วันเวลาปัจจุบัน 19 ก.ค. 2025, 02:49  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 23 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ธ.ค. 2011, 21:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 ธ.ค. 2011, 19:43
โพสต์: 2


 ข้อมูลส่วนตัว


คือผมเชื่อเรื่องวิญญาณนะครับ แต่ผมสงสัยว่าแรกเริ่มเลยวิญญาณเราเกิดมาจากไหน ตอนนี้เรามาอยู่ในวัฏจักรของอะไร แล้วใครสร้างวัฏจักรนี้ขึ้นมา....? หรือว่าผมสงสัยมากเกินไป ยังไงก็ช่วยแนะนำหน่อยนะครับ เพราะทุกครั้งที่ผมนึกถึงเรื่องนี้ผมจะรู้สึกสับสนมากๆเลย แล้วก็เคว้งคว้างแปลกๆ
ยังไงก็ขอบคุณทุกๆความเห็นนะครับ สวัสดีปีใหม่ครับ


ขอบคุณครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ธ.ค. 2011, 22:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 พ.ค. 2009, 02:41
โพสต์: 5636

แนวปฏิบัติ: พอง ยุบ
ชื่อเล่น: เจ
อายุ: 0
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว www


คงต้องรอคำตอบปีหน้า

โชคดีปีใหม่นะค่ะ :b36:

.....................................................
"มิควรหวังร่มเงาจากก้อนเมฆ"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ม.ค. 2012, 04:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


wapae เขียน:
คือผมเชื่อเรื่องวิญญาณนะครับ แต่ผมสงสัยว่าแรกเริ่มเลยวิญญาณเราเกิดมาจากไหน ตอนนี้เรามาอยู่ในวัฏจักรของอะไร แล้วใครสร้างวัฏจักรนี้ขึ้นมา....? หรือว่าผมสงสัยมากเกินไป ยังไงก็ช่วยแนะนำหน่อยนะครับ เพราะทุกครั้งที่ผมนึกถึงเรื่องนี้ผมจะรู้สึกสับสนมากๆเลย แล้วก็เคว้งคว้างแปลกๆ
ยังไงก็ขอบคุณทุกๆความเห็นนะครับ สวัสดีปีใหม่ครับ


ขอบคุณครับ



วิญญาณของคุณคงหมายถึงสังขาร สังขารมีแดนเกิดคืออวิชชา วัฏจักรที่เราอยู่คือปฏิจจสมุปบาท อันมีผู้สร้างคือ อวิชชา ตามความหมายของพุทธศาสนา

ถ้าวิญญาณในความหมายของอภิธรรมคือ ความสนใจ เช่น มองสิ่งใดสิ่งหนึ่งด้วยความสนใจเรียกว่าจักษุวิญญาณเกิด และผัสสะเกิดก็อาศัยจักษุวิญญาณครับ

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ม.ค. 2012, 05:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


ไก่ กับไข่ อะไรเกิดก่อน

ลักษณะ ไก่ กับไข่ มันหมุนวน เป็นวัฏจักร

วิญญาณ ก็เช่นกัน ................มันหาจุดเริ่มต้นไม่ได้ และหาจุดปลายไม่ได้

วิญญาณ ในความเข้าใจของ จขกท. คาดว่า คงเป็นตัวเป็นตน ที่คงค่าอยู่เช่นนั้น

คือเป็นวิญญาณเดียวกันนั่นแหละ ที่มาเกิด แล้วก็แก่ เจ็บ ตาย ผละจากร่างนี้อันตายไปแล้ว

ไปสู่ร่างใหม่ ซึ่งเป็นกำเนิดต่างๆ เช่น มนุษย์ สัตว์ หรือแม้แต่เปรต อสุรกาย หรือเทวดา


วิญญาณ ตัวเดิมนี่เอง ตายแล้วเกิด ตายแล้วเกิด ไปในสังสารวัฏฏ์ ไม่รู้จบ

ใช่หรือไม่...

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ม.ค. 2012, 19:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


วิญญาณ - สภาพที่รู้แจ้งอารมณ์
มี ๖ อย่าง คือ
จักขุวิญญาณ ความรู้อารมณ์ทางตา
โสตวิญญาณ ความรู้อารมณ์ทางหู
ฆานวิญญาณ ความรู้อารมณ์ทางจมูก
ชิวหาวิญญาณ ความรู้อารมณ์ทางลิ้น
กายวิญญาณ ความรู้อารมณ์ทางกาย
มโนวิญญาณ ความรู้อารมณ์ทางใจ

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า
ความเกิดแห่งวิญญาณ เว้นจากปัจจัย มิได้มี

วิญญาณอาศัยจักษุและรูปทั้งหลายเกิดขึ้น ก็ถึงความนับว่า จักษุวิญญาณ
วิญญาณอาศัยโสตและเสียงทั้งหลายเกิดขึ้น ก็ถึงความนับว่า โสตวิญญาณ
วิญญาณอาศัยฆานะและกลิ่นทั้งหลายเกิดขึ้น ก็ถึงความนับว่า ฆานวิญญาณ
วิญญาณอาศัยชิวหาและรสทั้งหลายเกิดขึ้น ก็ถึงความนับว่า ชิวหาวิญญาณ
วิญญาณอาศัยกายและโผฏฐัพพะทั้งหลายเกิดขึ้น ก็ถึงความนับว่า กายวิญญาณ
วิญญาณอาศัยมนะและธรรมารมณ์ทั้งหลายเกิดขึ้น ก็ถึงความนับว่า มโนวิญญาณ

เปรียบเหมือนไฟอาศัยเชื้อใดๆ ติดขึ้น ก็ถึงความนับด้วยเชื้อนั้นๆ
ไฟอาศัยไม้ติดขึ้น ก็ถึงความนับว่า ไฟไม้
ไฟอาศัยป่าติดขึ้น ก็ถึงความนับว่า ไฟป่า
ไฟอาศัยหญ้าติดขึ้น ก็ถึงความนับว่า ไฟหญ้า
ไฟอาศัยโคมัยติดขึ้น ก็ถึงความนับว่าไฟโคมัย
ไฟอาศัยแกลบติดขึ้น ก็ถึงความนับว่า ไฟแกลบ
ไฟอาศัยหยากเยื่อติดขึ้น ก็ถึงความนับว่า ไฟหยากเยื่อ


อ้างคำพูด:
ชาติ คือ ความเกิด ความบังเกิด ความหยั่งลง เกิด เกิดจำเพาะ ความปรากฏแห่งขันธ์ ความได้อายตนะครบ


ชราและมรณะ ย่อมมีเพราะ ชาติเป็นปัจจัย
ชาติ ย่อมมีเพราะ ภพเป็นปัจจัย
ภพ ย่อมมีเพราะ อุปาทานเป็นปัจจัย
อุปาทาน ย่อมมีเพราะ ตัณหาเป็นปัจจัย
ตัณหา ย่อมมีเพราะ เวทนาเป็นปัจจัย
เวทนา ย่อมมีเพราะ ผัสสะเป็นปัจจัย
ผัสสะ ย่อมมีเพราะ สฬายตนะเป็นปัจจัย
สฬายตนะ ย่อมมีเพราะ นามรูปเป็นปัจจัย
นามรูป ย่อมมีเพราะ วิญญาณเป็นปัจจัย
วิญญาณ ย่อมมีเพราะ สังขารเป็นปัจจัย
สังขาร ย่อมมีเพราะ อวิชชาเป็นปัจจัย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ม.ค. 2012, 20:10 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ธ.ค. 2011, 16:32
โพสต์: 324


 ข้อมูลส่วนตัว


wapae เขียน:
คือผมเชื่อเรื่องวิญญาณนะครับ แต่ผมสงสัยว่าแรกเริ่มเลยวิญญาณเราเกิดมาจากไหน ตอนนี้เรามาอยู่ในวัฏจักรของอะไร แล้วใครสร้างวัฏจักรนี้ขึ้นมา....? หรือว่าผมสงสัยมากเกินไป ยังไงก็ช่วยแนะนำหน่อยนะครับ เพราะทุกครั้งที่ผมนึกถึงเรื่องนี้ผมจะรู้สึกสับสนมากๆเลย แล้วก็เคว้งคว้างแปลกๆ
ยังไงก็ขอบคุณทุกๆความเห็นนะครับ สวัสดีปีใหม่ครับ


ขอบคุณครับ

เรื่องวิญญาณที่สงสัยนั้นพระพุทธเจ้าท่านเห็นว่าเป็นเรื่องอจิณไตยครับ เป็นเรื่องที่พ้นวิสัยของปุถุชนธรรมดา มีเพียงพระพุทธเจ้าเท่านั้นที่ทราบความจริง เวลาที่มีคนมาถามพระองค์เกี่ยวกับเรื่องพวกนี้พระองค์จะอุปมาอุปมัยว่าเหมือน คนที่โดนหนามตำเท้าแทนที่จะรีบบ่งเอาหนามออก กลับบอกว่าถ้าไม่รู้ว่าหนามที่ตำเท้าเป็นหนามของอะไร โคตรเหง้าอยู่ไหน ใครเป็นคนปลูกฯลฯ ตัวเองก็จะไม่บ่งเอาหนามออก ประมาณนี้แหละครับ ดังนั้นเรื่องวิญญาณที่คุณสงสัยอยู่เนี่ยจะดีมากถ้าปล่อยวางมันซะ แล้วหันมาปฏิบัติธรรมแทน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ม.ค. 2012, 20:33 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


wapae เขียน:
คือผมเชื่อเรื่องวิญญาณนะครับ แต่ผมสงสัยว่าแรกเริ่มเลยวิญญาณเราเกิดมาจากไหน ตอนนี้เรามาอยู่ในวัฏจักรของอะไร แล้วใครสร้างวัฏจักรนี้ขึ้นมา....? หรือว่าผมสงสัยมากเกินไป ยังไงก็ช่วยแนะนำหน่อยนะครับ เพราะทุกครั้งที่ผมนึกถึงเรื่องนี้ผมจะรู้สึกสับสนมากๆเลย แล้วก็เคว้งคว้างแปลกๆ
ยังไงก็ขอบคุณทุกๆความเห็นนะครับ สวัสดีปีใหม่ครับ


ขอบคุณครับ


เหมือนกัน เวลาที่คิดไปเกี่ยวกับเรื่องวิญญาณในลักษณะนั้น
เราก็เป็นประมาณนั้นล่ะ
ไม่ได้เป็นตลอด เป็นเฉพาะตอนที่คิดจนกลมกล่อมน่ะ

คนส่วนหนึ่งหันหน้าเข้ามาปฏิบัติ
ก็เพื่อจะหาคำตอบเกี่ยวกับ "Who am i" นะ
เราก็จัดว่าเป็นหนึ่งในเทือกนี้

ไม่ต้องกังวลมากนัก

ซึ่งก็มีท่านที่แนะนำในเรื่องการปฏิบัติแล้ว
ค่อย ๆ เรียนรู้ไป คุณจะรับมือกับความกังวลในลักษณะนี้ได้ดีขึ้น

:b12: :b27: :b27:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ม.ค. 2012, 20:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


อ้างคำพูด:
อจินไตย แปลว่าสิ่งที่ไม่ควรคิด หมายถึงสิ่งที่ไม่อาจเข้าใจได้ด้วยตรรกะสามัญของปุถุชน มี 4 อย่างได้แก่
พุทธวิสัย วิสัยของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
ฌานวิสัย วิสัยแห่งอิทธิฤทธิ์ของฌาน
กรรมวิสัย วิสัยของกฎแห่งกรรม ที่สามารถติดตามไปได้ทุกชาติ รวมถึงการให้ผล และการรับวิบากกรรม
โลกวิสัย วิสัยการมีอยู่ของโลก


เรื่อง วิญญาณ มีอธิบาย อย่างละเอียด ในทางพระพุทธศาสนา

คืออยู่ในเรื่องขันธ์5 นั่นเอง

เป็นเรื่องที่เข้าใจกันได้ ไม่ใช่เรื่อง อจินไตย อะไร

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ม.ค. 2012, 21:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 ธ.ค. 2011, 19:43
โพสต์: 2


 ข้อมูลส่วนตัว


ลูกพระป่า เขียน:
wapae เขียน:
คือผมเชื่อเรื่องวิญญาณนะครับ แต่ผมสงสัยว่าแรกเริ่มเลยวิญญาณเราเกิดมาจากไหน ตอนนี้เรามาอยู่ในวัฏจักรของอะไร แล้วใครสร้างวัฏจักรนี้ขึ้นมา....? หรือว่าผมสงสัยมากเกินไป ยังไงก็ช่วยแนะนำหน่อยนะครับ เพราะทุกครั้งที่ผมนึกถึงเรื่องนี้ผมจะรู้สึกสับสนมากๆเลย แล้วก็เคว้งคว้างแปลกๆ
ยังไงก็ขอบคุณทุกๆความเห็นนะครับ สวัสดีปีใหม่ครับ


ขอบคุณครับ

เรื่องวิญญาณที่สงสัยนั้นพระพุทธเจ้าท่านเห็นว่าเป็นเรื่องอจิณไตยครับ เป็นเรื่องที่พ้นวิสัยของปุถุชนธรรมดา มีเพียงพระพุทธเจ้าเท่านั้นที่ทราบความจริง เวลาที่มีคนมาถามพระองค์เกี่ยวกับเรื่องพวกนี้พระองค์จะอุปมาอุปมัยว่าเหมือน คนที่โดนหนามตำเท้าแทนที่จะรีบบ่งเอาหนามออก กลับบอกว่าถ้าไม่รู้ว่าหนามที่ตำเท้าเป็นหนามของอะไร โคตรเหง้าอยู่ไหน ใครเป็นคนปลูกฯลฯ ตัวเองก็จะไม่บ่งเอาหนามออก ประมาณนี้แหละครับ ดังนั้นเรื่องวิญญาณที่คุณสงสัยอยู่เนี่ยจะดีมากถ้าปล่อยวางมันซะ แล้วหันมาปฏิบัติธรรมแทน


ขอบคุณท่านมากๆเลยนะครับ ผมรู้สึกดีขึ้นเยอะเลย ขอบคุณครับ :b41:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ม.ค. 2012, 21:27 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


และแล้ว..เรื่องก็จบแบบ...Happy Ending..
:b4: :b4:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ม.ค. 2012, 07:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 ต.ค. 2010, 19:06
โพสต์: 57


 ข้อมูลส่วนตัว


สิ่งที่เวียนว่ายตายเกิด ท่านเรียกว่า สัตว์ผู้มีอวิชชาเป็นเครื่องกั้นมีตัณหาเป็นเครื่องผูก

พุทธวจนสนทนา-บ้านขนมนันทวัน-29Dec2011
: สัตว์ผู้มีอวิชชาเป็นเครื่องกั้นมีตัณหาเป็นเครื่องผูก




ขอบคุณที่มา
ดาวน์โหลดได้ที่
http://media.watnapahpong.org/
http://truthoflife.fix.gs/index.php?topic=8867.0
http://www.youtube.com/watch?v=j1eBWuMYDkc

.....................................................
ดาวน์โหลดหนังสือพุทธวจน-mp3-VDO ศูนย์มัลติมีเดีย วัดนาป่าพง
http://media.watnapahpong.org/
http://watnapp.com/

แจกหนังสือพุทธวจน-ซีดี-วีดีโอ (กลุ่มพุทธโอษฐ์)
http://sites.google.com/site/buddhaottha/home

ตรวจหาและเทียบเคียงพุทธวจน บนเว็บไซต์
http://etipitaka.com/search

พระอาจารย์คึกฤทธิ์ (รวมเสียงธรรม ดาวน์โหลด mp3)
http://truthoflife.fix.gs/index.php?board=117.0


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ม.ค. 2012, 08:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


อจินติตสูตร
[๗๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อจินไตย ๔ ประการนี้ อันบุคคลไม่ควรคิด
เมื่อบุคคลคิด พึงเป็นผู้มีส่วนแห่งความเป็นบ้า เดือดร้อน อจินไตย ๔ ประการ
เป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย

พุทธวิสัยของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ๑
ฌานวิสัยของผู้ได้ฌาน ๑
วิบากแห่งกรรม ๑
ความคิดเรื่องโลก ๑

ดูกรภิกษุทั้งหลาย
อจินไตย ๔ ประการนี้แล ไม่ควรคิด เมื่อบุคคลคิด พึงเป็นผู้มีส่วนแห่งความ
เป็นบ้า เดือดร้อน ฯ
จบสูตรที่ ๗

http://84000.org/tipitaka/book/v.php?B=21&A=2166&Z=2173

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ม.ค. 2012, 09:18 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ธ.ค. 2011, 16:32
โพสต์: 324


 ข้อมูลส่วนตัว


govit2552 เขียน:
อ้างคำพูด:
อจินไตย แปลว่าสิ่งที่ไม่ควรคิด หมายถึงสิ่งที่ไม่อาจเข้าใจได้ด้วยตรรกะสามัญของปุถุชน มี 4 อย่างได้แก่
พุทธวิสัย วิสัยของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
ฌานวิสัย วิสัยแห่งอิทธิฤทธิ์ของฌาน
กรรมวิสัย วิสัยของกฎแห่งกรรม ที่สามารถติดตามไปได้ทุกชาติ รวมถึงการให้ผล และการรับวิบากกรรม
โลกวิสัย วิสัยการมีอยู่ของโลก


เรื่อง วิญญาณ มีอธิบาย อย่างละเอียด ในทางพระพุทธศาสนา

คืออยู่ในเรื่องขันธ์5 นั่นเอง

เป็นเรื่องที่เข้าใจกันได้ ไม่ใช่เรื่อง อจินไตย อะไร

**สวัสดีครับพี่ govit2552
**ผมขออธิบายพี่นิดหน่อยนะครับ คือเรื่องวิญญาณที่พี่ wapae ถามนี่คือเรื่องของโลกที่เป็นอจิณไตยไงครับ พี่เค้าสงสัยว่า วิญญาณหรือก็คือคนเราเกิดมาได้ยังไง เริ่มต้นแต่แรกจากที่ตรงไหน ประมาณนี้แหละครับ คนละความหมายกับวิญญาณขันธ์ของขันธ์ 5ครับ
**การให้ธรรมเป็นทานชนะการให้ทั้งปวง แต่การให้อภัยทานนั้นประเสริษฐ์ที่สุด**


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ม.ค. 2012, 09:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 มิ.ย. 2010, 22:55
โพสต์: 213

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


วิญญาณที่เจ้าของกระทู้ถามคงหมายถึงจิตนั่นแหละ อนุโลมเข้าโลกวิสัย

ที่พระพุทธเจ้าไม่ทรงตอบ อาจจะเป็นเพราะว่าไม่ใช่วิสัยที่ผู้มีกิเลสจะพึงรู้พึงเข้าใจ ไม่เป็นไปเพื่อพ้นทุกข์ ถ้าบอกไปก็ตั้งคำถามใหม่มาถามเรื่อยๆ เพราะสงสัยในคำตอบที่อยู่เหนือวิสัยตนจะพึงรู้ ไม่วนไปเรื่องที่ทำให้พ้นทุกข์ได้สักที


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ม.ค. 2012, 14:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ต.ค. 2008, 18:05
โพสต์: 136


 ข้อมูลส่วนตัว


:b45: ความสงสัยในเรื่องของวิญญาณที่เข้าใจว่าเป็นตัวตนของตน
เป็นสิ่งๆหนึ่งที่อาศัยอยู่ในร่างกายที่ยังเป็นๆ
และพอหลังจากร่างกายนี้แตกสลายลง
วิญญาณตามที่รู้สึกเข้าใจนั้นๆก็จะไปแสวงหาที่อยู่อาศัยอันอื่นใหม่ต่อไปอีก
ความสงสัยในเรื่องของวิญญาณแบบนี้ มีมาตั้งแต่ยังไม่เกิดพระพุทธศาสนา
และจะมีต่อไปตราบเท่าที่โลกนี้ยังมีสัตว์ที่สมมุติเรียกชื่อว่ามนุษย์เกิดขึ้นอยู่

ความสงสัยทุกๆความสงสัย เป็นธรรมชาติความคิดอย่างหนึ่ง
เป็นอาการอย่างของสิ่งที่เรียกว่าจิต
เป็นความทุกข์อย่างหนึ่ง เป็นสิ่งที่ทำให้ใจเกิดความทุกข์ขึ้นมา
เป็นกิเลสที่เข้ามาห่อหุ้มใจ ทำให้ใจเกิดความหมองมัว ทำให้ใจเกิดความสับสน

การที่จะทำให้ใจหลุดออกมาจากความสงสัย
หรือทำให้ความสงสัยไม่สามาถเกาะกุมจิตใจได้
ก็จะต้องศึกษาหาที่มาของความสงสัยนั้นๆให้ได้
ความสงสัยเกิดขึ้นได้อย่างไร อะไรเป็นสาเหตุทำให้เกิดความสงสัย


เรื่องของวิญญาณก็อย่างหนึ่ง
เรื่องของความสงสัยก็อย่างหนึ่ง
ทุกข์เรื่องวิญาณก็ทุกข์อย่างหนึ่ง
ทุกข์เพราะควาสงสัยในเรื่องของวิญญาณก็อีกทุกข์หนึ่ง
สรุป โดนไปสองทุกข์เต็มๆ


ทิ้งความเข้าใจเดิมๆเกี่ยวกับเรื่องของวิญญาณที่เคยมีความเข้าใจมาลงไปให้หมด
ทั้งจากในตำรา ทั้งจากคำบอกกล่าวของอาจารย์ที่สอนๆกัน วางลงไปให้หมดก่อน
จนเข้าใจได้ด้วยใจของตนเองแล้วว่า
จิตปราศจากความเชื่อใดๆ จิตเป็นอิสระจากทิฏฐิใดๆได้พอสมควรแล้ว
จึงให้เริ่มพิจารณาที่ความรู้สึกนึกคิดต่างๆทั้งหลายที่เกิดปรากฏ
ว่าความรู้สึกนึกคิดต่างๆทั้งหลายเกิดขึ้นได้นั้น เกิดขึ้นได้เพราะสาเหตุใด
อะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดความรู้สึกนึกคิด

เพราะตา เพราะรูป
เพราะหู เพราะเสียง
เพราะจมูก เพรากลิ่น
เพราะลิ้น เพราะรส
เพรากาย เพราะสิ่งที่มากระทบกาย
เพราะใจ เพราะสิ่งมีมากระทบใจ

หากปราศจาก ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
ปราศจาก รูป เสียง กลิ่น รส สิ่งกระทบกาย สิ่งกระทบใจ
ความรู้สึกนึกคิดต่างๆทั้งหลายก็ไม่สามารถที่จะปรากฏมีขึ้นมาได้

หากเข้าใจว่าวิญญาณคือความรู้สึกนึกคิดต่างๆทั้งหลายที่มีอยู่ในร่างกายนี้ ที่อาศัยอยู่ในร่างกายนี้
เป็นสิ่งที่รู้ร้อนรู้หนาว รู้สุขรู้ทุกข์
ความร้อนหนาวเย็นเป็นสุขทุกข์ ก็ล้วนแล้วมีสาเหตุมาจาก ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
รูป เสียง กลิ่น รส สิ่งกระทบกาย สิ่งกระทบใจ ทั้งสิ้น

ร่างกายนี้จะไม่เกิดความรู้สึกใดๆ ไม่รู้สึกถึงความร้อนหนาวเย็นเป็นสุขเป็นทุกข์
ก็คือร่างกายที่ปราศจากวิญญาณ
ไม่ว่ารูป เสียง กลิ่น รส สิ่งกระทบกาย จะเป็นเช่นไร
ความรู้สึกถึงความร้อนหนาวเย็นเป็นสุขเป็นทุกข์
ก็จะไม่บังเกิดขึ้นกับร่างกายที่ปราศที่วิญญาณ

ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า วิญาณคือสิ่งที่รับรู้ คือธรรมชาติที่รับรู้สิ่งต่างๆ
หากไม่มีสิ่งต่างๆเกิดขึ้น วิญาณก็ไม่อาจเกิดมีขึ้นมาได้
เพราะมีสิ่งใดสิ่งหนึ่งปรากฏเกิดขึ้นมา การเกิดขึ้นของวิญญาณจึงมี

วิญญาณจึงเป็นสิ่งสิ่งหนึ่ง ที่ไม่มีลักษณะเป็นตัวของตัวเอง
ไม่อาจเกิดขึ้นเองได้
ไม่อาจตั้งอยู่ได้เองโดยไม่อาศัยสิ่งอื่นๆช่วย


หลังจากร่างกายนี้ดับลง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ใช้การไม่ได้แล้ว
รูป เสียง กลิ่น รส สิ่งที่มากระทบกาย ไม่มีผลใดๆกับร่างกายนี้แล้ว
แล้ววิญญาณที่เคยอาศัยในขณะที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ยังใช้การได้อยู่ จะเป็นไปอย่างไร
ไปอยู่ที่ไหน...นี้คือความสงสัยมีมามาแต่อดีต ปัจจุบัน และในอนาคต

อะไรคือสาเหตุที่ทำให้เกิดความสงสัยในเรื่องของวิญญาณหลังจากร่างกายนี้แตกดับลง
ก็ต้องตอบว่าเพราะความไม่รู้ ความไม่เข้าใจในเรื่องของวิญญาณ นั้นเอง


การที่จะทำให้เกิดความรู้จนหมดความสงสัยในเรื่องของวิญญาณ
ก็คือการปฏิบัติเรียนรู้วิญญาณจากของจริง ไม่ใช่จากตำราหรือความเชื่อที่มีมาแต่เดิม
วิญญาณจากของจริง หาได้จากไหน
ก็จากความรู้สึกนึกคิดต่างๆทั้งหลายที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบันนั้นเอง... :b45:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 23 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร