วันเวลาปัจจุบัน 10 ต.ค. 2024, 20:47  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 9 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 พ.ค. 2016, 17:20 
 
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 ก.ย. 2013, 07:16
โพสต์: 2374

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

“๕ ผู้ต้องธรณีสูบ” ในสมัยพุทธกาล

รูปภาพ

๑. พระเทวทัต

พระเทวทัต เป็นพระประยูรญาติและเป็นพระเชษฐาของพระนางยโสธรา (พิมพา) พระมเหสีของเจ้าชายสิทธัตถะ ท่านอาฆาตจองเวรกับพระพุทธองค์ตั้งแต่ทรงพระเยาว์ และเมื่อเข้ามาบวชก็แสดงความมักใหญ่ใฝ่สูง อยากเป็นศาสดาของศาสนา โดยวีรกรรมอันน่าโจษจันมีตั้งแต่แสดงการเหาะเหินเดินอากาศให้เจ้าชายอชาตศัตรูดูเพื่อให้เกิดความเลื่อมใสและขอเป็นศิษย์ หลังจากนั้นก็ยุแหย่ให้เจ้าชายอชาตศัตรูทำการลอบปลงพระชนม์พระราชบิดา

แล้วยังพยายามลอบปลงพระชนม์พระพุทธเจ้าอีกหลายครั้ง เช่น ปล่อยช้างตกมันให้วิ่งเข้าชนบ้าง จ้างนายธนู ๑๐ คนมาลอบยิงบ้าง และสุดท้ายพยายามกลิ้งหินให้ตกจากเขาคิชกูฏ โดยหมายให้หินหล่นทับพระพุทธเจ้า แต่หินกลับกระเด็นหนีอย่างน่าอัศจรรย์ใจ ทว่าสะเก็ดหินกับไปถูกข้อพระบาทจนห้อเลือด แถมยังเสนอให้พระพุทธเจ้าลาออก หรือสร้างกฎที่เคร่งครัดเพื่อเรียกศรัทธา อย่างไม่กินเนื้อสัตว์ และอยู่ป่าตลอดชีวิต จนคณะสงฆ์แตกแยก

แต่คนชั่วย่อมไม่พ้นบาปกรรม ในที่สุดเมื่อคนรู้ความจริงก็ไม่ศรัทธาแถมยังประณาม สุดท้ายท่านก็เกิดความสำนึกและหวังจะขอขมาพระพุทธองค์ แต่ไม่ทันกาลเพราะถูกธรณีสูบลงไปก่อน


รูปภาพ

๒. นันทมานพ

นันทมานพ บุคคลผู้นี้ทำบาปมหันต์ด้วยการข่มขืน “พระอุบลวรรณาเถรี” โดยเรื่องนี้เกิดจากสมัยที่ยังไม่อุปสมบท ท่านเป็นสตรีที่เลอโฉมมาก เป็นที่ต้องตาต้องใจบรรดาหนุ่มๆ หลายคน แต่เนื่องจากเกิดความเบื่อหน่ายในโลกโลกีย์ จึงออกบวชและสำเร็จอรหันตผล

แต่นั่นก็ไม่ทำนันทมานพที่เลิกหวัง ยังฝังใจและปรารถนาจะมีเพศสัมพันธ์กับท่านให้จงได้ จึงแอบไปซุ่มอยู่ในป่าข้างกระท่อมที่ท่านจำพรรษาอยู่ เมื่อเห็นว่าออกจากกระท่อมไปบิณฑบาตแล้ว ก็เข้าไปซ่อนอยู่ใต้เตียง พอกลับมาก็ใช้กำลังปลุกปล้ำ พระอุบลวรรณาเถรีพยายามขอความช่วยเหลือแต่ก็ไม่มีใครได้ยิน จึงหันไปเตือนสตินันทมานพว่า ให้หยุดการกระทำ ไม่เช่นนั้นจะเกิดความหายนะแก่ตัว แต่ก็ไม่ได้รับความสนใจ และพอข่มขืนเสร็จ นันทมานพก็วิ่งจากออกจากกระท่อม พอเท้าลงพื้นเท่านั้น ธรณีก็เปิดอ้าสูบลงไปในขุมนรกอีกราย


รูปภาพ

๓. นันทยักษ์

นันทยักษ์ ยักษ์ตนนี้มีกระบองวิเศษอันเป็นอาวุธประจำตัว เป็นยักษ์ที่มีอิทธิฤทธิ์มาก และชอบเหาะเหินไปมาตามฟากฟ้าพร้อมกับสหายที่ชื่อ “เหมตายักษ์” เมื่อถึงจุดที่ “พระสารีบุตร” กำลังทำสมาธิอยู่ บริเวณนั้นว่างเปล่าจากอากาศธาตุ ทำให้นันทยักษ์เหาะผ่านไม่ได้ จึงเกิดบันดาลโทสะ จึงคิดจะฆ่าพระสารีบุตรเสีย โดยเหาะขึ้นบนอากาศ ใช้กระบองฟาดลงบนศีรษะของพระสารีบุตรอย่างแรงจนภูเขาพังไป ๑๐๐ ลูก แต่พระสารีบุตรไม่ได้รับอันตรายแม้แต่น้อย แล้วจู่ๆ ก็เกิดไฟขึ้นเผาตัวยักษ์ ก่อนจะตกลงมาจากอากาศ ขณะที่แผ่นดินก็เปิดช่องเอาไว้ ทำให้นันทยักษ์กลายเป็นผู้ที่ถูกธรณีสูบไปโดยปริยาย

รูปภาพ

๔. นางจิญจมาณวิกา

นางจิญจมาณวิกา นางเป็นผู้รับอาสาจากพวกปริพาชกที่อิจฉาพระพุทธองค์ โดยเริ่มแรกก็หลบเข้าไปในวัดเชตวันฯ และทำทีว่าเดินออกมาจากวัด เมื่อคนถามก็บอกว่า ไปอยู่กุฏิของพระสมณโคดม จนผู้คนระแวงสงสัย ทำอย่างนี้อยู่ ๙ เดือน ขณะที่ท้องของนางก็ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เพราะนางเอาไม้กลึงนูนไปผูกรัดเอาไว้

จนเมื่อสบโอกาส ขณะที่พระพุทธองค์เทศนา นางก็ร้องตะโกนว่า พระองค์ทำนางท้อง ซึ่งก็ไม่ทรงแก้ตัวอะไร เพียงแต่ตรัสว่า เรื่องนี้มีแค่ ๒ คน คือ พระองค์กับนางจิญจมาณวิกาเท่านั้นที่รู้ ก็ยิ่งสร้างความสงสัยใหญ่หนักเข้าไปใหญ่ เมื่อท้าวสักกเทวราชเห็นดังนั้น จึงสั่งให้เทพบุตรประจำตัวแปลงร่างเป็นหนูไปกัดเชือกที่หน้าท้องปลอมหลุดออกมา แล้วนางตกใจวิ่งหนีไปแต่ไปได้ไม่ไกลธรณีก็สูบเอาลงนรกอเวจีไป

นางจิญจมาณวิกา ในชาติก่อนหน้านั้นเกิดเป็น นางอมิตตดา ภริยาของชูชกหรือพระเทวทัต ในชาติเดียวกันกับที่พระโพธิสัตว์ได้เกิดเป็นพระเวสสันดรนั่นเอง


รูปภาพ

๕. พระเจ้าสุปปพุทธะ

พระเจ้าสุปปพุทธะ เป็นกษัตริย์โกลิยะวงศ์ เป็นพระราชบิดาของพระเทวทัตและพระนางยโสธรา (พิมพา) โดยหลังจากที่พระเทวทัตได้ถูกธรณีสูบลงไปแล้ว ก็มีความอาฆาตพระพุทธองค์ เพราะคิดว่าเป็นต้นเหตุของเรื่อง อีกทั้งยังทอดทิ้งพระนางยโสธรา (พิมพา) ไปบวช จนกลายเป็นหม้าย จึงพยายามหาทางกลั่นแกล้งด้วยเกณฑ์อำมาตย์และข้าราชบริพารไปดื่มกินสุราเพื่อขวางทางที่พระพุทธเจ้าเสด็จออกบิณฑบาต ซึ่งเป็นทางเดียวที่เดินได้ ทำให้ทรงอดพระกระยาหาร ๑ วัน

ครั้นพระอานนท์ถามโทษของพระเจ้าสุปปพุทธะว่าจะเป็นเช่นใด ก็ทรงตอบทันทีว่า นับจากนี้อีก ๗ วันจะต้องตามพระราชโอรสไปนรกอเวจี พอบรรดาอำมาตย์ได้ยินอย่างนั้น จึงรีบกลับไปรายงานโดยด่วน พระเจ้าสุปปพุทธะจึงหนีขึ้นประทับ ณ ปราสาท ๗ ชั้น โดยแต่ละชั้นมีทหารป้องกันไว้ แถมยังทรงตรัสอีกว่า ระหว่าง ๗ วันนี้ หากพระองค์ลงมาให้ขัดขวางไว้ จะไม่เอาโทษ

แต่การณ์กลับเป็นว่า พอถึงวันที่ ๗ ม้าแก้วซึ่งเป็นม้าที่พระองค์โปรดปรานเกิดอาละวาดร้องเสียงดัง พระองค์ทรงเป็นห่วงม้ากระทั่งขาดสติรีบวิ่งลงไป แต่ปรากฏว่านายทหารก็ไม่ได้ขัดขวางเพราะคิดว่าครบกำหนดแล้ว และพอย่างพระบาทลงเหยียบแผ่นดินเท่านั้น ก็ถูกธรณีสูบลงสู่นรกอเวจีทันที


*********
:b8: :b8: :b8:
รวบรวม-เรียบเรียงจากหนังสือพุทธประวัติ
ผู้ต้องธรณีสูบในพุทธประวัติ

http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=26&t=28618

“ภาพพุทธประวัติ” พร้อมคำบรรยายโดยสังเขป ๘๑ ภาพ
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=26&t=45513

“ภาพพุทธประวัติ” อันงดงามมาก พร้อมคำบรรยาย ๓๕ ภาพ
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=26&t=38107

*********


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 มิ.ย. 2019, 10:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 มิ.ย. 2009, 10:51
โพสต์: 2775


 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 มิ.ย. 2019, 10:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 มิ.ย. 2009, 10:51
โพสต์: 2775


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 มิ.ย. 2019, 10:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 มิ.ย. 2009, 10:51
โพสต์: 2775


 ข้อมูลส่วนตัว


พระเทวทัต

การที่บุคคลต่างๆ ที่ผิดต่อพระพุทธองค์ ถูกแผ่นดินสูบ จะสูบโดยวิธีใด ผมก็ไม่ติดใจ ในที่นี้ขอนำเรื่องราวของท่านเหล่านั้นมาขยายให้ฟังอย่างเดียว

ส่วนมากก็คงได้ยินได้ฟังกันมาบ้างแล้ว

แต่นี่เป็น version ใหม่เอี่ยมเลยนะครับ

บุคคลแรกที่โด่งดังมาก คือ พระเทวทัต

เรื่องราวของท่านหลายคนทราบดีแล้ว จะไม่ขยายอีก

ขอเล่าเพียงประเด็นที่ทำให้เทวทัตท่านเขวออกนอกทาง ตำราว่าเพราะลาภสักการะเป็นเหตุ ต้องการการยอมรับจากพุทธศาสนิกชน

เมื่ออยากดังอยากเด่นเกินหน้าพระภิกษุรูปอื่นๆ ก็จึงต้องแสวงหาผู้อุปถัมภ์

บังเอิญเห็นเจ้าชายอชาตศัตรู รัชทายาทแห่งราชบัลลังก์กรุงราชคฤห์ ยังอินโนเซนซ์ จึงครอบได้สบาย

ครอบไปครอบมาเลยเกิดถึงขั้นยุให้ปฏิวัติเสด็จพ่อ จับขังคุกให้อดพระกระยาหารจนสิ้นพระชนม์

ข้างฝ่ายพระเทวทัตก็วางแผนสารพัดแผนเพื่อกำจัดพระพุทธองค์

เริ่มต้นด้วย จ้าง นายขมังธนู (สมัยนี้คงหมายถึง มือปืนรับจ้าง หรือไม่ก็มือระเบิด)

แผนของเทวทัต วางแผนสังหารพระพุทธองค์ ท่านว่าจ้างคนถึง 33 คน สั่งคนแรกไปยิงพระพุทธเจ้าในถ้ำเชิงเขาคิชฌกูฏ ยิงเสร็จสั่งให้เดินไปยังจุดหนึ่ง

ณ จุดนั้นท่านได้วางเพชฌฆาตไว้สองคน หลังฆ่าเสร็จแล้วคนหนึ่งให้ไปทางเหนือ อีกคนหนึ่งให้ไปทางใต้

ณ ทิศเหนือก็มีอีกสองคนดักอยู่ ณ ทิศใต้ก็มีอีกสองคนดักอยู่ ฆ่าเสร็จแล้วก็ให้แยกย้ายกันไป

ฆ่ากันเป็นทอดๆ อย่างนี้จนครบ 16 ทอด

คิดดูแล้วกัน ถ้าแผนการสำเร็จ คนใดคนหนึ่งถูกจับ ณ ขั้นตอนใดขั้นตอนหนึ่ง จะจับมือใครดมไม่ได้เลย ไม่รู้ต้นตอมาจากไหน

เรียกว่า หาใบเสร็จไม่เจอเลย ว่าอย่างนั้นเถอะ

แผนการแรกล้มเหลว

แผนการที่สองท่านลงมือเอง ปีนขึ้นยอดเขา กลิ้งหินลงมาหมายให้ทับพระพุทธองค์ ขณะประทับเข้าฌานสมาบัติอยู่ ณ ถ้ำมัททกุจฉิ เชิงเขาคิชฌกูฏ อย่างมากก็ทำร้ายพระองค์ได้เพียง ยังพระโลหิตให้ห้อ ล้มเหลวอีก

แผนที่สามสั่งปล่อยช้างตกมัน วิ่งแปร๋นไป เพื่อเหยียบพระพุทธองค์ ขณะเสด็จออกโปรดสัตว์ มีพระอานนท์ตามเสด็จ ช้างก็แพ้แก่อานุภาพระเมตตาของพระพุทธองค์ สมัยนั้นไม่มีหนังสือพิมพ์ ไม่มีวิทยุ ทีวี ก็จริง แต่แผนการชั่วของท่านเทวทัตก็เป็นที่โจษจันกันทั่วไป รู้กันกว้างขวาง

ท่านเทวทัตจึงออกจากสำนักไปยื่นเงื่อนไข 5 ประการอ้างว่าเพื่อความเคร่งครัดของพระสงฆ์ เช่น ให้ห้ามพระฉันปลาและเนื้อ ให้พระอยู่โคนไม้ตลอดชีวิต ฯลฯ (ตัวคนเสนอเองก็ไม่อยากทำอย่างนั้น แต่เป็นแผน) ถูกพระพุทธองค์ปฏิเสธตรัสว่าขอให้เป็นความสมัครใจของปัจเจกบุคคล อย่าถึงกับตั้งเป็นกฎเลย มันยุ่งยาก เพราะชีวิตพระ เป็นอยู่ด้วยอาศัยคนอื่น เดี๋ยวแทนที่จะเป็นการเลี้ยงง่าย กลับเป็นการเลี้ยงยากไป

ท่านเทวทัตได้ทีจึงประกาศว่าไหนว่าพระศาสดานิยมความเข้มงวดเคร่งครัด ครั้นเราเสนอข้อปฏิบัติขัดเกลากลับไม่อนุญาต ใครเห็นด้วยกับเราก็ตามเรามา ว่าแล้วก็เดินออกจากที่ประชุมสงฆ์

พระบวชใหม่จำนวนหนึ่ง ยังเบบี้ทางศาสนาเห็นว่าเข้าทีจึงติดตามพระเทวทัตไป ร้อนถึงพระสารีบุตรต้องตามไปเกลี้ยกล่อมชี้ถูกผิดนำกลับมาสู่อ้อมอกพระพุทธองค์อีกครั้ง

ปฏิบัติการครั้งนี้ พระสารีบุตรได้ยกย่องว่าเป็น นักการทูต ที่สำคัญมาก ถึงตรงนี้ขอขยายนิดหน่อย คุณธรรมของนักการทูต (ทูเตยฺยา) ที่ดีมี 8 ประการ คือ

1. รู้จัก (โสตา) ฟังเป็น หรือรู้จักฟังว่าคนอื่นเขาจะพูดอะไร อย่างไร

2. รู้จักพูดให้คนอื่นฟัง (โสตาเปตา) รู้จังหวะไหนควรพูดไม่ควรพูด พูดอย่างไรเขาจึงจะฟัง

3. แจ่มแจ้งเอง (วิญฺญาตา) ตนเองต้องแจ่มแจ้งในเรื่องในประเด็นที่จะพูด

4. ให้คนอื่นแจ่มแจ้งด้วย (วิญฺญาเปตา) พูดให้เขาเข้าใจแจ่มแจ้ง ไม่คลุมเครือ

5. จำแม่น (ธาตา) จำเรื่องราวต่างๆ ได้แม่นยำ ข้อมูลต้องแม่น

6. เรียนรู้เสมอ (อุคฺคเหตา) ถือว่าการสนทนาเป็นการเขียนรู้สิ่งต่างๆ เสมอ ไม่คิดว่าตนรู้วิเศษคนเดียว

7. รู้จักประโยชน์และมิใช่ประโยชน์ (กุสโล หิตาหิตฺสส) อะไรเป็นประโยชน์ หรือไม่เป็นประโยชน์ก็ให้เลือกเอา

8. ไม่ชวนทะเลาะ (น กลหการโก) นึกเสมอว่าเราไปเจรจาความไม่ใช่ไปโต้วาทีหักล้างกัน พยายามหลีกเลี่ยงการทะเลาะผิดใจกัน

พระสารีบุตรท่านประกอบด้วยคุณสมบัติของนักการทูต 8 ประการนี้จึงทำงานสำเร็จ พาพระที่หลงผิดจำนวนมากกลับไปพระเชตะวัน

เล่นเอา โกกาลิก ลูกน้องท่านเทวทัตโมโหโกรธมากเข้าไปหาท่านเทวทัต เอาเข่าซัดยอดอกท่านเทวทัตดังพลั่ก โลหิตอุ่นๆ พุ่งออกปากทันที

ว่ากันว่าตั้งแต่นั้นมาท่านเทวทัตก็ป่วยกระเสาะกระแสะ (ไม่ป่วยยังไงไหว ลูกศิษย์รำมวยไทยใส่ปานนั้นนี่ครับ) แต่ก็น่าชมนะครับ ท่านไม่ได้ประกาศลาออกจากหัวหน้าขบถด้วยความน้อยใจ ยังคงดำเนินการพระศาสนาต่อไป มาพักหลังสุด ท่านสำนึกผิดคิดจะเข้าไปขอขมาพระพุทธองค์ ขอร้องให้ศิษย์หามใส่แคร่ไปยังพระเชตะวัน

ไปถึงสระโบกขรณีหน้าพระเชตะวัน สานุศิษย์วางแคร่หามลง ลงไปล้างหน้าล้างมือกัน เทวทัตท่านก็ลุกขึ้นนั่งหย่อนเท้าลงพื้น ทันใดนั้นแผ่นดินตรงนั้นแยกออกเป็นช่องโหว่ สูบท่านเทวทัตจมมิดหายไปต่อหน้าต่อตาสานุศิษย์ทั้งหลายเป็นที่สยดสยอง

ว่ากันอีกนั้นแหละว่า ท่านเทวทัตจมลงไปตามลำดับ จนถึงคอท่านได้กล่าวขอขมาพระพุทธองค์ในความผิดฉกรรจ์ที่ท่านก่อขึ้น โดยกล่าวโศลกว่า

“ข้าพระองค์ขอถวายกระดูกคาง พร้อมลมหายใจ บูชาแด่พระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐยิ่งกว่าเทพ พระผู้ทรงเป็นยอดผู้ฝึกคน พระผู้มีสัพพัญญุตญาณ พระผู้มีพระลักษณะงดงาม อันเกิดจากผลบุญมากมาย”

สมัยเป็นสามเณรเรียนแปลบาลี ครูสอนบาลีเรียกคาถานี้ว่า “คาถาเทวทัตถวายคาง” เพราะการกล่าวถวายกระดูกคางด้วยความสำนึกผิดนี้แล ในที่สุดจะได้เป็นพระปัจเจกพุทธะ นามว่า อัฏฐิสสระ ตำราว่าอย่างนั้นครับ

ส่วนการถูกแผ่นดินสูบคืออย่างไร ก็แล้วขอวิญญูชนโปรดไตร่ตรองเอาเองเทอญ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 มิ.ย. 2019, 10:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 มิ.ย. 2009, 10:51
โพสต์: 2775


 ข้อมูลส่วนตัว


นางจิญจมาณวิกา

คราวที่แล้วเล่าเรื่อง พระเทวทัต ผู้ผิดต่อพระพุทธองค์ ในที่สุดถูกแผ่นดินสูบ มีผู้ถามว่า มีพระเทวทัตผู้เดียวหรือที่ถูกแผ่นดินสูบ

ตอบว่ายังมีอีก 2 คนครับ บุรุษหนึ่ง สตรีหนึ่ง

ขอนำเรื่องสตรีมาเล่าก่อนก็แล้วกัน

สตรีนางนี้นามไพเราะว่า จิญจมาณวิกา เรียกสั้นๆ ว่า จิญจา

นางเป็นคนสวยงามมาก เป็นสาวิกาของอัญเดียรถีย์ อัญเดียรถีย์แปลว่า ลัทธิศาสนาอื่น คืออื่นจากพระพุทธศาสนา ไม่ระบุชัดว่าศาสนาใดลัทธิใด แต่เท่าที่ทราบมักจะเป็น ศาสนานิครนถ์ หรือศาสนาเชน ศาสนาที่มีพระแก้ผ้านั้นแหละครับ เพราะคัมภีร์มักเล่าถึงความกระทบกระทั่งระหว่างพระพุทธศาสนากับศาสนาเชนนี้บ่อยครั้งมาก

เมื่อพระพุทธศาสนามีการแพร่หลาย มีผู้เข้ามาบวชเป็นสาวกของพระพุทธองค์มากขึ้นตามลำดับ ทำให้พวกอัญเดียรถีย์เดือดร้อน เพราะศาสนาของตนมีผู้นับถือน้อยลง

แถมพระราชามหากษัตริย์ สมัยนั้นคือ พระเจ้าปเสนทิโกศล แห่งเมืองสาวัตถีก็เป็นพุทธมามกะสนับสนุนพระพุทธศาสนาอย่างเข้มแข็งอีกด้วย

ลาภสักการะที่เคยมีก็ลดลง ที่คาดว่าจะมีมาก็ดูมืดมน พวกอัญเดียรถีย์จึงเดือดร้อนมาก

พวกเขาประชุมปรับทุกข์กันและหาทางออกกอบกู้สถานการณ์ ในที่สุดได้มีมติให้นางจิญจมาณวิกา สาวิกาคนสวยไปดำเนินการโดยวิธีใดก็ได้ ที่ทำให้พระสมณะโคดม (คือพระพุทธเจ้า) เสื่อมเสียชื่อเสียง

เมื่อศาสดามัวหมอง ศาสนาของเขาก็เสื่อมถอยในที่สุด

แผนอันสกปรกโสมมได้ดำเนินการเป็นขั้นๆ เริ่มด้วยเดินออกจากเมืองในเวลาค่ำ ขณะที่คนทั้งหลายเดินเข้าเมืองกัน ครั้นมีคนถามนางว่า นางไปไหน ก็ตอบว่า เรื่องของฉัน คนอื่นไม่เกี่ยว สร้างความฉงนฉงายแก่ประชาชนเป็นอันมาก

พอเวลาผ่านไปสักระยะหนึ่ง แผนชั่วร้ายก็ค่อยแย้มพรายออกมาทีละนิดๆ เมื่อถูกถามว่า นางจะไปไหน ก็ตอบว่า กลับที่อยู่ของฉันสิจ๊ะ

“ที่อยู่ของนางอยู่ที่ไหน”

พระศาสดาของท่านอยู่ที่ไหน ฉันก็อยู่ที่นั้นแหละ นางเล่นลิ้น ทำให้ประชาชนฉงน

นางเอาท่อนไม้มาผูกท้องแล้วเอาผ้าพันไว้ให้คนเห็นว่าตั้งครรภ์ ท้องเธอก็ใหญ่ขึ้นๆ ตามวันเวลาที่เปลี่ยนไป

ท่านที่เป็นบัณฑิตมีจิตใจหนักแน่น ก็ย่อมรู้ว่านางคนนี้ตอแหล เรื่องที่นางพูดไม่มีทางเป็นไปได้

แต่ปุถุชนคนที่ศรัทธาในพระรัตนตรัยยังไม่มั่นคง ที่ชักเอนเอียงตามลมปากของนางจิญจาก็คงมีอยู่บ้าง นับว่านางคนนี้ได้สร้างบาปขึ้นสองชั้น ชั้นหนึ่งตัวเองใส่ร้ายป้ายสีพระพุทธองค์ผู้บริสุทธิ์ ชั้นที่สองชักพาให้คนอื่นคิดอกุศลต่อพระพุทธองค์ไปด้วย

เหตุการณ์ดำเนินไปในสภาพนั้นชั่วระยะเวลาหนึ่ง เมื่อเห็นว่าทุกอย่างสุกงอมแล้ว วันหนึ่งขณะพระพุทธองค์ทรงแสดงพระธรรมเทศนาแก่ประชาชนทั้งหลาย ณ พระเชตวัน นางจิญจมาณวิกา ก็เดินอุ้ยอ้ายท้องโย้เชียว เข้าไปยังที่ประชุม กล่าวขึ้นว่า

เสด็จพี่ ดีแต่เทศน์อยู่นั้นแหละ ภรรยาท้องใกล้คลอดแล้ว ไม่เหลียวแลบ้างเลย

นางร้องทำนองว่า ใช่สิเรื่องในมุ้ง คนอื่นใครเขาจะไปรู้ด้วย ก็เราสองคนเท่านั้นแหละที่รู้กัน แน่ะ นางใจโฉด กล้าพูดกล้าทำถึงปานนี้นั้นแน่ะครับ

พระพุทธองค์ไม่สนพระทัย ยังคงแสดงธรรมต่อไป ด้วยพระอาการอันสงบ ทำให้นางจิญจมาณวิกาโกรธแค้นมาก ถึงกับเต้นเร่าๆ ด้วยความลืมตัว ทันใดนั้นท่อนไม้ที่ผูกพุงไว้หลุดออกมา อาจจะเพราะเต้นแรงไปก็ได้ (ในคัมภีร์กล่าวว่า พระอินทร์ทนให้นางใส่ร้ายพระพุทธเจ้าไม่ไหว จึงจำแลงกายมาเป็นหนูไต่ขึ้นไปกัดเชือกที่มัดท่อนไม้ไว้ขาด ท่อนไม้จึงหล่นลงมาว่าอย่างนั้น)

เมื่อความลับถูกเปิดเผยขึ้น ประชาชนรู้ว่าอะไรเป็นอะไรต่างก็ลุกฮือขึ้นไล่ นางวิ่งหนีตายไปหน้าวัด พอพ้นประตูพระเชตวันเท่านั้น แผ่นดินก็ดูเสมือนว่าจะธาร (ต้องการเขียน ธาร นะครับ) ไว้ไม่ไหว จึงแยกออกเป็นช่อง ดูดกลืนร่างนางใจบาปมิดหายไปในบัดดล

ถ้าใครไปที่พระเชตวันในปัจจุบันนี้ มัคคุเทศก์จะชี้ให้ดูสถานที่แห่งหนึ่งหน้าพระเชตวัน เป็นที่นาของชาวบ้าน ณ จุดนั้นมีหญ้าขึ้นรก ขณะที่พื้นที่รอบๆ มีร่องรอยว่าชาวบ้านเขาปลูกข้าวกัน มีเฉพาะจุดดังกล่าวเท่านั้นถูกเว้นว่างไว้

“ตรงให้ที่หญ้าขึ้นรกนั้นแหละ คือจุดที่นางจิญจมาณวิกา ถูกแผ่นดินสูบ” มัคคุเทศก์บอก “ชาวบ้านไม่กล้าไถหรือหว่านข้าวกล้า ณ ที่นั้น จึงปล่อยหญ้าขึ้นรก”

ผมถามชาวบ้านแถวนั้น เขาก็พูดยืนยันเช่นเดียวกัน จริงเท็จอย่างไร ก็เห็นจะต้องหันไปหยิบกาลามสูตร ขึ้นมาอ่านเสียแล้วขอรับ

กาลามสูตรที่ว่านี้ พระพุทธองค์ตรัสแนะนำชาวกาลามะผู้อยู่ในเกสปุตตนิคม (บางครั้งเรียกสูตรนี้ว่า เกสปุติยสูตร) ว่าอย่าด่วนเชื่อ

1. เพราะได้ยินได้ฟังตามกันมา

2. เพราะข่าวเล่าลือ

3. เพราะปฏิบัติสืบต่อกันมาจนเป็นประเพณี

4. เพราะมีคนกล่าวไว้ในตำรา

5. เพราะเหตุผลทางตรรกะ

6. เพราะอนุมานเอา หรือสรุปเอาจากหลักฐานที่ประจักษ์เฉพาะหน้า

7. เพราะคิดตรองตามอาการปรากฏ

8. เพราะตรงกับทฤษฎีที่ตั้งไว้, หรือเพราะเข้ากับความเห็นของตน

9. เพราะรูปลักษณ์น่าเชื่อถือ

10. เพราะผู้พูดเป็นครูของตน

จนกว่าจะพิจารณาอย่างรอบคอบว่า สิ่งนั้นๆ เป็นกุศล หรืออกุศล (ดีหรือไม่, เอื้อต่อการยกสภาพจิตให้สูงขึ้น ประณีตขึ้นหรือไม่) วิญญูชนใคร่ครวญแล้วตำหนิติเตียนหรือไม่ เมื่อทำตามจะมีผลกระทบต่อสังคมในแง่เสียหรือไม่นั่นแหละ จึงค่อยเชื่อถือหรือไม่เชื่อถือ

สรุปหลักกาลามสูตรด้วยคำสั้นๆ ง่ายๆ ก็คือ “ให้ฟังหูไว้หูก่อนจะเชื่อหรือไม่เชื่อ”

เรื่องนางจิญจมาณวิกา รวมทั้งเรื่องพระเทวทัต และอีกคนหนึ่งที่จะกล่าวถึงในวันอาทิตย์หน้า แน่นอนมีอ้างไว้ในตำราก็เห็นจะต้องยกเอากาลามสูตรข้อที่ 4 ข้างต้นมาย้ำอีกครั้งว่าอย่าด่วนเชื่อ เพราะมีกล่าวไว้ในตำรา ฉะนี้แล


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 มิ.ย. 2019, 10:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 มิ.ย. 2009, 10:51
โพสต์: 2775


 ข้อมูลส่วนตัว


สุปปพุทธะ

คราวนี้มาถึงเจ้าศากยะนามว่า สุปปพุทธะ ผู้ผิดต่อพระพุทธเจ้าอย่างใหญ่หลวง จนแผ่นดินไม่สามารถจะทรงไว้ได้ ต้องถูกแผ่นดินสูบไปอีกคน

สุปปพุทธะเป็นพระบิดาของพระนางยโสธรา พิมพา พระชายาของเจ้าชายสิทธัตถะ ในช่วงแรกๆ ก็ทำท่าว่าจะไม่มีอะไรเพราะเป็น ดอง กับพระพุทธองค์ พูดแบบสามัญก็ว่าเป็น พ่อตา เจ้าชายสิทธัตถะ ซึ่งขณะที่เกิดเรื่องนี้ เป็นพระพุทธเจ้า พระศาสดาเอกของโลก น่าภาคภูมิใจน้อยไปหรือ

แต่สุปปพุทธะผิดหวังและเจ็บพระทัยมาตั้งแต่ได้ทราบข่าวเจ้าชายสิทธัตถะเสด็จออกผนวชแล้ว อยู่ๆ ก็ทิ้งพระชายา ปล่อยให้เป็นม่าย เท่ากับดูถูก “ลูกสาว” และตนเองซึ่งเป็นพระบิดาด้วย

ความเจ็บแค้นของเจ้าสุปปพุทธะพอเข้าใจได้ เพราะในสังคมอินเดียสมัยก่อนโน้น ภัสดาเป็นสง่าของสตรี สตรีที่แต่งงานแล้วถ้ามีเหตุต้องหย่าร้าง หรือไม่สามารถให้กำเนิดบุตรชายสืบสกุลได้ถือว่าประสบความล้มเหลวในชีวิต เป็นเสนียดจัญไรของตระกูลสามีและตระกูลตัวเอง

พระนางยโสธรายังโชคดีที่สามารถให้กำเนิดพระโอรสน้อยพระนามว่า ราหุล แต่ก็นับว่าโชคร้ายที่ถูกพระสวามีทอดทิ้ง หนีไปบวช

แม้ว่าการเสด็จออกผนวชของเจ้าชายสิทธัตถะ จะทำไปเพื่อประโยชน์สุขแก่ชนหมู่มากก็ตามที แต่สำหรับในเรื่องส่วนตัวแล้วไม่เป็นผลดีต่อพระชายาแน่นอน รู้ไปถึงไหนก็ถูกนินทาไปถึงนั้น

เผลอๆ อาจถูกกล่าวหาว่าเป็นตัวอัปมงคลอีกด้วย

เจ้าสุปปพุทธะจึงไม่พอใจ แต่มิได้แสดงออกนอกหน้า ความไม่พอใจมีมากขึ้นถึงกับ ระเบิด ออกมา ก็เมื่อเกิดเรื่องราวพระเทวทัต โอรสของตน ที่บวชตามพระพุทธเจ้าแล้ว ประสบชะตากรรมอเนจอนาถ เนื่องเพราะพระพุทธองค์เป็นต้นเหตุ (สุปปพุทธะ คิดอย่างนี้จริงๆ) จึงผูกอาฆาตพระพุทธองค์ รอวันเวลาชำระแค้นด้วยใจระทึก

วันดีคืนดี (เรียกว่า วันร้ายคืนร้ายถึงจะถูก) ก็ได้ทราบว่าพระองค์จะเสด็จไปยังสถานที่นิมนต์ ผ่านเส้นทางที่เจ้าสุปปพุทธะอยู่พอดี ท้าวเธอจึงปิดทาง ไม่ยอมให้เสด็จผ่าน นั่งเสวยน้ำจัณฑ์อยู่ตรงนั้น เมื่อพระพุทธองค์เสด็จมาถึง มีคนไปทูลพระพุทธเจ้าเสด็จมาแล้ว โปรดให้ทางแก่พระองค์เถิด

เจ้าสุปปพุทธะ สิทธัตถะอายุน้อยกว่าเรา เราไม่ลุกขึ้นให้ทางแก่สิทธัตถะ เชิญไปทางอื่น แม้ว่าเขาจะทูลแล้วทูลเล่าพระเจ้าสุปปพุทธะก็ไม่ยอมเปิดทางให้ ยังคงนั่งกั้นอยู่อย่างนั้น เมื่อไม่ได้ทางเสด็จดำเนิน พระพุทธองค์เสด็จกลับ

เจ้าสุปปพุทธะสั่งให้จารบุรุษตามไปสอดแนมดูว่า พระพุทธองค์จะตรัสว่าอย่างไรบ้าง ได้ยินแล้วให้รีบมาบอก เขาไปแอบฟังอยู่ พอดีกับพระพุทธองค์ทรงทำอาการแย้มให้ปรากฏ พระอานนท์กราบทูลถามสาเหตุ พระองค์ตรัสว่า

“อานนท์ เธอเห็นหรือไม่ สุปปพุทธะปิดทางเดินตถาคต”

“เห็นแล้ว พระเจ้าข้า”

อานนท์ ต่อไปนี้อีกเจ็ดวัน สุปปพุทธะจะถูกแผ่นดินสูบที่เชิงบันไดปราสาทเจ็ดชั้น

จารบุรุษได้ยินก็รีบไปกราบทูลเจ้าสุปปพุทธะทรงทราบ สุปปพุทธะทรงดำริว่าถ้าสิทธัตถะพูดว่าเราจะถูกแผ่นดินสูบภายในเจ็ดวัน ไม่กำหนดวันไหนแน่ เหตุการณ์เกิดขึ้นจริงวันไหนคำพูกก็ถูกต้องหมด เพราะมิได้กำหนดวันแน่นอน แต่นี้พูดแน่นอนว่า เราจะถูกแผ่นดินสูบที่เชิงบันไดปราสาทเจ็ดชั้น เราจะจับผิดสิทธัตถะให้ดู ถ้าเราไม่ลงไปเชิงบันไดดังกล่าว มันจะเกิดขึ้นได้อย่างไร อยากรู้นัก

ว่าแล้วก็ตรัสเรียกข้าราชบริพารให้ตระเตรียมพระกระยาหารพอเสวยไปได้เกินเจ็ดวัน ประทับอยู่ปราสาทชั้นบนสุด รับสั่งให้ปิดประตูทุกชั้น ที่ประตูแต่ละชั้นทรงวางนักกล้ามผู้แข็งแรงไว้แห่งละสองคน รับสั่งว่า ถ้าเห็นพระองค์จะเสด็จลง จงห้ามไว้ อย่าปล่อยให้ลงไปเป็นอันขาด

พระอานนท์ทราบเรื่องราวป้องกันตัวของสุปปพุทธะ จึงนำความกราบทูลพระพุทธองค์ พระพุทธองค์ตรัสคาถา (โศลก) ความว่า

“ไม่ว่าท่ามกลางท้องฟ้า ไม่ว่ากลางมหาสมุทร ไม่ว่าซอกเขา ไม่ว่าที่ไหนในโลกที่คนทำชั่วเข้าไปอาศัยอยู่แล้ว จะพ้นจากความตายไปได้”

พระองค์ตรัสต่อไปว่า “ตถาคตพูดไว้ไม่ผิดดอก เจ้าสุปปพุทธะจะต้องถูกแผ่นดินสูบ ณ เชิงบันไดปราสาทเจ็ดชั้นแน่นอน”

ห้าหกวันแรก เหตุการณ์ก็ดำเนินไปด้วยดี ไม่มีอะไรเกิดขึ้น พอถึงวันที่ 7 ม้ามงคลที่โรงม้าก็ส่งเสียงร้องฮี้ๆ ไม่หยุด แถมยังกระทืบฝาโรงม้าดังสนั่น เจ้าสุปปพุทธะรับสั่งถามว่าเสียงอะไร ก็ได้รับคำตอบว่า ม้ามงคลร้องและกระทืบฝาโรงม้าดังสนั่น ห้ามอย่างไรก็ไม่หยุด พระองค์ทรงเปิดช่องสีหบัญชร ทอดพระเนตรลงมา ม้ามองเห็นเจ้าสุปปพุทธะก็หยุดร้องชั่วขณะ แต่พอลับพระเนตรก็ส่งเสียงอื้ออึงอีก

ทรงรำคาญพระทัย จะเสด็จไปห้ามม้ามงคล ยังไม่ทันรับสั่งให้เปิดประตูเลยประตูก็เปิดออกเอง โดยไม่ทันสังเกต บุรุษนักกล้ามสองคนที่เฝ้าประตูอยู่ แทนที่จะห้ามพระองค์กลับจับที่พระศอ ผลักพระเศียรคะมำลงไป จากชั้นบนสุดลงมาถึงชั้นล่าง

ทันทีที่พระบาทเหยียบพื้นดิน แผ่นดินก็แยกออกเป็นช่องใหญ่ ดูดกลืนพระวรกายเจ้าสุปปพุทธะจมมิดหายไปต่อหน้าต่อตาข้าราชบริพาร เป็นที่ขนพองสยองเกล้า

แน่นอน พระคัมภีร์ท่านกล่าวว่า เจ้าสุปปพุทธะลงไปหมกไหม้อยู้ในอเวจีชั่วกาลนาน ป่านนี้ขึ้นมาหรือยังไม่ทราบ

การถูกแผ่นดินสูบ อาจตีความหมายได้ 3 นัยคือ ถูกแผ่นดินสูบจริงๆ 1 ถูกประชาทัณฑ์ 1 ชื่อเสียงถูกสูบหายไปทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่คือ เสียชื่อเสียงหรือ ตายทั้งเป็น อาจเป็นความหมายใดความหมายหนึ่ง ดั่งได้กล่าวแล้วในตอนต้นๆ

สิ่งที่จะฝากไว้ในที่นี้ก็คือ ไม่เฉพาะการทำร้ายพระพุทธเจ้า ทำร้ายผู้มีคุณหรือคนดีมีศีลธรรม ผู้บริสุทธิ์ที่ไม่คิดประทุษร้ายตอบ ย่อมได้รับผลกรรมทันตาเห็นในชีวิตนี้

พระพุทธองค์ตรัสว่า บุคคลเช่นนี้ย่อมได้รับโทษทันตาเห็น อย่างใดอย่างหนึ่งใน 9 อย่างคือ

1. ได้รับทุกขเวทนาอย่างแรงกล้า

2. ได้รับความเสื่อมเสียชื่อเสียง

3. ถูกทำร้ายร่างกาย

4. เจ็บป่วยอย่างหนัก

5. กลายเป็นคนวิกลจริต

6. ต้องราชภัย ถูกคุมขัง

7. ถูกกล่าวหาอย่างร้ายแรง

8. สูญเสียญาติพี่น้อง

9. ทรัพย์สมบัติพินาศฉิบหาย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ม.ค. 2021, 08:44 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 เม.ย. 2015, 09:43
โพสต์: 718

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขออนุโมทนาสาธุนะครับ
:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 มี.ค. 2023, 12:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 มิ.ย. 2007, 13:49
โพสต์: 1013


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:

.....................................................
ทำความดีทุกๆ วัน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ม.ค. 2024, 13:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 มิ.ย. 2009, 10:51
โพสต์: 2775


 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
:b8: :b8: :b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 9 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 0 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร