วันเวลาปัจจุบัน 06 ส.ค. 2025, 20:17  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


อ่านนิทาน จากบอร์ดเก่า
http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=5



กลับไปยังกระทู้  [ 2685 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 84, 85, 86, 87, 88, 89, 90 ... 179  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.พ. 2019, 20:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
ความแห่งบาทคาถานั้นว่า พระมหาสัตว์กล่าวว่า บรรดาบทเหล่านั้น
บทว่า อภิกุชฺชิตํ ความว่า เราไม่เคยได้ยินเสียงที่สุนัขของพระองค์นี้ร้อง
ด้วยเสียงอันดังอย่างนี้เลย. บทว่า ทตฺโตว แปลว่า คล้ายไม่เคยรู้จักกัน.
บทว่า สภริยสฺส ความว่า เพราะมันได้ยินถ้อยคำของมหาบพิตรกับพระชายา
ตรัสบังคับให้อำมาตย์ ๕ คน เตรียมการเพื่อฆ่าอาตมภาพ จึงส่งเสียงเห่าอย่าง

เอ็ดอึง คล้ายกับว่าไม่เคยรู้จักกันว่า ท่านไม่ได้ภิกษาในที่อื่นหรือ พระราชา
ตรัสสั่งให้อำมาตย์ฆ่าท่าน ท่านอย่ามาในที่นี้เลย. บทว่า วีตสทฺธสฺส มํ ปติ
ความว่า สุนัขนั้น ได้ฟังถ้อยคำของมหาบพิตร ผู้หมดศรัทธาในระหว่างตัวเรา
จึงกล่าวอย่างนี้.

ในลำดับนั้น พระราชาทรงยอมพระองค์รับผิด เมื่อจะทรงให้พระ-
มหาสัตว์นั้นยกโทษ จึงตรัสคาถาที่ ๔ ว่า
ข้าแต่ท่านพราหมณ์ โทษที่ข้าพเจ้าทำแล้วนั้น
จริงตามที่ท่านกล่าว ข้าพเจ้านี้ ย่อมเลื่อมใสยิ่งนัก
ขอท่านจงอยู่เถิด อย่าเพิ่งไปเสียเลย ท่านพราหมณ์.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ภิยฺโย ความว่า ข้าพเจ้าได้สั่งบังคับไว้
อย่างนี้เป็นความจริง นี้เป็นความผิดของข้าพเจ้า ก็ข้าพเจ้านี้ เลื่อมใสท่าน
เป็นอย่างยิ่งในบัดนี้ ขอท่านจงอยู่ในที่นี้เหมือนเดิมเถิด อย่าไปในที่อื่นเลย
นะพราหมณ์.

พระมหาสัตว์ ได้ฟังคำนั้นแล้ว จึงทูลว่า ขอถวายพระพร ธรรมดาว่า
บัณฑิตทั้งหลาย ย่อมไม่อยู่ร่วมกับข้าศึกผู้ทำการงานโดยไม่พิจารณาให้รอบคอบ
เช่นอย่างพระองค์ ดังนี้ เมื่อจะประกาศอนาจารแด่พระราชานั้น จึงกล่าวเป็น
คาถาว่า

เมื่อก่อนข้าวสุกขาวล้วนภายหลังก็มีสิ่งอื่นเจือปน
บัดนี้แดงล้วน เวลานี้เป็นเวลาสมควรที่อาตมภาพจะ
หลีกไป อนึ่ง เมื่อก่อนอาสนะมีในภายใน ต่อมามีใน
ท่ามกลาง ต่อมามีข้างนอก ต่อมาก็จะถูกขับไล่ออกจาก
พระราชนิเวศน์ อาตมภาพของดเสียเองละ บุคคล
ไม่ควรคบหาคนที่ปราศจากศรัทธา เหมือนบ่อที่ไม่มี
น้ำ ฉะนั้น ถ้าแม้บุคคลจะพึงขุดบ่อน้ำนั้น บ่อนั้นก็
จะมีน้ำที่มีกลิ่นโคลนตม บุคคลควรคบคนที่เลื่อมใส
เท่านั้น ควรเว้นคนที่ไม่เลื่อมใส ควรเข้าไปนั่งใกล้


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ ความรู้จะมีมากขึ้น หากมิมากไปด้วยความเกียจคร้าน
+ อาหารยังมีเฉพาะแต่ละวัยฉันใด แม้พระธรรมคำสอนก็ฉันนั้น
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.พ. 2019, 20:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
คนที่เลื่อมใส เหมือนคนผู้ต้องการน้ำ เข้าไปหาห้วงน้ำ
ฉะนั้น ควรคบคนผู้คบด้วย ไม่ควรคบคนผู้ไม่คบด้วย
ผู้ใดไม่คบคนผู้คบด้วย ผู้นั้นชื่อว่ามีธรรมของอสัต-
บุรุษ ผู้ใดไม่คบคนผู้คบด้วย ไม่ซ่องเสพคนผู้ซ่องเสพ
ด้วย ผู้นั้นแลเป็นมนุษย์ชั่วช้าที่สุด เหมือนเนื้ออาศัย

กิ่งไม้ (ลิง) ฉะนั้น มิตรทั้งหลายย่อมแหนงหน่ายกัน
ด้วยเหตุ ๓ ประการนี้ คือ ด้วยการคลุกคลีกันเกินไป ๑
ด้วยการไม่ไปมาหากัน ๑ ด้วยการขอในเวลาไม่สมควร
๑ เพราะฉะนั้น บุคคลจึงไม่ควรไปมาหากันให้พร่ำ-
เพรื่อนัก ไม่ควรเหินห่างไปให้เนิ่นนาน และควรขอ
สิ่งที่ควรขอตามเหตุกาลที่สมควร ด้วยอาการอย่างนี้

มิตรทั้งหลาย จึงจะไม่แหนงหน่ายกัน คนที่รักกัน
ย่อมไม่เป็นที่รักกันได้ เพราะการอยู่ร่วมกันนานเกิน-
ควร อาตมภาพมิได้เป็นที่รักของมหาบพิตรมาแต่ก่อน
เพราะฉะนั้น อาตมภาพจึงขอลาไปก่อนละ.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สพฺพเสโต ความว่า ขอถวายพระพร
เฉพาะในวันก่อน ๆ ข้าวสุกของอาตมภาพในนิเวศน์ของพระองค์มีสีขาวล้วน
พระองค์เสวยข้าวสุกชนิดใด ก็พระราชทานข้าวสุกชนิดนั้น (แก่อาตมภาพ)
บทว่า ตโต ความว่า ภายหลังจากนั้น คือ แม้ในกาลที่พระองค์ทรงหน่าย

แหนงในอาตมภาพ เพราะทรงเชื่อถ้อยคำของคนที่ยุยง ข้าวสุกจึงมีสิ่งอื่นคลุก
ระคนปนอยู่ด้วย. บทว่า อิทานิ คือ บัดนี้ ข้าวสุกเกิดกลายเป็นสีแดงล้วน.
บทว่า กาโล ได้แก่ คราวนี้เป็นเวลาที่อาตมภาพจะต้องไปจากสำนักของ
พระองค์ผู้โง่เขลา. บทว่า อพฺภนฺตรํ ความว่า ในครั้งแรก อาสนะของ


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ ความรู้จะมีมากขึ้น หากมิมากไปด้วยความเกียจคร้าน
+ อาหารยังมีเฉพาะแต่ละวัยฉันใด แม้พระธรรมคำสอนก็ฉันนั้น
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.พ. 2019, 20:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
อาตมภาพมีอยู่ในภายใน คือ พวกเจ้าหน้าที่นิมนต์ให้อาตมภาพนั่งบนพระราช
บัลลังก์ ที่มีพื้นใหญ่อันประดับแล้ว มีเศวตฉัตรอันยกขึ้นแล้ว. บทว่า มชฺเฌ
คือ ที่เชิงบันได. บทว่า ปุรา นิทฺธมนา โหติ ความว่า จับคอเสือกไส
ออกไป. บทว่า อนุขเน ความว่า ถ้าบุรุษไปถึงหนองที่ไม่มีน้ำ เมื่อไม่

เห็นน้ำ จึงคุ้ยเปือกตมขุดขึ้น แม้จะทำถึงขนาดนั้น หนองนั้น ก็คงยังมีแต่
กลิ่นตมของน้ำ ดื่มกินไม่ได้ เพราะไม่เป็นที่ชอบใจ ฉันใด แม้ปัจจัยที่บุคคล
เข้าไปหาผู้ปราศจากศรัทธาแล้วได้มา จึงเป็นของน้อยและเศร้าหมอง ไม่เป็น
ที่น่าชอบใจ ไม่สมควรที่จะบริโภค. บทว่า ปสนฺนํ คือ มีศรัทธาตั้งมั่นแล้ว
บทว่า รหทํ คือ ห้วงน้ำใหญ่ที่ลึก. บทว่า ภชนฺตํ ความว่า บุคคลควร

คบผู้ที่คบตนเท่านั้น บทว่า อภชนฺตํ คือ ผู้เป็นข้าศึก บทว่า น ภชฺชเย
แปลว่า ไม่พึงคบหา. บทว่า น ภชฺชติ ความว่า บุรุษใดไม่คบหาบุคคล
ผู้คบตนซึ่งมีจิตคิดหวังประโยชน์ บุรุษนั้น ชื่อว่ามีธรรมของอสัตบุรุษ. บทว่า
มนุสฺสปาปิฏฺโ€ ได้แก่ มนุษย์ลามก มนุษย์ขี้ทูด คือ มนุษย์ชั้นต่ำ
บทว่า สาขสฺสิโต คือ ลิง. บทว่า อจฺจาภิกฺขณสํสคฺคา คือ ด้วยความ

คลุกคลีกันมากเกินไป. บทว่า อกาเล ความว่า มิตรทั้งหลาย ชื่อว่าย่อม
หน่ายแหนงกัน ด้วยการขอของรักของคนอื่น ในกาลที่ยังไม่ถึงเวลาอันสมควร
เพราะการอยู่ร่วมกันนานเกินไป ถึงพระองค์ก็ยังหมดความเมตตาในอาตมภาพ.
บทว่า ตสฺมา ความว่า เพราะมิตรทั้งหลาย ย่อมแตกแยกกันด้วยการคลุกคลี
กันเกินไป และด้วยการเหินห่างกันไป. คำว่า จิราจิรํ ความว่า ไม่ปล่อย

เวลาให้ล่วงเลยไปเสียจนนานแล้ว จึงไปหากัน. บทว่า ยาจํ ความว่า ไม่ควรขอ
สิ่งที่สมควรขอ ในเวลาอันไม่สมควร. บทว่า น ชีรเร ความว่า มิตรทั้งหลาย
ย่อมไม่แตกแยกกัน ด้วยอาการอย่างนี้. บทว่า ปุรา เต โหม ความว่า
ตลอดเวลาที่เรามาแล้ว ยังไม่เป็นที่รักของท่าน เราก็จะขอไปอย่างนี้.


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ ความรู้จะมีมากขึ้น หากมิมากไปด้วยความเกียจคร้าน
+ อาหารยังมีเฉพาะแต่ละวัยฉันใด แม้พระธรรมคำสอนก็ฉันนั้น
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.พ. 2019, 20:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
พระราชา ตรัสว่า
ถ้าพระคุณเจ้าไม่รับทราบอัญชลี ของสัตว์ผู้เป็น
บริวารมาอ้อนวอนอยู่อย่างนี้ ไม่กระทำตามคำขอร้อง
ของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าวิงวอนพระคุณเจ้าถึงเพียงนี้ ขอ
พระคุณเจ้า โปรดกลับมาเยี่ยมอีก.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า นาวพุชฺฌสิ ความว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ
ถ้าท่านไม่ยอมรับรู้ คือ ไม่ยอมรับอัญชลีที่ข้าพเจ้าวิงวอนกระทำอยู่แล้วอย่างนี้.
บทว่า ปริยายํ ความว่า พระราชา ตรัสวิงวอนว่า ขอท่านพึงหาโอกาสว่าง
สักครั้งหนึ่ง เพื่อมาเยี่ยมในที่นี้อีก.
พระโพธิสัตว์ ทูลว่า

ดูก่อนมหาบพิตรผู้ผดุงรัฐ ถ้าเมื่อเราทั้งหลายอยู่
อย่างนี้ อันตรายจักไม่มี แม้ไฉนเราทั้งหลาย พึงเห็น
การล่วงไปแห่งวันและคืนของมหาบพิตร และของ
อาตมภาพ.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เอวญฺเจ โน ความว่า พระโพธิสัตว์
แสดงว่า ดูก่อนมหาบพิตร ถ้าว่าอันตรายจักไม่มีแก่เราทั้งสองผู้แยกกันอยู่
อย่างนี้ ชีวิตของพระองค์หรือของอาตมภาพก็จักยืนยาว. บทว่า ปสฺเสม
ความว่า พวกเราพึงเห็นโดยแท้.

พระมหาสัตว์ พอกล่าวอย่างนี้เสร็จแล้ว แสดงธรรมแก่พระราชาแล้ว
จึงทูลว่า ดูก่อนมหาบพิตร ขอพระองค์จงอย่าทรงประมาทเลย ดังนี้แล้ว
ออกจากอุทยานเที่ยวภิกขาจารไปในสถานที่อันมีส่วนเสมอกันแห่งหนึ่ง ออกจาก
เมืองพาราณสีแล้ว ถึงหิมวันตประเทศโดยลำดับ พักอยู่สิ้นกาลเล็กน้อยแล้ว

กลับมาอยู่ในป่าอาศัยบ้านปัจจันตคามแห่งหนึ่ง. นับแต่เวลาที่พระมหาสัตว์นั้น
ไปแล้ว พวกอำมาตย์เหล่านั้น ก็ได้พากันนั่ง ณ ที่โรงวินิจฉัยอีก กระทำการ
เบียดเบียน พากันคิดว่า ถ้ามหาโพธิปริพาชกจักกลับมาอีก ชีวิตของพวกเรา
คงไม่มีแน่ พวกเราควรทำเหตุที่จะให้ปริพาชกนั้นไม่กลับมาอีกอย่างไรดีหนอ.


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ ความรู้จะมีมากขึ้น หากมิมากไปด้วยความเกียจคร้าน
+ อาหารยังมีเฉพาะแต่ละวัยฉันใด แม้พระธรรมคำสอนก็ฉันนั้น
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.พ. 2019, 20:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
ลำดับนั้น พวกเขาจึงปรึกษากันว่า ธรรมดาสัตว์ทั้งหลายเหล่านี้ ย่อมไม่
สามารถจะละถิ่นฐานที่ตนติดอยู่ได้ ถิ่นฐานที่มหาโพธิปริพาชกนั้น ติดอยู่ใน
ที่นี้คืออะไรหนอ. ต่อจากนั้น พวกอำมาตย์ก็ทราบได้ว่า คงเป็นพระอัคร-
มเหสีของพระราชาเป็นแน่ จึงปรึกษากันว่า ข้อที่มหาโพธิปริพาชกนั้น พึงมา
เพราะอาศัยพระอัครมเหสี นี้เป็นฐานะที่จะมีได้ พวกเราจักรีบฆ่าพระอัครมเหสี

นั้นเสียโดยเร็ว. พวกอำมาตย์เหล่านั้น จึงพากันกราบทูลเนื้อความนี้แด่พระ-
ราชาว่า หลายวันมานี้ พวกข้าพระองค์ได้ยินเรื่องเรื่องหนึ่ง. พระราชาตรัส
ถามว่า เรื่องอะไรกัน ? พวกอำมาตย์ กราบทูลเท็จว่า เล่าลือกันว่า มหา-
โพธิปริพาชกและพระราชเทวี ส่งข่าวสาสน์โต้ตอบกันไปมาเสมอ พระราชา

ตรัสถามว่า ข่าวสาสน์นั้นสั่งให้ทำอะไร ? พวกอำมาตย์ กราบทูลว่า ทราบว่า
มหาโพธิปริพาชกนั้น ส่งข่าวสาสน์มาถึงพระราชเทวีว่า เธออาจที่จะปลง
พระชนม์พระราชาให้ตายด้วยกำลังของตน แล้วยกเศวตฉัตรให้แก่เราได้หรือไม่
ส่วนพระเทวีนั้นเล่า ก็ส่งข่าวสาสน์ตอบไปถึงมหาโพธิปริพาชกนั้นว่า การปลง

พระชนม์พระราชาเป็นภาระของฉัน ขอให้มหาโพธิปริพาชกรีบมาเร็วเถิด.
เมื่อพวกอำมาตย์เหล่านั้น กราบทูลอยู่บ่อย ๆ พระราชา ก็ทรงเชื่อ จึงตรัสสั่ง
ถามว่า บัดนี้ พวกเราจะพึงทำอย่างไรกันดี พวกอำมาตย์จึงกราบทูลว่าควร
ตรัสสั่งให้ปลงพระชนม์พระเทวีเสียดังนี้ ไม่ทันได้ทรงใคร่ครวญ ตรัสสั่งด่วน

ว่า ถ้าอย่างนั้น พวกท่านจงฆ่าเธอเสีย แล้วสับให้เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย โยน
มันลงไปในหลุมคูถ. พวกอำมาตย์เหล่านั้น ทำการตามรับสั่งแล้ว ความที่
พระราชาเทวีถูกปลงพระชนม์ ได้ปรากฏเลื่องลือไปในพระนครทั้งสิ้น.


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ ความรู้จะมีมากขึ้น หากมิมากไปด้วยความเกียจคร้าน
+ อาหารยังมีเฉพาะแต่ละวัยฉันใด แม้พระธรรมคำสอนก็ฉันนั้น
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.พ. 2019, 20:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
ครั้งนั้น พระราชโอรส ๔ พระองค์ของพระราชเทวีนั้นทรงทราบว่า
พระบิดา มีรับสั่งให้ปลงพระชนม์พระมารดาของพวกเราผู้หาความผิดมิได้เสีย
ดังนี้ จึงได้เป็นศัตรูต่อพระราชา พระราชาได้เป็นผู้ประสบภัยอย่างใหญ่หลวง.
พระมหาสัตว์ ได้ทราบเรื่องราวนั้น โดยเล่ากันเป็นทอด ๆ มา จึงดำริว่า
เว้นจากเราเสียแล้ว คนอื่นชื่อว่าสามารถที่จะให้พระกุมารเหล่านั้นยินยอมให้

พระบิดาทรงอดโทษให้ ไม่มีเลย เราจักช่วยชีวิตพระราชา และจักเปลื้อง
พระกุมารให้พ้นจากบาป. ในวันรุ่งขึ้น ท่านจึงเข้าไปยังปัจจันตคาม ฉันเนื้อ
วานรที่พวกมนุษย์นำมาถวายแล้ว ขอหนังวานรนั้น นำเอามาตากแห้งไว้ที่
อาศรม ทำจนหมดกลิ่นแล้ว ใช้นุ่งบ้าง ห่มบ้าง พาดบ่าบ้าง. ถามว่า
การที่พระมหาสัตว์ทำดังนั้น เพราะเหตุไร ? ตอบว่า การที่ทำดังนั้น ก็เพราะ

เพื่อประสงค์จะตอบผู้คนว่า วานรตัวนี้ มีอุปการะมากแก่เรา พระมหาสัตว์
ถือเอาหนังวานรนั้นไปยังเมืองพาราณสีโดยลำดับ แล้วเข้าไปหาพระกุมาร
ทั้งหลาย ทูลตักเตือนว่า ขึ้นชื่อว่า กรรมคือการฆ่าพระบิดา เป็นกรรมที่
ร้ายแรงทารุณ พวกท่านไม่สมควรกระทำกรรมนั้นเลย ธรรมดาว่าสัตว์ที่จะ

ไม่แก่ไม่ตายเป็นไม่มี เรามาแล้ว (ในที่นี้) ก็ด้วยความหวังว่า จักไกล่เกลี่ย
ให้พวกท่านมีความสามัคคีกันและกันไว้ พอเราส่งข่าวสาสน์ไป พวกท่านพึง
พากันมา พอสอนพระกุมารเสร็จแล้ว จึงเข้าไปสู่พระราชอุทยาน ภายใน
พระนคร ลาดหนังวานรลงแล้ว นั่งบนแผ่นหิน ในขณะนั้น คนเฝ้าสวน
พอเห็นท่านก็รีบไปกราบทูลแด่พระราชา. พระราชา ทรงสดับข่าวนั้นแล้ว

ก็ทรงบังเกิดความโสมนัส จึงพาอำมาตย์ทั้ง ๕ คนนั้นไปในที่นั้น ทรงนมัสการ
พระมหาสัตว์แล้วประทับนั่ง ปรารภจะทำปฏิสันถาร. ส่วนพระมหาสัตว์ มิได้
รื่นเริงกับพระราชานั้น ลูบคลำหนังวานรเฉยเสีย. ลำดับนั้น พระราชาจึงตรัส
กะพระมหาสัตว์นั้นอย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญ ท่านไม่ยอมพูดจากับข้าพเจ้า มัว

ลูบคลำหนังวานรอยู่ได้ หนังวานรของท่านมีอุปการะมากกว่าข้าพเจ้าหรือ
พระมหาสัตว์ ทูลว่า เป็นเช่นนั้น มหาบพิตร วานรนี้มีอุปการะมากแก่เรา
เรานั่งบนหลังของมันเที่ยวไป วานรนี้นำหม้อน้ำมาให้แก่เรา กวาดที่อยู่ให้เรา


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ ความรู้จะมีมากขึ้น หากมิมากไปด้วยความเกียจคร้าน
+ อาหารยังมีเฉพาะแต่ละวัยฉันใด แม้พระธรรมคำสอนก็ฉันนั้น
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.พ. 2019, 20:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
ได้ทำอภิสมาจาริกวัตรปฏิบัติแก่เรา แต่เรากลับกินเนื้อของมันเสียแล้ว เอา
หนังตากให้แห้งไว้ปูนั่งบ้าง ปูนอนบ้าง เพราะว่าตนมีใจทุรพล วานรนี้มี
อุปการะมากแก่เราอย่างนี้. พระมหาสัตว์ ยกหนังวานรและวานรขึ้นกล่าวเป็น
โวหาร เพื่อต้องการจะทำลายวาทะของอำมาตย์เหล่านั้น อาศัยปริยายนั้น ๆ
จึงกล่าวถ้อยคำนี้ ด้วยประการฉะนี้ จริงอยู่ พระมหาสัตว์นั้นกล่าวว่า เรา

นั่งบนหลังมันเที่ยวไป เพราะท่านเคยนุ่งห่มหนังของมัน. ท่านกล่าวว่า มันนำ
หม้อน้ำมาให้ เพราะท่านเอาหนังของมันพาดบนบ่าแล้วแบกหม้อน้ำมา. ท่าน
กล่าวว่า มันกวาดที่อยู่ให้ เพราะท่านเคยเอาหนังนั้นปัดพื้น. ท่านกล่าวว่า

มันทำวัตรปฏิบัติแก่เรา เพราะหลังถูกหนังนั้นในเวลานอน และถูกเท้าในเวลา
เหยียบ. ท่านกล่าวว่า แต่เรากลับกินเนื้อของมันเสีย เพราะตนมีใจทุรพล
เพราะท่านได้เนื้อของมันมาแล้วบริโภคในเวลาหิว.

พวกอำมาตย์เหล่านั้น ได้ฟังคำนั้นแล้ว มีความสำคัญว่า ท่านกระทำ
ปาณาติบาตแล้ว จึงพากันปรบมือทำการหัวเราะเยาะว่า ดูก่อนท่านผู้เจริญ
พวกท่านจงดูกรรมของบรรพชิตเถิด ได้ยินแล้วใช่ไหมว่า บรรพชิตนี้ ฆ่าลิง
กินแล้ว ยังถือเอาหนังเที่ยวไป (อีก) พระมหาสัตว์ เห็นพวกอำมาตย์เหล่านั้น

กระทำการเช่นนั้น จึงคิดว่า พวกอำมาตย์เหล่านี้ยังไม่รู้ว่า เราเอาหนังวานรมา
เพื่อต้องการจะทำลายวาทะของตน เราจักให้พวกเขารู้เสียบ้าง ขั้นแรกจึงเรียก
อำมาตย์อเหตุกวาทีมาแล้ว ถามว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุ ท่านหัวเราะเยาะเรา

เพราะเหตุไร เขาตอบว่า เพราะท่านกระทำกรรมคือการประทุษร้ายต่อมิตร
และยังกระทำปาณาติบาตด้วย.


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ ความรู้จะมีมากขึ้น หากมิมากไปด้วยความเกียจคร้าน
+ อาหารยังมีเฉพาะแต่ละวัยฉันใด แม้พระธรรมคำสอนก็ฉันนั้น
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.พ. 2019, 20:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
ลำดับนั้น พระมหาสัตว์คิดว่า ก็บุคคลใดเชื่อถืออำมาตย์เหล่านั้น
ด้วยคติและด้วยทิฏฐิแล้วทำตามอย่างนั้น จะมีอะไรที่จะพึงกล่าวว่า บุคคลนั้น
กระทำความชั่ว ดังนี้ เมื่อจะทำลายวาทะของอเหตุกวาทีของอำมาตย์นั้น จึง
กล่าวเป็นคาถาว่า

ถ้าถ้อยคำของท่านเป็นไปตามคติที่ดี และตาม
สภาพ สัตว์กระทำกรรม ที่ไม่ควรทำบ้าง ที่ควรทำบ้าง
เพราะความไม่ใคร่ในกรรมที่สัตว์กระทำ สัตว์อะไร
ในโลกนี้ จะเปื้อนด้วยบาปเล่า ถ้าเนื้อความแห่งภาษิต

ของท่านนั้นเป็นอรรถเป็นธรรม และเป็นถ้อยคำงาม
ไม่ชั่วช้า ถ้าถ้อยคำของท่านเป็นความจริง ลิงก็เป็น
อันเราฆ่าดีแล้ว ถ้าท่านรู้ความผิดแห่งวาทะของตน
ก็จะไม่พึงติเตียนเราเลย เพราะว่าวาทะของท่านเป็น
เช่นนั้น.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อุทีรณา แปลว่า ถ้อยคำ. บทว่า
สงฺคตฺยา ได้แก่ ทางไปที่ดี คือด้วยการเข้าถึงอภิชาตินั้น ๆ ในบรรดาอภิชาติ
ทั้ง ๖ อย่าง. บทว่า ภาวายมนุวตฺตติ ความว่า ย่อมเป็นไปตามภาวะ
เป็นสัมปทานะ ใช้ในอรรถแห่งกรณะ. บทว่า อกามา คือ ไม่มีความปรารถนา

ไม่มีความอยากได้. บทว่า อกรณียํ วา ได้แก่ ความชั่วเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ
บทว่า กรณียํ วา ได้แก่ กุศลเป็นสิ่งที่ควรทำ. บทว่า กุพฺพติ แปลว่า
ย่อมกระทำ. คำว่า กฺวิธ ตัดบทเป็น โก อิธ แปลว่า ใครในโลกนี้
มีคำที่ท่านกล่าวอธิบายไว้ว่า ท่านเป็นอเหตุวาที เป็นผู้มีความเห็นเป็นต้นว่า

ไม่มีเหตุ ไม่มีปัจจัย เพื่อความเศร้าหมองแห่งสัตว์ทั้งหลาย ดังนี้ จึงกล่าวว่า
โลกนี้ ย่อมเปลี่ยนไป คือ ย่อมแปรไปตามคติที่ดี และตามสภาพ เสวยสุข
และทุกข์ในที่นั้น ๆ และสัตว์ผู้ไม่มีความใคร่ ย่อมทำบาปบ้าง บุญบ้าง ด้วยว่า
คำของท่านนี้ ถ้าเป็นเช่นนั้น เมื่อบาปที่สัตว์ทำด้วยไม่มีความใคร่ (ในบาป)
มีอยู่ หากเป็นไปอยู่ตามธรรมดาของตน สัตว์อะไร ในโลกนี้ ย่อมเปื้อน
ด้วยบาป. ก็ถ้าสัตว์ ย่อมเปื้อนด้วยบาปที่ตนมิได้กระทำแล้ว ใคร ๆ ไม่พึง


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ ความรู้จะมีมากขึ้น หากมิมากไปด้วยความเกียจคร้าน
+ อาหารยังมีเฉพาะแต่ละวัยฉันใด แม้พระธรรมคำสอนก็ฉันนั้น
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.พ. 2019, 20:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
เปื้อนด้วยบาปไม่มีเลย. บทว่า โส เจ อธิบายว่า เนื้อความแห่งภาษิต
ของท่าน คือวาทะที่ว่าไม่มีเหตุนั้น ถ้าเป็นเนื้อความที่มีประโยชน์ ส่องถึง
ประโยชน์ เป็นธรรมเป็นเนื้อความที่ดีไม่ชั่วช้า ถ้าถ้อยคำของท่านผู้เจริญที่ว่า
สัตว์ทั้งหลายไม่มีเหตุ ไม่มีปัจจัย ย่อมเศร้าหมองเอง ย่อมเสวยสุขและทุกข์เอง

นี้เป็นความจริง วานรก็เป็นอันเราฆ่าดีแล้ว โทษอะไรในข้อนี้จะพึงมีแก่เรา
บทว่า วิชานิย ความว่า ดูก่อนสหาย ก็ถ้าท่านพึงรู้ถึงความผิดแห่งวาทะ
ของตนไซร้ ท่านก็ไม่พึงติเตียนเรา ถามว่า เพราะเหตุไร ? ตอบว่า เพราะว่า
วาทะของท่านผู้เจริญเป็นเช่นนั้น เพราะฉะนั้น ท่านพึงสรรเสริญเราว่า ผู้นี้
ทำตามวาทะของเรา แต่เมื่อไม่รู้วาทะของตน ก็ย่อมติเตียนเรา.

พระมหาสัตว์ ข่มปราบอำมาตย์นั้น ได้ทำให้เป็นคนหมดปฏิภาณ
ด้วยประการฉะนี้. แม้พระราชาพระองค์นั้น ก็ทรงเก้อเขินในท่ามกลางบริษัท
ประทับนั่งพระศอตกอยู่. แม้พระมหาสัตว์ พอทำลายวาทะแห่งอเหตุวาทีอำมาตย์
นั้นแล้ว จึงเรียกอิสรกรณวาทีอำมาตย์มาแล้ว ซักถามว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุ
ท่านหัวเราะเยาะเรา เพราะเหตุไร ถ้าว่าท่านแสดงวาทะว่า สิ่งทั้งปวง พระ-
เป็นเจ้าสร้างให้โดยความเป็นสาระ ดังนี้แล้ว จึงกล่าวเป็นคาถาว่า

ถ้าว่าพระเป็นเจ้าสร้างชีวิต สร้างฤทธิ์ สร้างความ
พินาศ สร้างกรรมดี และกรรมชั่ว ให้แก่ชาวโลก
ทั้งหมดไซร้ บุรุษผู้กระทำตามคำสั่งของพระเป็นเจ้า
ก็ย่อมทำบาปได้ พระเป็นเจ้าย่อมเปื้อนด้วยบาปนั้นเอง
ถ้าเนื้อความแห่งภาษิต ของท่านเป็นอรรถเป็นธรรม

และเป็นถ้อยคำงาม ไม่ชั่วช้า ถ้าถ้อยคำของท่านเป็น
ความจริง ลิงก็เป็นอันเราฆ่าดีแล้ว ถ้าท่านรู้ความผิด
แห่งวาทะของตน ก็จะไม่พึงติเตียนเราเลย เพราะว่า
วาทะของท่านเป็นเช่นนั้น.


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ ความรู้จะมีมากขึ้น หากมิมากไปด้วยความเกียจคร้าน
+ อาหารยังมีเฉพาะแต่ละวัยฉันใด แม้พระธรรมคำสอนก็ฉันนั้น
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.พ. 2019, 20:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กปฺเปติ ชีวิตํ ความว่า ถ้าว่าพระพรหม
หรือพระเป็นเจ้าองค์อื่น จะจัดแจงตรวจตราชีวิตให้แก่ชาวโลกทั้งหมดอย่างนี้ว่า
ท่านจงเลี้ยงชีพด้วยการไถนา ท่านจงเลี้ยงชีพด้วยการเลี้ยงโค ดังนี้เป็นต้น
บทว่า อิทฺธึ พฺยสนภาวญฺจ อธิบายว่า ถ้าพระเป็นเจ้าสร้าง คือทำฤทธิ์

ต่างประเภท มีความเป็นใหญ่เป็นต้น สร้างความพินาศ มีความพินาศแห่ง
หมู่ญาติเป็นต้น และสร้างกรรมดีกรรมชั่วที่เหลือทั้งหมด. บทว่า นิทฺเทสการี
ความว่า ถ้าว่าบุรุษคนใดคนหนึ่งที่เหลือ กระทำตามคำสั่ง คือ คำบังคับ

ของพระเป็นเจ้านั้น เมื่อเป็นเช่นนั้น ใคร ๆ ก็ย่อมทำบาปได้ พระเป็นเจ้า
เท่านั้น ย่อมรับบาปนั้นเสียเอง เพราะพระเป็นเจ้ากระทำบาปนั้น คำที่เหลือ
พึงทราบโดยนัยก่อน อนึ่ง พึงทราบข้อความในที่ทั้งหมดเหมือนในที่นี้เถิด.

พระมหาสัตว์ ครั้นทำลายอิสรกรณวาทะ ได้ด้วยอิสรกรณะนั้น
นั่นแล ดุจบุคคลเอากิ่งมะม่วงขว้างผลมะม่วงให้หล่นลงมาจากต้น ด้วยประการ
ฉะนี้แล้ว จึงเรียกหาให้ปุพเพกตวาทีอำมาตย์เข้ามาแล้วกล่าวว่า ดูก่อนท่าน
ผู้มีอายุ ท่านหัวเราะเยาะเรา เพราะเหตุไร ถ้าท่านสำคัญว่า ปุพเพกตวาทะ
เป็นความจริง ดังนี้แล้ว จึงกล่าวเป็นคาถาว่า

ถ้าสัตว์ย่อมเข้าถึงความสุขและความทุกข์ เพราะ
เหตุแห่งกรรมที่กระทำไว้แล้วในปางก่อน กรรมเก่าที่
กระทำไว้แล้ว เขาย่อมเปลื้องหนี้นั้นได้ ทางพ้นจาก
หนี้เก่ามีอยู่ ใครเล่าในโลกนี้จะเปื้อนด้วยบาป ถ้า
เนื้อความแห่งภาษิตของท่าน เป็นอรรถเป็นธรรม

และเป็นถ้อยคำงาม ไม่ชั่วช้า ถ้าถ้อยคำของท่านเป็น
ความจริง ลิงก็เป็นอันเราฆ่าดีแล้ว ถ้าท่านรู้ความผิด
แห่งวาทะของตน ก็จะไม่พึงติเตียนเราเลย เพราะว่า
วาทะของท่านเป็นเช่นนั้น


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ ความรู้จะมีมากขึ้น หากมิมากไปด้วยความเกียจคร้าน
+ อาหารยังมีเฉพาะแต่ละวัยฉันใด แม้พระธรรมคำสอนก็ฉันนั้น
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.พ. 2019, 20:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปุพฺเพกตเหตุ ได้แก่ เพราะเหตุที่ได้
กระทำกรรมไว้ในปางก่อน คือ เพราะการกระทำกรรมที่ตนได้กระทำไว้แล้ว
ในภพก่อนแน่นอน. บทว่า ตเมโส มุญฺจเต อิณํ ความว่า ผู้ใดย่อมถึง
ความทุกข์ โดยการถูกฆ่าและถูกจองจำเป็นต้น ถ้าผู้นั้น ย่อมเปลื้องหนี้ คือ

บาปเก่าที่เขาได้ทำไว้แล้วนั้นในบัดนี้ เมื่อเป็นเช่นนี้ แม้เราก็มีทางพ้นจากหนี้
เก่านั้น ใครเล่า ในโลกนี้จะเปื้อนด้วยบาป เปรียบเหมือนเราเป็นลิง ถูกลิง
ตัวนั้นซึ่งเป็นปริพาชกมาก่อนฆ่ากินเสีย ปริพาชกนั้นกลับมาเป็นลิงในอัตภาพ
นี้ ก็จักถูกเราผู้กลับมาเป็นปริพาชกฆ่ากินเสียเหมือนกัน ฉะนั้น.

พระมหาสัตว์ ครั้นทำลายวาทะของปุพเพกตวาทีอำมาตย์ แม้นั้น
ด้วยประการฉะนี้แล้ว จึงเรียกอุจเฉทวาทีอำมาตย์มาตรงหน้าแล้ว กล่าวขู่ว่า
ดูก่อนท่านผู้มีอายุ ท่านกล่าวคำเป็นต้นว่า ทานที่บุคคลให้แล้วไม่มีผล ดังนี้

และยังสำคัญอยู่ว่า สัตว์ทั้งหลาย ย่อมขาดสูญในโลกนี้เท่านั้น ขึ้นชื่อว่า
สัตว์ผู้ไปสู่ปรโลกไม่มีเลย ท่านหัวเราะเยาะเรา เพราะเหตุไร ดังนี้แล้ว จึง
กล่าวเป็นคาถาว่า

รูปของสัตว์ทั้งหลาย ย่อมเป็นอยู่ได้เพราะ
อาศัยธาตุ ๔ เท่านั้น ก็รูปเกิดจากสิ่งใด ย่อมเข้าถึง
ในสิ่งนั้นอย่างเดิม ชีพย่อมเป็นอยู่ในโลกนี้เท่านั้น
ละไปแล้ว ย่อมพินาศในโลกหน้า โลกนี้ขาดสูญ เมื่อ
โลกขาดสูญอยู่อย่างนี้ ชนเหล่าใด ทั้งที่เป็นพาล ทั้งที่

เป็นบัณฑิต ชนเหล่านั้น ย่อมขาดสูญทั้งหมด ใครเล่า
ในโลกนี้จะเปื้อนด้วยบาป ถ้าเนื้อความแห่งภาษิต
ของท่านเป็นอรรถเป็นธรรม และเป็นถ้อยคำงาม ไม่
ชั่วช้า ถ้าถ้อยคำของท่านเป็นความจริง ลิงก็เป็นอัน
เราฆ่าดีแล้ว ถ้าท่านรู้ความผิดแห่งวาทะของตน ก็จะ


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ ความรู้จะมีมากขึ้น หากมิมากไปด้วยความเกียจคร้าน
+ อาหารยังมีเฉพาะแต่ละวัยฉันใด แม้พระธรรมคำสอนก็ฉันนั้น
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.พ. 2019, 20:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
ไม่พึงติเตียนเราเลย เพราะว่าวาทะของท่านเป็น
เช่นนั้น.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า จตุนฺนํ ได้แก่ ภูตรูปทั้ง ๔ มีปฐวีธาตุ
เป็นต้น. บทว่า รูปํ ได้แก่ รูปขันธ์. บทว่า ตตฺเถว ความว่า รูปนั้น
ย่อมเกิดขึ้นจากสิ่งใด แม้ในเวลาดับ ก็ย่อมกลับไปเป็นสิ่งนั้นอย่างเดิมแล.
พระมหาสัตว์ทำความเห็นของอุจเฉทวาทีอำมาตย์นั้น ให้ตั้งขึ้นอย่างนี้ว่า บุรุษ
ผู้ประกอบด้วยมหาภูตทั้ง ๔ นี้ กระทำกาละลงในเวลาใด ร่างกายที่เป็นส่วนดิน

ก็กลับกลายเป็นดินไป ส่วนที่เป็นน้ำก็กลายเป็นน้ำไป ส่วนที่เป็นไฟก็กลาย
เป็นไฟไป และร่างกายที่เป็นส่วนลมก็กลับกลายเป็นลมไป บุรุษทั้งหลายผู้มี
เก้าอี้ยาวเป็นที่ ๕ ย่อมถือเอาซากที่ตายแล้วล่วงอินทรีย์ทั้งหลาย กลับกลาย
เป็นอากาศหมด ตราบใดที่รอยเท้าในป่าช้าปรากฏอยู่ กระดูกนกพิราบมีอยู่

ทานของชนเหล่านั้นมีเถ้าเป็นเครื่องบูชา อันพวกคนเซอะบัญญัติไว้ บุคคล
ที่กล่าววาทะว่า มี ชื่อว่าเป็นคนเปล่าและกล่าวเท็จ จะเป็นพาลหรือเป็นบัณฑิต
ก็ตาม เมื่อกายแตกตายทำลายไป ก็ย่อมขาดสูญ คือ พินาศ ได้แก่ ไม่ปรากฏ
ตราบนั้น. บทว่า อิเธว ความว่า ชีพย่อมเป็นอยู่ในโลกนี้เท่านั้น บทว่า

เปจฺจ เปจฺจ วินสฺสติ ความว่า สัตว์ที่บังเกิดในปรโลก ก็มิได้กลับมา
ในโลกนี้อีกด้วยอำนาจแห่งคติ ย่อมพินาศขาดสูญไปในโลกนั้นทีเดียว เมื่อ
โลกขาดสูญอยู่อย่างนี้ ใครเล่าจะเปื้อนด้วยบาปในโลกนี้.

พระมหาสัตว์ ครั้นทำลายวาทะแม้แห่งอุจเฉทวาทีอำมาตย์นั้น ด้วย
ประการฉะนี้แล้ว จึงเรียกขัตตวิชชวาทีอำมาตย์เข้ามาแล้ว กล่าวว่า ดูก่อน
ท่านผู้มีอายุ ท่านเที่ยวยกลัทธินี้ว่า บุคคลควรฆ่าแม้มารดาบิดาแล้ว ทำ
ประโยชน์แก่ตน ดังนี้ ท่านหัวเราะเยาะเรา เพราะเหตุไร ดังนี้แล้ว จึงกล่าว
เป็นคาถาว่า


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ ความรู้จะมีมากขึ้น หากมิมากไปด้วยความเกียจคร้าน
+ อาหารยังมีเฉพาะแต่ละวัยฉันใด แม้พระธรรมคำสอนก็ฉันนั้น
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.พ. 2019, 20:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
อาจารย์ทั้งหลายผู้มีวาทะว่า การฆ่ามารดาบิดา
เป็นกิจที่ควรทำ ได้กล่าวไว้แล้วในโลก พวกคนพาล
ผู้สำคัญตนว่าเป็นบัณฑิต พึงฆ่ามารดา บิดา พึงฆ่าพี่
ฆ่าน้อง ฆ่าบุตรและภรรยา ถ้าว่าประโยชน์เช่นนั้น
พึงมี.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กตฺตวิธา ได้แก่ ผู้มีความรู้ว่าการฆ่า
มารดาบิดาเป็นสิ่งที่ควรทำ. อีกอย่างหนึ่ง ปาฐะก็อย่างนี้เหมือนกัน คำว่า
ขตฺตวิชฺชา นี้ เป็นชื่อของอาจารย์ผู้มีความรู้ว่า การฆ่ามารดาบิดาเป็นสิ่งที่
ควรทำ. บทว่า พาลา ปณฺฑิตมานิโน ความว่า ชนทั้งหลายที่เป็นคนพาล

สำคัญอยู่ว่า พวกเราเป็นบัณฑิต จักประกาศว่าตนเป็นบัณฑิต เป็นผู้มีความ
สำคัญว่าเป็นบัณฑิต จึงกล่าวอย่างนี้. บทว่า อตฺโถ เจ ความว่า อาจารย์
กล่าวว่า ถ้าประโยชน์สักนิดหนึ่งมีรูปเห็นปานนั้น จะพึงมีแก่ตนไซร้ บุคคล
ไม่พึงเว้นอะไร ๆ ไว้เลย พึงฆ่าเสียทั้งหมด ดังนี้ แม้ท่านก็เป็นคนใดคนหนึ่ง
ในบรรดาอาจารย์ผู้มีวาทะเช่นนั้น.

พระมหาสัตว์ แสดงลัทธิของขัตตวิชชวาทีอำมาตย์นั้นอย่างนี้แล้ว
เมื่อจะประกาศลัทธิของตน จึงกล่าวเป็นคาถาว่า

บุคคลพึงนั่งหรือนอนที่ร่มไม้ใด ไม่ควรหักกิ่งไม้
นั้น เพราะว่าผู้ประทุษร้ายมิตรเป็นคนเลวทราม ถ้า
เมื่อมีความต้องการเกิดขึ้น ก็ควรถอนไปแม้ทั้งราก
แม้ประโยชน์ที่จะมีต่อเรามาก วานรเป็นอันเราฆ่าดี
แล้ว ถ้าเนื้อความแห่งภาษิตของท่านเป็นอรรถเป็น

ธรรม และเป็นถ้อยคำงาม ไม่ชั่วช้า ถ้าถ้อยคำของท่าน
เป็นความจริง วานรเป็นอันเราฆ่าดีแล้ว ถ้าท่านรู้
ความผิดแห่งวาทะของตน ก็จะไม่พึงติเตียนเราเลย
เพราะว่าวาทะของท่านเป็นเช่นนั้น.


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ ความรู้จะมีมากขึ้น หากมิมากไปด้วยความเกียจคร้าน
+ อาหารยังมีเฉพาะแต่ละวัยฉันใด แม้พระธรรมคำสอนก็ฉันนั้น
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.พ. 2019, 20:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
ในคาถานั้น มีอธิบายว่า ดูก่อนขัตตวิชชวาทีอำมาตย์ผู้เจริญ ก็อาจารย์
ของพวกเราพรรณนาไว้อย่างนี้ว่า บุคคลไม่ควรหักกิ่งหรือใบของต้นไม้ที่ตน
ได้อาศัยร่มเงา. ถามว่า เพราะเหตุไร ? ตอบว่า เพราะบุคคลผู้ประทุษร้าย
ต่อมิตรเป็นคนเลว แต่ท่านกล่าวอย่างนี้ว่า ถ้าเมื่อมีความต้องการเกิดขึ้น ก็
ให้ถอนไปแม้กระทั่งราก ก็เราได้มีความต้องการเสบียง เพราะฉะนั้น ถึง
แม้ว่าเราฆ่าวานรนี้แล้ว ประโยชน์พึงมีแก่เรามากจริงอย่างนั้น วานรก็เป็น
อันเราฆ่าแล้วด้วยดี.

พระมหาสัตว์นั้น ได้ทำลายวาทะของขัตตวิชชวาทีอำมาตย์ แม้นั้น
อย่างนี้แล้ว เมื่ออำมาตย์ทั้ง ๕ คนเหล่านั้น หมดปฏิภาณนั่งนิ่งเฉยอยู่ จึง
เรียกพระราชามาแล้ว ทูลให้ทราบว่า ดูก่อนมหาบพิตร พระองค์ย่อมพาเอา
มหาโจรผู้ปล้นแว่นแคว้นทั้ง ๕ คนเหล่านี้ ตามเสด็จไป น่าอนาถใจจริง
พระองค์เป็นคนโง่เขลา ด้วยว่า บุรุษพึงถึงความทุกข์อย่างใหญ่หลวง ทั้งใน
ภพนี้และภพหน้า เพราะการคลุกคลีกับพวกคนพาลเห็นปานนี้ ดังนี้แล้ว เมื่อ
จะแสดงธรรมแก่พระราชา จึงกล่าวเป็นคาถาว่า

บุรุษผู้มีวาทะว่าหาเหตุมิได้ ๑ ผู้มีวาทะว่า
พระเจ้าสร้างโลก ๑ ผู้มีวาทะว่าสุขและทุกข์เกิดเพราะ
กรรมที่ทำมาก่อน ๑ ผู้มีวาทะว่าขาดสูญ ๑ คนที่มี
วาทะว่าฆ่ามารดาบิดาเป็นกิจที่ควรทำ ๑ คนทั้ง ๕

คนนี้ เป็นอสัตบุรุษ เป็นคนพาล แต่มีความสำคัญ
ว่าตนเป็นบัณฑิตในโลก คนเช่นนั้นพึงกระทำบาป
เองก็ได้ พึงชักชวนผู้อื่นให้กระทำก็ได้ ความคลุกคลี
กับอสัตบุรุษเป็นความชั่วร้าย มีผลเผ็ดร้อนเป็นกำไร.


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ ความรู้จะมีมากขึ้น หากมิมากไปด้วยความเกียจคร้าน
+ อาหารยังมีเฉพาะแต่ละวัยฉันใด แม้พระธรรมคำสอนก็ฉันนั้น
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.พ. 2019, 20:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ตาทิโส ความว่า ดูก่อนมหาบพิตร
บุรุษผู้เช่นเดียวกันกับบุรุษผู้มีทิฏฐิและคติทั้ง ๕ คนเหล่านี้ พึงกระทำบาป
แม้ด้วยตนเองก็ได้ พึงทำการชักชวนคนอื่น ที่เชื่อฟังถ้อยคำของเขาให้ทำบาป
ก็ได้. บทว่า ทุกฺกโฏ ความว่า ความคลุกคลีกับอสัตบุรุษทั้งหลายเห็นปานนี้
ย่อมเป็นความชั่วร้าย และมีความเดือดร้อนเป็นกำไร ทั้งในโลกนี้ ทั้งใน

โลกหน้า. เพื่อจะประกาศเนื้อความนี้ให้แจ่มแจ้ง พึงนำพระสูตรเป็นต้นว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภัยทั้งหลายเหล่าใดเหล่าหนึ่งย่อมเกิดขึ้น ภัยเหล่านั้น
ทั้งหมด ย่อมเกิดขึ้นจากคนพาล ดังนี้มาแสดง หรือพึงนำข้อความ เรื่อง
โคธชาดก สัญชีวชาดก และอกิตติชาดกเป็นต้นมาแสดงก็ได้.

บัดนี้ พระมหาสัตว์เมื่อจะเพิ่มพูนพระธรรมเทศนาให้เจริญ ด้วยมุ่ง
แสดงถึงข้ออุปมา จึงกล่าวเป็นคาถาว่า

ในปางก่อน มีนกยางตัวหนึ่ง มีรูปร่างคล้ายแกะ
พวกแกะไม่รังเกียจ เข้าไปยังฝูงแกะ ฆ่าแกะทั้งตัว
เมียตัวผู้ ครั้นฆ่าแล้ว ก็บินหนีไปด้วยอาการอย่างใด
สมณพราหมณ์บางพวก ก็มีอาการเหมือนอย่างนั้น
กระทำการปิดบังตัว เที่ยวหลอกลวงพวกมนุษย์

บางพวกประพฤติไม่กินอาหาร บางพวกนอนบน
แผ่นดิน บางพวกทำกิริยาขัดถูธุลีในตัว บางพวกตั้ง
ความเพียรเดินกระโหย่งเท้า บางพวกงดการกินอาหาร
ชั่วคราว บางพวกไม่ดื่มน้ำเป็นผู้มีอาจาระอันเลวทราม
เที่ยวพูดอวดว่า เป็นพระอรหันต์.

คนเหล่านี้เป็นอสัตบุรุษ เป็นคนพาล แต่มีความ
สำคัญว่า ตนเป็นบัณฑิต คนเช่นนั้นพึงกระทำบาป
เองก็ได้ พึงชักชวนผู้อื่นให้กระทำบาปก็ได้ ความ
คลุกคลีด้วยอสัตบุรุษเป็นความชั่วร้าย มีผลเผ็ดร้อน
เป็นกำไร.


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ ความรู้จะมีมากขึ้น หากมิมากไปด้วยความเกียจคร้าน
+ อาหารยังมีเฉพาะแต่ละวัยฉันใด แม้พระธรรมคำสอนก็ฉันนั้น
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 2685 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 84, 85, 86, 87, 88, 89, 90 ... 179  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร