วันเวลาปัจจุบัน 15 ก.ย. 2025, 13:56  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


อ่านนิทาน จากบอร์ดเก่า
http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=5



กลับไปยังกระทู้  [ 2685 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 110, 111, 112, 113, 114, 115, 116 ... 179  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 06 มี.ค. 2019, 19:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
พระราชาทรงสดับคำนั้น จึงตรัสว่า ดูก่อนท่านกาฬหัตถีผู้เจริญ ท่าน
รู้เรื่องเปรียบเทียบผู้เดียวหรือ แม้ถึงตัวเราก็คงไม่รู้บ้างละซินะ โดยที่พระองค์
ทรงติดอยู่ในเนื้อมนุษย์ จึงนำเรื่องเก่าแก่มาแสดงตรัสคาถาว่า

กุฏุมพีนามว่า สุชาต โอรสเกิดแก่ตัวของเขา
ไม่ได้ชิ้นชมพู่ เขาตายเพราะสิ้นไปแห่งชิ้นชมพู่ฉันใด
ดูก่อนท่านกาฬะ แม้ตัวเราก็ฉันนั้นเคยบริโภคอาหาร
มีรสอันสูงสุดแล้ว เมื่อไม่ได้เนื้อมนุษย์ก็เห็นจะไม่มี
ชีวิตอยู่ได้เป็นแน่.
คำว่า เขา ในคาถานั้น หมายถึงกุฏุมพีชาต.

เรื่องมีว่า ในอดีตกาล กุฏุมพีชื่อว่าสุชาต ในพระนครพาราณสี เห็น
ฤาษี ๕๐๐ ผู้มาแต่ป่าหิมพานต์ เพื่อต้องการจะได้ฉันรสเค็มและเปรี้ยว นิมนต์
ฤาษีเหล่านั้นให้อยู่ในสวนของตนบำรุงอย่างดี ในเรือนของกุฏุมพีนั้นได้จัด
ภิกษา ๕๐๐ ไว้เป็นนิตย์ แต่ดาบสเหล่านั้น บางคราวก็ไปเที่ยวภิกษาใน
ชนบท นำชิ้นชมพู่ใหญ่มาฉันเสียบ้าง เวลาที่ดาบสเหล่านั้นนำชิ้นชมพู่

มาฉัน สุชาตคิดว่า พระผู้เป็นเจ้าทั้งหลายไม่มา ๓-๔ วันเข้าวันนี้ ท่านไป
ไหนหนอ เขาให้บุตรจับนิ้วมือของตน จูงไปในสำนักของดาบสเหล่านั้น
ในเวลาที่ท่านกำลังฉัน เวลานั้นดาบสที่เป็นนวกะที่สุดให้น้ำบ้วนปากแก่ดาบส
ผู้ใหญ่ทั้งหลายแล้วฉันชิ้นชมพู่อยู่ สุชาตไหว้พวกดาบสแล้วนั่งถามว่า พระ-

ผู้เป็นเจ้าฉันอะไร. พวกดาบสตอบว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุ เราฉันชิ้นชมพู่ใหญ่
กุมารได้ยินดังนั้นเกิดความอยากขึ้น ลำดับนั้น ท่านเจ้าคณะจึงสั่งให้ ให้กุมาร
นั้นหน่อยหนึ่ง เขากินชิ้นชมพู่นั้นแล้วติดอยู่ในรส รบเร้าขออยู่บ่อย ๆ ว่า พ่อ
จงให้ ชิ้นชมพู่แก่ฉัน พ่อจงให้ชิ้นชมพู่แก่ฉันบ้าง ดังนี้ กุฏุมพีกำลังฟังธรรม

พูดลวงบุตรว่า อย่าร้องไปเลยลูก เจ้ากลับบ้านแล้วจักได้กิน ดำริว่า พระผู้
เป็นเจ้าทั้งหลายจักรำคาญ เพราะอาศัยบุตรของเรานี้ ปลอบบุตรอยู่ไม่ทัน
บอกลาพวกฤาษีไปบ้าน ตั้งแต่ไปถึงบ้านแล้ว บุตรของเขาก็รบเร้าว่า พ่อจง


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ รักลูกมากเลี้ยงลูกดีเกินไป ระวังจะเสียใจภายหลัง
+ ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งใช้ยิ่งมาก
เพราะความมักมากจึงทำจิตให้ตกต่ำ
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 06 มี.ค. 2019, 19:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
ให้ชิ้นชมพู่แก่ฉัน พวกฤาษีกล่าวว่า เราอยู่ในที่นี้มานานแล้ว จึงพากันกลับ
ไปป่าหิมพานต์ กุฏุมพีไม่พบฤาษีในอารามได้ให้ชิ้นผลไม้มีมะม่วง ชมพู่ ขนุน
และกล้วยเป็นต้น คลุกด้วยน้ำผึ้งและน้ำตาลกรวดแก่บุตร แต่ชิ้นผลไม้เหล่านั้น
พอถูกปลายลิ้นของเขาก็เป็นเหมือนยาพิษที่ร้ายแรง เขาอดอาหารอยู่ ๗ วัน
ถึงความสิ้นชีวิตแล้ว พระราชาเมื่อทรงนำเหตุนี้มาแสดง จึงได้กล่าวถ้อยคำ

อย่างนี้ว่า ท่านกาฬะ เรากินรสที่สูง ไม่ได้เนื้อมนุษย์เห็นจักต้องตายเหมือน
อย่างบุตรของสุชาตนั้นแล อธิบายว่า บุตรของสุชาตไม่กินอาหารอย่างอื่นตาย
แล้ว เพราะสิ้นไปแห่งชิ้นชมพู่นั้น คำว่า อาหาร หมายถึงขาทนียะ คำว่า
มีรสสูงสุด คือ มีรสอันอุดม คำว่า ละ คือ จักละชีวิต พระบาลีเป็น
หิสฺสามิ ดังนี้ก็มี.

ในลำดับนั้น กาฬหัตถีเสนาบดีคิดว่า พระราชานี้ติดอยู่ในรสเสีย
เหลือเกิน เราจักนำอุทาหรณ์อื่น ๆ มาแสดงแก่พระองค์อีก แล้วทูลว่า
ข้าแต่มหาราชเจ้า ขอพระองค์จงงดเสียเถิด พระราชาตรัสว่า เราไม่อาจจะ
งดเว้นเนื้อมนุษย์ได้ ขอเดชะ ถ้าพระองค์ไม่งด พระองค์จะต้องเสื่อมจาก
พระญาติวงศ์และสิริราชสมบัติ แล้วเล่าเรื่องถวายดังต่อไปนี้.

ข้าแต่มหาราชเจ้า ในอดีตกาล ในเมืองพาราณสีนี้มีสกุลเศรษฐี
รักษาศีล ๕ อยู่สกุลหนึ่ง สกุลนั้นมีบุตรคนหนึ่ง เป็นที่รักใคร่ชอบใจของ
มารดาบิดา เป็นคนฉลาดเรียนจบไตรเพท มาณพนั้นได้ไปเที่ยวกับพวกเพื่อน
ที่หนุ่ม ๆ มีวัยรุ่นราวคราวเดียวกัน พวกเพื่อนเหล่านั้นกินปลาและเนื้อเป็นต้น

ดื่มสุรากันทั้งนั้น แต่มาณพไม่กินเนื้อเป็นต้น ไม่ดื่มสุรา พวกเพื่อนเหล่านั้น
จึงคิดว่า มาณพนี้ไม่ดื่มสุราจักไม่ออกค่าสุราให้แก่พวกเรา พวกเราจักหาอุบาย
ให้เขาดื่มสุราให้จงได้ พวกเพื่อนเหล่านั้นจึงประชุมกันพูดกะเขาว่า ดูก่อนเพื่อน
พวกเราจักเล่นมหรสพในสวน ดูก่อนเพื่อน พวกท่านดื่มสุรา เราไม่ดื่ม
พวกท่านจงไปกันเถิด ดูก่อนเพื่อน พวกเราจักให้เอาน้ำนมไปสำหรับให้ท่าน


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ รักลูกมากเลี้ยงลูกดีเกินไป ระวังจะเสียใจภายหลัง
+ ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งใช้ยิ่งมาก
เพราะความมักมากจึงทำจิตให้ตกต่ำ
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 06 มี.ค. 2019, 19:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
ดื่ม. มาณพนั้นจึงรับว่าจะไปด้วย พวกนักเลงไปถึงสวนแล้วห่อสุราอย่างแรง
วางไว้หลายห่อ ลำดับนั้น ครั้นถึงเวลาที่พวกเขาจะดื่มสุรา เขาจึงส่งน้ำนม
ให้มาณพ นักเลงคนหนึ่งพูดขึ้นว่า เพื่อนเอ๋ย ท่านจงเอาน้ำผึ้งใบบัวมาให้เรา
ให้พวกเพื่อนนำห่อสุรานั้นมาแล้ว จับห่อใบบัวเจาะให้เป็นช่องในข้างใต้ เอา
นิ้วมืออุดที่ปากช่องแล้วยกมาดื่ม แม้พวกเพื่อนพวกนี้ก็ได้นำมาดื่มอย่างนั้น

มาณพถามว่า นั่นห่ออะไร นี้เรียกว่า โบกขรมธุ น้ำผึ้งใบบัว ขอให้ฉัน
ลองดูหน่อยเถิด พวกนักเลงเหล่านั้นพูดว่า ให้แกลองดูหน่อยแล้วส่งให้.
มาณพนั้นดื่มสุราด้วยความสำคัญว่า น้ำผึ้งใบบัว ลำดับนั้น พวกเพื่อนได้ให้
เนื้อปิ้งแก่เขา มาณพได้กินเนื้อปิ้งนั้นแล้ว เมื่อมาณพนั้นดื่มอย่างนี้บ่อย ๆ
เข้าก็เมา ในเวลาที่เขาเมาแล้ว พวกเพื่อน ๆ จึงบอกว่า นั่นไม่ใช่น้ำผึ้งใบบัว

นั่นแหละสุราละ. มาณพนั้นจึงกล่าวว่า เราไม่รู้จักรสอร่อยอย่างนี้มาเป็นเวลา
นานถึงเพียงนี้ ท่านผู้เจริญจงนำสุรามาให้อีก. พวกนักเลงเหล่านั้นก็ได้ให้
สุราอีก มาณพนั้นได้เป็นผู้อยากดื่มมาก ครั้นตัวขอเขาบ่อย ๆ เขาก็ตอบว่า
หมดแล้ว. มาณพนั้นจึงส่งแหวนให้กล่าวว่า จงไปเอาสุรามาเถิดเพื่อน เขาดื่ม
กับพวกเพื่อนตลอดวันยังค่ำ เมาจนตาแดง ตัวสั่นพูดอ้อแอ้ ไปถึงบ้านแล้ว

ก็นอน. ลำดับนั้น บิดาของเขาทราบว่า ลูกชายดื่มสุรา เมื่อลูกสร่างเมาแล้ว
จึงพูดว่า ลูกเอ๋ย เจ้าเกิดมาในตระกูลเศรษฐี ทำอย่างนี้ไม่เหมาะนะ เจ้าอย่า
ประพฤติอย่างนี้อีกเลย เขาย้อนถามว่า คุณพ่อครับ ผมมีความผิดอย่างไร.

พ่อตอบว่า เจ้ามีความผิดเพราะเจ้าดื่มสุรา ลูกย้อนว่า คุณพ่อพูดอะไร รสอร่อย
เช่นนี้ ผมไม่เคยได้ดื่มมาเป็นเวลานานถึงเพียงนี้ พราหมณ์ผู้บิดาจึงขอร้อง
อยู่บ่อย ๆ แม้มาณพนั้น ก็คงกล่าวยืนคำเดิมอยู่ว่า ผมไม่อาจจะงดการดื่มลง


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ รักลูกมากเลี้ยงลูกดีเกินไป ระวังจะเสียใจภายหลัง
+ ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งใช้ยิ่งมาก
เพราะความมักมากจึงทำจิตให้ตกต่ำ
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 06 มี.ค. 2019, 19:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
ได้. ลำดับนั้น พราหมณ์จึงคิดว่า เมื่อเป็นเช่นนี้ วงศ์สกุลของเราคงจักขาด
สูญเป็นแน่ อีกทั้งทรัพย์ก็จักพลอยพินาศไปด้วย แล้วกล่าวคาถาว่า
ดูก่อนมาณพเอ๋ย เจ้าเป็นผู้มีรูปร่างงาม เจ้าเกิด
มาในตระกูลพราหมณ์ เจ้าไม่ควรกินสิ่งที่ไม่ควรกิน
นะลูก.

คำว่า ไม่ควรกินสิ่งที่ไม่ควรกิน ในคาถานั้น หมายถึงเจ้าไม่
สมควรที่จะกินสิ่งที่เจ้าไม่น่าจะกินเลย.
ก็แลครั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว บิดาจึงกล่าวต่อไปว่า งดเสียเถิดพ่อ ถ้า
เจ้าไม่งด เจ้าต้องออกจากสมบัติและเรือนนี้ ข้าจักเนรเทศเจ้าออกจากแคว้น
มาณพกล่าวว่า แม้คุณพ่อจักลงโทษถึงอย่างนี้ ผมก็จักออกไป ผมไม่อาจจะ
ละสุราได้ดังนี้ แล้วกล่าวคาถา ๒ คาถาว่า

ข้าแต่คุณพ่อ บรรดารสทั้งหลาย ปานะนี้ก็นับ
ว่าเป็นรสอย่างใดอย่างหนึ่ง ทำไมคุณพ่อจึงต้องห้ามผม
ผมจักไปในสถานที่ที่ผมได้รสเช่นนี้ ผมเป็นลูกที่
คุณพ่อไม่อยากจะเห็นหน้า ผมจักออกจากบ้านไป
จักไม่อยู่ในสำนักของคุณพ่อ.

คำว่า รส ในคาถานั้น อธิบายว่า รสทั้ง ๗ อย่างบรรดามี กล่าวคือ
รสเค็ม รสเปรี้ยว รสขม รสเผ็ด รสขื่น รสหวาน รสฝาดนั้น ขึ้นชื่อว่า
น้ำเมานี้ จัดว่าเป็นรสอันหนึ่ง. คำว่า ผม หมายถึงตัวผมผู้เดียวเท่านั้น.
คำว่า จักออก คือ จักออกไปจากบ้าน.

ครั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว มาณพจึงกล่าวต่อไปว่า ผมจักไม่งดจากการ
ดื่มสุรา คุณพ่อจะกระทำอย่างใดก็จงกระทำตามความพอใจของคุณพ่อเถิด
พราหมณ์กล่าวว่า เมื่อเจ้าทิ้งข้าได้ แม้ข้าก็จักทิ้งเจ้าได้เหมือนกันแหละ แล้ว
กล่าวคาถาว่า


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ รักลูกมากเลี้ยงลูกดีเกินไป ระวังจะเสียใจภายหลัง
+ ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งใช้ยิ่งมาก
เพราะความมักมากจึงทำจิตให้ตกต่ำ
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 06 มี.ค. 2019, 19:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
พ่อมาณพเอ๋ย ข้าจักได้บุตรที่เป็นทายาทแม้
เหล่าอื่นอีกอย่างเป็นแน่ แน่ะเจ้าคนชาติชั่ว จงพินาศ
เจ้าจงไปในสถานที่ที่ข้าไม่ได้ยินชื่อของเจ้า.
คำว่า เจ้าจงไป ในคาถานั้น มีอธิบายว่า เจ้าจะไปอยู่ในที่ใด
เราไม่ได้ยินว่า เจ้าไปอยู่ ณ ที่โน้น เจ้าจงไป ณ ที่นั้น.

ลำดับนั้น พราหมณ์ผู้บิดาจึงนำตัวมาณพนั้นไปยังศาล กระทำไม่ให้
เป็นลูกกัน ไล่ออกไป. มาณพนั้น ครั้นต่อมาก็กลายเป็นคนกำพร้า หาที่พึ่ง
มิได้ นุ่งผ้าขี้ริ้ว ถือกระเบื้องเที่ยวขอทาน อาศัยฝาเรือนแห่งใดแห่งหนึ่ง
ตายแล้ว. กาฬหัตถีเสนาบดีนำเอาเหตุนี้มาแสดงแก่พระราชาแล้ว กราบทูลว่า
ข้าแต่มหาราชเจ้า ถ้าพระองค์ไม่ทรงกระทำตามถ้อยคำของพวกข้าพระองค์
พวกชาวเมืองก็จะกระทำการเนรเทศพระองค์เสียเป็นแน่ แล้วกล่าวคาถาว่า

ข้าแต่มหาราชเจ้า ผู้เป็นจอมประชาชน พระองค์
ก็เหมือนกัน จงทรงสดับถ้อยคำของข้าพระองค์ ข้า
พระองค์จักเนรเทศพระองค์เสียจากแว่นแคว้น เหมือน
อย่างมาณพนักดื่ม ฉะนั้น.

แม้กาฬหัตถีเสนาบดีได้นำเอาเรื่องอุปมาต่าง ๆ มาเล่าถวายอย่างนี้
พระราชาก็ไม่อาจจะอดเนื้อนั้นได้ ตรัสแสดงตัวอย่างเทียม แม้อย่างอื่นอีกต่อไป
โดยคาถาว่า

สาวกของพวกฤาษีผู้มีตนอันอบรมแล้ว นามว่า
สุชาต เขาอยากได้นางอัปสรจนไม่กินไม่ดื่มกามของ
มนุษย์ในสำนักกามอันเป็นทิพย์ เท่ากับเอาน้ำด้วย
ปลายหญ้าคา มาเทียบกับน้ำในมหาสมุทร.

ท่านกาฬะ เราได้บริโภคของกินที่มีรสอย่างสูง
แล้วไม่ได้เนื้อมนุษย์ เห็นจักต้องละชีวิตเหมือนอย่าง
สุชาต ฉะนั้นแล.


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ รักลูกมากเลี้ยงลูกดีเกินไป ระวังจะเสียใจภายหลัง
+ ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งใช้ยิ่งมาก
เพราะความมักมากจึงทำจิตให้ตกต่ำ
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 06 มี.ค. 2019, 19:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
ก็นิทานแห่งคาถานี้ ตอนต้นเหมือนกับเรื่องที่กล่าวไว้แล้วคราวก่อน.
คำว่า ผู้มีตนอันอบรมแล้ว หมายถึงฤาษีทั้ง ๕๐๐ เหล่านั้น ผู้ได้อบรมตน
มาแล้ว. คำว่า อยากได้นางอัปสร มีเรื่องเล่าไว้ว่า ได้ยินว่า ในเวลาที่
พวกฤาษีเหล่านั้นฉันชิ้นชมพู่ใหญ่ สุชาตทราบว่าท่านไม่มาแน่ จึงคิดว่า ท่าน
ไม่มาด้วยเหตุไรหนอ ถ้าท่านไปไหน เราจักทราบ ถ้าท่านไม่ได้ไป เราจัก

ได้ฟังธรรมในสำนักของท่าน แล้วไปสู่สวนไหว้เท้าของฤาษีทั้งหลายแล้ว นั่ง
ฟังธรรมอยู่ในสำนักของเจ้าคณะ เมื่อพระอาทิตย์อัสดงคตแล้ว ท่านเจ้าคณะ
บอกให้กลับ จึงกล่าวว่า วันนี้ข้าพเจ้าจักพักแรมอยู่ในสวนนี้ ไหว้พวกฤาษี
แล้วเข้าไปยังบรรณศาลานอนแล้ว ครั้นพอเวลากลางคืน ท้าวสักกเทวราชมี

หมู่นางอัปสรแวดล้อมแล้ว เสด็จมาไหว้พวกฤาษีพร้อมด้วยนางบริจาริกาของ
ตน อารามทั้งสิ้นได้มีแสงสว่างเป็นอันเดียวกัน สุชาตคิดว่า นั่นอะไรกันหนอ
จึงลุกขึ้นมองดูทางช่องบรรณศาลา มองเห็นท้าวสักกะมาไหว้พวกฤาษี มีนาง
เทพอัปสรแวดล้อมอยู่ เกิดความกำหนัด ด้วยอำนาจราคะพร้อมกับที่ได้เห็นพวก

นางอัปสร ท้าวสักกะประทับนั่งสดับธรรมกถาแล้ว เสด็จกลับยังพิภพของ
พระองค์. ส่วนกุฏุมพี ครั้นวันรุ่งขึ้นไหว้พวกฤาษีแล้วถามว่า ผู้ที่มาไหว้ท่าน
ทั้งหลายเมื่อคืนนี้เป็นใครขอรับ พวกฤาษีตอบว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุ นั่นแหละ
พระอินทร์ละ. เขาถามต่อไปว่า ผู้ที่นั่งแวดล้อมพระอินทร์อยู่นั่นเป็นอะไร.
ตอบว่า นั่นแหละนางเทพอัปสร. เขาไหว้พวกฤาษีแล้วกลับไปบ้าน ตั้งแต่

กาลที่เขาไปถึงบ้านแล้ว ก็พูดเพ้ออยู่ว่า ท่านจงให้นางอัปสรแก่เรา ท่านจง
ให้นางอัปสรแก่เราเถิด ลำดับนั้น พวกญาติจึงห้อมล้อมเขา สำคัญว่า ถูก
ผีเข้าสิงดังนี้ จึงดีดนิ้วมือ กุฏุมพีนั้นกล่าวว่า เรามิได้พูดถึงอัปสรนี้ แต่เรา
พูดถึงเทพอัปสร พวกญาติเหล่านั้นจึงแต่งตัวภรรยา และหญิงแพศยาพามา


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ รักลูกมากเลี้ยงลูกดีเกินไป ระวังจะเสียใจภายหลัง
+ ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งใช้ยิ่งมาก
เพราะความมักมากจึงทำจิตให้ตกต่ำ
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 06 มี.ค. 2019, 19:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
แสดงว่า นี้ไงนางอัปสร เขาแลดูแล้วพูดว่า นี่ไม่ใช่นางอัปสร นี่เป็นนาง
ยักษิณี แล้วบ่นเพ้อต่อไปว่า จงให้นางเทพอัปสรแก่เรา อดอาหารถึงความ
สิ้นชีวิตในเรือนของตนนั่นเอง เพราะฉะนั้น พระราชาจึงตรัสว่า

สุชาตนั้น อยากได้นางอัปสร จนไม่ยอมกินไม่
ยอมดื่มเท่ากับเอาน้ำด้วยปลายหญ้าคาเทียบกับน้ำใน
มหาสมุทร.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สมุทฺเท อุทกํ มิเน ความว่า
ดูก่อนท่านกาฬหัตถีผู้เป็นสหาย บุคคลใดถือเอาน้ำด้วยปลายหญ้าคานำมา
เทียบกับน้ำในมหาสมุทรว่า น้ำในมหาสมุทรมีประมาณเพียงเท่านี้ ดังนี้ บุคคล
นั้นพึงเปรียบเทียบได้อย่างเดียว ด้วยว่าน้ำในปลายหญ้าคามีประมาณน้อย
เหลือเกิน ถ้าจะเปรียบเทียบกามของมนุษย์ในสำนักของกามทิพย์ ก็เป็นเช่น

เดียวกันฉันนั้น เพราะฉะนั้น สุชาตนั้นจึงไม่แลดูหญิงอื่น ปรารถนานางเทพ-
อัปสรอย่างเดียว จึงตาย. พระราชาตรัสว่า สุชาตนั้นเมื่อไม่ได้กามอันเป็น
ทิพย์ก็ละชีวิตไปแล้วฉันใด แม้ตัวเราก็ฉันนั้น เมื่อไม่ได้เนื้อมนุษย์ซึ่งมีรส
อันสูงสุด ก็จักละชีวิตเหมือนกันฉันนั้นแล.

ท่านกาฬหัตถีได้สดับดังนั้น จึงคิดว่า พระราชาพระองค์นี้ ทรงติดอยู่
ในรสอย่างมากมาย จักทูลเตือนให้พระองค์ทรงรู้สึก เมื่อจะแสดงเรื่องเปรียบ
เทียบว่าแม้สุพรรณหงส์ตัวเที่ยวบินไปทางอากาศ กินเนื้อสัตว์ชาติเดียวกันกับตน
ก็พินาศมาแล้วเหมือนกัน แล้วกล่าวคาถา ๒ คาถาว่า

เหมือนอย่างพวกหงส์ชาติธตรฐ เป็นสัตว์สัญจร
ไปทางอากาศ ได้ถึงความพินาศด้วยกันทั้งหมด เพราะ
บริโภคอาหารที่ไม่สมควร.

ข้าแต่มหาราชเจ้า ผู้เป็นจอมแห่งประชาชน ถึง
พระองค์ก็เหมือนกัน จงทรงสดับถ้อยคำของข้าพระ-
องค์ เพราะพระองค์เสวยมังสะที่ไม่ควรจะเสวย ฉะนั้น
เขาจักเนรเทศพระองค์.


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ รักลูกมากเลี้ยงลูกดีเกินไป ระวังจะเสียใจภายหลัง
+ ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งใช้ยิ่งมาก
เพราะความมักมากจึงทำจิตให้ตกต่ำ
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 06 มี.ค. 2019, 20:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
อธิบายความในคาถานั้นว่า พวกหงส์ชาติธตรฐ ได้ถึงความตายด้วย
กันทั้งหมด เพราะบริโภคอาหารที่มิใช่อาชีพของตน.
มีเรื่องเล่าไว้ว่า ได้ยินว่า ในอดีตกาล หงส์เก้าหมื่นตัวกินข้าวสาลี
อยู่ในสุวรรณคูหาเขาจิตตกูฏ หงส์เหล่านั้น ไม่ยอมออกนอกถ้ำตลอด ๔ เดือน
ในฤดูฝน ถ้าออกไปปีกจะเต็มด้วยน้ำไม่อาจจะบินขึ้นได้ ต้องตกลงในมหาสมุทร
แน่ เพราะฉะนั้น จึงไม่ยอมออกนอกถ้ำ เมื่อจวนจะถึงฤดูฝน นำข้าวสาลีที่

เกิดเองตามธรรมชาติมาจากชาตสระจนเต็มถ้ำ กินข้าวสาลีนั้นอยู่ด้วยกัน และ
ในเวลาที่หงส์เหล่านั้นเข้าไปถ้ำแล้ว แมลงมุมตัวหนึ่งตัวมันเท่ากับล้อรถ ขึงใย
ไว้ที่ประตูถ้ำเดือนละเส้น ๆ ใยของมันเส้นหนึ่ง ๆ เท่าเชือกผูกโค. พวกหงส์
จึงคิดจะทำลายใยแมลงมุมนั้น ให้อาหารแก่หงส์หนุ่มตัวหนึ่งสองส่วน หงส์
หนุ่มตัวนั้น เมื่อสิ้นฤดูฝนจึงออกนำหน้าทำลายใยนั้นออกไป หงส์นอกนั้น

ก็เดินตามไปทางนั้น. ครั้นสมัยหนึ่ง ฤดูฝนล่าไปถึง ๕ เดือน หงส์เหล่านั้น
ก็หมดอาหาร ปรึกษากันว่า จะทำอย่างไรหนอ ตกลงกันว่า เมื่อเราทั้งหลาย
ยังมีชีวิตอยู่ จักได้ไข่ แล้วจึงกินไข่เสียก่อน แล้วกินลูกหงส์ กินหงส์แก่
เป็นลำดับมา เมื่อฤดูฝนถึง ๕ เดือน แมลงมุมขึงใยได้ ๕ เส้น พวกหงส์กิน

เนื้อพวกเดียวกันเป็นสัตว์มีกำลังน้อย หงส์หนุ่มที่ได้อาหารสองส่วน ตีขาดได้
เพียง ๔ เส้น ตีเส้นที่ ๕ ไม่ขาด ติดอยู่ตรงนั้นเอง ถูกแมลงมุมเจาะศีรษะ
ดื่มเลือดกินเสีย แม้ตัวอื่นมาตีอีกก็ติดอยู่ในเส้นนั้น อีกโดยทำนองนี้ถูกแมลงมุม
ดื่มเลือดกินจนหมด เขากล่าวกันว่า ตระกูลธตรฐสูญในคราวนั้น เพราะ
ฉะนั้น ท่านกาฬหัตถีเสนาบดี จึงกล่าวว่า หงส์เหล่านั้นถึงความพินาศด้วยกัน
ทั้งหมด.


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ รักลูกมากเลี้ยงลูกดีเกินไป ระวังจะเสียใจภายหลัง
+ ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งใช้ยิ่งมาก
เพราะความมักมากจึงทำจิตให้ตกต่ำ
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 06 มี.ค. 2019, 20:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
ในคาถาที่สองมีอธิบายว่า หงส์เหล่านั้นกินเนื้อของสัตว์ชาติเดียวกัน
ซึ่งไม่ควรจะบริโภค ฉันใด แม้พระองค์ก็บริโภคเนื้อที่ไม่สมควรบริโภคฉันนั้น
เหมือนกัน ในขณะนี้พระนครทั้งสิ้นเกิดภัยขึ้นแล้ว ข้าแต่มหาราชเจ้า ขอ
พระองค์จงงดเว้นเสียเถิด เพราะเหตุที่พระองค์ เสวยเนื้อมนุษย์ชาติเดียวกัน
ซึ่งมิใช่เป็นอาหารที่ควรจะบริโภค เพราะฉะนั้น ชาวเมืองเหล่านี้จักพากัน
เนรเทศพระองค์เสียจากแว่นแคว้น.

แม้พระราชาก็ทรงมีพระประสงค์ จะทรงนำเรื่องอื่นมาเปรียบเทียบอีก
แต่ชาวเมืองลุกขึ้นร้องว่า ท่านเสนาบดีทำอะไร จะเอาโจรกินเนื้อมนุษย์ไว้
ทำไม ถ้าเธอจักไม่ยอมอด จงเนรเทศเธอเสียจากแคว้นก็แล้วกัน ไม่ให้ตรัส
ได้ต่อไป. พระราชาได้ทรงสดับถ้อยคำของคนหมู่มาก ตกพระทัยไม่อาจจะ

ตรัสอะไรต่อไปได้ ท่านเสนาบดีกราบทูลต่อไปอีกว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า
พระองค์อาจงดได้หรือไม่ เมื่อพระราชาตรัสตอบว่า ไม่อาจ จึงจัดพระสนม
กำนัลในทุกหมู่เหล่า ทั้งพระโอรสพระธิดา ล้วนประดับประดาด้วยเครื่อง
อลังการ ให้มาเฝ้าอยู่พร้อมพรั่งข้างพระองค์ กราบทูลว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า
ขอพระองค์จงทอดพระเนตรพระญาติพระวงศ์หมู่อำมาตย์และสิริราชสมบัตินี้

พระองค์อย่าได้ทรงพินาศ ต้องพลัดพรากจากสิ่งเหล่านี้ จงงดจากการเสวยเนื้อ
มนุษย์เสียเถิด พระราชาตรัสว่า คนและสมบัติเหล่านี้ มิได้เป็นที่รักของเรา
ยิ่งไปกว่าเนื้อมนุษย์ เมื่อเสนาบดีกราบทูลว่า ถ้าเช่นนั้นพระองค์ต้องเสด็จ
ออกจากพระนครและแคว้นนี้ จึงตรัสว่า ท่านกาฬหัตถีเสนาบดี ประโยชน์

ด้วยราชสมบัติของเราไม่มี เรายอมออกจากพระนคร แต่จงให้ดาบเล่มหนึ่ง
คนทำกับข้าวคนหนึ่ง ภาชนะใบหนึ่งแก่เรา. ครั้งนั้น ชาวพระนคร ให้ยกดาบ
เล่มหนึ่ง ภาชนะที่สำหรับทำเนื้อมนุษย์ให้สุกใบหนึ่ง กระเช้าและคนทำเครื่อง


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ รักลูกมากเลี้ยงลูกดีเกินไป ระวังจะเสียใจภายหลัง
+ ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งใช้ยิ่งมาก
เพราะความมักมากจึงทำจิตให้ตกต่ำ
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 06 มี.ค. 2019, 20:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
ต้นนั้นมาถวายพระราชานั้น แล้วกระทำการเนรเทศพระองค์เสียจากแคว้น
เธอถือดาบพาคนทำเครื่องต้นออกจากพระนครเข้าป่า ทำที่อยู่ที่ใต้ต้นไทร
แห่งหนึ่งอยู่ในที่นั้น ได้ไปดักอยู่ที่ทางดง ฆ่าคนไปมาแล้วนำมาให้คนทำ
เครื่องต้น คนทำเครื่องต้นนั้นได้ทำเนื้อให้สุกแล้ว ถวายพระราชาเป็นอยู่อย่าง
นี้ทั้งสองคน เมื่อเธอร้องว่า เราเป็นโจรกินคนชื่อโปริสาท แล้ววิ่งไป ใคร ๆ

ไม่อาจดำรงอยู่โดยสภาพของตนได้ ล้มลง ณ ภาคพื้นทั้งหมด ในคนเหล่านั้น
เธอปรารถนาคนใด ก็กระทำคนนั้นให้มีเท้าในเบื้องบน ให้มีศีรษะในเบื้องล่าง
นำมาให้แก่คนทำเครื่องต้น วันหนึ่งไม่ได้เนื้อกลับมา เมื่อคนทำเครื่องต้นทูล
ถามว่า จะทำอย่างไร พระเจ้าข้า ก็ตรัสว่า ยกหม้อขึ้นตั้งบนเตาเถิด คนทำ

เครื่องต้นถามว่า เนื้อที่ไหนพระเจ้าข้า ตรัสตอบว่า เราจักได้เนื้อ คนทำ
เครื่องต้น ตัวสั่นด้วยมั่นใจว่า ชีวิตของเราคงไม่รอดเป็นแน่ ถวายบังคม
พระราชาแล้วร้องไห้พลางก่อไฟยกหม้อขึ้นตั้งบนเตา ครั้นนั้นพระเจ้าโปริสาท
จึงประหารคนทำเครื่องต้นนั้นด้วยดาบ ฆ่าให้ตายแล้วจัดทำเนื้อให้สุกดีด้วย

พระองค์เองเสร็จแล้วก็เสวย ตั้งแต่นั้นมาก็อยู่เพียงพระองค์เดียว ได้มนุษย์ใด ๆ
มาต้องทำกินเอง เรื่องพระเจ้าโปริสาทดักทางมนุษย์ ได้กระฉ่อนเลื่องลือไป
ทั่วชมพูทวีปแล้วแล. จบปัพพาชนียกัณฑ์.

ครั้นนั้น พราหมณ์คนหนึ่งมีสมบัติบริบูรณ์ ประกอบพาณิชยกรรม
ด้วยเกวียน ๕๐๐ เล่ม เดินทางจากต้นดงถึงปลายดงเสมอ เขาคิดว่า เขาเล่าลือ
กันว่า โจรโปริสาทฆ่ามนุษย์เดินทางเสียเป็นอันมาก เราจักจ้างคนให้นำข้ามดง
นั้น แล้วให้ทรัพย์พันหนึ่งแก่พวกปากดง กล่าวว่า ท่านจงช่วยนำเราให้เดินพ้น

ดงไปทีเถิด แล้วเดินทางไปกับคนพวกนั้น ให้พวกเกวียนไปข้างหน้าทั้งหมด
ส่วนตัวเองอาบน้ำลูบไล้เป็นอย่างดีแล้วก็ประดับประดาด้วยเครื่องอลังการทั้ง-
ปวง นั่งบนยานน้อยที่สบายเทียมด้วยโคเผือก มีพวกนำข้ามดงแวดล้อมไป


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ รักลูกมากเลี้ยงลูกดีเกินไป ระวังจะเสียใจภายหลัง
+ ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งใช้ยิ่งมาก
เพราะความมักมากจึงทำจิตให้ตกต่ำ
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 06 มี.ค. 2019, 20:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
ข้างหลังเขาทั้งหมด ขณะนั้นเจ้าโปริสาทขึ้นบนต้นไม้มองดู ไม่พอใจในคน
อื่นๆ ด้วยคิดว่า เราจะกินพวกเขาเหล่านี้ทำไมกัน พอเห็นพราหมณ์ก็อยากกิน
จนน้ำลายไหล เมื่อพราหมณ์นั้นเข้ามาใกล้ จึงลงจากต้นไม้ประกาศชื่อว่า เฮ้ย
กูนี่แหละคือโจรโปริสาท ดังนี้ ๓ ครั้งแล้ว วิ่งแกว่งดาบดุจทำดวงตาของคน

เหล่านั้นให้เต็มด้วยทราย ไม่มีใครแม้สักคนเดียวที่สามารถจะทรงตนอยู่ได้
หมอบลงราบพื้นดินทั้งหมด เจ้าโปริสาทจับพราหมณ์ผู้นั่งบนยานนั้นที่เท้า ทำ
ศีรษะให้ห้อยลงในเบื้องต่ำ ประหารศีรษะด้วยข้อเท้าแล้วแบกไป พวกรับอาสา
นำทางลุกขึ้นได้ จึงกล่าวว่า เฮ้ย พวกเรารับเอากหาปณะพันหนึ่งจากมือของ

พราหมณ์ การทำงานแห่งลูกผู้ชายของพวกเรา อาจหรือไม่อาจ อย่างไรก็ตาม
ลองช่วยกันติดตามดูหน่อยเถิด ว่าแล้วก็พากันติดตามไป ส่วนเจ้าโปริสาท
เมื่อกลับเหลียวหลังดูไม่พบใคร ๆ จึงค่อยเดินไป ขณะนั้น บุรุษผู้กล้าหาญ
สมบูรณ์ด้วยกำลังคนหนึ่ง วิ่งตามไปโดยเร็ว ทันเจ้าโปริสาท เจ้าโปริสาท

เห็นบุรุษนั้น จึงกระโดดข้ามรั้วแห่งหนึ่ง เผอิญเท้ากระทบกับตอตะเคียน
ถูกตอตะเคียนแทงทะลุหลังเท้า เลือดไหลฉูดเดินเขยกไป ครั้นบุรุษนั้นเห็น
อาการเช่นนั้น จึงร้องว่า มันถูกเราแทงแล้วโว้ย พวกเราจงตามมาเร็ว ๆ เถิด
จับมันให้ได้ คนเหล่านั้นรู้ว่า เจ้าโปริสาททุพลภาพลงจึงติดตามไปพร้อมกัน

เจ้าโปริสาทก็รู้ว่า พวกเขากำลังติดตามมา จึงปล่อยพราหมณ์เอาตัวรอดไป
พวกคนรับอาสานำทางเมื่อได้พราหมณ์มาแล้ว ก็กล่าวว่า ธุระอะไรของพวก
เราด้วยการจับโจร จึงพากันกลับเพียงแค่นั้นเอง. ส่วนเจ้าโปริสาท พอไปถึง
โคนต้นไทรของตนแล้ว เข้านอนอยู่ภายในย่านนั้น ได้ทำพิธีบวงสรวงว่า


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ รักลูกมากเลี้ยงลูกดีเกินไป ระวังจะเสียใจภายหลัง
+ ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งใช้ยิ่งมาก
เพราะความมักมากจึงทำจิตให้ตกต่ำ
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 06 มี.ค. 2019, 20:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
ข้าแต่เจ้ารุกขเทวดา ถ้าท่านสามารถทำแผลของข้าพเจ้า ให้หายได้ภายใน ๗ วัน
นี้ ข้าพเจ้าจักล้างลำต้นของท่านด้วยเลือดในลำคอของกษัตริย์ ๑๐๑ พระองค์
ในชมพูทวีปทั้งหมด จักแวดวงด้วยลำไส้ของกษัตริย์เหล่านั้น จักกระทำ
พลีกรรมด้วยเนื้อมีรส ๕ ดังนี้ เมื่อเขาไม่ได้มังสะและข้าวน้ำ ร่างกายซูบซีดลง

แผลได้หายภายใน ๗ วันนั้นเอง เขาจึงสำคัญไปว่า เป็นด้วยอานุภาพของ
เทวดา ครั้นได้กินเนื้อมนุษย์ ๒-๓ วัน ได้มีกำลังดีแล้ว จึงคิดอย่างนี้ว่า
เทวดามีอุปการะแก่เรามากมาย เราจักแก้บนแก่ท่าน แล้วถือดาบออกจากโคน
ต้นไม้ ด้วยหวังใจว่า จักนำพระราชามาให้ได้.

ครั้งนั้น ยักษ์ผู้เป็นสหายกินเนื้อด้วยกัน ครั้งที่เจ้าโปริสาทเคยเป็น
ยักษ์ในภพก่อน เที่ยวอยู่ตามถิ่นนั้น พบเจ้าโปริสาทจำได้ว่า นี้เป็นสหายของ
เราในภพอดีต จึงถามว่า จำเราได้ไหมเพื่อน เจ้าโปริสาทตอบว่า จำไม่ได้
เขาจึงได้เล่าเรื่องเหตุการณ์ที่ได้เคยร่วมกันมา ครั้งที่เจ้าโปริสาทเป็นยักษ์ เมื่อ
ภพก่อนให้เจ้าโปริสาทฟัง. เจ้าโปริสาทจำยักษ์นั้นได้ จึงกระทำการต้อนรับ

ยักษ์ถามว่า ท่านเกิดที่ไหน เจ้าโปริสาทได้แจ้งสถานที่ที่ตนเกิดแล้ว และ
เหตุการณ์ที่ต้องถูกเนรเทศจากแคว้นและสถานที่ที่อยู่ในบัดนี้ เหตุที่ถูกตอไม้
แทงแล้ว เหตุที่จะไปเพื่อแก้บนแก่เทวดา ให้ทราบทุกประการแล้วกล่าวว่า
นี่หน้าที่ของเรา ท่านต้องช่วยด้วยนะ เราทั้งสองไปด้วยกันเถิดเพื่อน. ยักษ์

ตอบว่า เพื่อนเอ๋ย เรายังไปร่วมด้วยไม่ได้ เพราะกิจอย่างหนึ่งของเรายังมีอยู่
แต่เรารู้มนต์ชื่อปทลักขณะ หาค่ามิได้ มนต์นั้นทำให้มีกำลัง ให้วิ่งได้เร็ว และ
มีเดชสูง เธอจงเรียนมนต์นี้ไปเถิด เมื่อเจ้าโปริสาทรับคำแล้ว ยักษ์จึงให้มนต์
นั้นแก่เจ้าโปริสาทแล้วหลีกไป. เจ้าโปริสาทตั้งแต่ได้มนต์แล้วก็วิ่งได้เร็วเหมือน

ลมพัด กล้าหาญมาก มีกำลังและความเพียรมาก ได้พบพระราชา ๑๐๑ พระ
องค์ซึ่งกำลังเสด็จประพาสพระราชอุทยานเป็นต้น วิ่งไปด้วยกำลังดุจลม ประกาศ
นามแล้วคำรามบันลือลั่น ให้กษัตริย์เหล่านั้นตกพระทัยแล้ว จับพระบาทให้มี
เศียรในเบื้องต่ำ ประหารศีรษะด้วยส้น นำไปด้วยกำลังดุจลม ทำช่องที่ฝ่า

พระหัตถ์ของกษัตริย์เหล่านั้นแล้วร้อยด้วยเชือกผูกแขวนไว้ที่ต้นไทร จับได้
หมดภายใน ๗ วันนั้นเอง พระราชาเหล่านั้นทั้งหมด ปลายนิ้วพระบาทพอ
จรดพื้น ห้อยกวัดแกว่งอยู่ดุจพวงดอกหงอนไก่ ที่เหี่ยวในเมื่อลมพัดต้องอยู่
ดูช่างน่าสังเวช ส่วนพระเจ้าสุตโสม เจ้าโปริสาทมิได้จับไปเพราะเห็นว่าเป็น


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ รักลูกมากเลี้ยงลูกดีเกินไป ระวังจะเสียใจภายหลัง
+ ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งใช้ยิ่งมาก
เพราะความมักมากจึงทำจิตให้ตกต่ำ
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 07 มี.ค. 2019, 07:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
พระอาจารย์ในหนหลังของตน และเกรงว่าถ้าขืนจับเอาไป ชมพูทวีปก็จัก
ว่างเปล่าจากกษัตริย์ เธอตั้งใจจะกระทำพลีกรรม ก่อไฟแล้วนั่งถากหลาวอยู่
รุกขเทวดาเห็นการกระทำของเธอคิดว่า เจ้าโปริสาทจักทำพลีกรรมแก่เรา
ความผาสุกแม้สักหน่อยหนึ่งในแผลของเขา เรามิได้กระทำให้ บัดนี้ความ

ผาสุกของเขานั้น จักทำความพินาศใหญ่ให้แก่พระราชาเหล่านี้ เราจะทำอย่าง
ไรหนอ ครั้นเห็นว่าตนไม่อาจจะห้ามได้ จึงไปยังสำนักท้าวมหาราชทั้ง ๔
เล่าความนั้นให้ฟังแล้วกล่าวว่า ขอท่านทั้งหลายจงช่วยห้ามเขาด้วย เมื่อท้าว
มหาราชตอบว่า แม้พวกเราก็ไม่อาจจะห้ามเขาได้ จึงเข้าไปเฝ้าท้าวสักกเทวราช
ทูลเล่าความนั้นให้ทรงทราบแล้ว กราบทูลว่า ขอพระองค์ได้โปรดห้ามเขาด้วย
แม้ท้าวสักกเทวราชก็ตรัสว่า เราก็ไม่อาจจะห้ามเขาได้ แต่เราจะออกอุบาย

อย่างหนึ่งให้ เมื่อรุกขเทวดานั้นทูลถามว่า อุบายนั้นเป็นอย่างไร ท้าวสักก-
เทวราชตรัสว่า คนอื่นในโลกทั้งเทวดาที่จะเสมอเหมือนไม่มี ผู้นั้นคือราชโอรส
ของพระเจ้าโกรัพยะ ในพระนครอินทปัต แคว้นกุรุ พระนามว่าสุตโสม จะ
ทรมานเจ้าโปริสาทนั้นให้หายพยศได้ และจักพระราชทานชีวิตแก่พระราชา

ทั้งหลายด้วย ทั้งจักให้เจ้าโปริสาทนั้นงดจากการกินเนื้อมนุษย์ได้ด้วย จักโสต
สรงชาวชมพูทวีปทั้งสิ้นดุจน้ำอมฤต ถ้าเธอใคร่จะให้ชีวิตแก่พระราชาทั้งหลาย
จงกล่าวกะเจ้าโปริสาทนั้นว่า การทำพลีกรรมนั้นต้องนำพระเจ้าสุตโสมมาด้วย
รุกขเทวดารับเทวบัญชาแล้ว จึงรีบมาแปลงเพศเป็นบรรพชิตไปสถิตอยู่ ณ

ที่ใกล้เจ้าโปริสาท ส่วนเจ้าโปริสาท ได้ยินเสียงเท้าสำคัญว่าพระราชาบางองค์
จักหนีไป ครั้นได้เห็นรุกขเทวดานั้น จึงคิดว่า ธรรมดาว่าบรรพชิตย่อมเป็น
กษัตริย์ทั้งนั้น เราจักจับบรรพชิตนี้ทำพลีกรรมให้เต็มจำนวน ๑๐๑ ดังนี้แล้ว
จึงลุกขึ้นถือดาบติดตามไป แม้ติดตามไปถึง ๓ โยชน์ก็ไม่อาจจะทันได้ เหงื่อ

ไหลจนโซมตัว คิดว่า เมื่อก่อนช้างก็ดี ม้าก็ดี รถก็ดี วิ่งแล่นไปอยู่ เรา
ยังวิ่งไล่ตามจับมาได้ทั้งนั้น วันนี้แม้เราวิ่งอยู่จนสุดกำลัง ก็ยังไม่อาจจะจับ


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ รักลูกมากเลี้ยงลูกดีเกินไป ระวังจะเสียใจภายหลัง
+ ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งใช้ยิ่งมาก
เพราะความมักมากจึงทำจิตให้ตกต่ำ
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 07 มี.ค. 2019, 07:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
บรรพชิต ผู้เดินไปอยู่โดยปกติของตนได้ มีเหตุอะไรหนอ เธอดำริต่อไปว่า
ขึ้นชื่อว่า บรรพชิตผู้กระทำตามถ้อยคำ เราจักบังคับให้เธอหยุด เธอหยุด
แล้วจึงจับดังนี้ แล้วกล่าวว่า หยุดก่อนสมณะ. รุกขเทวดาตอบว่า เราหยุด
อยู่ก่อนแล้ว ท่านนั่นแหละจงพยายามหยุดบ้างเถิด. ลำดับนั้น เจ้าโปริสาท
จึงกล่าวกะรุกขเทวดานั้นว่า ท่านผู้เจริญ ธรรมดาว่าบรรพชิต ย่อมไม่พูดเท็จ
แม้เพราะเหตุแห่งชีวิต ส่วนท่านพูดเท็จดังนี้ แล้วกล่าวคาถาว่า

ท่านเมื่อเรากล่าวว่า จงหยุด ก็ยังเดินไม่เหลียว
หลัง ดูก่อนพรหมจารี ท่านไม่ได้หยุดกล่าวว่า หยุด
แล้ว ดูก่อนสมณะ ท่านประพฤติอย่างนี้สมควรแล้ว
หรือ ดาบของเรา ท่านเข้าใจว่าเป็นขนนกกระสาหรือ.

คาถานี้มีอธิบายว่า ดูก่อนสมณะ ท่านนั้นเมื่อเรากล่าวคำว่า จงหยุด
ดังนี้ ก็ยังเดินไปมิได้เหลียวหลัง ดูก่อนพรหมจารี ท่านมิได้หยุดแต่กล่าวว่า
หยุดแล้ว ก็ท่านสำคัญว่าดาบของเราเป็นขนนกกระสาหรือ.

ในลำดับนั้น เทวดาจึงกล่าวคาถา ๒ คาถาว่า
ดูก่อนพระราชา อาตมภาพเป็นผู้หยุดก่อนแล้ว
ในธรรมของตน ไม่ได้เปลี่ยนนามและโคตร ส่วนโจร
นักปราชญ์ ท่านกล่าวว่า ไม่หยุดในโลก เพราะเคลื่อน
จากโลกนี้แล้ว ต้องไปเกิดในอบายหรือในนรกแน่.

ดูก่อนพระราชา ถ้าพระองค์ทรงเชื่ออาตมภาพ
ต้องจับพระเจ้าสุตโสมผู้เป็นกษัตริย์มาด้วย พระองค์
บูชายัญด้วยพระเจ้าสุตโสมนั่นแล จักไปสวรรค์แล.


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ รักลูกมากเลี้ยงลูกดีเกินไป ระวังจะเสียใจภายหลัง
+ ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งใช้ยิ่งมาก
เพราะความมักมากจึงทำจิตให้ตกต่ำ
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสต์ เมื่อ: 07 มี.ค. 2019, 07:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สธมฺเมสุ ความว่า ดูก่อนมหาบพิตร
อาตมภาพเป็นผู้หยุดแล้วในกรรมของตนกล่าวคือกุศลกรรมบถ ๑๐ ประการ
เมื่อก่อนพระองค์เป็นพระราชาทรงพระนามว่า พรหมทัต ละพระนามนั้น
เสียแล้วเปลี่ยนมาชื่อว่า โปริสาท บัดนี้มีนามว่ากัมมาสบาท แม้อุบัติ
ในขัตติยสกุล ก็ยังกินเนื้อมนุษย์ซึ่งเป็นของไม่สมควรกิน ท่านเปลี่ยน

นามและโคตรของตน ฉันใด อาตมามิได้เปลี่ยนนามและโคตรเหมือนอย่าง
นั้นเลย ส่วนโจรนักปราชญ์ทั้งหลายกล่าวว่าไม่ตั้งอยู่ในกุศลกรรมบถ ๑๐
ประการ เคลื่อนจากโลกนี้แล้วต้องไปเกิด ในอบายหรือนรก และโจร
นั้นเมื่อตกนรกแล้วย่อมไม่ได้ที่พึ่งพำนักแห่งตนดังนี้แล. คำว่า สุตะ ใน
คาถานั้น หมายถึงพระเจ้าสุตโสม อธิบายว่า ดูก่อนเจ้าโปริสาทผู้เจริญ

ท่านนั่นแลกล่าวมุสาวาท เพราะท่านกล่าวปฏิญาณแก่เราว่า จักนำพระราชา
ในชมพูทวีปทั้งหมดมากระทำพลีกรรม บัดนี้ ท่านนำพระราชาสามัญธรรมดา
ผู้มีกำลังทุรพลมาเช่นนั้น ส่วนพระเจ้าสุตโสมมหาราชผู้เป็นใหญ่ในพื้นชมพู-
ทวีปทั้งหมดท่านมิได้นำมา ถ้อยคำของท่านชื่อว่าเป็นคำเท็จ เพราะฉะนั้น
จงไปจับพระเจ้าสุตโสมมาด้วย.

เทวดากล่าวอย่างนี้แล้ว ก็บันดาลให้เพศบรรพชิตสูญหายไป กลับ
กลายร่างเป็นเพศของตน ยืนโชติช่วงอยู่ดุจดวงอาทิตย์ในอากาศ เจ้าโปริสาท
ได้สดับถ้อยคำและเห็นรูปเทวดานั้นแล้ว ถามว่า ท่านเป็นใครกัน เทวดาตอบว่า
เราเป็นเทวดาอยู่ที่ต้นไม้นี้เอง เจ้าโปริสาทดีใจว่า เราได้เห็นเทวดาโดยประ-
จักษ์ กล่าวว่า เทวราชเจ้าอย่าได้วิตกเพราะเหตุพระเจ้าสุดโสมเลย เชิญเสด็จ

เข้าต้นไม้ของตนเสียเถิด เทวดาเข้าสู่ต้นไม้ในขณะที่เจ้าโปริสาทกำลังแลดูอยู่
ขณะนั้นดวงอาทิตย์ก็อัสดงคต ดวงจันทร์ขึ้นปรากฏแล้ว เจ้าโปริสาทเป็นนัก
ปราชญ์ทางเวทางคศาสตร์ฉลาดรอบรู้นักษัตรโคจร เธอแหงนดูท้องฟ้า ดำริว่า
พรุ่งนี้จะเป็นผุสสนักษัตร พระเจ้าสุตโสมจักเสด็จสรง ณ พระราชอุทยาน
เราจักจับเธอที่นั่น แต่การรักษาของพระองค์จักเป็นการใหญ่ ชาวพระนคร
ทั้งสิ้นจักเที่ยวรักษาตลอด ๓ โยชน์โดยรอบ เราจักต้องไปยังมิคาจิรวันราช


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ รักลูกมากเลี้ยงลูกดีเกินไป ระวังจะเสียใจภายหลัง
+ ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งใช้ยิ่งมาก
เพราะความมักมากจึงทำจิตให้ตกต่ำ
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 2685 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 110, 111, 112, 113, 114, 115, 116 ... 179  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร