วันเวลาปัจจุบัน 02 ส.ค. 2025, 23:16  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


อ่านนิทาน จากบอร์ดเก่า
http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=5



กลับไปยังกระทู้  [ 2685 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 70, 71, 72, 73, 74, 75, 76 ... 179  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 07 ก.พ. 2019, 18:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
พระราชาผู้ทรงจัดแจงการงานดี หมั่นขยันตาม
กาล ไม่เกียจคร้าน โภคสมบัติทั้งปวง ย่อมเจริญยิ่งขึ้น
เหมือนฝูงโคที่มีโคผู้ ฉะนั้น.
ดูก่อนมหาราชเจ้า พระองค์จงเสด็จเที่ยวฟัง
เหตุการณ์ในแว่นแคว้น และในชนบท ครั้นได้ทอด-
พระเนตรเห็น และได้ทรงสดับแล้ว แต่นั้นก็ปฏิบัติ
สิ่งนั้น ๆ เถิด.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อปฺปมาโท ได้แก่ ความไม่อยู่ปราศ
แห่งสติ. บทว่า อมตํ ปทํ ความว่า เป็นทางคือเป็นเหตุแห่งอมตนิพพาน.
บทว่า มจฺจุโน ปทํ ความว่า ความประมาทเป็นเหตุแห่งความตาย. เพราะ
คนประมาทแล้ว เจริญวิปัสสนา เมื่อไม่อาจบรรลุอัปปฏิสนธิกภาพได้ ย่อมเกิด
ย่อมตายในสงสารบ่อย ๆ เหตุนั้น ความประมาทจึงชื่อว่า เป็นทางแห่งความ

ตาย บทว่า น มียนฺติ ความว่า คนผู้ไม่ประมาทเจริญวิปัสสนา บรรลุ
อัปปฏิสนธิกภาพแล้ว ชื่อว่าย่อมไม่ตาย เพราะไม่เกิดในสงสารอีก. บทว่า
เย ปมตฺตา ความว่า ดูก่อนมหาราชเจ้า บุคคลเหล่าใดประมาทแล้ว บุคคล
เหล่านั้นควรเห็นเหมือนคนตายแล้ว. เพราะเหตุไร? เพราะเหตุที่ยังกิจให้

สำเร็จไม่ได้. แท้จริง สำหรับคนที่ตายแล้ว ย่อมไม่มีความคำนึง ความ
ปรารถนา หรือความขวนขวายว่า เราจักให้ทาน จักรักษาศีล จักทำอุโบสถ
กรรม จักบำเพ็ญคุณงามความดี เพราะเป็นผู้ปราศจากวิญญาณ. สำหรับคน
ประมาทก็ไม่มี เพราะขาดความไม่ประมาท ฉะนั้น คนตายกับคนประมาท
ทั้งสองนี้ จึงเสมอเหมือนเป็นบุคคลประเภทเดียวกัน.

บทว่า มทา ความว่า ดูก่อนมหาราชเจ้า ขึ้นชื่อว่า ความประมาท
ย่อมเกิดเพราะความเมา ๓ ประการ คือ เมาในความไม่มีโรค เมาในวัย
และเมาในชีวิต. คนเรานั้นพอเมาแล้ว ก็ถึงความประมาท กระทำบาปกรรม
เช่นปาณาติบาตเป็นต้นได้. ทีนั้น พระราชาย่อมตรัสสั่งให้ตัดตีนตัดมือ ให้
ประหารชีวิต หรือให้ริบทรัพย์ของผู้นั้นทั้งหมด เพราะความประมาทของเขา

จึงเกิดความสิ้นญาติ สิ้นทรัพย์ สิ้นชีวิตอย่างนี้. เขาถึงความสิ้นทรัพย์หรือ
สิ้นยศแล้ว เมื่อไม่สามารถเลี้ยงชีวิตได้อีก ก็ต้องทำกายทุจริตเป็นต้น เพื่อ
เลี้ยงชีพต่อไป และเพราะความสิ้นเนื้อสิ้นตัวของเขาอย่างนี้ จึงเกิดโทษผิดขึ้น
ข้าพเจ้าจึงต้องทูลเตือนพระองค์. บทว่า มา มโท ภรตูสภ ความว่า


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 07 ก.พ. 2019, 18:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
ดูก่อนพระองค์ผู้มีภาระเป็นใหญ่ในแว่นแคว้น พระองค์อย่าทรงมัวเมา
อธิบายว่า อย่าทรงประมาท.
บทว่า อตฺถํ รฏฺ€ํ ความว่า กษัตริย์เป็นอันมาก (หาก) ทรงประมาท
ความเจริญของชาวชนบท และแว่นแคว้นทั้งสิ้น ก็เสื่อมโทรมลง. เพื่อความ
แจ่มแจ้งแห่งความข้อนั้น ๆ บัณฑิตควรแสดง ขันติวาทีชาดก มาตังคชาดก
คุรุกชาดก สรภังคชาดก และเจติยชาดก. บทว่า คามิโน ความว่า แม้

นายบ้านต้องพลัดพราก เสื่อมโทรม ฉิบหายจากบ้าน ก็เพราะโทษคือความ
ประมาทมาก. บทว่า อนาคารา อคาริโน ความว่า รุกขเทวดากล่าวว่า
บรรพชิตเสื่อมจากข้อปฏิบัติของบรรพชิต ก็เพราะโทษคือประมาทมาก แม้
คฤหัสถ์ พลัดพราก เสื่อมโทรม จากการครองเรือน และธัญญาหารเป็นต้น

มากมาย ก็เพราะโทษคือประมาทมาก. บทว่า ตํ วุจฺจเต อยํ ความว่า
ดูก่อนมหาราชเจ้า ชื่อว่า ความเสื่อมยศและโภคสมบัติ ท่านกล่าวว่า นั่น
เป็นทุกข์ของพระราชา เพราะไม่มีโภคสมบัติ ยศของพระราชาผู้ไร้ทรัพย์
ย่อมเสื่อม พระราชาผู้เสื่อมยศ ย่อมได้รับทุกข์อย่างมหันต์.

บทว่า เนส ธมฺโม ความว่า ดูก่อนมหาราชเจ้า ความประมาทนี้
ไม่ใช่ธรรมของโบราณกษัตริย์. บทว่า อิทฺธํ ผีตํ ความว่า (โจรทั้งหลาย
ย่อมยื้อแย่ง) ชนบทอันมั่งคั่งด้วยข้าวน้ำเป็นต้น ไพบูลย์ด้วยเงินและทอง
เป็นต้น. บทว่า น เต ปุตฺตา ความว่า ดูก่อนมหาราชเจ้า ราชโอรสผู้สืบ
สันตติวงศ์ ของพระราชาผู้ประมาทจักไม่มี. เพราะชาวแว่นแคว้นทั้งหลาย

ย่อมไม่ถวายเศวตฉัตร ด้วยคิดว่า พระโอรสของพระราชาผู้ไม่ตั้งอยู่ในธรรมนี้
จักทำความเจริญอะไรแก่พวกเราได้ พวกเราจักไม่ถวายเศวตฉัตรแก่พระโอรส
นั้น พระโอรสของพระราชาผู้ไม่ตั้งอยู่ในธรรมเหล่านั้น ชื่อว่าไม่มี ด้วยอาการ
อย่างนี้. บทว่า ปริชิณฺณํ แปลว่า เสื่อมรอบแล้ว. บทว่า ราชา นํ วาปิ
ความว่า แม้ถึงพระราชาผู้ไม่ตั้งอยู่ในธรรมนั้น จะเป็นพระราชา เมื่อเป็น
เช่นนั้น.


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 07 ก.พ. 2019, 18:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
บทว่า มนฺติยํ ความว่า ญาติ มิตรสหายย่อมไม่สำคัญที่จะทำอาการ
นับถือด้วยจิตเคารพว่า ผู้นี้คือพระราชา. บทว่า อุปชีวนฺตา ความว่า
ชนทั้งหลายแม้ที่เข้าไปพึ่งพระบรมโพธิสมภาร ก็ย่อมไม่สำคัญอาการที่ตนควร
สำคัญด้วยจิตเคารพ. เพราะเหตุไร? เพราะเหตุที่พระราชาไม่ทรงตั้งอยู่ใน
ธรรม. บทว่า สิรี ได้แก่ ยศและโภคสมบัติ. บทว่า ตจํ ความว่า เมื่องู

รังเกียจคราบเก่าย่อมละเสีย ไม่เหลียวแลดูอีกฉันใด สิริคือยศและโภคสมบัติ
ย่อมละพระราชา ผู้เช่นนั้น ฉันนั้น. บทว่า สุสํวิหิตกมฺมนฺตํ ความว่า
ผู้ไม่กระทำบาปกรรมด้วยกายทวารเป็นต้น. บทว่า อภิวฑฺฒนฺติ ความว่า
ย่อมเจริญก้าวหน้า. บทว่า สอุสภามิว ความว่า ดุจฝูงโค มีโคผู้เป็น
หัวหน้าฝูง. แท้จริง โภคสมบัติทั้งหลายย่อมเจริญแก่พระราชาผู้ไม่ประมาท
แล้ว ดุจฝูงโค มีโคผู้เป็นหัวหน้าฝูงฉะนั้น.

บทว่า อุปสฺสุตึ ความว่า พระองค์จงเสด็จจาริกไปในสกลรัฐและ
ชนบทของพระองค์. บทว่า ตตฺถ ความว่า เมื่อพระองค์เสด็จไปในแว่น-
แคว้นนั้น จะได้ทอดพระเนตรสิ่งที่ควรทอดพระเนตร จะได้ทรงสดับสิ่งที่
ควรสดับ กระทำคุณานุคุณส่วนพระองค์ให้ประจักษ์แล้ว. จักได้ทรงปฏิบัติ
ข้อปฏิบัติอันเป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่พระองค์.

พระมหาโพธิสัตว์ถวายโอวาทพระราชาด้วยคาถา ๑๑ คาถา ด้วยประการ
ฉะนี้แล้ว ทูลว่า พระองค์จงรีบไปสอดส่องอย่าชักช้า อย่าให้แว่นแคว้นฉิบหาย
เสียเลย ดังนี้แล้ว กลับไปยังสถานที่อยู่ของตน. ฝ่ายพระราชาทรงสดับถ้อยคำ
ของเทวดาแล้ว สลดพระทัย รุ่งขึ้นโปรดให้อำมาตย์ดูแลราชสมบัติแล้วพร้อม
ด้วยราชปุโรหิต เสด็จออกจากพระนคร ทางพระทวารด้านทิศปราจีน เสด็จ

พระราชดำเนินไป สิ้นทางประมาณหนึ่งโยชน์ ณ สถานที่นั้น ชายแก่ชาวบ้าน
ผู้หนึ่ง นำกิ่งหนามมาจากดง ล้อมกั้นปิดประตูเรือนไว้ พาบุตรภรรยาเข้าป่าไป
เวลาเย็นเมื่อพวกราชบุตรหลีกไปแล้วก็กลับมาเรือนตน ถูกหนามยอกเท้าที่
ประตูเรือน จึงนั่งกระโหย่ง บ่งหนาม พลางด่าพระราชาด้วยคาถานี้ ความว่า


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 07 ก.พ. 2019, 18:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
ขอให้พระเจ้าปัญจาลราช จงถูกลูกศรเสียบใน
สงคราม เสวยทุกขเวทนา เหมือนเราถูกหนามแทง
แล้ว เสวยทุกขเวทนาอยู่ในวันนี้.

ก็คำด่านั้นได้เป็นไปด้วยอานุภาพของพระโพธิสัตว์นั้นเอง. ควรทราบ
ว่า ชายแก่นั้น ถูกพระโพธิสัตว์ดลใจจึงด่า. ในเวลานั้น พระราชากับราช-
ปุโรหิต ปลอมเพศยืนอยู่ใกล้ ๆ ชายแก่นั้นเอง. พอราชปุโรหิตได้ยินคำของ
ชายแก่ จึงกล่าวคาถา ความว่า

ท่านเป็นคนแก่ มีจักษุมืดมัว มองเห็นอะไร
ไม่ถนัด หนามแทงท่านเอง ในเรื่องนี้ พระเจ้า-
พรหมทัต มีความผิดอะไรด้วย.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า มคฺเคยฺย แปลว่า ยอกเอา มีอธิบายว่า
ถ้าท่านถูกหนามยอกเอา เพราะความซุ่มซ่ามของตนเองไซร้ ในข้อนี้ทำไมจะ
เป็นความผิดของพระราชาด้วยเล่า ท่านด่าพระราชา เพราะเหตุที่ พระราชา
มีหน้าที่ตรวจตราหนามแล้วบอกให้ท่านทราบหรือ?

ชายชราได้ฟังดังนั้น ได้กล่าวคาถา ๓ คาถา ความว่า
ดูก่อนพราหมณ์ เราถูกหนามแทง ในหนทางนี้
เป็นความผิดของพระเจ้าพรหมทัตมากมาย เพราะ
ชาวชนบท พระเจ้าพรหมทัต มิได้พิทักษ์รักษา
ถูกพวกราชบุรุษกดขี่ด้วยภาษีอันไม่ชอบธรรม.

กลางคืนถูกพวกโจรปล้น กลางวันถูกราชบุรุษ
กดขี่ ในแว่นแคว้นของพระราชาโกง มีคนอาธรรม์
มากมาย.


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 07 ก.พ. 2019, 18:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
แน่ะพ่อคุณเมื่อภัยเช่นนี้เกิดขึ้น ประชาชนพากัน
อึดอัด เพราะกลัวพากันหาไม้มีหนาม ในป่ามาทำที่
ซุกซ่อน.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า พเหฺวตฺถ ความว่า ดูก่อนพราหมณ์
ข้านั่งจมลงไปในทางที่มีหนาม ในเรื่องนี้พระเจ้าพรหมทัตมีความผิดมากเพราะ
ความผิดของพระราชา ตลอดเวลาเท่านี้ เจ้าไม่รู้เลยว่า เราต้องดั้นด้นไปใน
ทางที่มีหนาม เพราะชนบทพระราชามิได้พิทักษ์รักษาจึงมีหนาม.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ขาทนฺติ ได้แก่ พวกโจรรุมกันปล้น.
บทว่า ตุณฺฑิยา ความว่า กลางวัน พวกราชบุรุษเบียดเบียนด้วยการฆ่า
การจองจำเป็นต้น เก็บภาษีอากรโดยไม่เป็นธรรม. บทว่า กูฏราชสฺส
ความว่า ในแว่นแคว้นของพระราชาผู้ลามก. บทว่า อธมฺมิโก ความว่า
คนทั้งหลายต้องมีการงานอันปกปิดเป็นอันมาก. คนแก่เรียกปุโรหิตว่า พ่อ-

พราหมณ์. บทว่า มาณวา ได้แก่ มนุษย์ทั้งหลาย. บทว่า นิลฺเลนกานิ
ได้แก่ สถานที่ซุ่มซ่อน. บทว่า วเน คเหตฺวา กณฺฏกํ ความว่า (ใน
เพราะภัยเช่นนี้) ประชาชนจึงนำเอาหนามมาปิดประตู ทิ้งเรือนพาลูกเมียเข้า
ป่าไป ทำสถานที่ซุ่มซ่อนของตน ๆ ในป่านั้น. อนึ่ง หนามชนิดใดมีในป่า
เขาก็พากันเอาหนามชนิดนั้นมาล้อมเรือนไว้ เพราะความผิดของพระราชา
อย่างนี้ เราจึงถูกหนามตำเอา ท่านอย่าเป็นผู้สนับสนุนพระราชาเช่นนี้เลย.

พระราชาทรงสดับเช่นนั้น จึงตรัสเรียกราชปุโรหิตมาตรัสสั่งว่า ท่าน
อาจารย์ ชายชราพูดถูก เป็นความผิดของเราแท้ ๆ มาเถิด เราจักกลับไป
เสวยราชสมบัติโดยธรรม. เทวดาพระโพธิสัตว์ สิงในร่างของราชปุโรหิต ทูลว่า
ขอเดชะมหาราชเจ้า จงไปสอดแนมดูข้างหน้าต่อไปอีกก่อนเถิดพระเจ้าข้า.
พระราชากับปุโรหิต จากบ้านนั้น ไปยังบ้านอื่น ได้ยินเสียงของหญิงชรา

คนหนึ่งในระหว่างทาง. นัยว่าหญิงนั้นเป็นหญิงเข็ญใจ พิทักษ์รักษาบุตรสาว
สองคนซึ่งเจริญวัยแล้ว ไม่ยอมให้ลูกสาวไปป่า ตนเองเก็บผักหักฟืนมาจากป่า
บำรุงรักษาลูกสาวทั้งสอง. วันนั้นนางขึ้นพุ่มไม้แห่งหนึ่ง กำลังเก็บผักอยู่
พลัดตกลงมา เมื่อจะด่าพระราชา โดยแช่งให้ตาย กล่าวคาถา ความว่า


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 07 ก.พ. 2019, 18:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
ในแคว้นของพระเจ้าพรหมทัต หญิงสาวหาผัว
ไม่ได้ไปจนแก่ เมื่อไรพระเจ้าพรหมทัต จักสวรรคต
เสียที.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อปฺปฏิกา แปลว่า หาสามีมิได้. อธิบายว่า
ถ้าเขามีสามีคงจะได้เลี้ยงดูเรา ในรัชกาลของพระราชาลามก เราได้รับความทุกข์
เมื่อไรหนอ มันจักตายเสียที หญิงชราด่าพระราชาอย่างนี้ ก็ด้วยอานุภาพ
ของพระโพธิสัตว์.

เมื่อราชปุโรหิตจะคัดค้านนาง จึงกล่าวคาถา ความว่า
เฮ้ย ! หญิงชั่วไม่รู้จักเหตุผล แกพูดไม่ดีเลย
พระราชาเคยหาผัวให้นางกุมาริกา มีที่ไหนกัน.
หญิงชราได้ยินดังนั้น ได้กล่าวคาถา ๒ คาถา ความว่า

พราหมณ์เอย เราไม่ได้พูดชั่วเลย เรารู้เหตุผล
ชาวชนบท พระเจ้าพรหมทัต มิได้พิทักษ์รักษา
ราษฎรถูกกดขี่ ด้วยภาษี อันไม่ชอบธรรม.
กลางคืนถูกโจรปล้น กลางวันถูกเจ้าหน้าที่กดขี่
ด้วยภาษี อันไม่ชอบธรรม ในแคว้นของพระราชาโกง
มีคนอาธรรม์มากมาย เมื่อการครองชีพลำบาก การ
เลี้ยงดูลูกเมียก็ลำบาก หญิงสาวจักมีผัวได้ที่ไหน.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โกวิทตฺถปทา ความว่า เราฉลาด
รู้เท่าทันในเหตุในผล ท่านอย่าสรรเสริญพระราชาลามกอย่างนี้. บทว่า ทุชฺชีเว
ความว่า เมื่อแว่นแคว้นมีการครองชีพลำบาก การเลี้ยงดูลูกเมียก็เกิดลำบาก
ผู้คนทั้งกลัวทั้งหวาดเสียว ก็หลบไปอยู่ในป่า. บทว่า กุโต ภตฺตา กุมาริยา
ความว่า หญิงสาว ๆ จักหาผัวได้ที่ไหน.


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 07 ก.พ. 2019, 19:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
พระราชากับราชปุโรหิตฟังคำของหญิงชราแล้ว คิดว่า แกพูดถูกต้อง
จึงพากันเดินทางต่อไปข้างหน้า ได้ยินเสียงของชาวนาคนหนึ่ง ได้ยินว่า เมื่อ
ชาวนานั้นกำลังไถนา โคชื่อสาลิยะ ถูกผาลแทงจึงล้มลง. เมื่อชาวนาจะด่า
พระราชาจึงกล่าวคาถา ความว่า

ขอให้พระเจ้าปัญจาลราช จงถูกหอกแทง ต้อง
นอนกลิ้งอยู่ในสงคราม เหมือนโคสาลิยะ ถูกผาลแทง
นอนอยู่ดังคนกำพร้า ฉะนั้น.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยถา ความว่า โคชื่อสาลิยะนี้ ได้รับ
ทุกขเวทนานอนอยู่ฉันใด ขอพระเจ้าปัญจาลราชจงนอนเป็นทุกข์ฉันนั้น.
ลำดับนั้น เมื่อราชปุโรหิตจะคัดค้าน จึงกล่าวคาถา ความว่า

เจ้าคนชาติชั่ว เจ้าโกรธพระเจ้าพรหมทัต โดย
ไม่เป็นธรรม เจ้าทำร้ายโคของตนเอง ไฉนจึงมาสาป-
แช่งพระราชาเล่า.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อธมฺเมน ความว่า โดยไม่มีเหตุผล
คือไม่มีความจริง.
ชาวนาได้ฟังดังนั้นแล้ว ได้กล่าวคาถา ๓ คาถา ความว่า

ดูก่อนพราหมณ์ เราโกรธพระเจ้าพรหมทัตโดย
ชอบธรรม เพราะชาวชนบท พระเจ้าพรหมทัตมิได้
ทรงพิทักษ์รักษา ถูกเจ้าหน้าที่บ้านเมืองกดขี่ ด้วย
ภาษีที่ไม่เป็นธรรม

กลางคืนถูกพวกโจรปล้น กลางวันถูกเจ้าหน้าที่
กดขี่ ด้วยภาษีอันไม่ชอบธรรม ในแคว้นของพระ
ราชาโกง มีคนอาธรรม์มากมาย.
แม่ครัวคงหุงต้มใหม่อีกเป็นแน่ จึงนำข้าวมาส่ง
ในเวลาสาย เรามัวแลดูแม่ครัว มาส่งข้าวอยู่ โคสา-
ลิยะจึงถูกผาลแทงเอา.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ธมฺเมน ความว่า เราด่าโดยมีเหตุผล
ท่านอย่าเข้าใจว่า ด่าโดยไม่มีเหตุผล. บทว่า สา นูน ปุน เร ปกฺกา
วิกาเล ภตฺตมาหริ ความว่า พราหมณ์เอ๋ย เราคิดว่า หญิงแม่ครัวนำข้าว
มาส่งเรา หุงข้าวแล้วคงนำมาส่งแต่เช้าตรู่ แต่นางถูกพวกทาสของพระเจ้า

พรหมทัต พวกรีดภาษีโดยไม่เป็นธรรม เกาะกุมตัวไว้ ต้องเลี้ยงดูพวกมัน
แล้วจึงหุงข้าวเพื่อเราใหม่ เพราะเหตุนั้น จึงนำข้าวมาส่งในเวลาสาย วันนี้
นำมาสายนัก ดังนี้แล้วถูกความหิวบีบคั้น มัวแลดูคนส่งข้าว ดุว่าโค เอาปฏัก

แทงโคไม่เป็นที่ ฉะนั้น เจ้าโคสาลิยะมันยกเท้าขึ้นกระทบผาล จึงถูกผาลบาด
เอา เหตุนั้น เจ้าอย่าเข้าใจว่า เราประหารมัน ข้อนี้ ชื่อว่า พระราชาผู้ลามก
ประหารแล้วทีเดียว ท่านอย่ามัวกล่าวพรรณนาคุณของพระราชานั้นอยู่เลย.


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 07 ก.พ. 2019, 19:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
พระราชากับราชปุโรหิต เดินทางต่อไป แล้วพักอยู่ในบ้านแห่งหนึ่ง
รุ่งขึ้นเวลาเช้าตรู่ แม่โคนมโกงตัวหนึ่ง เอาเท้าดีดคนรีดนมโค ล้มไปพร้อม
ด้วยนมสด เมื่อคนรีดนมโคจะด่าพระเจ้าพรหมทัต จึงกล่าวคาถา ความว่า

ขอให้พระเจ้าปัญจาลราช จงถูกฟันด้วยดาบใน
สงคราม เดือดร้อนอยู่ เหมือนเราถูกแม่โคนม ถีบ
ในวันนี้ จนนมสดของเขาหกไป ฉะนั้น.
ราชปุโรหิต ได้ฟังดังนั้น จึงกล่าวว่า

การที่แม่โคถีบเจ้าให้บาดเจ็บ น้ำนมหกไปนั้น
เป็นความผิดอะไรของพระเจ้าพรหมทัต ท่านจึงติเตียน
อยู่.
ครั้นพราหมณ์ปุโรหิตกล่าวคาถาจบ คนรีดนมโคได้กล่าวคาถาอีก ๓
คาถา ความว่า

ดูก่อนพราหมณ์ พระเจ้าปัญจาละ ควรจะได้รับ
ความติเตียน เพราะชาวชนบท พระเจ้าพรหมทัตมิได้
พิทักษ์รักษา ถูกเจ้าหน้าที่กดขี่ ด้วยภาษีอันไม่เป็น
ธรรม.

อนึ่ง เวลากลางคืนก็ถูกโจรปล้น กลางวันก็ถูก
กดขี่รีดภาษีอันไม่เป็นธรรม ในแคว้นของพระราชา
โกง มีคนอาธรรม์มากมาย.
แม่โคเปรียว ดุร้าย เมื่อก่อนพวกเรามิได้รีดนม
มัน มาวันนี้ เราถูกพวกราชบุรุษผู้ต้องการน้ำนม
รีดนาทาเล้น จึงต้องรีดนมมันอยู่เดี๋ยวนี้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า จณฺฑา แปลว่า หยาบคาย. บทว่า
อกตฺถนา แปลว่า มีปกติวิ่งหนี. บทว่า ขีรกาเมหิ ความว่า พวกเรา
ถูกเจ้าหน้าที่ของพระราชาอาธรรม์ ใช้ให้หานมสดมามาก ๆ เบียดเบียน จำ
ต้องรีด ถ้าหากพระเจ้าพรหมทัตนั้น ครองราชสมบัติโดยธรรม ภัยเห็นปาน
นี้คงไม่มาถึงพวกเรา.


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 07 ก.พ. 2019, 19:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
พระราชาและพระราชปุโรหิต คิดว่า เจ้านี่พูดถูก จึงออกจากบ้าน
นั้น ขึ้นสู่หนทางใหญ่ มุ่งหน้าต่อพระนครกลับไปในบ้านแห่งหนึ่ง พวกนาย
อากรฆ่าลูกโคอ่อนตัวหนึ่ง เพื่อต้องการทำฝักดาบ จึงยึดเอาหนังไป แม่โค
นมที่ลูกถูกฆ่า เพราะความเศร้าถึงลูก ไม่กินหญ้า ไม่ดื่มน้ำ เที่ยวร่ำร้องหา
ลูกอยู่ เด็ก ๆ ชาวบ้านเห็นดังนั้น เมื่อจะพากันด่าพระราชา จึงกล่าวคาถา
ความว่า

ขอให้พระเจ้าปัญจาลราช จงพลัดพรากจากโอรส
วิ่งคร่ำครวญเหมือนแม่โคกำพร้า พลัดพรากจากลูก
วิ่งคร่ำครวญอยู่ ฉะนั้น.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปริธาวติ ความว่า วิ่งร่ำร้องอยู่.
ลำดับนั้น ปุโรหิตกล่าวคาถานอกนี้ ความว่า
ในการที่แม่โค ของคนเลี้ยงโค เที่ยววิ่งไปมา
หรือร่ำร้องอยู่นี้ เป็นความผิดอะไร ของพระเจ้า
พรหมทัตเล่า.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปพฺภเมยฺย รเวยฺย วา ความว่า
(สัตว์เลี้ยง) ก็ต้องวิ่งไปมาได้ หรือร่ำร้องได้ อธิบายว่า พ่อเอย ธรรมดา
สัตว์เลี้ยง เมื่อเจ้าของพิทักษ์รักษาอยู่ มันก็วิ่งได้ ไม่กินหญ้าได้ ในข้อนี้
จะเป็นความผิดอะไรของพระราชาเล่า.
ลำดับนั้น เด็กชาวบ้าน ได้กล่าวคาถา ๒ คาถา ความว่า

ดูก่อนมหาพราหมณ์ ความผิดของพระเจ้าพรหม
ทัต มีแน่ เพราะชาวชนบท พระเจ้าพรหมทัตมิได้
พิทักษ์รักษา ถูกเจ้าหน้าที่กดขี่ ด้วยภาษีอันไม่ชอบ
ธรรม.
กลางคืนก็ถูกโจรปล้น กลางวันถูกเจ้าหน้าที่กด
ขี่ ด้วยภาษีอันไม่ชอบธรรม ในแคว้นของพระราชา
โกง มีคนอาธรรม์มากมาย ลูกโคของพวกเรายังดื่ม
นมอยู่ ก็ต้องถูกฆ่าตาย เพราะต้องการฝักดาบอย่าง
ไรล่ะ.


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 07 ก.พ. 2019, 19:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า มหาพฺรเหฺม ได้แก่ มหาพราหมณ์.
บทว่า ราชิโน ได้แก่ ของพระราชา. บทว่า กถํ โน ความว่า อย่าง
ไรเล่า คือ เพราะเหตุชื่อไร? บทว่า ขีรปา หฺเต ปชา ความว่า
เด็กทั้งหลายด่าพระราชาว่า ลูกโคที่ยังดื่มนมอยู่ ถูกพวกเจ้าหน้าที่เหล่านั้นฆ่า
ด้วยอำนาจของพระราชาลามก แม่โคนมนั้นร่ำร้องหาลูกอยู่เดี๋ยวนี้ ขอพระ
ราชานั้น จงปริเทวนาการ เหมือนแม่โคนมเถิด.

พระราชา และราชปุโรหิต พูดว่า ดีละ พวกเจ้าพูดได้เหตุผล แล้ว
หลีกไปเสีย ต่อมาในระหว่างทาง ฝูงกากำลังเอาจะงอยปากจิกกินกบทั้งหลายอยู่
ณ สระแห้งแห่งหนึ่ง เมื่อพระราชา และราชปุโรหิตมาถึงที่นั้น พระโพธิสัตว์
จึงบันดาลให้กบทั้งหลาย แช่งด่าพระราชาด้วยอานุภาพของตน (เป็นคาถา)
ความว่า

ขอให้พระเจ้าปัญจาลราช พร้อมด้วยพระราช
โอรส จงถูกประหารในสนามรบ ให้ฝูงการุมจิกกิน
เหมือนเราผู้เกิดในป่า ถูกฝูงกาชาวบ้านจิกกินในวันนี้
ฉะนั้น.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า คามเกหิ ได้แก่ กาที่อยู่ในบ้าน.
ราชปุโรหิตได้ยินดังนั้น เมื่อจะสนทนากับพวกกบ จึงกล่าวคาถา
ความว่า

เฮ้ย ! กบ พระราชาทั้งหลายในมนุษยโลก จะ
ทรงจัดการพิทักษ์รักษาสัตว์ทั่วไปไม่ได้อยู่เอง พระ
ราชามิใช่เป็นอธรรมจารีบุคคล ด้วยเหตุที่ฝูงกากินสัตว์
เป็นเช่นพวกเจ้า เท่านั้น.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ชีวํ ได้แก่สัตว์ที่ยังมีชีวิต. บทว่า อเทยฺยุํ
แปลว่า พึงเคี้ยวกิน. บทว่า ธงฺกา ได้แก่ กาทั้งหลาย. อธิบายว่า กา
ทั้งหลายพึงเคี้ยวกินสัตว์มีชีวิต ด้วยเหตุเพียงใด ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ พระ
ราชาจะชื่อว่าไม่เป็นผู้ประพฤติธรรมหาได้ไม่ พระราชาจักสามารถเข้าไปยังป่า
เที่ยวรักษาเจ้าได้อย่างไร?
กบได้ฟังดังนั้น จึงกล่าวคาถา ๒ คาถา ความว่า


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 07 ก.พ. 2019, 19:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
ท่านเป็นพรหมจารี ชาติอาธรรม์หนอ จึงกล่าว
ยกย่องกษัตริย์อยู่ได้ เมื่อประชากรเป็นอันมากถูกปล้น
อยู่ ท่านยังบูชาพระราชาผู้น่าตำหนิอย่างยิ่ง.
ดูก่อนพราหมณ์ ถ้าแว่นแคว้นนี้ พึงมีพระราชาดี
ก็จะมั่งคั่ง เบิกบาน ผ่องใส ฝูงกาก็จะได้กินก้อนข้าว
ที่ดี ๆ เป็นพลี ไม่ต้องกินสัตว์เป็นเช่นพวกเรา.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า พฺรหฺมจารี ความว่า เมื่อกบจะติเตียน
ปุโรหิต จึงกล่าวว่า ท่านเป็นพรหมจารี ชาติอาธรรม์หนอ. บทว่า ขตฺติยสฺส
ได้แก่ พระราชาลามกเห็นปานนี้. บทว่า วิลุมฺปมานาย ความว่า เมื่อ
ประชาชนถูกรีดนาทาเล้นอยู่ อนึ่ง ปาฐะ พระบาลี ก็อย่างเดียวกันนี้แหละ.
บทว่า ปุถุปฺปชาย ความว่า เมื่อประชาชนทั่วไปถูกเจ้าหน้าที่ ทำให้พินาศ

อยู่. บทว่า ปูเชสิ ได้แก่ ยกย่องสรรเสริญ. บทว่า สุรชฺชกํ ความว่า
ถ้าแว่นแคว้นนี้ อันพระราชาผู้ไม่ลุอำนาจฉันทาคติเป็นต้น ไม่ยังทศพิธราช
ธรรมให้กำเริบรักษาอยู่ เป็นแว่นแคว้นมีจอมราชดี. บทว่า ผีตํ ความว่า
มีข้าวกล้าสมบูรณ์ ในเมื่อฝนหลั่งกระแสธารอยู่โดยชอบ. บทว่า มาทิสํ
ความว่า เมื่อเป็นอย่างนี้ กาทั้งหลายคงไม่กินสัตว์ อย่างเราเลยทีเดียว. การ
ด่าในฐานะ แม้ทั้ง ๖ อย่างนี้ มีได้ด้วยอานุภาพของพระโพธิสัตว์นั่นเอง.

พระราชากับราชปุโรหิต สดับคำนั้นแล้ว ดำริว่า ชนทั้งปวงที่สุด
จนกระทั่งกบ ซึ่งเป็นสัตว์เดียรัจฉานอยู่ในป่า พากันด่าเราผู้เดียว แล้วเสด็จ
จากที่นั้นไปสู่พระนคร เสวยราชย์โดยธรรม ตั้งอยู่ในโอวาทของพระโพธิสัตว์
สร้างบุญกุศลมีทานเป็นต้น.

พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้ มาแสดงแก่พระเจ้าโกศลแล้ว
ตรัสว่า ดูก่อนมหาบพิตร ธรรมดาพระราชาควรละการลุอำนาจอคติ เสวย
ราชสมบัติโดยธรรม แล้วทรงประชุมชาดกว่า ภัณฑุติณฑุกเทวดา ในครั้งนั้น
ได้มาเป็นเราผู้ตถาคต ฉะนี้แล.
จบอรรถกถาภัณฑุติณฑุกชาดก
จบอรรถกถาติงสตินิบาต

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 07 ก.พ. 2019, 19:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
อรรถกถาจัตตาฬีสนิบาต
อรรถกถาเตสกุณชาดก


พระศาสดา เมื่อเสด็จประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ตรัส
พระธรรมเทศนานี้ ด้วยสามารถโอวาทแก่พระเจ้าโกศล มีคำเริ่มต้นว่า เวสฺส-
นฺตรํ ตํ ปุจฺฉามิ ดังนี้.

ความพิสดารว่า พระศาสดาตรัสเชิญพระราชานั้น ซึ่งเสด็จมาทรง
ธรรม มารับสั่งว่า ดูก่อนมหาบพิตร ธรรมดาพระราชาควรครองราชย์โดย
ธรรม เพราะสมัยใด พระราชาเป็นผู้ไม่ตั้งอยู่ในธรรม สมัยนั้น แม้ข้าราชการ
ทั้งหลายก็เป็นผู้ไม่ตั้งอยู่ในธรรม ดังนี้แล้ว ทรงโอวาทโดยนัยแห่งพระสูตรที่
มาในจตุกนิบาต และตรัสพรรณนาโทษและอานิสงส์ในการลุอำนาจอคติและ

ไม่ลุอำนาจอคติ ทรงยังโทษในกามทั้งหลายให้พิสดาร โดยนัยเป็นต้นว่า
กามทั้งหลายเปรียบได้กับความฝันแล้วตรัสว่า
ดูก่อนมหาบพิตร ความผัดเพี้ยนกับมฤตยูย่อม
ไม่มีแก่สัตว์เหล่านี้ การรับสินบนก็ไม่มี การยุทธ์
ก็ไม่มี ชัยชนะก็ไม่มี สัตว์ทั้งมวลล้วนมีความตายเป็น
เบื้องหน้า.

เมื่อสัตว์เหล่านั้นไปสู่ปรโลก เว้นกัลยาณธรรมที่ตนกระทำไว้แล้ว
ชื่อว่าที่พึ่งอย่างอื่นไม่มีเลย จำต้องละสิ่งที่ปรากฏเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างนี้ไป
แน่นอน ไม่ควรที่จะอาศัยยศทำความประมาท ชอบที่จะเป็นผู้ไม่ประมาท
เสวยราชย์โดยธรรมอย่างเดียว แม้เมื่อพระพุทธเจ้ายังไม่ได้เสด็จอุบัติ โบราณ-
กษัตริย์ทั้งหลายตั้งอยู่ในโอวาทของบัณฑิต เสวยราชย์โดยธรรม เสด็จไปยัง

เทพนครให้เต็มบริบูรณ์ อันพระเจ้าโกศลทรงทูลอาราธนาจึงทรงนำอดีตนิทาน
มาตรัส ดังต่อไปนี้

ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัต เสวยราชสมบัติ ในพระนคร
พาราณสี ไม่มีพระราชโอรส ถึงทรงปรารถนาอยู่ก็ไม่ได้พระโอรส หรือพระ
ธิดา วันหนึ่ง พระองค์เสด็จประพาสพระราชอุทยาน กับข้าราชบริพารจำนวน
มาก ทรงเล่นในพระราชอุทยานตลอดวัน ลาดพระที่บรรทม ณ โคนต้นมงคล
สาลพฤกษ์ บรรทมหลับไปหน่อยหนึ่ง ตื่นบรรทมแล้ว ทรงแลดูต้นรัง


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 07 ก.พ. 2019, 19:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
ทอดพระเนตรเห็นรังนกอยู่บนต้นไม้นั้น พอทอดพระเนตรเห็นเท่านั้น ก็เกิด
พระเสน่หา จึงดำรัสเรียกมหาดเล็กคนหนึ่ง มาตรัสสั่งว่า เจ้าขึ้นต้นไม้นี้จงดู
ให้รู้ว่า ในรังนกนั้นมีอะไรอยู่หรือไม่มี. มหาดเล็กขึ้นไป เห็นฟองไข่อยู่ในรัง
นกนั้น ๓ ฟอง จึงกราบทูลให้ทรงทราบ พระราชาตรัสว่า ถ้าเช่นนั้น เจ้า
อย่าปล่อยลมหายใจลงบนไข่เหล่านั้น จงแผ่สำลีลงในผอบ วางฟองนกเหล่านั้น

ไว้ในผอบแล้วค่อย ๆ ลงมา ครั้นตรัสสั่งให้มหาดเล็กลงมาแล้ว ทรงรับผอบ
ด้วยพระหัตถ์ ตรัสถามพวกอำมาตย์ว่า นี่เป็นไข่นกจำพวกไหน ? อำมาตย์
ทั้งหลาย พากันกราบทูลว่า ข้าพระพุทธเจ้าไม่ทราบ พวกนายพรานคงจักรู้
พระราชาจึงตรัสสั่งให้พวกนายพรานเข้าเฝ้าแล้วตรัสถาม พวกนายพรานกราบ-

ทูลว่า ขอเดชะ ฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าปกกระหม่อม ฟองนกเหล่านี้
ใบหนึ่งเป็นฟองนกฮูก ใบหนึ่งเป็นฟองนกสาลิกา ใบหนึ่งเป็นฟองนกแขกเต้า
ตรัสถามว่า ฟองนกทั้งสามอยู่รวมรังเดียวกันได้หรือ? กราบทูลว่า ได้พระ
พุทธเจ้าข้า เมื่อไม่มีอันตราย ฟองนกที่แม่กกไว้ดีแล้ว ย่อมไม่ฉิบหาย พระรา-

ชาทรงดีพระทัย ดำริว่า นกเหล่านี้จักเป็นลูกของเรา โปรดให้อำมาตย์สามคน
รับฟองนกไว้คนละฟอง ตรัสสั่งว่า นกเหล่านี้จักเป็นลูกของเรา พวกท่านช่วย
ประคับประคองให้ดี เวลาลูกนกออกมาจากกระเปาะฟองจงบอกเรา.

อำมาตย์ทั้งสามต่างรักษาฟองนกเหล่านั้นเป็นอันดี ในจำนวนฟองไข่
เหล่านั้น ฟองนกฮูกแตกออกก่อน อำมาตย์จึงเรียกนายพรานคนหนึ่งมาถามว่า
แกรู้ไหมว่าตัวเมียหรือตัวผู้? เมื่อนายพรานนั้นพิจารณาดูแน่แล้ว บอกว่า ตัวผู้
จึงเข้าไปเฝ้าพระราชากราบทูลว่า ขอเดชะ โอรสของพระองค์เกิดแล้ว พระพุทธ-
เจ้าข้า. พระราชาทรงปลาบปลื้ม พระราชทานทรัพย์แก่อำมาตย์นั้นเป็นอันมาก

ตรัสกำชับสั่งไปว่า เจ้าจงประคับประคองลูกเราให้ดี จงตั้งชื่อว่า "เวสสันดร"
อำมาตย์นั้นได้กระทำตามพระบรมราชโองการ ล่วงมาอีกสองสามวัน ฟองนก
สาลิกาก็แตกออก อำมาตย์คนนั้น จึงให้นายพรานพิสูจน์ดู รู้ว่าเป็นตัวเมีย
จึงไปยังราชสำนักกราบทูลว่า ขอเดชะ ราชธิดาของพระองค์เกิดแล้ว พระ-
พุทธเจ้าข้า พระราชาทรงดีพระทัย พระราชทานทรัพย์ แก่อำมาตย์แม้คนนั้น


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 07 ก.พ. 2019, 19:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
มากมาย แล้วตรัสกำชับส่งไปว่า เจ้าจงประคับประคองธิดาของเราให้ดี และ
จงตั้งชื่อว่า "กุณฑลินี" แม้อำมาตย์นั้นก็กระทำตามกระแสพระราชดำรัส
ล่วงมาอีกสองสามวัน ฟองนกแขกเต้าก็แตก แม้อำมาตย์นั้นก็ให้นายพราน
พิสูจน์ดู เมื่อเขาบอกว่า ตัวผู้ จึงไปยังราชสำนัก กราบทูลว่า ขอเดชะ
โอรสของพระองค์เกิดแล้วพระพุทธเจ้าข้า. พระราชาทรงดีพระทัย พระราช-

ทานทรัพย์แก่อำมาตย์แม้นั้นเป็นอันมาก แล้วตรัสกำชับส่งไปว่า เจ้าจงจัดการ
ทำมงคลแก่ลูกของเราด้วยบริวารเป็นอันมาก แล้วตั้งชื่อเขาว่า "ชัมพุกะ"
อำมาตย์นั้นก็กระทำตามพระราชดำรัส แม้นกทั้งสาม ก็เจริญมาในเรือนของ
อำมาตย์ทั้งสามคนด้วยการบริหารอย่างราชกุมาร.

พระราชามักตรัสเรียกว่าบุตรของเรา ธิดาของเรา ดังนี้เนือง ๆ ครั้งนั้น
พวกอำมาตย์ ของพระองค์พากันยิ้มเยาะกันว่า ท่านทั้งหลายจงดู การกระทำของ
พระราชา เที่ยวตรัสเรียกกระทั่งสัตว์เดียรัจฉานว่า บุตรของเรา ธิดาของเรา
พระราชาทรงสดับดังนั้น จึงทรงดำริว่า อำมาตย์พวกนี้ยังไม่รู้ปัญญาสัมปทาแห่ง

ลูกทั้งสามของเราจักต้องทำให้ปรากฏแก่เขา จึงตรัสใช้อำมาตย์คนหนึ่งไปหาเจ้า
เวสสันดรให้แจ้งว่า พระบิดาของท่านอยากจะตรัสถามปัญหา จะเสด็จมาถามได้
เมื่อไร? อำมาตย์ไปไหว้เจ้าเวสสันดรแล้ว แจ้งพระกระแสรับสั่งให้ทราบ. เจ้า
เวสสันดรจึงเชิญอำมาตย์ผู้เลี้ยงดูตนมาถามว่า เขาบอกว่า พระราชบิดาของฉัน

ใคร่จะตรัสถามปัญหากะฉัน เมื่อพระองค์เสด็จมาที่นี่ ควรที่เราจะทำสักการะ จะ
ให้พระองค์เสด็จมาเมื่อไรเล่าพ่อ? อำมาตย์ตอบว่า จากนี้ไปอีกเจ็ดวัน จึงเชิญ
เสด็จ. เจ้าเวสสันดรได้ฟังดังนั้น จึงส่งข่าวกราบทูลว่า พระราชบิดาของฉัน
เสด็จมาได้ในวันที่เจ็ดนับแต่นี้ไป. อำมาตย์นั้นกลับมาทูลแด่พระราชา. ถึงวัน

ที่เจ็ด พระราชาตรัสสั่งให้เที่ยวตีกลองประกาศ ในพระนครแล้วเสด็จไปยังที่อยู่
ของบุตร เจ้าเวสสันดรสั่งให้ทำมหาสักการะแด่พระราชา โดยที่แม้ทาสและ
กรรมกรก็ให้ทำสักการะด้วย พระราชาเสวยในเรือนของนกเวสสันดรทรงรับ
การต้อนรับสมพระเกียรติ แล้วเสด็จกลับไปพระราชนิเวศน์ ตรัสสั่งให้ทำ
มหามณฑปที่พระลานหลวง ให้เที่ยวตีกลองประกาศในพระนครแล้วประทับนั่ง


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 07 ก.พ. 2019, 19:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
ในมณฑปอลงกต แวดล้อมไปด้วยมหาชน ทรงส่งพระราชสาสน์ไปยังสำนัก
ของอำมาตย์ว่า จงนำเจ้าเวสสันดรมาเถิด. อำมาตย์ให้เจ้าเวสสันดรจับบนตั่ง
ทองนำมาถวาย นกเวสสันดรจับบนพระเพลาพระราชบิดา เล่นหัวกับพระราช
บิดา แล้วบินไปจับบนตั่งทองนั้นตามเดิม.
ลำดับนั้น พระราชา เมื่อจะตรัสถามราชธรรมกะเจ้าเวสสันดร ใน
ท่ามกลางมหาชน จึงตรัสปฐมคาถา ความว่า

เราขอถามเจ้าเวสสันดร นกเอ๋ย ขอความเจริญ
จงมีแก่เจ้า กิจอะไรที่บุคคลผู้ประสงค์เสวยราชสมบัติ
กระทำแล้วเป็นกิจประเสริฐ.
พึงทราบวินิจฉัยในคาถานั้นดังต่อไปนี้ พระราชาทรงทักทายเจ้าเวส-
สันดรนั้นว่า นกเอ๋ย.

บทว่า กึสุ ความว่า กิจอะไรที่ผู้ใคร่ครองราชย์กระทำแล้ว เป็น
ของดี คือสูงสุด พ่อเอ๋ย เจ้าจงบอกราชธรรมทั้งมวลแก่ข้าเถิด. นัยว่า พระราชา
นั้น ดำรัสถามเจ้าเวสสันดรนั้นอย่างนี้.
นกเวสสันดร ได้ฟังพระราชดำรัสแล้ว ยังไม่ทูลแก้ปัญหา เมื่อจะ
ทูลท้วงพระราชาด้วยความประมาท จึงกล่าวคาถาที่สอง ความว่า

นานนักหนอ พระเจ้ากังสราช พระราชบิดาเรา
ผู้ทรงสงเคราะห์ชาวเมืองพาราณสี เป็นผู้ประมาท
ได้ตรัสถามเราผู้บุตร ซึ่งหาความประมาทมิได้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ตาตา ได้แก่ พระราชบิดา. บทว่า
กํโส นี้ เป็นชื่อของพระราชานั้น. บทว่า พาราณสิคฺคโท ความว่า
ทรงประพฤติสงเคราะห์ชาวเมืองพาราณสี ด้วยสังคหวัตถุ ๔ ประการ. บทว่า
ปมตฺโต ความว่า เสด็จอยู่ในสำนักแห่งบัณฑิตเห็นปานนี้ ชื่อว่าเป็นผู้ประมาท

แล้ว เพราะมิได้ตรัสถามปัญหา. บทว่า อปฺปมตฺตํ ความว่า พอกพูน
เลี้ยงเราผู้ชื่อว่าไม่ประมาทแล้ว เพราะประกอบด้วยคุณความดีมีศีลเป็นต้น.
บทว่า ปิตา ได้แก่ พระราชบิดาผู้พอกเลี้ยง. บทว่า อโจทยิ ความว่า


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 2685 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 70, 71, 72, 73, 74, 75, 76 ... 179  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 0 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร