วันเวลาปัจจุบัน 21 ก.ค. 2025, 06:04  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


อ่านนิทาน จากบอร์ดเก่า
http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=5



กลับไปยังกระทู้  [ 2685 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 16, 17, 18, 19, 20, 21, 22 ... 179  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 26 พ.ย. 2018, 21:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
อ้างคำพูด:
"ประโยชน์ผ่านพ้นคนโง่ ผู้มัวคอยฤกษ์
ยามอยู่ ประโยชน์เป็นฤกษ์ของประโยชน์ ดวง
ดาวทั้งหลาย จักทำอะไรได้" ดังนี้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปฏิมาเนนฺตํ ความว่า ผู้คอย
ดูอยู่ อธิบายว่า มัวรอคอยอยู่ว่า ฤกษ์จะมีในบัดนี้ จักมีในบัดนี้.
บทว่า อตฺโถ พาลํ อุปจฺจคา ความว่า ประโยชน์กล่าวคือ
การได้เจ้าสาว ผ่านพ้นคนโง่ผู้เป็นชาวเมืองนี้.

บทว่า อตฺโถ อตฺถสฺส นกฺขตฺตํ ความว่า บุคคลเที่ยว
แสวงหาประโยชน์ใด ประโยชน์ที่เขาได้แล้วนั่นแหละ ชื่อว่า
เป็นฤกษ์ของประโยชน์.
บทว่า กึ กริสฺสนฺติ ตารกา ความว่า ก็ดวงดาวทั้งหลาย
ในอากาศนอกจากนี้ จักยังประโยชน์เช่นไรให้สำเร็จได้.

พวกชาวเมือง ทะเลาะกับพวกนั้นแล้ว ก็ไม่ได้เจ้าสาว
อยู่นั่นเอง เลยพากันไป.

แม้พระบรมศาสดาก็ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่
ในบัดนี้เท่านั้น ที่อาชีวกนั้น ทำการขัดขวางงานมงคลของตระกูล
นั้น ถึงในครั้งก่อน ก็ได้กระทำแล้วเหมือนกัน ครั้นทรงนำ
พระธรรมเทศนานี้มาตรัสแล้ว ทรงสืบอนุสนธิประชุมชาดกว่า
อาชีวกในครั้งนั้น ได้มาเป็นอาชีวกในครั้งนี้ แม้ตระกูลทั้งนั้น
ในครั้งนั้น ก็ได้มาเป็นตระกูลในครั้งนี้ ส่วนบุรุษผู้เป็นบัณฑิต
ผู้ยืนกล่าวคาถา ได้มาเป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถานักขัตตชาดกที่ ๙


:b8: :b8: :b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 26 พ.ย. 2018, 21:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
อ้างคำพูด:
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร
ทรงปรารภการบำเพ็ญประโยชน์แก่โลก ตรัสพระธรรมเทศนา
นี้ มีคำเริ่มต้นว่า "ทุมฺเมธานํ" ดังนี้.

ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติในกรุง
พาราณสี พระโพธิสัตว์ทรงถือปฏิสนธิในพระครรภ์ของ
พระอัครมเหสี แห่งพระราชาพระองค์นั้น ครั้นประสูติจากพระ-
ครรภ์พระมารดาแล้ว พระประยูรญาติได้ขนานพระนามให้ว่า
"พรหมทัตกุมาร" พอมีพระชนม์ ๑๖ พรรษา ก็ได้ทรงศึกษา

ศิลปะในเมืองตักกสิลา ทรงเจนจบไตรเพท และทรงสำเร็จ
ศิลปศาสตร์ ๑๘ ประการ. ต่อมาพระราชบิดา ทรงพระราชทาน
ตำแหน่งอุปราชแก่พระองค์. ในครั้งนั้น ประชาชนในกรุง-
พาราณสี นับถือเทวดาเป็นมิ่งขวัญ พากันนอบนบเทวดา ฆ่า
แพะ แกะ ไก่ และหมู เป็นต้นมากมาย กระทำการบวงสรวง

ด้วยดอกไม้และของหอมนานาชนิด และด้วยเนื้อและโลหิต.
พระโพธิสัตว์ทรงดำริว่า บัดนี้ ประชาราษฎร์นับถือเทวดาเป็น
มิ่งขวัญ พากันฆ่าสัตว์ มหาชนฝังใจในอธรรมถ่ายเดียวโดยมาก
เราได้ราชสมบัติ เมื่อพระราชบิดาสวรรคตแล้ว จักไม่ให้สัตว์
แม้สักตัวเดียวได้ลำบาก ต้องหาอุบายไม่ให้ใคร ๆ ฆ่าสัตว์ตัด

ชีวิตให้จงได้. อยู่มาวันหนึ่ง พระองค์ทรงรถเสด็จออกจาก
พระนคร ทอดพระเนตรเห็นมหาชนชุมนุมกันที่ ต้นไทรใหญ่
ต้นหนึ่ง ใครอยากได้สิ่งใด ๆ ในบรรดา ลูกชาย ลูกหญิง ยศ
และทรัพย์เป็นต้น ก็พากันบนในสำนักของเทวดา อันสิงอยู่ ณ
ต้นไทรนั้น พระองค์จึงเสด็จลงจากรถ ทรงดำเนินเข้าไปใกล้

ต้นไม้ ทรงบูชาด้วยของหอมและดอกไม้ สรงสนาน กระทำ
ปทักษิณต้นไม้เหมือนกับพวกที่ถือเทวดาเป็นมิ่งขวัญ บังคม
เทวดาแล้ว เสด็จขึ้นทรงรถกลับเข้าพระนคร ตั้งแต่นั้นมา ก็

• อ่านกันวันละนิด พิชิตความเกียจคร้านอ่าน
• ความรู้ถ้วมตัว หากไม่เมามัวลงมือปฏิบัติบ้างก็คงจะดี
• ความขยั่น จะนำท่านสู่ความสำเร็จ ทุกความสำเร็จย่อมจะมีความขยั่นเป็นปัจจัย
• เพราะเห็นแก่กิน เลยต้องสิ้นลมหายใจ
• ความดีไม่มีขายไม่มีแจก ใครอยากได้ก็ควรทำเอาเอง
• ให้ของไม่ดี ถึงจะเป็นของฟรีก็มิควรรับ

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 26 พ.ย. 2018, 21:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
อ้างคำพูด:
เสด็จไปที่ต้นไม้นั้น ทุก ๆ ขณะเวลาที่ว่าง ทรงทำการบูชา
เหมือนเป็นผู้นับถือ เทวดาเป็นมิ่งขวัญ ดังพรรณนามาแล้วนั่น
แล. โดยสมัยต่อมา พระราชบิดาสวรรคต พระองค์ก็ได้เสวย
ราชย์ ทรงเว้นอคติ ๔ ประการ ทรงประพฤติทศพิธราชธรรม
เคร่งครัด ดำรงราชโดยธรรม ทรงพระดำริว่า มโนรถของเรา

ถึงที่สุดแล้ว เราดำรงในราชสมบัติแล้ว แต่ข้อหนึ่งที่เราคิดไว้
ครั้งก่อนนั้น ก็จะต้องให้ถึงที่สุดในบัดนี้ พลางมีพระราชกระแส
เรียกพวกอำมาตย์และประชาชน มีพราหมณ์ คฤหบดีเป็นต้น
มาประชุมกัน ตรัสประกาศว่า ท่านผู้เจริญทั้งหลาย พวกท่าน

ทราบกันไหมว่า เหตุใดเราจึงได้ราชสมบัติ ? ประชาชนพากัน
กราบทูลว่า ขอเดชะ ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายไม่ทราบเกล้า ฯ
พระเจ้าข้า. รับสั่งถามว่า เมื่อเราบูชาต้นไทรต้นโน้นด้วยของ
หอมเป็นต้น ประคองกระพุ่มมือนบไหว้อยู่ พวกท่านเคยเห็นหรือ
ไม่เล่า ? ขอเดชะ เคยเห็นพระเจ้าข้า. พระองค์มีพระราชดำรัส

ต่อไปว่า ในครั้งนั้น เราตั้งความปรารถนาไว้ว่า ถ้าได้ราชสมบัติ
จักกระทำพลีกรรม เราได้ราชสมบัตินี้ด้วยอานุภาพของเทวดา
นั้น บัดนี้เราจักกระทำพลีกรรมแก่ท้าวเธอ พวกท่านอย่าชักช้า
เลย พากันเตรียมพลีกรรมแก่เทวดา เป็นการเร็วเถิด. พวก

อำมาตย์เป็นต้น ทูลถามว่า ขอเดชะ พวกข้าพระพุทธเจ้าจักจัด
สิ่งใดเล่าพระเจ้าข้า ? รับสั่งว่า ท่านทั้งหลาย เมื่อเราบนเทวดา
เราได้อ้อนวอนไว้ว่า ข้าพเจ้าจักฆ่าหมู่คนที่พากันประพฤติยึดถือ
กรรม แห่งคนทุศีล ๕ ประการ มีฆ่าสัตว์เป็นต้น และที่พากัน

ประพฤติยึดถืออกุศลกรรมบถ ๑๐ ประการ ในรัชกาลของข้าพเจ้า
แล้วจักทำพลีกรรม ด้วยลำไส้และเลือดเนื้อของคนเหล่านั้น เพราะ
ฉะนั้นพวกท่านจงตีฆ้องประกาศไปว่า พระราชาของพวกเรา

• อ่านกันวันละนิด พิชิตความเกียจคร้านอ่าน
• ความรู้ถ้วมตัว หากไม่เมามัวลงมือปฏิบัติบ้างก็คงจะดี
• ความขยั่น จะนำท่านสู่ความสำเร็จ ทุกความสำเร็จย่อมจะมีความขยั่นเป็นปัจจัย
• เพราะเห็นแก่กิน เลยต้องสิ้นลมหายใจ
• ความดีไม่มีขายไม่มีแจก ใครอยากได้ก็ควรทำเอาเอง
• ให้ของไม่ดี ถึงจะเป็นของฟรีก็มิควรรับ

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 26 พ.ย. 2018, 21:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
อ้างคำพูด:
ครั้งดำรงพระยศเป็นอุปราชอยู่นั่นแล ทรงบนเทวดาไว้อย่างนี้
ว่า ถ้าทรงครองราชสมบัติ จักให้ฆ่าคนที่ปรากฏว่าทุศีลในรัชกาล
ให้หมด แล้วกระทำพลีกรรม บัดนี้พระองค์มีพระราชประสงค์
จะให้ฆ่าคนที่ประพฤติ ยึดถือกรรมของคนทุศีล ๕ ประการ ซึ่ง
เป็นคนทุศีลประมาณพันคน แล้วให้เอาเครื่องใน มีหัวใจ เป็นต้น

ของคนเหล่านั้น ไปทรงกระทำพลีกรรมแก่เทวดา ชาวพระนคร
ทั้งหลายจงรู้ไว้อย่างนี้เถิด. ก็แลครั้นตรัสอย่างนี้แล้ว ทรงประกาศ
พระราชประสงค์ว่า คราวนี้นับแต่บัดนี้ไป เราจักต้องฆ่าคนที่
ประพฤติกรรมของคนทุศีลให้ถึงพันคน บูชายัญ จึงจักพ้นจาก
การบน ได้ตรัสพระคาถานี้ ว่า :-

"เราเข้าไปบนไว้ ถึงการบูชายัญด้วยคน
โง่ ๆ พันคน บัดนี้เล่า เราจักต้องบูชายัญละ
คนที่ประพฤติอธรรมมีมากนัก" ดังนี้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ทุมฺเมธานํ สหสฺเสน ความว่า
บุคคลชื่อว่า มีปัญญาทราม เพราะไม่รู้เลยว่า กรรมนี้ควรทำ
กรรมนี้ไม่ควรทำ ก็หรือชื่อว่าโง่ เพราะประพฤติยึดถือในอกุศล-
กรรมบถ ๑๐ ประการ ด้วยคนเขลาที่โง่เง่าไร้ปัญญาเหล่านั้น
นับให้ได้พันคน.

บทว่า ยญฺโญ เม อุปยาจิโต ความว่า เราได้เข้าไปหา
เทวดา บนไว้ถึงการบูชายัญ ว่าจักบูชายัญอย่างนี้.
บทว่า อิทานิ โขหํ ยชิสฺสามิ ความว่า เรานั้นจักบูชายัญ
ในบัดนี้ เพราะได้ครองราชสมบัติด้วยการบนนี้.
เพราะเหตุไร ?

เพราะเดี๋ยวนี้ คนที่ประพฤติอธรรมมีมากนัก เพราะฉะนั้น
ต้องจับเขาไปทำพลีกรรม เสียเดี๋ยวนี้ทีเดียว.
พวกอำมาตย์ฟังพระดำรัสของพระโพธิสัตว์แล้ว ก็รับ
พระบรมราชโองการว่า ชอบด้วยเกล้าฯ พระเจ้าข้า แล้วเที่ยว
ตีกลองป่าวประกาศไปทั่วเมืองพาราณสี อันมีปริมณฑล ๑๒
โยชน์. ชาวประชาทั่วไป ฟังอาญาจากการตีกลองป่าวประกาศ

แล้ว จะหาคนที่ยึดถือทุศีลกรรม แม้เพียงข้อเดียว สักคนหนึ่ง
ก็ไม่ได้. ด้วยกุสโลบายอันแนบเนียนนี้ ตลอดเวลาที่พระโพธิสัตว์
ครองราชสมบัติอยู่ บุคคลที่กระทำกรรม ในบรรดาทุศีลกรรม
๕ ประการ หรือ ๑๐ ประการ แม้เพียงข้อเดียว. ก็ไม่ปรากฏเลย.
พระโพธิสัตว์มิได้ทรงให้บุคคลแม้เพียงคนเดียวลำบาก โปรด

ชาวแว่นแคว้นทั่วหน้า ให้รักษาศีล แม้พระองค์เอง ก็ทรงบำเพ็ญ
บุญมีการให้ทานเป็นต้น ในเวลาสิ้นพระชนม์ ก็ทรงพาบริษัท
ของพระองค์ ไปแน่นเทวนครด้วยประการฉะนี้.

แม้พระบรมศาสดา ก็ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่
แต่ในบัดนี้เท่านั้น ที่ตถาคตประพฤติประโยชน์แก่โลก แม้ใน
กาลก่อน ก็ประพฤติแล้วเหมือนกัน ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนา
นี้มาแล้ว ทรงสืบอนุสนธิประชุมชาดกว่า บริษัทในครั้งนั้น ได้
มาเป็นพุทธบริษัทในบัดนี้ ส่วนพระเจ้ากรุงพาราณสี ได้มาเป็น
เราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถาทุมเมธชาดกที่ ๑๐


:b8: :b8: :b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 26 พ.ย. 2018, 21:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
อ้างคำพูด:
อรรถกถามหาสีลวชาดกที่ ๑

พระบรมศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหา-
วิหาร ทรงปรารภภิกษุผู้มีความเพียรย่อหย่อน ตรัสพระธรรม-
เทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า "อาสึเสเถว ปุริโส" ดังนี้.

มีเรื่องย่อว่า พระศาสดาตรัสถามภิกษุนั้นว่า ดูก่อน
ภิกษุ จริงหรือที่ว่า เธอเป็นผู้มีความเพียรย่อหย่อน ครั้นเธอรับ
ว่าจริงพระเจ้าข้า จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ เธอบรรพชาในพระศาสนา
อันนำสัตว์ออกจากทุกข์ได้เห็นปานดังนี้แล้ว เหตุใดจึงย่อหย่อน
ความเพียรเสียเล่า ในกาลก่อนบัณฑิตทั้งหลาย แม้จะเสื่อมจาก
ราชสมบัติ ก็ยังดำรงอยู่ในความเพียรของตนนั่นแล กลับทำยศ
แม้สลายไปแล้วให้เกิดขึ้นได้ แล้วทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก
ดังต่อไปนี้ :-

ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติในกรุง
พาราณสี พระโพธิสัตว์เสด็จอุบัติในคัพโภทร แห่งอัครมเหสี
ของพระราชา ในวันเฉลิมพระนาม พระประยูรญาติทั้งหลาย
ได้ทรงตั้งพระนามว่า สีลวกุมาร. พอมีพระชนม์ ๑๖ พรรษา
ก็ทรงศึกษาศิลปะสำเร็จเสร็จทุกอย่าง ภายหลังพระราชบิดา
สวรรคต ก็ดำรงราชได้รับเฉลิมพระนามว่า "มหาสีลวราช"

ทรงประพฤติธรรม ทรงเป็นพระธรรมราชา. พระองค์รับสั่ง
ให้สร้างโรงทานไว้ ๖ โรง คือ ๔ โรงที่ประตูพระนครทั้ง ๔ ด้าน
๑ โรงท่ามกลางพระนคร ๑ โรงที่ประตูพระราชวัง ทรงให้ทาน
แก่คนกำพร้า และคนเดินทาง ทรงรักษาศีล ถืออุโบสถ ทรง
สมบูรณ์ด้วยพระขันติ พระเมตตาและพระกรุณา ทรงให้สรรพ-
สัตว์แช่มชื่น ประดุจยังพระโอรสผู้ประทับนั่งเหนือพระเพลา

ให้แช่มชื่นฉะนั้น ทรงครองราชโดยธรรม. มีอำมาตย์ของพระ-
ราชาผู้หนึ่ง ละลาบละล้วงเข้าไปในเขตพระราชฐาน ภายหลัง
ความปรากฏขึ้น อำมาตย์ทั้งหลายพากันกราบทูลให้ทรงทราบ
พระองค์ทรงคอยจับ ก็ทรงทราบโดยประจักษ์ด้วยพระองค์เอง
จึงรับสั่งให้อำมาตย์ผู้นั้นเข้ามาเฝ้าแล้ว ตรัสขับไล่ว่า แน่ะ

คนอันธพาล เจ้าทำกรรมไม่สมควรเลย ไม่ควรอยู่ในแว่นแคว้น
ของเรา จงขนเงินทอง และพาลูกเมียของตัวไปที่อื่น.

• อ่านกันวันละนิด พิชิตความเกียจคร้านอ่าน
• ความรู้ถ้วมตัว หากไม่เมามัวลงมือปฏิบัติบ้างก็คงจะดี
• ความขยั่น จะนำท่านสู่ความสำเร็จ ทุกความสำเร็จย่อมจะมีความขยั่นเป็นปัจจัย
• เพราะเห็นแก่กิน เลยต้องสิ้นลมหายใจ
• ความดีไม่มีขายไม่มีแจก ใครอยากได้ก็ควรทำเอาเอง
• ให้ของไม่ดี ถึงจะเป็นของฟรีก็มิควรรับ

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 26 พ.ย. 2018, 21:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:

มาแข่งขันความขยั่นกันครับ ผมทั้งนำมาโพสทั้งตอบ
ทั้งอ่าน ใครจะขยั่นกว่ากัน

จากคนไม่ขยั่นสู่คนขยั่น ฝึกได้หากเข้าใจวิธีการ
เมื่อก่อนผมก็เกียจคร้านอยู่เช่นกัน คิดเอาเถอะครับ
อ่านหนังสือแค่ สองสามหน้าก็งวงนอนแล้วแต่ปัจจุ
นั่งอ่านได้เป็นชั่วโมงๆ ทั้งที่เมื่อก่อนสาตายก็ดีกว่า
เดียวนี้อ่านๆไปปวดตาบ้าง สายตาก็ไม่ค่อยดี เมื่อ
ปวดผมก็นวดเองบ้าง พักสายตาบ้าง เมื่อกี้ก็รู้สึกปวด
ตรงคิ้วทั้งสองมาก ผมก็แก้ด้วยวิธีพักผ่อนเดินไป
นวดไปด้วย รู้สึกผ่อนคลายก็กลับมานั่งอ่านแล้วก็
มานั่งพิมพ์นี้แหละครับ

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 26 พ.ย. 2018, 21:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
อ้างคำพูด:
อำมาตย์ผู้นั้นไปพ้นแคว้นกาสี ถึงแคว้นโกศล เข้ารับ
ราชการกะพระเจ้าโกศล ได้เป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัยอย่าง
สนิทของพระราชาโดยลำดับ. วันหนึ่งอำมาตย์ผู้นั้น กราบทูล
พระเจ้าโกศลว่า ขอเดชะ อันราชสมบัติในกรุงพาราณสี เปรียบ
เหมือนรวงผึ้งที่ปราศจากตัวผึ้ง พระราชาก็อ่อนแอ อาจยึดเอาได้

ด้วยพลพาหนะมีประมาณน้อยเท่านั้น. พระราชาทรงสดับคำ
ของเขาแล้ว ทรงพระดำริว่า ราชสมบัติในกรุงพาราณสีใหญ่โต
แต่อำมาตย์ผู้นี้กล่าวว่า อาจยึดได้ด้วยพลพาหนะมีประมาณ
น้อยเท่านั้น อำมาตย์ผู้นี้ชะรอยจะเป็นคนสอดแนมหรืออย่างไร
น่าสงสัยนัก แล้วมีพระดำรัสว่า ชะรอยเจ้าจะเป็นคนสอดแนม

ละซี. อำมาตย์นั้นกราบบังคมทูลว่า ขอเดชะ ข้าพระพุทธเจ้า
มิใช่เป็นคนสอดแนม ตามที่ข้าพระพุทธเจ้ากราบทูลเป็นความ
จริงทั้งนั้น แม้นพระองค์จะไม่ทรงเชื่อข้าพระพุทธเจ้า ก็โปรดส่ง
คนไปปล้นหมู่บ้านชายแดนดูเถิด พระเจ้าพาราณสีจับคนเหล่านั้น
ได้ ก็จักพระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์แก่คนเหล่านั้น แล้ว
ทรงปล่อย. พระเจ้าโกศลทรงพระดำริว่า อำมาตย์ผู้นี้พูดจา

องอาจยิ่งนัก เราจักทดลองดูให้รู้แน่นอน แล้วก็ทรงส่งคนของ
พระองค์ไป ให้ปล้นหมู่บ้านชายแดนของพระเจ้าพาราณสี. ราช-
บุรุษจับโจรเหล่านั้นได้ คุมตัวไปถวายพระเจ้าพาราณสี. พระ-
ราชาทอดพระเนตรคนเหล่านั้นแล้ว รับสั่งถามว่า พ่อเอ๋ย เหตุไร

จึงพากันปล้นชาวบ้าน ? คนเหล่านั้นกราบทูลว่า ขอเดชะพวก
ข้าพระพุทธเจ้าไม่มีจะกินจึงปล้น. พระราชารับสั่งว่า เมื่อเป็น
เช่นนี้ เหตุไรจึงไม่พากันมาหาเราเล่า ต่อแต่นี้ไปเบื้องหน้า พวก
เจ้าอย่ากระทำเช่นนี้เลยนะ พระราชทานพระราชทรัพย์ส่วน
พระองค์แก่คนเหล่านั้น แล้วปล่อยตัวไป. คนเหล่านั้นพากันไป

กราบทูล ประพฤติเหตุนั้นแด่พระเจ้าโกศล. แม้จะทรงทราบ
เรื่องถึงขนาดนี้ พระเจ้าโกศลก็มิอาจจะทรงยกกองทัพไป ทรง
ส่งคนไปให้ยื้อแย่งในท้องถนนอีก. แม้พระเจ้าพาราณสี ก็คง

• อ่านกันวันละนิด พิชิตความเกียจคร้านอ่าน
• ความรู้ถ้วมตัว หากไม่เมามัวลงมือปฏิบัติบ้างก็คงจะดี
• ความขยั่น จะนำท่านสู่ความสำเร็จ ทุกความสำเร็จย่อมจะมีความขยั่นเป็นปัจจัย
• เพราะเห็นแก่กิน เลยต้องสิ้นลมหายใจ
• ความดีไม่มีขายไม่มีแจก ใครอยากได้ก็ควรทำเอาเอง
• ให้ของไม่ดี ถึงจะเป็นของฟรีก็มิควรรับ

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 26 พ.ย. 2018, 21:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
อ้างคำพูด:
ยังทรงพระราชทานพระราชทรัพย์ แก่คนเหล่านั้น แล้วทรงปล่อย
ตัวไปอยู่นั่นเอง. ที่นั้นพระเจ้าโกศลจึงทรงทราบว่า พระราชา
เป็นผู้ตั้งอยู่ในธรรม ดีเกินเปรียบ จึงทรงยกพลพาหนะเสด็จออก
ไปด้วยหมายพระทัยว่าจักยึดราชสมบัติเมืองพาราณสี.

ก็ในครั้งนั้น พระเจ้าพาราณสี มีนักรบผู้ยิ่งใหญ่อยู่ประมาณ
พันนาย ล้วนแต่กล้าหาญอย่างเยี่ยม ใคร ๆ ไม่อาจทำลายได้
เลย แม้ถึงช้างที่ซับมันจะวิ่งมาตรงหน้า ทุกนายก็สู้ไม่ถอย แม้
ถึงสายฟ้าจะฟาดลงมาที่ศีรษะ ทุกนายก็ไม่สะดุ้งหวาดเสียว
ล้วนแต่สามารถจะยึดราชสมบัติทั่วชมพูทวีปมาถวายได้ ในเมื่อ

พระเจ้าสีลวมหาราช ทรงพอพระราชหฤทัย. นักรบเหล่านั้น
ฟังข่าวว่า พระเจ้าโกศลยกทัพมา พากันเข้าเฝ้าพระราชา
กราบทูลว่า ขอเดชะ ข่าวว่า พระเจ้าโกศลหมายพระทัยว่า จะ
ยึดครองราชสมบัติในกรุงพาราณสี ยกกองทัพมา ข้าพระพุทธเจ้า
ทั้งหลายของพระราชทานพระบรมราชานุญาต ยกไปจับองค์
โกศลราชเฆี่ยนเสีย มิให้รุกล้ำล่วงรัฐสีมา ของข้าพระพุทธเจ้า

ได้ทีเดียว. พระเจ้าพาราณสีทรงห้ามว่า พ่อทั้งหลาย ฉันไม่
ต้องการให้คนอื่นลำบากเพราะฉันเลย เมื่อพระเจ้าโกศลอยากได้
ราชสมบัติ ก็เชิญมายึดครองเถิด พวกท่านทั้งหลาย อย่าไปต่อสู้
เลย. พระเจ้าโกศลกรีฑาพลล่วงรัฐสีมาเข้ามายังชนบทชั้นกลาง
พวกอำมาตย์สูรมหาโยธา ก็พากันเข้าเฝ้าพระราชา พร้อมกับ

กราบทูลเช่นนั้นอีกครั้งหนึ่ง. พระราชาก็ทรงห้ามไว้เหมือน
ครั้งแรกนั่นแล. พระเจ้าโกศลยกพลมาตั้งประชิดภายนอกพระนคร
ทีเดียว พลางส่งพระราชสาสน์ มาถึงพระเจ้าสีลวมหาราชว่า
จะยอมยกราชสมบัติให้หรือจักรบ. พระเจ้าสีลวมหาราช ส่ง
พระราชสาสน์ตอบไปว่า เราไม่รบกับท่าน เชิญยึดครองราช-

สมบัติเถิด. พวกอำมาตย์พร้อมกันเข้าเฝ้าพระราชาอีกครั้งหนึ่ง
กราบทูลว่า ขอเดชะ พวกข้าพระพุทธเจ้าจะไม่ยอมให้ พระเจ้า
โกศลเข้าเมืองได้ จะพร้อมกันจับเฆี่ยนเสีย ที่นอกพระนครนั่น

• อ่านกันวันละนิด พิชิตความเกียจคร้านอ่าน
• ความรู้ถ้วมตัว หากไม่เมามัวลงมือปฏิบัติบ้างก็คงจะดี
• ความขยั่น จะนำท่านสู่ความสำเร็จ ทุกความสำเร็จย่อมจะมีความขยั่นเป็นปัจจัย
• เพราะเห็นแก่กิน เลยต้องสิ้นลมหายใจ
• ความดีไม่มีขายไม่มีแจก ใครอยากได้ก็ควรทำเอาเอง
• ให้ของไม่ดี ถึงจะเป็นของฟรีก็มิควรรับ

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 27 พ.ย. 2018, 06:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
อ้างคำพูด:
แหละ. พระราชาก็ทรงตรัสห้ามเสียเหมือนครั้งก่อน มีพระกระแส
รับสั่งให้เปิดประตูเมืองทุกด้านแล้ว ก็ประทับเหนือพระราช-
บัลลังก์ในท้องพระโรง พร้อมด้วยอำมาตย์พันนาย. พระเจ้า
โกศลเสด็จเข้าสู่กรุงพาราณสีพร้อมด้วยพลและพาหนะมากมาย.

มิได้ทอดพระเนตรเห็นผู้ที่จะเป็นศัตรูตอบโต้แม้สักคนเดียว ก็
เสด็จสู่ทวารพระราชวัง แวดล้อมด้วยหมู่อำมาตย์ เสด็จขึ้นสู่
ท้องพระโรง อันประดับตกแต่งแล้ว ในพระราชวังอันมีทวาร
เปิดไว้แล้ว มีพระกระแสรับสั่งให้จับพระเจ้าสีลวมหาราช ผู้
ปราศจากความผิด ซึ่งประทับนั่งอยู่นั้นพร้อมด้วยอำมาตย์ทั้งพัน

พลางตรัสว่า พวกเจ้าจงไป มัดพระราชานี้กับพวกอำมาตย์ เอา
มือไพล่หลัง มัดให้แน่น แล้วนำไปสู่ป่าช้าผีดิบ ขุดหลุมให้ลึก
เพียงคอ เอาคนเหล่านี้ฝังลงไปแค่คอ กลบเสียไม่ให้ยกมือขึ้นได้
สักคนเดียว ในเวลากลางคืนพวกหมาจิ้งจอกมันพากันมาแล้ว
จักช่วยกันกระทำกิจที่ควรทำแก่คนเหล่านี้เอง. พวกมนุษย์

ทั้งหลาย ฟังคำอาญาสิทธิ์ของโจรราชแล้ว ก็ช่วยกันมัดพระราชา
และหมู่อำมาตย์ ไพล่หลังอย่างแน่นหนา พาออกไป.

แม้ในกาลนั้น พระเจ้าสีลวมหาราช ก็มิได้ทรงอาฆาต
แก่โจรราช แม้แต่น้อยเลย ถึงบรรดาอำมาตย์แม้เหล่านั้น ที่ถูก
จับมัดจูงไปทำนองเดียวกัน ก็มิได้มีสักคนเดียวที่จะชื่อว่าบังอาจ
ทำลายพระดำรัสของเจ้านายตน. ได้ยินว่า บริษัทของพระเจ้า

สีลวมหาราชนั้น มีวินัยดีอย่างนี้. ครั้งนั้นราชบุรุษของโจรราช
พวกนั้น ครั้นพาพระเจ้าสีลวมหาราช พร้อมด้วยอำมาตย์ไปถึง
ป่าช้าผีดิบแล้ว ก็ช่วยกันขุดหลุมลึกเพียงคอ จับพระเจ้าสีลว-
มหาราชลงหลุมอยู่ตรงกลาง จับพวกอำมาตย์ที่เหลือแม้ทุกคน

ใส่ในหลุมสองข้าง เอาดินร่วน ๆ ใส่ทุบจนแน่น แล้วพากันมา.
พระเจ้าสีลวมหาราช ตรัสเรียกพวกอำมาตย์ พระราชทานโอวาท
ว่า พ่อคุณเอ๋ย พวกเจ้าทุกคน จงเจริญเมตตาอย่างเดียว อย่าทำ
ความขุ่นเคืองในโจรราช.

• อ่านกันวันละนิด พิชิตความเกียจคร้านอ่าน
• ความรู้ถ้วมตัว หากไม่เมามัวลงมือปฏิบัติบ้างก็คงจะดี
• ความขยั่น จะนำท่านสู่ความสำเร็จ ทุกความสำเร็จย่อมจะมีความขยั่นเป็นปัจจัย
• เพราะเห็นแก่กิน เลยต้องสิ้นลมหายใจ
• ความดีไม่มีขายไม่มีแจก ใครอยากได้ก็ควรทำเอาเอง
• ให้ของไม่ดี ถึงจะเป็นของฟรีก็มิควรรับ

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 27 พ.ย. 2018, 06:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
อ้างคำพูด:
ครั้นถึงเวลาเที่ยงคืน ฝูงหมาจิ้งจอก ต่างก็คิดมุ่งจะกัดกิน
เนื้อมนุษย์ พากันวิ่งมา พระราชาและหมู่อำมาตย์เห็นฝูงหมา-
จิ้งจอกนั้นแล้ว ก็เปล่งเสียงเป็นเสียงเดียวกันทีเดียว. ฝูงหมา-
จิ้งจอกต่างกลัว พากันหนีไป. ครั้นมันเหลียวกลับมาดู ไม่เห็นมี
ใครตามหลังมา ก็พากันกลับมาใหม่. พระราชาและหมู่อำมาตย์

ก็ตะเพิดมันด้วยวิธีนั้น. พวกมันพากันหนีไปถึง ๓ ครั้ง หันมา
ดูอีก รู้อาการที่คนเหล่านั้นแม้แต่คนเดียวก็ตามมาไม่ได้ จึง
สันนิษฐานว่า คนเหล่านี้จักต้องถูกฆ่าแล้ว จึงกล้าย้อนกลับไป
ถึงคนเหล่านั้น จะทำเสียงเอะอะอีก ก็ไม่หนีไป. จิ้งจอกตัวจ่าฝูง
รี่เข้าหาพระราชา ตัวที่เหลือก็พากันไปใกล้พวกอำมาตย์ พระ-

ราชาทรงฉลาดในอุบาย ทรงทราบอาการที่หมาจิ้งจอกนั้นมา
ใกล้พระองค์ ก็ทรงเงยพระศอขึ้น เหมือนกับให้ช่องที่มันจะกัด
ได้ พอมันจะงับพระศอ ก็ทรงกดไว้ด้วยพระหนุอย่างแน่นหนา
ประดุจทับไว้ด้วยหีบยนต์ หมาจิ้งจอกถูกพระราชาผู้ทรงพระ
กำลังดุจช้างสาร กดที่คอด้วยพระหนุอย่างแน่นหนา ไม่สามารถ

จะดิ้นหลุดได้ ก็กลัวตาย จึงร้องดังโหยหวน. ฝูงหมาจิ้งจอก
บริวารได้ยินเสียงนายของตนแล้ว พากันคิดว่า ชะรอยจิ้งจอก
ผู้เป็นนายจักถูกชายผู้นั้นจับไว้ได้ จึงไม่อาจเข้าใกล้หมู่อำมาตย์
ต่างก็กลัวตาย พากันหนีไปหมด. เมื่อหมาจิ้งจอกถูกพระราชา
กดไว้แน่นหนาด้วยพระหนุ เหมือนกับไว้ด้วยหีบยนต์ ดิ้นรน

ไปมาทำให้ดินร่วนที่ทุบไว้แน่น ๆ หลวมตัวได้ ทั้งมันเองก็
กลัวตาย จึงเอาเท้าทั้ง ๔ ตะกุยดินที่กลบพระราชาไว้. พระองค์
ทรงทราบอาการที่ดินหลวมตัวแล้ว ก็ทรงปล่อยหมาจิ้งจอกไป.
พระองค์ทรงสมบูรณ์ด้วยกำลังกายดังช้างสาร สมบูรณ์ด้วย

กำลังใจ โคลงพระองค์ไปมา ก็ยกพระหัตถ์ทั้งสองขึ้นมาได้
ทรงเหนี่ยวปากหลุมถอนพระองค์ขึ้นได้ เหมือนวลาหกต้องกระจาย
ด้วยแรงลมฉะนั้น ดำรงพระองค์ได้แล้ว ก็ทรงปลอบหมู่อำมาตย์
ทรงคุ้ยดิน ช่วยให้ขึ้นจากหลุมได้ทั่วกัน พระองค์มีหมู่อำมาตย์
แวดล้อม ประทับอยู่ในป่าช้าผีดิบนั่นเอง.

• อ่านกันวันละนิด พิชิตความเกียจคร้านอ่าน
• ความรู้ถ้วมตัว หากไม่เมามัวลงมือปฏิบัติบ้างก็คงจะดี
• ความขยั่น จะนำท่านสู่ความสำเร็จ ทุกความสำเร็จย่อมจะมีความขยั่นเป็นปัจจัย
• เพราะเห็นแก่กิน เลยต้องสิ้นลมหายใจ
• ความดีไม่มีขายไม่มีแจก ใครอยากได้ก็ควรทำเอาเอง
• ให้ของไม่ดี ถึงจะเป็นของฟรีก็มิควรรับ

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 27 พ.ย. 2018, 06:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
อ้างคำพูด:
สมัยนั้น พวกมนุษย์เอาศพไปทิ้งที่ป่าช้าผีดิบ แต่ทิ้งตรง
ที่คาบเกี่ยว แดนยักษ์ ๒ ตน. ยักษ์ทั้ง ๒ ตนนั้น ไม่อาจแบ่ง
มนุษย์ที่ตายแล้วนั้นได้ เกิดวิวาทกันแล้วพูดกันว่า เราทั้งสอง
ไม่สามารถแบ่งกันได้ พระเจ้าสีลวมหาราชพระองค์นี้เป็นผู้

ทรงธรรมพระองค์นี้ จักทรงแบ่งพระราชทานแก่เราได้ พวก
เราจงไปสู่สำนักของพระองค์ แล้วก็จับมนุษย์ผู้ตายแล้วนั้นที่
เท้าคนละข้าง ลากไปถึงสำนักของพระราชา แล้วกราบทูลว่า
ข้าแต่สมมติเทพ ขอพระองค์จงทรงแบ่งร่างมนุษย์ผู้ตายนี้ แก่
ข้าพระองค์ทั้งสองด้วยเถิด. พระเจ้าสีลวมหาราชรับสั่งว่า ดูก่อน

ยักษ์ผู้เจริญ เราจะช่วยแบ่งร่างมนุษย์นี้ให้ท่านทั้งสอง แต่เรา
ยังมีร่างกายไม่สะอาด ต้องอาบน้ำก่อน. ยักษ์ทั้งสองก็ไปเอาน้ำ
ที่อบไว้สำหรับโจรราช มาด้วยอานุภาพของตน ถวายให้พระเจ้า-
สีลวมหาราชสรง แล้วไปเอาผ้าสาฎกของโจรราช ที่พับเก็บไว้
เป็นผ้าทรงของท้าวเธอ มาถวายให้ทรง แล้วไปนำเอาผอบพระ-

สุคนธ์ อันปรุงด้วยคันธชาต ๔ ชนิด มาถวายให้ทรงชะโลมองค์
แล้วไปเอาดอกไม้ต่าง ๆ ที่เก็บไว้ในผอบทองและผอบแก้ว มา
ถวายให้ทรงประดับ ครั้นพระเจ้าสีลวมหาราชทรงประดับ
ดอกไม้แล้วประทับยืน ยักษ์ทั้งสองก็กราบทูลถามว่า ข้าพระองค์
ต้องทำอะไรอีกพระเจ้าข้า. พระเจ้าสีลวมหาราช ทรงแสดง
พระอาการว่า พระองค์หิว. ยักษ์ทั้งสองก็ไปนำโภชนาหาร

ที่เลิศรส นานาชนิด ที่เขาจัดเตรียมไว้สำหรับโจรราชมาถวาย.
พระเจ้าสีลวมหาราช ทรงสนานพระกาย แต่งพระองค์ ทรง
เครื่องเรียบร้อยแล้ว ก็เสวยพระกระยาหาร ยักษ์ทั้งสองก็ไป
นำน้ำดื่มที่อบแล้ว กับพระเต้าทองพร้อมทั้งขันทอง ที่เขาจัดไว้

สำหรับโจรราช มาถวายให้ทรงดื่ม ครั้นทรงดื่ม บ้วนพระโอษฐ์
และชำระพระหัตถ์แล้ว ก็พากันไปนำพระศรี (ใบพลู) อันปรุง
ด้วยคันธชาต ๕ ประการ ที่จัดไว้สำหรับโจรราชมาถวายให้

ทรงเคี้ยว เสร็จแล้วก็ทูลถามว่า จะให้ข้าพระองค์ทั้งสองกระทำ
อะไรอีกพระเจ้าข้า รับสั่งว่า จงไปนำพระขรรค์อันเป็นมงคล
ืที่เก็บไว้บนหัวนอนของโจรราชมา ยักษ์ทั้งสองก็ไปนำมาถวาย
พระเจ้าสีลวมหาราช ทรงรับพระขรรค์ ทรงตั้งซากศพนั้นให้

ตรง ทรงฟันกลางกระหม่อม ผ่าแบ่งเป็นสองซีก พระราชทาน
แก่ยักษ์ทั้งสองคนละเท่า ๆ กัน ครั้นแล้วทรงชำระพระขรรค์
เหน็บไว้ที่พระองค์. ฝ่ายยักษ์ทั้งสองกินเนื้อมนุษย์แล้ว ก็อิ่มเอิบ
ดีใจ พากันทูลถามว่า ข้าพระองค์ทั้งสองต้องทำอะไรถวายอีก.

พระเจ้าสีลวมหาราช ทรงรับสั่งว่า ถ้าอย่างนั้น เจ้าทั้งสองจง
แสดงอานุภาพ พาเราไปไว้ในห้องสิริไสยาศน์ ของโจรราช
และพาหมู่อำมาตย์เหล่านี้ไปไว้ที่เรือนของตน ๆ เถิด. ยักษ์
ทั้งสองรับกระแสพระดำรัส แล้วพากันปฏิบัติตามนั้น.

• อ่านกันวันละนิด พิชิตความเกียจคร้านอ่าน
• ความรู้ถ้วมตัว หากไม่เมามัวลงมือปฏิบัติบ้างก็คงจะดี
• ความขยั่น จะนำท่านสู่ความสำเร็จ ทุกความสำเร็จย่อมจะมีความขยั่นเป็นปัจจัย
• เพราะเห็นแก่กิน เลยต้องสิ้นลมหายใจ
• ความดีไม่มีขายไม่มีแจก ใครอยากได้ก็ควรทำเอาเอง
• ให้ของไม่ดี ถึงจะเป็นของฟรีก็มิควรรับ

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 27 พ.ย. 2018, 06:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
อ้างคำพูด:
ครั้งนั้น โจรราชบรรทมหลับเหนือพระแท่นสิริไสยาศน์
ในห้องอันทรงสิริงดงาม พระเจ้าสีลวมหาราช ก็ทรงเอาแผ่น
พระขรรค์ประหารพระอุทรโจรราช ผู้กำลังหลับอย่างลืมตัว.
ท้าวเธอตกใจตื่นบรรทม ทรงจำพระเจ้าสีลวมหาราชได้ด้วย
แสงประทีป เสด็จลุกจากพระยี่ภู่ ดำรงพระสติมั่น ตรัสกับ

พระเจ้าสีลวมหาราชว่า มหาราชะ ยามราตรีเช่นนี้ ในวังปิด
ประตู มีผู้รักษากวดขัน ทุกแห่งไม่มีว่างเว้นจากเวรยาม พระองค์
เสด็จมาถึงที่นอนนี้ได้อย่างไรกัน ? พระเจ้าสีลวมหาราช ตรัส
เล่าถึงการเสด็จมาของพระองค์ ให้ฟังทั้งหมดโดยพิสดาร โจรราช
สดับเรื่องนั้นแล้วสลดพระทัยนัก ตรัสว่า มหาราชะ ถึงหม่อมฉัน

จะเป็นมนุษย์ ก็มิได้ทราบซึ้งพระคุณสมบัติของพระองค์เลย
แต่พวกยักษ์อันกินเลือดเนื้อของคนอื่น หยาบคายร้ายกาจ ยังรู้
ถึงพระคุณสมบัติของพระองค์ ข้าแต่พระจอมคน คราวนี้ หม่อมฉัน
จะไม่คิดประทุษร้ายในพระองค์ผู้สมบูรณ์ด้วยศีลเช่นนี้อีก พลาง
ทรงจับพระขรรค์ ทำการสบถ กราบทูลขอขมากับพระเจ้า-

สีลวมหาราช เชิญให้เสด็จบรรทมเหนือพระยี่ภู่ใหญ่ พระองค์
เองบรรทมเหนือพระแท่นน้อย ครั้นสว่างแล้ว ดวงอาทิตย์อุทัย
แล้ว ก็ให้คนนำกลองไปเที่ยวตีประกาศ ให้บรรดาเสนาทุกหมู่
เหล่า และอำมาตย์ พราหมณ์ คฤหบดี ประชุมกัน ตรัสสรรเสริญ

พระคุณของพระเจ้าสีลวะ เปรียบเหมือนทรงชูดวงจันทร์เพ็ญ
ในอากาศขึ้นข้างหน้าของคนเหล่านั้น ทรงขอขมาพระเจ้าสีลวะ
ท่ามกลางบริษัทนั้นอีกครั้งหนึ่ง ทรงเวนคืนราชสมบัติตรัสว่า
ตั้งแต่บัดนี้ไป อุปัทวันตรายที่เกิดแต่โจรผู้ร้าย อันจะบังเกิดแก่

พระองค์ หม่อมฉันขอรับภาระกำจัด ขอพระองค์ทรงเสวยราชย์
โดยมีหม่อมฉันเป็นผู้อารักขาเถิด แล้วทรงลงอาญาแก่อำมาตย์
ผู้ส่อเสียด รวบรวมพลพาหนะ เสด็จไปสู่แว่นแคว้นของพระองค์.

ฝ่ายพระเจ้าสีลวมหาราช ทรงประดับด้วยราชอลังการ
ประทับนั่งเหนือกาญจนบัลลังก์ มีเท้ารองด้วยหนังชะมด ภาย
ใต้พระเศวตฉัตร์ ทอดพระเนตรดูราชสมบัติของพระองค์ ทรง
พระดำริว่า สมบัติอันโอฬารปานนี้ และการกลับได้คืนชีวิต
ของอำมาตย์ ทั้งพันคน แม้นเราไม่กระทำความเพียร จักไม่มี

เลยสักอย่างเดียว แต่ด้วยกำลังของความเพียร เราจึงได้คืนยศนี้
ซึ่งเสื่อมไปแล้ว และได้ให้ชีวิตทานแก่อำมาตย์หนึ่งพัน บุคคล
ไม่ควรสิ้นหวังเสียเลย ควรกระทำความเพียรถ่ายเดียว เพราะ
ผู้ที่กระทำความเพียรแล้ว ย่อมสำเร็จผลอย่างนี้ แล้วตรัสคาถานี้
ด้วยสามารถแห่งอุทาน ความว่า :-

• อ่านกันวันละนิด พิชิตความเกียจคร้านอ่าน
• ความรู้ถ้วมตัว หากไม่เมามัวลงมือปฏิบัติบ้างก็คงจะดี
• ความขยั่น จะนำท่านสู่ความสำเร็จ ทุกความสำเร็จย่อมจะมีความขยั่นเป็นปัจจัย
• เพราะเห็นแก่กิน เลยต้องสิ้นลมหายใจ
• ความดีไม่มีขายไม่มีแจก ใครอยากได้ก็ควรทำเอาเอง
• ให้ของไม่ดี ถึงจะเป็นของฟรีก็มิควรรับ

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 27 พ.ย. 2018, 06:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
อ้างคำพูด:
"บุรุษผู้เป็นบัณฑิต พึงหวังอยู่ร่ำไป ไม่
พึงเบื่อหน่าย เราประจักษ์ด้วยตนเอง ว่าปรารถนา
อย่างใด ก็ได้เป็นอย่างนั้นแล้ว" ดังนี้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อาสึเสเถว ปุริโส ความว่า บุรุษผู้
เป็นบัณฑิต ต้องกระทำความหวังไว้ด้วยกำลังความเพียรของตน
ว่า เมื่อเราปรารภความเพียรอยู่อย่างนี้ จักพ้นจากทุกข์นี้ ดังนี้.

บทว่า น นิพฺพินฺเทยฺย ปณฺฑิโต ความว่า บุรุษได้นามว่า
เป็นบัณฑิต คือเป็นผู้ฉลาดในอุบาย เมื่อกระทำความเพียรในที่ ๆ
ต้องขะมักเขม้น ไม่พึงเบื่อหน่าย คือไม่ควรทำการตัดความหวัง
เสียว่า เราจักไม่ได้ผลของความเพียรนี้เลย ดังนี้.
บทว่า โว ในบทว่า ปสฺสามิ โวหํ อตฺตานํ นี้เป็นเพียง
นิบาต ได้ความว่า วันนี้เราเห็นตนเองเป็นประจักษ์พยาน.

บทว่า ยถา อิจฺฉึ ตถา อหุ ความว่า (เราเห็นตนเป็น
ตัวอย่างอยู่) ว่า ก็เราถูกฝังไว้ในหลุมแท้ ๆ ยังพ้นจากทุกข์ได้
ครั้นปรารภสมบัติของตนอีกเล่า เรานั้นก็เห็นตนเอง ลุถึงสมบัติ
นี้แล้ว ในครั้งก่อนเราปรารถนาไว้อย่างใดเล่า ตนของเราก็เป็น
อย่างนั้นแล้วแล ดังนี้.

พระโพธิสัตว์ครั้นตรัสว่า ท่านผู้เจริญทั้งหลาย ธรรมดา
ผลแห่งความเพียร ของท่านผู้สมบูรณ์ด้วยศีลทั้งหลาย ย่อม
สำเร็จได้อย่างน่าอัศจรรย์จริง ๆ ดังนี้ ทรงเปล่งอุทานด้วย
คาถานี้ ทรงกระทำบุญทั้งหลายตลอดพระชนม์ แล้วก็เสด็จไป
ตามยถากรรม ด้วยประการฉะนี้.

พระบรมศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว
ตรัสประกาศ จตุรารึยสัจแล้ว ในเมื่อจบจตุราริยสัจ ภิกษุผู้มี
ความเพียรย่อหย่อน ก็ดำรงอยู่ในพระอรหัตผล. พระบรมศาสดา
ทรงสืบอนุสนธิประชุมชาดกว่า อำมาตย์ชั่วในครั้งนั้น ได้มาเป็น
พระเทวทัตในบัดนี้ อำมาตย์หนึ่งพันได้มาเป็นพุทธบริษัท ส่วน
พระเจ้าสีลวมหาราช ได้แก่เราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถามหาสีลวชาดกที่ ๑


:b8: :b8: :b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 27 พ.ย. 2018, 06:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
อ้างคำพูด:
พระบรมศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหา-
วิหาร ทรงปรารภภิกษุผู้มีความเพียรย่อหย่อนเหมือนกัน ตรัส
พระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า "วายเมเถว ปุริโส" ดังนี้.
เรื่องที่จะกล่าวในชาดกนี้นั้นทั้งหมด จักมีแจ้งในมหา-
ชนกชาดก.

ก็พระราชาประทับนั่งภายใต้พระเศวตรฉัตร แล้วตรัส
พระคาถานี้ ความว่า
"บุรุษผู้เป็นบัณฑิต พึงพยายามร่ำไป ไม่
พึงเบื่อหน่าย เราประจักษ์ด้วยตนเอง ที่ว่ายน้ำ
ขึ้นบกได้" ดังนี้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า วายเมเถว ความว่า บุรุษผู้เป็น
บัณฑิต ต้องกระทำความพยายามอยู่เรื่อยไป.
บทว่า อุทกา ถลมุพฺภตํ ความว่า เราเห็นประจักษ์ตน
เองว่า พ้นจากน้ำขึ้นสู่บนบกได้ คือตั้งอยู่บนบกได้.
บัดนี้ ภิกษุผู้มีความเพียรย่อหย่อน บรรลุพระอรหัตผล
แล้ว. พระเจ้าชนกราช ได้มาเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถาจูฬชนกชาดกที่ ๒



:b8: :b8: :b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 27 พ.ย. 2018, 06:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
อ้างคำพูด:
พระบรมศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหา-
วิหาร ทรงปรารภเหล้าเจือยาพิษ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มี
คำเริ่มต้นว่า ตเถว ปุณฺณปาติโย ดังนี้.

สมัยหนึ่ง พวกนักเลงสุราในเมืองสาวัตถี ชุมนุมปรึกษา
กันว่า ทุนค่าซื้อสุราของพวกเราหมดแล้ว จักหาที่ไหนได้เล่า ?
ขณะนั้น นักเลงกักขฬะคนหนึ่ง กล่าวว่าอย่าไปคิดถึงเลย อุบาย
ยังมีอยู่อย่างหนึ่ง. พวกนักเลงพากันถามว่า อุบายอย่างไร ?
นักเลงกักขฬะบอกว่า ท่านอนาถบิณฑิกะใส่แหวนหลายวง นุ่งผ้า

เนื้อเกลี้ยง ไปเฝ้าในหลวง พวกเราเอายาเบื่อใส่ในไหสุรา พากัน
นั่งเตรียมการดื่ม เวลาท่านอนาถบิณฑิกะมา ก็เชิญท่านว่า เชิญ
ทางนี้ครับ ท่านมหาเศรษฐี แล้วให้ท่านดื่ม เมื่อสลบแล้ว ก็ริบ
แหวนกับผ้านุ่ง ทำทุนซื้อเหล้ากินได้. นักเลงเหล่านั้นรับรองว่า
ดีจริง ๆ ชวนกันทำอย่างนั้น เวลาท่านเศรษฐีเดินมา ก็เดินสวน

ทางไป พลางกล่าวว่า นายขอรับ เชิญมาทางนี้ก่อนเถิดครับ
สุราในวงของพวกข้าพเจ้า น่าชื่นใจยิ่งนัก เชิญดื่มสักหน่อย
ค่อยไปเถิดครับ. ท่านอนาถบิณฑิกะ เป็นโสดาบันอริยสาวก
จักดื่มสุราได้อย่างไร แม้ถึงท่านจะไม่ต้องการ ก็คิดจักจับ
ไหวพริบพวกนักเลงเหล่านั้น จึงเดินไปถึงที่ซึ่งจัดเป็นที่ดื่ม

ชำเลืองดูกิริยาของพวกนั้น ก็ทราบว่าพวกนี้ปรุงสุรานี้ไว้ด้วย
เหตุ ชื่อนี้ แล้วดำริต่อไปว่า ตั้งแต่บัดนี้ไป ต้องไล่พวกนี้ให้หนีไป
จากที่นี้ ดังนี้ แล้วพูดว่า แนะเฮ้ย เจ้าพวกนักเลงสุราชั่วร้าย
พวกเจ้าเอายาเบื่อใส่ในไหเหล้า แล้วคบคิดกัน ให้คนที่มาพากัน
ดื่มสลบไสล แล้วก็ปล้นเขาเสียดังนี้ จัดตั้งวงดื่มนั่งรอคุยอวด

แต่สุรานี้อย่างเดียว ใคร ๆ แม้สักคนเดียวก็ไม่กล้ายกเหล้านี้
ขึ้นดื่ม ถ้าเหล้านี้ไม่ผสมยาเบื่อแล้วไซร้ พวกเจ้าต้องดื่มกันบ้าง
เป็นแน่ ท่านเศรษฐีขู่นักเลงเหล่านั้นให้หนีไปจากที่นั้น แล้วก็
ไปบ้านของตน ได้คิดว่า จักต้องกราบทูลเหตุที่พวกนักเลง

กระทำให้พระตถาคตทรงทราบ จึงไปสู่พระเชตวันมหาวิหาร
กราบทูลพระศาสดาให้ทรงทราบ. พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อน
คฤหบดี มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น ที่พวกนักเลงเหล่านั้นประสงค์
จะหลอกลวงเธอ ถึงในครั้งก่อน ก็ได้มีประสงค์จะหลอกลวง
บัณฑิตทั้งหลายมาแล้ว ท่านเศรษฐีกราบทูลอาราธนา จึงทรง
นำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-

• อ่านกันวันละนิด พิชิตความเกียจคร้านอ่าน
• ความรู้ถ้วมตัว หากไม่เมามัวลงมือปฏิบัติบ้างก็คงจะดี
• ความขยั่น จะนำท่านสู่ความสำเร็จ ทุกความสำเร็จย่อมจะมีความขยั่นเป็นปัจจัย
• เพราะเห็นแก่กิน เลยต้องสิ้นลมหายใจ
• ความดีไม่มีขายไม่มีแจก ใครอยากได้ก็ควรทำเอาเอง
• ให้ของไม่ดี ถึงจะเป็นของฟรีก็มิควรรับ

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 2685 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 16, 17, 18, 19, 20, 21, 22 ... 179  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 0 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร