วันเวลาปัจจุบัน 22 ก.ค. 2025, 06:54  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 338 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 10, 11, 12, 13, 14, 15, 16 ... 23  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 พ.ค. 2012, 12:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


nongkong เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
ผัสสะ ตัวไหน ไม่เป็นอุปาทานขันธ์ แก่ผู้ที่ละสักกายทิฏฐิได้
ผู้ละสักกายะทิฏฐิได้ คือผู้ได้อรหัตผลหรือ???

มั่วอีกแล้วโฮฮับ

ท่านโฮใช่แบบนี้หรือเปล่าเจ้าค่ะ :b10: ที่บอกว่าละสักกายทิฏฐิได้แล้วผัสสะบางตัวก็ไม่มีอุปาทานขันธ์ ยกตัวอย่าง ดิฉันละสังโยชน์ตัวที่ 4ได้แล้ว คือ กามราคะ เมื่อผัสสะมากระทบกับตา ทำให้เกิดอุปทานขันธ์มีอารมณ์ปรุงแต่งไปกับนามรูป สำหรับดิฉันต่อให้เปิดหนังโป๊ดิฉันก็ไม่รู้สึกปรุงแต่งไปกับรูปนามที่มากระทบทางตา เห็นก็สักแต่ว่าเห็นได้ยินก็สักแต่ว่าได้ยิน เพราะจิตเราไม่ไปจับเอาสิ่งนั้นมาปรุงแต่ง เพราะตัณหาของดิฉันเกิดจากความรักจึงเกิดอุปทานขันธ์พอดิฉันเห็นสัจธรรม คือ ทุกข์ ในอริยสัจสี่ สูญเสียคนที่ตนรัก ทำให้ละความยึดถือตรงนั้น จิตเลิกปรุงแต่งตรงนั้น พุดง่ายๆเมื่อหมดความรัก ก็หมดความรุ้สึกของตัณหา กามราคะก็ดับลงไปโดยปริยาย แต่ไม่รู้ว่าคนอื่นจะเป็นแบบนี้มั้ย คงจะขึ้นอยู่กับอินทรีย์ของตนด้วยกระมัง s006

น้องคิงคองครับ สังโยชน์สิบที่ว่า มันจะละได้มันต้องผ่านที่ละขั้นครับ
กว่าละละสังโยชน์ตัวที่สี่ได้มันต้องละ สักกายทิฐิได้เสียก่อน เมื่อละสักกายทิฐิได้
วิจิกิจฉาก็ละได้และศีลพรตก็ละได้ตามมาครับ

สมมุติว่าน้องคิงคอง ละสังโยชน์สามตัวแรกได้แล้ว
กำลังจะละสังโยชน์ตัวที่สี่คือกามฉันทะ ก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนว่า
กามฉันทะไม่ใช่เป็นเรื่อง กามแต่อย่างเดียว มันเกิดได้ทั้งรูป รส กลิ่น เสียง
และธัมมารมณ์ ผมจะแยกอธิบายความเห็นน้องคิงคองนะครับ

nongkong เขียน:
ท่านโฮใช่แบบนี้หรือเปล่าเจ้าค่ะ :b10: ที่บอกว่าละสักกายทิฏฐิได้แล้วผัสสะบางตัวก็ไม่มีอุปาทานขันธ์

ความหมายที่แท้มันเป็นแบบนี้ครับ ผัสสะทุกตัวเมื่อเกิดวิญญาณหรือความรู้สึกขึ้นแล้ว
มันก็จะเกิดอุปาทานขันธ์ขึ้นทุกครั้ง ยกเว้นพระอรหันต์ครับ (อเสขะ)
ทำไมเป็นแบบนั้น เพราะนอกจากพระอรหันต์แล้ว ล้วนแต่ยังมีมีสังโยชน์กัน
จะมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับบุคคล โสดาและสกิทาคาก็ยังเหลือสังโยชน์อีกเจ็ด
ส่วนพระอนาคามีก็เหลืออีกห้า พวกหลังนี่เรียกเสขะครับ

ที่ผมบอกว่าผัสสะทุกตัว นอกจากพระอรหันต์ย่อมเกิดอุปาทานขันธ์
คือมันเกิดกระบวนขันธ์ขึ้น แต่เหตุปัจจัยแห่งกิเสที่เรียกว่าสังโยชน์
มันแตกต่างกันครับ ยกตัวอย่างเห็นรูปโป้นั้นก็คือผัสสะ โสดาบันหรือปุถุชน
ก็จะเกิดอุปาทานขันธ์ขึ้น ในลักษณะของกามเรื่องการสมสู่ แต่ในผัสสะตัวเดียวกันนั้น
พระอนาคามี จะไม่เกิดอุปาทานขันธ์ในเรื่องกามแล้ว แต่จะเกิดผลของสังโยชน์
เป็นอุปาทานขันธ์ ของมานะบ้าง ความฟุ้งซ่านบ้างฯลฯ

อันนี้อยากบอกมันสำคัญมาก เราจะรู้ได้อย่างไรว่า
เราละสังโยชน์บางตัวได้แล้ว เราก็ต้องรู้ด้วยตัวเราเอง นั้นก็คือการ
ดูกระบวนการขั้นห้าและที่เน้นๆก็คืออาการของจิตครับ

nongkong เขียน:
ยกตัวอย่าง ดิฉันละสังโยชน์ตัวที่ 4ได้แล้ว คือ กามราคะ เมื่อผัสสะมากระทบกับตา ทำให้เกิดอุปทานขันธ์มีอารมณ์ปรุงแต่งไปกับนามรูป สำหรับดิฉันต่อให้เปิดหนังโป๊ดิฉันก็ไม่รู้สึกปรุงแต่งไปกับรูปนามที่มากระทบทางตา เห็นก็สักแต่ว่าเห็นได้ยินก็สักแต่ว่าได้ยิน เพราะจิตเราไม่ไปจับเอาสิ่งนั้นมาปรุงแต่ง

เมื่อเกิดผัสสะขึ้น มันก็ต้องเกิดกระบวนการขันธ์ตามมาครับ การปรุงแต่งหรือสังขารขันธ์
มันย่อมมีครับ มันจะต่างกันตรงที่บุคคลใดจะปรุงแต่งไปอย่างไร ปุถุชนก็ปรุงแต่งเป็นเรื่อง
กุศลบ้าง อกุศลบ้าง ส่วนพระอริยะการปรุงแต่งจะเป็นสติและปัญญาครับ

ไอ้ประเภทมาพูดเจื่อยแจ้วว่าเห็นสักแต่ว่าเห็น ได้ยินสักแต่ได้ยิน
พวกนี้พูดแบบไม่รู้ฟังเขามาแล้วมาพูดแบบไร้ความหมายครับ การละสังโยชน์ตัวใด
ตัวหนึ่งได้ มันไม่ใช่การสักแต่ว่าครับ เราต้องรู้และเข้าใจผัสสะตัวนั้นครับ ต้องรู้ว่า
เมื่อเกิดผัสสะตัวนี้ขึ้น แล้วมีมันจะทำให้เกิดทุกข์ในเรื่องใด ยกตัวอย่าง ...
น้องคิงคองเห็นรูปโป๊ น้องคิงคองบอกว่าละกามราคะได้แล้ว น้องต้องรู้ครับว่า
ผัสสะตัวนี้ทำให้เกิดทุกข์ และเหตุของทุกข์คือความกำหนัดครับ
สรุปก็คือเราต้องตามรู้ดูไปให้ถึงทุกข์ แล้วจึงใช่สติปัฏฐานมาดับ
ความกำหนัดนั้นครับ ความกำหนัดที่ว่า คือการไปรู้นะครับ ไม่ใช่อาการที่จิต



มันไม่ใช่สักแต่ว่าๆๆๆเพ้อเจ้อครับ กระบวนการขันธ์หรือเรียกอีกอย่างว่า
การเกิดดับของจิตรวดเร็วมากครับ คนที่บอกว่า สักแต่ว่านั้นน่ะเกิดการปรุงแต่งขึ้น
จนเป็นอาการของจิตที่เรียกว่าโมหะ เกิดอาการโลภะและโทสะสลับกันไปมายังไม่รู้ตัวอีก



nongkong เขียน:
เพราะตัณหาของดิฉันเกิดจากความรักจึงเกิดอุปทานขันธ์พอดิฉันเห็นสัจธรรม คือ ทุกข์ ในอริยสัจสี่ สูญเสียคนที่ตนรัก ทำให้ละความยึดถือตรงนั้น จิตเลิกปรุงแต่งตรงนั้น พุดง่ายๆเมื่อหมดความรัก ก็หมดความรุ้สึกของตัณหา กามราคะก็ดับลงไปโดยปริยาย แต่ไม่รู้ว่าคนอื่นจะเป็นแบบนี้มั้ย คงจะขึ้นอยู่กับอินทรีย์ของตนด้วยกระมัง s006

ความเห็นส่วนนี้ของคุณ มันเป็นการเอาเรื่องโน้นเรื่องนี่มาผสมกันจนยุ่งครับ
มันก็เหมือนที่ผมปรามท่านผู้ทรงภูมิในนี่ไปว่า กำลังเอากระบวนการขันธ์
มาปนกับกระบวนการปฏิจจฯ ตัณหาในวงปฏิจจ์ก็เป็นส่วนหนึ่งมันดับไม่ได้
ความรักก็คือความรัก มันเป็นกระบวนการขันธ์อันมีสัญญาขันธ์เป็นหลัก
แต่ความรักมันเกิดจากกิเลสที่เรียกว่า กามฉันทะ

คุณเอาเรื่องที่คุณยังขาดความเข้าใจ มาคิดไปเองครับ
จะบอกให้ครับสิ่งที่คุณพูดมา มันยังไม่ใช่เรื่องละกามราคะ
สิ่งที่คุณกำลังทำมันเป็นเพียงสติธรรมดาครับ
การจะรู้ว่าละกามราคะได้ มันต้องเมื่อเกิดผัสสะขึ้นต้องรู้จนถึงทุกข์
และใช้สติระลึกสัมมาทิฐิมาวิปัสสนาตัวทุกข์นั้นครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 พ.ค. 2012, 14:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
อันนี้อยากบอกมันสำคัญมาก เราจะรู้ได้อย่างไรว่า
เราละสังโยชน์บางตัวได้แล้ว เราก็ต้องรู้ด้วยตัวเราเอง นั้นก็คือการ
ดูกระบวนการขั้นห้าและที่เน้นๆก็คืออาการของจิตครับ

อ่อแสดงว่าคุณน้องเข้าใจผิดไปเองเจ้าค่ะ อาการทางจิตที่คุณน้องเกิดผัสสะ คือถ้าดูหนังมีฉากเลิฟซีน บางทีคุณน้องก็จะเกิด อาการฟุ้งซ่านปรุงแต่งเจ้าค่ะ ไม่ใช่เห็นแต่สักว่าเห็น เข้าใจผิดไปเอง แต่อาการทางจิตมันเกิดๆดับๆรวดเร็วมากเจ้าค่ะ อาการทางจิตเราจะไหลไปกับธัมมารมณ์ตัวอื่นที่เข้ามาแทน แต่สติก็ตามกำหนดรู้อยู่ แต่ถ้าเป็นปุถุชนที่ไม่ได้ฝึกการอบรม สติปัฏฐาน4 ก็จะเกิดอาการหงุดหงิด ติดใจอยู่กับรูปที่ทำให้เกิดผัสสะจนเกิดกำหนัด ธาตุขันธ์ก็จะทรมาน เกิดความอยากในกามฉันทะ จนต้องปลดทุกข์ ใช่ไหมเจ้าค่ะท่านพี่โฮ s006
คุนน้องอธิบายแบบซื่อๆนะเจ้าค่ะ เพราะไม่ได้เรียนปริยัติ คืออธิบายภาคปฏิบัติของตัวเอง ภูมิธรรมก็ระดับหางอึ่ง แต่ปัญญาพอจะมีอยุ่บ้างเจ้าค่ะ :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 พ.ค. 2012, 14:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
โฮฮับ เขียน
ที่ผมบอกว่าผัสสะทุกตัว นอกจากพระอรหันต์ย่อมเกิดอุปาทานขันธ์
คือมันเกิดกระบวนขันธ์ขึ้น แต่เหตุปัจจัยแห่งกิเสที่เรียกว่าสังโยชน์
มันแตกต่างกันครับ ยกตัวอย่างเห็นรูปโป้นั้นก็คือผัสสะ โสดาบันหรือปุถุชน
ก็จะเกิดอุปาทานขันธ์ขึ้น ในลักษณะของกามเรื่องการสมสู่ แต่ในผัสสะตัวเดียวกันนั้น
พระอนาคามี จะไม่เกิดอุปาทานขันธ์ในเรื่องกามแล้ว แต่จะเกิดผลของสังโยชน์
เป็นอุปาทานขันธ์ ของมานะบ้าง ความฟุ้งซ่านบ้างฯล


ถ้ากำหนดรู้วิญญาณขันธ์ที่เกิดจากจักษุธาตุ เป็นไปได้ไหมครับว่า ความเห็นว่าเป็นแสงคือการรู้สภาวะตามความเป็นจริง แล้วดูสังขารขันธ์ที่เกิดขึ้น เพราะวิญญาณเกิดที่จักษุธาตุไม่ได้เกิดที่แสง แต่เพราะความสืบต่อทำให้เห็นความเป็นจริงไม่ตลอดสาย จิตกลับมาปรุงแต่งเหมือนเดิม คือไม่ได้เห็นเป็นแสงอีกต่อไปแต่กลับมองเห็นเป็นรูปโป็ไป

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 พ.ค. 2012, 14:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
มันมีสิ่งอยู่สามสิ่งให้คุณจำไว้ในใจเลยมันมี ตัณหาในปฏิจจฯ สังโยชน์สิบและกระบวนการขันธ์
เราเกิดมาชาตินี้ มันมาพร้อมกับสังโยชน์สิบ เราเรียกบุคคลพวกนี้ว่า ปุถุชน

คุณโฮฮับ
ปุถุชนเช่นเราๆท่านๆ ที่เกิดมาในชาตินี้ ไม่ได้เกิดมาพร้อมกับสังโยชน์ 10
สังโยชน์ 10 เป็นสังขาร เป็นกรรมที่ประกอบขึ้น ในวาระจิตหนึ่งๆ เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป
แต่เป็นปัจจัยให้ตัณหาเจริญขึ้น อาสวะสั่งสมมากขึ้นก่อให้เกิดอนุสัยหนาขึ้น
ปุถุชนเราๆ ท่านๆ ล้วนมีอนุสัย หรืออาสวะนั้นเป็นสมบัติติดตนมา
เด็กอ่อนแบเบาะ ยังไม่รู้เดียงสา ไม่มีสังโยชน์ใดๆ แต่อนุสัยยังตามนอนเนื่องอยู่
สิ่งที่คุณโฮฮับต้องจำไว้ในใจให้มั่น คือจิตเราเป็นที่สั่งสมของอาสวะ เพราะมีอาสวะ สัตว์นี้จึงเวียนกลับมาสู่ภพ และเมื่อสัตว์นี้ประกอบกรรม ขันธ์ 5 จึงทำงานไปตามอำนาจแห่งจิต และเมื่อสัตว์นี้เป็นผู้รู้ผู้เห็นแล้ว ผู้รู้ผู้เห็นแล้ว ประกอบกิริยา ขันธ์ 5 ก็ยังทำงานไปตามอำนาจแห่งจิตนั้นเช่นกัน

เจริญธรรม

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 พ.ค. 2012, 14:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
โฮฮับ เขียน:
ผลของทั้งสองกระบวนการ มันไม่เหมือนกัน
พระพุทธองค์สอนให้รู้จักกระบวนการขันธ์ห้า
เพื่อเอามาใช้ดับกระบวนการปฏิจจฯ


สอนที่พระสูตรไหน? มีพุทธพจน์ไหนรับรอง?

ถามหน่อยคุณรู้จักคำว่า..อรรถกถาจารย์มั้ย
ถ้าบรรดาอรรถกถาจารย์อธิบายความในพระไตรปิฎก
ท่านเหล่านั้นต้องเอาพระพุทธเจ้ามารับรองหรือเปล่า
จะย้อนจะถามอะไร กรุณาคิดก่อนซิครับ
พระอานนท์ตอนบอกเล่า พุทธพจน์ต้องเอาพระพุทธเจ้ามารับรองหรือเปล่า

คุณรู้หรือเปล่ารับว่าคุณเป็นพวกชอบปิดแปะพระไตรปิฎกพร่ำเผลือ
หรือพูดให้ชัดก็คือ ติดอวดภูมิไปอย่างนั้น อาศัยที่คนไม่เข้าใจ
ก็เอออวยตาม คิดว่าเป็นผู้ทรงภูมิ คุณว่าอย่างไรเขาก็ว่าอย่างนั้น
เพราะเขาก็ไม่เข้าสิ่งที่คุณเอามาแปะ จะบอกว่าไม่เข้าใจก็กลัวชาวบ้านว่าโง่
สรุปก็คือพอกันทั้งคนสอนและคนฟัง

มันเป็นเพราะคุณไม่เข้าใจธรรมเอง แต่มาแก้เกี่ยวด้วยการถามหาพุทธพจน์
ผมก็อธิบายมาอย่างละเอียดแล้ว ถ้าไม่กลัวเสียหน้า มันก็คงไม่มีการเถียงข้างๆคูแบบนี้
เดียวยกเอาพระสูตรพุทธพจน์มาให้ดูก็จะอ้างเอาบาลีอีก


คุณเช่นนั้น ผมจะบอกให้ครับสิ่งที่ผมอธิบาย ผมไม่ใช่จะให้คุณดูคนเดียว
ผมให้เพื่อนสมาชิกดูด้วยนะครับ ลองคิดถ้าเรามาแข่งขันโพสพระไตรปิฏก
ชาวบ้านเขาจะรู้เรื่องไปกับเราด้วยหรือ อย่าว่าแต่ชาวบ้านเลยครับ คนบางคนชอบ
อวดภูมิโพสพระไตรปิฎก พอให้อธิบายยังไม่รู้จะอธิบายยังไง หรือไม่ก็อธิบายไป
คนละเรื่องคนละราวแบบคุฯนี่แหล่ะครับ

ถามหาพุทธพจน์ พุดโถ่! ใช้ศัพท์ง่ายๆ ยังไม่เข้าใจเลย
ผมนะไม่ค่อยอยากโพสพระไตรปิฎก เพราะมันเปลื้องหน้ากระทู้ ถ้าคนมันยอมรับความเห็นคนอื่น
พอเข้าพูดอะไรมา ก็เอาคำที่เขาพูดไปเสิทหาในกูเกิ้ล เข้าเว็บพระไตรปิฎกมันก็รู้เรื่องแล้ว
แต่นี่มันไม่ใช่ มันก็แค่อาการที่บอกคือเถียงข้างๆคูๆกลัวเสียหน้า


ที่ถามหาพุทธพจน์ นี่แสดงว่าสิ่งที่คุณเคยพูดมาเที่ยวได้สอนคนอื่น แต่ในความเป็นจริง
คุณไม่ได้รู้เรื่องหรือมีความรู้ในสิ่งที่ตัวสอนเลย
จำได้มั้ยว่าคุณเคยพูดเคยยกเรื่อง มหาจักรีสักสูตร สัมมาทิฐิสูตร มาโพส
คุณไม่รู้หรอกหรือ ธรรมนี้กล่าวถึง อริยมรรคมีองค์แปด อริยมรรคมีองค์แปดทำให้เกิดอะไร
สัมมาญาณ สัมมาวิมุติไว้ดับอะไร และที่สำคัญธรรมที่ว่าเขาปฏิบัติกันที่ไหน


ทั้งหมดผมพูดให้คุณฟังแล้วทั้งนั้น เพียงแต่คุณไม่เข้าใจสิ่งที่ผมพูด
แล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาเถียงทั้งๆที่ไม่เข้า ยิ่งเถียงก็ยิ่งพาประเด็นกระทู้เข้ารกเข้าพง


สรุปให้ฟังสั้นๆ มรรคมีองค์แปดทำให้เกิดสัมมาวิมุติ
สัมมาวิมุติ เอาไว้ดับสังโยชน์ โดยเฉพาะสังโยชน์ตัวสุดท้าย นั้นก็คืออวิชา
ประเด็นสำคัญที่คุณถาม นั้นก็คือ มรรคมีองค์แปดเขาปฏิบัติกันที่กายใจหรือรูปนาม
พูดให้ตรงก็คือกระบวนการขันธ์ห้า

แล้วไม่ต้องเถียงมาอีกว่านะว่า อริยมรรคไม่ได้ปฏิบัติที่กระบวนการขันธ์
หรือมรรคสมังคีหรือสัมมาวิมุติไม่ได้ดับกระบวนการปฏิจจฯ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 พ.ค. 2012, 14:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


nongkong เขียน:
ที่บอกว่าละสักกายทิฏฐิได้แล้วผัสสะบางตัวก็ไม่มีอุปาทานขันธ์ ยกตัวอย่าง ดิฉันละสังโยชน์ตัวที่ 4ได้แล้ว คือ กามราคะ เมื่อผัสสะมากระทบกับตา ทำให้เกิดอุปทานขันธ์มีอารมณ์ปรุงแต่งไปกับนามรูป สำหรับดิฉันต่อให้เปิดหนังโป๊ดิฉันก็ไม่รู้สึกปรุงแต่งไปกับรูปนามที่มากระทบทางตา เห็นก็สักแต่ว่าเห็นได้ยินก็สักแต่ว่าได้ยิน เพราะจิตเราไม่ไปจับเอาสิ่งนั้นมาปรุงแต่ง เพราะตัณหาของดิฉันเกิดจากความรักจึงเกิดอุปทานขันธ์พอดิฉันเห็นสัจธรรม คือ ทุกข์ ในอริยสัจสี่ สูญเสียคนที่ตนรัก ทำให้ละความยึดถือตรงนั้น จิตเลิกปรุงแต่งตรงนั้น พุดง่ายๆเมื่อหมดความรัก ก็หมดความรุ้สึกของตัณหา กามราคะก็ดับลงไปโดยปริยาย แต่ไม่รู้ว่าคนอื่นจะเป็นแบบนี้มั้ย คงจะขึ้นอยู่กับอินทรีย์ของตนด้วยกระมัง

คุณNonkong...
อนุโมทนา กับการทำความละสังโยชน์ เช่นกามราคะสังโยชน์
ทำบ่อยๆ ทำเนืองๆ จะเป็นปัจจัยแก่การถอนกามราคานุสัยในจิตได้
เพราะการทำบ่อยๆ ทำเนืองๆ ในการละความพึงพอใจต่อธรรมเช่นรูปอันเกิดจากการเห็นนั้น ย่อมไม่เป็นปัจจัยแก่สังโยชน์
ซึ่งสังโยชน์นั้นเป็นปัจจัยแก่ตัณหาและอาสวะ คือทำให้ตัณหาเจริญขึ้น และอาสวะมากขึ้น
การมีสติและความรู้สึกตัว ในการละสังโยชน์บ่อยๆเนืองๆ ย่อมเป็นเครื่องขัดเกลาจิต ถอนอนุสัยอันเกี่ยวเนื่องกันได้ในที่สุด นี้คือการบ่มอินทรีย์ ของคุณ nongkong ประการหนึ่ง
การสำรวมอินทรีย์อีกประการหนึ่งคือ
มีสติตั้ง เว้นอโคจรสถาน คือการเข้าไปดูรูปโป๊ นะครับ

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 พ.ค. 2012, 14:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
โฮฮับ เขียน:
มันมีสิ่งอยู่สามสิ่งให้คุณจำไว้ในใจเลยมันมี ตัณหาในปฏิจจฯ สังโยชน์สิบและกระบวนการขันธ์
เราเกิดมาชาตินี้ มันมาพร้อมกับสังโยชน์สิบ เราเรียกบุคคลพวกนี้ว่า ปุถุชน

คุณโฮฮับ
ปุถุชนเช่นเราๆท่านๆ ที่เกิดมาในชาตินี้ ไม่ได้เกิดมาพร้อมกับสังโยชน์ 10
สังโยชน์ 10 เป็นสังขาร เป็นกรรมที่ประกอบขึ้น ในวาระจิตหนึ่งๆ เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป
แต่เป็นปัจจัยให้ตัณหาเจริญขึ้น อาสวะสั่งสมมากขึ้นก่อให้เกิดอนุสัยหนาขึ้น
ปุถุชนเราๆ ท่านๆ ล้วนมีอนุสัย หรืออาสวะนั้นเป็นสมบัติติดตนมา
เด็กอ่อนแบเบาะ ยังไม่รู้เดียงสา ไม่มีสังโยชน์ใดๆ แต่อนุสัยยังตามนอนเนื่องอยู่
สิ่งที่คุณโฮฮับต้องจำไว้ในใจให้มั่น คือจิตเราเป็นที่สั่งสมของอาสวะ เพราะมีอาสวะ สัตว์นี้จึงเวียนกลับมาสู่ภพ และเมื่อสัตว์นี้ประกอบกรรม ขันธ์ 5 จึงทำงานไปตามอำนาจแห่งจิต และเมื่อสัตว์นี้เป็นผู้รู้ผู้เห็นแล้ว ผู้รู้ผู้เห็นแล้ว ประกอบกิริยา ขันธ์ 5 ก็ยังทำงานไปตามอำนาจแห่งจิตนั้นเช่นกัน

เจริญธรรม

อันนี้ดิฉันเห็นด้วยเจ้าค่ะ เพราะเด็กยังไร้เดียงสาไม่ได้เกิดมาพร้อมกับสังโยชน์ 10 เพราะลูกคุนน้องมี อนุสัยที่สั่งสมมาจากจิต คือ เห็นวัดหรือพระสงฆ์ จะยกมือขึ้นสาธุเลย แบบไม่ต้องบอกเห็นคนแต่งตัวในเครื่องแบบมียศก็ไม่ต้องบอก ยกมือขึ้นสาธุอีกแหละคนเห็นเค้าก้เอ็นดู จะบอกว่าดิฉันสอนเขางั้นหรือ มันไม่น่าจะใช่นะ สอนแค่ ครั้งสองครั้ง แถมเวลาลูกดิฉันโกรธ หัวฟัดหัวเหวี่ยง ทั้งที่ไม่เคยสอนให้ทำหัวฟัดหัวเหวี่ยงเลยสักนิด(นึกภาพออกม่ะเด็ก1ขวบกว่าๆ) มันก็เป็นอนุสัย ที่ติดตัวเขามานั่นแหละ :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 พ.ค. 2012, 14:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
ผมก็อธิบายมาอย่างละเอียดแล้ว ถ้าไม่กลัวเสียหน้า มันก็คงไม่มีการเถียงข้างๆคูแบบนี้
เดียวยกเอาพระสูตรพุทธพจน์มาให้ดูก็จะอ้างเอาบาลีอีก

โฮฮับ เขียน:
ถามหน่อยคุณรู้จักคำว่า..อรรถกถาจารย์มั้ย
ถ้าบรรดาอรรถกถาจารย์อธิบายความในพระไตรปิฎก
ท่านเหล่านั้นต้องเอาพระพุทธเจ้ามารับรองหรือเปล่า
จะย้อนจะถามอะไร กรุณาคิดก่อนซิครับ
พระอานนท์ตอนบอกเล่า พุทธพจน์ต้องเอาพระพุทธเจ้ามารับรองหรือเปล่า

อรรถาจารย์ทุกท่าน จะยกพุทธพจน์ ก่อน
แล้วสาธยาย แสดงไปตามพุทธพจน์
โฮฮับ ยกพุทธพจน์มาก่อนสิครับ????

โฮฮับ เขียน:
แล้วไม่ต้องเถียงมาอีกว่านะว่า อริยมรรคไม่ได้ปฏิบัติที่กระบวนการขันธ์
หรือมรรคสมังคีหรือสัมมาวิมุติไม่ได้ดับกระบวนการปฏิจจฯ

อริยมรรค ไม่ได้ปฏิบัติที่กระบวนการขันธ์
และมรรคสมังคีหรือสัมมาวิมุติก็ไม่ได้ดับกระบวนการปฏิจจสมุปบาท

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


แก้ไขล่าสุดโดย เช่นนั้น เมื่อ 10 พ.ค. 2012, 14:55, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 พ.ค. 2012, 14:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
มีสติตั้ง เว้นอโคจรสถาน คือการเข้าไปดูรูปโป๊ นะครับ

คุณน้องไม่เคยเข้าไปดูรูปโป๊ แค่ สมมติ :b5: แต่เคยเห็นฉากเลิฟซีนเวลาดูหนังฝรั่ง มันเลิฟซีนดุเดือด s002


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 พ.ค. 2012, 14:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


nongkong เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
มีสติตั้ง เว้นอโคจรสถาน คือการเข้าไปดูรูปโป๊ นะครับ

คุณน้องไม่เคยเข้าไปดูรูปโป๊ แค่ สมมติ :b5: แต่เคยเห็นฉากเลิฟซีนเวลาดูหนังฝรั่ง มันเลิฟซีนดุเดือด s002

:b16: ขออภัย จ้ะ

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 พ.ค. 2012, 14:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
อ้างคำพูด:
เช่นนั้น ไม่ได้อธิบายตามความเข้าใจ
แต่ยกพระสูตรมาให้อ่าน
ให้อ่าน
ตามที่พระพุทธองค์แสดง
เป็นพุทธวจจนะ

ที่พระองค์แสดง ถึงเหตุปัจจัย แลเจตนาที่ทำแล้วเป็นกรรมเก่า มีผลต่ออัตตภาพ หรือขันธ์ในปัจจุบัน อย่างไร

คุณผิดแล้วครับ ไอ้ความเข้าใจที่คุณเข้าน่ะ การที่คุณหยิบเอาหรืออ้างพุทธพน์
นั้นแหล่ะครับมันเป็นความเข้าใจของคุณ คุณคิดว่า สิ่งที่คุณอ้างถูกแตในความเป็นจริง
มันอาจผิดก็ได้ เพราะมันเป็นความเข้าใจของคุณเอง คุณตีความหมายของของพุทธพจน์
ไปในทางของคุณเอง
จะบอกให้ครับ การที่ตัวเองเข้าใจว่าความเห็นตัวเองถูก อันนี้ไม่ผิดหรอกครับ
แต่ถ้าเอาพระพุทธเจ้ามาอ้างแล้วสรุปเอาเองว่า ความเห็นตัวเองถูก อันนี้มันผิดครับ
ต้องเอาพระสูตรมากางมั้ยครับ

เช่นนั้น เขียน:
ที่พระองค์แสดง ถึงเหตุปัจจัย แลเจตนาที่ทำแล้วเป็นกรรมเก่า มีผลต่ออัตตภาพ หรือขันธ์ในปัจจุบัน อย่างไร
โฮฮับ เพียงไม่ได้อ่านและใช้ สติปัญญาอันน้อยนิดที่มีอยู่ทำความเข้าใจให้เพิ่มมากขึ้นต่อพุทธวจนะ
ดังนั้น โฮฮับจึงมีความเข้าใจเพียงที่โฮฮับเข้าใจ
เช่นนั้น ก็เข้าใจว่า โฮฮับมีความเข้าใจดังนั้นจึงแสดงออกได้เพียงนั้น

ผมก็บอกคุณแล้วด้วยปัญญาอันน้อยนิดของผมว่า มันเป็นคนละเรื่อง คนละธรรม
ก็บอกแล้วว่าสิ่งที่คุณกล่าวเป็นผลขันธ์ มันเป็นศีลพรตปรามาส เป็นเรื่องที่ผู้ซึ่งไม่เคย
ปฏิบัติหรือผู้ที่ไม่ใช่ไม่เข้าใจวิถีทางแห่งศาสนาพุทธเขาทำกัน

เช่นนั้น เขียน:
อีกประการหนึ่ง การใช้คำพูดของโฮฮับต่อ สหธัมมิกชน ควรจะมีความสำรวมมากกว่านี้นะครับ
หากโฮฮับยังปราถนาจะสนทนธรรม เพื่อแลกเปลี่ยนธรรมทัศนะกับเช่นนั้น อีก
เจริญธรรม

ผมบอกคุณเช่นนั้นด้วยใจที่เป็นกุศลเลยครับว่า คำพูดของผมทุกคำออกมาด้วยใจ
ที่เป็นกุศลครับ ลักษณะการพูดมันอาจไม่เข้าหูคนอื่น แต่คุณหรือเพื่อนๆก็รู้กันทั่วแล้วว่า
คำพูดคำจาผมเป็นอย่างไรตั้งแต่ต้น ถ้าให้ผมพูดในลักษณะที่เปลี่ยนไป ผมว่ามันจะเป็น
การเสแสร้ง ส่อเสียดหรือประชดประชันเอานะครับ

ว่าแต่ว่าคุณเช้นนั้นเตือนผม กรูณาเตือนตัวเองบางก็ดีครับ อย่างเช่น....

เช่นนั้น เขียน:
ที่พระองค์แสดง ถึงเหตุปัจจัย แลเจตนาที่ทำแล้วเป็นกรรมเก่า มีผลต่ออัตตภาพ หรือขันธ์ในปัจจุบัน อย่างไร
โฮฮับ เพียงไม่ได้อ่านและใช้ สติปัญญาอันน้อยนิดที่มีอยู่ทำความเข้าใจให้เพิ่มมากขึ้นต่อพุทธวจนะ
ดังนั้น โฮฮับจึงมีความเข้าใจเพียงที่โฮฮับเข้าใจ
เช่นนั้น ก็เข้าใจว่า โฮฮับมีความเข้าใจดังนั้นจึงแสดงออกได้เพียงนั้น


ที่ผมอ้างคำคุณเช่นนั้น ผมไม่ได้ถือสาหาความอะไรหรอกครับ
แค่อยากให้คุณคิดเสียว่า ขอกันกินมากกว่านี้ครับ
:b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 พ.ค. 2012, 15:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
โฮฮับ เขียน:
มันมีสิ่งอยู่สามสิ่งให้คุณจำไว้ในใจเลยมันมี ตัณหาในปฏิจจฯ สังโยชน์สิบและกระบวนการขันธ์
เราเกิดมาชาตินี้ มันมาพร้อมกับสังโยชน์สิบ เราเรียกบุคคลพวกนี้ว่า ปุถุชน

คุณโฮฮับ
ปุถุชนเช่นเราๆท่านๆ ที่เกิดมาในชาตินี้ ไม่ได้เกิดมาพร้อมกับสังโยชน์ 10
สังโยชน์ 10 เป็นสังขาร เป็นกรรมที่ประกอบขึ้น ในวาระจิตหนึ่งๆ เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป

ที่คุณพูดมาคุณไปนึกว่า กระบวนการปฏิจจ์เป็นกระบวนการขันธ์ห้าไง
คุณว่าสังโยชน์เป็นสังขารเกิดแล้วดับ ถ้างั้นคุณว่าอวิชาเกิดแล้วดับมั้ย?

แล้วถามต่อเลย ในวงปฏิจจฯตรงช่วงชรามรณะมันคืออะไร? คุณช่วยอธิบายหน่อยครับ
เช่นนั้น เขียน:
แต่เป็นปัจจัยให้ตัณหาเจริญขึ้น อาสวะสั่งสมมากขึ้นก่อให้เกิดอนุสัยหนาขึ้น
ปุถุชนเราๆ ท่านๆ ล้วนมีอนุสัย หรืออาสวะนั้นเป็นสมบัติติดตนมา

พูดอะไรครับผมว่าคุณหลงแล้วครับ อนุสัยมันเป็นสังโยชน์เหมือนกันนะครับ
ส่วนอาสวะมันเป็น กิเลสที่เกิดจากกระบวนการขันธ์หรืออุปาทานขันธ์อันได้เคยเกิดไปแล้ว
แต่จิตจดจำไว้เป็นสัญญา

สรุปก็คือ อนุศัยก็คือสังโยชน์มันติดตัวมาตั้งแต่เกิด ตามที่ผมบอกไว้แต่ต้น
ส่วนอาสวะไม่ได้ติดตัวมา เพราะมันเป็นกระบวนการขันธ์ มันเกิดแล้วจิตจดจำไว้เป็นสัญญา
เช่นนั้น เขียน:
เด็กอ่อนแบเบาะ ยังไม่รู้เดียงสา ไม่มีสังโยชน์ใดๆ แต่อนุสัยยังตามนอนเนื่องอยู่

ก็ไอ้อนุสัยนั้นแหล่ะ มันเป็นสังโยชน์ เข้าใจมั้ย
เช่นนั้น เขียน:
สิ่งที่คุณโฮฮับต้องจำไว้ในใจให้มั่น คือจิตเราเป็นที่สั่งสมของอาสวะ เพราะมีอาสวะ สัตว์นี้จึงเวียนกลับมาสู่ภพ และเมื่อสัตว์นี้ประกอบกรรม ขันธ์ 5 จึงทำงานไปตามอำนาจแห่งจิต และเมื่อสัตว์นี้เป็นผู้รู้ผู้เห็นแล้ว ผู้รู้ผู้เห็นแล้ว ประกอบกิริยา ขันธ์ 5 ก็ยังทำงานไปตามอำนาจแห่งจิตนั้นเช่นกัน

ดูตอนต้นก็ใช้ได้ แต่ดูไปเรื่อยก็รู้ว่าพูดมาโดยไม่เข้าใจ อาสวะเกิดจากกระบวนการขันธ์
ที่มีต่อตัณหาเกิดเป็น อุปาทานขันธ์ เกิดภพชาติหมายความว่า เกิดการยึดมั่นถือมั่นขึ้นแล้ว
การยึดมั่นถือมัน ไม่ได้หมายถึงกรรมหรือการกระทำแต่หมายถึง กิเลสหรืออวิชา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 พ.ค. 2012, 16:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
อรรถาจารย์ทุกท่าน จะยกพุทธพจน์ ก่อน
แล้วสาธยาย แสดงไปตามพุทธพจน์
โฮฮับ ยกพุทธพจน์มาก่อนสิครับ????

อ้าว!กระทู้นี้ไม่ใช่เป็นเรื่องปฎิจจ์ฯ รูปนามหรอกหรือครับ
เรากำลังคุยเรื่อง ไบเบิ้ล คัมภีอัลกุลอาลหรือครับ


พุดโถ่! ตั้งหลักให้มันถูกซิครับ เดินเอียงไปโน้นทีนี่ที
กระทู้ที่พระป่าเขาตั้ง ไม่ว่าจะเป็นสังขาร วิญญาณหรืออวิชา
มันก็ล้วนแล้วแต่เป็นพุทธพจน์มีอยู่ในปฏิจจ์ทั้งสิ้น
และที่ผมพูดคือการสาธยายพุทธพจน์นั้นครับ
กำลังอธิบายความเรื่องหนึ่งอยู่ แต่เอาอีกเรื่องมาแล้วมันจะรู้เรื่องหรือ
ธรรมแต่อย่างของพระพุทธเจ้ามีเหตุมีปัจจัยในตัวของธรรมนั้นอยู่แล้ว
คนมันดูไม่ออก ก็เลยต้องเที่ยวถามหาคนพูด

เหมือนเด็กสมัยนี้ เห็นข้อสอบอัตนัยล่ะก็หน้าแหย่
จะทำแต่ข้อสอบปรนัยอย่างเดียว แบบนี้เมื่อไรจะรู้จริงครับ
เช่นนั้น เขียน:
โฮฮับ เขียน:
แล้วไม่ต้องเถียงมาอีกว่านะว่า อริยมรรคไม่ได้ปฏิบัติที่กระบวนการขันธ์
หรือมรรคสมังคีหรือสัมมาวิมุติไม่ได้ดับกระบวนการปฏิจจฯ

อริยมรรค ไม่ได้ปฏิบัติที่กระบวนการขันธ์
และมรรคสมังคีหรือสัมมาวิมุติก็ไม่ได้ดับกระบวนการปฏิจจสมุปบาท

แล้วอริยมรรค เขาปฏิบัติกันที่ไหนครับ
แล้วอะไรดับกระบวนการปฏิจจ์ หรือไม่ก็ต้องทำอย่างไรกับกระบวนการปฏิจจ์ครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 พ.ค. 2012, 16:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
ที่คุณพูดมาคุณไปนึกว่า กระบวนการปฏิจจ์เป็นกระบวนการขันธ์ห้าไง
คุณว่าสังโยชน์เป็นสังขารเกิดแล้วดับ ถ้างั้นคุณว่าอวิชาเกิดแล้วดับมั้ย?

นั่นมันเป็นสิ่งที่โฮฮับ นึกเองเออเอง ว่าเช่นนั้นไปนึกแบบนั้น
โฮฮับ เขียน:
แล้วถามต่อเลย ในวงปฏิจจฯตรงช่วงชรามรณะมันคืออะไร? คุณช่วยอธิบายหน่อยครับ

คือ กองทุกข์อันมีปัจจัย
โฮฮับ เขียน:
พูดอะไรครับผมว่าคุณหลงแล้วครับ อนุสัยมันเป็นสังโยชน์เหมือนกันนะครับ
ส่วนอาสวะมันเป็น กิเลสที่เกิดจากกระบวนการขันธ์หรืออุปาทานขันธ์อันได้เคยเกิดไปแล้ว
แต่จิตจดจำไว้เป็นสัญญา

สรุปก็คือ อนุศัยก็คือสังโยชน์มันติดตัวมาตั้งแต่เกิด ตามที่ผมบอกไว้แต่ต้น
ส่วนอาสวะไม่ได้ติดตัวมา เพราะมันเป็นกระบวนการขันธ์ มันเกิดแล้วจิตจดจำไว้เป็นสัญญา

โฮฮับ เปิดลิงค์ ศึกษาพระสูตรนี้ให้จงดีนะครับ
Quote Tipitaka:
มหามาลุงโกฺยวาทสูตร ที่ ๔.

http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=13&A=2814&Z=2961&pagebreak=0


โฮฮับ เขียน:
ก็ไอ้อนุสัยนั้นแหล่ะ มันเป็นสังโยชน์ เข้าใจมั้ย


สังโยชน์เป็นปัจจัยให้ อนุสัยหนาแน่นขึ้นครับ เพราะอนุสัยคืออาสวะ เข้าใจใหม่นะครับโฮฮับ
โฮฮับ เขียน:
ดูตอนต้นก็ใช้ได้ แต่ดูไปเรื่อยก็รู้ว่าพูดมาโดยไม่เข้าใจ อาสวะเกิดจากกระบวนการขันธ์
ที่มีต่อตัณหาเกิดเป็น อุปาทานขันธ์ เกิดภพชาติหมายความว่า เกิดการยึดมั่นถือมั่นขึ้นแล้ว
การยึดมั่นถือมัน ไม่ได้หมายถึงกรรมหรือการกระทำแต่หมายถึง กิเลสหรืออวิชา


ถ้าเป็นตามที่โฮฮับพูด นามรูป ก็จะเป็นปัจจัยแก่อาสวะ
โฮฮับ ทำความเข้าใจเรื่องปฏิจสมุปบาทใหม่นะครับ

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 พ.ค. 2012, 16:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
และที่ผมพูดคือการสาธยายพุทธพจน์นั้นครับ
กำลังอธิบายความเรื่องหนึ่งอยู่ แต่เอาอีกเรื่องมาแล้วมันจะรู้เรื่องหรือ
ธรรมแต่อย่างของพระพุทธเจ้ามีเหตุมีปัจจัยในตัวของธรรมนั้นอยู่แล้ว
คนมันดูไม่ออก ก็เลยต้องเที่ยวถามหาคนพูด

หรือครับ ไหนล่ะครับพุทธพจน์ที่ โฮฮับกำลังสาธยาย
โฮฮับ เขียน:
แล้วอริยมรรค เขาปฏิบัติกันที่ไหนครับ
แล้วอะไรดับกระบวนการปฏิจจ์ หรือไม่ก็ต้องทำอย่างไรกับกระบวนการปฏิจจ์ครับ

ปฏิบัติที่จิตครับ
ไม่มีการดับกระบวนการปฏิจจสมุปบาทครับ
มีแต่การดำเนินไปตามปฏิจสมุปบาทฝ่ายนิโรธวารครับ

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 338 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 10, 11, 12, 13, 14, 15, 16 ... 23  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร