วันเวลาปัจจุบัน 22 ก.ย. 2025, 06:05  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


อ่านนิทาน จากบอร์ดเก่า
http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=5



กลับไปยังกระทู้  [ 2685 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 90, 91, 92, 93, 94, 95, 96 ... 179  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ก.พ. 2019, 08:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
นี้เถิด พอกราบทูลเสร็จแล้วจึงได้น้อมถวายรูปทองคำนั้น แด่พระราชา
พระองค์นั้น. แม้พระเจ้ามัททราชนั้น ก็ทรงดีพระทัย ทรงยอมรับด้วยทรง
พระดำริว่า จักมีวิวาหมงคลกับพระราชาผู้ใหญ่เห็นปานนี้. ลำดับนั้น พวกทูต
จึงกราบทูลท้าวเธอว่า พระพุทธเจ้าข้า ข้าพระองค์ไม่อาจจะรอช้าอยู่ได้ จัก
ต้องรีบไปกราบทูลการได้พบพระราชธิดาแด่พระราชาให้ทรงทราบ เพื่อว่า

พระองค์จักได้เสด็จมารับพระนางไป. พระเจ้ามัททราชพระองค์นั้น ทรงรับว่า
ดีละ แล้วทรงจัดแจงเครื่องทำสักการะแก่พวกทูตเหล่านั้น. พวกทูตเหล่านั้น
กลับไปยังกรุงกุสาวดีแล้ว กราบทูลเรื่องราวนั้นแด่พระราชาและพระเทวีให้
ทรงทราบ. พระราชาเสด็จออกจากกุสาวดีนคร พร้อมด้วยบริวารเป็นอันมาก
เสด็จถึงเมืองสาคละโดยลำดับ. ฝ่ายพระเจ้ามัททราช ก็ทรงกระทำการต้อนรับ

ให้ท้าวเธอเสด็จเข้าไปสู่พระนครแล้ว ได้ทรงกระทำสักการะอย่างใหญ่ยิ่ง.
โดยล่วงไปวันหนึ่ง สองวัน และสามวัน พระนางสีลวดีทรงพระดำริว่า ใคร่
จะรู้ว่า พระราชธิดานั้นจักเป็นอย่างไร เพราะความที่พระนางเจ้าเป็นบัณฑิต
จึงกราบทูลพระเจ้ามัททราชว่า หม่อมฉันใคร่จะได้เห็นพระสุณิสา (ในอนาคต)

เพคะ. ท้าวเธอทรงรับว่า ดีละ แล้วรับสั่งให้เรียกพระราชธิดาประภาวดีมาเฝ้า.
พระราชธิดาประภาวดี ทรงตกแต่งพระองค์ด้วยเครื่องอลังการพร้อมสรรพ์
แวดล้อมไปด้วยหมู่พระพี่เลี้ยงนางนมเสด็จออกมาไหว้แม่ผัว. พระนางสีลวดี
นั้น ครั้นได้ทอดพระเนตรเห็นพระนาง จึงทรงพระดำริว่า ราชธิดาองค์นี้

เป็นหญิงมีรูปร่างงดงามมากนัก ส่วนโอรสของเรามีรูปร่างไม่งดงาม ถ้าพระราช
ธิดาองค์นี้ ได้ทอดทัศนาการเห็นโอรสของเราเข้า แม้วันเดียวก็คงจะไม่อยู่
ร่วมด้วยเด็ดขาด คงจะรีบหนีไปเป็นแน่แท้ เห็นทีเราจักต้องทำกลอุบาย.
พระนางสีลวดี จึงให้เชิญเสด็จพระเจ้ามัททราชมาแล้ว กราบทูลว่า ข้าแต่มหาราช

เพคะ พระสุณิสาสมควรแก่พระโอรสของหม่อมฉัน ก็แต่ว่าจารีตอันสืบมาจาก
ประเพณีแห่งสกุลของหม่อมฉันมีอยู่ ถ้าพระราชธิดาองค์นี้จักประพฤติตาม


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ ความรู้จะมีมากขึ้น หากมิมากไปด้วยความเกียจคร้าน
+ อาหารยังมีเฉพาะแต่ละวัยฉันใด แม้พระธรรมคำสอนก็ฉันนั้น
+ ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งใช้ยิ่งมาก
เพราะความมักมากจึงทำจิตให้ตกต่ำ
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ก.พ. 2019, 08:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
จารีตประเพณีนี้ได้ หม่อมฉันก็จักรับพระราชธิดาองค์นี้ไว้. พระราชาตรัสว่า
ก็จารีตประเพณีของพระองค์เป็นอย่างไรละ พระนางสีลวดีตรัสตอบว่า ประเพณี
ในราชวงศ์ของหม่อมฉันมีอยู่ว่า พระวรชายาจะพบหน้าพระราชสวามีในเวลา
กลางวันไม่ได้ จนกว่าจะทรงตั้งพระครรภ์เสียก่อน จึงจะพบหน้ากันได้ หากว่า

พระราชธิดาประภาวดีพระองค์นี้ จักทรงทำตามประเพณีนี้ได้ หม่อมฉันจึงจะ
รับพระนางไว้. พระราชา จึงตรัสถามพระธิดาว่า ดูก่อนแม่ แม่จักประพฤติ
ตามอย่างที่ว่านั้นได้หรือไม่เล่า. พระราชธิดาประภาวดีนั้น จึงทูลว่า ได้เพคะ
เสด็จพ่อ.

ลำดับนั้น พระเจ้าโอกกากราช จึงได้ถวายพระราชทรัพย์เป็นอันมาก
แด่พระเจ้ามัททราช แล้วทรงรับพระนางประภาวดีนั้นเสด็จกลับไป. แม้พระ-
เจ้ามัททราช ก็ทรงส่งพระราชธิดาไปด้วยบริวารใหญ่. พระโอกกากราช
เสด็จกลับกรุงกุสาวดีแล้ว มีพระบรมราชโองการให้ตกแต่งพระนคร ปล่อย
นักโทษทั้งหมด ทรงกำหนดการอภิเษกพระราชโอรส ทรงสถาปนาพระนาง

ประภาวดีให้เป็นอัครมเหสีแล้ว ทรงให้ราชบุรุษเที่ยวตีกลองประกาศว่า บัดนี้
ราชอาณาจักรเป็นของพระเจ้ากุสราชแล้ว. พระราชาทั้งหลายในพื้นชมพูทวีป
ทั้งหมด พระองค์ใดมีพระราชธิดา พระราชาพระองค์นั้น ขอทรงส่งพระราช
ธิดาไปถวายแด่พระเจ้ากุสราช พระราชาเหล่านั้นได้มีพระราชโอรส พระราชา

เหล่านั้น ทรงหวังความเป็นมิตรไมตรีกับพระเจ้ากุสราชนั้น ก็ทรงส่งพระราช
โอรสของพระองค์ไปเป็นพระราชอุปัฏฐาก. พระโพธิสัตว์เจ้า ทรงมีพระนาง
สนมเป็นบริวารมากมาย ทรงปกครองพระราชสมบัติด้วยพระอิสริยยศอันใหญ่
ยิ่งเกรียงไกร. ฝ่ายพระนางประภาวดี ย่อมไม่ได้เพื่อจะเห็นพระโพธิสัตว์เจ้านั้น

ในเวลากลางวันเลย แม้พระโพธิสัตว์เจ้าก็ไม่ได้เห็นพระนางในเวลากลางวัน
เหมือนกัน. พระราชาและพระราชินีทั้ง ๒ พระองค์ เห็นกันก็แต่เฉพาะเวลา
กลางคืนเท่านั้น. แม้รัศมีที่ฉายออกจากพระสรีระของพระนางประภาวดีในเวลา


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ ความรู้จะมีมากขึ้น หากมิมากไปด้วยความเกียจคร้าน
+ อาหารยังมีเฉพาะแต่ละวัยฉันใด แม้พระธรรมคำสอนก็ฉันนั้น
+ ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งใช้ยิ่งมาก
เพราะความมักมากจึงทำจิตให้ตกต่ำ
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ก.พ. 2019, 08:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
กลางคืนนั้น ก็ไม่สามารถจะส่องให้เห็นพระพักตร์ชัดถนัดได้. พระโพธิสัตว์เจ้า
เสด็จออกจากห้องที่ประทับเฉพาะในเวลากลางคืนเท่านั้น. พอ ๒, ๓ วันผ่าน
พ้นไป พระโพธิสัตว์เจ้าพระองค์นั้น ก็ทรงมีความปรารถนาจะได้เห็นพระ-
พักตร์พระนางประภาวดีในเวลากลางวัน จึงทูลพระมารดาให้ทรงทราบ. พระ
มารดาก็ทรงห้ามเสียว่า อย่าชอบใจไปนักเลยพ่อ (อย่าทุรนทุรายใจไปนักเลย)
ขอจงรอไปจนกว่าจะได้พระโอรสสักพระองค์หนึ่งก่อนเถิด. พระโพธิสัตว์เจ้า

นั้น ก็ทรงอ้อนวอนอยู่บ่อย ๆ. ลำดับนั้น พระเทวีจึงมีพระกระแสรับสั่งกะ
พระโพธิสัตว์เจ้านั้นว่า ถ้าอย่างนั้น พ่อจงไปยังโรงช้างแล้วยืนอยู่ด้วยเพศ
แห่งคนเลี้ยงช้าง แม่จะพาพระนางประภาวดีไปในที่ตรงนั้น ขอเชิญพ่อจงดู
นางเสียให้เต็มเนตร แต่อย่าให้นางรู้จักพ่อได้เป็นเด็ดขาด. พระโพธิสัตว์เจ้า
นั้นจึงรับว่า ดีละ แล้วได้เสด็จไปยังโรงช้าง. ลำดับนั้น พระมารดาของพระ

โพธิสัตว์เจ้านั้น จึงมีพระดำรัสตรัสสั่งให้คนตกแต่งโรงช้างแล้วตรัสชักชวน
พระนางประภาวดีว่า มาเถิดลูก เราทั้ง ๒ คนไปดูช้างต้นของพระภัสดากันเถิด
แล้วจึงเสด็จไปยังโรงช้างนั้น ทรงชี้แสดงแก่พระนางประภาวดีว่า ช้างเชือกนี้
มีชื่อว่าอย่างโน้น ดังนี้. พระราชาทรงทอดพระเนตรเห็นนางเสด็จดำเนินไป

ข้างพระมารดา จึงทรงหยิบเอาขี้ช้างก้อนหนึ่งขว้างไปที่หลังพระนางด้วยการ
ปลอมตัวเป็นคนเลี้ยงช้างทีเดียว. พระนางประภาวดีทรงกริ้วโกรธเป็นอย่างมาก
จึงมีพระกระแสรับสั่งว่า เราจักให้พระราชาทรงตัดมือของเจ้าเสีย แล้วทูล
พระเทวีให้ลงโทษ. ฝ่ายพระราชมารดา ก็ทรงปลอบประโลมเอาพระทัยว่า
อย่าทรงกริ้วโกรธไปเลยแม่เจ้า แล้วทรงลูบหลังให้. ต่อมาพระราชาทรงต้อง


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ ความรู้จะมีมากขึ้น หากมิมากไปด้วยความเกียจคร้าน
+ อาหารยังมีเฉพาะแต่ละวัยฉันใด แม้พระธรรมคำสอนก็ฉันนั้น
+ ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งใช้ยิ่งมาก
เพราะความมักมากจึงทำจิตให้ตกต่ำ
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ก.พ. 2019, 08:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
การที่จะได้เห็นพระนางซ้ำอีก จึงเสด็จไปทอดพระเนตรพระนางที่โรงม้า ด้วย
การปลอมตัวเป็นคนเลี้ยงม้า แล้วทรงเอาก้อนขี้ม้าขว้างไปเหมือนเดิมนั้นอีก.
แม้ในกาลนั้น พระนางก็ได้ทรงกริ้วใหญ่ พระสัสสุ (แม่ผัว) ก็ต้องทรงปลอบ
ประโลมอีก.

ในวันต่อมา พระนางประภาวดี ทรงใคร่จะได้เห็นพระมหาสัตว์เจ้า
จึงทูลบอกแก่พระสัสสุ แต่ก็ถูกพระสัสสุทรงห้ามว่า อย่าเลย แม่อย่าชอบใจเลย
ดังนี้ ก็ทูลอ้อนวอนอยู่บ่อย ๆ แล้ว. ลำดับนั้น พระเทวี จึงตรัสกะพระนางว่า
ถ้าอย่างนั้น ในวันพรุ่งนี้ ลูกชายของฉันจักกระทำประทักษิณพระนคร แม่จง
เปิดสีหบัญชรคอยดูเขาเถิด. ก็ครั้นตรัสอย่างนี้แล้ว ในวันรุ่งขึ้น จึงมีพระ

กระแสรับสั่งให้คนตกแต่งพระนครแล้ว โปรดให้พระชยัมบดีราชกุมาร
(น้องชายพระเจ้ากุสราช) ทรงเครื่องต้นอย่างกษัตริย์ ให้ประทับนั่งบนหลัง
ช้างแล้ว ให้พระโพธิสัตว์เจ้าประทับนั่งบนอาสนะข้างหลัง ให้กระทำประทักษิณ
พระนคร แล้วทรงพาพระนางประภาวดีไปประทับยืนที่สีหบัญชร ตรัสว่า

แม่จงดูความเลิศด้วยความงามแห่งพระสิริของสามีแม่เถิด. พระนางประภาวดี
ทรงสำคัญว่า เราได้พระสวามีที่มีความสมควรกันแล้ว ดังนี้แล้ว ก็ทรงมีพระทัย
โสมนัสเป็นอย่างยิ่ง. ก็ในวันนั้น พระมหาสัตว์เจ้าปลอมพระองค์เป็นนาย
ควาญช้าง ประทับนั่งบนอาสน์ข้างหลัง ของพระชยัมบดีราชกุมาร ก็ได้ทอด

พระเนตรดูพระนางประภาวดี สำเร็จตามพระประสงค์ ได้ทรงแสดงอาการ
ยั่วเย้า ตามความพอพระทัยด้วยอำนาจการทำมือให้ขวักไขว่แปลก ๆ เป็นต้น.
เมื่อช้างพระที่นั่งคล้อยผ่านไปแล้ว พระราชมารดาจึงตรัสถามพระนางประภาวดี
ว่า แม่เห็นพระภัสดาของแม่แล้วหรือ พระนางทูลว่า เห็นแล้วเพคะท่านแม่
แต่นายควาญช้าง ผู้นั่งอยู่บนอาสนะหลังของพระภัสดานั้น ช่างเป็นคนที่ดื้อ


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ ความรู้จะมีมากขึ้น หากมิมากไปด้วยความเกียจคร้าน
+ อาหารยังมีเฉพาะแต่ละวัยฉันใด แม้พระธรรมคำสอนก็ฉันนั้น
+ ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งใช้ยิ่งมาก
เพราะความมักมากจึงทำจิตให้ตกต่ำ
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ก.พ. 2019, 08:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
สอนยากเสียเหลือเกิน แสดงการทำมือขวักไขว่ให้แปลก ๆ เป็นต้นแก่หม่อมฉัน
เพราะเหตุไร เขาจึงจัดให้คนผู้ไม่มีสง่าราศีเช่นเจ้าคนนั้น ขึ้นไปนั่งบนอาสน์
ข้างหลังพระเจ้าแผ่นดินได้. พระเทวีจึงตรัสว่า ดูก่อนแม่ ธรรมดาว่าการ
ระวังภัยบนอาสน์ด้านหลังของพระราชา อันบุคคลพึงปรารถนา. พระนาง

ประภาวดี จึงทรงดำริว่า ควาญช้างคนนี้ ช่างได้อภัยเป็นพิเศษเสียเหลือเกิน
ไม่เคยสำคัญพระราชาว่า เป็นพระราชาเสียบ้างเลย หรือว่าควาญช้างคนนี้เป็น
พระเจ้ากุสราชกันแน่ ก็พระเจ้ากุสราชนี้ คงจักมีรูปร่างน่าเกลียดอย่างเหลือเกิน
เป็นแน่ทีเดียว เพราะฉะนั้น เขาจึงไม่ยอมแสดงองค์พระเจ้ากุสราชนั้นแก่เรา.
พระนางประภาวดีจึงทรงกระซิบกะนางค่อมที่ใกล้หูว่า ดูก่อนแม่ค่อม เธอจง

ไปดูให้รู้ทีหรือว่า พระเจ้ากุสราชประทับบนอาสน์ข้างหน้า หรือว่าประทับบน
อาสน์ข้างหลังกันแน่. หญิงค่อมจึงทูลถามว่า ก็หม่อมฉันจักทราบได้อย่างไร
เล่าเพคะ. พระนางจึงตรัสว่า ถ้าแม้ว่านายควาญช้างคนนั้นจักเป็นพระราชาไซร้
ก็จักเสด็จลงจากหลังช้างก่อน เธอจงรู้ด้วยสัญญา (วิธี) อย่างนี้. นางค่อม

นั้นได้มายืนดูอยู่ ณ ที่ส่วนข้างหนึ่งแล้วมองเห็นพระมหาสัตว์เจ้าลงมาก่อน
มองเห็นพระชยัมบดีราชกุมารเสด็จลงมาทีหลัง. แม้พระมหาสัตว์เจ้าทรงมองไป
ข้างโน้นบ้าง ข้างนี้บ้าง ก็ได้ทอดพระเนตรเห็นนางค่อม ก็ทรงทราบว่า
นางค่อมนี้จักมาเพราะเหตุชื่อนี้ จึงรับสั่งให้เรียกนางค่อมมาแล้ว ตรัสกำชับ

อย่างกวดขันว่า เธออย่าได้บอกเรื่องนี้แก่พระนางประภาวดีเป็นเด็ดขาด แล้ว
ทรงส่งไป. นางค่อมนั้นกลับไปก็กราบทูลพระนางประภาวดีว่า พระเจ้ากุสราช
ผู้เสด็จประทับอยู่บนอาสนะข้างหน้าเสด็จลงก่อน. พระนางประภาวดี ก็ทรง
เชื่อถ้อยคำ ของนางค่อมนั้น. ในวันต่อมา พระราชาทรงมีพระประสงค์จะได้
ทอดพระเนตรเห็นพระนางประภาวดีอีก จึงทรงทูลอ้อนวอนพระราชมารดา


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ ความรู้จะมีมากขึ้น หากมิมากไปด้วยความเกียจคร้าน
+ อาหารยังมีเฉพาะแต่ละวัยฉันใด แม้พระธรรมคำสอนก็ฉันนั้น
+ ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งใช้ยิ่งมาก
เพราะความมักมากจึงทำจิตให้ตกต่ำ
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ก.พ. 2019, 08:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
แล้ว. พระราชมารดาไม่อาจจะทรงห้ามได้ จึงตรัสสั่งว่า ถ้าอย่างนั้น พ่อจง
ปลอมเพศไม่ให้ใคร ๆ รู้จักแล้ว จงไปยังอุทยาน. พระราชาเสด็จไปยังอุทยาน
แล้วทรงยืนแช่น้ำอยู่ ในสระโบกขรณีประมาณแค่คอ ทรงเอาใบบัวปกปิด
พระเศียร ทรงยืนเอาดอกบัวที่บานบังพระพักตร์ไว้. แม้พระราชมารดาของ

พระโพธิสัตว์เจ้านั้น ก็ทรงพาพระนางประภาวดีไปยังพระราชอุทยาน ทรงชี้
ชวนให้ชมอยู่ว่า แม่จงดูพฤกษาเหล่านี้ จงดูหมู่สกุณา จงดูหมู่มิคะเป็นต้น
ได้เสด็จมาถึงฝั่งแห่งสระโบกขรณี.

พระนางประภาวดีนั้น ทอดพระเนตรเห็นสระโบกขรณีอันดาดาษไป
ด้วยดอกบัว ๕ ชนิด ทรงปรารถนาจะเสด็จลงสรง จึงเสด็จลงสู่สระโบกขรณี
พร้อมด้วยนางบริจาริกาทั้งหลาย ทรงเล่นอยู่ครั้นพอทอดพระเนตรเห็นดอกบัว
ที่พระโพธิสัตว์เจ้าซ่อนอยู่นั้น ทรงใคร่จะเก็บ จึงทรงเอื้อมพระหัตถ์ออกไป.
ลำดับนั้น พระราชา จึงทรงเปิดใบบัวออกแล้ว เข้าคว้าพระนางด้วยพระหัตถ์

พลางร้องว่า เราคือพระเจ้ากุสราช. พระนางพอได้ทอดพระเนตรเห็นพระ-
พักตร์ของพระโพธิสัตว์เจ้านั้นแล้ว ทรงร้องขึ้นด้วยสำคัญว่า ยักษ์จับเรา
แล้วทรงถึงวิสัญญีภาพ สิ้นพระสติสมฤดีอยู่ ในที่ตรงนั้นเอง. ลำดับนั้น
พระราชา จึงทรงปล่อยพระหัตถ์ละจากพระนาง. ครั้นพอพระนาง ทรงรู้สึก

พระองค์ได้แล้ว จึงทรงดำริว่า ได้ยินว่า พระเจ้ากุสราช ทรงจับมือเรา ก็เรา
ถูกพระเจ้ากุสราชนี้ ขว้างด้วยก้อนคูถช้างที่โรงช้าง แล้วขว้างด้วยก้อนคูถม้าที่
โรงม้า ก็พระเจ้ากุสราชนี้แล ประทับนั่งบนอาสน์หลังช้างทรงเกี้ยวเรา เรา
ไม่มีความต้องการพระภัสดาผู้มีพักตร์อันน่าเกลียดถึงขนาดนี้ เราจักทิ้งพระ-

ภัสดานี้เสีย เมื่อยังมีชีวิตอยู่ ก็จักได้สามีคนอื่น ดังนี้แล้ว จึงให้คนเรียกพวก
อำมาตย์ที่ตามเสด็จมากับพระนางแล้ว ตรัสว่า พวกท่านจงทำการตระเตรียม


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ ความรู้จะมีมากขึ้น หากมิมากไปด้วยความเกียจคร้าน
+ อาหารยังมีเฉพาะแต่ละวัยฉันใด แม้พระธรรมคำสอนก็ฉันนั้น
+ ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งใช้ยิ่งมาก
เพราะความมักมากจึงทำจิตให้ตกต่ำ
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ก.พ. 2019, 09:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
ยานพาหนะให้เรา เราจักไปในวันนี้แหละ. พวกอำมาตย์เหล่านั้นจึงกราบทูล
แด่พระราชาให้ทรงทราบ. พระราชาจึงทรงพระดำริว่า ถ้าพระนางไม่ได้เพื่อ
จะกลับไป ดวงหทัยของพระนางคงจักแตกเป็นแน่ ขอให้พระนางกลับไปก่อน
เถิด เราจักนำพระนางกลับมาด้วยกำลังของตนเองอีกครั้ง พอทรงดำริแล้ว
ต่อนั้นมาจึงทรงอนุญาตให้พระนางประภาวดีนั้นเสด็จกลับไป. พระนางเสด็จ

กลับไปยังเมืองของพระราชบิดาตามเดิม. แม้พระมหาสัตว์เจ้า ก็เสด็จออกจาก
พระราชอุทยานเข้าไปสู่พระนคร เสด็จขึ้นสู่พระปราสาทอันประดับแล้ว. จริงอยู่
พระนางมิได้ทรงมีความยินดีพระโพธิสัตว์เจ้า ด้วยอำนาจการที่ได้ทรงตั้งความ
ปรารถนาไว้ในปางก่อน. แม้พระโพธิสัตว์เจ้านั้น ที่มีพระรูปกายไม่งดงาม
ก็ด้วยอำนาจบุรพกรรมของพระองค์เอง.

ได้ยินว่า ในอดีตกาล มีหมู่บ้านอันตั้งอยู่ข้างประตูเมืองพาราณสี
ตระกูล ๒ ตระกูล คือ ตระกูลที่อาศัยอยู่ข้างถนน หน้าหมู่บ้านตระกูล ๑
อาศัยอยู่ข้างถนนหลังหมู่บ้านตระกูล ๑. ตระกูลหนึ่งมีลูกชาย ๒ คน ตระกูล
หนึ่งมีลูกสาว ๑ คน ในบรรดาบุตรชายทั้ง ๒ คนนั้น พระโพธิสัตว์เป็น
น้องชาย. มารดาบิดาได้ไปขอนางกุมาริกานั้น มาให้แก่พี่ชาย. พระโพธิสัตว์

ผู้เป็นน้องชาย ยังไม่มีภริยา จึงอาศัยอยู่ในบ้านของพี่ชาย. อยู่มาวันหนึ่ง
พี่สะใภ้ได้ทอดขนมที่มีรสชาติอร่อยยิ่งนัก ในเรือนนั้น. แต่พระโพธิสัตว์ได้
ไปป่าเสีย พี่สะใภ้จึงได้แบ่งขนมไว้ให้แก่พระโพธิสัตว์นั้นส่วนหนึ่ง ส่วนที่

เหลือนั้นก็แจกกันบริโภคจนหมด. ในขณะนั้น พระปัจเจกพุทธเจ้าได้มาถึง
ประตูเรือนเพื่อภิกษา พี่สะใภ้ของพระโพธิสัตว์ จึงคิดว่า เราจักค่อยทำขนม
ให้น้องผัวใหม่ ดังนี้แล้ว จึงถือเอาขนมส่วนที่เก็บไว้ให้พระโพธิสัตว์นั้น ไป
ถวายแด่พระปัจเจกพุทธเจ้าเสีย. แม้พระโพธิสัตว์นั้น ก็กลับมาจากป่าใน


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ ความรู้จะมีมากขึ้น หากมิมากไปด้วยความเกียจคร้าน
+ อาหารยังมีเฉพาะแต่ละวัยฉันใด แม้พระธรรมคำสอนก็ฉันนั้น
+ ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งใช้ยิ่งมาก
เพราะความมักมากจึงทำจิตให้ตกต่ำ
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ก.พ. 2019, 09:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
ขณะนั้นพอดี. ตอนนั้น นางจึงพูดกับพระโพธิสัตว์นั้นว่า น้องชายเอ๋ย จง
ทำจิตใจให้ผ่องใสเถิดหนา ขนมอันเป็นส่วนของน้อง พี่ได้ถวายแด่พระปัจเจก
พุทธเจ้าแล้ว. พระโพธิสัตว์นั้นกลับโกรธว่า เจ้ากินขนมอันเป็นส่วนของเจ้า
หมดแล้ว กลับมาเอาขนมอันเป็นส่วนของข้าไปถวายพระชิชะ แล้วข้าจักกิน

อะไรเล่า จึงรีบตามพระปัจเจกพุทธเจ้าไปเอาขนมจากบาตรกลับคืนมา
พี่สะใภ้นั้น จึงรีบไปยังเรือนมารดาแล้ว นำเอาเนยใสที่ยังใหม่และใสสะอาด
มีสีคล้ายดอกจำปามาแล้ว ใส่บาตรจนเต็มถวายพระปัจเจกพุทธเจ้าแทน.
เนยใสนั้นได้แผ่เป็นรัศมีออกไปแล้ว. นางพอได้เห็นรัศมีนั้นแล้ว จึงตั้งความ

ปรารถนาไว้ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ในที่ที่ดิฉันจะเกิดแล้วข้างหน้า ขอให้
ร่างกายของดิฉันจงเกิดมีรัศมีเปล่งปลั่ง และมีรูปร่างสดสวยงดงามเป็นอย่างยิ่ง
เถิด อนึ่ง ขออย่าให้ดิฉันได้อยู่ร่วมในที่แห่งเดียวกันกับคนที่เป็นอสัตบุรุษ
ดังน้องผัวของดิฉันคนนี้เลย. พระนางประภาวดี มิได้ทรงยินดีชอบใจพระ-

โพธิสัตว์เจ้านั้น ก็ด้วยอำนาจความปรารถนา ที่ทรงตั้งไว้แล้วในกาลก่อน
ด้วยประการฉะนี้. แม้พระโพธิสัตว์ ก็ใส่ขนมนั้นลงในบาตรที่เต็มด้วยเนยใส
แล้วตั้งความปรารถนาไว้ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ พี่สะใภ้ของข้าพเจ้าคนนี้ แม้
จะอยู่ในที่ไกลแสนไกลตั้งร้อยโยชน์ก็ตาม ขอให้ข้าพเจ้าพึงมีความสามารถไป

นำมาเป็นบาทบริจาริกาของข้าพเจ้าให้จงได้เถิด. ด้วยอำนาจแห่งบุรพกรรมที่
พระโพธิสัตว์นั้นโกรธ แล้วเอาขนมกลับคืนมานั้น พระโพธิสัตว์เจ้าจึงได้เป็น
ผู้มีรูปร่างอันไม่งดงาม น่าเกลียดแล้วแล.


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ ความรู้จะมีมากขึ้น หากมิมากไปด้วยความเกียจคร้าน
+ อาหารยังมีเฉพาะแต่ละวัยฉันใด แม้พระธรรมคำสอนก็ฉันนั้น
+ ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งใช้ยิ่งมาก
เพราะความมักมากจึงทำจิตให้ตกต่ำ
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ก.พ. 2019, 09:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
ฝ่ายพระนางประภาวดีนั้น ก็มิได้ทรงปรารถนาพระโพธิสัตว์นั้นเลย.
พระโพธิสัตว์เจ้านั้น เมื่อพระนางประภาวดีเสด็จไปแล้ว ก็ทรงเศร้าโศกเสีย
พระทัย. แม้เหล่านางบริจาริกาทั้งหลายจะพากันบำรุงบำเรออยู่โดยประการ
ต่าง ๆ ก็ตาม แต่หญิงที่เหลือทั้งหลาย ก็ไม่อาจที่จะให้พระโพธิสัตว์เจ้านั้น
เหลียวมองดูตนได้เลย. ก็เมื่อพระราชาพระองค์นั้น ทรงพรากเว้นจากพระนาง

ประภาวดีเสียแล้ว พระราชนิเวศน์แม้ทั้งหมดของพระองค์ ก็เงียบสงัดคล้าย
เหมือนว่างเปล่า. ท้าวเธอทรงรำพันว่า บัดนี้ นางคงไปถึงเมืองสาคละแล้ว
ดังนี้ พอใกล้รุ่งก็เสด็จไปเฝ้าพระมารดา กราบทูลว่า ข้าแต่ท่านแม่ ลูกจัก
ไปตามพระนางประภาวดีมา ขอท่านแม่จงครอบครองราชสมบัติแทนด้วยเถิด
ดังนี้ จึงตรัสปฐมคาถาว่า

รัฐของพระองค์นี้ มีทรัพย์ มียาน มีเครื่อง-
ราชกกุธภัณฑ์ สมบูรณ์ด้วยสิ่งที่น่าปรารถนาทั้งปวง
ข้าแต่พระมารดา ขอพระองค์จงทรงปกครองราช
สมบัติของพระองค์นี้ หม่อมฉันจะขอทูลลาไปยังเมือง
สาคละ ซึ่งเป็นที่สถิตแห่งพระนางประภาวดีที่รัก.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สโยคฺคํ ได้แก่ พรั่งพร้อมไปด้วยเครื่อง
ประกอบเช่นช้างเป็นต้น. บทว่า สกายุรํ ได้แก่ มีเครื่องราชกกุธภัณฑ์
๕ อย่างพร้อมบริบูรณ์. บทว่า อนุสาส อมฺม ความว่า ได้ยินว่า พระราชา
พระองค์นั้น ทรงพระดำริว่า ขึ้นชื่อว่าการมอบราชสมบัติให้แก่ผู้ชายครอบครอง
รองจากตน เป็นการไม่สมควร จึงไม่ทรงมอบ (ราชสมบัติ) ให้แก่พระบิดา
หรือพระอนุชา เมื่อจะทรงมอบให้แก่พระมารดา จึงได้ตรัสไว้อย่างนี้.

พระราชมารดานั้น ทรงได้สดับพระราชดำรัสนั้นแล้ว จึงทรงมี
รับสั่งว่า ดูก่อนลูก ถ้าอย่างนั้น ลูกจงเป็นผู้ไม่ประมาท เพราะขึ้นชื่อว่า
มาตุคามมีใจไม่บริสุทธิ์ ดังนี้แล้ว ทรงเอาโภชนะมีรสอันเลิศต่าง ๆ บรรจุใส่
ภาชนะทองคำจนเต็มแล้ว ทรงรับสั่งว่า ลูกพึงบริโภคโภชนะนี้ ในระหว่าง

เดินทาง แล้วทรงส่งไป. พระราชาพระองค์นั้น ทรงรับภาชนะนั้นแล้ว ถวาย-
บังคมพระมารดา ทรงทำประทักษิณ ๓ ครั้ง แล้วกราบทูลว่า เมื่อหม่อมฉัน
ยังมีชีวิตอยู่ คงจะได้กลับมาเห็นพระมารดาอีก ดังนี้แล้ว จึงเสด็จเข้าสู่ห้อง
อันเป็นสิริ ทรงเหน็บพระแสงอาวุธ ๕ อย่าง ทรงหยิบกหาปณะพันหนึ่ง


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ ความรู้จะมีมากขึ้น หากมิมากไปด้วยความเกียจคร้าน
+ อาหารยังมีเฉพาะแต่ละวัยฉันใด แม้พระธรรมคำสอนก็ฉันนั้น
+ ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งใช้ยิ่งมาก
เพราะความมักมากจึงทำจิตให้ตกต่ำ
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ก.พ. 2019, 09:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
บรรจุลงในย่าม พร้อมทั้งภาชนะพระกระยาหาร ทรงถือพิณโกกนุท เสด็จ
ออกจากพระนคร ทรงดำเนินไปตามมรรคา ทรงมีพระกำลังมาก มีเรี่ยวแรง
เข้มแข็งเพียงเช้าชั่วเที่ยง ก็ทรงดำเนินไปได้ถึงตั้ง ๕๐ โยชน์ เสวยพระ-
กระยาหารแล้ว ทรงดำเนินต่อไปอีก ๕๐ โยชน์ โดยส่วนแห่งวันที่เหลือเท่านั้น
ก็ทรงเดินทางไปได้สิ้นทางระยะถึง ๑๐๐ โยชน์ ในเวลาเย็นเสด็จพักสรงน้ำแล้ว

เสด็จเข้าถึงเมืองสาคละ. เมื่อพระองค์พอได้เสด็จเข้าไปแล้วเท่านั้น ด้วยเดช
แห่งพระโพธิสัตว์ พระนางประภาวดีจะทรงบรรทมอยู่บนพระที่มิได้ ต้อง
เสด็จลงมาบรรทมเหนือภาคพื้น. พระโพธิสัตว์มีพระอินทรีย์อันเหน็ดเหนื่อย
ทรงดำเนินมาตามถนน ผู้หญิงคนหนึ่งแลเห็นพระองค์เข้า จึงให้เรียกมาแล้ว

เชิญให้ประทับนั่ง ให้ล้างพระบาทจัดที่บรรทมถวาย. พระโพธิสัตว์เจ้านั้น
มีพระวรกายเหน็ดเหนื่อยมา พอบรรทมก็หลับสนิท. ลำดับนั้น หญิงคนนั้น
พอเมื่อพระโพธิสัตว์เจ้าบรรทมหลับแล้ว ก็จัดแจงโภชนะมีรสอันเลิศต่าง ๆ
เสร็จแล้ว จึงปลุกพระโพธิสัตว์ให้ตื่นบรรทม แล้วเชิญให้เสวยพระกระยาหาร
พระโพธิสัตว์เจ้าทรงขอบพระทัย ได้พระราชทานกหาปณะพันหนึ่งกับภาชนะ

ทองคำแก่หญิงคนนั้น. ท้าวเธอทรงเก็บพระแสงเบญจาวุธไว้ที่บ้านของหญิง
คนนั้นนั่นแล แล้วรับสั่งว่า เรายังมีสถานที่ควรจะไปอีก ดังนี้แล้ว ทรงถือ
เอาพิณเสด็จไปยังโรงช้าง ตรัสว่า ขอท่านจงให้ข้าพเจ้าพักอยู่ ณ ที่นี้สัก
วันหนึ่งเถิด ข้าพเจ้าจะทำการขับร้องเพลงให้พวกท่านได้ฟัง ดังนี้ พอเมื่อ

ได้รับอนุญาตจากคนเลี้ยงช้างแล้ว ก็บรรทมหลับอยู่ ณ ที่แห่งหนึ่งได้สักครู่
พอระงับหายความเหน็ดเหนื่อยกระวนกระวายแล้ว ก็ทรงลุกออกมาแก้ห่อพิณ
ทรงดีดพิณขับร้องประสานเสียง ด้วยทรงพระดำริว่า ชนชาวนครสาคละ จง
ฟังเสียงพิณนี้.


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ ความรู้จะมีมากขึ้น หากมิมากไปด้วยความเกียจคร้าน
+ อาหารยังมีเฉพาะแต่ละวัยฉันใด แม้พระธรรมคำสอนก็ฉันนั้น
+ ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งใช้ยิ่งมาก
เพราะความมักมากจึงทำจิตให้ตกต่ำ
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ก.พ. 2019, 09:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
พระนางประภาวดี ทรงบรรทมบนภาคพื้น พอได้ทรงสดับเสียงนั้น
ก็ทรงทราบได้ทีเดียวว่า เสียงพิณนี้มิใช่เสียงพิณของคนอื่น พระเจ้ากุสราช
ต้องเสด็จมาเพื่อจะเอาตัวเรากลับไปโดยมิต้องสงสัย. แม้พระเจ้ามัททราชทรง
สดับเสียงนั้นแล้ว ทรงพระดำริว่า ใครนะช่างขับร้องเพลงไพเราะเหลือเกิน
พรุ่งนี้เราจะให้คนเรียกคนผู้นั้นมาทำการขับร้องให้เราฟัง. พระโพธิสัตว์เจ้า

ทรงพระดำริว่า เราอยู่ในที่นี้ไม่อาจจะได้เห็นพระนางประภาวดี สถานที่นี้ดู
ไม่เหมาะเสียเลย จึงได้เสด็จออกไปแต่เช้าตรู่ทีเดียว ไปเสวยพระกระยาหาร
เช้าที่ในเรือนของหญิงที่พระองค์ได้เสวยแล้ว ในเวลาเย็นวันแรกนั่นแล ทรง
เก็บพิณไว้แล้ว เสด็จไปยังสำนักนายช่างหม้อของพระราชาแล้ว เข้าขอฝากตัว

เป็นศิษย์ของนายช่างหม้อคนนั้น เพียงวันเดียวเท่านั้น ก็ทรงขนเอาดินมาจน
เต็มเรือน แล้วบอกว่า ท่านอาจารย์ขอรับ ผมจะทำภาชนะให้ เมื่อนายช่างหม้อ
พูดว่า ดีซิ จงทำเถิด จึงทรงวางก้อนดินก้อนหนึ่งลงบนไม้แป้นแล้ว ทรง
ปั่นหมุนไม้แป้น. พระองค์ทรงปั้นหนเดียวเท่านั้น แป้นก็หมุนอยู่ตั้งแต่เช้า
จนเลยเที่ยง. พระองค์ทรงปั้นภาชนะเล็กบ้างใหญ่บ้างหลายชนิดหลากสี เมื่อ

จะทรงปั้นภาชนะเพื่อประโยชน์แก่พระนางประภาวดี ได้ทรงกระทำให้มี
ลวดลายเป็นรูปต่าง ๆ. จริงอยู่ ขึ้นชื่อว่า ความประสงค์ของพระโพธิสัตว์
ทั้งหลาย ย่อมสำเร็จได้. พระองค์ทรงอธิษฐานว่า ขอให้พระนางประภาวดี
จงได้เห็นรูปเหล่านั้น แต่เพียงพระองค์เดียวเท่านั้น. พระองค์ทรงผึ่งภาชนะ

ทั้งหมดให้แห้งแล้ว ทรงเผาเสร็จแล้ว เก็บไว้จนเต็มเรือน. นายช่างหม้อนำ
ภาชนะเหล่านั้นไปยังราชตระกูล. พระเจ้ามัททราชทอดพระเนตรเห็นภาชนะ
เหล่านั้นแล้ว ตรัสถามว่า ภาชนะเหล่านี้ใครทำ. นายช่างหม้อกราบทูลว่า
ข้าพระองค์เองพระเจ้าข้า. พระราชาตรัสว่า ภาชนะที่เจ้าได้เคยทำมาแล้ว
เราจำได้เป็นอย่างดี เจ้าจงบอกมานะว่า ภาชนะเหล่านี้ใครทำ. นายช่างหม้อ
กราบทูลว่า ศิษย์ของข้าพระองค์ทำพระเจ้าข้า. พระราชาตรัสว่า ผู้นั้นไม่


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ ความรู้จะมีมากขึ้น หากมิมากไปด้วยความเกียจคร้าน
+ อาหารยังมีเฉพาะแต่ละวัยฉันใด แม้พระธรรมคำสอนก็ฉันนั้น
+ ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งใช้ยิ่งมาก
เพราะความมักมากจึงทำจิตให้ตกต่ำ
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.พ. 2019, 19:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
สมควรเป็นศิษย์ของเจ้า ผู้นั้นจงเป็นอาจารย์ของเจ้า เจ้าจงศึกษาศิลปะใน
สำนักของเขาเถิด และจำเดิมแต่วันนี้ไป ขอให้เขาทำภาชนะทั้งหลาย สำหรับ
ธิดาของเราทุก ๆ องค์ และเจ้าจงให้ทรัพย์พันหนึ่งนี้แก่เขาด้วย ดังนี้ ให้
พระราชทานทรัพย์พันหนึ่งแล้ว ตรัสว่า เจ้าจงนำภาชนะเล็ก ๆ เหล่านี้ไปให้
พระธิดาทั้งหลายของเราด้วย.

นายช่างหม้อคนนั้น นำเอาภาชนะเหล่านั้นไปยังตำหนักของพระราช-
ธิดาเหล่านั้นแล้ว กราบทูลว่า ภาชนะเล็ก ๆ เหล่านี้ข้าพระองค์ขอถวายไว้
เพื่อสำหรับพระนางได้ทรงเล่น. พระราชธิดาเหล่านั้นทั้งหมดเสด็จมาแล้ว.
นายช่างหม้อก็ได้ถวายภาชนะที่พระมหาสัตว์กระทำไว้เพื่อประโยชน์แก่พระ

นางประภาวดี เฉพาะพระนางทีเดียว. พระนางทรงรับภาชนะนั้นมาแล้ว
ทรงเห็นพระรูปของพระองค์พระรูปของพระมหาสัตว์ และรูปของหญิงค่อม
ในภาชนะนั้นทีเดียว ก็ทรงทราบว่า ภาชนะนี้ไม่ใช่คนอื่นทำ พระเจ้า
กุสราชนั่นแล ทรงกระทำ ทรงแค้นเคืองแล้ว ขว้างของเหล่านั้นลงบน

ภาคพื้น แล้วตรัสว่า เราไม่มีความต้องการด้วยของสิ่งนี้ ใครอยากได้
ท่านจงเอาไปให้เขาเถิด. ลำดับนั้น พระราชธิดาผู้เป็นพระภคินีทั้งหลายของ
พระนาง ทรงทราบว่า พระนางทรงกริ้ว ก็พากันทรงยิ้มว่า พระพี่เข้าพระทัยว่า
ภาชนะเล็ก ๆ นี้ พระเจ้ากุสราชทรงกระทำกระมัง ภาชนะนี้ ไม่ใช่พระเจ้า

กุสราชนั้นทรงกระทำหรอก ช่างหม้อเขากระทำต่างหาก พระพี่นางจงรับเอา
ไว้เถิด พระนางก็มิได้ตรัสบอก ถึงเรื่องที่พระเจ้ากุสราชนั้น ทรงกระทำ
ภาชนะและเรื่องที่พระเจ้ากุสราชนั้น เสด็จมาถึงแล้ว แก่พวกพระภคินีเหล่านั้น

นายช่างหม้อได้ให้กหาณะพันหนึ่งแก่พระโพธิสัตว์แล้ว กล่าวว่า นี่แน่ะพ่อเอ๋ย
พระราชาทรงขอบใจเจ้า ได้ยินว่าจำเดิมแต่นี้ไป เจ้าพึงกระทำภาชนะสำหรับ
พระราชธิดาทุก ๆ พระองค์ เราจักนำไปถวายแด่พระราชธิดาเหล่านั้นเอง
พระโพธิสัตว์เจ้านั้น จึงตรัสว่า ท่านพ่อครับ ผมจักไม่กระทำเพื่อพระราชธิดา


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ ความรู้จะมีมากขึ้น หากมิมากไปด้วยความเกียจคร้าน
+ อาหารยังมีเฉพาะแต่ละวัยฉันใด แม้พระธรรมคำสอนก็ฉันนั้น
+ ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งใช้ยิ่งมาก
เพราะความมักมากจึงทำจิตให้ตกต่ำ
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.พ. 2019, 19:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
เหล่านั้น พระโพธิสัตว์เจ้านั้น ทรงพระราชดำริว่า เราขืนอยู่ในที่นี้ เห็นจะ
ไม่อาจที่จะได้เห็นพระนางประภาวดีได้ จึงพระราชทานทรัพย์พันหนึ่งนั้นแก่
นายช่างหม้อนั้นทีเดียว แล้วจึงเสด็จไปยังสำนักของนายช่างสาน ผู้เป็นอุปัฏฐาก
ของพระราชา ขอสมัครเป็นศิษย์ของนายช่างสานนั้น แล้วทรงกระทำใบตาล
เพื่อประโยชน์แก่พระนางประภาวดีแล้ว แสดงรูปต่าง ๆ คือ รูปเศวตฉัตร

สถานที่สำหรับดื่ม พระนางประภาวดี ทรงยืนจับผ้าเป็นต้นในใบตาลนั้น นาย
ช่างสานได้ถือเอาใบตาลนั้นและของอย่างอื่นอีก ที่พระโพธิสัตว์นั้น ทรงกระทำ
แล้ว นำไปยังราชตระกูล พระราชา ทอดพระเนตรเห็นตรัสถามว่า สิ่งของ
เหล่านี้ใครทำ นายช่างสาน กราบทูลว่า ขอเดชะ ข้าพระองค์ทำเองพระเจ้า

ข้า พระราชาตรัสว่า เราจำของที่เจ้าทำได้ดี จงบอกมาเถิดว่าของเหล่านี้ใคร
ทำกันแน่ นายช่างสานกราบทูลว่า ขอเดชะ ศิษย์ของข้าพระองค์กระทำพระ
เจ้าข้า พระราชาทรงรับสั่งว่า ผู้นั้นไม่สมควรเป็นศิษย์ เขาจงเป็นอาจารย์
ของเจ้าจึงเหมาะ เจ้าจงศึกษาศิลปะในสำนักของเขาและจำเดิมแต่วันนี้ไป ขอ

ให้เขาทำสิ่งของอย่างนี้ แก่พวกธิดาของเรา และเจ้าจงให้ทรัพย์พันหนึ่งนี้แก่
เขาด้วย ดังนี้แล้ว ทรงพระราชทานทรัพย์พันหนึ่งแล้วตรัสว่า เจ้าจงนำเอา
สิ่งของเครื่องประดับเหล่านี้ ไปให้พวกธิดาของเราด้วย.

แม้นายช่างสานนั้น ก็ได้ถวายใบตาลที่พระโพธิสัตว์ ทรงกระทำเพื่อ
ประโยชน์แก่พระนางประภาวดีเฉพาะพระนางทีเดียว ชนอื่น ย่อมไม่เห็นรูป
ทั้งหลายในใบตาลนั้น ฝ่ายพระนางประภาวดี พอได้ทอดพระเนตรเห็น ก็ทรง
ทราบว่า พระเจ้ากุสราชทรงกระทำ ก็ทรงกริ้วขว้างลงบนพื้นแล้วรับสั่งว่า

ใครอยากได้ ก็จงเอาไปเถิด ลำดับนั้น พวกพระภคินีที่เหลือ ก็ทรงหัวเราะ
เยาะพระนาง นายช่างสาน ถือเอาทรัพย์พันหนึ่ง ไปให้พระโพธิสัตว์แล้วบอก
เรื่องราวนั้นให้ทราบ พระโพธิสัตว์เจ้านั้น ยังทรงดำริว่า แม้ที่นี้ก็ไม่ใช่สถาน
ที่ที่เราควรจะอยู่ จึงมอบทรัพย์พันหนึ่งคืนให้นายช่างสานนั้นแล้ว เสด็จไปยัง
สำนักของนายช่างร้อยดอกไม้ของพระราชา แจ้งความประสงค์ขอเป็นศิษย์
ทรงร้อยพวงมาลาแปลก ๆ หลายอย่างหลายชนิด ได้กระทำทรงเทริดอันหนึ่ง


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ ความรู้จะมีมากขึ้น หากมิมากไปด้วยความเกียจคร้าน
+ อาหารยังมีเฉพาะแต่ละวัยฉันใด แม้พระธรรมคำสอนก็ฉันนั้น
+ ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งใช้ยิ่งมาก
เพราะความมักมากจึงทำจิตให้ตกต่ำ
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.พ. 2019, 19:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
ซึ่งวิจิตรด้วยรูปต่าง ๆ เพื่อประโยชน์แก่พระนางประภาวดี นายมาลาการ
ถือเอาพวงมาลาทั้งหมดนั้น ไปยังราชตระกูล พระราชาทอดพระเนตรเห็น
จึงตรัสถามว่า ดอกไม้เหล่านี้ ใครร้อยเป็นพวงมาลา นายมาลาการ กราบ
ทูลว่า ข้าพระองค์ร้อยเองพระเจ้าข้า พระราชาตรัสว่า ดอกไม้ที่เจ้าเคยร้อย
แล้ว เราจำได้ดี จงบอกมานะว่า ดอกไม้เหล่านี้ใครร้อย นายมาลาการ กราบทูล

ว่า ศิษย์ของข้าพระองค์ร้อยเป็นพวงมาลา พระเจ้าข้า พระราชาตรัสว่า ผู้นั้น
ไม่สมควรเป็นศิษย์ของเจ้า เขาจงเป็นอาจารย์ของเจ้าเถิด เจ้าจงเรียนศิลปะ
ในสำนักของเขา และจำเดิมแต่วันนี้ไป ขอให้เขาได้ร้อยดอกไม้ให้พวกธิดา
ของเราเถิด และเจ้าจงให้ทรัพย์พันหนึ่งนี้แก่เขา ดังนี้แล้ว จึงพระราชทาน
ทรัพย์พันหนึ่งแล้วรับสั่งว่า เจ้าจงนำเอาดอกไม้เหล่านี้ไปให้พวกธิดาของเรา
ด้วย.

แม้ช่างร้อยดอกไม้นั้น ก็ได้ถวายทรงเทริดที่พระมหาสัตว์ ทรงกระทำ
เพื่อประโยชน์แก่พระนางประภาวดี เฉพาะพระหัตถ์พระนางที่เดียว พระนาง
ทรงเห็นรูปต่าง ๆ ของพระองค์และของพระราชาพร้อมทั้งรูปอื่น ๆ อีกเป็น
อันมาก ในทรงเทริดนั้นก็ทรงทราบว่า พระเจ้ากุสราชนั้น ทรงกระทำ จึง

ทรงกริ้วแล้วขว้างลงบนภาคพื้น พวกภคินีที่เหลือ พากันหัวเราะเยาะพระนาง
เหมือนอย่างนั้นทีเดียว แม้นายมาลาการ ก็ได้นำทรัพย์มาให้พระโพธิสัตว์เจ้า
บอกเรื่องนั้นให้ทราบแล้ว พระโพธิสัตว์เจ้านั้น จึงทรงพระดำริว่า แม้สถานที่
นี้ ก็ไม่ใช่ที่ที่เราจะอยู่ได้ จึงคืนทรัพย์พันหนึ่ง ให้แก่นายมาลาการนั้น แล้ว

เสด็จไปยังสำนักของเจ้าพนักงานห้องเครื่องต้นของพระราชา ขอฝากตัวเป็น
ศิษย์ ภายหลังวันหนึ่ง เจ้าพนักงานเครื่องต้นไปถวายแด่พระราชา ก็ได้ให้
ชิ้นเนื้อติดกระดูกชิ้นหนึ่ง แก่พระโพธิสัตว์เจ้า เพื่อให้ปิ้งเป็นประโยชน์ส่วนตัว
พระโพธิสัตว์เจ้า ทรงปิ้งเนื้อนั้นให้มีกลิ่นหอมตลบฟุ้งไป จนทั่วพระนคร
ทั้งหมด พระราชา ทรงได้กลิ่นเนื้อนั้น จึงตรัสถามว่า เจ้าปิ้งเนื้อส่วนอื่น

ของเจ้าไว้ในห้องเครื่องต้นหรือ เจ้าพนักงานเครื่องต้น กราบทูลว่า ไม่มีเลย
พระเจ้าข้า ก็แต่ว่าข้าพระองค์ ได้ให้ชิ้นเนื้อติดกระดูกแก่ลูกมือของข้าพระองค์
เพื่อให้ปิ้งบริโภค กลิ่นนั้นเห็นจะเป็นกลิ่นของเนื้อนั้นนั่นเองพระเจ้าข้า พระ


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ ความรู้จะมีมากขึ้น หากมิมากไปด้วยความเกียจคร้าน
+ อาหารยังมีเฉพาะแต่ละวัยฉันใด แม้พระธรรมคำสอนก็ฉันนั้น
+ ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งใช้ยิ่งมาก
เพราะความมักมากจึงทำจิตให้ตกต่ำ
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.พ. 2019, 19:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
ราชา ทรงรับสั่งให้นำเนื้อนั้นมาแล้ว ทรงแตะวางที่ปลายพระชิวหาหน่อยหนึ่ง
จากเนื้อชิ้นนั้น ในขณะนั้นทีเดียวรสแห่งชิ้นเนื้อนั้น ก็แผ่ซาบซ่านไปทั่ว
ประสาท สำหรับรสถึงเจ็ดพัน พระราชา ทรงติดใจในรสตัณหา จึงทรง
พระราชทานทรัพย์พันหนึ่ง แก่เจ้าพนักงานเครื่องต้นนั้น แล้วทรงรับสั่งว่า

จำเดิมแต่นี้ไป เจ้าจงให้ลูกมือของเจ้าปรุงภัตตาหารให้ แก่พวกธิดาของเรา
และแก่เราด้วยแล้ว เจ้าจงนำมาให้เรา ส่วนลูกมือของเจ้านั้น จงนำไปให้พวก
ธิดาของเรา.

เจ้าพนักงานเครื่องต้นไปบอกแก่พระโพธิสัตว์นั้น ให้ทราบแล้ว
พระโพธิสัตว์เจ้านั้น จึงทรงพระดำริว่าบัดนี้ ความปรารถนาแห่งใจของเราถึง
ที่สุดแล้ว เราจักได้เห็นพระนางประภาวดีในบัดนี้แน่ จึงทรงดีพระทัยแล้ว
คืนทรัพย์พันหนึ่งนั้นให้แก่เจ้าพนักงานเครื่องต้นนั้น ในวันรุ่งขึ้น ทรงจัดแจง
เครื่องเสวยเสร็จแล้ว ส่งเครื่องต้นของพระราชาไปแล้ว ส่วนพระองค์เอง

ทรงหาบกระเช้าเครื่องเสวยของพวกพระราชธิดา เสด็จขึ้นไปยังปราสาท ที่
ประทับของพระนางประภาวดี พระนางได้ทอดพระเนตรเห็นพระโพธิสัตว์เจ้า
นั้น ทรงหาบกระเช้าเครื่องกระยาเสวย เสด็จขึ้นปราสาทมา จึงทรงพระดำริ
ว่า พระเจ้ากุสราชนี้ มากระทำการงาน ที่พวกทาสและกรรมกรจะพึงกระทำ

ช่างไม่สมควรแก่พระองค์เลย ก็ถ้าเราจักนิ่งเฉยเสียสัก ๒, ๓ วัน เธอก็จะ
มีความสำคัญว่า บัดนี้ พระนางประภาวดีนี้ปรารถนาเรา ก็จะไม่ไปไหน มอง
ดูแต่เรา จักอยู่ในที่นี้ทีเดียว บัดนี้ เราจักด่าว่าพระองค์เสียเลยไม่ให้อยู่ในที่นี้
แม้แต่เพียงชั่วครู่หนึ่งแล้ว จักให้ทรงหนีไป พระนางทรงเปิดพระทวารแง้ม
ไว้ครึ่งหนึ่ง ทรงเอาพระหัตถ์ข้างหนึ่งยึดบานประตูไว้ อีกบานหนึ่ง ทรงใส่
ลิ่มเสียแล้ว ตรัสพระคาถาที่ ๒ ว่า


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ ความรู้จะมีมากขึ้น หากมิมากไปด้วยความเกียจคร้าน
+ อาหารยังมีเฉพาะแต่ละวัยฉันใด แม้พระธรรมคำสอนก็ฉันนั้น
+ ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งใช้ยิ่งมาก
เพราะความมักมากจึงทำจิตให้ตกต่ำ
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 2685 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 90, 91, 92, 93, 94, 95, 96 ... 179  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร


cron