วันเวลาปัจจุบัน 25 มิ.ย. 2025, 05:18  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง





กลับไปยังกระทู้  [ 129 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5 ... 9  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ม.ค. 2022, 05:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8571


 ข้อมูลส่วนตัว


พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า "เมื่อใด บุคคลเป็นผู้บริโภคมาก มักง่วงซึม นอนหลับ พลิกกลับไปมา ดุจสุกรใหญ่อันบุคคลปรนปรือด้วยเหยื่อ เมื่อนั้น บุคคลนั้นเป็นคนเขลา ย่อมเข้าห้อง (นอน) บ่อย ๆ" ดังนี้ในคาถานี้ คำอธิบายของพระผู้มีพระภาคเจ้าอย่างไร ในอธิการนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประสงค์อธิบายว่า "สัตว์เหล่าใด ปรารถนาเพื่อยับยั้งชราและมรณะ สัตว์เหล่านั้น จักเป็นผู้รู้จักประมาณในโภชนะ จักเป็นผู้มีทวารอันคุ้มครองแล้วในอินทรีย์ทั้งหลาย จักเป็นผู้ประกอบเนือง ๆ ในความเพียรเป็นเครื่องตื่นอยู่ตลอดราตรีเบื้องต้นและตลอดราตรีเบื้องปลาย จักเป็นผู้รู้แจ้งในกุศลธรรมทั้งหลาย และจักเป็นผู้มีความเคารพในเพื่อนพรหมจารีทั้งหลายคือ ในพระเถระทั้งหลาย พระนวกะทั้งหลาย และพระมัชฌิมะทั้งหลาย" ดังนี้ ฯ
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า "ความไม่ประมาทเป็นทางเครื่องถึงอมตนิพพาน ความประมาทเป็นทางแห่งมัจจุ ชนผู้ไม่ประมาทแล้วย่อมไม่ตาย ชนเหล่าใดประมาทแล้ว ชนเหล่านั้นเหมือนคนตายแล้ว"3 ดังนี้ ฯ
ในคาถานี้ มีอธิปปายะของพระผู้มีพระภาคเจ้าอย่างไร ในอธิการนี้มีอธิปปายะของพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า "สัตว์เหล่าใดผู้ปรารถนาเพื่อแสวงหาอมตนิพพานจักมี สัตว์เหล่านั้นจักเป็นผู้ไม่ประมาทอยู่" ดังนี้ ฯ เทศนานี้ชื่อว่า อธิปปายะ ฯ
[27] บรรดาบท 4 นั้น นิทานะเป็นไฉน
นายธนิยะคนเลี้ยงโค กล่าวกะพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า "คนย่อมเพลิดเพลิน เพราะอุปธิทั้งหลาย เปรียบเหมือนคนมีบุตรย่อมเพลิดเพลินเพราะบุตร คนมีโคย่อมเพลิดเพลินเพราะโค ฉะนั้นคนใดไม่มีอุปธิ คนนั้นย่อมไม่เพลิดเพลินเลย"พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า "คนย่อมเศร้าโศกเพราะอุปธิทั้งหลาย เปรียบเหมือนคนมีบุตรย่อมเศร้าโศกเพราะบุตร คนมีโคย่อมเศร้าโศกเพราะโค ฉะนั้น คนใดไม่มีอุปธิ คนนั้นย่อมไม่เศร้าโศกเลย" ดังนี้บัณฑิตย่อมทราบด้วยนิทานะ (การณะ) นี้ ด้วยวัตถุ (อุปธิ) นี้ว่า ในที่นี้พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถึงอุปธิที่บุคคลถือเอาในภายนอก ฉะนั้น ฯ อุปธิภายในเหมือนอย่างมารผู้มีบาป ยังศิลาใหญ่ให้ตกไปจากภูเขาคิชฌกูฏ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า "แม้ถึงว่าท่านจะพึงกลิ้งภูเขาคิชฌกูฏหมดทั้งสิ้น ความหวั่นไหวก็จะไม่พึงมีแก่พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ผู้หลุดพ้นแล้วโดยชอบแน่แท้" ฯ
"ถึงแม้ท้องฟ้าจะพึงแตก แผ่นดินพึงแยก สัตว์ทั้งหลายพึงสะดุ้งกลัวกันหมดก็ตามที แม้ถึงว่าหอกหรือหลาวจะจ่ออยู่ที่อกก็ตามเถิดพระพุทธเจ้าทั้งหลายย่อมไม่ทรงทำการป้องกัน ในเพราะอุปธิทั้งหลาย"ดังนี้ ฯ

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ม.ค. 2022, 05:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8571


 ข้อมูลส่วนตัว


บัณฑิตย่อมทราบด้วยนิทานะนี้ ด้วยวัตถุนี้ว่า ในที่นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัส อุปธิ คือ กาย ดังนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสว่า "นักปราชญ์ทั้งหลาย ไม่กล่าวเครื่องผูกซึ่งเกิดแต่เหล็ก เกิดแต่ไม้และเกิดแต่หญ้าปล้องว่ามั่นคง แต่สัตว์ผู้หลงแล้ว กำหนัดแล้วในแก้วมณีและกุณฑล และความเยื่อใยในบุตรและภรรยาเหล่าใด" ดังนี้ ฯ
บัณฑิตย่อมทราบด้วยนิทานะนี้ ด้วยวัตถุนี้ว่า ในที่นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสการละตัณหาในวัตถุทั้งหลายอันเป็นภายนอก ฯ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสต่อไปว่า "นักปราชญ์ทั้งหลาย กล่าวเครื่องผูก อันถ่วงลง อันหย่อนอันเปลื้องได้โดยยากนั้นว่ามั่นคง นักปราชญ์ทั้งหลาย ตัดเครื่องผูกแม้นั้นแล้ว เป็นผู้ไม่มีความห่วงใย ละกามสุขแล้ว ย่อมเว้นรอบ" ดังนี้ ฯ
บัณฑิตย่อมทราบด้วยนิทานะนี้ ด้วยวัตถุนี้ว่า ในที่นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสการละตัณหา อันเป็นวัตถุอันเป็นไปในภายนอก ฯ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า "จงพิจารณาดูอัตภาพนี้ อันกระสับกระส่าย ไม่สะอาด เป็นของเน่าเปื่อย มีกลิ่นเหม็นซึ่งอาศัยกาย มีสิ่งปฏิกูลไหลออกอยู่ทั้งกลางวันทั้งกลางคืน อันชนพาลทั้งหลายปรารถนายิ่งนัก" ดังนี้ ฯ
บัณฑิตย่อมทราบด้วยนิทานะนี้ ด้วยวัตถุนี้ว่า ในที่นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสการละตัณหา ด้วยสามารถแห่งความสิเนหาในวัตถุอันเป็นไปในภายในดังนี้ ฯ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า "พวกเธอ จงตัดความเยื่อใยในตนเสีย เหมือนบุคคลถอนดอกโกมุทที่เกิดในสารทกาล (ฤดูใบไม้ร่วง) ด้วยมือ จงพอกพูนทางแห่งสันติทีเดียวเพราะพระนิพพานอันพระสุคตแสดงแล้ว" ดังนี้ ฯ
บัณฑิตย่อมทราบด้วยนิทานะนี้ ด้วยวัตถุนี้ว่า ในที่นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสการละตัณหา ด้วยสามารถแห่งความสิเนหาในวัตถุอันเป็นไปในภายใน ฯ
บทนี้ ชื่อว่า นิทานะ ฯ
บรรดาบท 4 นั้น สนธิเบื้องต้นและเบื้องปลาย เป็นไฉน
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเปล่งอุทานว่า "สัตว์ทั้งหลายผู้มืดมนเพราะกาม ถูกตัณหาซึ่งเป็นดุจข่ายปกคลุมไว้แล้ว ถูกเครื่องมุง คือตัณหาปกปิดไว้แล้ว ถูกเครื่องผูก คือกามคุณผูกไว้แล้วด้วยความประมาท ย่อมไปสู่ชรา และมรณะเหมือนปลาที่ปากไซ เหมือนลูกโคที่ยังดื่มนมไปตามแม่โค ฉะนั้น" ดังนี้ ฯ
สนธินี้ท่านกล่าวว่า กามตัณหา กามตัณหานั้นย่อมประกอบไว้โดยเบื้องต้นและเบื้องปลาย เป็นไฉน เหมือนอย่างที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า "บุคคล ผู้อันราคะย้อมแล้วย่อมไม่รู้อรรถะ บุคคลผู้อันราคะย้อมแล้วย่อมไม่เห็นธรรม ราคะย่อมครอบงำนรชนเมื่อใด เมื่อนั้นความมืดตื้อย่อมมี" ดังนี้ ฯ
ตัณหานั้นนั่นเอง ตรัสเรียกว่า ปุพพาปรสนธิ เพราะกระทำความมืดและกระทำการปกคลุมสัตว์ไว้ คือ ตัณหานั้นนั่นแหละ ท่านกล่าวไว้โดยปริยุฏฐาน ด้วยบททั้ง 2 นี้ว่า "สัตว์ทั้งหลายผู้มืดมนเพราะกาม ถูกตัณหาซึ่งเป็นดุจข่ายปกคลุมแล้ว ถูกเครื่องมุงคือตัณหาปกปิดแล้ว" และคำว่า "บุคคลผู้อันราคะย้อมแล้วย่อมไม่รู้อรรถะ ผู้อันราคะย้อมแล้วย่อมไม่เห็นธรรม" ดังนี้ ฯ
ความไม่รู้อันใด อันกระทำซึ่งความมืด นี้พึงเป็นสมุทัย และตัณหาใดท่านกล่าวว่านำไปเกิดในภพใหม่ ตัณหานี้ก็พึงเป็นสมุทัย ฯ ก็บทใด ที่ตรัสว่า กามบทเหล่านี้ เป็นกิเลสกาม ฯ บทใด ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า "ถูกตัณหาซึ่งเป็นดุจข่ายปกคลุมไว้" ดังนี้ ด้วยบทนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าย่อมทรงแสดงการกลุ้มรุมจิตแห่งกามเหล่านั้นนั่นแหละด้วยการประกอบเพราะฉะนั้นจึงกล่าวว่า เครื่องผูกคือตัณหา ด้วยสามารถแห่งกิเลส และด้วยสามารถแห่งการกลุ้มรุมจิต ฯ คนใด เช่นกับคนที่เป็นไปกับตัณหามีประการตามที่กล่าวแล้ว คนเช่นนั้น ย่อมไปสู่ชราและมรณะ นี้เป็นคำอธิบายการสืบต่อเบื้องต้นและเบื้องปลาย ในคำที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า "ตัณหา ย่อมนำไปสู่ชราและมรณะ" ตามคาถาที่ตั้งไว้ ฉะนี้ ฯ

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ม.ค. 2022, 05:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8571


 ข้อมูลส่วนตัว


พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเปล่งอุทานนี้ว่า "ผู้ใด ไม่มีกิเลสเครื่องให้เนิ่นช้า และตัณหานอนเนื่องอยู่ ก้าวล่วงแล้วซึ่งที่ต่อ คือตัณหา และลิ่ม คืออวิชชาได้ สัตวโลกแม้ทั้งเทวโลกผู้เป็นไปกับตัณหา ย่อมไม่รู้ซึ่งมุนีผู้ไม่มีตัณหานั้น ผู้เที่ยวไปอยู่ในโลก"ดังนี้ ฯ
ตัณหา ทิฏฐิ และมานะ ชื่อว่า ปปัญจะ (คือ ธรรมให้เนิ่นช้า) สังขารทั้งหลาย ที่ชื่อว่า ปปัญจะ เพราะอันตัณหา ทิฏฐิและมานะนั้นปรุงแต่งแล้วตัณหาที่นอนเนื่องอยู่ในสันดาน ด้วยอรรถะว่าละไม่ได้ และได้ชื่อว่า ฐิติเพราะเป็นเหตุให้สัตว์ตั้งอยู่ ปริยุฏฐานแห่งตัณหา และตัณหาที่ท่านกล่าวว่า ท่องเที่ยวไป 36 ที่เป็นดุจข่าย ชื่อว่า สันตานะ (การสืบต่อ) โมหะ ชื่อว่า ลิ่ม ฯ
บุคคลใดก้าวล่วงอกุศลทั้งปวงนี้ คือ ปปัญจธรรม สังขารอันปปัญจธรรมนั้นปรุงแต่งแล้ว ฐิติคือการนอนเนื่องอยู่แห่งตัณหา สันตานะแห่งตัณหา และลิ่ม คือโมหะ บุคคลนี้ บัณฑิตเรียกว่า ผู้ไม่มีตัณหา ฉะนี้แล ฯ
[28] ในปปัญจธรรมเป็นต้นเหล่านั้น อกุศลเจตนาซึ่งกลุ้มรุมจิตด้วยอำนาจแห่งวีติกกมะ พึงให้ทิฏฐธัมมเวทนียะ หรืออุปปัชชเวทนียะ หรืออปราปริยเวทนียะฉันใด ตัณหาก็ให้ผล 3 อย่าง ฉันนั้น คือ ให้ทิฏฐธัมมเวทนียะ หรืออุปปัชชเวทนียะ หรือ อปราปริยเวทนียะ ฯ สมดังพระดำรัสที่ตรัสว่า "บุคคลใด ย่อมทำกรรมใด ที่ทำด้วยความโลภ ด้วยกาย หรือ ด้วยวาจา หรือด้วยใจ บุคคลนั้น ย่อมเสวยวิบากของกรรมนั้น ในทิฏฐธัมมเวทนียะนี้ หรือในอุปปัชชเวทนียะนี้ หรือในอปราปริยเวทนียะนี้" ดังนี้ ฯ
พระพุทธพจน์นี้ ย่อมสมควรโดยการสืบต่อเบื้องต้นและเบื้องปลาย ฯ
ในการสืบต่อนั้น ปริยุฏฐานแห่งตัณหา เป็นกรรมอันบุคคลพึงเสวยผลในอัตภาพปัจจุบัน หรือในอัตภาพที่จะเกิดขึ้น หรือว่าในภพต่อ ๆ ไป ฉันใดกรรมก็ย่อมให้ผล 3 อย่าง ฉันนั้นเหมือนกัน ฯ
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า "หากว่า คนพาลมีปกติฆ่าสัตว์ ฯลฯ เป็นมิจฉาทิฏฐิ กระทำกรรมใดเขาย่อมเสวยวิบากแห่งกรรมนั้น ในอัตภาพปัจจุบันนี้ หรือในภพที่จะเกิดขึ้น หรือในภพต่อ ๆ ไป" ดังนี้ พระพุทธพจน์นี้ก็ประกอบในการสืบต่อเบื้องต้นและเบื้องปลาย ฯ
ในการสืบต่อนั้น ปริยุฏฐานแห่งตัณหาอันบุคคลพึงละได้ด้วยกำลังแห่งการพิจารณา มีอสุภะและอนิจจะเป็นต้น (ตทังคปหานะ) สังขารที่ปรุงแต่งด้วยปปัญจธรรมนั้น พึงละได้ด้วยทัสสนะ (ปฐมมรรค) ตัณหาวิจริต 36 พึงละได้ด้วยกำลังแห่งการเจริญมรรคในเบื้องบน ตัณหาแม้ทั้ง 3 อันบุคคลย่อมละได้ด้วยประการฉะนี้ ฯ ความไม่มีแห่งตัณหาใด ความไม่มีนี้ บัณฑิตกล่าวว่า เป็นสอุปาทิเสสนิพพานธาตุ (นิพพานธาตุที่มีวิบากขันธ์เหลืออยู่) และความไม่มีแห่งตัณหานี้ ชื่อว่า อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ เพราะการแตกแห่งกาย ฯ
สภาวะเครื่องผูกพัน ท่านเรียกว่า เป็นเครื่องเนิ่นช้า (ปปัญจะ) เหมือนอย่างที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า "เพราะดำริถึงรูปที่พึงรู้ได้ด้วยจักษุ อันเป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน จึงทำให้เนิ่นช้า" ดังนี้ และเหมือนอย่างที่ตรัสว่า "ดูกร ราธะ เธอจงเป็นผู้ไม่อาลัยในรูปที่เป็นไปล่วงแล้ว อย่ายินดีรูปที่ยังไม่มาถึง จงปฏิบัติเพื่อความหน่าย เพื่อคลายกำหนัด เพื่อความดับเพื่อสละ เพื่อสละคืน ซึ่งรูปที่เป็นปัจจุบัน" ดังนี้ ฯ พระพุทธพจน์นี้ย่อมประกอบด้วยความสืบต่อทั้งเบื้องต้นและเบื้องปลาย ฯ
อนึ่ง ธรรมเครื่องเนิ่นช้าใด สังขารทั้งหลายเหล่าใด และความยินดียิ่งซึ่งรูปอันเป็นอดีต อนาคต และปัจจุบันใด สภาวะนี้ทั้งหมด มีเนื้อความเป็นอย่างเดียวกัน ฯ อีกอย่างหนึ่ง พระธรรมเทศนาอันหาประมาณมิได้ ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ด้วยบททั้งหลายอันประกอบกันและกัน บัณฑิต เทียบเคียงพระสูตรกับพระสูตรอย่างนี้แล้ว ประกอบสนธิโดยเบื้องต้นและเบื้องปลายแล้วอธิบายพระสูตรเถิด ฯ

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ม.ค. 2022, 05:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8571


 ข้อมูลส่วนตัว


อนึ่ง สนธิเบื้องต้นและเบื้องปลายนี้ มี 4 อย่าง คือ อัตถสนธิ 1พยัญชนสนธิ 1 เทสนาสนธิ 1 และนิทเทสสนธิ 1 ฯ
บรรดาสนธิ 4 เหล่านั้น อัตถสนธิ (การต่ออรรถะ) ได้แก่ บท 6 คือ
1. สังกาสนา การบอก,
2. ปกาสนา การประกาศ,
3. วิวรณา การเปิดเผย,
4. วิภชนา การจำแนก,
5. อุตตานีกัมมตา การทำให้ตื้น,
6. ปัญญัตติ บัญญัติ ฯ
พยัญชนสนธิ (การต่อพยัญชนะ) ได้แก่ บท 6 คือ
1. อักขระ ตัวอักษร,
2. บท ส่วน พากย์,
3. พยัญชนะ ทำอรรถะให้ปรากฏ,
4. อาการ การจำแนก,
5. นิรุตติ ภาษา,
6. นิทเทส การอธิบาย ฯ
เทสนาสนธิ (แสดงลักษณะนิพพานธาตุ) ว่า บุคคลผู้ได้ฌานอาศัยปฐวีเป็นอารมณ์เพ่งอยู่ ก็ย่อมไม่รู้ อาศัยอาโปเป็นอารมณ์เพ่งอยู่ ก็ย่อมไม่รู้อาศัยเตโชเป็นอารมณ์เพ่งอยู่ ก็ย่อมไม่รู้ อาศัยวาโยเป็นอารมณ์เพ่งอยู่ ก็ย่อมไม่รู้ ฯลฯ บุคคลได้อรูปฌาน อาศัยอากาสานัญจายตนะ ... อาศัยวิญญาณัญจายตนะ ... อาศัยอากิญจัญญายตนะ ... อาศัยเนวสัญญานาสัญญายตนะเพ่งอยู่ก็ย่อมไม่รู้ บุคคลอาศัยสันดานแห่งสัตว์ในโลกนี้ ... อาศัยสันดานแห่งสัตว์ในปรโลกเพ่งอยู่ ก็ย่อมไม่รู้ บุคคลเว้นสันดานทั้ง 2 แล้ว วัตถุใด อันตนเห็นแล้ว(ทิฏฺฐํ) อันตนได้ยินแล้ว (สุตํ) อันตนทราบแล้ว (มุตํ) และธัมมารมณ์มีอาโปเป็นต้น อันตนรู้แจ้งแล้ว (วิญฺญาตํ) ที่บุคคลถึงแล้ว อันแสวงหาแล้ว ไม่แสวงหาแล้ว หรือ วัตถุใด อันเป็นอารมณ์ของวิตก ของวิจาร หรืออันบุคคลคิดด้วยใจอันใด บุคคลอาศัยวัตถุแม้นั้นเพ่งอยู่ ก็ย่อมไม่รู้ ฯ แต่พระขีณาสพนี้ เพ่งอยู่ด้วยฌานในผลสมบัติ ย่อมรู้เพราะความที่ตัณหาทิฏฐิ และมานะท่านละได้แล้ว ชื่อว่า ย่อมรู้ด้วยจิตที่ไม่อาศัยตัณหา ทิฏฐิและมานะนั้น ที่ใคร ๆ ในโลกพร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณะพราหมณ์ เทวดาและมนุษย์รู้ไม่ได้เพ่งอยู่ ฯ
เหมือนมารผู้มีบาป แสวงหาอยู่ซึ่งวิญญาณของกุลบุตรชื่อโคธิกะย่อมไม่รู้ ย่อมไม่เห็น เพราะกุลบุตรนั้นมีธรรมเครื่องเนิ่นช้าอันตนก้าวล่วงแล้วเพราะละตัณหา แม้ที่อาศัยของทิฏฐิก็ไม่มี ก็วิญญาณของกุลบุตรโคธิกะฉันใดวิญญาณของท่านพระวักกลิก็ฉันนั้น อันใคร ๆ ในโลก ทั้งเทวโลก มารโลกพรหมโลก ในหมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณะพราหมณ์ เทวดาและมนุษย์ ย่อมไม่รู้เพราะความที่จิตอันกิเลสไม่อาศัยแล้ว การเทียบเคียงอรรถะแห่งพระสูตรทั้ง 2 นี้ ชื่อว่า เทสนาสนธิ ฯ
บรรดาสนธิเหล่านั้น นิทเทสสนธิ เป็นไฉน
บุคคลผู้มีจิตอาศัย พึงแสดงโดยฝ่ายอกุศล บุคคลผู้มีจิตไม่อาศัยพึงแสดงโดยฝ่ายกุศล บุคคลมีจิตอาศัย พึงแสดงโดยกิเลส บุคคลผู้มีจิตไม่อาศัยพึงแสดงโดยโวทานะ บุคคลผู้มีจิตอาศัย พึงแสดงโดยความเป็นไปในสังสารบุคคลมีจิตไม่อาศัย พึงแสดงโดยความไม่เป็นไปแห่งสังสาร ฯ บุคคลผู้มีจิตอาศัย พึงแสดงโดยตัณหาและอวิชชา บุคคลผู้มีจิตไม่อาศัย พึงแสดงโดยสมถะและวิปัสสนา บุคคลผู้มีจิตอาศัย พึงแสดงโดยอหิริกะและอโนตตัปปะบุคคลผู้มีจิตไม่อาศัย พึงแสดงโดยหิริและโอตตัปปะ บุคคลผู้มีจิตอาศัย พึงแสดงโดยความไม่มีสติและสัมปชัญญะ บุคคลผู้มีจิตไม่อาศัย พึงแสดงโดยสติและสัมปชัญญะ บุคคลผู้มีจิตอาศัย พึงแสดงโดยอโยนิโส (ความไม่รู้) และอโยนิโสมนสิการ บุคคลผู้มีจิตไม่อาศัย พึงแสดงโดยความรู้และโยนิโสมนสิการบุคคลผู้มีจิตอาศัย พึงแสดงโดยความเกียจคร้านและความเป็นคนว่ายากบุคคลผู้มีจิตไม่อาศัย พึงแสดงโดยวิริยารัมภะและความเป็นคนว่าง่าย บุคคลผู้มีจิตอาศัย พึงแสดงโดยความไม่มีศรัทธาและความประมาท บุคคลผู้มีจิตไม่อาศัย พึงแสดงโดยศรัทธาและความไม่ประมาท ฯ บุคคลผู้มีจิตอาศัย พึงแสดงโดยความไม่ฟังพระสัทธรรมและความไม่สังวร บุคคลผู้มีจิตไม่อาศัย พึงแสดงโดยการฟังพระสัทธรรมและสังวร ฯ บุคคลผู้มีจิตอาศัย พึงแสดงโดยอภิชฌาและพยาบาท บุคคลผู้มีจิตไม่อาศัย พึงแสดงโดยความไม่มีอภิชฌาและความไม่พยาบาท ฯ บุคคลผู้มีิจิตอาศัย พึงแสดงโดยนิวรณ์ทั้งหลายและสังโยชน์ทั้งหลาย บุคคลผู้มีจิตไม่อาศัย พึงแสดงโดยเจโตวิมุตติอันสำรอกราคะและปัญญาวิมุตติอันสำรอกอวิชชา ฯ บุคคลผู้มีจิตอาศัย พึงแสดงโดยอุทเฉททิฏฐิและสัสสตทิฏฐิ บุคคลผู้มีจิตไม่อาศัย พึงแสดงโดยนิพพานธาตุที่เป็นสอุปาทิเสสะและอนุปาทิเสสะ ฯ
การเทียบเคียงต่อนิทเทสกับนิทเทส ด้วยสามารถแห่งจิตอาศัย แห่งนิทเทสแรกมีอกุศลเป็นต้นกับนิทเทสหลังมีสังกิเลสเป็นต้น และด้วยสามารถแห่งจิตไม่อาศัย แห่งนิทเทสแรกมีกุศลเป็นต้นกับนิทเทสหลังมีโวทานะเป็นต้นนี้ ชื่อ ว่า นิทเทสสนธิ ฯ เพราะเหตุนั้น ท่านพระมหากัจจายนะ จึงกล่าว จตุพยูหะว่า "เนรุตตะ อธิปปายะ นิทานะ และสนธิ" ดังนี้ ฯ
จบ จตุพยูหหารวิภังค์

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ม.ค. 2022, 05:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8571


 ข้อมูลส่วนตัว


7. อาวัฏฏหารวิภังค์

[29] บรรดาหาระ 16 นั้น หาระคือ อาวัฏฏะ เป็นไฉน
เทศนาว่า "ท่านทั้งหลาย จงริเริ่ม จงก้าวหน้าจงประกอบความเพียรในพระพุทธศาสนาจงกำจัดเสนาแห่งมัจจุ เหมือนช้างพลายกำจัดเรือนไม้อ้อ ฉะนั้น" เป็นต้นในนิทเทสว่า "เอกมฺหิ ปทฏฺฐาเน" เป็นต้น นี้ชื่อว่า หาระ คือ อาวัฏฏะ ฯ
คำว่า "ท่านทั้งหลาย จงริเริ่ม จงก้าวหน้า" นี้ เป็นปทัฏฐาน (เหตุให้เกิดขึ้น) แห่งวิริยะ ฯ คำว่า "จงประกอบความเพียรในพระพุทธศาสนา"นี้ เป็นปทัฏฐานแห่งความเพียร อันเป็นไปกับสมาธิ ฯ คำว่า "จงกำจัดเสนาแห่งมัจจุ เหมือนช้างพลายกำจัดเรือนไม้อ้อ ฉะนั้น" นี้ เป็นปทัฏฐานแห่งปัญญา ฯ
คำว่า "ท่านทั้งหลาย จงริเริ่ม จงก้าวหน้า" ดังนี้ เป็นปทัฏฐานของวิริยินทรีย์ คำว่า "จงประกอบความเพียรในพระพุทธศาสนา" ดังนี้ เป็นปทัฏฐานของสมาธินทรีย์ คำว่า "จงกำจัดเสนาแห่งมัจจุ เหมือนช้างกำจัดเรือนไม้อ้อฉะนั้น" ดังนี้ เป็นปทัฏฐานของปัญญินทรีย์ ฯ ปทัฏฐานเหล่านี้ เป็นเทศนา ฯ
เหตุในการประกอบ (ความเพียร) ของสัตว์ทั้งหลายผู้ไม่ประกอบ(คือผู้มีญาณไม่แก่กล้า) และความริเริ่มของสัตว์ทั้งหลายผู้ประกอบอยู่(ผู้มีญาณแก่กล้า) ฯ
ในการไม่ประกอบและการประกอบทั้ง 2 นั้น สัตว์เหล่าใด มีญาณไม่แก่กล้า ย่อมไม่ประกอบ สัตว์ผู้ไม่ประกอบนั้น เป็นผู้มีความประมาทเป็นมูลย่อมไม่ประกอบเพราะความประมาทใด ความประมาทนั้น มี 2 อย่าง คือ มีตัณหาเป็นมูล และมีอวิชชาเป็นมูล ฯ ในความประมาททั้ง 2 นั้น สัตว์ผู้มีอวิชชาเป็นมูล บุคคลผู้ประมาทใด อันความไม่รู้หุ้มห่อแล้ว ย่อมไม่รู้ฐานะที่ควรรู้ว่า "ขันธ์ 5 เหล่านี้ มีความเกิดขึ้นและมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา" ความประมาทอันมีความไม่รู้นี้ ชื่อว่า ความประมาทมีอวิชชาเป็นมูล ฯ ความประมาทใดมีตัณหาเป็นมูล ความประมาทนั้นมี 3 อย่าง คือ สัตว์ผู้มีความอยาก(ผู้ดิ้นรน) แสวงหาอยู่เพื่อโภคะทั้งหลายที่ยังไม่เกิดขึ้นเพื่อให้เกิดขึ้น ย่อมถึงความประมาทใด ความประมาทนี้ 1 สัตว์ผู้มีความอยากรักษาอยู่ เพื่อให้โภคะทั้งหลายที่เกิดขึ้นแล้ว ตั้งอยู่ ย่อมถึงความประมาทใด อันมีการรักษาเป็นนิมิต ความประมาทนี้ 1 สัตว์ผู้มีความอยากบริโภคอยู่ซึ่งโภคะที่มีอยู่ย่อมถึงความประมาทใดอันมีการบริโภคเป็นนิมิต ความประมาทนี้ 1 เพราะฉะนั้นความประมาทที่มีตัณหาเป็นมูลจึงมี 3 อย่าง ความประมาท 4 อย่างนี้ คือ ความประมาทด้วยอวิชชาอย่าง 1 ด้วยตัณหา 3 อย่าง มีอยู่ในโลก ฯ
ในอวิชชาและตัณหานั้น นามกาย (คือการประชุมแห่งนามมีผัสสะเป็นต้น)เป็นปทัฏฐานแห่งอวิชชา ฯ รูปกาย (คือ การประชุมแห่งรูปมีปฐวีเป็นต้น)เป็นปทัฏฐานแห่งตัณหา ฯ ข้อนั้น เพราะเหตุไร เพราะความยึดมั่นของตัณหาตั้งอยู่แล้วในสัตว์ทั้งหลาย ด้วยสามารถแห่งการยึดถือว่า เป็นเรา เป็นของเราในรูปธรรมทั้งหลาย เพราะฉะนั้น รูปกายจึงเป็นปทัฏฐาน (เหตุให้เกิดขึ้น)แห่งตัณหา ความหลงใหลในอรูปธรรมทั้งหลาย ตั้งอยู่แล้วในหมู่สัตว์ เพราะความที่ธรรมทั้งหลายมีผัสสะเป็นต้น มีภาวะของตนละเอียดยิ่ง และเพราะการแยกฆนะแห่งอารมณ์ โดยกิจที่สืบต่อและการประชุมกันกระทำได้โดยยากเพราะฉะนั้น อรูปกายจึงเป็นปทัฏฐานแห่งอวิชชา ฯ
ในรูปกายและนามกายเหล่านั้น รูปขันธ์ ชื่อว่า รูปกาย (การประชุมแห่งรูป) อรูปขันธ์ 4 ชื่อว่า นามกาย (การประชุมแห่งนาม) ฯ ขันธ์ 5 เหล่านี้
ชื่อว่า มีอุปาทาน ด้วยอุปาทาน เป็นไฉน
ขันธ์ 5 นี้ ชื่อว่า มีอุปาทาน ด้วยตัณหาที่เป็นอุปาทาน และอวิชชาที่เป็นอุปาทาน ฯ ในตัณหาและอวิชชานั้น ตัณหาเป็นอุปาทาน 2 อย่าง คือ กามุปาทานและสีลัพพตุปาทาน ฯ อวิชชาเป็นอุปาทาน 2 อย่าง คือ ทิฏฐุปาทานและอัตตวาทุปาทาน ฯ โลกียขันธ์ เป็นขันธ์ที่มีอุปาทาน 4 เหล่านี้ ขันธปัญจกะที่มีอุปาทานนี้ ชื่อว่า ทุกขสัจจะ ฯ อุปาทาน 4 เหล่าใด เป็นเหตุแห่งทุกข์หมวด 4 แห่งอุปาทานนี้ ชื่อว่า สมุทัยสัจจะ ฯ ขันธ์ 5 ที่มีอุปาทานเป็นทุกข์เพราะเป็นวัตถุแห่งทุกข์ ฯ พระผู้มีพระภาคเจ้า ย่อมทรงแสดงธรรมอันสมควรแก่เวไนยสัตว์ มีคำว่า "ท่านทั้งหลาย จงริเริ่ม" เป็นต้น เพื่อการกำหนดรู้และเพื่อการละขันธ์ 5 ที่มีอุปาทานเหล่านั้น คือ เพื่อการกำหนดรู้ทุกข์ เพื่อการละสมุทัย ฯ

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ม.ค. 2022, 05:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8571


 ข้อมูลส่วนตัว


[30] ในความประมาท 4 ที่มีตัณหาเป็นมูล 3 และ ที่มีอวิชชาเป็นมูล 1 ที่กล่าวมานั้น, ความประมาทที่มีตัณหาเป็นมูล 3 คือ ยึดติดโภคะที่ยังไม่มี แล้วหาทางมีไว้ 1, ยึดติดโภคะที่มีอยู่ แล้วเก็บเอาไว้บ้าง 1, หรือ ยึดติดโภคะที่มีอยู่ แล้วใช้สอยไปบ้าง 1, การรักษาจิต ด้วยการเข้าใจแทงตลอดความประมาทที่มีตัณหาเป็นมูล 3 นั้น ซึ่งก็คือ การหลีกออกจากความประมาท, นี้คือ สมถะฯ
สมถะที่ว่านี้ เกิดอย่างไร? สมถะเกิดในขณะที่บุคคลรู้อัสสาทะแห่งกามโดยความอัสสาทะ, รู้อาทีนวะแห่งกามโดยความอาทีนวะ, รู้นิสสรณะแห่งกามโดยความนิสสรณะ, รู้โอการะ, รู้สังกิเลส, รู้โวทาน, และรู้อานิสงส์ของเนกขัมมะ.
การวีมังสา (ทุพพละ) และ การอุปปริกขา (พลวะ) ที่เกิดขึ้นเมื่อมีสมถะดังกล่าวเกิด (เป็นปาทกฌาน) นี้คือ วิปัสสนา. เพราะการเห็นโดยสภาวะอันวิเศษ ธรรมทั้ง 2 เหล่านี้ คือสมถะและวิปัสสนา ย่อมถึงการบริบูรณ์ด้วยภาวนา เมื่อสมถะและวิปัสสนาทั้ง 2 เจริญอยู่ ธรรมทั้ง 2 คือ ตัณหาและอวิชชา ย่อมถูกทำลาย เมื่อตัณหาและอวิชชาทั้ง 2 ถูกทำลายแล้ว อุปาทาน 4 ย่อมดับ ฯ เพราะความดับแห่งอุปาทาน ความดับแห่งภพย่อมมี เพราะความดับแห่งภพ ความดับแห่งชาติย่อมมี เพราะความดับแห่งชาติ ชรา มรณะ โสกะปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส ย่อมดับ ฯ ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งหมดนั้นย่อมมีอย่างนี้ ฯ
เพราะฉะนั้น สัจจะ 2 นัยแรก เป็นทุกข์และเป็นสมุทัย สมถะและวิปัสสนาเป็นมรรค การดับภพเป็นพระนิพพาน ฯ สัจจะ 4 เหล่านี้ท่านยกขึ้นแสดงด้วยสามารถแห่งอาวัฏฏนะ (การหมุนไป) แห่งธรรมที่เป็นวิสภาคะและสภาคะ ด้วยประการฉะนี้ เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสไว้ว่า "อารมฺภถ นิกฺกมถ" เป็นต้น ฯ
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า "ต้นไม้ เมื่อรากหาอันตรายมิได้ มั่นคงอยู่ แม้ถูกตัดแล้ว ก็กลับงอกขึ้นได้ ฉันใด ทุกข์นี้ เมื่อบุคคลยังถอนเชื้อ (อนุสัย) ตัณหาขึ้นไม่ได้แล้วย่อมเกิดขึ้นบ่อย ๆ แม้ฉันนั้น" ฯ
ถามว่า ตัณหานี้ ตัณหา (ที่เป็นเชื้อ) นั้น เป็นไฉน
ตอบว่า ภวตัณหา (เพราะยินดีในการเกิด) ฯ
อนุสัยใด เป็นปัจจัยแก่ธรรม คือ ภวตัณหานั้น อนุสัยนี้ คือ อวิชชาเพราะภวตัณหา มีอวิชชาเป็นปัจจัย ฯ กิเลสทั้ง 2 คือ ตัณหาและอวิชชานี้เป็นอุปาทาน 4 ขันธ์เหล่าใด มีอุปาทานด้วยอุปาทาน 4 เหล่านั้น ขันธ์นี้เป็นทุกขสัจจะ อุปาทาน 4 เป็นสมุทยสัจจะ ปัญจขันธ์เป็นที่ตั้งแห่งทุกข์ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงแสดงธรรม เพื่อการกำหนดรู้ทุกข์และเพื่อการละสมุทัยแห่งอุปาทานขันธ์ 5 นั้น ฯ
บุคคลย่อมถอนขึ้นซึ่งตัณหานุสัยได้ด้วยธรรมใด ธรรมนั้น เป็นสมถะฯ
บุคคลย่อมกั้นเสียซึ่งอวิชชาอันเป็นปัจจัยแก่ตัณหานุสัยได้ด้วยธรรมใด ธรรมนั้นเป็นวิปัสสนา ฯ ธรรมทั้ง 2 คือ สมถะและวิปัสสนาเหล่านี้ ย่อมถึงการบริบูรณ์ด้วยภาวนา ฯ ในธรรมทั้ง 2 นั้น ชื่อว่าเจโตวิมุตติ (การหลุดพ้นทางใจ) เพราะสำรอกราคะเป็นผลของสมถะ ชื่อว่าปัญญาวิมุตติ (การหลุดพ้นทางปัญญา)เพราะสำรอกอวิชชาเป็นผลของวิปัสสนา ฯ ด้วยประการฉะนี้ สัจจะ 2 เบื้องต้นเป็นทุกขสัจจะและสมุทยสัจจะ สมถะและวิปัสสนา เป็นมัคคสัจจะ การหลุดพ้นทั้ง 2 เป็นนิโรธสัจจะ ฯ พึงทราบสัจจะ 4 เหล่านี้ โดยทำนองที่กล่าวแล้ว ฯ
เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า "ต้นไม้ เมื่อรากหาอันตรายมิได้"เป็นต้น ฯ
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า "การไม่ทำบาปทั้งปวง การยังกุศลให้ถึงพร้อม การชำระจิตให้ผ่องแผ้ว นี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย" ดังนี้ ฯ
ทุจริต 3 คือ กายทุจริต 1 วจีทุจริต 1 และมโนทุจริต 1 ชื่อว่า บาปทั้งปวง อกุศลกรรมบถ 10 คือ ปาณาติบาต 1 อทินนาทาน 1 กาเมสุมิจฉาจาร 1 มุสาวาท 1 ปิสุณาวาจา 1 ผรุสวาจา 1 สัมผัปปลาปะ 1 อภิชฌา 1พยาบาท 1 และมิจฉาทิฏฐิ 1 ชื่อว่า บาปทั้งปวง ฯ กรรม คือการกระทำบาปทั้งปวงนั้น มี 2 อย่างคือ เจตนากรรมและเจตสิกกรรม ฯ
บรรดากรรมทั้ง 2 นั้น ปาณาติบาต 1 ปิสุณาวาจา 1 ผรุสวาจา 1ทั้ง 3 นี้ มีโทสะเป็นสมุฏฐาน ฯ อทินนาทาน 1 กาเมสุมิจฉาจาร 1 มุสาวาท 1ทั้ง 3 นี้ มีโลภะเป็นสมุฏฐาน ฯ สัมผัปปลาปะนี้ มีโมหะเป็นสมุฏฐาน เหตุ 7ประการ เหล่านี้ เป็นเจตนากรรม ฯ อกุศลมูล คือ อภิชฌาและโลภะ อกุศลมูลคือ พยาบาทและโทสะ มิจฉามรรค คือ มิจฉาทิฏฐิ เหตุ 3 เหล่านี้ เป็นเจตสิกกรรม ฯ ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า "เจตนากมฺมํเจตสิกกมฺมํ" ดังนี้ ฯ
อกุศลมูล (มีโลภะเป็นต้น) เมื่อถึงปโยคะ ย่อมถึงอคติ 4 อย่าง คือฉันทาคติ โทสาคติ ภยาคติ และโมหาคติ ฯ ในอคติ 4 นั้น บุคคลย่อมถึงอคติใดเพราะฉันทะ อคตินี้ มีโลภะเป็นสมุฏฐาน ฯ บุคคลย่อมถึงอคติใดเพราะโทสะอคตินี้ มีโทสะเป็นสมุฏฐาน ฯ บุคคลย่อมถึงอคติใดเพราะความกลัว และเพราะความหลง อคตินี้ มีโมหะเป็นสมุฏฐาน ฯ ในอกุศลมูลเหล่านั้น โลภะอันบุคคลย่อมละด้วยอสุภภาวนา โทสะอันบุคคลย่อมละด้วยเมตตาและกรุณา ฯ โมหะย่อมละได้ด้วยปัญญา ฯ อนึ่ง โลภะอันบุคคลย่อมละได้ด้วยอุเบกขา โทสะอันบุคคลละได้ด้วยเมตตาและกรุณา โมหะ (โมหาคติ) ย่อมถึงการละ คือการตั้งอยู่ไม่ได้ด้วยมุทิตา ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า "การไม่ทำบาปทั้งปวง" ดังนี้ ฯ

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ม.ค. 2022, 05:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8571


 ข้อมูลส่วนตัว


[31] มิจฉัตตะ 8 คือ มิจฉาทิฏฐิ 1 มิจฉาสังกัปปะ 1 มิจฉาวาจา 1 มิจฉากัมมันตะ 1 มิจฉาอาชีวะ 1 มิจฉาวายามะ 1 มิจฉาสติ 1 และมิจฉาสมาธิ 1ชื่อว่า บาปทั้งปวง ฯ มิจฉัตตะนี้ ท่านเรียกว่า บาปทั้งปวง ฯ กิริยาที่ไม่กระทำการไม่กระทำ การไม่ประพฤติตามซึ่งมิจฉัตตะ 8 เหล่านี้ กิริยาที่ไม่กระทำเป็นต้นนี้ ท่านเรียกว่า การไม่ทำบาปทั้งปวง ฯ
เมื่อมิจฉัตตะ 8 อันบุคคลละได้แล้ว สัมมัตตะ 8 ย่อมถึงพร้อม ฯ กิริยาที่กระทำ การกระทำ การประพฤติตามสัมมัตตะ 8 การถึงพร้อมด้วยบททั้ง 3 นี้ ท่านเรียกว่า การยังกุศลให้ถึงพร้อม ฯ คำว่า "การชำระจิตให้ผ่องแผ้ว"ดังนี้ ได้แก่ ย่อมแสดงถึงการกระทำ คือ การเจริญมรรคที่เป็นอดีต เมื่อจิตผ่องแผ้ว ย่อมยังขันธ์ 5 ให้ผ่องแผ้ว สมดังพระดำรัส ที่ตรัสไว้ว่า "ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัตว์จักอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อความหมดจดแห่งจิต" ดังนี้จริงอยู่ การยังจิตให้ผ่องแผ้วมี 2 อย่าง ได้แก่ การละนิวรณ์และการถอนขึ้นซึ่งอนุสัยฯ ภูมิที่ยังจิตให้ผ่องแผ้วก็มี 2 คือ ทัสสนภูมิและภาวนาภูมิ ฯ
บรรดาธรรมทั้งหลายที่พระองค์ทรงแสดงแล้ว ในคาถานั้น ขันธปัญจกะใดยังจิตให้ผ่องใสโดยการแทงตลอดด้วยปริญญา ขันธปัญจกะนี้ เป็นทุกขสัจจะขันธปัญจกะที่ยังจิตให้ผ่องใสจากตัณหาและสังกิเลสใด ตัณหาและสังกิเลสนี้เป็นสมุทยสัจจะ ขันธปัญจกะที่ยังจิตให้ผ่องใสด้วยองค์แห่งอริยมรรคใดมรรคนี้เป็นมัคคสัจจะ ขันธปัญจกะใดผ่องแผ้วแล้วโดยบรรลุถึงอสังขตธาตุอสังขตธาตุธรรมนี้ เป็นนิโรธ คือ เป็นนิโรธสัจจะ ฯ สัจจะ 4 เหล่านี้ พระองค์ทรงยกขึ้นแสดงด้วยอำนาจแห่งความหมุนไปแห่งสภาคะและวิสภาคะ ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า "การไม่ทำบาปทั้งปวง" ดังนี้ ฯ
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า "ธรรมแล ย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม เหมือนร่มคันใหญ่มีประโยชน์ในฤดูฝนนี้ นี้เป็นอานิสงส์ในธรรมอันบุคคลประพฤติดีแล้วเพราะผู้มีปกติประพฤติธรรมย่อมไม่ไปสู่ทุคติ" ดังนี้ ฯ
ชื่อว่า ธรรมมี 2 อย่าง คือ อินทริยสังวรและมรรค ชื่อว่า ทุคติ ก็มี 2 อย่าง คือ อบายภูมิทั้งหลาย ชื่อว่าทุคติ เพราะการเปรียบเทียบกับเทวดาหรือมนุษย์ และการเกิดทั้งปวง ชื่อว่า ทุคติ เพราะเปรียบกับพระนิพพาน ฯ
ในบาทแรกแห่งคาถานั้น การที่บุคคลไม่ยังศีลสังวรให้ขาด อันใด นี้ชื่อว่า ธรรมที่บุคคลประพฤติดีแล้ว ย่อมรักษาตนจากอบายทั้งหลาย ฯ โดยประการตามที่กล่าวนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า "ดูกรภิกษุทั้งหลาย คติของบุคคลผู้มีศีลมี 2 อย่าง คือ เทวดาและมนุษย์" ฯ

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ม.ค. 2022, 05:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8571


 ข้อมูลส่วนตัว


เรื่องนายคามณีนายคามณีชื่อว่า อสิพันธกบุตร ในนิคมชื่อว่านาลันทา ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พวกพราหมณ์ชาวปัจฉาภูมิ มีคณโฑน้ำติดตัว ประดับพวงมาลัยสาหร่าย อาบน้ำทุกเช้าเย็น บำเรอไฟ พราหมณ์เหล่านั้น ชื่อว่ายังสัตว์ที่ตายแล้ว ทำกาละแล้วให้เป็นขึ้น ให้รู้ชอบชวนให้เข้าสวรรค์ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า สามารถกระทำให้สัตว์โลกทั้งหมด เมื่อตายไป พึงเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ได้หรือ"พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า "ดูกรนายคามณี ถ้าอย่างนั้น เราจักย้อนถามท่านในข้อนี้ ปัญหาควรแก่ท่านโดยประการใด ท่านพึงพยากรณ์ปัญหาข้อนั้นโดยประการนั้นท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน บุรุษในโลกนี้ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม พูดเท็จ พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ มากไปด้วยอภิชฌา มีจิตพยาบาท มีความเห็นผิด หมู่มหาชนมาประชุมกันแล้วพึงสวดวิงวอน สรรเสริญ ประนมมือเดินเวียนรอบผู้นั้นว่า ขอบุรุษนี้ เมื่อตายไปจงเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน บุรุษนั้นเมื่อตายไป พึงเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์เพราะเหตุแห่งการสวดวิงวอน เพราะเหตุแห่งการสรรเสริญ หรือเพราะเหตุแห่งการประนมมือเดินเวียนรอบ ดังนี้หรือ"นายคามณี กราบทูลว่า "ไม่ใช่อย่างนั้น พระเจ้าข้า ฯ"พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า "ดูกรนายคามณี เปรียบเหมือนบุรุษโยนหินก้อนหนาใหญ่ลงในห้วงน้ำลึก หมู่มหาชนพึงมาประชุมกันแล้วสวดวิงวอน สรรเสริญ ประนมมือเดินเวียนรอบหินนั้นว่า ขอจงโผล่ขึ้นเถิดท่านก้อนหิน ขอจงลอยขึ้นเถิดท่านก้อนหิน ขอจงขึ้นบกเถิดท่านก้อนหิน ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน ก้อนหินนั้นพึงโผล่ขึ้น พึงลอยขึ้น หรือพึงขึ้นบก เพราะเหตุแห่งการสวดวิงวอน สรรเสริญ ประนมมือเดินเวียนรอบของหมู่มหาชนบ้างหรือ"นายคามณีทูลว่า "ไม่ใช่อย่างนั้น พระเจ้าข้า ฯ"พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า "ดูกรนายคามณี ฉันนั้นเหมือนกัน บุรุษคนใดฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ประพฤติผิดในกาม พูดเท็จ พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ มากไปด้วยอภิชฌา มีจิตพยาบาท มีความเห็นผิด หมู่มหาชนพึงมาประชุมกันแล้วสวดวิงวอน สรรเสริญ ประนมมือเดินเวียนรอบบุรุษนั้นว่า ขอบุรุษนี้เมื่อตายไป จงเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ก็จริง ถึงอย่างนั้น บุรุษนั้น เมื่อตายไป พึงเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก ฯ"ว่าด้วยสัตว์ผู้เข้าถึงสวรรค์"ดูกรนายคามณี ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน บุรุษในโลกนี้เว้นปาณาติบาต อทินนาทาน กาเมสุมิจฉาจาร มุสาวาท ปิสุณาวาจาผรุสวาจา สัมผัปปลาปะ ไม่มากไปด้วยอภิชฌา มีจิตไม่พยาบาท มีความเห็นชอบ หมู่มหาชนพึงมาประชุมกันแล้วสวดวิงวอน สรรเสริญ ประนมมือ เดินเวียนรอบบุรุษนั้นว่า ขอบุรุษนี้ เมื่อตายไป จงเข้าถึงอบาย ทุคติวินิบาต นรก ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน บุรุษนั้นเมื่อตายไป พึงเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก เพราะเหตุแห่งการสวดวิงวอน สรรเสริญหรือเพราะเหตุแห่งการประนมมือเดินเวียนรอบของหมู่มหาชนบ้างหรือ "นายคามณีทูลว่า "ไม่ใช่อย่างนั้น พระเจ้าข้า ฯ"พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า "ดูกรนายคามณี เปรียบเหมือนบุรุษลงยังห้วงน้ำลึกแล้ว พึงทุบหม้อเนยใส หรือหม้อน้ำมัน ก้อนกรวดหรือก้อนหินที่มีอยู่ในหม้อนั้น พึงจมลง เนยใสหรือน้ำมันที่มีอยู่ในหม้อนั้นพึงลอยขึ้น หมู่มหาชนพึงมาประชุมกันแล้วสวดวิงวอน สรรเสริญ ประนมมือเดินเวียนรอบเนยใสหรือน้ำมันนั้นว่า ขอจงจมลงเถิดท่านเนยใสและท่านน้ำมัน ขอจงดำลงเถิดท่านเนยใสและท่านน้ำมัน ขอจงลงภายใต้เถิดท่านเนยใสและท่านน้ำมันท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน เนยใสและน้ำมันนั้น พึงจมลง พึงดำลง พึงลงภายใต้ เพราะเหตุแห่งการสวดวิงวอน สรรเสริญ หรือเพราะเหตุแห่งการประนมมือเดินเวียนรอบ ของหมู่มหาชนบ้างหรือ"นายคามณีทูลว่า "ไม่ใช่อย่างนั้น พระเจ้าข้า ฯ"พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า "ดูกรนายคามณี ฉันนั้นเหมือนกัน บุรุษใดเว้นจากปาณาติบาตอทินนาทาน กาเมสุมิจฉาจาร มุสาวาท ปิสุณาวาจา ผรุสวาท สัมผัปปลาปะ ไม่มากไปด้วยอภิชฌา มีจิตไม่พยาบาท มีความเห็นชอบหมู่มหาชนจะมาประชุมแล้วสวดวิงวอน สรรเสริญ ประนมมือเดินเวียนรอบบุรุษนั้นว่า ขอบุรุษนี้ เมื่อตายไป จงเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาตนรก ก็จริง ถึงอย่างนั้น บุรุษนั้นเมื่อตายไป พึงเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ฯ
ด้วยคำตามที่กล่าวนี้ ธรรมที่่บุคคลประพฤติดีแล้ว ย่อมรักษาให้พ้นจากอบายทั้งหลาย ฯ"ในคาถานั้น ความคมกล้า คือ ความที่อริยมรรคเป็นธรรมมีประมาณยิ่งอันใด ธรรมนี้ประพฤติดีแล้ว ย่อมรักษาให้พ้นจากการเกิดทั้งหลายทั้งปวง ฯ
ด้วยเหตุนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า "เพราะเหตุนั้น ภิกษุมีความดำริชอบเป็นโคจร มุ่งสัมมาทิฏฐิเป็นเบื้องหน้า รู้ความเกิดขึ้นและความเสื่อมไปแล้ว ครอบงำถีนมิทธะพึงละทุคติทั้งปวงได้" ดังนี้ ฯ

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ม.ค. 2022, 05:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8571


 ข้อมูลส่วนตัว


[32] ในคาถานั้น ตัณหาและอวิชชาเป็นเหตุแห่งทุคติทั้งหลาย และธรรมทั้ง 2นั้นเป็นอุปาทาน 4 ฯ ขันธ์เหล่าใดที่มีอุปาทาน 4 เหล่านั้น ขันธปัญจกะนี้เป็นทุกขสัจจะ อุปาทาน 4 เหล่านี้เป็นสมุทยสัจจะ ขันธ์ 5 เหล่าใด เป็นที่ตั้งแห่งทุกข์ พระผู้มีพระภาคเจ้าย่อมทรงแสดงธรรมเพื่อการรู้ทุกข์ เพื่อการละสมุทัยแห่งขันธ์เหล่านั้น ฯ
บรรดาสัจจะทั้ง 2 นั้น อินทรีย์ 5 ที่เป็นรูปเป็นปทัฏฐาน (เหตุเกิด) แห่งตัณหา มนินทรีย์เป็นปทัฏฐานแห่งอวิชชา ฯ บุคคลเมื่อรักษาอินทรีย์ 5 ที่เป็นรูป ยังสมาธิให้เจริญอยู่ ย่อมข่มซึ่งตัณหา เมื่อรักษาซึ่งมนินทรีย์ ยังวิปัสสนาให้เจริญอยู่ ย่อมข่มซึ่งอวิชชา ฯ อุปาทาน 2 คือ กามุปาทานและสีลัพพตุปาทาน อันบุคคลย่อมละได้ ด้วยการข่มตัณหา ฯ อุปาทาน 2 คือทิฏฐุปาทานและอัตตวาทุปาทาน อันบุคคลย่อมละได้ด้วยการข่มอวิชชา ฯ
อุปาทาน 4 อันบุคคลละได้แล้ว ธรรมทั้ง 2 คือ สมถะและวิปัสสนาย่อมถึงการบริบูรณ์ด้วยภาวนา หมวด 2 อันประเสริฐ กล่าวคือ สมถะและวิปัสสนานี้ท่านเรียกว่า การประพฤติพรหมจรรย์ ฉะนี้แล ฯ
ในการประพฤติพรหมจรรย์นั้น สามัญญผล 4 คือ โสตาปัตติผล 1สกทาคามิผล 1 อนาคามิผล 1 และอรหัตตผลอันเลิศ 1 ทั้ง 4 นี้เป็นผลของการประพฤติพรหมจรรย์ ฯ สัจจะ 2 ในเบื้องต้น เป็นทุกขสัจจะและเป็นสมุทยสัจจะ ฯ สมถะและวิปัสสนาเป็นการประพฤติพรหมจรรย์และเป็นมัคคสัจจะ ฯ
ผลแห่งการประพฤติพรหมจรรย์และอสังขตธาตุที่เป็นอารมณ์ของพรหมจรรย์นั้นเป็นนิโรธสัจจะ ฯ สัจจะ 4 เหล่านี้แล ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงตรัสว่า "ธรรมแล ย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม" เป็นต้น เพื่อรู้สัจจะ 4 เหล่านั้น ฯ
ในคาถาที่พระผู้มีพระภาคเจ้าแสดงแล้วนั้น ขันธปัญจกะใด ย่อมรักษาโดยการแทงตลอดด้วยปริญญา ขันธปัญจกะนี้เป็นทุกขสัจจะ ขันธปัญจกะใดย่อมรักษาให้พ้นจากตัณหาและสังกิเลสใด ตัณหาและสังกิเลสนี้เป็นสมุทยสัจจะขันธปัญจกะที่ผ่องแผ้ว ย่อมรักษาโดยธรรมใด ธรรมนี้เป็นมัคคสัจจะขันธปัญจกะใด อันบุคคลบรรลุอสังขตธาตุ เป็นจิตผ่องใส ธรรมที่เป็นอสังขตธาตุนี้เป็นนิโรธสัจจะ ฯ
อาวัฏฏหาระ ท่านประกอบไว้ด้วยสามารถแห่งปทัฏฐาน (เหตุ) ตามที่ได้เพราะเหตุนั้น ท่านพระมหากัจจายนะ จึงกล่าวว่า "บุคคลแสวงหาในปทัฏฐานหนึ่ง หมุนไปสู่ปทัฏฐานที่เหลือ" เป็นต้นฉะนี้ แล ฯ

จบ อาวัฏฏหารวิภังค์

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ม.ค. 2022, 05:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8571


 ข้อมูลส่วนตัว


8. วิภัตติหารวิภังค์

[33] บรรดาหาระ 16 เหล่านั้น หาระคือ วิภัตติ เป็นไฉน
นิทเทสว่า "ธมฺมญฺจ ปทฏฺฐานํ ภูมิญฺจ" เป็นต้นเป็นหาระ คือ วิภัตติ ฯ
พระสูตรทั้ง 2 คือ วาสนาภาคิยสูตรและนิพเพธภาคิยสูตร ปฏิปทา 2 คือปุญญภาคิยปฏิปทาและผลภาคิยปฏิปทา ศีล 2 คือ สังวรศีลและปหานศีล ฯ ในพระสูตรทั้ง 2 นั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงวาสนาภาคิยสูตร ด้วยปฏิปทาอันเป็นส่วนแห่งบุญแก่บุคคลใด บุคคลนั้น ตั้งอยู่ในสังวรศีลแล้ว ย่อมประพฤติพรหมจรรย์ด้วยพรหมจรรย์นั้น และทรงแสดงนิพเพธภาคิยสูตร ด้วยปฏิปทาที่เป็นส่วนแห่งผลแก่บุคคลใด บุคคลนั้นตั้งอยู่ในปหานศีลแล้ว ย่อมเป็นผู้ประพฤติพรหมจรรย์ด้วยพรหมจรรย์นั้น ฯ
ในพระสูตรทั้ง 2 นั้น วาสนาภาคิยสูตร เป็นไฉน
เทศนาว่า ทานกถา สีลกถา สัคคกถา กามาทีนวกถา เนกขัมมนิสังสกถาชื่อว่า วาสนาภาคิยสูตร ฯ
ในพระสูตรเหล่านั้น นิพเพธภาคิยสูุตร เป็นไฉน
เทศนาใด ประกาศสัจจะ เทศนานั้น ชื่อว่า นิพเพธภาคิยสูตร ฯ ในวาสนาภาคิยสูตร ไม่มีวุฏฐานคามินีวิปัสสนา (อันเป็นปทัฏฐานแห่งอริยมรรค)ไม่มีอริยมรรค ไม่มีอริยผล แต่ในนิพเพธภาคิยสูตร มีวุฏฐานคามินีวิปัสสนามีอริยมรรค มีอริยผล ฯ
พระสูตรทั้ง 4 เหล่านี้ คือ วาสนาภาคิยะ นิพเพธภาคิยะ สังกิเลสภาคิยะและอเสกขภาคิยะ ภูมิแห่งญาณ (ในพระสูตรนั้น) มีประมาณเพียงไร บัณฑิตพึงวิจัยเทศนาแห่งพระสูตรทั้ง 4 เหล่านี้ โดยผล โดยศีล โดยพรหมจรรย์ด้วยวิจยหาระโดยประการทั้งปวง แล้วพึงประกอบด้วยยุตติหาระ มีประมาณเพียงนั้น (จากนั้นพึงทราบธรรมที่เป็นสาธารณะและอสาธารณะในพระสูตรต่อไป) ฯ
[34] บรรดาพระสูตรเหล่านั้น ธรรมที่ทั่วไป (สาธารณะ) เป็นไฉน
ธรรมที่ทั่วไปมี 2 อย่างคือ ทั่วไปโดยชื่อ (นามสาธารณะ) และทั่วไปโดยวัตถุที่อาศัย (วัตถุสาธารณะ) ก็หรือว่า ธรรมชาติแม้อื่นที่มีลักษณะอย่างนี้คือ เสมอกันโดยกิจและโดยปัจจัย เป็นต้นกิเลสอันบุคคลพึงละด้วยทัสสนะ ทั่วไปแก่มิจฉัตตนิยตบุคคล 6 จำพวกมีผู้ฆ่ามารดาเป็นต้น และอนิยตบุคคล 4 จำพวก มีทุคติอเหตุกบุคคลเป็นต้นกามราคะและพยาบาท ทั่วไปแก่ปุถุชนและพระโสดาบัน อุทธัมภาคิยสังโยชน์ทั่วไปแก่ปุถุชนและพระอนาคามี โลกิยสมาบัติทั้งปวง (รูปาวจรสมาบัติ อรูปาวจรสมาบัติ ทิพพวิหารสมาบัติ พรหมวิหารสมาบัติ เป็นต้น) ที่พระอริยสาวกเข้าถึงได้ทั่วไปกับผู้ที่ยังไม่ปราศจากราคะ จริงอยู่ โลกิยสมาบัติเป็นธรรมทั่วไป ย่อมไม่ล่วงอารมณ์ของตน (อันเกิดมาก่อน) ไปสู่อารมณ์อื่น ๆ (อันเกิดในภายหลัง) แม้บุคคลผู้ประกอบด้วยธรรมอันเป็นอวีตราคะนี้ ย่อมเป็นไปล่วงซึ่งธรรมนั้น เหล่านี้ เป็นธรรมทั่วไป
ในพระสูตรนั้น ธรรมที่ไม่ทั่วไป (อสาธารณะ) เป็นไฉน
บุคคลพึงแสวงหาเสกขธรรมและอเสกขธรรม ด้วยอำนาจแห่งธรรมที่ควรละและไม่ควรละ โดยการเทียบเคียงกับเทศนาต่อไป กามราคะและพยาบาทเป็นสาธารณะแก่บุคคลผู้ตั้งอยู่ในปฐมมรรค แต่สภาพธรรมเป็นอสาธารณะ2อุทธัมภาคิยสังโยชน์เป็นสาธารณะแก่ผู้ตั้งอยู่ในปฐมมรรค และอนาคามิมรรคสภาพธรรมเป็นอสาธารณะ ชื่อของพระเสกขะทั้งปวงเป็นสาธารณะ สภาพธรรมเป็นอสาธารณะ ชื่อของผู้ดำเนินไปถึงอริยมรรคแล้วเป็นสาธารณะ สภาพธรรมเป็นอสาธารณะ เสกขศีลของพระเสกขะทั้งปวงเป็นสาธารณะ สภาพธรรมเป็นอสาธารณะ บัณฑิตพึงแสวงหาเทศนาโดยเทียบเคียงกับธรรมที่เลวปานกลางและอุกฤษฎ ์ ด้วยการพิจารณาความแตกต่างกัน ด้วยประการฉะนี้ ฯ
การจำแนกปทัฏฐานทัสสนภูมิ (ปฐมมรรค) เป็นปทัฏฐาน แห่งการก้าวลงสู่สัมมัตตนิยาม ฯ
ภาวนาภูมิ (การเจริญมรรคเบื้องบน) เป็นปทัฏฐาน แห่งการบรรลุผลเบื้องบน ฯ
ทุกขาปฏิปทาทันธาภิญญาเป็นปทัฏฐานแห่งสมถะ ฯ สุขาปฏิปทาขิปปาภิญญาเป็นปทัฏฐานแห่งวิปัสสนา ฯ
บุญญกิริยาวัตถุ คือ ทานมัย เป็นปทัฏฐานสาธารณะแห่งเสียงชักชวนจากคนอื่น ฯ บุญญกิริยาวัตถุ คือ ศีลมัย เป็นปทัฏฐานสาธารณะแห่งจินตามยปัญญาบุญญกิริยาวัตถุ คือ ภาวนามัย เป็นปทัฏฐานสาธารณะแห่งภาวนามยปัญญา ฯ
บุญญกิริยาวัตถุ คือ ทานมัย เป็นปทัฏฐานสาธารณะแห่งเสียงชักชวนจากคนอื่นและสุตมยปัญญา ฯ บุญญกิริยาวัตถุ คือ ศีลมัย เป็นปทัฏฐานสาธารณะแห่งจินตามยปัญญาและโยนิโสมนสิการ ฯ บุญญกิริยาวัตถุ คือภาวนามัย เป็นปทัฏฐานสาธารณะแห่งภาวนามยปัญญาและสัมมาทิฏฐิ ฯ
ปฏิรูปเทสวาสะ เป็นปทัฏฐานสาธารณะแห่งวิเวกและสมาธิ ฯ สัปปุริสูปนิสสยะ เป็นปทัฏฐานสาธารณะแห่งความเลื่อมใสอันมั่นคงในพระรัตนตรัยและสมถะ ฯ อัตตสัมมาปณิธิ เป็นปทัฏฐานสาธารณะแห่งหิริและวิปัสสนา ฯ
การสละอกุศล (ด้วยอำนาจตทังคะเป็นต้น) เป็นปทัฏฐานสาธารณะแห่งการพิจารณากุศล (ปฏิสังขานุปัสสนาปัญญา) และสมาธินทรีย์ (คืออริยมัคคสมาธินทรีย์) ฯ ความที่ธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว (ธมฺมสฺวากฺขาตตา)เป็นปทัฏฐานสาธารณะแห่งการปลูกกุศลมูลและผลสมาบัติ ฯ ความที่พระสงฆ์เป็นผู้ปฏิบัติดีแล้ว (สํฆสุปฏิปนฺนตา) เป็นปทัฏฐานสาธารณะแห่งพระสงฆ์ผู้ดำรงอยู่ดี ฯ สัตถุสัมปทา เป็นปทัฏฐานสาธารณะ (ทั่วไป) แห่งความเลื่อมใสของบุคคลผู้ยังไม่เลื่อมใส และเพื่อความเจริญยิ่งของบุคคลผู้เลื่อมใสแล้ว ฯ ความเป็นผู้มีปาติโมกขสังวรศีลอันไม่กำจัดแล้ว เป็นปทัฏฐานสาธารณะแห่งการข่มบุคคลผู้เก้อยาก และการอยู่ผาสุกแห่งบุคคลผู้มีศีลเป็นที่รัก ฯ
เพราะเหตุนั้น ท่านพระมหากัจจายนะ จึงกล่าวว่า "การจำแนกธรรม และการจำแนกปทัฏฐาน" ดังนี้ ฯ
จบ วิภัตติหารวิภังค์

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ม.ค. 2022, 05:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8571


 ข้อมูลส่วนตัว


9. ปริวัตตนหารวิภังค์

[35] บรรดาหาระ 16 นั้น หาระ คือ ปริวัตตนะ เป็นไฉน
นิทเทสที่กล่าวว่า "ย่อมเปลี่ยนธรรมที่เป็นข้าศึก" เป็นต้น เป็นปริวัตตนหาระ ฯ
มิจฉาทิฏฐิ ของบุรุษบุคคลผู้เป็นสัมมาทิฏฐิ คร่ำคร่าแล้ว (คือ การไม่เกิดขึ้น) มีอยู่ ฯ ก็อกุศลธรรมอันลามกมิใช่น้อย (มีความไม่ต้องการเห็นพระอริยะเป็นต้น มีโลภะเป็นต้น มีปาณาติบาตเป็นต้น) ของบุคคลนั้น พึงเกิดเพราะมิจฉาทิฏฐิเป็นปัจจัย อกุศลธรรมเหล่านั้นของบุคคลนั้น คร่ำคร่าแล้ว(ไม่เกิดแล้ว)ฯ อนึ่ง กุศลธรรมมิใช่น้อยของบุคคลนั้น ย่อมเกิดเพราะสัมมาทิฏฐิเป็นปัจจัย และกุศลธรรมเหล่านั้น ย่อมถึงการบริบูรณ์ด้วยภาวนา ฯ
มิจฉาสังกัปปะ ของบุรุษบุคคลผู้เป็นสัมมาสังกัปปะ คร่ำคร่าแล้ว ก็อกุศลธรรมอันลามกมิใช่น้อยเหล่าใด ของบุคคลนั้น พึงเกิดขึ้นเพราะมิจฉาสังกัปปะเป็นปัจจัย ก็อกุศลธรรมเหล่านั้นของบุคคลนั้น คร่ำคร่าแล้ว อนึ่งกุศลธรรมมิใช่น้อยของบุคคลนั้น ย่อมเกิดเพราะสัมมาสังกัปปะเป็นปัจจัย และกุศลธรรมเหล่านั้น ย่อมถึงการบริบูรณ์ด้วยภาวนา ฯ
โดยนัยที่กล่าวนี้ มิจฉาวิมุตติญาณทัสสนะของบุรุษบุคคล ผู้เป็นสัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิสัมมาวิมุตติ สัมมาวิมุตติญาณทัสสนะ ถึงความคร่ำคร่าแล้ว ก็อกุศลธรรมอันลามก มิใช่น้อย เหล่าใด ของบุคคลนั้น พึงเกิดขึ้น เพราะมิจฉาวิมุตติญาณทัสสนะเป็นปัจจัย อกุศลธรรมเหล่านั้น คร่ำคร่าแล้ว อนึ่ง กุศลธรรมมิใช่น้อยของบุคคลนั้น ย่อมเกิดขึ้น เพราะสัมมาวิมุตติญาณทัสสนะเป็นปัจจัย และกุศลธรรมเหล่านั้น ย่อมถึงการบริบูรณ์ด้วยภาวนา ฯ
[36] อีกอย่างหนึ่ง ปาณาติบาตของบุคคลใด ผู้เว้นขาดจากปาณาติบาตเป็นอันบุคคลนั้นละแล้ว (ละด้วยตทังคปหานะเป็นต้น) ฯ อทินนาทานของบุคคลใด ผู้เว้นขาดจากอทินนทาน ก็เป็นอันบุคคลนั้นละแล้ว ฯ โดยนัยนี้อพรหมจรรย์ ของบุคคลผู้ประพฤติพรหมจรรย์ย่อมเป็นอันละได้แล้ว ฯ มุสาวาทของบุคคลผู้มีปกติกล่าวสัจจะย่อมเป็นอันละได้แล้ว ฯ ปิสุณาวาจาของบุคคลผู้ไม่กล่าวคำ ส่อเสียดย่อมเป็นอันละได้แล้ว ฯ ผรุสวาจาของบุคคลผู้กล่าวคำไพเราะย่อมเป็นอันละได้แล้ว ฯ สัมผัปปลาปะของบุคคลผู้มีปกติกล่าวตามกาลย่อมเป็นอันละได้แล้ว ฯ อภิชฌาของบุคคลผู้ไม่มีอภิชฌาย่อมเป็นอันละได้แล้วฯ พยาบาทของบุคคลผู้อันไม่มีพยาบาทย่อมเป็นอันละได้แล้ว ฯ มิจฉาทิฏฐิของบุคคลผู้ สัมมาทิฏฐิก็ย่อมเป็นอันละได้แล้ว ฯ
ก็แต่ว่า มิจฉาทิฏฐิบุคคลเหล่าใดเหล่าหนึ่ง ติเตียน อริยมรรคประกอบด้วยองค์ 8 วาทะเป็นไปตามวาทะอันบุคคลพึงติเตียนอันเป็นไปกับเหตุที่กระทำ อันบุคคลพึงเห็นเองย่อมมาถึงบุคคลนั้น ๆ อนึ่ง บุคคลผู้มิจฉาทิฏฐินั้น เจริญอยู่ย่อมติเตียนซึ่งพระธรรมคือสัมมาทิฏฐิ ฯ ก็ชนเหล่าใด เป็นมิจฉาทิฏฐิ ด้วยการติเตียนนั้น สิ่งที่ควรบูชา สิ่งที่ควรสรรเสริญย่อมไม่มีแก่บุคคลเหล่านั้นผู้เจริญอยู่ ฯ ด้วยคำตามที่กล่าวนี้ มิจฉาทิฏฐิบุคคลเหล่านั้น เจริญอยู่ ย่อมติเตียนธรรมคือ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะสัมมาสติ สัมมาสมาธิ สัมมาวิมุตติ สัมมาวิมุตติญาณทัสสนะ ฯ ก็ชนเหล่าใดเป็นมิจฉาวิมุตติญาณทัสสนะ ด้วยการติเตียนนั้น การบูชา การสรรเสริญย่อมไม่มีแก่บุคคลเหล่านั้นผู้เจริญอยู่ ฯ
ก็แล ชนผู้ตกอยู่ในอำนาจกามเหล่าใดเหล่าหนึ่งกล่าวอย่างนี้ว่า "กามทั้งหลายอันบุคลพึงกิน กามทั้งหลายอันบุคคลพึงบริโภคกามทั้งหลายอันบุคคลพึงส้องเสพ กามทั้งหลายอันบุคคลพึงเสพเป็นนิตย์กามทั้งหลายอันบุคคลพึงให้เจริญ กามทั้งหลายอันบุคคลพึงกระทำให้มาก" ดังนี้
เจตนาเป็นเครื่องงดเว้นจากกามทั้งหลาย เป็นอธรรม ของชนเหล่านั้น ฯก็หรือว่า ชนเหล่าใดเหล่าหนึ่ง กล่าวอย่างนี้ว่า "การประกอบความเพียร เพื่อทำตนให้ลำบาก (อัตตกิลมถานุโยค)ว่าเป็นธรรมนำออกจากทุกข์ (นิยยานิกธรรม)" ดังนี้ นิยยานิกธรรม ของชนเหล่านั้น เป็นอธรรม ฯ ก็หรือว่า ชนเหล่าใดเหล่าหนึ่ง กล่าวอย่างนี้ว่า "ทุกข์ คือความเร่าร้อน เป็นธรรม" ดังนี้ธรรม คือ สุข จึงเป็นอธรรมของชนเหล่านั้น ฯ
หมุนกลับ วิปลาส 4อีกนัยหนึ่ง เมื่อภิกษุตามพิจารณาในอสุภะ คือความไม่งามในสังขารทั้งปวงอยู่ สุภสัญญา (ความสำคัญว่างาม) เป็นอันเธอย่อมละได้ ฯ เมื่อตามเห็นทุกข์อยู่ สุขสัญญา (สำคัญว่าเป็นสุข) เป็นอันเธอย่อมละได้ ฯ เมื่อตามเห็นความไม่เที่ยงอยู่ นิจจสัญญา (ความสำคัญว่าเที่ยง) เป็นอันเธอย่อมละได้ ฯ
เมื่อตามเห็นความไม่มีตัวตน อัตตสัญญา (ความสำคัญว่าตัวตน) เป็นอันเธอย่อมละได้ ฯ ก็หรือว่า ภิกษุนั้น ย่อมชอบใจธรรมใด ๆ หรือเข้าใกล้ธรรมใด ๆด้วยทิฏฐิ ธรรมใดเป็นปฏิปักษ์ต่อธรรมที่ชอบใจ หรือธรรมที่เข้าใกล้นั้น ๆธรรมที่เป็นปฏิปักษ์นั้น อันเธอกำหนดรู้แล้วโดยความเป็นข้าศึกกัน ฯ ปริวัตตนหาระ พึงกระทำด้วยสามารถแห่งธรรมที่เป็นปฏิปักษ์กัน ตามสมควรแก่ธรรมที่ตนปรารถนาให้เป็นไป ฉะนี้ ฯ
ด้วยเหตุนั้น ท่านพระมหากัจจายนะ จึงกล่าวว่า "ย่อมหมุนกลับธรรมที่เป็นข้าศึกในกุศลและอกุศลว่า ธรรมนี้ควรเจริญ ธรรมนี้ควรละ" ดังนี้
จบ ปริวัตตนหารวิภังค์

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ม.ค. 2022, 05:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8571


 ข้อมูลส่วนตัว


10. เววจนหารวิภังค์

[37] บรรดาหาระ 16 นั้น หาระ คือ เววจนะ เป็นไฉน
นิทเทสว่า "ถ้อยคำ มีอย่างต่าง ๆ มากในพระสูตร โดยปริยายแห่งธรรม มีกาม 6 บทนั้น กาม 4 บทแรก มุ่งถึง วัตถุกาม กาม 2 บทหลัง มุ่งถึงกิเลสกาม ฯ
ความหมายอย่างเดียวกัน" เป็นต้น เป็นเววจนหาระ ฯ
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงธรรมอย่างหนึ่ง โดยเววจนะ (คำไวพจน์)ซึ่่งแทนกันและกันได้ เหมือนอย่างที่ตรัสไว้ว่า "อาสา (ความหวัง) ปิหา (ความปรารถนา) อภินันทนา (ความยินดียิ่ง) สรา คือ ตัณหาที่ซ่านไปตั้งอยู่ในอเนกธาตุ ตัณหาที่มีความไม่รู้เป็นมูลธรรมชาติที่เกิดก่อน และธรรมชาติที่กระซิบทั่ว ตัณหาทั้งหมดพร้อมทั้งมูลรากอันเรากระทำให้สิ้นแล้ว" ดังนี้ ฯ
ความหวังซึ่งประโยชน์อันมี (ในอนาคต) อันใด ย่อมเกิดขึ้นแก่ผู้ปรารถนาว่า ประโยชน์จักมาถึงแน่แท้ ตัณหานี้ท่านเรียกชื่อว่า อาสา ฯ ความปรารถนาซึ่งประโยชน์อันกำลังเป็นไป หรือเห็นสิ่งที่ดีกว่าแล้วปรารถนาว่า ขอเราพึงเป็นเช่นนี้ อันใด ตัณหานี้ท่านเรียกชื่อว่า ปิหา ฯ การรักษาประโยชน์ที่สำเร็จ ชื่อว่า อภินันทนา คือ ย่อมยินดียิ่ง (สนุกสนาน) กับญาติที่รัก หรือย่อมยินดียิ่งซึ่งธรรม (มีรูปที่เป็นอติอิฏฐารมณ์เป็นต้น) หรือย่อมยินดีซึ่งสัตว์และสังขารโดยความไม่ปฏิกูลด้วยอำนาจวิปลาส ฯ
คำว่า "อเนกธาตุ" ได้แก่ จักขุธาตุ รูปธาตุ จักขุวิญญาณธาตุ โสตธาตุ สัททธาตุ โสตวิญญาณธาตุ ฆานธาตุ คันธธาตุ ฆานวิญญาณธาตุชิวหาธาตุ รสธาตุ ชิวหาวิญญาณธาตุ กายธาตุ โผฏฐัพพธาตุ กายวิญญาณธาตุ มโนธาตุ ธัมมธาตุ มโนวิญญาณธาตุ ฯ (โดยย่อ 18 ธาตุ) ฯ
คำว่า "สรา" (แปลว่า ซ่านไป) ได้แก่ บางคนมีตัณหาน้อมไปในรูป (ติดในรูป) บางคนมีตัณหาน้อมไปในเสียง บางคนมีตัณหาน้อมไปในกลิ่น บางคนมีตัณหาน้อมไปในรส บางคนมีตัณหาน้อมไปในโผฏฐัพพะ บางคนมีตัณหาน้อมไปในธรรม ฯ
ในธาตุ 6 มีรูปธาตุเป็นต้นนั้น โทมนัส 6 อันอาศัยเรือน โสมนัส 6อาศัยเรือน และโทมนัส 6 อาศัยเนกขัมมะ โสมนัส 6 อาศัยเนกขัมมะ รวม 24 บทเหล่านี้เป็นฝ่ายแห่งตัณหา เป็นคำไวพจน์ของตัณหา ฯ อุเบกขา 6ที่อาศัยเรือน นี้เป็นฝ่ายแห่งทิฏฐิ ฯ
[38] ตัณหาเหล่านั้น มีประการตามที่กล่าวในอาสาเป็นต้นนั่นแหละ ชื่อว่า ธัมมนันที (ความเพลิดเพลินในธรรม) ธัมมเปมัง (ความรักในธรรม) และความยึดมั่นในธรรม เป็นไปโดยอาการแห่งความปรารถนาของตัณหา คำนี้จึงเป็นเววจนะของตัณหา ฯ
เววจนะแห่งจิตเป็นต้นคำว่า "จิตฺตํ มโน วิญฺญาณํ" นี้ เป็นเววจนะแห่งจิต ฯ คำว่า "มนินฺทริยํมโนธาตุ มนายตนํ วิชานนํ" นี้เป็นเววจนะแห่งมนะ (ใจ)ฯ ปัญญินทรีย์ปัญญาพละ อธิปัญญาสิกขา ปัญญา ปัญญาขันธ์ ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ญาณ สัมมาทิฏฐิ ตีรณะ วิปัสสนา ญาณในธรรม ญาณในอรรถะ อนุโลมญาณญาณในความสิ้นไป ญาณในความไม่เกิดขึ้น อนัญญาตัญญัสสามีตินทรีย์อัญญินทรีย์ อัญญาตาวินทรีย์ จักขุ วิชชา พุทธิ ภูริ เมธา อาโลกะ ก็หรือว่า ธรรมชาติอย่างใด แม้อื่นที่มีชาติอย่างนี้ (คือ ปัญญา กิริยาที่รู้ชัด ความวิจัยและความเลือกสรรเป็นต้น) นี้เป็นเววจนะแห่งปัญญา ฯ อินทรีย์ 5 คือขเยญาณัง อนุปปาเทญาณัง และอนัญญาตัญญัสสามีตินทรีย์ เป็นต้น เป็นโลกุตตระ อินทรีย์ 5 นี้ เป็นเววจนะแห่งโลกุตตรปัญญา ปัญญาทั้งปวงนอกจากเววจนะ 5 นี้ เป็นมิสสกะ คือปะปนกันทั้งโลกียะทั้งโลกุตตระ ฯ ก็อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า สัทธา เพราะอรรถะว่า ความเป็นใหญ่ในลักษณะแห่งความน้อมใจเชื่อ ชื่อว่า วิริยะ เพราะอรรถะว่า ความริเริ่ม ชื่อว่า สติ เพราะอรรถะว่า การไม่เลอะเลือน ชื่อว่า สมาธิ เพราะอรรถะว่า ความไม่ฟุ้งซ่าน ชื่อว่า ปัญญาเพราะอรรถะว่า ความรู้ทั่ว ฯ
เววจนะแห่งพุทธานุสติเววจนะนี้ เหมือนอย่างที่กล่าวในพุทธานุสติว่า"แม้เพราะเหตุนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น เป็นพระอรหันต์เป็นผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เป็นผู้เสด็จไปดีแล้ว เป็นผู้รู้แจ้งโลก เป็นสารถีผู้ฝึกบุรุษไม่มีใครยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกธรรม"ดังนี้ ฯ

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ม.ค. 2022, 05:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8571


 ข้อมูลส่วนตัว


พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น เป็นผู้ถึงแล้วซึ่งความสมบูรณ์แห่งพละเป็นผู้บรรลุแล้วซึ่งเวสารัชชญาณ เป็นผู้มีปฏิสัมภิทาอันบรรลุแล้ว เป็นผู้ละแล้วซึ่งโยคะ 4 เป็นผู้ก้าวล่วงการถึงอคติ เป็นผู้มีลูกศรอันถอนขึ้นแล้ว เป็นผู้ไม่มีแผลเกิดขึ้น เป็นผู้ย่ำยีข้าศึกได้แล้ว เป็นผู้ยังปริยุฏฐานให้ดับสนิท เป็นผู้พ้นจากเครื่องจองจำ มีเครื่องผูกอันแก้ออกแล้ว เป็นผู้ก้าวล่วงแล้วซึ่งอัธยาสัยเป็นผู้ทำลายความมืด เป็นผู้มีจักษุ เป็นผู้ก้าวล่วงโลกธรรม เป็นผู้ปราศจากความยินดีความยินร้าย เป็นผู้ไม่หวั่นไหวในธรรมที่น่าปรารถนา และไม่น่าปรารถนา เป็นผู้ครอบงำเครื่องจองจำ เป็นผู้มีสงครามอันหยุดแล้ว เป็นผู้รุ่งเรืองยิ่ง เป็นผู้ทรงไว้ซึ่งคบเพลิง เป็นผู้กระทำซึ่งแสงสว่าง เป็นผู้กระทำความรุ่งโรจน์ เป็นผู้ขจัดความมืด เป็นผู้ละการเบียดเบียนของกิเลส เป็นผู้มีวรรณะหาประมาณมิได้ เป็นผู้มีวรรณะไม่พึงประมาณ เป็นผู้มีวรรณะอันไม่พึงนับ เป็นผู้กระทำความรุ่งเรือง เป็นผู้กระทำพระรัศมี เป็นผู้กระทำพระธรรมให้มีรัศมีรุ่งโรจน์ ดังนี้ คำว่า "พระพุทธเจ้า และ พระผู้มีพระภาคเจ้า" นี้เป็นเววจนะของพุทธานุสติ ฯ
เววจนะแห่งธัมมานุสติอนึ่ง ในธัมมานุสติ บัณฑิตกล่าวเววจนะไว้ว่า "พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว อันผู้บรรลุจะพึงเห็นเอง ไม่ประกอบด้วยกาล ควรเรียกให้มาดู ควรน้อมเข้ามา อันวิญญูชนทั้งหลายจะพึงรู้เฉพาะตน" ดังนี้ พระธรรมนี้ใด เป็นเครื่องขจัดความเมา (มทนิมฺมทโน) เป็นเครื่องนำออกซึ่งความกระหาย(ปิปาสวินโย) เป็นเครื่องถอนขึ้นซึ่งอาลัย เป็นเครื่องตัดซึ่งวัฏฏะ เป็นธรรมว่างจากสังขตะ เป็นของได้ยากอย่างยิ่ง เป็นที่สิ้นไปแห่งตัณหา เป็นเครื่องสำรอกราคะ เป็นความดับทุกข์ เป็นพระนิพพานนิพพาน ชื่อว่า อสังขตะ ชื่อว่า อนันตะ (ไม่มีที่สุด) ชื่อว่า อนาสวะชื่อว่า ปรมัตถสัจจะ ชื่อว่า ปาระ (ฝั่ง) ชื่อว่า นิปุณะ (ละเอียด) ชื่อว่า สุทุททสะ (เห็นได้ยาก) ชื่อว่า อชัชชระ (ไม่คร่ำคร่า) ชื่อว่า ธุวะ (มั่นคง)ชื่อว่า อปโลกินะ (ไม่บุบสลาย) ชื่อว่า อนิทัสสนะ (ไม่เห็นด้วยจักษุ) ชื่อว่า นิปปปัญจะ (ไม่มีธรรมเนิ่นช้า) ชื่อว่า สันตะ (สงบจากสังขาร) ชื่อว่า อมตะ ชื่อว่า ปณีตะ (สูงสุด) ชื่อว่า สิวะ (มีความเย็น) ชื่อว่า เขมะ(ปราศจากอันตราย) ชื่อว่า ตัณหักขยะ (สิ้นตัณหา) ชื่อว่า อัจฉริยะ(อัศจรรย์) ชื่อว่า อัพภูตะ (ไม่เกิดแล้วมีอยู่) ชื่อว่า อนีติกะ (ปราศจากทุกข์)ชื่อว่า อนีติกธรรม (ธรรมปราศจากทุกข์) พระนิพพานนีิ้ อันพระสุคตทรงแสดงแล้ว ฯ
พระนิพพานไม่เกิด ไม่มีปัจจัยให้เกิด ไม่มีอันตราย ไม่มีปัจจัยกระทำอันตราย ไม่มีความโศก ปราศจากความโศกแล้ว ไม่มีอุปสรรคไม่มีธรรมเป็นอุปสรรค พระนิพพานนี้ อันพระสุคตทรงแสดงแล้ว ฯ
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า "นิพพานเป็นธรรมลึกซึ้ง เป็นธรรมเห็นได้ยาก เป็นธรรมสูงสุด เป็นธรรมไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่า ไม่มีธรรมอื่นเสมอ ไม่มีธรรมอื่นเปรียบ เป็นธรรมเจริญที่สุด เป็นธรรมประเสริฐที่สุด"ดังนี้ ฯ
นิพพาน ชื่อว่า เลณะ (ที่พักอันปลอดภัย) ชื่อว่า ตาณะ (ที่ต้านทาน)ชื่อว่า อรณะ (กำจัดภัย) ชื่อว่า อนังคณะ (ไม่มีกิเลสเพียงดังเนิน) ชื่อว่า อกาจะ (บริสุทธิ์สะอาด) ชื่อว่า วิมละ (ปราศจากมลทิน) ชื่อว่า ทีปะ(เกาะไม่จมด้วยโอฆะ 4) ชื่อว่า สุขอันสงบจากสังสาร ชื่อว่า อัปปมาณะ(ไม่มีประมาณ) ชื่อว่า ปติฏฐะ (ที่พึ่ง) ชื่อว่า อกิญจนะ (ไม่มีกังวัล) ชื่อว่า อัปปปัญจะ (ไม่มีธรรมเครื่องเนิ่นช้า) อันพระสุคตแสดงไว้แล้ว ฯ คำนี้เป็นเววจนะในธัมมานุสติ ฯ
เววจนะแห่งสังฆานุสติสังฆานุสติ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า "พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นผู้ปฏิบัติดีแล้ว เป็นผู้ปฏิบัติตรง เป็นผู้ปฏิบัติเพื่อญายธรรม เป็นผู้ปฏิบัติชอบ พระสงฆ์นี้ใดคือ คู่แห่งบุรุษ 4 เป็นบุรุษบุคคล 8 พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น เป็นผู้ควรแก่การบูชา เป็นผู้ควรแก่การต้อนรับ เป็นผู้ควรแก่ทักษิณา เป็นผู้ควรแก่การทำอัญชลี เป็นนาบุญของโลกไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่า เป็นผู้ถึงพร้อมแล้วด้วยศีล เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยสมาธิ เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยปัญญา เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิมุตติ เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิมุตติญาณทัสสนะ เป็นสาระมีศีลเป็นต้นของสัตว์ทั้งหลาย เป็นผู้ผ่องใสดุจความใสของเนยใสของสัตว์ทั้งหลาย เป็นผู้ยกคุณที่มีสาระของสัตว์ทั้งหลายเป็นเสาหลักที่มั่นคงของสัตว์ทั้งหลาย เป็นดังดอกไม้ที่มีกลิ่นหอมของสัตว์ทั้งหลาย เป็นที่สักการะบูชาของทวยเทพและมนุษย์ทั้งหลาย" คำนี้ก็เป็นเววจนะในสังฆานุสติ ฯ
เววจนะแห่งสีลานุสติก็คำที่กล่าวไว้ในสีลานุสติว่า "ศีลทั้งหลายไม่ขาด (อขณฺฑานิ ไม่เป็นท่อน)ไม่ทะลุ (อจฺฉิทฺทานิ) ไม่ด่าง (อสพลานิ) ไม่พร้อย (อกมฺมาสานิ) เป็นอริยศีลเป็นศีลอันพระอริยะใคร่ เป็นไท อันวิญญูชนสรรเสริญแล้ว อันตัณหาและทิฏฐิไม่ถูกต้องแล้ว เป็นไปพร้อมเพื่อสมาธิ ก็ศีล ชื่อว่า อลังการ เพราะเป็นเครื่องประดับองค์เบื้องบนให้งดงาม ศีล ชื่อว่า นิธานะ เพราะอรรถะว่า ก้าวล่วงอันตรายโดยประการทั้งปวง ศีล ชื่อว่า ศิลปะ (ธนูศิลปะ) เพราะความที่ธนูศิลป์ เป็นเครื่องแทงได้ตลอดเวลา ศีล ชื่อว่า เวลา (ฝั่ง) เพราะอรรถะว่า ไม่ก้าวล่วง ศีล ชื่อว่า ธัญญะ เพราะอรรถะว่า เป็นทรัพย์ตัดความขัดสน ศีลชื่อว่า อาทาสะ (แว่น) เพราะอรรถะว่าเป็นเครื่่องส่องดูธรรม ศีล ชื่อว่า ปราสาทเพราะอรรถะว่า เป็นเครื่องแลดูโลก ชื่อว่า ศีล ย่อมเป็นไปในภูมิทั้งปวงมีอมตนิพพานเป็นที่สุด" คำนี้เป็นเววจนะในสีลานุสติ ฯ
ก็ในจาคานุสติ ท่านกล่าวว่า "ในสมัยใด อริยสาวกอยู่ครองเรือน เป็นผู้มีจาคะอันสละแล้ว มีฝ่ามืออันล้างแล้ว ยินดีในการสละ ควรแก่ผู้ขอ ยินดีในการจำแนกทาน" ดังนี้ คำนี้ก็เป็นเววจนะในจาคานุสติฯ เพราะเหตุนั้น ท่านพระมหากัจจายนะ จึงกล่าวว่า "เววจนะทั้งหลายมีมาก" ดังนี้ ฯ
จบ เววจนหารวิภังค์

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ม.ค. 2022, 04:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8571


 ข้อมูลส่วนตัว


11. บัญญัติหารวิภังค์

[39] บรรดาหาระ 16 นั้น หาระ คือ บัญญัติ เป็นไฉน
นิทเทสว่า "พระผู้มีพระภาคเจ้า ย่อมทรงแสดงธรรมอย่างหนึ่ง ด้วยบัญญัติมีอย่างต่าง ๆ มิใช่น้อย" ดังนี้ เป็นบัญญัติหาระ ฯ
เทศนา โดยปกติกถาอันใด เทศนานี้ ชื่อว่า นิกเขปบัญญัติถามว่า ก็เทศนาโดยปกติกถา เป็นบัญญัติอะไรตอบว่า บัญญัติสัจจะ 4 เหมือนอย่างที่ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า "อิทํ ทุกฺขํ" ดังนี้ บัญญัตินี้เป็น นิกเขปบัญญัติ แห่งขันธ์ 5 เป็นนิกเขปบัญญัติแห่งธาตุ 6 ธาตุ 18 อายตนะ 12 และแห่งอินทรีย์ 10 ฯ

"ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าความยินดี ความเพลิดเพลิน ความอยากมีอยู่ในกวฬีการาหารไซร้ วิญญาณก็ตั้งอยู่งอกงามในที่นั้น ในที่ใด วิญญาณตั้งอยู่งอกงาม ในที่นั้น ย่อมมีการหยั่งลงแห่งนามรูป ในที่ใด มีการหยั่งลงแห่งนามรูป ในที่นั้น ย่อมมีการเจริญแห่งสังขารทั้งหลาย ในที่ใดมีความเจริญแห่งสังขารทั้งหลาย ในที่นั้น ย่อมมีการเกิดในภพใหม่ต่อไปในที่ใด มีการเกิดในภพใหม่ต่อไป ในที่นั้น ย่อมมีชาติชรามรณะต่อไปในที่ใด มีชาติชรามรณะต่อไป ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราเรียกที่นั้นว่า มีความโศกก่อความยุ่งยาก มีความคับแค้น ดังนี้ ฯ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าความยินดี ความเพลิดเพลิน ความอยากมีอยู่ในผัสสาหารไซร้ ฯลฯ ถ้าความยินดี ความเพลิดเพลิน ความอยากมีอยู่ในมโนสัญเจตนาหารไซร้ วิญญาณก็ตั้งอยู่งอกงามในที่นั้น ในที่ใดวิญญาณตั้งอยู่งอกงาม ในที่นั้น ย่อมมีการหยั่งลงแห่งนามรูป ในที่ใดมีการหยั่งลงแห่งนามรูป ในที่นั้น ย่อมมีความเจริญแห่งสังขารทั้งหลายในที่ใดมีความเจริญแห่งสังขารทั้งหลาย ในที่นั้น ย่อมมีการเกิดในภพใหม่ต่อไป ในที่ใด มีการเกิดในภพใหม่ต่อไป ในที่นั้น ย่อมมีชาติชรามรณะต่อไป ในที่ใดมีชาติชรามรณะต่อไป เราเรียกที่นั้นว่า มีความโศกก่อความยุ่งยาก มีความคับแค้น" ดังนี้ ฯ
บัญญัตินี้ ชื่อว่า ปภวบัญญัติแห่งทุกข์และสมุทัย ฯ

"ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าความยินดี ความเพลิดเพลิน ความอยากไม่มีอยู่ในกวฬีการาหารไซร้ วิญญาณก็ไม่ตั้งอยู่ ไม่งอกงาม ในกวฬีการาหารนั้น ในที่ใด วิญญาณไม่ตั้งอยู่ ไม่งอกงาม ในที่นั้น ย่อมไม่มีการหยั่งลงแห่งนามรูป ในที่่ใด ไม่มีการหยั่งลงแห่งนามรูป ในที่นั้น ย่อมไม่มีความเจริญแห่งสังขารทั้งหลาย ในที่ใด ไม่มีความเจริญแห่งสังขารทั้งหลาย ในที่นั้น ย่อมไม่มีชาติชรามรณะต่อไป ในที่ใด ไม่มี ชาติชรามรณะต่อไป ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราเรียกที่นั้นว่า ไม่มีความโศก ไม่มีความยุ่งยาก ไม่มีความคับแค้น ดังนี้ ฯ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าความยินดี ความเพลิดเพลิน ความอยากไม่มีในผัสสาหาร ฯลฯ ไม่มีในมโนสัญเจตนาหาร ฯลฯ ไม่มีในวิญญาณาหารไซร้ วิญญาณก็ไม่ตั้งอยู่ ไม่งอกงามในอาหารนั้น ในที่ใด วิญญาณไม่ตั้งอยู่ ไม่งอกงาม ในที่นั้น ย่อมไม่มีการหยั่งลงแห่งนามรูป ในที่ใด ไม่มีการหยั่งลงแห่งนามรูป ในที่นั้น ย่อมไม่มีความเจริญแห่งสังขารทั้งหลายในที่ใด ไม่มีความเจริญแห่งสังขารทั้งหลาย ในที่นั้น ย่อมไม่มีความเกิดในภพใหม่ต่อไป ในที่ใดไม่มีความเกิดในภพใหม่ต่อไป ในที่นั้น ย่อมไม่มีชาติ ชรา มรณะต่อไปดูกรภิกษุทั้งหลาย เราเรียกที่นั้นว่า ไม่มีความโศก ไม่มีความยุ่งยากไม่มีความคับแค้น" ดังนี้ ฯ

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ม.ค. 2022, 04:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8571


 ข้อมูลส่วนตัว


บัญญัตินี้ ชื่อว่า ปริญญาบัญญัติแห่งทุกข์ ชื่อว่า ปหานบัญญัติแห่งสมุทัย ชื่อว่า ภาวนาบัญญัติแห่งมรรค ชื่อว่า สัจฉิกิริยาบัญญัติแห่งนิโรธ ฯ
[40] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า "ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงเจริญสมาธิเถิด ภิกษุผู้ไม่ประมาทมีปัญญา มีสติ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้มีจิตตั้งมั่นแล้ว ย่อมรู้ตามความเป็นจริง ก็ภิกษุย่อมรู้ตามความเป็นจริงอย่างไร ย่อมรู้ตามความเป็นจริงว่า "จักษุไม่เที่ยง" ย่อมรู้ตามความเป็นจริงว่า "รูปทั้งหลายไม่เที่ยง" ย่อมรู้ตามความเป็นจริงว่า "จักขุวิญญาณไม่เที่ยง" ย่อมรู้ตามความเป็นจริงว่า "จักขุสัมผัสไม่เที่ยง" ย่อมรู้ตามความเป็นจริงว่า "สุขเวทนา ทุกขเวทนาหรืออทุกขมสุขเวทนา ที่เกิดขึ้นเพราะจักขุสัมผัสเป็นปัจจัยก็ไม่เที่ยง" ดังนี้โสตะ ฯลฯ ฆานะ ฯลฯ ชิวหา ฯลฯ กาย ฯลฯ ย่อมรู้ตามความเป็นจริงว่า "ใจไม่เที่ยง" ย่อมรู้ตามความเป็นจริงว่า "ธรรมทั้งหลายไม่เที่ยง"ย่อมรู้ตามความเป็นจริงว่า "มโนวิญญาณไม่เที่ยง" ย่อมรู้ตามความเป็นจริงว่า "มโนสัมผัสไม่เที่ยง" ย่อมรู้ตามความเป็นจริงว่า "สุขเวทนาทุกขเวทนา หรือ อทุกขมสุขเวทนาที่เกิดขึ้นเพราะมโนสัมผัสเป็นปัจจัยก็ไม่เที่ยง" ดังนี้ ฯ บัญญัตินี้ ชื่อว่า ภาวนาบัญญัติแห่งมรรค ชื่อว่า ปริญญาบัญญัติแห่งทุกข์ ชื่อว่า ปหานบัญญัติแห่งสมุทัย ชื่อว่า สัจฉิกิริยาบัญญัติแห่งนิโรธ ฯ
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า "ดูกร ราธะ เธอจงรื้อ เธอจงทำลาย จงทำรูปให้เป็นของเล่นสนุกสนานไม่ได้ จงปฏิบัติเพื่อความสิ้นไปแห่งตัณหาด้วยปัญญา เพราะความสิ้นไปแห่งตัณหาเป็นการสิ้นไปแห่งทุกข์ เพราะการสิ้นไปแห่งทุกข์เป็นนิพพาน ฯ เวทนา ฯลฯ สัญญา ฯลฯ สังขาร ฯลฯ เธอจงรื้อ เธอจงทำลาย จงทำวิญญาณให้เป็นของเล่นสนุกสนานไม่ได้ เธอจงปฏิบัติเพื่อความสิ้นไปแห่งตัณหาด้วยปัญญา เพราะการสิ้นไปแห่งตัณหาเป็นการสิ้นไปแห่งทุกข์ เพราะการสิ้นไปแห่งทุกข์เป็นนิพพาน ฯ บัญญัตินี้ชื่อว่า นิโรธบัญญัติแห่งนิโรธ ชื่อว่า นิพพิทาบัญญัติแห่งความยินดี ชื่อว่า ปริญญาบัญญัติแห่งทุกข์ ชื่อว่า ปหานบัญญัติแห่งสมุทัย ชื่อว่า ภาวนาบัญญัติแห่งมรรค ชื่อว่า สัจฉิกิริยาบัญญัติแห่งนิโรธ ฯ
[41] ภิกษุนั้น ย่อมรู้ตามความเป็นจริงว่า "นี้ทุกข์" ย่อมรู้ตามความเป็นจริงว่า "นี้ทุกขสมุทัย" ย่อมรู้ตามความเป็นจริงว่า "นี้ทุกขนิโรธ" ย่อมรู้ตามความเป็นจริงว่า "นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา" ดังนี้ บัญญัตินี้ ชื่อว่า ปฏิเวธบัญญัติแห่งสัจจะทั้งหลาย ชื่อว่า นิกเขปบัญญติแห่งทัสสนภูมิ ชื่อว่า ภาวนาบัญญัติแห่งมรรค ชื่อว่า สัจฉิกิริยาบัญญัติแห่งโสตาปัตติผล ฯ
ภิกษุนั้น ย่อมรู้ตามความเป็นจริงว่า "นี้อาสวะ" ย่อมรู้ตามความเป็นจริงว่า "นี้อาสวสมุทัย" ย่อมรู้ตามความเป็นจริงว่า "นี้อาสวนิโรธ" ย่อมรู้ตามความเป็นจริงว่า "นี้อาสวนิโรธคามินีปฏิปทา" ฯ ย่อมรู้ตามความเป็นจริงว่า อาสวะเหล่านั้นย่อมดับไปไม่มีส่วนเหลือ ฯ บัญญัตินี้ ชื่อว่า อุปปาทบัญญัติแห่งขยญาณ(ญาณในความสิ้นไป) ชื่อว่า โอกาสบัญญัติแห่งญาณในความไม่เกิดขึ้น ชื่อว่า ภาวนาบัญญัติแห่งมรรค ชื่อว่า ปริญญาบัญญัติแห่งทุกข์ ชื่อว่า ปหานบัญญัติแห่งสมุทัย ชื่อว่า อารัมภบัญญัติแห่งวิริยินทรีย์ ชื่อว่า อาหฏนาบัญญัติ(นำกิเลสเพียงดังไข่ขางออก) แห่งไข่แมลงวัน ชื่อว่า นิกเขปบัญญัติแห่งภาวนาภูมิ ชื่อว่า อภินิฆาตบัญญัติ (การทำลาย) แห่งอกุศลธรรมอันลามก ฯ

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 129 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5 ... 9  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร