วันเวลาปัจจุบัน 03 ส.ค. 2025, 04:32  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


อ่านนิทาน จากบอร์ดเก่า
http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=5



กลับไปยังกระทู้  [ 2685 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 73, 74, 75, 76, 77, 78, 79 ... 179  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 08 ก.พ. 2019, 12:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
ใช้สอยด้วยอำนาจแห่งกิเลส ปรากฏในท่ามกลาง การปฏิสนธิในนรกปรากฏ
ในที่สุด ก็ปาณาติบาตกับความประมาท เพราะมัวเมายิ่งในการบริโภคใช้สอย
ด้วยอำนาจกิเลส ย่อมให้ซึ่งปฏิสนธิในนรก พระราชาทรงพระราชทานตำแหน่ง
เสนาบดีอันยิ่งใหญ่แก่เรา เราก็จักเป็นผู้มีอิสริยยศใหญ่ ภรรยาและบุตรธิดา
ก็จักมีมากมาย ก็วัตถุอันเป็นที่ตั้งของกิเลสอันถึงความไพบูลย์แล้ว เป็นของ

ละได้โดยยาก ควรที่เราจะออกไปสู่ป่าเพียงผู้เดียว แล้วบวชเป็นฤาษีเสียใน
บัดนี้ทีเดียว จึงลุกขึ้นจากที่นอนใหญ่ ไม่ให้ใครทราบลงจากปราสาท ออก
ทางประตูด้านอัครทวาร เข้าสู่ป่าลำพังผู้เดียว เดินมุ่งหน้าไปยังป่ามะขวิดใหญ่
สามโยชน์ ใกล้ฝั่งแม่น้ำโคธาวรี. ท้าวสักกเทวราชทรงทราบว่า โชติปาลกุมาร

นั้นออกแล้ว จึงตรัสเรียกวิสสุกรรมเทพบุตรมาตรัสสั่งว่า พ่อคุณ เจ้าโชติปาล-
กุมารออกอภิเนษกรมณ์จักมีสมาคมใหญ่ เธอจงไปเนรมิตอาศรมที่กปิฏฐวัน
ใกล้ฝั่งแม่น้ำโคธาวดี และตระเตรียมบริขารของบรรพชิตไว้ให้เสร็จ. วิสสุ-
กรรมเทพบุตรนั้นได้กระทำตามเทวบัญชาทุกประการ.

พระมหาสัตว์ถึงสถานที่นั้นแล้ว เห็นทางมีรอยเดินได้คนเดียว คิดว่า
จะพึงมีสถานที่อยู่ของพวกบรรพชิตจึงเดินไปที่กปิฏฐวันตามทางนั้น ก็ไม่พบ
ใคร จึงเข้าไปสู่บรรณศาลา เห็นบริขารของพวกบรรพชิต คิดว่า ชะรอย
ท้าวสักกเทวราชจะทรงทราบว่า เราออกอภิเนษกรมณ์ จึงเปลื้องผ้าสาฎกออก
นุ่งห่มคากรองสีแดง กระทำหนังเสือเหลือง เฉวียงบ่าข้างหนึ่งมุ่นมณฑลชฎา

ยกหาบหนักข้างหนึ่งไว้บนบ่า ถือไม้เท้าคนแก่ ออกจากบรรณศาลา ขึ้นสู่ที่
จงกรม แล้วจงกรมไป ๆ มาสิ้นวาระเล็กน้อย ยังป่าให้งดงามด้วยสิริคือบรรพชา
กระทำกสิณบริกรรม จำเดิมแต่กาลที่บวชแล้ว ในวันที่เจ็ดยังสมาบัติ ๘
อภิญญา ๕ ให้บังเกิด เป็นผู้มีผลหมากรากไม้ในป่าเป็นอาหาร ด้วยอุญฉา-
จาริยวัตร อยู่แต่ผู้เดียวเท่านั้น. มารดาบิดามิตรสหายเป็นต้น แม้พวกญาติ
ของโชติปาลกุมารนั้น เมื่อไม่เห็นโชติปาลกุมารต่างร่ำไห้ปริเทวนาการเที่ยวไป.
ลำดับนั้น พรานป่าคนหนึ่ง เข้าไปสู่ป่าพบพระมหาสัตว์ นั่งอยู่ใน
อาศรมบท ณ กปิฏฐวัน จำพระมหาสัตว์ได้ ทำการปฏิสัณฐานกับพระมหา-


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 08 ก.พ. 2019, 12:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
สัตว์แล้ว กลับไปยังพระนคร บอกมารดาบิดาของท่านให้ทราบ. มารดาบิดา
ของพระมหาสัตว์ จึงกราบทูลให้พระราชาทรงทราบ พระราชาตรัสว่า มาเถิด
เราจักไปเยี่ยมโชติปาลดาบสนั้น แล้วพามารดาบิดาของท่าน แวดล้อมด้วย
มหาชน เสด็จถึงฝั่งแม่น้ำโคธาวรี ตามทางที่นายพรานแสดง. พระโพธิสัตว์
มายังฝั่งแม่น้ำ นั่งบนอากาศแสดงธรรม เชิญชนทั้งหมดเข้าไปสู่อาศรมนั่งบน
อากาศนั่นแล ประกาศโทษในกามทั้งหลาย แล้วแสดงธรรมแก่ชนเหล่านั้น
แม้ในที่นั้น. ชนทั้งหมดตั้งต้นแต่พระราชาไป พากันบวชสิ้น. พระโพธิสัตว์

มีหมู่ฤาษีเป็นบริวาร อยู่ในที่นั้นแหละ ต่อมา ข่าวที่พระดาบสพำนักอยู่ ณ
ที่นั้น ได้แพร่สะพัดไปในชมพูทวีปทั้งสิ้น. พระราชาองค์อื่น ๆ พร้อมด้วย
ชาวแว่นแคว้นก็พากันมาบวชในสำนักของพระโพธิสัตว์นั้น นับเป็นมหาสมาคม
ที่ยิ่งใหญ่ บริษัทแสนหนึ่ง มิใช่น้อยได้มีแล้วโดยลำดับ ผู้ใดตรึกกามวิตก

พยาบาทวิตก หรือวิหิงสาวิตก พระมหาสัตว์ก็ไปในที่นั้น นั่งบนอากาศแสดงธรรม
บอกกสิณบริกรรมข้างหน้าผู้นั้น. บริษัททั้งหลายตั้งอยู่ในโอวาทของพระมหา-
สัตว์ แล้วยังสมาบัติ ๘ ให้เกิดขึ้น ถึงความสำเร็จในฌาน พระมหาสัตว์ได้มี
อันเตวาสิกผู้ใหญ่ถึงเจ็ดท่านคือ สาลิสสระ ๑ เมณฑิสสระ ๑ ปัพพตะ ๑
กาลเทวละ ๑ กีสวัจฉะ ๑ อนุลิสสะ ๑ นารทะ ๑ ในเวลาต่อมา อาศรม
ในกปิฏฐวัน ก็เต็มบริบูรณ์. โอกาสที่อยู่ของหมู่ฤาษีไม่พอเพียง.

ลำดับนั้น พระมหาสัตว์ จึงเรียกท่านสาลิสสระ มาสั่งว่า ท่านสาลิสสระ
อาศรมนี้ไม่เพียงพอแก่หมู่ฤาษี ท่านจงพาหมู่ฤาษีนี้เข้าไปอาศัย ลัมพจูลกนิคม
ในแว่นแคว้นของพระเจ้าเมชฌราชอยู่เถิด.

สาลิสสระดาบสรับคำของพระมหาสัตว์ว่า สาธุ แล้วพาหมู่ฤาษีพันเศษ
ไปอยู่ในลัมพจูลกนิคมนั้น. เมื่อมนุษย์ทั้งหลายพากันมาบวชอยู่ อาศรมก็เต็ม
บริบูรณ์อีก. พระโพธิสัตว์จึงเรียกท่านเมณฑิสสระมาสั่งว่า ท่านเมณฑิสสระ
แม่น้ำชื่อสาโตทกานที ระหว่างเขตแดนสุรัฏฐชนบทมีอยู่ ท่านจงพาหมู่ฤาษี
นี้ไปอยู่ที่ริมฝั่งแม่น้ำสาโตทกานทีนั้นเถิด โดยอุบายนั้นแหละ พระโพธิสัตว์

เรียกปัพพตดาบสมาในวาระที่สามส่งไปว่า ท่านปัพพตะ ภูเขาชื่ออัญชนบรรพต
มีอยู่ในดงใหญ่ ท่านจงเข้าไปอาศัยอัญชนบรรพตนั้นอยู่เถิด. ในวาระที่สี่


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 08 ก.พ. 2019, 13:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
พระโพธิสัตว์เรียกกาลเทวลดาบสมาสั่งไปว่า ท่านกาลเทวละ ในแคว้นอวันตี
ในทักขิณาชนบท มีภูเขาชื่อฆนเสลบรรพต ท่านจงเข้าไปอาศัยฆนเสลบรรพต
นั้นอยู่เถิด อาศรมในกปิฏฐวันก็เต็มบริบูรณ์อีก ในสถานที่ทั้ง ๕ แห่งได้มี
หมู่ฤาษีจำนวนแสนเศษ ส่วนกีสวัจฉดาบส อำลาพระมหาสัตว์ เข้าไปอาศัย
ท่านเสนาบดีอยู่ในพระราชอุทยาน ในกุมภวดีนคร แว่นแคว้นของพระเจ้า
ทัณฑกีราช. ท่านนารทดาบส ไปอยู่ที่เวิ้งเขาชื่ออัญชนคิรีในมัชฌิมประเทศ
ส่วนอนุสิสสดาบสคงอยู่ในสำนักของพระมหาสัตว์นั่นเอง.

กาลครั้งนั้น พระเจ้าทัณฑกีราช ทรงถอดหญิงแพศยาคนหนึ่ง ซึ่งได้
สักการะแล้วจากตำแหน่ง นางเที่ยวไปตามธรรมดาของตน เดินไปสู่พระราช
อุทยานพบท่านกีสวัจฉดาบส คิดว่า ดาบสผู้นี้คงจักเป็นคนกาลกรรณี เราจัก
ลอยตัวกลี ลงบนสรีระของดาบสผู้นี้ อาบน้ำก่อนจึงจักไป ดังนี้แล้ว จึงเคี้ยว

ไม้สีฟัน แล้วถ่มเขฬะหนา ๆ ลงบนสรีระของท่านดาบสนั้น ก่อนที่อื่นทั้งหมด
แล้วถ่มลงไประหว่างชฎา แล้วโยนไม้สีฟันไปบนศีรษะของท่านกีสวัจฉดาบส
นั้นอีก ตนเองสนานเกล้าแล้วไป. ต่อมาพระราชาทรงระลึกถึงนางแล้วจัดการ
สถาปนาไว้ตามเดิม. นางเป็นคนหลงงมงาย ได้ทำความสำคัญว่า เพราะเรา
ลอยตัวกลีไว้บนสรีระของคนกาลกรรณี พระราชาจึงทรงสถาปนาเราไว้ใน

ตำแหน่งเดิม เราจึงกลับได้ยศอีก ต่อมาไม่นานนัก พระราชาก็ทรงถอดปุโรหิต
เสียจากฐานันดรศักดิ์. ปุโรหิตนั้นจึงไปยังสำนักของหญิงคณิกานั้น ถามว่า
เพราะเหตุไรท่านจึงได้ตำแหน่งคืน. ลำดับนั้น หญิงคณิกาจึงบอกว่า เพราะดิฉัน
ลอยกลีโทษ บนสรีระของคนกาลกรรณี ในพระราชอุทยาน. ปุโรหิตจึงไป
ลอยกลีโทษ บนสรีระของท่านกีสวัจฉดาบส อย่างนั้นเหมือนกัน พระราชา
ก็กลับทรงสถาปนาแม้ปุโรหิตนั้นไว้ในฐานันดรอีก.

ในเวลาต่อมา ปลายพระราชอาณาเขตของพระเจ้าทัณฑกีราชนั้นเกิด
จลาจล. ท้าวเธอแวดล้อมไปด้วยองคเสนา เสด็จออกเพื่อยุทธนาการ ลำดับนั้น
ปุโรหิตผู้หลงงมงาย ทูลถามพระราชาว่า ขอเดชะ พระมหาราชเจ้า พระองค์
ทรงปรารถนาชัยชนะ หรือว่าความปราชัย เมื่อพระราชาตรัสตอบว่า ปรารถนา

ชัยชนะ จึงกราบทูลว่า ถ้าเช่นนั้น คนกาลกรรณีอยู่ในพระราชอุทยาน
พระองค์จงโปรดให้ลอยกลีโทษที่สรีระของคนกาลกรรณีนั้นแล้วเสด็จไปเถิด.
พระราชาเชื่อถ้อยคำของปุโรหิต ตรัสว่า ผู้ใดเมื่อจะไปกับเรา จงพากันไป
ลอยกลีโทษที่สรีระของคนกาลกรรณีเสียในพระราชอุทยาน แล้วเสด็จเข้าไปยัง
พระราชอุทยาน ทรงเคี้ยวไม้สีฟัน แล้วพระองค์เองทรงบ้วนเขฬะ และโยน

ไม้สีฟันลงในระหว่างชฏา ของท่านกีสวัจฉดาบสนั้นก่อนใคร ๆ ทั้งหมด
แล้วทรงสรงสนานเกล้า แม้พลนิกายของพระองค์ ก็ได้กระทำอย่างนั้น เมื่อ
พระราชาเสด็จหลีกไปแล้ว เสนาบดีมาพบพระดาบสแล้ว เก็บไม้สีฟันเป็นต้น
ทิ้ง ให้สรงสนานเป็นอย่างดี แล้วเรียนถามว่า ท่านขอรับ อะไรจักมีแก่พระราชา.


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 08 ก.พ. 2019, 13:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
กีสวัจฉดาบสตอบว่า ขอเจริญพร ความคิดประทุษร้าย ไม่มีในใจอาตมา
แต่เทพยดาฟ้าดินพิโรธ นับแต่นี้ไปเจ็ดวัน จักกระทำแว่นแคว้นทั้งสิ้นให้ป่นปี้
ท่านจงหนีไปอยู่ที่อื่นโดยเร็วเถิด. เสนาบดีนั้นสะดุ้งตกใจกลัว จึงไปกราบทูล
พระราชาให้ทรงทราบ. พระเจ้าทัณฑกีราช ทรงฟังถ้อยคำเสนาบดีแล้ว ก็มิได้
ทรงเชื่อถือ เสนาบดีนั้นจึงกลับไปยังเรือนของตน พาบุตรภรรยาหนีไปสู่แคว้น

อื่น ท่านสรภังคดาบสผู้ศาสดาจารย์ รู้เหตุนั้นแล้วส่งดาบสหนุ่มไปสองรูป
ให้เอามัญจสีวิกาหามท่านกีสวัจฉดาบสมาทางอากาศ. พระราชาทรงรบจับโจร
ได้แล้วเสด็จกลับไปยังพระนครทีเดียว. เมื่อพระราชาเสด็จมาแล้ว เทพยเจ้า
ทั้งหลายจึงบันดาลฝนให้ตกลงมาก่อน เมื่อศพทุกชนิดถูกห้วงน้ำฝนพัดไปอยู่
ฝนทรายล้วนก็ตกลง ฝนดอกไม้ทิพย์ตกลงบนยอดฝนทราย ฝนมาสกตกลง

บนยอดฝนดอกไม้ ฝนกหาปณะตกลงบนยอดฝนมาสก ฝนทิพพาภรณ์ตกลง
บนยอดกหาปณะ มนุษย์ทั้งหลายถึงความโสมนัส เริ่มเก็บเงินทองและเครื่อง
อาภรณ์ ลำดับนั้น ฝนอาวุธอันโชติช่วงมีประการต่าง ๆ ตกลงเหนือสรีระของ
มนุษย์เหล่านั้น. มนุษย์ทั้งหลาย ขาดเป็นท่อนน้อยท่อนใหญ่. ลำดับนั้น
ถ่านเพลิงปราศจากเปลวใหญ่โต ก็ตกลงเบื้องบนของมนุษย์เหล่านั้น ยอด-

บรรพตที่ลุกโพลงใหญ่โตตกลงเบื้องบนของมนุษย์เหล่านั้น ฝนทรายละเอียด
อันยังที่ประมาณ ๖๐ โยชน์ให้เต็ม ตกลงเบื้องบนของมนุษย์เหล่านั้น สถานที่
๖๐ โยชน์ มิได้เป็นรัฐมณฑลด้วยอาการอย่างนี้. ความที่แว่นแคว้นนั้นพินาศ
ไปอย่างนี้ ได้แพร่สะพัดไปในชมพูทวีปทั้งสิ้น.

ครั้งนั้น พระราชา ๓ พระองค์ คือ พระเจ้ากาลิงคะ ๑ พระเจ้า
อัฏฐกะ ๑ พระเจ้าภีมรถ ๑ ซึ่งเป็นใหญ่ในแคว้นติดต่อกันกับแคว้นนั้น
ทรงคิดกันว่า ได้ยินว่า ในปางก่อน พระเจ้ากลาพุกาสิราช ในพระนครพาราณสี
ประพฤติผิดในท่านขันติวาทีดาบส แล้วถูกแผ่นดินสูบ พระเจ้านาลิกีรราช
ให้สุนัขเคี้ยวกินพระดาบส และพระเจ้าอัชชุนะ ผู้ทรงกำลังแขนถึงพัน

ประพฤติผิดในท่านอังคีรสดาบส แล้วถูกแผ่นดินสูบเหมือนกัน ได้ยินว่า คราวนี้
พระเจ้าทัณฑกีราช ผิดในท่านกีสวัจฉดาบส แล้วถึงความพินาศพร้อมด้วย
แว่นแคว้น พวกเรายังไม่รู้สถานที่เกิดของพระราชาทั้งสี่เหล่านี้ เว้นท่าน
สรภังคศาสดาเสียแล้ว คนอื่นชื่อว่าสามารถ เพื่อจะบอกเรื่องนั้นแก่เราไม่มี

พวกเราจักเข้าไปถามปัญหาเหล่านี้ กษัตริย์ทั้ง ๓ พระองค์เหล่านั้นพร้อม
ด้วยข้าราชบริพารเป็นอันมาก ต่างก็เสด็จออกเพื่อจะถามปัญหา แต่พระราชา
ทั้งสามนั้น มิได้ทรงทราบว่า แม้พระราชาองค์โน้น ก็เสด็จออกแล้ว ต่างทรง
สำคัญว่า เราไปเพียงผู้เดียวเท่านั้น สมาคมแห่งกษัตริย์เหล่านั้น ได้มีไม่ไกล

จากแม่น้ำโคธาวรี พระราชาเหล่านั้น เสด็จลงจากรถแต่ละคันแล้ว เสด็จขึ้น
รถคันเดียวกันไป ทั้งสามพระองค์ถึงยังฝั่งแม่น้ำโคธาวรี ขณะนั้นท้าวสักก-
เทวราชประทับนั่งเหนือพระแท่นบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ ทรงคิดปัญหา ๗
ข้อ แล้วทรงรำพึงว่า เว้นท่านสรภังคศาสดาเสียแล้ว คนอื่นในมนุษยโลก


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 08 ก.พ. 2019, 13:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
พร้อมทั้งเทวโลก ที่ชื่อว่าสามารถเพื่อจะแก้ปัญหานี้ไม่มี เราจักถามปัญหา
เหล่านี้กะท่านสรภังคศาสดานั้น พระราชาทั้ง ๓ องค์แม้เหล่านี้ มาถึงฝั่ง
แม่น้ำโคธาวรี ก็เพื่อจะถามปัญหากะท่านสรภังคศาสดา เราเองจักเป็นผู้ถาม
แม้ปัญหาของพระราชาเหล่านี้ อันเหล่าเทวดาในเทวโลกทั้งสองแวดล้อมแล้ว
เสด็จลงจากเทวโลก ในวันนั้นเอง ท่านกีสวัจฉดาบส ก็ได้ทำกาลกิริยาลง พระ

ฤาษีทั้งหลายพันเศษ ในที่ทั้งสี่ ก็มาในที่นั้นเหมือนกัน เพื่อทำการปลงศพ
ของท่านกีสวัจฉดาบสนั้น แล้วให้ทำมณฑปไว้ และหมู่ฤาษีพันเศษในที่ทั้ง ๕
ช่วยกันทำจิตกาธารด้วยไม้จันทน์ เพื่อตั้งสรีระของท่านกีสวัจฉดาบส แล้ว
ช่วยกันเผาสรีระศพ ฝนดอกโกสุมทิพย์ ตกลงในสถานที่ประมาณกึ่งโยชน์รอบ
สุสาน พระมหาสัตว์ให้จัดการเก็บสรีรธาตุ ของท่านกีสวัจฉดาบสแล้วเข้าไปสู่

อาศรม แวดล้อมไปด้วยหมู่ฤาษีเหล่านั้นนั่นอยู่ ในกาลเมื่อพระราชาเหล่านั้น
มาถึงฝั่งนที เสียงแห่งกองทัพใหญ่ เสียงพาหนะ และเสียงดนตรีได้มีแล้ว
พระมหาสัตว์ได้สดับเสียงนั้น จึงเรียกอนุสิสสดาบสมาสั่งว่า พ่อคุณ เธอช่วย
ไปดูก่อนเถิด นั่นเป็นเสียงอะไร? ท่านอนุสิสสดาบส จึงถือหม้อตักน้ำไป
ในที่นั้น พบพระราชาทั้ง ๓ องค์ จึงกล่าวคาถาที่ ๑ โดยเป็นคำถามความว่า

ท่านทั้งหลายผู้ประดับแล้ว สอดใส่กุณฑล นุ่ง
ห่มผ้างดงาม เหน็บพระขรรค์มีด้ามประดับด้วยแก้ว
ไพฑูรย์ และแก้วมุกดา เป็นจอมพลรถยืนอยู่ เป็น
ใครกันหนอ ชนทั้งหลายในมนุษยโลก จะรู้จักท่าน
ทั้งหลายอย่างไร?

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เวฬุริยมุตฺตา กรุขคฺคพนฺธา ความว่า
ประกอบไปด้วยพระขรรค์แก้ว มีด้ามประดับด้วยแก้วไพฑูรย์ และพู่พวงแก้ว
มุกดา. บทว่า ติฏฺ€ถ ความว่า ท่านทั้งหลายยืนอยู่ในรถคันเดียวกัน. บทว่า
เก นุ ความว่า พวกท่านคือใคร คนในมนุษยโลก รู้จักพวกท่านได้อย่างไร?

กษัตริย์ทั้งสาม สดับคำของพระดาบสแล้ว เสด็จลงจากรถถวายนมัส-
การแล้ว ประทับยืนอยู่ ในกษัตริย์ทั้ง ๓ นั้น พระเจ้าอัฏฐกราช เมื่อจะ
ทรงสนทนากับท่านอนุสิสสดาบส จึงตรัสคาถาที่ ๒ ความว่า


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 08 ก.พ. 2019, 13:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
ข้าพเจ้าเป็นกษัตริย์ ชื่ออัฏฐกะ ท่านผู้นี้ คือ
พระเจ้าภีมรถะ ส่วนท่านผู้นี้คือ พระเจ้ากาลิงคราช
มีพระเดชฟุ้งเฟื่อง ข้าพเจ้าทั้งหลายมาในที่นี้ เพื่อเยี่ยม
ท่านฤาษีทั้งหลายผู้สำรวมด้วยดี และเพื่อจะขอถาม
ปัญหา.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อุคฺคโต ความว่า เป็นผู้ปรากฏขจรไป
ดุจพระจันทร์และพระอาทิตย์. บทว่า สุสฺตานํ อิสีนํ ความว่า (พระ-
เจ้าอัฏฐกราชตรัสว่า) ท่านขอรับ พวกข้าพเจ้า จะมาเพื่อเล่นกีฬาในป่าก็หา
มิได้ ที่แท้พวกข้าพเจ้ามาในที่นี้ ก็เพื่อจะเยี่ยมท่านฤาษีผู้มีศีล สำรวมดีแล้ว
ด้วยกายเป็นต้น. บทว่า ปุจฺฉิตาเยนมฺห ปฺเห ความว่า เป็นผู้มาแล้ว
เพื่อเรียนถามปัญหากะท่านสรภังคศาสดา บัณฑิตควรทราบว่า ย อักษร ทำ
การเชื่อมกับพยัญชนะ.

ลำดับนั้น ดาบส จึงทูลพระราชาเหล่านั้นว่า ขอถวายพระพร พระ
มหาราชเจ้า ดีแล้ว พระองค์ท่านทั้งหลายเป็นผู้เสด็จมาในสถานที่ ซึ่งควรมา
โดยแท้ ถ้าเช่นนั้น ขอเชิญสรงสนานแล้วเสด็จไปยังอาศรม ทรงไหว้หมู่ฤาษี
แล้วตรัสถามปัญหากะท่านศาสดาเถิด ครั้นทำปฏิสัณฐานกับพระราชาเหล่านั้น

แล้ว จึงยกหม้อน้ำขึ้น เช็ดหยาดน้ำพลางแลดูอากาศ เห็นท้าวสักกเทวราช
แวดล้อมด้วยหมู่เทพยเจ้า เสด็จเหนือคอช้างเอราวัณตัวประเสริฐ กำลังเสด็จมา
เมื่อจะสนทนากับท้าวสักกเทวราชนั้น จึงกล่าวคาถาที่ ๓ ความว่า

ท่านเหาะลอยอยู่ในอากาศเวหา ดังพระจันทร์
ลอยเด่นอยู่ ท่ามกลางท้องฟ้าในวันเพ็ญ ๑๕ ค่ำฉะนั้น
ดูก่อนเทพยเจ้า อาตมาภาพขอถามท่านผู้มีอานุภาพ
มาก ชนทั้งหลายในมนุษยโลก จะรู้จักท่านได้อย่างไร.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เวหาสยํ ความว่า ท่านเหาะขึ้นไปลอย
อยู่ในกลางหาว คือบนอากาศ. บทว่า ปถทฺธุโน ความว่า เหมือนพระ
จันทร์ อันไปสู่คลองอันไกล คือตั้งอยู่ในท่ามกลางอัมพร อันเป็นแดนไกล
ฉะนั้น.


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 08 ก.พ. 2019, 13:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
ท้าวสักกเทวราชทรงสดับดังนั้น จึงตรัสคาถาที่ ๔ ความว่า
ในเทวโลกเขาเรียกข้าพเจ้าว่า สุชัมบดี ในมนุษย-
โลกเขาเรียกข้าพเจ้าว่า ท้าวมฆวา ข้าพเจ้านั้นคือ ท้าว
เทวราช วันนี้มาถึงที่นี่ เพื่อขอเยี่ยมท่านฤาษีทั้งหลาย
ผู้สำรวมแล้ว ด้วยดี.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ส เทวราชา ท้าวสักกเทวราชตรัสว่า
ข้าพเจ้านั้น คือท้าวสักกเทวราช. บทว่า อิทมชฺช ปตฺโต ความว่า มาสู่
สถานที่นี้ ในบัดนี้. บทว่า ทสฺสนาย ความว่า เพื่อจะเยี่ยมเยียนกราบ
นมัสการ และเพื่อถามปัญหากะท่านสรภังคศาสดาด้วย.

ลำดับนั้น ท่านอนุสิสสดาบส จึงทูลท้าวสักกเทวราชว่า ดีละพระ
มหาราชเจ้า พระองค์โปรดเสด็จมาภายหลัง ดังนี้แล้ว ถือหม้อน้ำเข้าไปสู่
อาศรม เก็บหม้อน้ำไว้แล้ว กราบเรียนความที่พระราชา ๓ พระองค์ กับ
ท้าวสักกเทวราช เสด็จมาเพื่อจะตรัสถามปัญหา แก่พระมหาสัตว์เจ้า พระ

มหาสัตว์นั้นแวดล้อมด้วยหมู่ฤาษี นั่งอยู่ ณ โรงอันกว้างใหญ่ พระราชาทั้ง
๓ พระองค์เสด็จมาไหว้หมู่พระฤาษี แล้วต่างประทับนั่ง ณ ที่ส่วนข้างหนึ่ง
ฝ่ายท้าวสักกเทวราชก็เสด็จลงมา แล้วเข้าไปหาหมู่ฤาษี ประทับยืนประคอง
อัญชลี เมื่อทรงสรรเสริญหมู่ฤาษี จึงถวายนมัสการ พลางตรัสคาถาที่ ๕
ความว่า

พระฤาษีทั้งหลายของข้าพเจ้า ผู้มีฤทธิ์มาก เข้า
ถึงซึ่งอิทธิคุณ มาประชุมพร้อมกันแล้ว ปรากฏในที่
ไกล ข้าพเจ้ามีจิตเลื่อมใส ขอไหว้พระคุณเจ้าทั้งหลาย
ผู้ประเสริฐกว่ามนุษย์ ในชีวโลกนี้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ทูเร สุตา โน ความว่า เมื่อท้าวสักก
เทวราช จะทรงแสดงความนับถือ จึงตรัสอย่างนี้ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ท่าน
ทั้งหลาย อันพวกข้าพเจ้าผู้สถิตอยู่ ณ เทวโลกแดนไกล ได้ยินได้ฟังแล้ว
มีคำอธิบายว่า พระฤาษีทั้งหลายของพวกเรา ซึ่งมาประชุมกัน ณ ที่นี้ เหล่านี้

พวกข้าพเจ้าได้ยินแล้วในที่ไกล คือปรากฏระบือไปจนถึงพรหมโลก. บทว่า
มหิทฺธิกา ได้แก่ มีอานุภาพมาก. บทว่า อิทฺธิคุณูปปนฺนา ความว่า
ประกอบไปด้วยอิทธิคุณ ๕ อย่าง. บทว่า อยิเร แปลว่า ในพระคุณเจ้า.
บทว่า เย ความว่า ข้าพเจ้าขอไหว้พวกท่านซึ่งเป็นผู้ประเสริฐสุด ในหมู่
มนุษย์ ในชีวโลกนี้.


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 08 ก.พ. 2019, 13:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
ท้าวสักกเทวราช ตรัสสรรเสริญหมู่ฤาษีอย่างนี้แล้ว เมื่อจะทรงหลีก
เสียซึ่งโทษแห่งการนั่ง ๖ อย่าง จึงประทับนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง. ลำดับนั้น
ท่านอนุสิสสดาบส เห็นท้าวสักกเทวราช ประทับนั่ง ณ ที่ใต้ลมแห่งหมู่ฤาษี
จึงกล่าวคาถาที่ ๖ ความว่า

กลิ่นแห่งฤาษีทั้งหลาย ผู้บวชมานาน ย่อมออก
จากกายฟุ้งไปตามลมได้ ดูก่อนท้าวสหัสสเนตร เชิญ
มหาบพิตรถอยไปเสียจากที่นี่ ดูก่อนท้าวเทวราช
กลิ่นของฤาษีไม่สะอาด.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า จิรทกฺขิตานํ ความว่า ของผู้บวชสิ้น
กาลนาน. บทว่า ปฏิกฺกมฺม ความว่า ขอพระองค์โปรดเสด็จหลีกไป คือ
โปรดถอยไปเสีย. บทว่า สหสฺสเนตฺต นี้ เป็นอาลปนะ. แท้จริง ท้าวสักกะ
ก็องค์เดียวนั่นเอง (แต่) ทรงเห็นเนื้อความที่อำมาตย์พันคนคิดกันแล้ว ฉะนั้น

จึงเรียกว่า ท้าวสหัสสเนตร. อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า ท้าวสหัสสเนตร เพราะ
เป็นผู้สามารถก้าวล่วงอุปจารแห่งการเห็น ของเหล่าเทวดาผู้มีเนตรพันดวง.
บทว่า อสุจิ ความว่า ชื่อว่า มีกลิ่นเหม็น เพราะอบอยู่ด้วยเหงื่อไคล และ
มลทินเป็นต้น อนึ่ง ท่านทั้งหลายเป็นผู้ใคร่ความสะอาด ด้วยเหตุนั้น กลิ่นนี้
ย่อมจะเบียดเบียนท่านทั้งหลาย.

ท้าวสักกเทวราช ทรงสดับดังนั้น จึงตรัสคาถาต่อไป ความว่า
กลิ่นแห่งฤาษีทั้งหลายผู้บวชมานาน จงออก
จากกายฟุ้งไปตามลมเถิด ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ
ข้าพเจ้าทั้งหลายย่อมมุ่งหวังกลิ่นนั้น ดังพวงบุปผชาติ
อันวิจิตรมีกลิ่นหอม เพราะว่าเทวดาทั้งหลาย มิได้มี
ความสำคัญในกลิ่นนี้ ว่าเป็นปฏิกูล.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า คจฺฉตุ ความว่า กลิ่นของพระฤาษี
ทั้งหลาย จงเป็นไปตามสะดวกเถิด. อธิบายว่า จงกระทบช่องจมูกของพวก
ข้าพเจ้าเถิด. บทว่า ปฏิกงฺขาม ความว่า พวกข้าพเจ้าต้องการคือปรารถนา.
บทว่า เอตฺถ ความว่า เทวดาทั้งหลายมิได้มีความสำคัญในกลิ่นนี้ว่าน่าเกลียด
เพราะพวกเทวดาทั้งหลายพากันรังเกียจคนทุศีลจำพวกเดียว หารังเกียจคนมี
ศีลไม่.


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 08 ก.พ. 2019, 13:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
ก็แลครั้นท้าวเทวราชกล่าวอย่างนี้แล้ว จึงตรัสว่า ข้าแต่ท่านอนุสิสส
ดาบสผู้เจริญ ข้าพเจ้ามาด้วยอุตสาหะใหญ่ เพื่อจะถามปัญหา ท่านโปรดทำ
โอกาสแก่ข้าพเจ้าด้วย. ท่านอนุสิสสดาบส ได้ฟังพระดำรัสของท้าวสักกะแล้ว
จึงลุกขึ้นจากอาสนะ เพื่อจะยังหมู่ฤาษีให้ทำโอกาส จึงกล่าวคาถาสองคาถา
ความว่า

ท้าวมฆวาฬ สุชัมบดีเทวราช องค์ปุรินททะ
ผู้เป็นใหญ่แห่งภูต มีพระยศ เป็นจอมแห่งทวยเทพ
ทรงย่ำยีหมู่อสูร ทรงรอคอยโอกาส เพื่อตรัสถามปัญหา.

บรรดาฤาษีผู้เป็นบัณฑิตเหล่านี้ ณ ที่นี้ ใคร
เล่าหนอถูกถามแล้วจักพยากรณ์ปัญหาอันสุขุมของ
พระราชาทั้ง ๓ พระองค์ ผู้เป็นใหญ่ในหมู่มนุษย์ และ
ของท้าววาสวะ ผู้เป็นจอมแห่งทวยเทพได้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปุรินฺทโท เป็นต้น เป็นคุณนามของ
ท้าวสักกะนั่นเอง. แท้จริง เพราะท้าวสักกะนั้นให้ทานในก่อน จึงชื่อปุรินททะ
เพราะเป็นใหญ่ในหมู่ภูตนิกาย จึงชื่อ ภูตบดี เพราะถึงพร้อมด้วยบริวารจึง
ชื่อว่า มียศ เพราะเป็นอิสระยิ่ง จึงชื่อเทวานมินทะ เพราะทรงกระทำวัตรบท

เจ็ดประการด้วยดี จึงชื่อสักกะ ชื่อมฆวะ ด้วยสามารถนามในชาติก่อน เพราะ
เป็นพระสวามีของนางสุชาดา อสุรกัญญา จึงชื่อสุชัมบดี เพราะยังใจของ
ทวยเทพให้ยินดี จึงชื่อเทวราช. บทว่า โกเนว ตัดบทออกเป็น โก นุ เอว

แปลว่า ก็ใครเล่าหนอ? บทว่า นิปุเณ ได้แก่ ปัญหาอันละเอียดสุขุม.
บทว่า รฺํ ได้แก่ ของพระราชาทั้งหลาย. อธิบายว่า อนุสิสสดาบสกล่าวว่า
บรรดาท่านฤาษีผู้เป็นบัณฑิตเหล่านี้ ใครจักยึดพระทัยของพระราชาทั้งสี่องค์
เหล่านี้ แล้วกล่าวแก้ปัญหาอันละเอียดสุขุมได้ ท่านทั้งหลายจงทราบถึงผู้ที่
สามารถเพื่อจะกล่าวแก้ปัญหาของพระราชาเหล่านั้นเถิด.


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 08 ก.พ. 2019, 13:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
หมู่ฤาษีได้ยินดังนั้น จึงกล่าวว่า ดูก่อนท่านอนุสิสสะ ผู้นิรทุกข์
ท่านยืนพูดอยู่บนแผ่นดิน เหมือนไม่เห็นแผ่นดิน เว้นท่านสรภังคศาสดาเสีย
แล้ว คนอื่นใครเล่าจักเป็นผู้สามารถ เพื่อจะแก้ปัญหาของพระราชาเหล่านั้น
ได้ ดังนี้แล้ว จึงกล่าวคาถา ความว่า

ท่านสรภังคฤาษีผู้เรืองตบะนี้ เว้นจากเมถุน-
ธรรมตั้งแต่เกิดมา เป็นบุตรของปุโรหิตาจารย์ ได้รับ
ฝึกฝนมาเป็นอย่างดี ท่านจักพยากรณ์ปัญหาของ
พระราชาเหล่านั้นได้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สรภงฺโค ความว่า พระฤาษียิงลูกธนู
แล้ว แสดงศิลปะ เช่น สรปาการศิลปะเป็นต้นในอากาศ แล้วทำให้แยกหัก
ไป ดุจยังลูกศรเหล่านั้นให้ตกไป โดยธนูลูกเดียวอีก ฉะนั้น จึงชื่อว่า สรภังคะ.
บทว่า เมถุนสฺมา ความว่า เว้นจากเมถุนธรรม. ได้ยินว่า ท่านยังมิได้เคย
เสพเมถุนธรรม มาบวชแล้ว. บทว่า อาจริยปุตฺโต ความว่า ท่านเป็นบุตร
ของปุโรหิต ผู้เป็นอาจารย์ของพระราชา.

ครั้นหมู่ฤาษีกล่าวอย่างนี้แล้ว จึงบอกอนุสิสสดาบสว่า ดูก่อนท่าน
ผู้นิรทุกข์ ท่านนั่นแหละจงไหว้ท่านศาสดา ขอให้ให้โอกาสเพื่อจะแก้ปัญหา
อันท้าวสักกเทวราชถาม ตามถ้อยคำของหมู่ฤาษี. ท่านอนุสิสสดาบสรับคำแล้ว
ไหว้ท่านศาสดาเมื่อจะขอโอกาส จึงกล่าวคาถาลำดับต่อไปว่า

ข้าแต่ท่านโกณฑัญญะ ขอท่านได้โปรดพยากรณ์
ปัญหา ฤาษีทั้งหลายผู้ยังประโยชน์ให้สำเร็จ พากัน
ขอร้องท่าน ข้าแต่ท่านโกณฑัญญะ ภาระนี้ย่อมมาถึง
ท่านผู้เจริญด้วยปัญญา ข้อนี้เป็นธรรมดาในหมู่มนุษย์.

พึงทราบวินิจฉัยในคาถานั้น ดังต่อไปนี้ อนุสิสสดาบสเรียกท่าน
สรภังคดาบส ว่า โกณฑัญญะ โดยโคตร. บทว่า ธมฺโม ได้แก่ สภาวธรรม.
บทว่า ยํ วุฑฺฒํ ความว่า อนุสิสสดาบสกล่าวว่า ชื่อว่า ภาระคือการวิสัชนา
ปัญหานี้ ย่อมมาถึงบุรุษผู้มีปัญญาอันเจริญ นั่นเป็นสภาวธรรมในหมู่มนุษย์
เพราะฉะนั้น ท่านโปรดแก้ปัญหาของท้าวเทวราชทำให้ปรากฏ เหมือนยัง
ดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ ให้ตั้งขึ้นพันดวงฉะนั้น.

ลำดับนั้น เมื่อพระมหาบุรุษจะกระทำโอกาส จึงกล่าวคาถาเป็นลำดับ
ต่อไป ความว่า


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 08 ก.พ. 2019, 13:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
มหาบพิตรผู้เจริญทั้งหลาย อาตมาภาพให้โอกาส
แล้ว เชิญตรัสถามปัญหาอย่างใดอย่างหนึ่ง ตาม
พระหฤทัยปรารถนาเถิด ก็อาตมาภาพรู้โลกนี้และโลก
หน้าด้วยตนเองแล้ว จักพยากรณ์ปัญหานั้น ๆ แก่
มหาบพิตรทั้งหลาย.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยํ กิฺจิ ความว่า ท่านสรภังคดาบส
ปวารณาซึ่งสัพพัญญูปวารณาว่า ท่านมหาบพิตรผู้เจริญทั้งหลาย เชิญตรัสถาม
ปัญหาที่ใจของพวกท่านปรารถนา หรือแม้ของมนุษยโลก พร้อมทั้งเทวโลก

ปรารถนากะเราเถิด เพราะเราทำให้แจ้งซึ่งโลกนี้และโลกหน้า ด้วยปัญญา
ตนเองแล้ว จักแก้ปัญหาทั้งหมดนั้น อันอาศัยโลกนี้ หรือโลกเบื้องหน้า
แก่ท่านทั้งหลาย ทั้งหมดโดยสิ้นเชิง.

เมื่อท่านสรภังคดาบสทำโอกาสอย่างนี้แล้ว ท้าวสักกเทวราชจึงตรัส
ถามปัญหาที่พระองค์เตรียมมา.
เมื่อจะทรงประกาศเนื้อความนั้น พระศาสดาจึงตรัสพระคาถา ความว่า

ลำดับนั้น ท้าวมฆวาฬสักกเทวราชปุรินททะ
ทรงเห็นประโยชน์ ได้ตรัสถามปัญหาอันเป็นปฐม
ดังที่พระทัยปรารถนาว่า

บุคคลฆ่าซึ่งอะไรสิ จึงจะไม่โศกเศร้าในกาล
ไหน ๆ ภาษีทั้งหลาย ย่อมสรรเสริญการละอะไร
บุคคลพึงอดทนคำหยาบ ที่ใคร ๆ ในโลกนี้กล่าวแล้ว
ข้าแต่ท่านโกณฑัญญะ ขอท่านได้โปรดบอกความข้อนี้
แก่โยมเถิด.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยฺจาสิ ความว่า ในปัญหานั้น สิ่งใด
เป็นข้อที่ทรงปรารถนาด้วยใจ ท้าวสักกเทวราชก็ตรัสถามสิ่งนั้น. บทว่า เอตํ
ความว่า ท้าวสักกเทวราชตรัสว่า ท่านโปรดบอกเนื้อความซึ่งข้าพเจ้าถามแล้ว
แก่ข้าพเจ้าเถิด. ท้าวสักกเทวราชตรัสถามปัญหาสามข้อ ด้วยพระคาถา ๑
คาถา.
เบื้องหน้าแต่นั้น เมื่อพระมหาสัตว์พยากรณ์ จึงกล่าวคาถา ความว่า


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 08 ก.พ. 2019, 13:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
บุคคลฆ่าความโกรธได้แล้ว จึงจะไม่เศร้าโศก
ในกาลไหน ๆ ฤาษีทั้งหลายย่อมสรรเสริญการละ
ความลบหลู่ บุคคลควรอดทนคำหยาบที่ชนทั้งปวง
กล่าว สัตบุรุษทั้งหลายกล่าวความอดทนนี้ ว่าสูงสุด.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โกธํ วธิตฺวา ความว่า บุคคลฆ่าความ
โกรธได้แล้ว. แท้จริง เมื่อคนเราจะเศร้าโศก ย่อมเศร้าโศกเพราะจิตมีปฏิฆะ
อย่างเดียว เพราะไม่มีความโกรธ ความโศกจะมีมาแต่ไหน? ด้วยเหตุนั้น
ท่านสรภังคดาบสจึงกล่าวว่า ย่อมไม่เศร้าโศกในกาลทุกเมื่อ. บทว่า มกฺขปฺป-

หานํ ความว่า ฤาษีทั้งหลายสรรเสริญการละเสียซึ่งความลบหลู่ อันมีการ
ลบหลู่คุณที่ผู้อื่นทำแล้วแก่ตนเป็นลักษณะ กล่าวคือความเป็นคนอกตัญญู.
บทว่า สพฺเพสํ ความว่า บุคคลควรอดทนคำหยาบคาย แม้ของคนทุก
ประเภท ทั้งคนชั้นต่ำ ชั้นกลาง และชั้นสูง. บทว่า สนฺโต ความว่า
โปราณกบัณฑิตทั้งหลายกล่าวไว้อย่างนี้.
ท้าวสักกเทวราช ตรัสถามเป็นคาถา ความว่า

บุคคลอาจจะอดทนถ้อยคำของคนทั้งสองจำพวก
ได้ คือคนที่เสมอกัน ๑ คนที่ประเสริฐกว่าตน ๑ จะ
อดทนถ้อยคำของคนเลวกว่าได้อย่างไรหนอ ข้าแต่
ท่านโกณฑัญญะ ขอท่านได้โปรดบอกความข้อนี้แก่
โยมเถิด.
ท่านสรภังคดาบส ทูลตอบเป็นคาถา ความว่า

บุคคลพึงอดทนถ้อยคำของคนผู้ประเสริฐกว่าได้
เพราะความกลัว พึงอดทนถ้อยคำของคนที่เสมอกันได้
เพราะการแข่งขันเป็นเหตุ ส่วนผู้ใดในโลกนี้ พึง
อดทนถ้อยคำของคนที่เลวกว่าได้ สัตบุรุษทั้งหลาย
กล่าวความอดทนของผู้นั้นว่าสูงสุด.

คาถาสองคาถา มีอาทิดังกล่าวมาแล้วอย่างนี้ พึงทราบว่าเกี่ยวเนื่องกัน
ด้วยสามารถแห่งการถามและการตอบ.


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 08 ก.พ. 2019, 13:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อกฺขาหิ เม ความว่า เมื่อท้าวสักกเทวราช
จะดำรัสถาม จึงตรัสอย่างนี้ว่า ข้าแต่ท่านโกณฑัญญโคตรผู้เจริญ ปัญหาสองข้อ
ท่านแก้ดีแล้ว ยังไม่จับใจของข้าพเจ้าอยู่ข้อเดียว คือคนเราสามารถจะอดกลั้น
ถ้อยคำของคนที่เลวกว่าตนได้อย่างไร ท่านโปรดบอกความข้อนั้นแก่ข้าพเจ้า.
บทว่า เอตํ ขนฺตึ ความว่า การอดทนต่อถ้อยคำของคนที่ต่ำกว่าโดยชาติ

และโคตรเป็นต้นอันใด โบราณกบัณฑิตทั้งหลายกล่าวการอดทนนั้นว่า สูงสุด.
ส่วนการอดทนต่อถ้อยคำของคนที่สูงกว่าด้วยชาติเป็นต้น เพราะกลัวต่อถ้อยคำ
ของคนเสมอกัน เพราะเห็นโทษในการแข่งดี อันมีการทำให้ยิ่งกว่าเป็นลักษณะ
นี้หาชื่อว่า อธิวาสนขันตีไม่.

เมื่อพระมหาสัตว์กล่าวอย่างนี้แล้ว ท้าวสักกเทวราช จึงตรัสกะพระ-
มหาสัตว์ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ทีแรกท่านพูดว่า คนเราควรอดทนคำหยาบคาย
ของคนทุกจำพวก โบราณกบัณฑิตกล่าวความอดทนนั้นว่า สูงสุดดังนี้ เดี๋ยวนี้
กลับพูดว่า ผู้ใดในโลกนี้ อดทนถ้อยคำของคนที่ต่ำกว่าได้ ท่านกล่าวความ
อดทนของผู้นั้นว่า สูงสุดดังนี้ คำของท่านที่มีในภายหลัง ไม่สมกับคำพูดที่มี

ในครั้งก่อน. ลำดับนั้น พระมหาสัตว์จึงกล่าวกะท้าวสักกะว่า ดูก่อนท้าวสักกะ
คำหลังอาตมากล่าวด้วยสามารถแห่งบุคคลผู้รู้ว่า ผู้นี้เป็นคนเลว แล้วอดกลั้น
คำหยาบของเขาได้ ก็เพราะความที่สัตว์ทั้งหลายเป็นผู้ประเสริฐเป็นต้น ใคร ๆ
ไม่สามารถจะรู้ได้เพียงเห็นรูปร่าง ฉะนั้นจึงกล่าวคำแรกไว้ เมื่อจะประกาศ

ความที่สัตว์ทั้งหลายเป็นผู้ประเสริฐเป็นต้น เป็นข้อรู้ได้ยาก ด้วยอาการเพียง
เห็นรูปร่าง เว้นแต่การอยู่ร่วมกันของสัตว์ทั้งหลาย จึงกล่าวคาถา ความว่า
ไฉนจึงจะรู้จักคนประเสริฐกว่า คนที่เสมอกัน
หรือคนที่เลวกว่า ซึ่งมีสภาพอันอิริยาบถ ๔ ปกปิดไว้
เพราะว่า สัตบุรุษทั้งหลาย ย่อมเที่ยวไปด้วยสภาพของ
คนชั่วได้ เพราะเหตุนั้นแล จึงควรอดทนถ้อยคำของ
คนทั้งปวง

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า จตุมฏฺฺ€รูปํ ได้แก่ มีสภาพอันปกปิด
ไว้ด้วยอิริยาบถ ๔. บทว่า วิรูปรูเปน ความว่า สัตบุรุษทั้งหลายผู้มีคุณ
อันสูงส่ง ย่อมเที่ยวไปโดยรูปแห่งบุคคลผู้ลามกผิดรูปได้. ก็ในความข้อนี้
ควรแสดงเรื่องของพระมัชฌันติกเถระ.


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 08 ก.พ. 2019, 13:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
ท้าวสักกเทวราชทรงสดับดังนั้นแล้ว หมดความเคลือบแคลงสงสัย
อาราธนาว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ท่านโปรดแสดงอานิสงส์แห่งความอดทนนี้
แก่พวกข้าพเจ้าเถิด. ลำดับนั้น พระมหาสัตว์จึงกล่าวคาถาแก่ท้าวสักกเทวราช
ความว่า

สัตบุรุษผู้มีความอดทน พึงได้ผลคือความไม่
กระทบกระทั่ง เพราะการสงบระงับเวร เสนาแม้มาก
พร้อมด้วยพระราชาเมื่อรบอยู่ จะพึงได้ผลนั้น ก็หา
มิได้ เวรทั้งหลายย่อมระงับด้วยกำลังแห่งขันติ.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เอตมตฺถํ ได้แก่ ผลกล่าวคือความไม่
กระทบกระทั่ง เพราะยังเวรให้สงบนั้น.
เมื่อพระมหาสัตว์กล่าวคุณแห่งขันติอย่างนี้แล้ว พระราชาเหล่านั้น

ทรงพระดำริว่า ท้าวสักกเทวราชตรัสถามแต่ปัญหาของตน จักไม่ให้โอกาส
ถามแก่พวกเรา. ลำดับนั้น ท้าวสักกเทวราช ทรงทราบอัธยาศัยของพระราชา
เหล่านั้น จึงงดปัญหาที่พระองค์เตรียมมาเสีย ๔ ข้อ เมื่อจะตรัสถามความสงสัย
ของพระราชาเหล่านั้น จึงตรัสคาถา ความว่า

ข้าพเจ้าขออนุโมทนาคำสุภาษิตของท่าน แต่จะ
ขอถามปัญหาอื่น ๆ กะท่าน ขอเชิญท่านกล่าวแก้ปัญหา
นั้น โดยมีพระราชา ๔ พระองค์ คือ พระเจ้าทัณฑกี ๑
พระเจ้านาลิกีระ ๑ พระเจ้าอัชชุนะ ๑ พระเจ้ากลาพุ
๑ ขอท่านได้โปรดบอกคติของพระราชาเหล่านั้น ผู้มี
บาปกรรมอันหนัก พระราชาทั้ง ๔ องค์นั้นเบียดเบียน
พระฤาษีทั้งหลาย พากันบังเกิด ณ ที่ไหน?

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อนุโมทยิมานา ความว่า ข้าพเจ้า
อนุโมทนาคำสุภาษิตนี้ของท่าน กล่าวคือการวิสัชนาปัญหา ๓ ข้อที่ข้าพเจ้า
ถามแล้ว. บทว่า ยถา อหู ความว่า พระราชาทั้ง ๔ ได้มีแล้ว (โดย
ประการใด). บทว่า กลาพุ จ ได้แก่ พระเจ้ากลาพุ ๑. บทว่า อถชฺชุโน
ได้แก่ พระเจ้าอัชชุนะ ๑.


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 08 ก.พ. 2019, 13:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
ลำดับนั้น พระมหาสัตว์ เมื่อจะวิสัชนาปัญหาของท้าวสักกเทวราช
ได้กล่าวคาถา ๕ คาถา ความว่า
ก็พระเจ้าทัณฑกี ได้เรี่ยรายโทษลงในท่านกีส-
วัจฉดาบสแล้ว เป็นผู้ขาดสูญมูลราก พร้อมทั้งอาณา
ประชาราษฎร์ พร้อมทั้งรัฐมณฑล หมกไหม้อยู่ใน
นรกชื่อกุกกุละ ถ่านเพลิงอันปราศจากเปลว ย่อมตก
ต้องกายของพระราชานั้น.

พระเจ้านาลิกีระพระองค์ใด ได้เบียดเบียนบรรพ-
ชิตทั้งหลาย ผู้สำรวมแล้ว ผู้กล่าวธรรม สงบระงับ
ไม่ประทุษร้ายใคร สุนัขทั้งหลายในโลกหน้า ย่อมรุม
กันกัดกินพระเจ้านาลิกีระนั้น ผู้ดิ้นรนอยู่.

อนึ่ง พระเจ้าอัชชุนะ เป็นผู้มีพระเศียรห้อยลง
เบื้องต่ำ มีพระบาทชี้ขึ้นเบื้องสูง ตกลงในสัตติสูลนรก
เพราะเบียดเบียนอังคีรสฤาษีผู้โคดม ผู้มีความอดทน
มีตบะ ประพฤติพรหมจรรย์มานาน.

พระราชาทรงพระนามว่า กลาพุ พระองค์ใด
ได้เชือดเฉือนพระฤาษีชื่อขันติวาที ผู้สงบระงับ ไม่-
ประทุษร้ายให้เป็นท่อน ๆ พระราชาพระนามว่า กลาพุ
พระองค์นั้น ได้บังเกิดหมกไหม้อยู่ในอเวจีนรก อัน
ร้อนใหญ่ มีเวทนาเผ็ดร้อนน่ากลัว.

บัณฑิตได้ฟังนรกเหล่านี้ และนรกเหล่าอื่น อัน
ชั่วช้ากว่านี้ ในที่นี้แล้ว ควรประพฤติธรรมในสมณ-
พราหมณ์ทั้งหลาย ผู้กระทำอย่างนี้ย่อมเข้าถึงแดน-
สวรรค์.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กีสํ ความว่า สรีระของท่านดาบสชื่อกีสะ
เพราะเป็นผู้มีเนื้อและเลือดน้อย. บทว่า อวกฺรีย ความว่า พระเจ้าทัณฑกีราช
เรี่ยราย คือลอยกลีโทษลงในสรีระของท่านกีสดาบส ด้วยการถ่มเขฬะ และ
ทิ้งไม้สีฟันให้ตกลงไป. บทว่า อุจฺฉินฺนมูโล แปลว่า เป็นผู้ขาดสูญมูลราก.
บทว่า สชโน แปลว่า พร้อมด้วยบริษัท. บทว่า กุกฺกุลนาเม นิรยมฺหิ


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 2685 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 73, 74, 75, 76, 77, 78, 79 ... 179  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร