัมมานุสสติกัมมัฏฐาน สังฆานุสสติกัมมัฏฐาน ย่อมให้โสดาปัตติมรรค ย่อมให้
โสดาปัตติผล ย่อมให้สกทาคามิมรรค ย่อมให้สกทาคามิผล ย่อมให้อนาคามิมรรค

ย่อมให้อนาคามิผล ย่อมให้อรหัตมรรค ย่อมให้อรหัตผล ครั้นทรงแสดงธรรม
แล้วจึงตรัสว่า พวกท่านทำลายสรณะชื่อเห็นปานนี้ กระทำกรรมอันไม่สมควร
แล้ว อนึ่ง พุทธานุสสติกัมมัฏฐานเป็นต้นอันเป็นทางให้ถึงโสดาปัตติมรรคเป็นต้น
นี้พึงแสดงโดยพระสูตรทั้งหลาย มีอาทิอย่างนี้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรมเอก
อันบุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความหน่าย เพื่อ
คลายกำหนัด เพื่อความดับ เพื่อความสงบระงับ เพื่อรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้

เพื่อนิพพาน ธรรมเอกเป็นไฉน ? คือพุทธานุสสติ ดังนี้. ก็แหละ พระผู้-
มีพระภาคเจ้าครั้นทรงโอวาทอุบาสกทั้งหลาย โดยประการต่าง ๆ อย่างนี้แล้ว
ได้ตรัสว่า ดูก่อนอุบาสกทั้งหลาย แม้ในกาลก่อน มนุษย์ทั้งหลาย ถือเอา
สิ่งที่ไม่ใช่สรณะ ว่าเป็นสรณะ โดยการถือเอาด้วยการคาดคะเน โดยการถือ
เอาผิด ได้ตกเป็นภักษาหารของยักษ์ในทางกันดาร ซึ่งอมนุษย์หวงแหนแล้ว

ถึงความพินาศอย่างใหญ่หลวง ส่วนเหล่ามนุษย์ผู้ถือการยึดถือชอบธรรม ยึด
ถือความแน่นอน ยึดถือไม่ผิด ได้ถึงความสวัสดีในทางกันดารนั้นนั่นเอง
ครั้นตรัสแล้วได้ทรงนิ่งเสีย. ลำดับนั้นแล ท่านอนาถบิณฑิกคฤหบดีลุกขึ้น
จากอาสนะ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า กล่าวชมเชยแล้ว ประคองอัญชลี
เหนือเศียรเกล้า กราบทูลอย่างนี้ว่า บัดนี้ การที่พวกอุบาสกเหล่านี้ ทำลาย

สรณะอันอุดมแล้ว ถือสรณะยึดถือเอาด้วยการคาดคะเน ยึดถือเอาอย่างผิด ๆ
ปรากฏแก่พระองค์ก่อน ส่วนในปางก่อนพวกมนุษย์ผู้ยึดถือด้วยการคาดคะเน
มีความพินาศ และพวกมนุษย์ผู้ยึดถือโดยชอบธรรม มีความสวัสดีในทาง
กันดารที่อมนุษย์หวงแหนยังลี้ลับสำหรับข้าพระองค์ ไม่ปรากฏแก่ข้าพระองค์
เลย ดังข้าพระองค์ขอโอกาส ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าโปรดทรงกระทำเหตุนี้
ให้ปรากฏ เหมือนยังพระจันทร์เต็มดวงให้เด่นขึ้นในอากาศฉะนั้น.

• ขยั่นทำความดีไว้ จะได้มีทุนติดไปภพชาติต่อไป
• ความดีไม่ค่อยจะบอกต่อ แต่สิ่งที่บอกต่อบ่อยๆนั้นล้วนแต่สิ่งที่ไม่ดี
• บุคคลมิควรคิดท้อ ก่อนลงมือกระทำ
• ความขยั่นในการอ่านแบ่งปันกันไม่ได้ ต้องสร้างกันเอาเอง อ่านมากก็ขยั่นมาก
• ยิ่งอ่านก็ยิ่งคล่อง ยิ่งมองดูให้ละเอียดก็ยิ่งเข้าใจ
• อยู่กับของดียังมิรู้ตัว ยังเมามัววิ่งค้นหาที่ไหนกัน

แนะนำอ่านออกเสียงไปด้วยก็จะทำให้เข้าใจและจดจำได้ดีขึ้นเพราะ ลิ้นก็ต้องออกเสียงให้ถูก
เสียงมากระทบหูให้ได้ยินอีกที ตาก็เห็น หากอ่านไม่ออกเสียงก็มีแค่ตากับใจที่รับรู้และแค่หนเดียว
แต่ถ้าออกเสียงได้มากกว่านั้น
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 พ.ย. 2018, 12:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:

อ้างคำพูด:
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนคฤหบดี เราแลบำเพ็ญ
บารมี ๑๐ ทัศในกาลหาปริมาณมิได้ ได้แทงตลอดพระสัพพัญญุตญาณ ก็เพื่อ
จะตัดความสงสัยของชาวโลกนั่นแล ท่านจงเงี่ยโสตฟังโดยเคารพ เหมือน
บุคคลเอาถาดทองคำบรรจุเต็มด้วยนํ้ามันเหลวแห่งราชสีห์ฉะนั้น แล้วทรงยัง
สติให้เกิดแก่เศรษฐี แล้วได้ทรงกระทำเหตุการณ์แม้อันระหว่างภพปกปิดไว้
ให้ปรากฏ ดุจทำลายกลุ่มหมอกนำพระจันทร์เพ็ญออกมาฉะนั้น.

ในอดีตกาล ได้มีพระราชาพระนามว่าพรหมทัตอยู่ในพระนครพาราณสี
แคว้นกาสิกรัฐ. ในกาลนั้นพระโพธิสัตว์ถือปฏิสนธิในตระกูลพ่อค้าเกวียน ถึง
ความเจริญวัยโดยลำดับ ได้เที่ยวกระทำการค้าด้วยเกวียน ๕๐๐ เล่ม. พระ-
โพธิสัตว์นั้น บางครั้งจากต้นแดนไปยังปลายแดน บางครั้งจากปลายแดน
ไปยังต้นแดน. ก็ในเมืองพาราณสีนั่นแหละมีบุตรพ่อค้าเกวียนอีกคนหนึ่ง. บุตร

พ่อค้าเกวียนคนนั้น เป็นคนเขลา ไม่เป็นคนมีปัญญา ไม่ฉลาด ในอุบาย.
ในกาลนั้น พระโพธิสัตว์มาเอาสินค้ามีค่ามากจากเมืองพาราณสีบันทุกเต็ม
เกวียน ๕๐๐ เล่ม ทำการเตรียมจะเดินทางแล้วพักอยู่. ฝ่ายบุตรพ่อค้าเกวียน
ผู้เขลานั้นก็บันทุกเต็มเกวียน ๕๐๐ เล่ม อย่างนั้นเหมือนกัน แล้วทำการเตรียม

เดินทางพักอยู่. พระโพธิสัตว์คิดว่า ถ้าบุตรพ่อค้าเกวียนผู้เขลานี้จักไปพร้อม
กับเราทีเดียวไซร้ เมื่อเกวียนพันเล่มไปพร้อมกัน แม้ทางก็จักไม่พอเดิน ฟืน
และนํ้าเป็นต้น ของพวกมนุษย์ก็ดี หญ้าของพวกโคก็ดี จักหาได้ยาก บุตรพ่อ
ค้าเกวียนผู้เขลานี้หรือเรา ควรจะไปข้างหน้า. พระโพธิสัตว์นั้นจึงเรียกบุตรพ่อค้า
เกวียนนั้นมาบอกเนื้อความนั้นแล้วกล่าวว่า เราทั้งสองไม่อาจไปรวมกัน ท่าน

จักไปข้างหน้าหรือข้างหลัง. บุตรพ่อค้าเกวียนนั้นคิดว่า เมื่อเราไปข้างหน้าจะมี
อานิสงส์มาก เราจักไปโดยหนทางยังไม่แตกเลย. พวกโคจักได้เคี้ยวกินหญ้าที่ยัง
ไม่มีใครถูกต้อง พวกผู้คนจักมีผักอันเกื้อกูลแก่แกงซึ่งยังไม่ได้จับต้องนํ้าจักใส
เราเมื่อไปตามชอบใจ จักตั้งราคาขายสินค้าได้. บุตรพ่อค้าเกวียนนั้นจึงกล่าว
ว่า สหายเราจักไปข้างหน้า. พระโพธิสัตว์ได้เห็นการไปข้างหลังว่ามีอานิสงส์มาก.

• ขยั่นทำความดีไว้ จะได้มีทุนติดไปภพชาติต่อไป
• ความดีไม่ค่อยจะบอกต่อ แต่สิ่งที่บอกต่อบ่อยๆนั้นล้วนแต่สิ่งที่ไม่ดี
• บุคคลมิควรคิดท้อ ก่อนลงมือกระทำ
• ความขยั่นในการอ่านแบ่งปันกันไม่ได้ ต้องสร้างกันเอาเอง อ่านมากก็ขยั่นมาก
• ยิ่งอ่านก็ยิ่งคล่อง ยิ่งมองดูให้ละเอียดก็ยิ่งเข้าใจ
• อยู่กับของดียังมิรู้ตัว ยังเมามัววิ่งค้นหาที่ไหนกัน

แนะนำอ่านออกเสียงไปด้วยก็จะทำให้เข้าใจและจดจำได้ดีขึ้นเพราะ ลิ้นก็ต้องออกเสียงให้ถูก
เสียงมากระทบหูให้ได้ยินอีกที ตาก็เห็น หากอ่านไม่ออกเสียงก็มีแค่ตากับใจที่รับรู้และแค่หนเดียว
แต่ถ้าออกเสียงได้มากกว่านั้น
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 พ.ย. 2018, 13:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:

อ้างคำพูด:
พระโพธิสัตว์นั้นได้มีความคิดอย่างนี้ว่า คนเหล่านี้เมื่อไปข้างหน้า จักกระทำ
ที่อันขรุขระในหนทางให้สมํ่าเสมอ เราจักเดินทางไปตามทางที่คนเหล่านี้ไป
แล้ว เมื่อโคพลิพัทธ์ (คือโคใช้งาน) ซึ่งไปข้างหน้ากินหญ้าแก่และแข็ง โค
ทั้งหลายของเราจักเคี้ยวกินหญ้าอร่อยซึ่งงอกขึ้นใหม่ ผักซึ่งใช้ทำแกงของพวก
มนุษย์ ซึ่งงอกขึ้นจากที่ที่ถูกเด็ดเอาไปจักเป็นของอร่อย ในที่ที่ไม่มีนํ้า คน

เหล่านี้จักขุดบ่อทำให้นํ้าเกิดขึ้น เราจักดื่มนํ้าในบ่อที่คนเหล่านี้ขุดไว้ ชื่อว่า
การตั้งราคาสินค้า เป็นเช่นกับการปลงชีวิตมนุษย์ เราไปข้างหลังจักขายสินค้า
ตามราคาที่คนเหล่านี้ตั้งไว้. พระโพธิสัตว์นั้นเห็นอานิสงส์มีประมาณเท่านี้จึง
กล่าวว่า ดูก่อนสหาย ท่านจงไปข้างหน้าเถิด. บุตรพ่อค้าเกวียนผู้เขลารับคำ
แล้ว จึงเทียมเกวียนทั้งหลายเป็นการใหญ่ ออกไปล่วงพ้นถิ่นที่อยู่ของมนุษย์
ถึงปากทางกันดาร โดยลำดับ.

ชื่อว่ากันดารมี ๕ อย่าง คือ กันดารเพราะโจร ๑ กันดารเพราะสัตว์
ร้าย ๑ กันดารเพราะขาดนํ้า ๑ กันดารเพราะอมนุษย์ ๑ กันดารเพราะอาหารน้อย
๑. ในกันดาร ๕ อย่างนั้นทางที่พวกโจรซุ่มอยู่ชื่อว่ากันดารเพราะโจรทางที่สีหะ
เป็นต้นชุกชุม ชื่อว่ากันดารเพราะสัตว์ร้ายอาศัยอยู่. สถานที่ที่ไม่มีนํ้าอาบหรือ
นํ้ากิน ชื่อว่ากันดารเพราะขาดนํ้า. ทางที่อมนุษย์สิงอยู่ ชื่อว่ากันดารเพราะมี

อมนุษย์สิงอยู่. สถานที่ซึ่งเว้นจากของควรเคี้ยวอันเกิดแต่หัว เป็นต้น ชื่อว่า
กันดารเพราะอาหารน้อย ในกันดาร ๕ อย่างนี้ กันดารนั้นหมายเอากันดาร
เพราะการขาดนํ้าและกันดารเพราะมีอมนุษย์สิงอยู่. เพราะฉะนั้น บุตรพ่อค้า
เกวียนผู้เขลานั้นจึงตั้งตุ่มใหญ่ ๆ ไว้บนเกวียนทั้งหลาย บรรจุเต็มด้วยนํ้า
เดินทางกันดาร ๖๐ โยชน์.

ครั้นในเวลาที่บุตรพ่อค้าเกวียนผู้เขลานั้นถึงท่ามกลางทางกันดาร ยักษ์
ผู้สิงอยู่ในทางกันดารคิดว่า เราจักให้พวกมนุษย์เหล่านี้ ทิ้งน้ำที่บันทุกมาเสีย
ทำให้กะปลกกะเปลี้ยแล้วกินมันทั้งหมด จึงนิรมิตยานน้อย น่ารื่นรมย์ เทียมด้วย
โคพลิพัทหนุ่มขาวปลอด ห้อมล้อมด้วยอมนุษย์ ๑๒ คน ชุ่มด้วยนํ้าและโคลน
ถืออาวุธพร้อมทั้งโล่เป็นต้น ประดับดอกอุบลและโกมุท มีผมเปียกและผ้า
เปียกนั่งมาบนยานน้อยนั้น ประหนึ่งคนเป็นใหญ่มีล้อยานเปื้อนเปือกตม เดิน
สวนทางมา.

• ขยั่นทำความดีไว้ จะได้มีทุนติดไปภพชาติต่อไป
• ความดีไม่ค่อยจะบอกต่อ แต่สิ่งที่บอกต่อบ่อยๆนั้นล้วนแต่สิ่งที่ไม่ดี
• บุคคลมิควรคิดท้อ ก่อนลงมือกระทำ
• ความขยั่นในการอ่านแบ่งปันกันไม่ได้ ต้องสร้างกันเอาเอง อ่านมากก็ขยั่นมาก
• ยิ่งอ่านก็ยิ่งคล่อง ยิ่งมองดูให้ละเอียดก็ยิ่งเข้าใจ
• อยู่กับของดียังมิรู้ตัว ยังเมามัววิ่งค้นหาที่ไหนกัน

แนะนำอ่านออกเสียงไปด้วยก็จะทำให้เข้าใจและจดจำได้ดีขึ้นเพราะ ลิ้นก็ต้องออกเสียงให้ถูก
เสียงมากระทบหูให้ได้ยินอีกที ตาก็เห็น หากอ่านไม่ออกเสียงก็มีแค่ตากับใจที่รับรู้และแค่หนเดียว
แต่ถ้าออกเสียงได้มากกว่านั้น
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 พ.ย. 2018, 13:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:

อ้างคำพูด:
ฝ่ายพวกอมนุษย์ผู้เป็นบริวารของยักษ์นั้นเดินไปมาข้างหน้าและข้าง
หลัง มีผมเปียกและผ้าเปียก ประดับดอกอุบลและดอกโกมุท ถือกำดอกปทุม
และดอกบุณฑริก เคี้ยวกินเหง้าบัว มีหยาดนํ้าและโคลนหยด ได้พากันเดินไป.
ก็ธรรมดาว่าพ่อค้าเกวียนทั้งหลาย ในกาลใด ลมพัดมาข้างหน้า ในกาลนั้น
จะนั่งบนยานน้อยห้อมล้อมด้วยคนอุปัฏฐาก หลีกเลี่ยงฝุ่นในหนทางไปข้างหน้า

ในกาลใด ลมพัดมาข้างหลัง ในกาลนั้น ก็หลีกไปทางข้างหลังโดยนัยนั้นนั่นแล.
ก็ในกาลนั้น ได้มีลมพัดมาข้างหน้า เพราะฉะนั้น บุตรพ่อค้าเกวียนผู้เขลานั้น
จึงได้ไปข้างหน้า. ยักษ์นั้นเห็นบุตรพ่อค้าเกวียนนั้นกำลังมาอยู่ จึงให้ยานน้อย
ของตนหลีกลงจากทางได้ทำการปฏิสันถารกับบุตรพ่อค้าเกวียนนั้นว่า ท่าน

ทั้งหลายจะไปไหน. ฝ่ายบุตรพ่อค้าเกวียนก็ยังยานน้อยของตนหลีกลงจากทาง
ให้โอกาสเกวียนทั้งหลายไป แล้วยืน ณ ส่วนข้างหนึ่งกล่าวกะยักษ์ว่า ท่านผู้เจริญ
ฝ่ายพวกเรามาจากเมืองพาราณสี ส่วนท่านทั้งหลายประดับดอกอุบลและโกมุท
ถือดอกประทุมและบุณฑริกเป็นต้น เคี้ยวกินเหง้าบัว เปื้อนด้วยเปือกตม มีหยด
นํ้าไหล พากันมา ในหนทางที่ท่านทั้งหลายมา ฝนตกหรือหนอ มีสระนํ้า

ดารดาษด้วยดอกอุบลเป็นต้นหรือ. ยักษ์ได้ฟังถ้อยคำของบุตรพ่อค้าเกวียนนั้น
แล้วจึงกล่าวว่า สหาย ท่านพูดอะไร ที่นั่น ราวป่าเขียวปรากฏอยู่ ตั้งแต่ที่นั้นไป
ป่าทั้งสิ้นมีนํ้าอยู่ทั่วไป ฝนตกเป็นประจำ แม้แต่ซอกเขาก็เต็ม (ด้วยนํ้า) ในที่
นั้น ๆ มีสระนํ้าดารดาษด้วยดอกปทุม. เมื่อเกวียนทั้งหลายผ่านไปโดยลำดับ จึง

ถามว่า ท่านพาเกวียนเหล่านี้มา จะไปไหนกัน? บุตรพ่อค้าเกวียนกล่าวว่า จะ
ไปยังชนบทชื่อโน้น. ยักษ์กล่าวว่า ในเกวียนเล่มนี้และเล่มนี้ มีสินค้าชื่ออะไร.
บุตรพ่อค้าเกวียนตอบว่า มีสินค้าชื่อโน้นและชื่อโน้น. ยักษ์กล่าวว่า เกวียนที่
มาข้างหลังเป็นเกวียนหนักมาก กำลังมาอยู่ ในเกวียนนั้น มีสินค้าอะไร. บุตร

พ่อค้าเกวียนกล่าวว่า ในเกวียนเล่มนั้นมีนํ้า. ยักษ์กล่าวว่า ก่อนอื่นท่านทั้งหลาย
นำนํ้ามาข้างหลังด้วย ได้กระทำความเนิ่นช้าแล้ว ก็ตั้งแต่นี้ไป กิจด้วยนํ้าย่อม
ไม่มี ข้างหน้ามีนํ้ามาก ท่านทั้งหลายจงทุบตุ่ม เทนํ้าทิ้งเสีย จงไปด้วยเกวียน
เบาเถิด. ก็แหละครั้นกล่าวอย่างนี้แล้วจึงพูดว่า ท่านทั้งหลายจงไปเถอะ ความ
ชักช้าจะมีแก่พวกเรา แล้วเดินไปหน่อยหนึ่ง ถึงที่ที่คนเหล่านั้นมองไม่เห็น
ก็ได้ไปยังนครยักษ์ของตนนั่นแล.

• ขยั่นทำความดีไว้ จะได้มีทุนติดไปภพชาติต่อไป
• ความดีไม่ค่อยจะบอกต่อ แต่สิ่งที่บอกต่อบ่อยๆนั้นล้วนแต่สิ่งที่ไม่ดี
• บุคคลมิควรคิดท้อ ก่อนลงมือกระทำ
• ความขยั่นในการอ่านแบ่งปันกันไม่ได้ ต้องสร้างกันเอาเอง อ่านมากก็ขยั่นมาก
• ยิ่งอ่านก็ยิ่งคล่อง ยิ่งมองดูให้ละเอียดก็ยิ่งเข้าใจ
• อยู่กับของดียังมิรู้ตัว ยังเมามัววิ่งค้นหาที่ไหนกัน

แนะนำอ่านออกเสียงไปด้วยก็จะทำให้เข้าใจและจดจำได้ดีขึ้นเพราะ ลิ้นก็ต้องออกเสียงให้ถูก
เสียงมากระทบหูให้ได้ยินอีกที ตาก็เห็น หากอ่านไม่ออกเสียงก็มีแค่ตากับใจที่รับรู้และแค่หนเดียว
แต่ถ้าออกเสียงได้มากกว่านั้น
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 พ.ย. 2018, 13:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:

อ้างคำพูด:
ฝ่ายพ่อค้าเกวียนผู้เขลานั้น เพราะความที่ตนเป็นคนเขลาจึงเชื่อคำของ
ยักษ์นั้น จึงให้ทุบตุ่มทั้งหลายทิ้งทั้งหมดไม่เหลือนํ้าแม้สักฟายมือเดียว
แล้วขับเกวียนไป ข้างหน้าชื่อว่านํ้าแม้มีประมาณน้อย มิได้มี. มนุษย์ทั้งหลาย
เมื่อไม่ได้นํ้าดื่มพากันลำบากแล้ว คนเหล่านั้นพากันไปจนพระอาทิตย์อัสดง
จึงปลดเกวียน พักเกวียนให้เป็นวงแล้วผูกโคที่ล้อเกวียน. นํ้าไม่มีแก่พวกโค

หรือข้าวยาคูและภัตก็ไม่มีแก่พวกมนุษย์. ฝ่ายพวกมนุษย์มีกำลังเปลี้ยลง ไม่
ใส่ใจพากันนอนหลับไปในที่นั้น ๆ. ในลำดับอันเป็นส่วนราตรี ยักษ์ทั้งหลายมา
จากนครยักษ์ ยังโคและมนุษย์ทั้งหมดนั้นแลให้ถึงแก่ความตาย แล้วกินเนื้อ
ของโคและมนุษย์เหล่านั้น ไม่ให้เหลือแม้แต่กระดูก แล้วจึงพากันไป. ชน

เหล่านั้นแม้ทั้งหมดถึงความพินาศ เพราะอาศัยบุตรพ่อค้าเกวียนผู้โง่เขลาคน
เดียว ด้วยประการอย่างนี้ กระดูกมือเป็นต้นได้กระจัดกระจายไปในทิศน้อยทิศ
ใหญ่. เกวียน ๕๐๐ เล่มได้ตั้งอยู่ตามที่บรรทุกไว้เต็มอย่างเดิมแล.

ฝ่ายพระโพธิสัตว์แล จำเดิมแต่วันที่บุตรพ่อค้าเกวียนโง่ออกไปแล้ว
ก็ยับยั้งอยู่ประมาณกึ่งเดือน จึงพากันออกจากพระนครพร้อมกับเกวียน ๕๐๐
เล่ม ถึงปากทางกันดารโดยลำดับ, พระโพธิสัตว์นั้นจึงยังตุ่มนํ้าให้เต็ม ณ ปาก
ทางกันดารนั้น พาเอานํ้าเป็นอันมากไป ให้เที่ยวตีกลองป่าวร้องภายในกองค่าย

ให้พวกชนประชุมกันแล้วกล่าวอย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญทั้งหลาย พวกท่านยังไม่
ขออนุญาตข้าพเจ้า อย่าได้เทนํ้า แม้สักเท่าซองมือหนึ่ง ชื่อว่าต้นไม้มีพิษ
ย่อมมีในทางกันดาร ใบไม้ดอกไม้หรือผลไม้ ท่านทั้งหลายไม่เคยกินในกาล
ก่อนมีอยู่ พวกท่านยังไม่ได้ไต่ถามแม้ข้าพเจ้าก็อย่าได้เคี้ยวกิน ครั้นให้โอวาท
แม้แก่คนทั้งหลายอย่างนี้แล้วจึงเดินทางกันดารด้วยเกวียน ๕๐๐ เล่ม.

เมื่อพระโพธิสัตว์ถึงท่ามกลางทางกันดาร ยักษ์นั้นได้แสดงตนใน
หนทางสวนกันแก่พระโพธิสัตว์ โดยนัยก่อนนั่นแหละ พระโพธิสัตว์พอเห็น
ยักษ์นั้นเท่านั้น ได้รู้ว่า ในทางกันดารนี้แหละ ไม่มีนํ้า นี้ชื่อว่ากันดารเพราะ
ไม่มีนํ้า อนึ่ง ผู้นี้ไม่มีท่าทีเกรงกลัว มีนัยน์ตาแดง แม้เงาของเขาก็ไม่ปรากฏ.

บุตรพ่อค้าเกวียนผู้เขลาให้ทิ้งนํ้าหมดพากันลำบาก พร้อมทั้งบริษัทจักถูกยักษ์
นี้กินเสียแล้วโดยไม่ต้องสงสัย แต่ยักษ์นี้ เห็นจะไม่รู้ความที่เราเป็นบัณฑิต
และความที่เราเป็นผู้ฉลาดในอุบาย.

• ขยั่นทำความดีไว้ จะได้มีทุนติดไปภพชาติต่อไป
• ความดีไม่ค่อยจะบอกต่อ แต่สิ่งที่บอกต่อบ่อยๆนั้นล้วนแต่สิ่งที่ไม่ดี
• บุคคลมิควรคิดท้อ ก่อนลงมือกระทำ
• ความขยั่นในการอ่านแบ่งปันกันไม่ได้ ต้องสร้างกันเอาเอง อ่านมากก็ขยั่นมาก
• ยิ่งอ่านก็ยิ่งคล่อง ยิ่งมองดูให้ละเอียดก็ยิ่งเข้าใจ
• อยู่กับของดียังมิรู้ตัว ยังเมามัววิ่งค้นหาที่ไหนกัน

แนะนำอ่านออกเสียงไปด้วยก็จะทำให้เข้าใจและจดจำได้ดีขึ้นเพราะ ลิ้นก็ต้องออกเสียงให้ถูก
เสียงมากระทบหูให้ได้ยินอีกที ตาก็เห็น หากอ่านไม่ออกเสียงก็มีแค่ตากับใจที่รับรู้และแค่หนเดียว
แต่ถ้าออกเสียงได้มากกว่านั้น
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 พ.ย. 2018, 13:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:

อ้างคำพูด:
ลำดับนั้น พระโพธิสัตว์นั้นกล่าวกะยักษ์นั้นว่า พวกท่านจงไปเถิด
พวกเราชื่อว่าเป็นพ่อค้า ยังไม่เห็นนํ้าอื่นจะไม่ทิ้งนํ้าที่บรรทุกเอามา แต่เรา
ทั้งหลายจะทิ้งในที่ที่ได้เห็นแล้ว ทำเกวียนทั้งหลายให้เบาแล้วจักไป. ฝ่ายยักษ์
ไปได้หน่อยหนึ่ง เข้าถึงที่ที่มองไม่เห็น แล้วไปนครยักษ์ของตนทีเดียว. เมื่อ
ยักษ์ไปแล้ว คนทั้งปวงจึงเข้าไปหาพระโพธิสัตว์แล้วกล่าวว่า ข้าแต่เจ้านาย

คนเหล่านี้กล่าวว่า นั่นแนวป่าเขียวปรากฏอยู่ จำเดิมแต่ที่นั้นไป ฝนจักตกเป็น
นิตย์ เป็นผู้สวมมาลัยดอกอุบลและโกมุท ถือกำดอกปทุมและบุณฑริก
เคี้ยวกินเหง้าบัว มีผ้าเปียก และมีผมเปียก มีหยาดนํ้าและโคลนไหลหยดมา
พวกเราจักทิ้งนํ้า มีเกวียนเบาจะไปได้เร็ว. ฝ่ายพระโพธิสัตว์ได้ฟังคำของคน
เหล่านั้นแล้วจึงให้พักเกวียน ให้คนทั้งหมดประชุมกันแล้วถามว่า พวกท่าน

เคยได้ฟังมาจากใคร ๆ หรือว่า ในที่กันดารนี้ มีสระนํ้าหรือสระโบกขรณี.
คนทั้งหลายกล่าวว่า ข้าแต่เจ้านาย ไม่เคยได้ยิน พระโพธิสัตว์กล่าวว่า นี้
ชื่อว่ากันดารเพราะนํ้าไม่มี. บัดนี้ คนพวกหนึ่งพูดว่า เบื้องหน้าแต่แนวป่า
เขียวนั่น ฝนตก ธรรมดาว่าลมฝนจะพัดไปถึงที่มีประมาณเท่าไร ? คน

ทั้งหลายกล่าวว่า พัดไปได้ประมาณ ๓ โยชน์ ขอรับ เจ้านาย. พระโพธิสัตว์
ถามว่า ลมกับฝนกระทบร่างกายของบุคคลแม้คนหนึ่ง บรรดาพวกท่าน มี
อยู่หรือ ? คนทั้งหลายกล่าวว่า ไม่มีขอรับ. พระโพธิสัตว์ถามว่า ธรรมดา
ก้อนเมฆย่อมปรากฏในที่มีประมาณเท่าไร ? คนทั้งหลายกล่าวว่า ในที่ประมาณ

๓ โยชน์ ขอรับ. พระโพธิสัตว์ถามว่า ก็บรรดาท่านทั้งหลาย ใคร ๆ เห็น
ก้อนเมฆก้อนหนึ่ง มีอยู่หรือ ? คนทั้งหลายกล่าวว่า ไม่มีขอรับ.

พระโพธิสัตว์. ธรรมดาสายฟ้าปรากฏในที่มีประมาณเท่าไร ?
คนทั้งหลาย. ในที่ประมาณ ๔ - ๕ โยชน์ ขอรับ.
พระโพธิสัตว์. ก็บรรดาท่านทั้งหลาย ใคร ๆ ที่เห็นแสงสว่างของ
สายฟ้า มีอยู่หรือ ?

คนทั้งหลาย. ไม่มีขอรับ.
พระโพธิสัตว์. ธรรมดาเสียงเมฆจะได้ยินในที่มีประมาณเท่าไร ?
คนทั้งหลาย. ในที่ ๑- ๒ โยชน์ ขอรับ.
พระโพธิสัตว์. ก็บรรดาท่านทั้งหลาย ใคร ๆ ที่ได้ยินเสียงเมฆ มีอยู่
หรือ ?

• ขยั่นทำความดีไว้ จะได้มีทุนติดไปภพชาติต่อไป
• ความดีไม่ค่อยจะบอกต่อ แต่สิ่งที่บอกต่อบ่อยๆนั้นล้วนแต่สิ่งที่ไม่ดี
• บุคคลมิควรคิดท้อ ก่อนลงมือกระทำ
• ความขยั่นในการอ่านแบ่งปันกันไม่ได้ ต้องสร้างกันเอาเอง อ่านมากก็ขยั่นมาก
• ยิ่งอ่านก็ยิ่งคล่อง ยิ่งมองดูให้ละเอียดก็ยิ่งเข้าใจ
• อยู่กับของดียังมิรู้ตัว ยังเมามัววิ่งค้นหาที่ไหนกัน

แนะนำอ่านออกเสียงไปด้วยก็จะทำให้เข้าใจและจดจำได้ดีขึ้นเพราะ ลิ้นก็ต้องออกเสียงให้ถูก
เสียงมากระทบหูให้ได้ยินอีกที ตาก็เห็น หากอ่านไม่ออกเสียงก็มีแค่ตากับใจที่รับรู้และแค่หนเดียว
แต่ถ้าออกเสียงได้มากกว่านั้น
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 พ.ย. 2018, 13:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:

อ้างคำพูด:
คนทั้งหลาย. ไม่มีขอรับ.
พระโพธิสัตว์. ท่านทั้งหลายรู้จักคนเหล่านี้หรือ ?
คนทั้งหลาย. ไม่รู้จักขอรับ.

พระโพธิสัตว์กล่าวว่า คนเหล่านี้ไม่ใช่มนุษย์ คนเหล่านี้เป็นยักษ์
พวกมันจักมาเพื่อยุให้พวกเราทิ้งนํ้า กระทำให้อ่อนกำลังแล้วจะเคี้ยวกิน บุตร
พ่อค้าเกวียนผู้เขลาซึ่งไปข้างหน้า ไม่ฉลาดในอุบายเขาคงจักถูกยักษ์เหล่านี้ให้
ทิ้งนํ้า ลำบากแล้วเคี้ยวกินเสียเป็นแน่ เกวียน ๕๐๐ เล่ม จักจอดอยู่ตามที่
บรรทุกไว้เต็มนั่นแหละ วันนี้ พวกเราจักเห็นเกวียนเหล่านั้น ท่านทั้งหลาย
อย่าได้ทิ้งนํ้าแม้มาตรว่าฟายมือหนึ่ง จงรีบขับเกวียนไปเร็ว ๆ

พระโพธิสัตว์นั้นมาอยู่ เห็นเกวียน ๕๐๐ เล่ม ตามที่บรรทุกไว้เต็มนั่น
แหละ และกระดูกคางเป็นต้นของมนุษย์ทั้งหลายและของเหล่าโค กระจัดกระจาย
อยู่ในทิศน้อยทิศใหญ่ จึงให้ปลดเกวียน ให้ตั้งกองค่ายโดยเอาเกวียนวงรอบ ให้
คนและโคกินอาหารเย็น ต่อเวลายังวันให้โคทั้งหลายนอนตรงกลางคนทั้งหลาย
ตนเองพาเอาคนผู้มีกำลังแข็งแรง มือถือดาบ ตั้งการอารักขาตลอดราตรีทั้ง ๓ ยาม

ยืนเท่านั้น (ไม่นอน) จนอรุณขึ้น. วันรุ่งขึ้น พระโพธิสัตว์ทำกิจทั้งปวงให้
เสร็จแต่เช้าตรู่ ให้โคทั้งหลายกินแล้วให้ทิ้งเกวียนที่ไม่แข็งแรงเสีย ให้ถือเอา
เกวียนที่แน่นหนา ให้ทิ้งสิ่งของที่มีราคาน้อยเสีย ให้ขนสิ่งของที่มีค่ามากขึ้น
ไปยังที่ตามที่ปรารถนา ๆ ขายสิ่งของด้วยมูลค่า ๒ เท่า ๓ เท่า ได้พาบริษัท
ทั้งหมดไปยังนครของตน ๆนั่นแลอีก.

พระศาสดาครั้นตรัสธรรมกถานี้แล้วตรัสว่า ดูก่อนคฤหบดี ในกาล
ก่อน คนผู้มีปรกติยึดถือโดยการคาดคะเน ถึงความพินาศใหญ่หลวงด้วย
ประการอย่างนี้ ส่วนคนผู้มีปรกติยึดถือตามความจริง พ้นจากเงื้อมมือของ
พวกอมนุษย์ ไปถึงที่ที่ปรารถนา ๆ โดยสวัสดี แล้วกลับมาเฉพาะยังที่อยู่ของ
ตนแม้อีก เมื่อจะทรงสืบต่อเรื่องแม้ทั้งสองเรื่อง ทรงเป็นผู้ตรัสรู้ยิ่งเองใน
อปัณณกธรรมเทศนานี้ จึงตรัสพระคาถานี้ว่า

• ขยั่นทำความดีไว้ จะได้มีทุนติดไปภพชาติต่อไป
• ความดีไม่ค่อยจะบอกต่อ แต่สิ่งที่บอกต่อบ่อยๆนั้นล้วนแต่สิ่งที่ไม่ดี
• บุคคลมิควรคิดท้อ ก่อนลงมือกระทำ
• ความขยั่นในการอ่านแบ่งปันกันไม่ได้ ต้องสร้างกันเอาเอง อ่านมากก็ขยั่นมาก
• ยิ่งอ่านก็ยิ่งคล่อง ยิ่งมองดูให้ละเอียดก็ยิ่งเข้าใจ
• อยู่กับของดียังมิรู้ตัว ยังเมามัววิ่งค้นหาที่ไหนกัน

แนะนำอ่านออกเสียงไปด้วยก็จะทำให้เข้าใจและจดจำได้ดีขึ้นเพราะ ลิ้นก็ต้องออกเสียงให้ถูก
เสียงมากระทบหูให้ได้ยินอีกที ตาก็เห็น หากอ่านไม่ออกเสียงก็มีแค่ตากับใจที่รับรู้และแค่หนเดียว
แต่ถ้าออกเสียงได้มากกว่านั้น
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 พ.ย. 2018, 13:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:

อ้างคำพูด:
คนพวกหนึ่งกล่าวฐานะไม่ผิด นักเดาทั้งหลาย
กล่าวฐานะนั้นว่าเป็นที่สอง คนมีปัญญารู้ฐานะและ
มิใช่ฐานะนั้นแล้วควรถือเอาฐานะที่ไม่ผิดไว้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อปณฺณกํ ได้แก่ เป็นไปอย่างแน่นอน
คือ ไม่ผิด เป็นเครื่องนำออกจากทุกข์. บทว่า €านํ ได้แก่ เหตุ. จริงอยู่
ในเหตุ เพราะเหตุที่ผลชื่อว่าย่อมตั้งอยู่ เพราะมีความเป็นไปต่อเนื่องกับเหตุนั้น
ฉะนั้น ท่านจึงเรียกเหตุนั้นว่าฐานะ และพึงทราบประโยคของบทว่า ฐานํ
นั้นในประโยคมีอาทิว่า €านญฺจ €านโต อ€านญฺจ อ€านโต €านะโดย
ฐานะ และมิใช่ฐานะโดยมิใช่ฐานะ. ดังนั้น แม้ด้วยบททั้งสองว่า อปณฺณ-

กฏฺ €านํ ท่านแสดงว่า เหตุใดนำมาซึ่งความสุขโดยส่วนเดียว เหตุนั้น
บัณฑิตทั้งหลายปฏิบัติแล้ว เหตุอันเป็นไปอย่างแน่นอน เหตุอันงาม ชื่อว่า
อปัณณกะไม่ผิด นี้เป็นเหตุอันไม่ผิด เป็นเหตุเครื่องนำออกจากทุกข์. ความ
ย่อในที่นี้ เพียงเท่านี้. แต่เมื่อว่าโดยประเภท สรณคมน์ ๓ ศีล ๕ ศีล ๘
ศีล ๑๐ ปาฏิโมกขสังวร อินทรีย์สังวร อาชีวปาริสุทธิศีล ปัจจยปฏิเสวนะ

การเสพปัจจัย จตุปาริสุทธิศีลแม้ทั้งหมด ความคุ้มครองทวารในอินทรีย์
ทั้งหลาย ความรู้ประมาณในโภชนะ ชาคริยานุโยค ฌาน วิปัสสนา อภิญญา
สมาบัติ อริยมรรค อริยผล แม้ทั้งหมดนี้ เป็นฐานะอันไม่ผิด อธิบายว่า
ข้อปฏิบัติไม่ผิด ข้อปฏิบัติอันเป็นเครื่องนำออกจากทุกข์.

ก็แหละ เพราะเหตุที่ฐานะอันไม่ผิดนี้ เป็นชื่อของข้อปฏิบัติเครื่อง
นำออกจากทุกข์ เพราะฉะนั้นแหละ พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อจะทรงแสดงข้อ
ปฏิบัติอันไม่ผิดนั้น จึงตรัสพระสูตรนี้ว่า

• ขยั่นทำความดีไว้ จะได้มีทุนติดไปภพชาติต่อไป
• ความดีไม่ค่อยจะบอกต่อ แต่สิ่งที่บอกต่อบ่อยๆนั้นล้วนแต่สิ่งที่ไม่ดี
• บุคคลมิควรคิดท้อ ก่อนลงมือกระทำ
• ความขยั่นในการอ่านแบ่งปันกันไม่ได้ ต้องสร้างกันเอาเอง อ่านมากก็ขยั่นมาก
• ยิ่งอ่านก็ยิ่งคล่อง ยิ่งมองดูให้ละเอียดก็ยิ่งเข้าใจ
• อยู่กับของดียังมิรู้ตัว ยังเมามัววิ่งค้นหาที่ไหนกัน

การมองการไกลนั้นบางครั้ง หรือบางสิ่งนั้นก็เป็นสิ่งที่ดี แต่เมื่อแล้วมิควรก่อ
ให้เกิดความท้อแท้ เช่น เห็นหนังสือ กองใหญ่ เป็นตู้ แล้วเกิดความคิดว่า เราจะอ่าน
หมดได้อย่างไร? คงไม่มีเวลาอ่านเป็นแน่แท้เป็นต้น แต่หากคิดว่า เราอ่านไปทีละน้อย
วันละไม่กี่หน้า วันละหลายเวลา ทำอย่างนี้บ่อยๆไม่นานก็จะจบเอง
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 พ.ย. 2018, 13:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
อ้างคำพูด:
"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๓ ประการ เป็นผู้
ปฏิบัติข้อปฏิบัติอันไม่ผิด เป็นผู้มีความเพียร และเป็นผู้ปรารภความเพียรนั้น
เพื่อความสิ้นอาสวะทั้งหลาย ๓ ประการเป็นไฉน ? ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุ
ในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้คุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย เป็นผู้รู้ประมาณใน
โภชนะ เป็นผู้ประกอบตามความเพียรเครื่องตื่นอยู่. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย

ิอย่างไรเล่า ภิกษุเป็นผู้คุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ เห็นรูปด้วยจักษุ ย่อมไม่ถือเอาโดยนิมิต ฯลฯ ดู
ก่อนภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล ภิกษุชื่อว่าเป็นผู้คุ้มครองทวารในอินทรีย์
ทั้งหลาย. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็อย่างไรเล่า ภิกษุเป็นผู้รู้ประมาณในโภชนะ

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ พิจารณาโดยแยบคายแล้ว
บริโภคอาหาร มิใช่เพื่อเล่น มิใช่เพื่อมัวเมา มิใช่เพื่อประดับ มิใช่เพื่อตก-
แต่ง เพียงเพื่อให้กายนี้ดำรงอยู่ เพื่อให้ดำเนินไป เพื่องดเว้นการเบียดเบียน
เพื่ออนุเคราะห์พรหมจรรย์ ดังนั้น เราจะบำบัดเวทนาเก่า ไม่ให้เวทนาใหม่

เกิดขึ้น การยังชีวิตให้ดำเนินไป ความไม่มีโทษและการอยู่ผาสุก จักมีแก่เรา.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเป็นผู้รู้ประมาณในโภชนะ อย่างนี้แล. ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย ก็อย่างไรเล่า ภิกษุจึงจะเป็นผู้ประกอบเนือง ๆ ซึ่งความเพียรเครื่อง
ตื่นอยู่ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ชำระจิตจากธรรมเครื่อง

กางกั้น ด้วยการจงกรม ด้วยการนั่งตลอดวัน ชำระจิตจากธรรมเครื่องกาง
กั้น ด้วยการจงกรม ด้วยการนั่ง ตลอดปฐมยามแห่งราตรี สำเร็จสีหไสยา
โดยข้างเบื้องขวา เอาเท้าซ้อนเท้า มีสติสัมปชัญญะ ทำไว้ในใจถึงความ
สำคัญในการลุกขึ้น ตลอดมัชฌิมยามแห่งราตรีลุกขึ้นแล้ว ชำระจิตจากธรรม

เครื่องกางกั้น ด้วยการจงกรม ด้วยการนั่ง ตลอดปัจฉิมยามแห่งราตรี. ดู
ก่อนภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล ภิกษุจึงชื่อว่าเป็นผู้ประกอบเนือง ๆ ซึ่งความ
เพียรเป็นเครื่องตื่นอยู่" ดังนี้.

• ขยั่นทำความดีไว้ จะได้มีทุนติดไปภพชาติต่อไป
• ความดีไม่ค่อยจะบอกต่อ แต่สิ่งที่บอกต่อบ่อยๆนั้นล้วนแต่สิ่งที่ไม่ดี
• บุคคลมิควรคิดท้อ ก่อนลงมือกระทำ
• ความขยั่นในการอ่านแบ่งปันกันไม่ได้ ต้องสร้างกันเอาเอง อ่านมากก็ขยั่นมาก
• ยิ่งอ่านก็ยิ่งคล่อง ยิ่งมองดูให้ละเอียดก็ยิ่งเข้าใจ
• อยู่กับของดียังมิรู้ตัว ยังเมามัววิ่งค้นหาที่ไหนกัน

การมองการไกลนั้นบางครั้ง หรือบางสิ่งนั้นก็เป็นสิ่งที่ดี แต่เมื่อแล้วมิควรก่อ
ให้เกิดความท้อแท้ เช่น เห็นหนังสือ กองใหญ่ เป็นตู้ แล้วเกิดความคิดว่า เราจะอ่าน
หมดได้อย่างไร? คงไม่มีเวลาอ่านเป็นแน่แท้เป็นต้น แต่หากคิดว่า เราอ่านไปทีละน้อย
วันละไม่กี่หน้า วันละหลายเวลา ทำอย่างนี้บ่อยๆไม่นานก็จะจบเอง
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 2685 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 4, 5, 6, 7, 8, 9, 10 ... 179  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 0 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร