วันเวลาปัจจุบัน 06 ก.ย. 2025, 22:59  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


อ่านนิทาน จากบอร์ดเก่า
http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=5



กลับไปยังกระทู้  [ 2252 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 136, 137, 138, 139, 140, 141, 142 ... 151  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 06 ม.ค. 2019, 09:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ข้าแต่มหาราชเจ้า ที่บ้านของชาวกาสีตำบลหนึ่ง มีแม่น้ำที่มี
จระเข้อยู่ด้านหลังของตระกูลๆ หนึ่ง และตระกูลนั้นมีบุตรคนเดียว
เท่านั้น เมื่อบิดาของเขาตายเขาได้ปฏิบัติมารดา มารดาได้นำกุล-
ธิดาคนหนึ่งมาให้เขาโดยที่เขาไม่ปรารถนาเลย ตอนแรกๆ นางกุลธิดา
นั้นก็รักใคร่แม่ผัวดี ภายหลังเจริญด้วยบุตรและธิดา จึงอยากจะขับไล่

แม่ผัวเสีย แม้มารดาของนางก็อยู่ในเรือนนั้นเหมือนกัน ครั้งนั้น นาง
กล่าวโทษแม่ผัวมีประการต่างๆ ต่อหน้าสามี แล้วกล่าวว่า ฉันไม่อาจที่จะ
เลี้ยงดูมารดาของพี่ได้ จงฆ่ามารดาของพี่เสีย เมื่อสามีกล่าวว่า การ
ฆ่ามนุษย์เป็นกรรมหนักฉันจักฆ่าแม่ได้อย่างไร จึงกล่าวว่า ในเวลา

ที่แกหลับ เราช่วยกันพาแกไปทั้งเตียงทีเดียว โยนลงแม่น้ำที่มีจระเข้
แล้วจระเข้ก็จักฮุบแกไปกิน สามีถามว่า มารดาของเธอนอนที่ไหน
นางตอบว่า นอนอยู่ใกล้ๆ กับมารดาพี่นั่นแหละ สามีกล่าวว่า ถ้า
เช่นนั้น เธอจงไปเอาเชือกผูกเตียงที่มารดาของฉันนอนทำเครื่องหมาย

ไว้ครานั้นนางได้กระทำเช่นนั้นแล้วบอกว่า ฉันได้กระทำเครื่องหมายไว้
แล้ว สามีกล่าวว่า รอสักหน่อยให้คนทั้งหลายหลับเสียก่อน ตนเองก็
นอนทำเป็นหลับ แล้วไปแก้เชือกนั้นมาผูกที่เตียงของมารดาภรรยา
ปลุกภรรยาขึ้น แล้วทั้ง ๒ คนก็ไปช่วยกันยกขึ้นทั้งเตียงทีเดียว โยน

ลงไปในน้ำ จระเข้ทั้งหลายได้ยื้อแย่งกันเคี้ยวกินมารดาของหญิงนั้นใน
แม่น้ำนั้น.


* สุขเพียงชั่วคราว แต่ต้องระทมยาวกับความทุกข์อันเกิดจากโรคที่ตามมา
* ความรู้มากมี เพราะมีมากมายไปด้วยเมตตาธรรม
* เมื่อรู้ว่าลูกจะมีภัย พ่อแม่ย่อมจะเป็นห่วง
เมื่อเข้าใจตามความเป็นจริงย่อมละทิ้งความห่วงนั้นลงได้
* ตอนมีชีวิตอยู่ทำดี เมื่อตายคนก็เสียดายและคิดถึง
ตอนมีชีิวีตอยู่ทำตัวเลว ชั่ว เมื่อตายคนก็มิได้เสียดายและเสียใจเลย
* ขยะคนไม่ชอบฉันใด บุคคลที่เปรียบเหมือนขยะสังคมนั้น คนก็ย่อมไม่รักฉันนั้น
* ขยะนั้นเกิดที่ใจ ควรขับไล่ออกไปด้วยทาน ศีล ภาวนา
* ดื่มอย่างมีสติ แต่ติดตรงที่ว่าไม่เคยฝึกสติเลยนะสิ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 06 ม.ค. 2019, 09:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
วันรุ่งขึ้น นางรู้ว่ามารดาถูกเปลี่ยนตัวจึงกล่าวว่า พี่ มารดา
ของฉันถูกฆ่าแล้ว ต่อไปนี้พี่จงฆ่ามารดาของพี่ เมื่อสามีตอบว่า ถ้า
เช่นนั้นตกลง จึงกล่าวว่า เราช่วยกันทำเชิงตะกอนในป่าช้า แล้วจับ
แกใส่เข้าไปในไฟให้ตาย ลำดับนั้น คนทั้ง ๒ ได้นำมารดาผู้กำลังหลับ
อยู่ไปวางไว้ที่ป่าช้า สามีกล่าวกะภรรยาที่ป่าช้านั้นว่า เธอนำไฟมาแล้ว

หรือ ? ภรรยาตอบว่า ไม่ได้นำมาเพราะลืม สามีกล่าวว่า ถ้าเช่นนั้น
เธอจงไปนำมา ภรรยากล่าวว่า ฉันไม่อาจไปคนเดียว แม้เมื่อพี่ไปฉันก็
ไม่อาจอยู่คนเดียว เราไปกันทั้ง ๒ คนเถิด เมื่อผัวเมีย ๒ คนไปกันแล้ว
หญิงแก่ตื่นขึ้นเพราะลมหนาว รู้ว่าที่นั่นเป็นป่าช้าจึงใคร่ครวญดูว่า ผัว

เมีย ๒ คนนี้คงจะประสงค์จะฆ่าเรา มันคงไปเพื่อเอาไฟมาเผาเป็นแน่
คิดว่า มันไม่รู้กำลังของเราดังนี้ แล้วจึงได้เอาซากศพศพหนึ่งขึ้นนอน
บนเตียง เอาผ้าเก่าคลุมข้างบน แล้วตนเองหนีเข้าถ้ำที่เร้นลับใกล้ป่าช้า
นั้นแหละ ผัวเมีย ๒ คนนำไฟมาแล้วเผาซากศพด้วยเข้าใจว่า เป็นหญิง
แก่ แล้วหลีกไป.

ก็ครั้งนั้น ในถ้ำที่เร้นลับนั้น โจรคนหนึ่งเอาสิ่งของไปเก็บไว้
ก่อน โจรนั้นคิดว่า เราจักไปเอาสิ่งของนั้น จึงได้มาเห็นหญิงแก่เข้าใจ
ว่าเป็นยักษิณีตน ๑ สิ่งของของเราเกิดมีอมนุษย์หวงแหนเสียแล้ว
จึงได้ไปนำหมอผีมาคน ๑ ครั้นหมอผีเดินร่ายมนต์เข้าไปในถ้ำ หญิง

แก่จึงกล่าวกะหมอผีนั้นว่า ฉันไม่ใช่ยักษิณีท่านจงมาเถิด เราทั้ง ๒ จัก
บริโภคทรัพย์นี้ หมอผีพูดว่า เราจะเชื่อได้อย่างไร ? หญิงแก่พูดว่า ท่าน
จงเอาลิ้นของท่านวางบนลิ้นของเรา หมอผีได้กระทำอย่างนั้น ทันใด
นั้นหญิงแก่ได้กัดลิ้นของหมอผีขาดตกไป หมอผีมีโลหิตไหลจากลิ้น

คิดว่า หญิงแก่นี้เป็นยักษิณีแน่จึงร้องวิ่งหนีไป ฝ่ายหญิงแก่นั้นครั้นวัน
รุ่งขึ้น ก็นุ่งผ้าเนื้อเลี่ยนถือเอาสิ่งของคือรัตนะต่างๆ ไปเรือน ลำดับ
นั้น หญิงลูกสะใภ้เห็นดังนั้นจึงถามว่า แม่จ๋า แม่ได้สิ่งของนี้ที่ไหน ?


* สุขเพียงชั่วคราว แต่ต้องระทมยาวกับความทุกข์อันเกิดจากโรคที่ตามมา
* ความรู้มากมี เพราะมีมากมายไปด้วยเมตตาธรรม
* เมื่อรู้ว่าลูกจะมีภัย พ่อแม่ย่อมจะเป็นห่วง
เมื่อเข้าใจตามความเป็นจริงย่อมละทิ้งความห่วงนั้นลงได้
* ตอนมีชีวิตอยู่ทำดี เมื่อตายคนก็เสียดายและคิดถึง
ตอนมีชีิวีตอยู่ทำตัวเลว ชั่ว เมื่อตายคนก็มิได้เสียดายและเสียใจเลย
* ขยะคนไม่ชอบฉันใด บุคคลที่เปรียบเหมือนขยะสังคมนั้น คนก็ย่อมไม่รักฉันนั้น
* ขยะนั้นเกิดที่ใจ ควรขับไล่ออกไปด้วยทาน ศีล ภาวนา
* ดื่มอย่างมีสติ แต่ติดตรงที่ว่าไม่เคยฝึกสติเลยนะสิ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 06 ม.ค. 2019, 11:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
หญิงแก่ตอบว่า ลูกคนที่ถูกเผาบนเชิงตะกอนไม้ในป่าช้านั้น ย่อมได้
ทรัพย์สิ่งของเห็นปานนี้ หญิงลูกสะใภ้ถามว่า แม่จ๋า ถ้าเช่นนั้นอย่างฉัน
นี้อาจที่จะได้ไหม ? หญิงแก่ตอบว่า ถ้าจักเป็นอย่างเราก็จักได้ ครั้งนั้น
ด้วยความโลภในสิ่งของเครื่องประดับ นางได้บอกแก่สามีแล้วให้เผาตน

ในป่าช้านั้น. ครั้นในวันรุ่งขึ้นสามีไม่เห็นภรรยากลับมา จึงพูดกะมารดา
ว่า แม่ ก็แม่มาในเวลานี้ แต่ลูกสะใภ้ทำไมจึงไม่มา. หญิงแก่ได้ฟังดัง
นั้นจึงดุลูกชายว่า เฮ้ยไอ้คนเลว! ขึ้นชื่อว่าคนที่ตายแล้วจะมาได้อย่างไร
แล้วกล่าวคาถาว่า:-

เรานำหญิงใดผู้มีความโสมนัส ทัดระ
เบียบดอกไม้ มีกายประพรมด้วยจันทน์เหลือง
มา หญิงนั้นขับไล่เราออกจากเรือน ภัยเกิด
แต่ที่พึ่งอาศัยแล้ว.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โสมนสฺสํ คือ ยังความโสมนัส
ให้เกิดขึ้น อีกอย่างหนึ่งบาลีว่า โสมนสฺสา ความว่า เป็นผู้ยินดีใน
ความโสมนัส.

ข้อนี้อธิบายว่า เราเข้าใจว่าบุตรของเราจักเจริญด้วยบุตรและ
ธิดาทั้งหลาย เพราะอาศัยหญิงนี้ เรานำหญิงใด ผู้มีความโสมนัสทัดระ-
เบียบดอกไม้ มีกายประพรมด้วยจันทน์เหลืองมาประดับตกแต่งให้เป็น
สะใภ้ด้วยหวังว่าจักเลี้ยงดูเราในเวลาแก่ หญิงนั้นขับไล่เราออกจากเรือน
ในวันนี้ ภัยเกิดขึ้นแต่ที่พึ่งอาศัยแล้วดังนี้.

พระมหาสัตว์กราบทูลต่อไปว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า พระราชาเป็น
ที่พึ่งของมหาชน เหมือนหญิงสะใภ้เป็นที่พึ่งของแม่ผัว เมื่อภัยเกิดแต่
พระราชานั้นแล้วใครอาจจะทำอะไรได้ ขอพระองค์จงทรงทราบเถิด
พระเจ้าข้า พระราชาได้ทรงสดับดังนั้นแล้วตรัสว่า นี่แน่ะเจ้า เหตุการณ์
ที่เจ้านำมาเล่านี้เราไม่รู้ เจ้าจงมอบโจรให้เถิด พระโพธิสัตว์คิดว่า เรา
จักรักษาเกียรติคุณพระราชา จึงได้นำเรื่องมากราบทูลอีกเรื่องหนึ่งว่า:-


* สุขเพียงชั่วคราว แต่ต้องระทมยาวกับความทุกข์อันเกิดจากโรคที่ตามมา
* ความรู้มากมี เพราะมีมากมายไปด้วยเมตตาธรรม
* เมื่อรู้ว่าลูกจะมีภัย พ่อแม่ย่อมจะเป็นห่วง
เมื่อเข้าใจตามความเป็นจริงย่อมละทิ้งความห่วงนั้นลงได้
* ตอนมีชีวิตอยู่ทำดี เมื่อตายคนก็เสียดายและคิดถึง
ตอนมีชีิวีตอยู่ทำตัวเลว ชั่ว เมื่อตายคนก็มิได้เสียดายและเสียใจเลย
* ขยะคนไม่ชอบฉันใด บุคคลที่เปรียบเหมือนขยะสังคมนั้น คนก็ย่อมไม่รักฉันนั้น
* ขยะนั้นเกิดที่ใจ ควรขับไล่ออกไปด้วยทาน ศีล ภาวนา
* ดื่มอย่างมีสติ แต่ติดตรงที่ว่าไม่เคยฝึกสติเลยนะสิ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 06 ม.ค. 2019, 11:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ข้าแต่พระองค์ ในกาลก่อนบุรุษผู้หนึ่งในพระนครนี้แหละ ตั้ง
ความปรารถนาแล้วก็ได้บุตร ในเวลาที่บุตรเกิดเขาเกิดปิติโสมนัสว่า
เราได้บุตรแล้ว เลี้ยงดูบุตรนั้นเป็นอย่างดี เมื่อเจริญวัยแล้วได้หาภรรยา
ให้ ต่อมาภายหลังเขาแก่เฒ่าลง ไม่อาจทำงานให้สำเร็จได้ ครั้งนั้น
บุตรได้กล่าวกะเขาว่า พ่อไม่อาจทำการงานได้จงออกไปจากบ้านนี้ แล้ว
ก็ขับออกจากบ้าน เขาขอทานเลี้ยงชีพด้วยความยากแค้น คร่ำครวญอยู่
กล่าวคาถาว่า:-

เราชื่นชมยินดีด้วยบุตรผู้เกิดแล้วคนใด
เราปรารถนาความเจริญแก่บุตรคนใด บุตรคน
นั้นก็มาขับไล่เราออกจากเรือน ภัยเกิดขึ้นแต่
ที่พึ่งอาศัยแล้ว.

บรรดาบทเหล่านั้น สองบทว่า โสมํ เป็นต้น ความว่า บุตร
คนนั้นก็มาขับไล่เราออกจากเรือน เรานั้นเที่ยวขอทานเลี้ยงชีพอย่าง
ลำบาก ภัยเกิดขึ้นแก่เราแต่ที่พึ่งอาศัยนั่นเอง.

พระมหาสัตว์กราบทูลต่อไปว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า ขึ้นชื่อว่าบิดา
ผู้แก่ชรา บุตรผู้มีกำลังความสามารถควรรักษาฉันใด ชนบททั้งหมด
พระราชาควรรักษาฉันนั้น ก็แลภัยนี้เมื่อเกิดขึ้นได้เกิดขึ้นแล้วจากสำนัก

ของพระราชาผู้รักษาสัตว์ทั้งปวง ขอพระองค์จงทรงทราบว่า คนชื่อโน้น
เป็นโจร ด้วยเหตุนี้พระพุทธเจ้าข้า พระราชาได้ทรงสดับดังนั้นจึงตรัส
ว่า นี่แน่ะเจ้า เราไม่ทราบสาเหตุที่ควรและไม่ควร เจ้าจงชี้ตัวโจร
ให้เถิด หรือว่าตัวเจ้าเองเป็นโจร พระราชาทรงรบเร้ามาณพอยู่เนือง ๆ
ด้วยประการดังว่ามานี้.

ลำดับนั้น พระโพธิสัตว์ได้กราบทูลพระราชาอย่างนี้ว่า ข้าแต่
พระมหาราชเจ้า พระองค์จะให้ข้าพระองค์ชี้ตัวโจรอย่างเดียวเท่านั้น
มิใช่หรือ ? พระราชาตรัสว่า ถูกแล้วเธอ พระโพธิสัตว์กราบทูลว่า
ถ้าเช่นนั้น ข้าพระองค์จักประกาศในท่ามกลางบริษัทว่า คนโน้นด้วย

คนนี้ด้วยเป็นโจร พระราชาตรัสว่า จงทำอย่างนั้นเถิด เธอ พระ-
โพธิสัตว์ได้สดับพระราชดำรัสดังนั้นแล้วคิดว่า พระราชานี้ไม่ให้เรา
รักษาพระองค์ไว้ ฉะนั้นเราจักจับโจรในบัดนี้ คิดดังนี้แล้วจึงป่าว
ประกาศเรียกประชุมชาวนิคมชนบท แล้วกล่าวคาถา ๒ คาถาว่า:-


* สุขเพียงชั่วคราว แต่ต้องระทมยาวกับความทุกข์อันเกิดจากโรคที่ตามมา
* ความรู้มากมี เพราะมีมากมายไปด้วยเมตตาธรรม
* เมื่อรู้ว่าลูกจะมีภัย พ่อแม่ย่อมจะเป็นห่วง
เมื่อเข้าใจตามความเป็นจริงย่อมละทิ้งความห่วงนั้นลงได้
* ตอนมีชีวิตอยู่ทำดี เมื่อตายคนก็เสียดายและคิดถึง
ตอนมีชีิวีตอยู่ทำตัวเลว ชั่ว เมื่อตายคนก็มิได้เสียดายและเสียใจเลย
* ขยะคนไม่ชอบฉันใด บุคคลที่เปรียบเหมือนขยะสังคมนั้น คนก็ย่อมไม่รักฉันนั้น
* ขยะนั้นเกิดที่ใจ ควรขับไล่ออกไปด้วยทาน ศีล ภาวนา
* ดื่มอย่างมีสติ แต่ติดตรงที่ว่าไม่เคยฝึกสติเลยนะสิ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 06 ม.ค. 2019, 11:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ขอชาวชนบทและชาวนิคมผู้มาประชุม
กันแล้ว จงฟังข้าพเจ้า น้ำมีในที่ใด ไฟก็มีใน
ที่นั้น ความเกษมสำราญบังเกิดขึ้นแต่ที่ใด
ภัยก็บังเกิดขึ้นแต่ที่นั้น พระราชากับพราหมณ์
ปุโรหิตพากันปล้นรัฐเสียเอง ท่านทั้งหลาย
จงพากันรักษาตนของตนอยู่เถิด ภัยเกิดขึ้น
แต่ที่พึ่งอาศัยแล้ว.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยโตทกํ ตทาทิตฺตํ ความว่า น้ำ
มีที่ไหน ไฟก็มีที่นั่น บทว่า ยโต เขมํ ความว่า ความเกษมสำราญ
พึงมีแต่พระราชาพระองค์ใด ภัยเกิดขึ้นแล้วแก่พระราชาพระองค์นั้น.
บทว่า อตฺตคุตฺตา วิหรถ ความว่า บัดนี้ ท่านทั้งหลายไม่มีที่พึ่งแล้ว
ขออย่าได้ยังตนให้พินาศเถิด ขอท่านทั้งหลายจงคุ้มครองตนเองรักษา

ทรัพย์และข้าวเปลือกที่เป็นของของตนเถิด ธรรมดาว่าพระราชาเป็นที่
พึ่งของมหาชน ภัยเกิดขึ้นแล้วแก่ท่านทั้งหลายแต่พระราชาพระองค์
นั้นเอง พระราชากับพราหมณ์ปุโรหิตเป็นโจรผู้หากินด้วยการปล้น ถ้า
ท่านทั้งหลายประสงค์จะจับโจร ก็จงจับพระราชากับพราหมณ์ปุโรหิตทั้ง
สองคนนี้ไปลงโทษเถิด.

ลำดับนั้น ประชาชนเหล่านั้น ได้ฟังคำของพระโพธิสัตว์นั้น
แล้วพากันว่า พระราชาพระองค์นี้ควรจะมีหน้าที่ปกปักรักษา บัดนี้พระ-
องค์กลับใส่โทษคนอื่น เอาสิ่งของของพระองค์ไปไว้ในสระโบกขรณีด้วย
พระองค์เองแล้วค้นหาโจร บัดนี้พวกเราจะฆ่าพระราชาลามกนี้เสีย เพื่อ

ไม่ให้กระทำโจรกรรมอีกต่อไป. ลำดับนั้น ประชาชนเหล่านั้นจึงได้
พร้อมกันลุกขึ้น ถือท่อนไม้บ้าง ตะบองบ้าง ทุบตีพระราชาและพราหมณ์
ปุโรหิตให้ตาย แล้วอภิเษกพระมหาสัตว์ให้ครองราชสมบัติต่อไป.

พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงดังนี้แล้ว ตรัส
ว่า ดูก่อนอุบาสก การจำรอยเท้าบนแผ่นดินได้ไม่น่าอัศจรรย์ บัณฑิต
ครั้งก่อนจำรอยเท้าในอากาศได้ถึงอย่างนี้ แล้วทรงประกาศสัจธรรม
เวลาจบสัจธรรม อุบาสกและบุตรดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล พระทศพล

ทรงประชุมชาดกว่า บิดาในครั้งนั้นได้มาเป็นพระกัสสปในครั้งนี้ มาณพ
ผู้ฉลาดในการสังเกตรอยเท้าได้มาเป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถาปทกุสลมาณวชาดกที่ ๖

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 06 ม.ค. 2019, 11:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
อรรถกถาโลมสกัสสปชาดกที่ ๗

พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภ
ภิกษุผู้กระสันรูปหนึ่ง จึงตรัสเรื่องนี้ มีคำเริ่มต้นว่า อสฺส อินฺทสโม
ราชา ดังนี้

ความย่อมีว่า พระศาสดาตรัสถามภิกษุรูปนั้นว่า ดูก่อนภิกษุ
เขาว่าเธอกระสันจริงหรือ ? เมื่อภิกษุรูปนั้นกราบทูลว่า จริงพระเจ้าข้า
จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ ก็ลมที่พัดภูเขาสิเนรุให้หวั่นไหว ทำไมจึงจักไม่

พัดใบไม้เก่าๆ ให้หวั่นไหวเล่า แม้ผู้ที่เพียบพร้อมไปด้วยยศทั่วๆ ไป ยัง
ถึงความเสื่อมยศได้ ชื่อว่ากิเลส ย่อมทำสัตว์ที่บริสุทธิ์ให้เศร้าหมองได้
จะป่วยกล่าวไปใยถึงคนเช่นเธอ ดังนี้ แล้วทรงนำเอาเรื่องในอดีตมา
สาธก ดังต่อไปนี้:-

ในอดีตกาล โอรสของพระเจ้าพรหมทัตผู้ครองพระนครพาราณ-
สี ชื่อว่า พรหมทัตตกุมาร และบุตรของปุโรหิต ชื่อว่า กัสสปะ เป็น
สหายกัน เรียนศิลปะทุกอย่างในตระกูลอาจารย์คนเดียวกัน ต่อมา
เมื่อพระราชบิดาสวรรคต พรหมทัตตกุมารได้ครองราชสมบัติ ที่นั้น

กัสสปกุมารคิดว่า สหายของเราเป็นพระราชา บัดนี้ คงจักพระราชทาน
ความเป็นใหญ่ ประโยชน์อะไรด้วยความเป็นใหญ่สำหรับเรา เราจัก
ลามารดาบิดาและพระราชาแล้วบวช ครั้นเขาคิดดังนี้แล้ว จึงได้ถวาย
บังคมลาพระราชาและลามารดาบิดา เข้าดินแดนหิมพานต์ บวชเป็นฤๅษี

ในวันที่ ๗ ได้อภิญญาและสมาบัติ เลี้ยงชีพอยู่ด้วยการเที่ยวแสวงหาผล
ไม้ คนทั้งหลายพากันเรียกท่านซึ่งเป็นบรรพชิตว่า โลมสกัสสปะ
ท่านเป็นดาบสที่มีอินทรีย์สงบระงับอย่างยิ่ง มีตบะแรงกล้า ภพของ
ท้าวสักกเทวราชหวั่นไหวด้วยเดชแห่งตบะของดาบสนั้น ลำดับนั้น
ท้าวสักกเทวราชทรงพิจารณาดูเห็นเหตุดังนั้นแล้ว ทรงดำริว่า ดาบสนี้


* สุขเพียงชั่วคราว แต่ต้องระทมยาวกับความทุกข์อันเกิดจากโรคที่ตามมา
* ความรู้มากมี เพราะมีมากมายไปด้วยเมตตาธรรม
* เมื่อรู้ว่าลูกจะมีภัย พ่อแม่ย่อมจะเป็นห่วง
เมื่อเข้าใจตามความเป็นจริงย่อมละทิ้งความห่วงนั้นลงได้
* ตอนมีชีวิตอยู่ทำดี เมื่อตายคนก็เสียดายและคิดถึง
ตอนมีชีิวีตอยู่ทำตัวเลว ชั่ว เมื่อตายคนก็มิได้เสียดายและเสียใจเลย
* ขยะคนไม่ชอบฉันใด บุคคลที่เปรียบเหมือนขยะสังคมนั้น คนก็ย่อมไม่รักฉันนั้น
* ขยะนั้นเกิดที่ใจ ควรขับไล่ออกไปด้วยทาน ศีล ภาวนา
* ดื่มอย่างมีสติ แต่ติดตรงที่ว่าไม่เคยฝึกสติเลยนะสิ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 06 ม.ค. 2019, 11:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
มีเดชสูงนัก จะทำเราให้เคลื่อนจากความเป็นท้าวสักกะ เราจักร่วมมือ
กับพระเจ้าพาราณสี ทำลายตบะของดาบสนั้นเสีย ครานั้นท้าวเธอ
ได้เสด็จเข้าไปยังห้องสิริไสยาสน์ของพระเจ้าพาราณสีในเวลาเที่ยงคืน
แสดงอานุภาพของท้าวสักกะ บันดาลห้องทั้งหมดให้สว่างด้วยรัศมีแห่ง
พระสรีระ ลอยอยู่ในอากาศในสำนักของพระราชา ปลุกพระราชาว่า

ตื่นขึ้นเถิดมหาราช เมื่อพระราชาตรัสถามว่า ท่านเป็นใคร ตรัสตอบ
ว่า เราคือท้าวสักกะ ตรัสถามว่า ท่านมาเพื่ออะไร ? ตรัสย้อนถามว่า
มหาราช ท่านจะปรารถนาความเป็นเอกราชในชมพูทวีปทั้งสิ้น หรือ
ไม่ปรารถนา ? ตรัสตอบว่า ทำไมจึงจะไม่ปรารถนาเล่า. ลำดับนั้น

ท้าวสักกเทวราช จึงตรัสกะพระราชาว่า ถ้าเช่นนั้น พระองค์จงนำ
โลมสกัสสปดาบสมาบูชาปสุฆาตยัญ พระองค์จะเสมอด้วยท้าวสักกะ
ไม่แก่ไม่ตายจักได้ครองราชสมบัติทั่วชมพูทวีป ดังนี้ แล้วตรัสคาถาที่ ๑
ว่า:-

ถ้าท่านนำเอาฤๅษีโลมสกัสสปะมาบูชา-
ยัญได้ ท่านจักได้เป็นพระราชาเสมอด้วยพระ-
อินทร์ ไม่รู้แก่ ไม่รู้ตายเลย.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อสฺส แปลว่า จักได้เป็น. บทว่า
ยเชยฺย ความว่า ถ้าท่านนำฤๅษีโลมสกัสสปะจากที่อยู่ในป่ามาบูชายัญ
ได้.

ลำดับนั้น พระราชาได้ทรงสดับพระดำรัสของท้าวสักกะแล้ว
ทรงรับคำว่า ดีแล้ว ครานั้น ท้าวสักกะตรัสเตือนว่า ถ้าเช่นนั้น ก็อย่า
เนิ่นช้า แล้วเสด็จหลีกไป วันรุ่งขึ้น พระราชารับสั่งให้เรียกไสยหะ
อำมาตย์ตรัสว่า แน่ะเพื่อน ท่านจงไปสำนักโลมสกัสสปะผู้เป็นสหาย
ที่รักของเรา จงพูดตามคำของเราอย่างนี้ว่า ได้ยินว่า พระราชาจักให้
ท่านบูชาปสุฆาตยัญ แล้วจักเป็นเอกราชทั่วชมพูทวีป ท่านปรารถนา


* สุขเพียงชั่วคราว แต่ต้องระทมยาวกับความทุกข์อันเกิดจากโรคที่ตามมา
* ความรู้มากมี เพราะมีมากมายไปด้วยเมตตาธรรม
* เมื่อรู้ว่าลูกจะมีภัย พ่อแม่ย่อมจะเป็นห่วง
เมื่อเข้าใจตามความเป็นจริงย่อมละทิ้งความห่วงนั้นลงได้
* ตอนมีชีวิตอยู่ทำดี เมื่อตายคนก็เสียดายและคิดถึง
ตอนมีชีิวีตอยู่ทำตัวเลว ชั่ว เมื่อตายคนก็มิได้เสียดายและเสียใจเลย
* ขยะคนไม่ชอบฉันใด บุคคลที่เปรียบเหมือนขยะสังคมนั้น คนก็ย่อมไม่รักฉันนั้น
* ขยะนั้นเกิดที่ใจ ควรขับไล่ออกไปด้วยทาน ศีล ภาวนา
* ดื่มอย่างมีสติ แต่ติดตรงที่ว่าไม่เคยฝึกสติเลยนะสิ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 06 ม.ค. 2019, 11:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ประเทศเท่าใด พระราชาจักพระราชทานประเทศเท่านั้นแก่ท่าน ขอ
ท่านจงมาเพื่อบูชายัญกับเรา ไสยหะอำมาตย์ได้ฟังดังนั้นแล้ว กราบทูล
ว่า ดีแล้ว พระเจ้าข้า แล้วให้ตีกลองป่าวประกาศในพระนคร เพื่อจะ
รู้ที่อยู่ของดาบส เมื่อชาวป่าคนหนึ่งบอกว่า ข้าพเจ้ารู้ ได้ให้เขาเป็นคน
นำทางไปในที่นั้นด้วย บริวารใหญ่ไหว้พระฤๅษีแล้วนั่ง ณ ที่ควรแห่ง

หนึ่ง แจ้งข่าวสาส์นนั้น ลำดับนั้น พระดาบสได้ฟังคำของไสยหะ
อำมาตย์ แล้วกล่าวว่า ดูก่อนไสยหะ ท่านพูดอะไรนั่น เมื่อจะปฏิเสธ
ถ้อยคำของไสยหะอำมาตย์ ได้กล่าวคาถา ๔ คาถาว่า:-

อาตมาไม่ปรารถนาแผ่นดินที่มีทะเลล้อม
รอบ มีมหาสมุทร ๔ เป็นขอบเขต พร้อมกับความ
นินทา ดูก่อนไสยหะ ท่านจงทราบอย่างนี้เถิด.
ดูก่อนพราหมณ์ เราติเตียนการได้ยศ
การได้ทรัพย์ และความประพฤติอันไม่เป็น
ธรรม มีแต่จะให้ถึงความพินาศ.

ถึงแม้จะเป็นบรรพชิต ต้องอุ้มบาตรหา
เลี้ยงชีพ แต่ไม่เบียดเบียนใคร ความเป็นอยู่
เช่นนั้น ยังดีกว่าการแสวงหาที่ไม่เป็นธรรม
จะดีอะไร.

ถึงแม้จะเป็นบรรพชิต ต้องอุ้มบาตรหา
เลี้ยงชีพ แต่ไม่เบียดเบียนใคร ความเป็นอยู่
นั่นแหละประเสริฐกว่าความเป็นพระราชาใน
โลก.


* สุขเพียงชั่วคราว แต่ต้องระทมยาวกับความทุกข์อันเกิดจากโรคที่ตามมา
* ความรู้มากมี เพราะมีมากมายไปด้วยเมตตาธรรม
* เมื่อรู้ว่าลูกจะมีภัย พ่อแม่ย่อมจะเป็นห่วง
เมื่อเข้าใจตามความเป็นจริงย่อมละทิ้งความห่วงนั้นลงได้
* ตอนมีชีวิตอยู่ทำดี เมื่อตายคนก็เสียดายและคิดถึง
ตอนมีชีิวีตอยู่ทำตัวเลว ชั่ว เมื่อตายคนก็มิได้เสียดายและเสียใจเลย
* ขยะคนไม่ชอบฉันใด บุคคลที่เปรียบเหมือนขยะสังคมนั้น คนก็ย่อมไม่รักฉันนั้น
* ขยะนั้นเกิดที่ใจ ควรขับไล่ออกไปด้วยทาน ศีล ภาวนา
* ดื่มอย่างมีสติ แต่ติดตรงที่ว่าไม่เคยฝึกสติเลยนะสิ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 06 ม.ค. 2019, 16:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สสมุทฺทปริยายํ คือที่มีทะเลล้อม
รอบ. บทว่า สาครกุณฺฑลํ คือที่ประกอบด้วยสาครอันตั้งแวดล้อม
ทวีปทั้ง ๔ ดุจกุณฑลที่เขาประดับไว้ที่จอนหู ฉะนั้น. บทว่า สห
นินฺทาย ความว่า โลมสกัสสปดาบสกล่าวว่า อาตมาไม่ปรารถนาแม้
มหาปฐพีที่มีจักรวาลเป็นที่สุด พร้อมด้วยคำนินทานี้ว่า โลมสกัสสป-

ดาบสนี้ ได้ทำปสุฆาตกรรมแล้ว. ด้วยบทว่า ยา วุตฺติ วินิปาเตน
โลมสกัสสปดาบส แสดงว่า เราติเตียนความเป็นไปแห่งชีวิต คือตำหนิ
ความประพฤตินั้น เพราะเป็นกรรมที่ให้ตกไปในนรก. บทว่า สาเยว
ชีวิกา ความว่า ความเป็นอยู่โดยวิธีอุ้มเอาบาตรเดินเข้าไปสู่เรือนของ

ผู้อื่น แสวงหาอาหารของบรรพชิตนั่นแหละ ดีกว่าการได้ยศทรัพย์
และลาภตั้งร้อยเท่าพันทวีคูณ. บทว่า อปิ รชฺเชน ตํ วรํ ความว่า
การงดเว้นความชั่วของบรรพชิต ผู้ไม่เบียดเบียนผู้อื่นนั้นประเสริฐกว่า
ความเป็นพระราชาในชมพูทวีปทั้งสิ้น.

อำมาตย์ฟังคำของพระดาบสนั้นแล้ว ได้ไปกราบทูลแด่พระราชา
พระราชาได้ทรงสดับดังนั้น ตรัสว่า เมื่อท่านไม่มา เราก็ไม่อาจจะทำ
อะไรได้ จึงได้ทรงนิ่งอยู่ ลำดับนั้น ท้าวสักกเทวราชได้เสด็จมาในเวลา
เที่ยงคืนอีก ประทับอยู่ในอากาศ ตรัสว่า ดูก่อนมหาราช เหตุไร
พระองค์จึงไม่บังคับโลมสกัสสปดาบสให้บูชายัญ พระราชาตรัสว่า

ข้าพระองค์ส่งอำมาตย์ไปบอกแล้ว แต่ท่านไม่มา ท้าวสักกะตรัสว่า
ดูก่อนมหาราช ถ้าเช่นนั้น พระองค์จงตกแต่งจันทวดีกุมารี ซึ่งเป็น
พระราชธิดาของพระองค์ แล้วมอบให้ไสยหะอำมาตย์นำไปบอกว่า ถ้า
ท่านมาบูชายัญ พระราชาจักพระราชทานพระราชกุมารีนี้แก่ท่าน พระ-

ดาบสนั้นจักมีจิตปฏิพัทธ์ในกุมารี จักมาเป็นแน่ พระราชาได้ทรงสดับ
ดังนั้น ทรงรับว่า ดีแล้ว วันรุ่งขึ้น ทรงมอบพระราชธิดาของพระองค์
แก่ไสยหะอำมาตย์ส่งไปแล้ว ไสยหะอำมาตย์พาพระราชธิดาไปในที่นั้น
ไหว้พระฤๅษีทำปฏิสันถารแล้ว ยืนอยู่ ณ ที่ควรแห่งหนึ่ง แสดงพระ-


* สุขเพียงชั่วคราว แต่ต้องระทมยาวกับความทุกข์อันเกิดจากโรคที่ตามมา
* ความรู้มากมี เพราะมีมากมายไปด้วยเมตตาธรรม
* เมื่อรู้ว่าลูกจะมีภัย พ่อแม่ย่อมจะเป็นห่วง
เมื่อเข้าใจตามความเป็นจริงย่อมละทิ้งความห่วงนั้นลงได้
* ตอนมีชีวิตอยู่ทำดี เมื่อตายคนก็เสียดายและคิดถึง
ตอนมีชีิวีตอยู่ทำตัวเลว ชั่ว เมื่อตายคนก็มิได้เสียดายและเสียใจเลย
* ขยะคนไม่ชอบฉันใด บุคคลที่เปรียบเหมือนขยะสังคมนั้น คนก็ย่อมไม่รักฉันนั้น
* ขยะนั้นเกิดที่ใจ ควรขับไล่ออกไปด้วยทาน ศีล ภาวนา
* ดื่มอย่างมีสติ แต่ติดตรงที่ว่าไม่เคยฝึกสติเลยนะสิ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 06 ม.ค. 2019, 16:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ราชธิดา ซึ่งงามประดุจเทพอัปสรแก่พระฤๅษี ลำดับนั้น พระดาบส
ทำลายอินทรีย์เสียแล้ว แลดูพระราชธิดา พร้อมกับการแลดูนั่นเอง
เกิดจิตปฏิพัทธ์ขึ้นแล้วเสื่อมจากฌาน อำมาตย์รู้ว่าพระดาบสมีจิตปฏิพัทธ์
จึงกล่าวว่า ท่านขอรับ ถ้าท่านบูชายัญ พระราชาจักพระราชทาน
พระราชธิดานี้ให้เป็นบาทบริจาริกาสำหรับท่าน พระดาบสนั้นกำลัง

หวั่นไหวไปด้วยอำนาจกิเลส จึงถามว่า ได้ยินว่า พระราชาจักพระ-
ราชทานพระราชธิดานี้แก่เราหรือ ? อำมาตย์ตอบว่า ถูกแล้ว พระราชา
จักพระราชทานแก่ท่านผู้บูชายัญ พระดาบสกล่าวว่า ดีแล้ว เมื่อเรา
ได้พระราชธิดานี้ จักบูชายัญ แล้วสรวมชฎาพาพระราชธิดาขึ้นรถที่
ประดับงดงาม ไปพระนครพาราณสี.

แม้พระราชาได้สดับว่า พระดาบสมา ก็รับสั่งให้ตั้งพิธีกรรมขึ้น
ที่หลุมบูชายัญไว้สำหรับพระดาบสนั้น ครั้นได้ทอดพระเนตรเห็นพระ-
ดาบสมา ก็ตรัสว่า ท่านบูชายัญในวันพรุ่งนี้ เราจักเป็นผู้เสมอด้วย
พระอินทร์ เวลาเสร็จการบูชายัญ เราจักถวายธิดาแก่ท่าน กัสสปดาบส
รับคำว่า ดีแล้ว ครั้นในวันรุ่งขึ้น พระราชาพาท่านดาบสไปที่หลุม

บูชายัญพร้อมกับนางจันทวดี ในหลุมนั้นได้มีสัตว์ ๔ เท้าทุกอย่าง เช่น
ช้าง ม้า โคเป็นต้น ประดิษฐานไว้เป็นลำดับ พระดาบสเริ่มจะฆ่า
สัตว์เหล่านั้นทั้งหมดให้ตาย แล้วบูชายัญ มหาชนที่มาประชุมกันอยู่
ณ ที่นั้น เห็นดังนั้น กล่าวว่า ดูก่อนโลมสกัสสปะ กรรมนี้ไม่เหมาะ
ไม่สมควรแก่ท่าน ทำกรรมนั้นเพื่ออะไร แล้วคร่ำครวญกล่าวคาถา
๒ คาถาว่า:-


* สุขเพียงชั่วคราว แต่ต้องระทมยาวกับความทุกข์อันเกิดจากโรคที่ตามมา
* ความรู้มากมี เพราะมีมากมายไปด้วยเมตตาธรรม
* เมื่อรู้ว่าลูกจะมีภัย พ่อแม่ย่อมจะเป็นห่วง
เมื่อเข้าใจตามความเป็นจริงย่อมละทิ้งความห่วงนั้นลงได้
* ตอนมีชีวิตอยู่ทำดี เมื่อตายคนก็เสียดายและคิดถึง
ตอนมีชีิวีตอยู่ทำตัวเลว ชั่ว เมื่อตายคนก็มิได้เสียดายและเสียใจเลย
* ขยะคนไม่ชอบฉันใด บุคคลที่เปรียบเหมือนขยะสังคมนั้น คนก็ย่อมไม่รักฉันนั้น
* ขยะนั้นเกิดที่ใจ ควรขับไล่ออกไปด้วยทาน ศีล ภาวนา
* ดื่มอย่างมีสติ แต่ติดตรงที่ว่าไม่เคยฝึกสติเลยนะสิ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 06 ม.ค. 2019, 16:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
พระจันทร์มีกำลัง พระอาทิตย์มีกำลัง
สมณพราหมณ์มีกำลัง ฝั่งแห่งสมุทรก็มีกำลัง
หญิงมีกำลังยิ่งกว่ากำลังทั้งหลาย.
พระนางจันทวดี ทำให้ฤๅษีชื่อโลมส-
กัสสปะผู้มีตบะกล้า มาบูชายัญเพื่อประโยชน์
แก่พระราชบิดาได้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า พลํ จนฺโท พลํ สุริโย ความว่า
ในการจำกัดความมืดใหญ่ ชื่อว่ากำลังอย่างอื่น ย่อมไม่มีในการกำจัด
ความมืดใหญ่นี้ พระจันทร์และพระอาทิตย์เท่านั้นมีกำลัง. บทว่า
สมณพฺราหฺมณา ความว่า ในการอดกลั้นต่อกำลังแห่งอิฏฐารมณ์และ
อนิฏฐารมณ์ สมณะพราหมณ์ผู้ประกอบด้วยกำลัง คือขันติและกำลัง

คือญาณ ผู้มีบาปอันสงบและมีบาปอันลอยแล้ว มีกำลัง. บทว่า พลํ
เวลา สมุทฺทสฺส ความว่า ฝั่งแห่งมหาสมุทรชื่อว่ามีกำลัง เพราะ
สามารถที่จะไม่ให้น้ำล้นขึ้นมา และกั้นน้ำเอาไว้ให้พินาศได้. บทว่า
พลาติพลมิตฺถิโย ความว่า ส่วนหญิงทั้งหลาย ชื่อว่ามีกำลังยิ่งกว่า

กำลังทั้งหมด. เพราะสามารถจะพาบุรุษที่มีความรู้ดีแต่มีกำหนัดมาสู่
อำนาจของตน แล้วให้พินาศได้ อธิบายว่า กำลังแห่งหญิงเท่านั้น
มีมากกว่ากำลังทั้งหมด. ศัพท์ว่า ยถา เท่ากับ ยสฺมา แปลว่า
เพราะเหตุใด. บทว่า ปิตุ อตฺถา คือเพื่อประโยชน์แห่งความเจริญ
แก่พระราชบิดา.

ข้อนี้มีอธิบายว่า เพราะนางจันทวดีนี้ กระทำโลมสกัสสปะ ผู้มี
ตบะกล้า ผู้ชื่อว่าเป็นฤๅษี เพราะเป็นผู้แสวงหาคุณทั้งหลายมีศีลเป็นต้น
ให้เป็นผู้ไม่มีศีล แล้วให้บูชาวาชเปยยะ คือยัญ เพื่อประโยชน์แก่
พระราชบิดาได้ ฉะนั้น ข้อนี้ บัณฑิตพึงทราบว่า หญิงมีกำลังยิ่งกว่า
กำลังทั้งหลาย.


* สุขเพียงชั่วคราว แต่ต้องระทมยาวกับความทุกข์อันเกิดจากโรคที่ตามมา
* ความรู้มากมี เพราะมีมากมายไปด้วยเมตตาธรรม
* เมื่อรู้ว่าลูกจะมีภัย พ่อแม่ย่อมจะเป็นห่วง
เมื่อเข้าใจตามความเป็นจริงย่อมละทิ้งความห่วงนั้นลงได้
* ตอนมีชีวิตอยู่ทำดี เมื่อตายคนก็เสียดายและคิดถึง
ตอนมีชีิวีตอยู่ทำตัวเลว ชั่ว เมื่อตายคนก็มิได้เสียดายและเสียใจเลย
* ขยะคนไม่ชอบฉันใด บุคคลที่เปรียบเหมือนขยะสังคมนั้น คนก็ย่อมไม่รักฉันนั้น
* ขยะนั้นเกิดที่ใจ ควรขับไล่ออกไปด้วยทาน ศีล ภาวนา
* ดื่มอย่างมีสติ แต่ติดตรงที่ว่าไม่เคยฝึกสติเลยนะสิ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 06 ม.ค. 2019, 16:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ขณะนั้น กัสสปดาบส เงื้อพระขรรค์แก้วขึ้น ด้วยคิดว่า จัก
ฟันคอมงคลหัตถีเพื่อบูชายัญ ช้างเห็นดังนั้น ก็สะดุ้งกลัวต่อมรณภัย
จึงร้องเสียงดัง แม้พวกสัตว์นอกนี้ คือ ช้าง ม้า โค เป็นต้น ได้ฟัง
เสียงร้องของช้างมงคลหัตถีนั้น ต่างก็สะดุ้งกลัวต่อมรณภัย จึงได้ร้องลั่น
ด้วยความกลัว แม้มหาชนก็พากันร้อง กัสสปดาบสได้ยินเสียงร้อง

กันใหญ่ดังนั้น ก็สลดใจ แลดูชฎาเป็นต้นของตน ลำดับนั้น ชฎา
หนวด ขนรักแร้ ขนอก ได้ปรากฏแก่พระดาบสนั้น พระดาบสมีความ
เดือดร้อนใจ คิดว่า เราได้ทำกรรมลามก ไม่สมควรเลย เมื่อจะประกาศ
ความสลด ได้กล่าวคาถาที่ ๘ ว่า:-

กรรมที่ทำด้วยความโลภนั้น เผ็ดร้อน
มีกามเป็นเหตุ เราจักค้นหามูลรากของกรรม
นั้น จักตัดความกำหนัดพร้อมทั้งเครื่องผูกเสีย.

พึงทราบความแห่งคำที่เป็นคาถานั้นว่า ข้าแต่พระราชาผู้เป็น
ใหญ่ กรรมใดที่ข้าพระองค์ทำความโลภในนางจันทวดีให้เกิดขึ้น แล้วทำ
ลงด้วยความโลภนั้น กรรมนั้นมีกามเป็นเหตุ เป็นกรรมลามก เผ็ดร้อน

มีวิบากแรงกล้า ข้าพระองค์จักค้นหามูลราก กล่าวคืออโยนิโสมนสิการ
ของกรรมนั้น สมควรแล้วที่ข้าพระองค์จักชักดาบ คือปัญญาออก ตัด
ความกำหนัดยินดี พร้อมด้วยเครื่องผูกพัน คือศุภนิมิตร.

ลำดับนั้น พระราชาตรัสกะพระดาบสว่า ดูก่อนสหาย อย่ากลัว
เลย เราจักให้นางจันทวดีกุมารีและกองแก้ว ๗ ประการแก่ท่านในบัดนี้
ท่านจงบูชายัญเถิด พระกัสสปดาบสได้ฟังดังนั้น จึงกล่าวว่า ข้าแต่
มหาราช ข้าพระองค์ไม่ต้องการด้วยกิเลสนี้ แล้วกล่าวคาถาสุดท้าย
ว่า:-


* สุขเพียงชั่วคราว แต่ต้องระทมยาวกับความทุกข์อันเกิดจากโรคที่ตามมา
* ความรู้มากมี เพราะมีมากมายไปด้วยเมตตาธรรม
* เมื่อรู้ว่าลูกจะมีภัย พ่อแม่ย่อมจะเป็นห่วง
เมื่อเข้าใจตามความเป็นจริงย่อมละทิ้งความห่วงนั้นลงได้
* ตอนมีชีวิตอยู่ทำดี เมื่อตายคนก็เสียดายและคิดถึง
ตอนมีชีิวีตอยู่ทำตัวเลว ชั่ว เมื่อตายคนก็มิได้เสียดายและเสียใจเลย
* ขยะคนไม่ชอบฉันใด บุคคลที่เปรียบเหมือนขยะสังคมนั้น คนก็ย่อมไม่รักฉันนั้น
* ขยะนั้นเกิดที่ใจ ควรขับไล่ออกไปด้วยทาน ศีล ภาวนา
* ดื่มอย่างมีสติ แต่ติดตรงที่ว่าไม่เคยฝึกสติเลยนะสิ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 06 ม.ค. 2019, 16:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ข้าแต่พระราชา ข้าพระองค์ติเตียนกาม-
คุณทั้งหลาย ที่มีอยู่ในโลกเป็นอันมาก ตบะ
ธรรมเท่านั้น ประเสริฐกว่ากามคุณทั้งหลาย
ข้าพระองค์จักละกามคุณทั้งหลายเสีย แล้ว
บำเพ็ญตบะ ส่วนนางจันทวดี จงอยู่ในแว่น
แคว้นของพระองค์เถิด.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สุพหูปิ คือแม้อันมากยิ่ง. บทว่า
ตโป กริสฺสามิ คือจักบำเพ็ญความสำรวมในศีลเท่านั้น.

พระดาบส ครั้นทูลดังนี้แล้ว ได้ประมวลกสิณบริกรรมทำคุณ
วิเศษที่เสียไปให้เกิดขึ้น นั่งบัลลังก์ในอากาศแสดงธรรมแก่พระราชา
กล่าวสอนว่า จงอย่าประมาท แล้วทำลายหลุมบูชายัญ ให้อภัยทาน
แก่มหาชน เมื่อพระราชายังวิงวอนอยู่ ได้เหาะไปที่อยู่ของตน เจริญ
พรหมวิหารธรรมจนตลอดชีวิต ได้มีพรหมโลกเป็นที่ไปในเบื้องหน้า.

พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนามาแสดง ดังนี้แล้ว
ทรงประกาศสัจธรรม เวลาจบสัจธรรม ภิกษุผู้กระสันตั้งอยู่ในพระ-
อรหัตผล พระทศพลทรงประชุมชาดกว่า ไสยหะมหาอำมาตย์ในครั้งนั้น
ได้มาเป็นพระสารีบุตรในบัดนี้ ส่วนโลมสกัสสปดาบส ได้มาเป็น
เราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถาโลมสกัสสปชาดกที่ ๗

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 06 ม.ค. 2019, 17:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
อรรถกถาจักกวากชาดกที่ ๘

พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภ
ภิกษุเหลาะแหละรูปหนึ่ง จึงตรัสเรื่องนี้ มีคำเริ่มต้นว่า กาสายวตฺเถ
ดังนี้.

ได้ยินว่า ภิกษุรูปนั้นเป็นผู้เหลาะแหละโลภปัจจัย ทิ้งอาจริย-
วัตรและอุปัชฌายวัตรเป็นต้นเสีย เข้าพระนครสาวัตถีแต่เช้าทีเดียว แม้
ดื่มข้าวยาคูที่มีของเคี้ยวหลายอย่างเป็นบริวารแล้วฉันข้าวสาลี เนื้อและ
ข้าวสุกที่มีรสเลิศต่างๆ ที่เรือนนางวิสาขา เท่านั้นก็ยังไม่อิ่ม ออกจาก

ที่นั้นมุ่งหน้าไปยังนิเวศน์ของคนนั้นๆ คือ จูลอนาถปิณฑิกเศรษฐี มหา-
อนาถปิณฑิกเศรษฐี และพระเจ้าโกศล.

อยู่มาวันหนึ่ง ภิกษุทั้งหลายสนทนากันในธรรมสภา ปรารภ
ความเหลาะแหละของภิกษุนั้น พระศาสดาเสด็จมาตรัสถามว่า ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้พวกเธอนั่งสนทนากันถึงเรื่องอะไร ? เมื่อภิกษุเหล่า
นั้นกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว รับสั่งให้เรียกภิกษุนั้นมาแล้วตรัสถามว่า

ดูก่อนภิกษุ ได้ยินว่าเธอเป็นผู้เหลาะแหละจริงหรือ ? เมื่อภิกษุนั้น
กราบทูลว่า จริงพระเจ้าข้า ดังนี้ ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ เหตุไรเธอจึง
เป็นผู้เหลาะแหละ แม้ในกาลก่อน เธอก็ไม่อิ่มด้วยซากศพช้างเป็นต้น
ในพระนครพาราณสี เพราะความเป็นผู้เหลาะแหละ ออกจากที่นั้นแล้ว

เที่ยวไปตามฝั่งแม่น้ำคงคาเข้าหิมวันตประเทศดังนี้ แล้วทรงนำเอาเรื่อง
ในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้:-


* สุขเพียงชั่วคราว แต่ต้องระทมยาวกับความทุกข์อันเกิดจากโรคที่ตามมา
* ความรู้มากมี เพราะมีมากมายไปด้วยเมตตาธรรม
* เมื่อรู้ว่าลูกจะมีภัย พ่อแม่ย่อมจะเป็นห่วง
เมื่อเข้าใจตามความเป็นจริงย่อมละทิ้งความห่วงนั้นลงได้
* ตอนมีชีวิตอยู่ทำดี เมื่อตายคนก็เสียดายและคิดถึง
ตอนมีชีิวีตอยู่ทำตัวเลว ชั่ว เมื่อตายคนก็มิได้เสียดายและเสียใจเลย
* ขยะคนไม่ชอบฉันใด บุคคลที่เปรียบเหมือนขยะสังคมนั้น คนก็ย่อมไม่รักฉันนั้น
* ขยะนั้นเกิดที่ใจ ควรขับไล่ออกไปด้วยทาน ศีล ภาวนา
* ดื่มอย่างมีสติ แต่ติดตรงที่ว่าไม่เคยฝึกสติเลยนะสิ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 06 ม.ค. 2019, 17:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
Quote Tipitaka:
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในนคร-
พาราณสี มีกาเหลาะแหละตัวหนึ่งเที่ยวเคี้ยวกินซากศพช้างเป็นต้น ใน
พระนครพาราณสี ไม่อิ่มด้วยซากศพเหล่านั้น คิดว่า เราจักเคี้ยวกิน
ปลาที่ฝั่งแม่น้ำคงคา ไปหากินปลาตายที่ฝั่งแม่น้ำคงคานั้นอยู่ ๒,๓ วัน

เข้าถิ่นหิมพานต์ เคี้ยวกินผลไม้น้อยใหญ่นานาชนิด ไปยังสระปทุมใหญ่
ซึ่งมีปลาและเต่ามาก เห็นนกจักรพราก ๒ ตัวมีสีดังทอง กำลังเคี้ยวกิน
สาหร่ายอยู่ในสระนั้น คิดว่า นกจักรพราก ๒ ตัวนี้มีสีสวยงามเลิศ
เหลือเกิน นกเหล่านี้คงจักมีโภชนาหารเป็นที่พอใจ เราจักถามถึง

โภชนาหารของนกเหล่านี้ แล้วกินเช่นนั้นบ้างก็จักมีสีเหมือนทอง แล้ว
ไปยังสำนักของนกเหล่านั้น กระทำปฏิสันถาร แล้วจับอยู่ที่ปลายกิ่งไม้
แห่งหนึ่ง กล่าวคาถาที่ ๑ ซึ่งประกอบด้วยการสรรเสริญนกเหล่านั้น
ว่า:-

ข้าพเจ้าขอพูดกับนกทั้ง ๒ ที่เหมือน
ดังคลุมด้วยผ้าย้อมน้ำฝาด มีใจเพลิดเพลิน
เที่ยวไปอยู่ นกทั้งหลายย่อมสรรเสริญชาติ
ของนกอะไรในหมู่มนุษย์ทั้งหลาย ขอเชิญ
ท่านทั้ง ๒ บอกนกนั้นแก่ข้าพเจ้าเถิด.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กาสายวตฺเถ คือ ที่มีสีดุจทอง
ดังคลุมด้วยผ้าย้อมน้ำฝาด. สองบทว่า ทุเว ทุเว แปลว่า ทั้ง ๒.
บทว่า นนฺทมเน คือ มีใจยินดี. บทว่า กํ อณฺฑชํ อณฺฑชา
มานุเสสุ ชาตึ ปสํสนฺติ ความว่า ท่านผู้เจริญทั้งหลาย นกทั้งหลาย

เมื่อสรรเสริญพวกท่าน ย่อมกล่าวสรรเสริญว่า นกอะไร คือ นกชื่อ
อะไร ในหมู่มนุษย์ทั้งหลาย อธิบายว่า นกทั้งหลายย่อมยกย่องท่าน
ทั้งหลายในระหว่างมนุษย์ทั้งหลายระบุว่า ชื่อนกอะไร บาลีว่า กํ
อณฺฑชํ อณฺฑชมานุเสสุ ดังนี้ก็มี บาลีนั้นมีอธิบายว่า นกทั้งหลาย
กล่าวสรรเสริญพวกท่าน ในหมู่นกทั้งหลายและในหมู่มนุษย์ทั้งหลาย
ว่า นกชนิดไร.


* สุขเพียงชั่วคราว แต่ต้องระทมยาวกับความทุกข์อันเกิดจากโรคที่ตามมา
* ความรู้มากมี เพราะมีมากมายไปด้วยเมตตาธรรม
* เมื่อรู้ว่าลูกจะมีภัย พ่อแม่ย่อมจะเป็นห่วง
เมื่อเข้าใจตามความเป็นจริงย่อมละทิ้งความห่วงนั้นลงได้
* ตอนมีชีวิตอยู่ทำดี เมื่อตายคนก็เสียดายและคิดถึง
ตอนมีชีิวีตอยู่ทำตัวเลว ชั่ว เมื่อตายคนก็มิได้เสียดายและเสียใจเลย
* ขยะคนไม่ชอบฉันใด บุคคลที่เปรียบเหมือนขยะสังคมนั้น คนก็ย่อมไม่รักฉันนั้น
* ขยะนั้นเกิดที่ใจ ควรขับไล่ออกไปด้วยทาน ศีล ภาวนา
* ดื่มอย่างมีสติ แต่ติดตรงที่ว่าไม่เคยฝึกสติเลยนะสิ
:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 2252 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 136, 137, 138, 139, 140, 141, 142 ... 151  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร