วันเวลาปัจจุบัน 18 ก.ค. 2025, 18:10  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


“อภิธรรม (สันสกฤต: abhidharma) หรืออภิธัมมะ (บาลี: abhidhamma) เป็นชื่อปิฎกศาสนาพุทธฉบับหนึ่งในปิฎกทั้งสามฉบับที่รวมเรียก "พระไตรปิฎก" อภิธรรมแปลว่าธรรมอันยิ่ง ปิฎกฉบับอภิธรรมนั้นเรียก "พระอภิธรรมปิฎก" ซึ่งว่าด้วยประมวลหลักธรรมและคำอธิบายที่เป็นหลักวิชาล้วนๆ ไม่มีความเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์และบุคคลเลย”



กลับไปยังกระทู้  [ 3 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ค. 2021, 05:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8583


 ข้อมูลส่วนตัว


เรื่อง สีลัพพตปรามาส

สีลัพพตปรามาสเป็นสังโยชน์ที่มักเข้าใจกันพร่ามากที่สุดข้อหนึ่ง จึงเห็นควรนำหลักฐานมาแสดง
เพิ่มเติม เพื่อเสริมความเข้าใจ

ในสุตตนิบาต มีพุทธพจน์มากแห่งตรัสถึงสมณพราหมณ์ และบุคคลบางพวก มีความเห็นผิด ถือว่า
ความบริสุทธ์จะมีได้ด้วยและพรต เป็นต้น (เช่น ขุ.สุ. ๒๕/๔๑๑/๔๘๙; ขุ.สุ. ๒๕/๔๑๖/๔๙๘;
ขุ.สุ. ๒๕/๔๓๑/๕๔๐; ขุ.สุ. ๒๕/๓๑๔/๓๖๙) ส่วนอริยสาวก หรือท่านผู้หลุดพ้น หรือมุนีที่แท้ ไม่ยึดติด
ทิฏฐิทั้งหลาย ละได้ซึ่งศีลและพรตทั้งหมด (เช่น ขุ.สุ. ๒๕/๔๒๐/๕๑๐; ขุ.สุ. ๒๕/๔๓๑/๕๔๐)

คำว่าบริสุทธิ์ หรือ “สุทธิ” นี้ หมายถึงจุดหมายสูงสุดของลัทธิศาสนา ตรงกับความหลุดพ้น หรือวิมุตติ
นั่นเอง (เช่น ขุ.ม. ๒๙/๑๒๐/๑๐๕; ขุ.ม. ๒๙/๓๓๖/๒๒๗; ขุ.จู. ๓๐/๓๐๑/๑๔๙) ความเห็นผิดนั้น
อาจแสดงออกในรูปของการบำเพ็ญศีลพรตเพื่อจะได้เป็นเทพเจ้า ดังปรากฏบ่อยๆ ในพระสูตร
ต่างๆ โดยข้อความว่า “มีปณิธาน (หรือมีทิฏฐิ) ว่า: ด้วยศีล หรือพรต หรือ ตบะ หรือพรหมจรรย์นี้
เราจักได้เป็นเทพเจ้าหรือเทพองค์ใดองค์หนึ่ง” (ม.มู. ๑๒/๒๓๒/๒๐๙; ม.ม. ๑๓/๘๕/๘๐;
สํ.สฬ. ๑๘/๓๒๓/๒๒๕; องฺ.ปญฺจก. ๒๒/๒๐๖/๒๗๘; องฺ.สตฺตก. ๒๓/๔๗/๕๗; องฺ.นวก. ๒๓/๒๗๖/๔๘๒;
ขุ.ม. ๒๙/๓๘/๓๙; ขุ.ม. ๒๙/๓๘๒/๒๕๖

คัมภีร์มหานิทเทส และจูฬนิทเทส ได้อธิบายเรื่องการยึดถือความบริสุทธิ์ด้วยศีลและพรตเช่นนี้
ไว้หลายแห่ง เช่นแห่งหนึ่งว่า “มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่งถือความบริสุทธิ์ด้วยศีล พวกเขาเชื่อถือสุทธิ
วิสุทธิ ความบริสุทธิ์ ความหลุดพ้น วิมุตติ บริมุตติ เพียงด้วยศีล เพียงด้วยการบังคับควบคุมตน
(สัญญมะ) เพียงด้วยความสำรวมระวัง (สังวร) เพียงด้วยการไม่ล่วงละเมิด...ฯลฯ...; มีสมณพราหมณ์
พวกหนึ่งถือความบริสุทธิ์ด้วยพรต พวกเขาถือหัตถิพรต (ประพฤติอย่างช้าง) บ้าง ถืออัสสพรต
(ประพฤติอย่างม้า) บ้าง ถือโคพรต (ประพฤติอย่างวัว) บ้าง ฯลฯ ถือพรหมพรตบ้าง ถือเทวพรตบ้าง
ถือทิศพรต (ไหว้ทิศ) บ้าง...(ขุ.ม. ๒๙/๑๒๐/๑๐๕; ดูประกอบ ขุ.ม. ๒๙/๑๒๙/๑๑๐; ขุ.ม. ๒๙/๖๑๗/๓๗๓;
ขุ.ม. ๒๙/๓๓๖/๒๒๗; ขุ.จู. ๓๐/๑๒๐/๔๖; ขุ.จู. ๓๐/๓๐๑/๑๔๙; ขุ.จู. ๓๐/๓๑๕/๑๕๕; และดูอธิบายของอรรถกถา นิทฺ.อ.๑/๒๗๐)

คำอธิบายเช่นนี้ลงตัวเป็นแบบในคำจำกัดความคำว่า “สีลัพพตปรามาส” ของคัมภีร์อภิธรรมว่า
“ทิฏฐิ...การยึดถือ...ของสมณพราหมณ์ทั้งหลาย ภายนอก (จากธรรมวินัย) นี้ ทำนองนี้ว่า: ความ
บริสุทธิ์มีได้ด้วยศีล ความบริสุทธิ์มีได้ด้วยพรต ความบริสุทธิ์มีได้ด้วยศีลและพรต นี้เรียกว่า
สีลัพพตปรามาส” (อภิ.สํ. ๓๔/๖๗๓/๒๖๓; อภิ.สํ. ๓๔/๗๒๕/๒๘๖; อภิ.วิ. ๓๕/๙๓๒/๔๙๓;
อภิ.วิ. ๓๕/๙๖๒/๕๐๕) คำว่า “ของสมณพราหมณ์ภายนอก” นั้น บางทีทำให้บางท่านเข้าใจผิดว่า
การประพฤติศีลพรตของพวกนักบวชนอกศาสนาเท่านั้น เป็นสีลัพพตปรามาส ความจริง คำที่ว่านี้
ควรถือเป็นคำเน้นเพื่อชี้ตัวอย่างรูปแบบหรือแนวปฏิบัติเท่านั้น อาจเลี่ยงแปลเป็นว่า “การยึดถือ
อย่างพวกสมณพราหมณ์ภายนอก” ก็จะชัดขึ้น หรือไม่ต้องเติมคำนั้นเข้ามาเลยก็ได้ (เหมือนอย่าง
พุทธพจน์ทั้งหลายใน สุตตันตนิบาต และคำอธิบายใน ขุ.ม. ๒๙/๓๓๖/๒๒๗ หรือในอรรถกถา
เช่น สงฺคณี อ.๕๐๑ เป็นต้น ก็ไม่มีคำว่า “ของสมณพราหมณ์ภายนอก” เพราะเมื่อถือผิดอย่างนี้
ถึงอยู่ในพุทธศาสนา ก็เป็นการถืออย่างคนนอกพระศาสนา)

สรุปความหมายตอนนี้ว่า สีลัพพตปรามาส หมายถึงการประพฤติศีลพรตด้วยโมหะคือความหลงงมงาย
ว่า จะบริสุทธิ์หลุดพ้น บรรลุจุดหมายของศาสนา เพียงด้วยการบำเพ็ญศีลพรตนั้น และในความหลงผิดนี้
ลักษณะหนึ่งที่แสดงออกมา คือ การกระทำด้วยตัณหาและทิฏฐิ เช่น ประพฤติอย่างนั้นเพราะอยากไป
เกิดเป็นเทวดา และมีความเห็นผิดแฝงอยู่ด้วยพร้อมกันว่าการบำเพ็ญศีลพรตนั้นจะทำให้ไป
เกิดเป็นเทวดาได้

ว่าโดยความหมายตามรูปศัพท์ สีลัพพตปรามาส ประกอบด้วย สีล (ศีล) + วต (พรต) + ปรามาส
(การถือเลยเถิด) คำว่าศีลและพรต มีอธิบายในมหานิทเทสดังยกมาอ้างข้างต้นแล้ว (ขุ.ม. ๒๙/๑๒๐/
๑๐๕) และยังมีอธิบายน่าสนใจเพิ่มอีกใจความว่า ข้อที่เป็นทั้งศีลและพรต ก็มี เป็นแต่พรต ไม่เป็นศีล
ก็มี เช่น วินัยของพระภิกษุ มีทั้งศีลและพรต กล่าวคือ ส่วนที่เป็นการบังคับควบคุมตนหรือการ
งดเว้น (สังยมะ หรือ สัญญมะ) ความสำรวมระวัง (สังวร) การไม่ล่วงละเมิด เป็นศีล ส่วนการสมาทาน
หรือข้อที่ถือปฏิบัติ เป็นพรต ข้อที่เป็นแต่พรต ไม่เป็นศีล ได้แก่ธุดงค์ทั้งหลาย เช่น ถืออยู่ป่า ถือบิณ
ฑบาตเป็นประจำ ถือทรงผ้าบังสกุล เป็นต้น (ดู ขุ.ม. ๒๙/๘๑/๗๗; ขุ.ม. ๒๙/๙๑๘/๕๘๔)

ในการบำเพ็ญศีลพรต โดยหวังจะไปเกิดเป็นเทพ ถ้าเป็นนักบวชนอกศาสนา เช่น พวกถือกุกกุรพรต
อรรถกถาก็อธิบายว่า ศีลก็หมายถึงประพฤติอย่างสุนัข
พรตก็หมายถึงข้อปฏิบัติอย่างสุนัข (ดู ม.อ.
๓/๙๖) ถ้าเป็นชาวพุทธ ศีลก็ได้แก่ เบญจศีล เป็นต้น พรตก็ได้แก่การถือ ธุดงค์ (นิทฺ.อ.๒/๑๓๒)
บางทีอรรถกถาก็พูดจำเพาะภิกษุว่า ศีล หมายถึงปาริสุทธิศีล ๔ พรตหมายถึง ธุดงค์ ๑๓
(ธ.อ.๗/๕๓; ดู องฺ.อ.๓/๙๖ ด้วย)

“ปรามาส” มักแปลกันว่าลูบคลำ แต่ความจริง ความหมายในบาลีทั่วไปได้แก่ หยิบฉวย จับต้อง จับ
ไว้แน่น (เช่น พระจับยึดตัวไว้ – วินย. ๒/๗๐/๕๖; วินย.อ.๒/๒๐๒; ทีฆาวุกุมารจับเศียร
พระเจ้ากาสีเพื่อจะปลงพระชนม์ – วินย. ๕/๒๔๔/๓๓๒; พระพุทธเจ้าไม่ทรงยึดมั่นความรู้ –
ที.ปา. ๑๑/๑๓/๒๙; ที.อ.๓/๑๙; ไม่ควรหยิบฉวยเอาของ
ที่เขามิได้ให้ – องฺ.ปญฺจก.

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ค. 2021, 06:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8583


 ข้อมูลส่วนตัว


๒๒/๑๗๙/๒๓๘; การจับฉวยท่อนไม้และศัสตราเพื่อทำร้ายกัน – ขุ.ม. ๒๙/๓๘๔/๒๕๘; ที่แปลกัน
ว่าลูบคลำ คงจะมาจากชาดก ว่าด้วยกำเนิดของสุวรรณสาม กุสราช และมัณฑัพยกุมาร
(ชา.อ.๗/๖; ๘/๑๓๕; ๙/๑๒๔) ว่าฤาษีปรามาสนาภีของภรรยา เป็นต้น ซึ่งน่าจะเป็น
การเอานิ้วแตะ จี้หรือจดลงที่สะดือมากกว่า (ดู สงฺคณี อ.๓๖๙ และ ม.อ.๒/๔๑๘ ประกอบ)
หรือเทียบเคียงจาก วินย. ๑/๓๗๘/๒๕๔ ซึ่งอธิบาย “ปรามาสนา” โดยไขความว่า อิโต
จิโต จ สญฺโจปนา แปลได้ว่า ลูบ หรือสีไปมา

อย่างไรก็ตาม ความหมายของ “ปรามาส” ในด้านหลักธรรม มีคำอธิบายเฉพาะชัดเจนอยู่แล้วว่า
“สภาวํ อติกฺกมิตฺวา ปรโต อามสตีติ ปรามาโส” แปลว่า จับฉวยเอาเกินเลยสภาวะเป็นอย่าง
อื่นไป จึงแปลว่า ถือเลยเถิด คือเกินเลย หรือคลาดจากความเป็นจริง กลายเป็นอย่างอื่นไปเสีย
(นิทฺ.อ.๑/๓๓๙; ๒/๔๗; ดู นิทฺ.อ.๑/๒๐๐,๓๐๑; สงฺคณี อ.๑๑๗ ด้วย) เช่น ตามสภาวะที่จริงไม่
เที่ยง จับฉวยหรือยึดถือพลาดไปเป็นว่าเที่ยง ศีลพรตมีไว้ฝึกหัดขัดเกลา เป็นบาทฐาน
ของภาวนา กลับถือเลยเถิดไปเป็นอย่างอื่น คือ เห็นไปว่าบำเพ็ญแต่ศีลพรต ก็จะบริสุทธิ์
หลุดพ้นได้

สีลัพพตปรามาสนี้ ก็เป็นทิฏฐิ คือความเห็นหรือการยึดถือย่างหนึ่ง (เช่น ขุ.สุ. ๒๕/๔๑๒/๔๙๐;
อภิ.สํ. ๓๔/๖๗๓/๒๖๓; ม.ม. ๑๓/๘๕/๘๐; นิทฺ.อ.๑/๑๒๒) จึงมีปัญหาว่า เหตุใดต้องแยกต่าง
หากจากสังโยชน์ข้อที่ ๑ คือสักกายทิฏฐิ ซึ่งเป็นทิฏฐิเหมือนกัน อรรถกถาอธิบายว่า สักกาย
ทิฏฐิ ความเห็นยึดถือตัวตนนั้น เป็นทิฏฐิพื้นฐานอยู่กับตนเองตามปกติ โดยไม่ต้องอาศัยตรรก
และการอ้างอิงถือต่อจากผู้อื่น ส่วนสีลัพพตปรามาส เป็นทิฏฐิชั้นนอก เกี่ยวกับปฏิปทา คือทาง
แห่งการปฏิบัติว่าถูกหรือผิด เป็นอีกเรื่องหนึ่งต่างหาก คนละขั้นตอนกันทีเดียว (ดู นิทฺ.อ.๑/๓๓๙)
จึงต้องแยกเป็นคนละข้อ และเพราะสีลัพพตปรามาสเป็นเรื่องของปฏิปทานี่แหละ ท่านจึงอธิบาย
เชื่อมโยงให้เห็นว่า สีลัพพตปรามาส เป็น อัตต
กิลมถานุโยค อันเป็นอย่างหนึ่งในที่สุดสองด้าน ซึ่งชาวพุทธพึงหลีกเว้นเสีย เพื่อดำเนินใน
มรรคาที่ถูกต้อง คือมัชฌิมาปฏิปทา (ดู อุ.อ.๔๔๖)

ปรามาส ใช้มากอีกอย่างหนึ่งในรูปที่เป็นคุณนามว่า “ปรามฏฺฐ” แปลว่า “ซึ่งถูกจับต้องแล้ว
หรือจับต้องบ่อยๆ” หมายความว่า แปดเปื้อน หรือเสียความบริสุทธิ์ไปแล้ว ท่านอธิบายว่า
ถูกตัณหาและทิฏฐิจับต้อง คือ เปรอะเปื้อน หรือไม่บริสุทธิ์ เพราะถูกตัณหาและทิฏฐิเข้า
มาเกลือกกลั้วพัวพัน คือ รักษาศีลบำเพ็ญพรต เพราะอยากได้ผลตอบแทนเป็นลาภยศสรร
เสริญสุขสวรรค์ หรือเพราะเข้าใจว่าจะได้เป็นนั่นเป็นนี่ ตามลัทธิหรือทฤษฎีที่ยึดถือเอาไว้
ศีลที่บริสุทธิ์จึงเรียกว่าเป็น “อปรามฏฺฐ” ไม่ถูกตัณหาและทิฏฐิแตะต้องให้เปรอะเปื้อน
ประพฤติด้วยปัญญา ถูกต้องตามหลักการและความมุ่งหมาย เป็นไท คือไม่เป็นทาสของตัณหา
และทิฏฐินั้น เป็นศีลระดับพระโสดาบัน (เช่น สํ.ม. ๑๙/๑๔๑๒/๔๒๙; ฯลฯ ฯลฯ;
อรรถกถาอธิบายใน วินย.อ.๓/๔๘๖; ที.อ.๑/๑๓๙; ๒/๑๗๗; สํ.อ.๓/๓๘๗; องฺ.อ.๓/๑๑๔;
วิสุทฺธิ.๑/๑๖; ดู สํ.อ.๒/๑๒๕ ด้วย; แปลอีกอย่างหนึ่งว่า ไม่ถูกปรามาส คือใครๆ ท้วง ตำหนิ
ดูหมิ่น หรือหาเรื่องไม่ได้)

ลักษณะสุดท้ายของการถือศีลพรตที่พลาดหลัก ก็คือ การถือที่เป็นเหตุให้มาทะเลาะวิวาท
เกี่ยงแย้งกันว่า ใครดี ใครเลว ท่านผิด ฉันถูก หรือเป็นเหตุให้ยกตนข่มผู้อื่นว่า เราทำได้เคร่ง
ครัดถูกต้อง คนอื่นเลวกว่าเรา ทำไม่ได้อย่างเรา เป็นต้น (ดู ขุ.สุ. ๒๕/๔๑๒/๔๙๑; ขุ.สุ. ๒๕/
๔๑๙/๕๐๕)

เท่าที่กล่าวมา พอจะสรุปลักษณะการถือศีลพรตที่เป็นสีลัพพตปรามาสได้ว่า เป็นการ
ถือด้วย โมหะ หรือด้วยตัณหาและ ทิฏฐิ ซึ่งแสดงออกในรูปของการถือโดยงมงาย ไม่เข้า
ใจความมุ่งหมาย สักว่าทำตามๆ กันไปอย่างเถรส่องบาตรบ้าง ถือโดยหลงผิดว่าศีลพรตเท่านั้น
ก็พอให้ถึงความบริสุทธิ์หลุดพ้น หรือถืออย่างเป็นพิธีรีตองศักดิ์สิทธิ์ ว่าทำไปตามนั้นแล้ว
ก็จะบันดาลผลสำเร็จให้เกิดเองบ้าง ถือโดยรู้สึกว่าเป็นข้อบังคับลอยๆ เป็นเครื่องบีบคั้นขืนใจ
ไม่รู้ว่าจะทำไปเพื่ออะไร เพราะไม่เห็นโทษของสิ่งที่พึงงดเว้น ไม่ทราบซึ้งในคุณของการละเว้นสิ่ง
ที่ชั่วเลวและการที่จะทำตามข้อปฏิบัตินั้นๆ จำใจทำไป ไม่เห็นประโยชน์บ้าง ถือเพราะอยากได้
เหยื่อล่อ เช่น โชคลาภ กามสุข เป็นต้นบ้าง ถือเพราะมีความเห็นผิดในจุดหมายว่า ศีลพรตจะ
ทำให้ได้เป็นนั่นเป็นนี่บ้าง ถือแล้วเกิดความหลงตัวเอง มีอาการยกตนข่มผู้อื่นบ้าง

ลักษณะการรักษาศีลบำเพ็ญพรตที่ถูกต้อง ไม่เป็นสีลัพพตปรามาส ก็คืออาการที่พ้นจากความ
ผิดพลาดที่กล่าวแล้วข้างต้น ซึ่งแสดงออกด้วยการปฏิบัติที่เกิดจากความรู้ตระหนักว่า กระทำ
เพื่อฝึกหัดขัดเกลาตนเอง เพื่อเป็นบาทของสมาธิ เพื่อความสงบเรียบร้อย เพื่อความดีงามของ
ประชุมชน ปฏิบัติด้วยมองเห็นโทษของการเบียดเบียน ทราบซึ้งว่าความสงบเรียบร้อย ไม่เบียด
เบียนกัน เป็นต้น เป็นสิ่งที่ดี เห็นคุณเห็นโทษแล้ว ละอายบาป มีฉันทะที่จะเว้นชั่วทำความดี โดย
พร้อมใจตน ตลอดจนถึงขั้นสุดท้ายคือ ไม่กระทำชั่วและประพฤติดีอย่างเป็นไปเอง มีศีล
และพรตเกิดขึ้นในตัวเป็นปกติธรรมดา ไม่ต้องฝึก ไม่ต้องฝืน เพราะไม่มีกิเลสที่จะเป็นเหตุให้ทำ
ความชั่ว เข้าลักษณะของฐานหนึ่งใน ๖ ที่พระอรหันต์น้อมใจไป คือ ข้อที่ว่า พระอรหันต์

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ค. 2021, 08:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8583


 ข้อมูลส่วนตัว


น้อมใจดิ่งไปในภาวะที่ไม่มีการเบียดเบียน มิใช่เพราะถือสีลัพพตปรามาส แต่เพราะหมด
ราคะหมดโทสะ หมดโมหะ (วินย. ๕/๓/๙; องฺ.ฉกฺก.๒๒/๓๒๖/๔๒๑)

เบื้องแรก ศีลเป็นความประพฤติปกติ เพราะฝึกปฏิบัติให้เคยชินเป็นนิสัย และเพราะแรง
ใจที่มุ่งมั่น ฝึกตนให้ก้าวหน้าในคุณความดี ส่วนเบื้องปลาย ศีลเป็นความประพฤติปกติ เพราะ
หมดสิ้นเหตุปัจจัยภายในที่จะให้หาทางทำสิ่งที่ไม่ดี

ผู้ปฏิบัติผิดก็อาจมีศีลพรต แต่เป็นสีลัพพตปรามาส ผู้ปฏิบัติถูกก็มีศีลพรต ดังที่ท่านเรียกว่า
“สีลวตูปปนฺน” แปลว่า ผู้เข้าถึงศีลพรต หรือประกอบด้วยศีลและพรต (ขุ.อิติ. ๒๕/๒๖๓/๓๙๒;
ขุ.สุ. ๒๕/๓๑๓/๓๖๔) บ้าง “สีลพฺพตสมฺปนฺน” แปลว่า ผู้ถึงพร้อมด้วยศีลพรต (องฺ.ติก. ๒๐/
๔๙๙/๒๑๔) บ้าง

จะว่าบริสุทธิ์ด้วยศีลพรต ก็ไม่ถูก บริสุทธิ์ได้โดยไม่ต้องมีศีลพรต ก็ไม่ถูก (ขุ.สุ. ๒๕/๔๑๖/
๔๙๘) แต่อยู่ที่ศีลพรตที่ไม่เป็นสีลัพพตปรามาส พรตอาจไม่จำเป็น เฉพาะอย่างยิ่งสำหรับ
คฤหัสถ์ แต่ศีลที่เป็นอปรามัฏฐ์ คือบริสุทธิ์ ไม่คลาดหลักความจริง ไม่เปรอะด้วยตัณหา
และทิฏฐิ เป็นพื้นฐานที่จำเป็นสำหรับความบริสุทธิ์หลุดพ้นในทุกกรณี (ดูในตอนว่าด้วยพระ
โสดาบันข้างหน้า, เช่น สํ.ม.๑๙/๑๔๑๒/๔๒๘-๑๖๒๘/๕๑๔)

สรุปลงให้สั้นที่สุด หลักการของศีลพรต ก็มีเพียงว่า เมื่อบุคคลถือปฏิบัติศีลพรตใดแล้ว
อกุศลธรรมเจริญ กุศลธรรมเสื่อม ศีลพรตอย่างนั้นผิดพลาด ไร้ผล เมื่อบุคคลถือปฏิบัติศีล
พรตใดแล้ว กุศลธรรมเจริญ อกุศลธรรมเสื่อมถอย ศีลพรตอย่างนั้นถูกต้องมีผลดี (ดู องฺ.ติก.
๒๐/๕๑๘/๒๘๙; ขุ.อุ. ๒๕/๑๔๔/๑๙๔)

ตราบใดยังเป็นปุถุชน การถือมั่นถือพลาดในศีลพรต ก็ยังมีอยู่ ไม่มากก็น้อย ตามสัดส่วน
ของ ตัณหา ทิฏฐิ หรือโมหะที่เบาบางลง อย่างน้อยก็ยังมีอาการฝืนใจ หรือข่มไว้ จึงยังไม่
พ้นขั้นที่รักษาศีลด้วยความยึดมั่นในศีล และถือเกินเลยคลาดสภาวะไปบ้าง ต่อเมื่อใด เป็นพระ
โสดาบัน กิเลสหยาบแรงหมดไป จึงได้ชื่อว่า เป็นผู้บำเพ็ญบริบูรณ์ในศีล (เช่น องฺ.ติก. ๒๐/
๕๒๖/๒๙๘ เป็นต้น) การรักษาศีลจึงจะเป็นไปเอง เพราะเป็นศีลอยู่ในตัว เป็นปกติธรรมดา ไม่
ต้องฝึก ไม่ต้องฝืนอีกต่อไป และถือพอดีๆ ตรงตามหลัก ตามความมุ่งหมาย ไม่หย่อน ไม่เขว
ไม่เลยเถิดไป

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 3 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร